Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ชาตก-อฎฺฐกถา • Jātaka-aṭṭhakathā

    ๔. อพฺภนฺตรวโคฺค

    4. Abbhantaravaggo

    [๒๘๑] ๑. อพฺภนฺตรชาตกวณฺณนา

    [281] 1. Abbhantarajātakavaṇṇanā

    อพฺภนฺตโร นาม ทุโมติ อิทํ สตฺถา เชตวเน วิหรโนฺต สาริปุตฺตเตฺถรสฺส พิมฺพาเทวีเถริยา อมฺพรสทานํ อารพฺภ กเถสิฯ สมฺมาสมฺพุเทฺธ หิ ปวตฺติตวรธมฺมจเกฺก เวสาลิยํ กูฎาคารสาลายํ วิหรเนฺต มหาปชาปตี โคตมี ปญฺจ สากิยสตานิ อาทาย คนฺตฺวา ปพฺพชฺชํ ยาจิตฺวา ปพฺพชฺชเญฺจว อุปสมฺปทญฺจ ลภิฯ อปรภาเค ตา ปญฺจสตา ภิกฺขุนิโย นนฺทโกวาทํ (ม. นิ. ๓.๓๙๘ อาทโย) สุตฺวา อรหตฺตํ ปาปุณิํสุฯ สตฺถริ ปน สาวตฺถิํ อุปนิสฺสาย วิหรเนฺต ราหุลมาตา พิมฺพาเทวี ‘‘สามิโก เม ปพฺพชิตฺวา สพฺพญฺญุตํ ปโตฺต, ปุโตฺตปิ เม ปพฺพชิตฺวา ตเสฺสว สนฺติเก วสติ, อหํ อคารมเชฺฌ กิํกริสฺสามิ, อหมฺปิ ปพฺพชิตฺวา สาวตฺถิํ คนฺตฺวา สมฺมาสมฺพุทฺธญฺจ ปุตฺตญฺจ นิพทฺธํ ปสฺสมานา วิหริสฺสามี’’ติ จิเนฺตตฺวา ภิกฺขุนุปสฺสยํ คนฺตฺวา ปพฺพชิตฺวา อาจริยุปชฺฌายาหิ สทฺธิํ สาวตฺถิํ คนฺตฺวา สตฺถารญฺจ ปิยปุตฺตญฺจ ปสฺสมานา เอกสฺมิํ ภิกฺขุนุปสฺสเย วาสํ กเปฺปสิฯ ราหุลสามเณโร อาคนฺตฺวา มาตรํ ปสฺสติฯ

    Abbhantaronāma dumoti idaṃ satthā jetavane viharanto sāriputtattherassa bimbādevītheriyā ambarasadānaṃ ārabbha kathesi. Sammāsambuddhe hi pavattitavaradhammacakke vesāliyaṃ kūṭāgārasālāyaṃ viharante mahāpajāpatī gotamī pañca sākiyasatāni ādāya gantvā pabbajjaṃ yācitvā pabbajjañceva upasampadañca labhi. Aparabhāge tā pañcasatā bhikkhuniyo nandakovādaṃ (ma. ni. 3.398 ādayo) sutvā arahattaṃ pāpuṇiṃsu. Satthari pana sāvatthiṃ upanissāya viharante rāhulamātā bimbādevī ‘‘sāmiko me pabbajitvā sabbaññutaṃ patto, puttopi me pabbajitvā tasseva santike vasati, ahaṃ agāramajjhe kiṃkarissāmi, ahampi pabbajitvā sāvatthiṃ gantvā sammāsambuddhañca puttañca nibaddhaṃ passamānā viharissāmī’’ti cintetvā bhikkhunupassayaṃ gantvā pabbajitvā ācariyupajjhāyāhi saddhiṃ sāvatthiṃ gantvā satthārañca piyaputtañca passamānā ekasmiṃ bhikkhunupassaye vāsaṃ kappesi. Rāhulasāmaṇero āgantvā mātaraṃ passati.

    อเถกทิวสํ เถริยา อุทรวาโต กุปฺปิฯ สา ปุเตฺต ทฎฺฐุํ อาคเต ตสฺส ทสฺสนตฺถาย นิกฺขมิตุํ นาสกฺขิ, อญฺญาว อาคนฺตฺวา อผาสุกภาวํ กถยิํสุฯ โส มาตุ สนฺติกํ คนฺตฺวา ‘‘กิํ เต ลทฺธุํ วฎฺฎตี’’ติ ปุจฺฉิฯ ‘‘ตาต, อคารมเชฺฌ เม สกฺขรโยชิเต อมฺพรเส ปีเต อุทรวาโต วูปสมฺมติ, อิทานิ ปิณฺฑาย จริตฺวา ชีวิกํ กเปฺปม, กุโต ตํ ลภิสฺสามา’’ติฯ สามเณโร ‘‘ลภโนฺต อาหริสฺสามี’’ติ วตฺวา นิกฺขมิฯ ตสฺส ปนายสฺมโต อุปชฺฌาโย ธมฺมเสนาปติ, อาจริโย มหาโมคฺคลฺลาโน, จูฬปิตา อานนฺทเตฺถโร, ปิตา สมฺมาสมฺพุโทฺธติ มหาสมฺปตฺติฯ เอวํ สเนฺตปิ อญฺญสฺส สนฺติกํ อคนฺตฺวา อุปชฺฌายสฺส สนฺติกํ คนฺตฺวา วนฺทิตฺวา ทุมฺมุขากาโร หุตฺวา อฎฺฐาสิฯ อถ นํ เถโร ‘‘กิํ นุ โข, ราหุล, ทุมฺมุโข วิยาสี’’ติ อาหฯ ‘‘มาตุ เม, ภเนฺต, เถริยา อุทรวาโต กุปิโต’’ติฯ ‘‘กิํ ลทฺธุํ วฎฺฎตี’’ติ? ‘‘สกฺขรโยชิเตน กิร อมฺพรเสน ผาสุ โหตี’’ติฯ ‘‘โหตุ ลภิสฺสามิ, มา จินฺตยี’’ติฯ

    Athekadivasaṃ theriyā udaravāto kuppi. Sā putte daṭṭhuṃ āgate tassa dassanatthāya nikkhamituṃ nāsakkhi, aññāva āgantvā aphāsukabhāvaṃ kathayiṃsu. So mātu santikaṃ gantvā ‘‘kiṃ te laddhuṃ vaṭṭatī’’ti pucchi. ‘‘Tāta, agāramajjhe me sakkharayojite ambarase pīte udaravāto vūpasammati, idāni piṇḍāya caritvā jīvikaṃ kappema, kuto taṃ labhissāmā’’ti. Sāmaṇero ‘‘labhanto āharissāmī’’ti vatvā nikkhami. Tassa panāyasmato upajjhāyo dhammasenāpati, ācariyo mahāmoggallāno, cūḷapitā ānandatthero, pitā sammāsambuddhoti mahāsampatti. Evaṃ santepi aññassa santikaṃ agantvā upajjhāyassa santikaṃ gantvā vanditvā dummukhākāro hutvā aṭṭhāsi. Atha naṃ thero ‘‘kiṃ nu kho, rāhula, dummukho viyāsī’’ti āha. ‘‘Mātu me, bhante, theriyā udaravāto kupito’’ti. ‘‘Kiṃ laddhuṃ vaṭṭatī’’ti? ‘‘Sakkharayojitena kira ambarasena phāsu hotī’’ti. ‘‘Hotu labhissāmi, mā cintayī’’ti.

    โส ปุนทิวเส ตํ อาทาย สาวตฺถิํ ปวิสิตฺวา สามเณรํ อาสนสาลายํ นิสีทาเปตฺวา ราชทฺวารํ อคมาสิฯ โกสลราชา เถรํ ทิสฺวา นิสีทาเปสิ, ตงฺขณเญฺญว อุยฺยานปาโล ปิณฺฑิปกฺกานํ มธุรอมฺพานํ เอกํ ปุฎํ อาหริฯ ราชา อมฺพานํ ตจํ อปเนตฺวา สกฺขรํ ปกฺขิปิตฺวา สยเมว มทฺทิตฺวา เถรสฺส ปตฺตํ ปูเรตฺวา อทาสิฯ เถโร ราชนิเวสนา นิกฺขมิตฺวา อาสนสาลํ คนฺตฺวา สามเณรสฺส อทาสิ ‘‘หริตฺวา มาตุ เต เทหี’’ติฯ โส หริตฺวา อทาสิ, เถริยา ปริภุตฺตมเตฺตว อุทรวาโต วูปสมิฯ ราชาปิ มนุสฺสํ เปเสสิ – ‘‘เถโร อิธ นิสีทิตฺวา อมฺพรสํ น ปริภุญฺชิ, คจฺฉ กสฺสจิ ทินฺนภาวํ ชานาหี’’ติฯ โส เถเรน สทฺธิํเยว คนฺตฺวา ตํ ปวตฺติํ ญตฺวา อาคนฺตฺวา รโญฺญ กเถสิฯ ราชา จิเนฺตสิ – ‘‘สเจ สตฺถา อคารํ อชฺฌาวสิสฺส, จกฺกวตฺติราชา อภวิสฺส, ราหุลสามเณโร ปริณายกรตนํ, เถรี อิตฺถิรตนํ, สกลจกฺกวาฬรชฺชํ เอเตสเญฺญว อภวิสฺสฯ อเมฺหหิ เอเต อุปฎฺฐหเนฺตหิ จริตพฺพํ อสฺส, อิทานิ ปพฺพชิตฺวา อเมฺห อุปนิสฺสาย วสเนฺตสุ เอเตสุ น ยุตฺตํ อมฺหากํ ปมชฺชิตุ’’นฺติฯ โส ตโต ปฎฺฐาย เถริยา นิพทฺธํ อมฺพรสํ ทาเปสิฯ เถเรน พิมฺพาเทวีเถริยา อมฺพรสสฺส ทินฺนภาโว ภิกฺขุสเงฺฆ ปากโฎ ชาโตฯ อเถกทิวสํ ภิกฺขู ธมฺมสภายํ กถํ สมุฎฺฐาเปสุํ – ‘‘อาวุโส, สาริปุตฺตเตฺถโร กิร พิมฺพาเทวีเถริํ อมฺพรเสน สนฺตเปฺปสี’’ติฯ สตฺถา อาคนฺตฺวา ‘‘กาย นุตฺถ, ภิกฺขเว, เอตรหิ กถาย สนฺนิสินฺนา’’ติ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘อิมาย นามา’’ติ วุเตฺต ‘‘น, ภิกฺขเว, อิทาเนว ราหุลมาตา สาริปุเตฺตน อมฺพรเสน สนฺตปฺปิตา, ปุเพฺพเปส เอตํ สนฺตเปฺปสิเยวา’’ติ วตฺวา อตีตํ อาหริฯ

    So punadivase taṃ ādāya sāvatthiṃ pavisitvā sāmaṇeraṃ āsanasālāyaṃ nisīdāpetvā rājadvāraṃ agamāsi. Kosalarājā theraṃ disvā nisīdāpesi, taṅkhaṇaññeva uyyānapālo piṇḍipakkānaṃ madhuraambānaṃ ekaṃ puṭaṃ āhari. Rājā ambānaṃ tacaṃ apanetvā sakkharaṃ pakkhipitvā sayameva madditvā therassa pattaṃ pūretvā adāsi. Thero rājanivesanā nikkhamitvā āsanasālaṃ gantvā sāmaṇerassa adāsi ‘‘haritvā mātu te dehī’’ti. So haritvā adāsi, theriyā paribhuttamatteva udaravāto vūpasami. Rājāpi manussaṃ pesesi – ‘‘thero idha nisīditvā ambarasaṃ na paribhuñji, gaccha kassaci dinnabhāvaṃ jānāhī’’ti. So therena saddhiṃyeva gantvā taṃ pavattiṃ ñatvā āgantvā rañño kathesi. Rājā cintesi – ‘‘sace satthā agāraṃ ajjhāvasissa, cakkavattirājā abhavissa, rāhulasāmaṇero pariṇāyakaratanaṃ, therī itthiratanaṃ, sakalacakkavāḷarajjaṃ etesaññeva abhavissa. Amhehi ete upaṭṭhahantehi caritabbaṃ assa, idāni pabbajitvā amhe upanissāya vasantesu etesu na yuttaṃ amhākaṃ pamajjitu’’nti. So tato paṭṭhāya theriyā nibaddhaṃ ambarasaṃ dāpesi. Therena bimbādevītheriyā ambarasassa dinnabhāvo bhikkhusaṅghe pākaṭo jāto. Athekadivasaṃ bhikkhū dhammasabhāyaṃ kathaṃ samuṭṭhāpesuṃ – ‘‘āvuso, sāriputtatthero kira bimbādevītheriṃ ambarasena santappesī’’ti. Satthā āgantvā ‘‘kāya nuttha, bhikkhave, etarahi kathāya sannisinnā’’ti pucchitvā ‘‘imāya nāmā’’ti vutte ‘‘na, bhikkhave, idāneva rāhulamātā sāriputtena ambarasena santappitā, pubbepesa etaṃ santappesiyevā’’ti vatvā atītaṃ āhari.

    อตีเต พาราณสิยํ พฺรหฺมทเตฺต รชฺชํ กาเรเนฺต โพธิสโตฺต กาสิคามเก พฺราหฺมณกุเล นิพฺพตฺติตฺวา วยปฺปโตฺต ตกฺกสิลายํ สพฺพสิปฺปานิ อุคฺคณฺหิตฺวา สณฺฐปิตฆราวาโส มาตาปิตูนํ อจฺจเยน อิสิปพฺพชฺชํ ปพฺพชิตฺวา หิมวนฺตปเทเส อภิญฺญา จ สมาปตฺติโย จ นิพฺพเตฺตตฺวา อิสิคณปริวุโต คณสตฺถา หุตฺวา ทีฆสฺส อทฺธุโน อจฺจเยน โลณมฺพิลเสวนตฺถาย ปพฺพตปาทา โอตริตฺวา จาริกํ จรมาโน พาราณสิํ ปตฺวา อุยฺยาเน วาสํ กเปฺปสิฯ อถสฺส อิสิคณสฺส สีลเตเชน สกฺกสฺส ภวนํ กมฺปิฯ สโกฺก อาวชฺชมาโน ตํ การณํ ญตฺวา ‘‘อิเมสํ ตาปสานํ อวาสาย ปริสกฺกิสฺสามิ, อถ เต ภินฺนาวาสา อุปทฺทุตา จรมานา จิเตฺตกคฺคตํ น ลภิสฺสนฺติ, เอวํ เม ผาสุกํ ภวิสฺสตี’’ติ จิเนฺตตฺวา ‘‘โก นุ โข อุปาโย’’ติ วีมํสโนฺต อิมํ อุปายํ อทฺทส – มชฺฌิมยามสมนนฺตเร รโญฺญ อคฺคมเหสิยา สิริคพฺภํ ปวิสิตฺวา อากาเส ฐตฺวา ‘‘ภเทฺท, สเจ ตฺวํ อพฺภนฺตรอมฺพปกฺกํ ขาเทยฺยาสิ, ปุตฺตํ ลภิสฺสสิ, โส จกฺกวตฺติราชา ภวิสฺสตี’’ติ อาจิกฺขิสฺสามิฯ ราชา เทวิยา กถํ สุตฺวา อมฺพปกฺกตฺถาย อุยฺยานํ เปเสสฺสติ, อถาหํ อมฺพานิ อนฺตรธาเปสฺสามิ, รโญฺญ อุยฺยาเน อมฺพานํ อภาวํ อาโรเจสฺสนฺติ , ‘‘เก เต ขาทนฺตี’’ติ วุเตฺต ‘‘ตาปสา ขาทนฺตี’’ติ วกฺขนฺติ, ตํ สุตฺวา ราชา ตาปเส โปเถตฺวา นีหราเปสฺสติ, เอวํ เต อุปทฺทุตา ภวิสฺสนฺตีติฯ

    Atīte bārāṇasiyaṃ brahmadatte rajjaṃ kārente bodhisatto kāsigāmake brāhmaṇakule nibbattitvā vayappatto takkasilāyaṃ sabbasippāni uggaṇhitvā saṇṭhapitagharāvāso mātāpitūnaṃ accayena isipabbajjaṃ pabbajitvā himavantapadese abhiññā ca samāpattiyo ca nibbattetvā isigaṇaparivuto gaṇasatthā hutvā dīghassa addhuno accayena loṇambilasevanatthāya pabbatapādā otaritvā cārikaṃ caramāno bārāṇasiṃ patvā uyyāne vāsaṃ kappesi. Athassa isigaṇassa sīlatejena sakkassa bhavanaṃ kampi. Sakko āvajjamāno taṃ kāraṇaṃ ñatvā ‘‘imesaṃ tāpasānaṃ avāsāya parisakkissāmi, atha te bhinnāvāsā upaddutā caramānā cittekaggataṃ na labhissanti, evaṃ me phāsukaṃ bhavissatī’’ti cintetvā ‘‘ko nu kho upāyo’’ti vīmaṃsanto imaṃ upāyaṃ addasa – majjhimayāmasamanantare rañño aggamahesiyā sirigabbhaṃ pavisitvā ākāse ṭhatvā ‘‘bhadde, sace tvaṃ abbhantaraambapakkaṃ khādeyyāsi, puttaṃ labhissasi, so cakkavattirājā bhavissatī’’ti ācikkhissāmi. Rājā deviyā kathaṃ sutvā ambapakkatthāya uyyānaṃ pesessati, athāhaṃ ambāni antaradhāpessāmi, rañño uyyāne ambānaṃ abhāvaṃ ārocessanti , ‘‘ke te khādantī’’ti vutte ‘‘tāpasā khādantī’’ti vakkhanti, taṃ sutvā rājā tāpase pothetvā nīharāpessati, evaṃ te upaddutā bhavissantīti.

    โส มชฺฌิมยามสมนนฺตเร สิริคพฺภํ ปวิสิตฺวา อากาเส ฐิโต อตฺตโน เทวราชภาวํ ชานาเปตฺวา ตาย สทฺธิํ สลฺลปโนฺต ปุริมา เทฺว คาถา อโวจ –

    So majjhimayāmasamanantare sirigabbhaṃ pavisitvā ākāse ṭhito attano devarājabhāvaṃ jānāpetvā tāya saddhiṃ sallapanto purimā dve gāthā avoca –

    ๙๑.

    91.

    ‘‘อพฺภนฺตโร นาม ทุโม, ยสฺส ทิพฺยมิทํ ผลํ;

    ‘‘Abbhantaro nāma dumo, yassa dibyamidaṃ phalaṃ;

    ภุตฺวา โทหฬินี นารี, จกฺกวตฺติํ วิชายติฯ

    Bhutvā dohaḷinī nārī, cakkavattiṃ vijāyati.

    ๙๒.

    92.

    ‘‘ตฺวมฺปิ ภเทฺท มเหสีสิ, สา จาปิ ปติโน ปิยา;

    ‘‘Tvampi bhadde mahesīsi, sā cāpi patino piyā;

    อาหริสฺสติ เต ราชา, อิทํ อพฺภนฺตรํ ผล’’นฺติฯ

    Āharissati te rājā, idaṃ abbhantaraṃ phala’’nti.

    ตตฺถ อพฺภนฺตโร นาม ทุโมติ อิมินา ตาว คามนิคมชนปทปพฺพตาทีนํ อสุกสฺส อพฺภนฺตโรติ อวตฺวา เกวลํ เอกํ อพฺภนฺตรํ อมฺพรุกฺขํ กเถสิฯ ยสฺส ทิพฺยมิทํ ผลนฺติ ยสฺส อมฺพรุกฺขสฺส เทวตานํ ปริโภคารหํ ทิพฺยํ ผลํฯ อิทนฺติ ปน นิปาตมตฺตเมวฯ โทหฬินีติ สญฺชาตโทหฬาฯ ตฺวมฺปิ, ภเทฺท, มเหสีสีติ ตฺวํ, โสภเน มเหสี, อสิฯ อฎฺฐกถายํ ปน ‘‘มเหสี จา’’ติปิ ปาโฐฯ สา จาปิ ปติโน ปิยาติ โสฬสนฺนํ เทวีสหสฺสานํ อพฺภนฺตเร อคฺคมเหสี จาปิ ปติโน จาปิ ปิยาติ อโตฺถฯ อาหริสฺสติ เต ราชา, อิทํ อพฺภนฺตรํ ผลนฺติ ตสฺสา เต ปิยาย อคฺคมเหสิยา อิทํ มยา วุตฺตปฺปการํ ผลํ ราชา อาหราเปสฺสติ, สา ตฺวํ ตํ ปริภุญฺชิตฺวา จกฺกวตฺติคพฺภํ ลภิสฺสสีติฯ

    Tattha abbhantaro nāma dumoti iminā tāva gāmanigamajanapadapabbatādīnaṃ asukassa abbhantaroti avatvā kevalaṃ ekaṃ abbhantaraṃ ambarukkhaṃ kathesi. Yassa dibyamidaṃ phalanti yassa ambarukkhassa devatānaṃ paribhogārahaṃ dibyaṃ phalaṃ. Idanti pana nipātamattameva. Dohaḷinīti sañjātadohaḷā. Tvampi, bhadde, mahesīsīti tvaṃ, sobhane mahesī, asi. Aṭṭhakathāyaṃ pana ‘‘mahesī cā’’tipi pāṭho. Sā cāpi patino piyāti soḷasannaṃ devīsahassānaṃ abbhantare aggamahesī cāpi patino cāpi piyāti attho. Āharissati te rājā, idaṃ abbhantaraṃ phalanti tassā te piyāya aggamahesiyā idaṃ mayā vuttappakāraṃ phalaṃ rājā āharāpessati, sā tvaṃ taṃ paribhuñjitvā cakkavattigabbhaṃ labhissasīti.

    เอวํ สโกฺก เทวิยา อิมา เทฺว คาถา วตฺวา ‘‘ตฺวํ อปฺปมตฺตา โหหิ, มา ปปญฺจํ อกาสิ, เสฺว รโญฺญ อาโรเจยฺยาสี’’ติ ตํ อนุสาสิตฺวา อตฺตโน วสนฎฺฐานเมว คโตฯ สา ปุนทิวเส คิลานาลยํ ทเสฺสตฺวา ปริจาริกานํ สญฺญํ ทตฺวา นิปชฺชิฯ ราชา สมุสฺสิตเสตจฺฉเตฺต สีหาสเน นิสิโนฺน นาฎกานิ ปสฺสโนฺต เทวิํ อทิสฺวา ‘‘กหํ, เทวี’’ติ ปริจาริเก ปุจฺฉิฯ ‘‘คิลานา, เทวา’’ติฯ โส ตสฺสา สนฺติกํ คนฺตฺวา สยนปเสฺส นิสีทิตฺวา ปิฎฺฐิํ ปริมชฺชโนฺต ‘‘กิํ เต, ภเทฺท, อผาสุก’’นฺติ ปุจฺฉิฯ ‘‘มหาราช อญฺญํ อผาสุกํ นาม นตฺถิ, โทหโฬ เม อุปฺปโนฺน’’ติฯ ‘‘กิํ อิจฺฉสิ, ภเทฺท’’ติ? ‘‘อพฺภนฺตรอมฺพผลํ เทวา’’ติฯ ‘‘อพฺภนฺตรอโมฺพ นาม กหํ อตฺถี’’ติ? ‘‘นาหํ, เทว, อพฺภนฺตรอมฺพํ ชานามิ, ตสฺส ปน เม ผลํ ลภมานาย ชีวิตํ อตฺถิ, อลภมานาย นตฺถี’’ติฯ ‘‘เตน หิ อาหราเปสฺสามิ , มา จินฺตยี’’ติ ราชา เทวิํ อสฺสาเสตฺวา อุฎฺฐาย คนฺตฺวา ราชปลฺลเงฺก นิสิโนฺน อมเจฺจ ปโกฺกสาเปตฺวา ‘‘เทวิยา อพฺภนฺตรอเมฺพ นาม โทหโฬ อุปฺปโนฺน, กิํ กาตพฺพ’’นฺติ ปุจฺฉิฯ ‘‘เทว ทฺวินฺนํ อมฺพานํ อนฺตเร ฐิโต อโมฺพ อพฺภนฺตรอโมฺพ นาม, อุยฺยานํ เปเสตฺวา อพฺภนฺตเร ฐิตอมฺพโต ผลํ อาหราเปตฺวา เทวิยา ทาเปถา’’ติฯ

    Evaṃ sakko deviyā imā dve gāthā vatvā ‘‘tvaṃ appamattā hohi, mā papañcaṃ akāsi, sve rañño āroceyyāsī’’ti taṃ anusāsitvā attano vasanaṭṭhānameva gato. Sā punadivase gilānālayaṃ dassetvā paricārikānaṃ saññaṃ datvā nipajji. Rājā samussitasetacchatte sīhāsane nisinno nāṭakāni passanto deviṃ adisvā ‘‘kahaṃ, devī’’ti paricārike pucchi. ‘‘Gilānā, devā’’ti. So tassā santikaṃ gantvā sayanapasse nisīditvā piṭṭhiṃ parimajjanto ‘‘kiṃ te, bhadde, aphāsuka’’nti pucchi. ‘‘Mahārāja aññaṃ aphāsukaṃ nāma natthi, dohaḷo me uppanno’’ti. ‘‘Kiṃ icchasi, bhadde’’ti? ‘‘Abbhantaraambaphalaṃ devā’’ti. ‘‘Abbhantaraambo nāma kahaṃ atthī’’ti? ‘‘Nāhaṃ, deva, abbhantaraambaṃ jānāmi, tassa pana me phalaṃ labhamānāya jīvitaṃ atthi, alabhamānāya natthī’’ti. ‘‘Tena hi āharāpessāmi , mā cintayī’’ti rājā deviṃ assāsetvā uṭṭhāya gantvā rājapallaṅke nisinno amacce pakkosāpetvā ‘‘deviyā abbhantaraambe nāma dohaḷo uppanno, kiṃ kātabba’’nti pucchi. ‘‘Deva dvinnaṃ ambānaṃ antare ṭhito ambo abbhantaraambo nāma, uyyānaṃ pesetvā abbhantare ṭhitaambato phalaṃ āharāpetvā deviyā dāpethā’’ti.

    ราชา ‘‘สาธุ, เอวรูปํ อมฺพํ อาหรถา’’ติ อุยฺยานํ เปเสสิฯ สโกฺก อตฺตโน อานุภาเวน อุยฺยาเน อมฺพานิ ขาทิตสทิสานิ กตฺวา อนฺตรธาเปสิฯ อมฺพตฺถาย คตา มนุสฺสา สกลอุยฺยานํ วิจรนฺตา เอกํ อมฺพมฺปิ อลภิตฺวา คนฺตฺวา อุยฺยาเน อมฺพานํ อภาวํ รโญฺญ กถยิํสุฯ ‘‘เก อมฺพานิ ขาทนฺตี’’ติ? ‘‘ตาปสา, เทวา’’ติฯ ‘‘ตาปเส อุยฺยานโต โปเถตฺวา นีหรถา’’ติฯ มนุสฺสา ‘‘สาธู’’ติ ปฎิสฺสุณิตฺวา นีหริํสุฯ สกฺกสฺส มโนรโถ มตฺถกํ ปาปุณิฯ เทวี อมฺพผลตฺถาย นิพทฺธํ กตฺวา นิปชฺชิเยวฯ ราชา กตฺตพฺพกิจฺจํ อปสฺสโนฺต อมเจฺจ จ พฺราหฺมเณ จ สนฺนิปาตาเปตฺวา ‘‘อพฺภนฺตรอมฺพสฺส อตฺถิภาวํ ชานาถา’’ติ ปุจฺฉิฯ พฺราหฺมณา อาหํสุ – ‘‘เทว, อพฺภนฺตรอโมฺพ นาม เทวตานํ ปริโภโค, ‘หิมวเนฺต กญฺจนคุหาย อโนฺต อตฺถี’ติ อยํ โน ปรมฺปราคโต อนุสฺสโว’’ติฯ ‘‘โก ปน ตโต อมฺพํ อาหริตุํ สกฺขิสฺสตี’’ติ? ‘‘น สกฺกา ตตฺถ มนุสฺสภูเตน คนฺตุํ, เอกํ สุวโปตกํ เปเสตุํ วฎฺฎตี’’ติฯ

    Rājā ‘‘sādhu, evarūpaṃ ambaṃ āharathā’’ti uyyānaṃ pesesi. Sakko attano ānubhāvena uyyāne ambāni khāditasadisāni katvā antaradhāpesi. Ambatthāya gatā manussā sakalauyyānaṃ vicarantā ekaṃ ambampi alabhitvā gantvā uyyāne ambānaṃ abhāvaṃ rañño kathayiṃsu. ‘‘Ke ambāni khādantī’’ti? ‘‘Tāpasā, devā’’ti. ‘‘Tāpase uyyānato pothetvā nīharathā’’ti. Manussā ‘‘sādhū’’ti paṭissuṇitvā nīhariṃsu. Sakkassa manoratho matthakaṃ pāpuṇi. Devī ambaphalatthāya nibaddhaṃ katvā nipajjiyeva. Rājā kattabbakiccaṃ apassanto amacce ca brāhmaṇe ca sannipātāpetvā ‘‘abbhantaraambassa atthibhāvaṃ jānāthā’’ti pucchi. Brāhmaṇā āhaṃsu – ‘‘deva, abbhantaraambo nāma devatānaṃ paribhogo, ‘himavante kañcanaguhāya anto atthī’ti ayaṃ no paramparāgato anussavo’’ti. ‘‘Ko pana tato ambaṃ āharituṃ sakkhissatī’’ti? ‘‘Na sakkā tattha manussabhūtena gantuṃ, ekaṃ suvapotakaṃ pesetuṃ vaṭṭatī’’ti.

    เตน จ สมเยน ราชกุเล เอโก สุวโปตโก มหาสรีโร กุมารกานํ ยานกจกฺกนาภิมโตฺต ถามสมฺปโนฺน ปญฺญวา อุปายกุสโลฯ ราชา ตํ อาหราเปตฺวา ‘‘ตาต สุวโปตก, อหํ ตว พหูปกาโร, กญฺจนปญฺชเร วสสิ, สุวณฺณตฎฺฎเก มธุลาเช ขาทสิ, สกฺขรปานกํ ปิวสิ, ตยาปิ อมฺหากํ เอกํ กิจฺจํ นิตฺถริตุํ วฎฺฎตี’’ติ อาหฯ ‘‘กิํ, เทวา’’ติฯ ‘‘ตาต เทวิยา อพฺภนฺตรอเมฺพ โทหโฬ อุปฺปโนฺน, โส จ อโมฺพ หิมวเนฺต กญฺจนปพฺพตนฺตเร อตฺถิ เทวตานํ ปริโภโค, น สกฺกา มนุสฺสภูเตน ตตฺถ คนฺตุํ, ตยา ตโต อมฺพผลํ อาหริตุํ วฎฺฎตี’’ติฯ ‘‘สาธุ, เทว, อาหริสฺสามี’’ติฯ อถ นํ ราชา สุวณฺณตฎฺฎเก มธุลาเช ขาทาเปตฺวา สกฺขรปานกํ ปาเยตฺวา สตปากเตเลน ตสฺส ปกฺขนฺตรานิ มเกฺขตฺวา อุโภหิ หเตฺถหิ คเหตฺวา สีหปญฺชเร ฐตฺวา อากาเส วิสฺสเชฺชสิฯ โสปิ รโญฺญ นิปจฺจการํ ทเสฺสตฺวา อากาเส ปกฺขนฺทโนฺต มนุสฺสปถํ อติกฺกมฺม หิมวเนฺต ปฐเม ปพฺพตนฺตเร วสนฺตานํ สุกานํ สนฺติกํ คนฺตฺวา อพฺภนฺตรอโมฺพ นาม กตฺถ อตฺถิ, กเถถ เม ตํ ฐาน’’นฺติ ปุจฺฉิฯ ‘‘มยํ น ชานาม, ทุติเย ปพฺพตนฺตเร สุกา ชานิสฺสนฺตี’’ติฯ

    Tena ca samayena rājakule eko suvapotako mahāsarīro kumārakānaṃ yānakacakkanābhimatto thāmasampanno paññavā upāyakusalo. Rājā taṃ āharāpetvā ‘‘tāta suvapotaka, ahaṃ tava bahūpakāro, kañcanapañjare vasasi, suvaṇṇataṭṭake madhulāje khādasi, sakkharapānakaṃ pivasi, tayāpi amhākaṃ ekaṃ kiccaṃ nittharituṃ vaṭṭatī’’ti āha. ‘‘Kiṃ, devā’’ti. ‘‘Tāta deviyā abbhantaraambe dohaḷo uppanno, so ca ambo himavante kañcanapabbatantare atthi devatānaṃ paribhogo, na sakkā manussabhūtena tattha gantuṃ, tayā tato ambaphalaṃ āharituṃ vaṭṭatī’’ti. ‘‘Sādhu, deva, āharissāmī’’ti. Atha naṃ rājā suvaṇṇataṭṭake madhulāje khādāpetvā sakkharapānakaṃ pāyetvā satapākatelena tassa pakkhantarāni makkhetvā ubhohi hatthehi gahetvā sīhapañjare ṭhatvā ākāse vissajjesi. Sopi rañño nipaccakāraṃ dassetvā ākāse pakkhandanto manussapathaṃ atikkamma himavante paṭhame pabbatantare vasantānaṃ sukānaṃ santikaṃ gantvā abbhantaraambo nāma kattha atthi, kathetha me taṃ ṭhāna’’nti pucchi. ‘‘Mayaṃ na jānāma, dutiye pabbatantare sukā jānissantī’’ti.

    โส เตสํ วจนํ สุตฺวา ตโต อุปฺปติตฺวา ทุติยํ ปพฺพตนฺตรํ อคมาสิ, ตถา ตติยํ, จตุตฺถํ , ปญฺจมํ, ฉฎฺฐํ อคมาสิฯ ตตฺถปิ นํ สุกา ‘‘น มยํ ชานาม, สตฺตมปพฺพตนฺตเร สุกา ชานิสฺสนฺตี’’ติ อาหํสุฯ โส ตตฺถปิ คนฺตฺวา ‘‘อพฺภนฺตรอโมฺพ นาม กตฺถ อตฺถี’’ติ ปุจฺฉิฯ ‘‘อสุกฎฺฐาเน นาม กญฺจนปพฺพตนฺตเร’’ติ อาหํสุฯ ‘‘อหํ ตสฺส ผลตฺถาย อาคโต, มํ ตตฺถ เนตฺวา ตโต เม ผลํ ทาเปถา’’ติฯ สุกคณา อาหํสุ – ‘‘สมฺม, โส เวสฺสวณมหาราชสฺส ปริโภโค, น สกฺกา อุปสงฺกมิตุํ, สกลรุโกฺข มูลโต ปฎฺฐาย สตฺตหิ โลหชาเลหิ ปริกฺขิโตฺต, สหสฺสกุมฺภณฺฑรกฺขสา รกฺขนฺติ, เตหิ ทิฎฺฐสฺส ชีวิตํ นาม นตฺถิ, กปฺปุฎฺฐานคฺคิอวีจิมหานิรยสทิสฎฺฐานํ, มา ตตฺถ ปตฺถนํ กรี’’ติฯ ‘‘สเจ ตุเมฺห น คจฺฉถ, มยฺหํ ฐานํ อาจิกฺขถา’’ติฯ ‘‘เตน หิ อสุเกน จ อสุเกน จ ฐาเนน ยาหี’’ติฯ โส เตหิ อาจิกฺขิตวเสเนว สุฎฺฐุ มคฺคํ อุปธาเรตฺวา ตํ ฐานํ คนฺตฺวา ทิวา อตฺตานํ อทเสฺสตฺวา มชฺฌิมยามสมนนฺตเร รกฺขสานํ นิโทฺทกฺกมนสมเย อพฺภนฺตรอมฺพสฺส สนฺติกํ คนฺตฺวา เอเกน มูลนฺตเรน สณิกํ อภิรุหิตุํ อารภิฯ โลหชาลํ ‘‘กิรี’’ติ สทฺทมกาสิ ฯ

    So tesaṃ vacanaṃ sutvā tato uppatitvā dutiyaṃ pabbatantaraṃ agamāsi, tathā tatiyaṃ, catutthaṃ , pañcamaṃ, chaṭṭhaṃ agamāsi. Tatthapi naṃ sukā ‘‘na mayaṃ jānāma, sattamapabbatantare sukā jānissantī’’ti āhaṃsu. So tatthapi gantvā ‘‘abbhantaraambo nāma kattha atthī’’ti pucchi. ‘‘Asukaṭṭhāne nāma kañcanapabbatantare’’ti āhaṃsu. ‘‘Ahaṃ tassa phalatthāya āgato, maṃ tattha netvā tato me phalaṃ dāpethā’’ti. Sukagaṇā āhaṃsu – ‘‘samma, so vessavaṇamahārājassa paribhogo, na sakkā upasaṅkamituṃ, sakalarukkho mūlato paṭṭhāya sattahi lohajālehi parikkhitto, sahassakumbhaṇḍarakkhasā rakkhanti, tehi diṭṭhassa jīvitaṃ nāma natthi, kappuṭṭhānaggiavīcimahānirayasadisaṭṭhānaṃ, mā tattha patthanaṃ karī’’ti. ‘‘Sace tumhe na gacchatha, mayhaṃ ṭhānaṃ ācikkhathā’’ti. ‘‘Tena hi asukena ca asukena ca ṭhānena yāhī’’ti. So tehi ācikkhitavaseneva suṭṭhu maggaṃ upadhāretvā taṃ ṭhānaṃ gantvā divā attānaṃ adassetvā majjhimayāmasamanantare rakkhasānaṃ niddokkamanasamaye abbhantaraambassa santikaṃ gantvā ekena mūlantarena saṇikaṃ abhiruhituṃ ārabhi. Lohajālaṃ ‘‘kirī’’ti saddamakāsi .

    รกฺขสา ปพุชฺฌิตฺวา สุกโปตกํ ทิสฺวา ‘‘อมฺพโจโรย’’นฺติ คเหตฺวา กมฺมกรณํ สํวิทหิํสุฯ เอโก ‘‘มุเข ปกฺขิปิตฺวา คิลิสฺสามิ น’’นฺติ อาห, อปโร ‘‘หเตฺถหิ มทฺทิตฺวา ปุญฺชิตฺวา วิปฺปกิริสฺสามิ น’’นฺติ, อปโร ‘‘เทฺวธา ผาเลตฺวา องฺคาเรสุ ปจิตฺวา ขาทิสฺสามี’’ติฯ โส เตสํ กมฺมกรณสํวิธานํ สุตฺวาปิ อสนฺตสิตฺวาว เต รกฺขเส อามเนฺตตฺวา ‘‘อโมฺภ รกฺขสา, ตุเมฺห กสฺส มนุสฺสา’’ติ อาหฯ ‘‘เวสฺสวณมหาราชสฺสา’’ติฯ ‘‘อโมฺภ, ตุเมฺหปิ เอกสฺส รโญฺญว มนุสฺสา, อหมฺปิ รโญฺญว มนุโสฺส, พาราณสิราชา มํ อพฺภนฺตรอมฺพผลตฺถาย เปเสสิ, สฺวาหํ ตเตฺถว อตฺตโน รโญฺญ ชีวิตํ ทตฺวา อาคโตฯ โย หิ อตฺตโน มาตาปิตูนเญฺจว สามิกสฺส จ อตฺถาย ชีวิตํ ปริจฺจชติ, โส เทวโลเกเยว นิพฺพตฺตติ, ตสฺมา อหมฺปิ อิมมฺหา ติรจฺฉานโยนิยา จวิตฺวา เทวโลเก นิพฺพตฺติสฺสามี’’ติ วตฺวา ตติยํ คาถมาห –

    Rakkhasā pabujjhitvā sukapotakaṃ disvā ‘‘ambacoroya’’nti gahetvā kammakaraṇaṃ saṃvidahiṃsu. Eko ‘‘mukhe pakkhipitvā gilissāmi na’’nti āha, aparo ‘‘hatthehi madditvā puñjitvā vippakirissāmi na’’nti, aparo ‘‘dvedhā phāletvā aṅgāresu pacitvā khādissāmī’’ti. So tesaṃ kammakaraṇasaṃvidhānaṃ sutvāpi asantasitvāva te rakkhase āmantetvā ‘‘ambho rakkhasā, tumhe kassa manussā’’ti āha. ‘‘Vessavaṇamahārājassā’’ti. ‘‘Ambho, tumhepi ekassa raññova manussā, ahampi raññova manusso, bārāṇasirājā maṃ abbhantaraambaphalatthāya pesesi, svāhaṃ tattheva attano rañño jīvitaṃ datvā āgato. Yo hi attano mātāpitūnañceva sāmikassa ca atthāya jīvitaṃ pariccajati, so devalokeyeva nibbattati, tasmā ahampi imamhā tiracchānayoniyā cavitvā devaloke nibbattissāmī’’ti vatvā tatiyaṃ gāthamāha –

    ๙๓.

    93.

    ‘‘ภตฺตุรเตฺถ ปรกฺกโนฺต, ยํ ฐานมธิคจฺฉติ;

    ‘‘Bhatturatthe parakkanto, yaṃ ṭhānamadhigacchati;

    สูโร อตฺตปริจฺจาคี, ลภมาโน ภวามห’’นฺติฯ

    Sūro attapariccāgī, labhamāno bhavāmaha’’nti.

    ตตฺถ ภตฺตุรเตฺถติ ภตฺตา วุจฺจนฺติ ภตฺตาทีหิ ภรณโปสกา ปิตา มาตา สามิโก จ, อิติ ติวิธสฺสเปตสฺส ภตฺตุ อตฺถายฯ ปรกฺกโนฺตติ ปรกฺกมํ กโรโนฺต วายมโนฺตฯ ยํ ฐานมธิคจฺฉตีติ ยํ สุขการณํ ยสํ วา ลาภํ วา สคฺคํ วา อธิคจฺฉติฯ สูโรติ อภีรุ วิกฺกมสมฺปโนฺนฯ อตฺตปริจฺจาคีติ กาเย จ ชีวิเต จ นิรเปโกฺข หุตฺวา ตสฺส ติวิธสฺสปิ ภตฺตุ อตฺถาย อตฺตานํ ปริจฺจชโนฺตฯ ลภมาโน ภวามหนฺติ ยํ โส เอวรูโป สูโร เทวสมฺปตฺติํ วา มนุสฺสสมฺปตฺติํ วา ลภติ, อหมฺปิ ตํ ลภมาโน ภวามิ, ตสฺมา หาโสว เม เอตฺถ, น ตาโส, กิํ มํ ตุเมฺห ตาเสถาติฯ

    Tattha bhatturattheti bhattā vuccanti bhattādīhi bharaṇaposakā pitā mātā sāmiko ca, iti tividhassapetassa bhattu atthāya. Parakkantoti parakkamaṃ karonto vāyamanto. Yaṃ ṭhānamadhigacchatīti yaṃ sukhakāraṇaṃ yasaṃ vā lābhaṃ vā saggaṃ vā adhigacchati. Sūroti abhīru vikkamasampanno. Attapariccāgīti kāye ca jīvite ca nirapekkho hutvā tassa tividhassapi bhattu atthāya attānaṃ pariccajanto. Labhamāno bhavāmahanti yaṃ so evarūpo sūro devasampattiṃ vā manussasampattiṃ vā labhati, ahampi taṃ labhamāno bhavāmi, tasmā hāsova me ettha, na tāso, kiṃ maṃ tumhe tāsethāti.

    เอวํ โส อิมาย คาถาย เตสํ ธมฺมํ เทเสสิฯ เต ตสฺส ธมฺมกถํ สุตฺวา ปสนฺนจิตฺตา ‘‘ธมฺมิโก เอส, น สกฺกา มาเรตุํ, วิสฺสเชฺชม น’’นฺติ วตฺวา สุกโปตกํ วิสฺสเชฺชตฺวา ‘อโมฺภ สุกโปตก, มุโตฺตสิ, อมฺหากํ หตฺถโต โสตฺถินา คจฺฉา’’ติ อาหํสุฯ ‘‘มยฺหํ อาคมนํ มา ตุจฺฉํ กโรถ, เทถ เม เอกํ อมฺพผล’’นฺติฯ ‘‘สุกโปตก, ตุยฺหํ เอกํ อมฺพผลํ ทาตุํ นาม น ภาโร, อิมสฺมิํ ปน รุเกฺข อมฺพานิ อเงฺกตฺวา คหิตานิ, เอกสฺมิํ ผเล อสเมเนฺต อมฺหากํ ชีวิตํ นตฺถิฯ เวสฺสวเณน หิ กุชฺฌิตฺวา สกิํ โอโลกิเต ตตฺตกปาเล ปกฺขิตฺตติลา วิย กุมฺภณฺฑสหสฺสํ ภิชฺชิตฺวา วิปฺปกิรียติ, เตน เต ทาตุํ น สโกฺกม, ลภนฎฺฐานํ ปน อาจิกฺขิสฺสามา’’ติฯ ‘‘โย โกจิ เทตุ, ผเลเนว เม อโตฺถ, ลภนฎฺฐานํ อาจิกฺขถา’’ติฯ ‘‘เอตสฺส กญฺจนปพฺพตสฺส อนฺตเร โชติรโส นาม ตาปโส อคฺคิํ ชุหมาโน กญฺจนปตฺติยา นาม ปณฺณสาลายํ วสติ เวสฺสวณสฺส กุลูปโก, เวสฺสวโณ ตสฺส นิพทฺธํ จตฺตาริ อมฺพผลานิ เปเสติ, ตสฺส สนฺติกํ คจฺฉา’’ติฯ

    Evaṃ so imāya gāthāya tesaṃ dhammaṃ desesi. Te tassa dhammakathaṃ sutvā pasannacittā ‘‘dhammiko esa, na sakkā māretuṃ, vissajjema na’’nti vatvā sukapotakaṃ vissajjetvā ‘ambho sukapotaka, muttosi, amhākaṃ hatthato sotthinā gacchā’’ti āhaṃsu. ‘‘Mayhaṃ āgamanaṃ mā tucchaṃ karotha, detha me ekaṃ ambaphala’’nti. ‘‘Sukapotaka, tuyhaṃ ekaṃ ambaphalaṃ dātuṃ nāma na bhāro, imasmiṃ pana rukkhe ambāni aṅketvā gahitāni, ekasmiṃ phale asamente amhākaṃ jīvitaṃ natthi. Vessavaṇena hi kujjhitvā sakiṃ olokite tattakapāle pakkhittatilā viya kumbhaṇḍasahassaṃ bhijjitvā vippakirīyati, tena te dātuṃ na sakkoma, labhanaṭṭhānaṃ pana ācikkhissāmā’’ti. ‘‘Yo koci detu, phaleneva me attho, labhanaṭṭhānaṃ ācikkhathā’’ti. ‘‘Etassa kañcanapabbatassa antare jotiraso nāma tāpaso aggiṃ juhamāno kañcanapattiyā nāma paṇṇasālāyaṃ vasati vessavaṇassa kulūpako, vessavaṇo tassa nibaddhaṃ cattāri ambaphalāni peseti, tassa santikaṃ gacchā’’ti.

    โส ‘‘สาธู’’ติ สมฺปฎิจฺฉิตฺวา ตาปสสฺส สนฺติกํ คนฺตฺวา วนฺทิตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิฯ อถ นํ ตาปโส ‘‘กุโต อาคโตสี’’ติ ปุจฺฉิฯ ‘‘พาราณสิรโญฺญ สนฺติกา’’ติฯ ‘‘กิมตฺถาย อาคโตสี’’ติ? ‘‘สามิ, อมฺหากํ รโญฺญ เทวิยา อพฺภนฺตรอมฺพปเกฺก โทหโฬ อุปฺปโนฺน, ตทตฺถํ อาคโตมฺหิ, รกฺขสา ปน เม สยํ อมฺพปกฺกํ อทตฺวา ตุมฺหากํ สนฺติกํ เปเสสุ’’นฺติฯ ‘‘เตน หิ นิสีท, ลภิสฺสสี’’ติฯ อถสฺส เวสฺสวโณ จตฺตาริ ผลานิ เปเสสิฯ ตาปโส ตโต เทฺว ปริภุญฺชิ, เอกํ สุวโปตกสฺส ขาทนตฺถาย อทาสิฯ เตน ตสฺมิํ ขาทิเต เอกํ ผลํ สิกฺกาย ปกฺขิปิตฺวา สุวโปตกสฺส คีวาย ปฎิมุญฺจิตฺวา ‘‘อิทานิ คจฺฉา’’ติ สุกโปตกํ วิสฺสเชฺชสิ ฯ โส ตํ อาหริตฺวา เทวิยา อทาสิฯ สา ตํ ขาทิตฺวา โทหฬํ ปฎิปฺปสฺสเมฺภสิ, ตโตนิทานํ ปนสฺสา ปุโตฺต นาโหสิฯ

    So ‘‘sādhū’’ti sampaṭicchitvā tāpasassa santikaṃ gantvā vanditvā ekamantaṃ nisīdi. Atha naṃ tāpaso ‘‘kuto āgatosī’’ti pucchi. ‘‘Bārāṇasirañño santikā’’ti. ‘‘Kimatthāya āgatosī’’ti? ‘‘Sāmi, amhākaṃ rañño deviyā abbhantaraambapakke dohaḷo uppanno, tadatthaṃ āgatomhi, rakkhasā pana me sayaṃ ambapakkaṃ adatvā tumhākaṃ santikaṃ pesesu’’nti. ‘‘Tena hi nisīda, labhissasī’’ti. Athassa vessavaṇo cattāri phalāni pesesi. Tāpaso tato dve paribhuñji, ekaṃ suvapotakassa khādanatthāya adāsi. Tena tasmiṃ khādite ekaṃ phalaṃ sikkāya pakkhipitvā suvapotakassa gīvāya paṭimuñcitvā ‘‘idāni gacchā’’ti sukapotakaṃ vissajjesi . So taṃ āharitvā deviyā adāsi. Sā taṃ khāditvā dohaḷaṃ paṭippassambhesi, tatonidānaṃ panassā putto nāhosi.

    สตฺถา อิมํ ธมฺมเทสนํ อาหริตฺวา ชาตกํ สโมธาเนสิ – ‘‘ตทา เทวี ราหุลมาตา อโหสิ, สุโก อานโนฺท, อมฺพปกฺกทายโก ตาปโส สาริปุโตฺต, อุยฺยาเน นิวุตฺถตาปโส ปน อหเมว อโหสิ’’นฺติฯ

    Satthā imaṃ dhammadesanaṃ āharitvā jātakaṃ samodhānesi – ‘‘tadā devī rāhulamātā ahosi, suko ānando, ambapakkadāyako tāpaso sāriputto, uyyāne nivutthatāpaso pana ahameva ahosi’’nti.

    อพฺภนฺตรชาตกวณฺณนา ปฐมาฯ

    Abbhantarajātakavaṇṇanā paṭhamā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / ชาตกปาฬิ • Jātakapāḷi / ๒๘๑. อพฺภนฺตรชาตกํ • 281. Abbhantarajātakaṃ


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact