Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / เถรคาถา-อฎฺฐกถา • Theragāthā-aṭṭhakathā |
๑๓. อภิภูตเตฺถรคาถาวณฺณนา
13. Abhibhūtattheragāthāvaṇṇanā
สุณาถ ญาตโย สเพฺพติ อายสฺมโต อภิภูตเตฺถรสฺส คาถาฯ กา อุปฺปตฺติ? อยมฺปิ ปุริมพุเทฺธสุ กตาธิกาโร ตตฺถ ตตฺถ ภเว ปุญฺญานิ อุปจินโนฺต เวสฺสภุสฺส ภควโต กาเล กุลเคเห นิพฺพตฺติตฺวา วิญฺญุตํ ปโตฺต ตาทิเสน กลฺยาณมิตฺตสนฺนิสฺสเยน สาสเน อภิปฺปสโนฺน อโหสิฯ โส สตฺถริ ปรินิพฺพุเต ตสฺส ธาตุํ คเหตุํ มหาชเน อุสฺสาหํ กโรเนฺต สยํ สพฺพปฐมํ คโนฺธทเกน จิตกํ นิพฺพาเปสิฯ โส เตน ปุญฺญกเมฺมน เทวมนุเสฺสสุ สํสรโนฺต อิมสฺมิํ พุทฺธุปฺปาเท เวฐปุรนคเร ราชกุเล นิพฺพตฺติตฺวา อภิภูโตติ ลทฺธนาโม ปิตุ อจฺจเยน รชฺชํ กาเรติฯ ตสฺมิญฺจ สมเย ภควา ชนปทจาริกํ จรโนฺต อนุปุเพฺพน ตํ นครํ ปาปุณิฯ ตโต โส ราชา ‘‘ภควา กิร มม นครํ อนุปฺปโตฺต’’ติ สุตฺวา สตฺถุ สนฺติกํ คนฺตฺวา ธมฺมํ สุตฺวา ทุติยทิวเส มหาทานํ ปวเตฺตสิฯ ภควา ภุตฺตาวี ตสฺส รโญฺญ อชฺฌาสยานุรูปํ อนุโมทนํ กโรโนฺตเยว วิตฺถารโต ธมฺมํ เทเสสิฯ โส ธมฺมํ สุตฺวา ลทฺธปฺปสาโท รชฺชํ ปหาย ปพฺพชิตฺวา อรหตฺตํ สจฺฉากาสิฯ เตน วุตฺตํ อปทาเน (อป. เถร ๒.๔๗.๑๑-๑๕) –
Suṇāthañātayo sabbeti āyasmato abhibhūtattherassa gāthā. Kā uppatti? Ayampi purimabuddhesu katādhikāro tattha tattha bhave puññāni upacinanto vessabhussa bhagavato kāle kulagehe nibbattitvā viññutaṃ patto tādisena kalyāṇamittasannissayena sāsane abhippasanno ahosi. So satthari parinibbute tassa dhātuṃ gahetuṃ mahājane ussāhaṃ karonte sayaṃ sabbapaṭhamaṃ gandhodakena citakaṃ nibbāpesi. So tena puññakammena devamanussesu saṃsaranto imasmiṃ buddhuppāde veṭhapuranagare rājakule nibbattitvā abhibhūtoti laddhanāmo pitu accayena rajjaṃ kāreti. Tasmiñca samaye bhagavā janapadacārikaṃ caranto anupubbena taṃ nagaraṃ pāpuṇi. Tato so rājā ‘‘bhagavā kira mama nagaraṃ anuppatto’’ti sutvā satthu santikaṃ gantvā dhammaṃ sutvā dutiyadivase mahādānaṃ pavattesi. Bhagavā bhuttāvī tassa rañño ajjhāsayānurūpaṃ anumodanaṃ karontoyeva vitthārato dhammaṃ desesi. So dhammaṃ sutvā laddhappasādo rajjaṃ pahāya pabbajitvā arahattaṃ sacchākāsi. Tena vuttaṃ apadāne (apa. thera 2.47.11-15) –
‘‘ทยฺหมาเน สรีรมฺหิ, เวสฺสภุสฺส มเหสิโน;
‘‘Dayhamāne sarīramhi, vessabhussa mahesino;
คโนฺธทกํ คเหตฺวาน, จิตํ นิพฺพาปยิํ อหํฯ
Gandhodakaṃ gahetvāna, citaṃ nibbāpayiṃ ahaṃ.
‘‘เอกติํเส อิโต กเปฺป, จิตํ นิพฺพาปยิํ อหํ;
‘‘Ekatiṃse ito kappe, citaṃ nibbāpayiṃ ahaṃ;
ทุคฺคติํ นาภิชานามิ, คโนฺธทกสฺสิทํ ผลํฯ
Duggatiṃ nābhijānāmi, gandhodakassidaṃ phalaṃ.
‘‘กิเลสา ฌาปิตา มยฺหํ…เป.… กตํ พุทฺธสฺส สาสน’’นฺติฯ
‘‘Kilesā jhāpitā mayhaṃ…pe… kataṃ buddhassa sāsana’’nti.
อรหตฺตํ ปน ปตฺวา วิมุตฺติสุเขน วิหรเนฺต ตสฺมิํ ตสฺส ญาตกา อมจฺจา ปาริสชฺชา นาครา ชานปทาติ สเพฺพ สมาคนฺตฺวา, ‘‘ภเนฺต, กสฺมา ตฺวํ อเมฺห อนาเถ กตฺวา ปพฺพชิโต’’ติ ปริเทวิํสุฯ เถโร เต ญาติปมุเข มนุเสฺส ปริเทวเนฺต ทิสฺวา เตสํ อตฺตโน ปพฺพชฺชการณวิภาวนมุเขน ธมฺมํ กเถโนฺต –
Arahattaṃ pana patvā vimuttisukhena viharante tasmiṃ tassa ñātakā amaccā pārisajjā nāgarā jānapadāti sabbe samāgantvā, ‘‘bhante, kasmā tvaṃ amhe anāthe katvā pabbajito’’ti parideviṃsu. Thero te ñātipamukhe manusse paridevante disvā tesaṃ attano pabbajjakāraṇavibhāvanamukhena dhammaṃ kathento –
๒๕๕.
255.
‘‘สุณาถ ญาตโย สเพฺพ, ยาวเนฺตตฺถ สมาคตา;
‘‘Suṇātha ñātayo sabbe, yāvantettha samāgatā;
ธมฺมํ โว เทสยิสฺสามิ, ทุกฺขา ชาติ ปุนปฺปุนํฯ
Dhammaṃ vo desayissāmi, dukkhā jāti punappunaṃ.
๒๕๖.
256.
‘‘อารมฺภถ นิกฺกมถ, ยุญฺชถ พุทฺธสาสเน;
‘‘Ārambhatha nikkamatha, yuñjatha buddhasāsane;
ธุนาถ มจฺจุโน เสนํ, นฬาคารํว กุญฺชโรฯ
Dhunātha maccuno senaṃ, naḷāgāraṃva kuñjaro.
๒๕๗.
257.
‘‘โย อิมสฺมิํ ธมฺมวินเย, อปฺปมโตฺต วิหสฺสติ;
‘‘Yo imasmiṃ dhammavinaye, appamatto vihassati;
ปหาย ชาติสํสารํ, ทุกฺขสฺสนฺตํ กริสฺสตี’’ติฯ – ติโสฺส คาถา อภาสิ;
Pahāya jātisaṃsāraṃ, dukkhassantaṃ karissatī’’ti. – tisso gāthā abhāsi;
ตตฺถ สุณาถาติ นิสาเมถ, อิทานิ มยา วุจฺจมานํ โอหิตโสตา โสตทฺวารานุสาเรน อุปธาเรถาติ อโตฺถฯ ญาตโยติ ญาตี ปมุเข กตฺวา เตสํ สเพฺพสํ อาลปนํ, เตนาห ‘‘สเพฺพ ยาวเนฺตตฺถ สมาคตา’’ติ, ยาวโนฺต ยตฺตกา เอตฺถ สมาคเม, เอติสฺสํ วา มม ปพฺพชฺชาย สมาคตาติ อโตฺถฯ
Tattha suṇāthāti nisāmetha, idāni mayā vuccamānaṃ ohitasotā sotadvārānusārena upadhārethāti attho. Ñātayoti ñātī pamukhe katvā tesaṃ sabbesaṃ ālapanaṃ, tenāha ‘‘sabbe yāvantettha samāgatā’’ti, yāvanto yattakā ettha samāgame, etissaṃ vā mama pabbajjāya samāgatāti attho.
อิทานิ ยํ สนฺธาย ‘‘สุณาถา’’ติ สวนาณตฺติกวจนํ กตํ, ตํ ‘‘ธมฺมํ โว เทสยิสฺสามี’’ติ ปฎิชานิตฺวา ‘‘ทุกฺขา ชาติ ปุนปฺปุน’’นฺติอาทินา เทเสตุํ อารภิฯ ตตฺถ ทุกฺขา ชาติ ปุนปฺปุนนฺติ ชาติ นาเมสา คโพฺภกฺกนฺติมูลกาทิเภทสฺส ชราทิเภทสฺส จ อเนกวิหิตสฺส ทุกฺขสฺส อธิฎฺฐานภาวโต ทุกฺขาฯ สา ปุนปฺปุนํ ปวตฺตมานา อติวิย ทุกฺขาฯ
Idāni yaṃ sandhāya ‘‘suṇāthā’’ti savanāṇattikavacanaṃ kataṃ, taṃ ‘‘dhammaṃ vo desayissāmī’’ti paṭijānitvā ‘‘dukkhā jāti punappuna’’ntiādinā desetuṃ ārabhi. Tattha dukkhā jāti punappunanti jāti nāmesā gabbhokkantimūlakādibhedassa jarādibhedassa ca anekavihitassa dukkhassa adhiṭṭhānabhāvato dukkhā. Sā punappunaṃ pavattamānā ativiya dukkhā.
ตสฺสา ปน ชาติยา สมติกฺกมนตฺถํ อุสฺสาโห กรณีโยติ ทเสฺสโนฺต อาห ‘‘อารมฺภถา’’ติอาทิฯ ตตฺถ อารมฺภถาติ อารมฺภธาตุสงฺขาตํ วีริยํ กโรถฯ นิกฺกมถาติ โกสชฺชปกฺขโต นิกฺขนฺตตฺตา นิกฺกมธาตุสงฺขาตํ ตทุตฺตริํ วีริยํ กโรถฯ ยุญฺชถ พุทฺธสาสเนติ ยสฺมา สีลสํวโร อินฺทฺริเยสุ คุตฺตทฺวารตา โภชเน มตฺตญฺญุตา สติสมฺปชญฺญนฺติ อิเมสุ ธเมฺมสุ ปติฎฺฐิตานํ ชาคริยานุโยควเสน อารมฺภนิกฺกมธาตุโย สมฺปชฺชนฺติ, ตสฺมา ตถาภูตา สมถวิปสฺสนาสงฺขาเต อธิสีลสิกฺขาทิสงฺขาเต วา ภควโต สาสเน ยุตฺตปฺปยุตฺตา โหถฯ ธุนาถ มจฺจุโน เสนํ, นฬาคารํว กุญฺชโรติ เอวํ ปฎิปชฺชนฺตา จ เตธาตุอิสฺสรสฺส มจฺจุราชสฺส วสํ สเตฺต เนตีติ ตสฺส เสนาสงฺขาตํ อพลํ ทุพฺพลํ ยถา นาม ถามพลูปปโนฺน กุญฺชโร นเฬหิ กตํ อคารํ ขเณเนว วิทฺธํเสติ, เอวเมว กิเลสคณํ ธุนาถ วิธมถ วิทฺธํเสถาติ อโตฺถฯ
Tassā pana jātiyā samatikkamanatthaṃ ussāho karaṇīyoti dassento āha ‘‘ārambhathā’’tiādi. Tattha ārambhathāti ārambhadhātusaṅkhātaṃ vīriyaṃ karotha. Nikkamathāti kosajjapakkhato nikkhantattā nikkamadhātusaṅkhātaṃ taduttariṃ vīriyaṃ karotha. Yuñjatha buddhasāsaneti yasmā sīlasaṃvaro indriyesu guttadvāratā bhojane mattaññutā satisampajaññanti imesu dhammesu patiṭṭhitānaṃ jāgariyānuyogavasena ārambhanikkamadhātuyo sampajjanti, tasmā tathābhūtā samathavipassanāsaṅkhāte adhisīlasikkhādisaṅkhāte vā bhagavato sāsane yuttappayuttā hotha. Dhunātha maccuno senaṃ, naḷāgāraṃva kuñjaroti evaṃ paṭipajjantā ca tedhātuissarassa maccurājassa vasaṃ satte netīti tassa senāsaṅkhātaṃ abalaṃ dubbalaṃ yathā nāma thāmabalūpapanno kuñjaro naḷehi kataṃ agāraṃ khaṇeneva viddhaṃseti, evameva kilesagaṇaṃ dhunātha vidhamatha viddhaṃsethāti attho.
เอวํ ปน พุทฺธสาสเน อุสฺสาหํ กโรนฺตสฺส เอกํสิโก ชาติทุกฺขสฺส สมติกฺกโมติ ทเสฺสโนฺต ‘‘โย อิมสฺมิ’’นฺติอาทินา ตติยํ คาถมาหฯ ตํ สุวิเญฺญยฺยเมวฯ
Evaṃ pana buddhasāsane ussāhaṃ karontassa ekaṃsiko jātidukkhassa samatikkamoti dassento ‘‘yo imasmi’’ntiādinā tatiyaṃ gāthamāha. Taṃ suviññeyyameva.
อภิภูตเตฺถรคาถาวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Abhibhūtattheragāthāvaṇṇanā niṭṭhitā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / เถรคาถาปาฬิ • Theragāthāpāḷi / ๑๓. อภิภูตเตฺถรคาถา • 13. Abhibhūtattheragāthā