Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / มชฺฌิมนิกาย • Majjhimanikāya |
๘. อภยราชกุมารสุตฺตํ
8. Abhayarājakumārasuttaṃ
๘๓. เอวํ เม สุตํ – เอกํ สมยํ ภควา ราชคเห วิหรติ เวฬุวเน กลนฺทกนิวาเปฯ อถ โข อภโย ราชกุมาโร เยน นิคโณฺฐ นาฎปุโตฺต เตนุปสงฺกมิ; อุปสงฺกมิตฺวา นิคณฺฐํ นาฎปุตฺตํ อภิวาเทตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิฯ เอกมนฺตํ นิสินฺนํ โข อภยํ ราชกุมารํ นิคโณฺฐ นาฎปุโตฺต เอตทโวจ – ‘‘เอหิ ตฺวํ, ราชกุมาร, สมณสฺส โคตมสฺส วาทํ อาโรเปหิฯ เอวํ เต กลฺยาโณ กิตฺติสโทฺท อพฺภุคฺคจฺฉิสฺสติ – ‘อภเยน ราชกุมาเรน สมณสฺส โคตมสฺส เอวํ มหิทฺธิกสฺส เอวํ มหานุภาวสฺส วาโท อาโรปิโต’’’ติฯ ‘‘ยถา กถํ ปนาหํ, ภเนฺต, สมณสฺส โคตมสฺส เอวํ มหิทฺธิกสฺส เอวํ มหานุภาวสฺส วาทํ อาโรเปสฺสามี’’ติ? ‘‘เอหิ ตฺวํ, ราชกุมาร, เยน สมโณ โคตโม เตนุปสงฺกม; อุปสงฺกมิตฺวา สมณํ โคตมํ เอวํ วเทหิ – ‘ภาเสยฺย นุ โข, ภเนฺต, ตถาคโต ตํ วาจํ ยา สา วาจา ปเรสํ อปฺปิยา อมนาปา’ติ? สเจ เต สมโณ โคตโม เอวํ ปุโฎฺฐ เอวํ พฺยากโรติ – ‘ภาเสยฺย, ราชกุมาร, ตถาคโต ตํ วาจํ ยา สา วาจา ปเรสํ อปฺปิยา อมนาปา’ติ, ตเมนํ ตฺวํ เอวํ วเทยฺยาสิ – ‘อถ กิญฺจรหิ เต, ภเนฺต, ปุถุชฺชเนน นานากรณํ? ปุถุชฺชโนปิ หิ ตํ วาจํ ภาเสยฺย ยา สา วาจา ปเรสํ อปฺปิยา อมนาปา’ติฯ สเจ ปน เต สมโณ โคตโม เอวํ ปุโฎฺฐ เอวํ พฺยากโรติ – ‘น, ราชกุมาร, ตถาคโต ตํ วาจํ ภาเสยฺย ยา สา วาจา ปเรสํ อปฺปิยา อมนาปา’ติ, ตเมนํ ตฺวํ เอวํ วเทยฺยาสิ – ‘อถ กิญฺจรหิ เต, ภเนฺต, เทวทโตฺต พฺยากโต – ‘‘อาปายิโก เทวทโตฺต, เนรยิโก เทวทโตฺต, กปฺปโฎฺฐ เทวทโตฺต, อเตกิโจฺฉ เทวทโตฺต’’ติ? ตาย จ ปน เต วาจาย เทวทโตฺต กุปิโต อโหสิ อนตฺตมโน’ติฯ อิมํ โข เต, ราชกุมาร, สมโณ โคตโม อุภโตโกฎิกํ ปญฺหํ ปุโฎฺฐ สมาโน เนว สกฺขิติ อุคฺคิลิตุํ น สกฺขิติ โอคิลิตุํฯ เสยฺยถาปิ นาม ปุริสสฺส อโยสิงฺฆาฎกํ กเณฺฐ วิลคฺคํ, โส เนว สกฺกุเณยฺย อุคฺคิลิตุํ น สกฺกุเณยฺย โอคิลิตุํ; เอวเมว โข เต, ราชกุมาร, สมโณ โคตโม อิมํ อุภโตโกฎิกํ ปญฺหํ ปุโฎฺฐ สมาโน เนว สกฺขิติ อุคฺคิลิตุํ น สกฺขิติ โอคิลิตุ’’นฺติฯ ‘‘เอวํ, ภเนฺต’’ติ โข อภโย ราชกุมาโร นิคณฺฐสฺส นาฎปุตฺตสฺส ปฎิสฺสุตฺวา อุฎฺฐายาสนา นิคณฺฐํ นาฎปุตฺตํ อภิวาเทตฺวา ปทกฺขิณํ กตฺวา เยน ภควา เตนุปสงฺกมิ; อุปสงฺกมิตฺวา ภควนฺตํ อภิวาเทตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิฯ
83. Evaṃ me sutaṃ – ekaṃ samayaṃ bhagavā rājagahe viharati veḷuvane kalandakanivāpe. Atha kho abhayo rājakumāro yena nigaṇṭho nāṭaputto tenupasaṅkami; upasaṅkamitvā nigaṇṭhaṃ nāṭaputtaṃ abhivādetvā ekamantaṃ nisīdi. Ekamantaṃ nisinnaṃ kho abhayaṃ rājakumāraṃ nigaṇṭho nāṭaputto etadavoca – ‘‘ehi tvaṃ, rājakumāra, samaṇassa gotamassa vādaṃ āropehi. Evaṃ te kalyāṇo kittisaddo abbhuggacchissati – ‘abhayena rājakumārena samaṇassa gotamassa evaṃ mahiddhikassa evaṃ mahānubhāvassa vādo āropito’’’ti. ‘‘Yathā kathaṃ panāhaṃ, bhante, samaṇassa gotamassa evaṃ mahiddhikassa evaṃ mahānubhāvassa vādaṃ āropessāmī’’ti? ‘‘Ehi tvaṃ, rājakumāra, yena samaṇo gotamo tenupasaṅkama; upasaṅkamitvā samaṇaṃ gotamaṃ evaṃ vadehi – ‘bhāseyya nu kho, bhante, tathāgato taṃ vācaṃ yā sā vācā paresaṃ appiyā amanāpā’ti? Sace te samaṇo gotamo evaṃ puṭṭho evaṃ byākaroti – ‘bhāseyya, rājakumāra, tathāgato taṃ vācaṃ yā sā vācā paresaṃ appiyā amanāpā’ti, tamenaṃ tvaṃ evaṃ vadeyyāsi – ‘atha kiñcarahi te, bhante, puthujjanena nānākaraṇaṃ? Puthujjanopi hi taṃ vācaṃ bhāseyya yā sā vācā paresaṃ appiyā amanāpā’ti. Sace pana te samaṇo gotamo evaṃ puṭṭho evaṃ byākaroti – ‘na, rājakumāra, tathāgato taṃ vācaṃ bhāseyya yā sā vācā paresaṃ appiyā amanāpā’ti, tamenaṃ tvaṃ evaṃ vadeyyāsi – ‘atha kiñcarahi te, bhante, devadatto byākato – ‘‘āpāyiko devadatto, nerayiko devadatto, kappaṭṭho devadatto, atekiccho devadatto’’ti? Tāya ca pana te vācāya devadatto kupito ahosi anattamano’ti. Imaṃ kho te, rājakumāra, samaṇo gotamo ubhatokoṭikaṃ pañhaṃ puṭṭho samāno neva sakkhiti uggilituṃ na sakkhiti ogilituṃ. Seyyathāpi nāma purisassa ayosiṅghāṭakaṃ kaṇṭhe vilaggaṃ, so neva sakkuṇeyya uggilituṃ na sakkuṇeyya ogilituṃ; evameva kho te, rājakumāra, samaṇo gotamo imaṃ ubhatokoṭikaṃ pañhaṃ puṭṭho samāno neva sakkhiti uggilituṃ na sakkhiti ogilitu’’nti. ‘‘Evaṃ, bhante’’ti kho abhayo rājakumāro nigaṇṭhassa nāṭaputtassa paṭissutvā uṭṭhāyāsanā nigaṇṭhaṃ nāṭaputtaṃ abhivādetvā padakkhiṇaṃ katvā yena bhagavā tenupasaṅkami; upasaṅkamitvā bhagavantaṃ abhivādetvā ekamantaṃ nisīdi.
๘๔. เอกมนฺตํ นิสินฺนสฺส โข อภยสฺส ราชกุมารสฺส สูริยํ 1 อุโลฺลเกตฺวา เอตทโหสิ – ‘‘อกาโล โข อชฺช ภควโต วาทํ อาโรเปตุํ ฯ เสฺว ทานาหํ สเก นิเวสเน ภควโต วาทํ อาโรเปสฺสามี’’ติ ภควนฺตํ เอตทโวจ – ‘‘อธิวาเสตุ เม, ภเนฺต, ภควา สฺวาตนาย อตฺตจตุโตฺถ ภตฺต’’นฺติฯ อธิวาเสสิ ภควา ตุณฺหีภาเวนฯ อถ โข อภโย ราชกุมาโร ภควโต อธิวาสนํ วิทิตฺวา อุฎฺฐายาสนา ภควนฺตํ อภิวาเทตฺวา ปทกฺขิณํ กตฺวา ปกฺกามิฯ อถ โข ภควา ตสฺสา รตฺติยา อจฺจเยน ปุพฺพณฺหสมยํ นิวาเสตฺวา ปตฺตจีวรมาทาย เยน อภยสฺส ราชกุมารสฺส นิเวสนํ เตนุปสงฺกมิ; อุปสงฺกมิตฺวา ปญฺญเตฺต อาสเน นิสีทิฯ อถ โข อภโย ราชกุมาโร ภควนฺตํ ปณีเตน ขาทนีเยน โภชนีเยน สหตฺถา สนฺตเปฺปสิ สมฺปวาเรสิฯ อถ โข อภโย ราชกุมาโร ภควนฺตํ ภุตฺตาวิํ โอนีตปตฺตปาณิํ อญฺญตรํ นีจํ อาสนํ คเหตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิฯ
84. Ekamantaṃ nisinnassa kho abhayassa rājakumārassa sūriyaṃ 2 ulloketvā etadahosi – ‘‘akālo kho ajja bhagavato vādaṃ āropetuṃ . Sve dānāhaṃ sake nivesane bhagavato vādaṃ āropessāmī’’ti bhagavantaṃ etadavoca – ‘‘adhivāsetu me, bhante, bhagavā svātanāya attacatuttho bhatta’’nti. Adhivāsesi bhagavā tuṇhībhāvena. Atha kho abhayo rājakumāro bhagavato adhivāsanaṃ viditvā uṭṭhāyāsanā bhagavantaṃ abhivādetvā padakkhiṇaṃ katvā pakkāmi. Atha kho bhagavā tassā rattiyā accayena pubbaṇhasamayaṃ nivāsetvā pattacīvaramādāya yena abhayassa rājakumārassa nivesanaṃ tenupasaṅkami; upasaṅkamitvā paññatte āsane nisīdi. Atha kho abhayo rājakumāro bhagavantaṃ paṇītena khādanīyena bhojanīyena sahatthā santappesi sampavāresi. Atha kho abhayo rājakumāro bhagavantaṃ bhuttāviṃ onītapattapāṇiṃ aññataraṃ nīcaṃ āsanaṃ gahetvā ekamantaṃ nisīdi.
๘๕. เอกมนฺตํ นิสิโนฺน โข อภโย ราชกุมาโร ภควนฺตํ เอตทโวจ – ‘‘ภาเสยฺย นุ โข, ภเนฺต, ตถาคโต ตํ วาจํ ยา สา วาจา ปเรสํ อปฺปิยา อมนาปา’’ติ? ‘‘น เขฺวตฺถ, ราชกุมาร, เอกํเสนา’’ติฯ ‘‘เอตฺถ, ภเนฺต, อนสฺสุํ นิคณฺฐา’’ติฯ ‘‘กิํ ปน ตฺวํ, ราชกุมาร, เอวํ วเทสิ – ‘เอตฺถ , ภเนฺต, อนสฺสุํ นิคณฺฐา’’’ติ? ‘‘อิธาหํ, ภเนฺต, เยน นิคโณฺฐ นาฎปุโตฺต เตนุปสงฺกมิ; อุปสงฺกมิตฺวา นิคณฺฐํ นาฎปุตฺตํ อภิวาเทตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิํฯ เอกมนฺตํ นิสินฺนํ โข มํ, ภเนฺต, นิคโณฺฐ นาฎปุโตฺต เอตทโวจ – ‘เอหิ ตฺวํ, ราชกุมาร, สมณสฺส โคตมสฺส วาทํ อาโรเปหิฯ เอวํ เต กลฺยาโณ กิตฺติสโทฺท อพฺภุคฺคจฺฉิสฺสติ – อภเยน ราชกุมาเรน สมณสฺส โคตมสฺส เอวํ มหิทฺธิกสฺส เอวํ มหานุภาวสฺส วาโท อาโรปิโต’ติฯ เอวํ วุเตฺต, อหํ, ภเนฺต, นิคณฺฐํ นาฎปุตฺตํ เอตทโวจํ – ‘ยถา กถํ ปนาหํ , ภเนฺต, สมณสฺส โคตมสฺส เอวํ มหิทฺธิกสฺส เอวํ มหานุภาวสฺส วาทํ อาโรเปสฺสามี’ติ? ‘เอหิ ตฺวํ, ราชกุมาร, เยน สมโณ โคตโม เตนุปสงฺกม; อุปสงฺกมิตฺวา สมณํ โคตมํ เอวํ วเทหิ – ภาเสยฺย นุ โข, ภเนฺต, ตถาคโต ตํ วาจํ ยา สา วาจา ปเรสํ อปฺปิยา อมนาปาติ? สเจ เต สมโณ โคตโม เอวํ ปุโฎฺฐ เอวํ พฺยากโรติ – ภาเสยฺย, ราชกุมาร, ตถาคโต ตํ วาจํ ยา สา วาจา ปเรสํ อปฺปิยา อมนาปาติ, ตเมนํ ตฺวํ เอวํ วเทยฺยาสิ – อถ กิญฺจรหิ เต, ภเนฺต, ปุถุชฺชเนน นานากรณํ? ปุถุชฺชโนปิ หิ ตํ วาจํ ภาเสยฺย ยา สา วาจา ปเรสํ อปฺปิยา อมนาปาติฯ สเจ ปน เต สมโณ โคตโม เอวํ ปุโฎฺฐ เอวํ พฺยากโรติ – น, ราชกุมาร, ตถาคโต ตํ วาจํ ภาเสยฺย ยา สา วาจา ปเรสํ อปฺปิยา อมนาปาติ, ตเมนํ ตฺวํ เอวํ วเทยฺยาสิ – อถ กิญฺจรหิ เต, ภเนฺต, เทวทโตฺต พฺยากโต – อาปายิโก เทวทโตฺต, เนรยิโก เทวทโตฺต, กปฺปโฎฺฐ เทวทโตฺต, อเตกิโจฺฉ เทวทโตฺตติ? ตาย จ ปน เต วาจาย เทวทโตฺต กุปิโต อโหสิ อนตฺตมโนติฯ อิมํ โข เต, ราชกุมาร, สมโณ โคตโม อุภโตโกฎิกํ ปญฺหํ ปุโฎฺฐ สมาโน เนว สกฺขิติ อุคฺคิลิตุํ น สกฺขิติ โอคิลิตุํฯ เสยฺยถาปิ นาม ปุริสสฺส อโยสิงฺฆาฎกํ กเณฺฐ วิลคฺคํ, โส เนว สกฺกุเณยฺย อุคฺคิลิตุํ น สกฺกุเณยฺย โอคิลิตุํ; เอวเมว โข เต, ราชกุมาร, สมโณ โคตโม อิมํ อุภโตโกฎิกํ ปญฺหํ ปุโฎฺฐ สมาโน เนว สกฺขิติ อุคฺคิลิตุํ น สกฺขิติ โอคิลิตุ’’’นฺติฯ
85. Ekamantaṃ nisinno kho abhayo rājakumāro bhagavantaṃ etadavoca – ‘‘bhāseyya nu kho, bhante, tathāgato taṃ vācaṃ yā sā vācā paresaṃ appiyā amanāpā’’ti? ‘‘Na khvettha, rājakumāra, ekaṃsenā’’ti. ‘‘Ettha, bhante, anassuṃ nigaṇṭhā’’ti. ‘‘Kiṃ pana tvaṃ, rājakumāra, evaṃ vadesi – ‘ettha , bhante, anassuṃ nigaṇṭhā’’’ti? ‘‘Idhāhaṃ, bhante, yena nigaṇṭho nāṭaputto tenupasaṅkami; upasaṅkamitvā nigaṇṭhaṃ nāṭaputtaṃ abhivādetvā ekamantaṃ nisīdiṃ. Ekamantaṃ nisinnaṃ kho maṃ, bhante, nigaṇṭho nāṭaputto etadavoca – ‘ehi tvaṃ, rājakumāra, samaṇassa gotamassa vādaṃ āropehi. Evaṃ te kalyāṇo kittisaddo abbhuggacchissati – abhayena rājakumārena samaṇassa gotamassa evaṃ mahiddhikassa evaṃ mahānubhāvassa vādo āropito’ti. Evaṃ vutte, ahaṃ, bhante, nigaṇṭhaṃ nāṭaputtaṃ etadavocaṃ – ‘yathā kathaṃ panāhaṃ , bhante, samaṇassa gotamassa evaṃ mahiddhikassa evaṃ mahānubhāvassa vādaṃ āropessāmī’ti? ‘Ehi tvaṃ, rājakumāra, yena samaṇo gotamo tenupasaṅkama; upasaṅkamitvā samaṇaṃ gotamaṃ evaṃ vadehi – bhāseyya nu kho, bhante, tathāgato taṃ vācaṃ yā sā vācā paresaṃ appiyā amanāpāti? Sace te samaṇo gotamo evaṃ puṭṭho evaṃ byākaroti – bhāseyya, rājakumāra, tathāgato taṃ vācaṃ yā sā vācā paresaṃ appiyā amanāpāti, tamenaṃ tvaṃ evaṃ vadeyyāsi – atha kiñcarahi te, bhante, puthujjanena nānākaraṇaṃ? Puthujjanopi hi taṃ vācaṃ bhāseyya yā sā vācā paresaṃ appiyā amanāpāti. Sace pana te samaṇo gotamo evaṃ puṭṭho evaṃ byākaroti – na, rājakumāra, tathāgato taṃ vācaṃ bhāseyya yā sā vācā paresaṃ appiyā amanāpāti, tamenaṃ tvaṃ evaṃ vadeyyāsi – atha kiñcarahi te, bhante, devadatto byākato – āpāyiko devadatto, nerayiko devadatto, kappaṭṭho devadatto, atekiccho devadattoti? Tāya ca pana te vācāya devadatto kupito ahosi anattamanoti. Imaṃ kho te, rājakumāra, samaṇo gotamo ubhatokoṭikaṃ pañhaṃ puṭṭho samāno neva sakkhiti uggilituṃ na sakkhiti ogilituṃ. Seyyathāpi nāma purisassa ayosiṅghāṭakaṃ kaṇṭhe vilaggaṃ, so neva sakkuṇeyya uggilituṃ na sakkuṇeyya ogilituṃ; evameva kho te, rājakumāra, samaṇo gotamo imaṃ ubhatokoṭikaṃ pañhaṃ puṭṭho samāno neva sakkhiti uggilituṃ na sakkhiti ogilitu’’’nti.
๘๖. เตน โข ปน สมเยน ทหโร กุมาโร มโนฺท อุตฺตานเสยฺยโก อภยสฺส ราชกุมารสฺส อเงฺก นิสิโนฺน โหติฯ อถ โข ภควา อภยํ ราชกุมารํ เอตทโวจ – ‘‘ตํ กิํ มญฺญสิ, ราชกุมาร, สจายํ กุมาโร ตุยฺหํ วา ปมาทมนฺวาย ธาติยา วา ปมาทมนฺวาย กฎฺฐํ วา กฐลํ 3 วา มุเข อาหเรยฺย, กินฺติ นํ กเรยฺยาสี’’ติ? ‘‘อาหเรยฺยสฺสาหํ, ภเนฺตฯ สเจ, ภเนฺต, น สกฺกุเณยฺยํ อาทิเกเนว อาหตฺตุํ 4, วาเมน หเตฺถน สีสํ ปริคฺคเหตฺวา 5 ทกฺขิเณน หเตฺถน วงฺกงฺคุลิํ กริตฺวา สโลหิตมฺปิ อาหเรยฺยํฯ ตํ กิสฺส เหตุ? อตฺถิ เม, ภเนฺต, กุมาเร อนุกมฺปา’’ติฯ ‘‘เอวเมว โข, ราชกุมาร, ยํ ตถาคโต วาจํ ชานาติ อภูตํ อตจฺฉํ อนตฺถสํหิตํ สา จ ปเรสํ อปฺปิยา อมนาปา, น ตํ ตถาคโต วาจํ ภาสติฯ ยมฺปิ ตถาคโต วาจํ ชานาติ ภูตํ ตจฺฉํ อนตฺถสํหิตํ สา จ ปเรสํ อปฺปิยา อมนาปา, ตมฺปิ ตถาคโต วาจํ น ภาสติฯ ยญฺจ โข ตถาคโต วาจํ ชานาติ ภูตํ ตจฺฉํ อตฺถสํหิตํ สา จ ปเรสํ อปฺปิยา อมนาปา, ตตฺร กาลญฺญู ตถาคโต โหติ ตสฺสา วาจาย เวยฺยากรณายฯ ยํ ตถาคโต วาจํ ชานาติ อภูตํ อตจฺฉํ อนตฺถสํหิตํ สา จ ปเรสํ ปิยา มนาปา, น ตํ ตถาคโต วาจํ ภาสติฯ ยมฺปิ ตถาคโต วาจํ ชานาติ ภูตํ ตจฺฉํ อนตฺถสํหิตํ สา จ ปเรสํ ปิยา มนาปา ตมฺปิ ตถาคโต วาจํ น ภาสติฯ ยญฺจ ตถาคโต วาจํ ชานาติ ภูตํ ตจฺฉํ อตฺถสํหิตํ สา จ ปเรสํ ปิยา มนาปา, ตตฺร กาลญฺญู ตถาคโต โหติ ตสฺสา วาจาย เวยฺยากรณายฯ ตํ กิสฺส เหตุ? อตฺถิ, ราชกุมาร, ตถาคตสฺส สเตฺตสุ อนุกมฺปา’’ติฯ
86. Tena kho pana samayena daharo kumāro mando uttānaseyyako abhayassa rājakumārassa aṅke nisinno hoti. Atha kho bhagavā abhayaṃ rājakumāraṃ etadavoca – ‘‘taṃ kiṃ maññasi, rājakumāra, sacāyaṃ kumāro tuyhaṃ vā pamādamanvāya dhātiyā vā pamādamanvāya kaṭṭhaṃ vā kaṭhalaṃ 6 vā mukhe āhareyya, kinti naṃ kareyyāsī’’ti? ‘‘Āhareyyassāhaṃ, bhante. Sace, bhante, na sakkuṇeyyaṃ ādikeneva āhattuṃ 7, vāmena hatthena sīsaṃ pariggahetvā 8 dakkhiṇena hatthena vaṅkaṅguliṃ karitvā salohitampi āhareyyaṃ. Taṃ kissa hetu? Atthi me, bhante, kumāre anukampā’’ti. ‘‘Evameva kho, rājakumāra, yaṃ tathāgato vācaṃ jānāti abhūtaṃ atacchaṃ anatthasaṃhitaṃ sā ca paresaṃ appiyā amanāpā, na taṃ tathāgato vācaṃ bhāsati. Yampi tathāgato vācaṃ jānāti bhūtaṃ tacchaṃ anatthasaṃhitaṃ sā ca paresaṃ appiyā amanāpā, tampi tathāgato vācaṃ na bhāsati. Yañca kho tathāgato vācaṃ jānāti bhūtaṃ tacchaṃ atthasaṃhitaṃ sā ca paresaṃ appiyā amanāpā, tatra kālaññū tathāgato hoti tassā vācāya veyyākaraṇāya. Yaṃ tathāgato vācaṃ jānāti abhūtaṃ atacchaṃ anatthasaṃhitaṃ sā ca paresaṃ piyā manāpā, na taṃ tathāgato vācaṃ bhāsati. Yampi tathāgato vācaṃ jānāti bhūtaṃ tacchaṃ anatthasaṃhitaṃ sā ca paresaṃ piyā manāpā tampi tathāgato vācaṃ na bhāsati. Yañca tathāgato vācaṃ jānāti bhūtaṃ tacchaṃ atthasaṃhitaṃ sā ca paresaṃ piyā manāpā, tatra kālaññū tathāgato hoti tassā vācāya veyyākaraṇāya. Taṃ kissa hetu? Atthi, rājakumāra, tathāgatassa sattesu anukampā’’ti.
๘๗. ‘‘เยเม, ภเนฺต, ขตฺติยปณฺฑิตาปิ พฺราหฺมณปณฺฑิตาปิ คหปติปณฺฑิตาปิ สมณปณฺฑิตาปิ ปญฺหํ อภิสงฺขริตฺวา ตถาคตํ อุปสงฺกมิตฺวา ปุจฺฉนฺติ, ปุเพฺพว นุ โข, เอตํ, ภเนฺต , ภควโต เจตโส ปริวิตกฺกิตํ โหติ ‘เย มํ อุปสงฺกมิตฺวา เอวํ ปุจฺฉิสฺสนฺติ เตสาหํ เอวํ ปุโฎฺฐ เอวํ พฺยากริสฺสามี’ติ, อุทาหุ ฐานโสเวตํ ตถาคตํ ปฎิภาตี’’ติ?
87. ‘‘Yeme, bhante, khattiyapaṇḍitāpi brāhmaṇapaṇḍitāpi gahapatipaṇḍitāpi samaṇapaṇḍitāpi pañhaṃ abhisaṅkharitvā tathāgataṃ upasaṅkamitvā pucchanti, pubbeva nu kho, etaṃ, bhante , bhagavato cetaso parivitakkitaṃ hoti ‘ye maṃ upasaṅkamitvā evaṃ pucchissanti tesāhaṃ evaṃ puṭṭho evaṃ byākarissāmī’ti, udāhu ṭhānasovetaṃ tathāgataṃ paṭibhātī’’ti?
‘‘เตน หิ, ราชกุมาร, ตเญฺญเวตฺถ ปฎิปุจฺฉิสฺสามิ, ยถา เต ขเมยฺย ตถา นํ พฺยากเรยฺยาสิฯ ตํ กิํ มญฺญสิ, ราชกุมาร, กุสโล ตฺวํ รถสฺส องฺคปจฺจงฺคาน’’นฺติ?
‘‘Tena hi, rājakumāra, taññevettha paṭipucchissāmi, yathā te khameyya tathā naṃ byākareyyāsi. Taṃ kiṃ maññasi, rājakumāra, kusalo tvaṃ rathassa aṅgapaccaṅgāna’’nti?
‘‘เอวํ, ภเนฺต, กุสโล อหํ รถสฺส องฺคปจฺจงฺคาน’’นฺติฯ
‘‘Evaṃ, bhante, kusalo ahaṃ rathassa aṅgapaccaṅgāna’’nti.
‘‘ตํ กิํ มญฺญสิ, ราชกุมาร, เย ตํ อุปสงฺกมิตฺวา เอวํ ปุเจฺฉยฺยุํ – ‘กิํ นามิทํ รถสฺส องฺคปจฺจงฺค’นฺติ? ปุเพฺพว นุ โข เต เอตํ เจตโส ปริวิตกฺกิตํ อสฺส ‘เย มํ อุปสงฺกมิตฺวา เอวํ ปุจฺฉิสฺสนฺติ เตสาหํ เอวํ ปุโฎฺฐ เอวํ พฺยากริสฺสามี’ติ, อุทาหุ ฐานโสเวตํ ปฎิภาเสยฺยา’’ติ?
‘‘Taṃ kiṃ maññasi, rājakumāra, ye taṃ upasaṅkamitvā evaṃ puccheyyuṃ – ‘kiṃ nāmidaṃ rathassa aṅgapaccaṅga’nti? Pubbeva nu kho te etaṃ cetaso parivitakkitaṃ assa ‘ye maṃ upasaṅkamitvā evaṃ pucchissanti tesāhaṃ evaṃ puṭṭho evaṃ byākarissāmī’ti, udāhu ṭhānasovetaṃ paṭibhāseyyā’’ti?
‘‘อหญฺหิ, ภเนฺต, รถิโก สญฺญาโต กุสโล รถสฺส องฺคปจฺจงฺคานํฯ สพฺพานิ เม รถสฺส องฺคปจฺจงฺคานิ สุวิทิตานิฯ ฐานโสเวตํ มํ ปฎิภาเสยฺยา’’ติ ฯ
‘‘Ahañhi, bhante, rathiko saññāto kusalo rathassa aṅgapaccaṅgānaṃ. Sabbāni me rathassa aṅgapaccaṅgāni suviditāni. Ṭhānasovetaṃ maṃ paṭibhāseyyā’’ti .
‘‘เอวเมว โข, ราชกุมาร, เย เต ขตฺติยปณฺฑิตาปิ พฺราหฺมณปณฺฑิตาปิ คหปติปณฺฑิตาปิ สมณปณฺฑิตาปิ ปญฺหํ อภิสงฺขริตฺวา ตถาคตํ อุปสงฺกมิตฺวา ปุจฺฉนฺติ, ฐานโสเวตํ ตถาคตํ ปฎิภาติฯ ตํ กิสฺส เหตุ? สา หิ, ราชกุมาร, ตถาคตสฺส ธมฺมธาตุ สุปฺปฎิวิทฺธา ยสฺสา ธมฺมธาตุยา สุปฺปฎิวิทฺธตฺตา ฐานโสเวตํ ตถาคตํ ปฎิภาตี’’ติฯ
‘‘Evameva kho, rājakumāra, ye te khattiyapaṇḍitāpi brāhmaṇapaṇḍitāpi gahapatipaṇḍitāpi samaṇapaṇḍitāpi pañhaṃ abhisaṅkharitvā tathāgataṃ upasaṅkamitvā pucchanti, ṭhānasovetaṃ tathāgataṃ paṭibhāti. Taṃ kissa hetu? Sā hi, rājakumāra, tathāgatassa dhammadhātu suppaṭividdhā yassā dhammadhātuyā suppaṭividdhattā ṭhānasovetaṃ tathāgataṃ paṭibhātī’’ti.
เอวํ วุเตฺต, อภโย ราชกุมาโร ภควนฺตํ เอตทโวจ – ‘‘อภิกฺกนฺตํ, ภเนฺต, อภิกฺกนฺตํ, ภเนฺต…เป.… อชฺชตเคฺค ปาณุเปตํ สรณํ คต’’นฺติฯ
Evaṃ vutte, abhayo rājakumāro bhagavantaṃ etadavoca – ‘‘abhikkantaṃ, bhante, abhikkantaṃ, bhante…pe… ajjatagge pāṇupetaṃ saraṇaṃ gata’’nti.
อภยราชกุมารสุตฺตํ นิฎฺฐิตํ อฎฺฐมํฯ
Abhayarājakumārasuttaṃ niṭṭhitaṃ aṭṭhamaṃ.
Footnotes:
Related texts:
อฎฺฐกถา • Aṭṭhakathā / สุตฺตปิฎก (อฎฺฐกถา) • Suttapiṭaka (aṭṭhakathā) / มชฺฌิมนิกาย (อฎฺฐกถา) • Majjhimanikāya (aṭṭhakathā) / ๘. อภยราชกุมารสุตฺตวณฺณนา • 8. Abhayarājakumārasuttavaṇṇanā
ฎีกา • Tīkā / สุตฺตปิฎก (ฎีกา) • Suttapiṭaka (ṭīkā) / มชฺฌิมนิกาย (ฎีกา) • Majjhimanikāya (ṭīkā) / ๘. อภยราชกุมารสุตฺตวณฺณนา • 8. Abhayarājakumārasuttavaṇṇanā