Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / สโมฺมหวิโนทนี-อฎฺฐกถา • Sammohavinodanī-aṭṭhakathā |
๒. อภิธมฺมภาชนียวณฺณนา
2. Abhidhammabhājanīyavaṇṇanā
๓๒. อิทานิ อภิธมฺมภาชนียํ โหติฯ ตตฺถ รูปกฺขนฺธนิเทฺทโส เหฎฺฐา รูปกเณฺฑ วิตฺถาริตนเยเนว เวทิตโพฺพฯ
32. Idāni abhidhammabhājanīyaṃ hoti. Tattha rūpakkhandhaniddeso heṭṭhā rūpakaṇḍe vitthāritanayeneva veditabbo.
๓๔. เวทนากฺขนฺธนิเทฺทเส เอกวิเธนาติ เอกโกฎฺฐาเสนฯ ผสฺสสมฺปยุโตฺตติ ผเสฺสน สมฺปยุโตฺตฯ สพฺพาปิ จตุภูมิกเวทนาฯ สเหตุกทุเก สเหตุกา จตุภูมิกเวทนา, อเหตุกา กามาวจราวฯ อิมินา อุปาเยน กุสลปทาทีหิ วุตฺตา เวทนา ชานิตพฺพาฯ อปิจายํ เวทนากฺขโนฺธ เอกวิเธน ผสฺสสมฺปยุตฺตโต ทสฺสิโต, ทุวิเธน สเหตุกาเหตุกโต, ติวิเธน ชาติโต , จตุพฺพิเธน ภูมนฺตรโต, ปญฺจวิเธน อินฺทฺริยโตฯ ตตฺถ สุขินฺทฺริยทุกฺขินฺทฺริยานิ กายปฺปสาทวตฺถุกานิ กามาวจราเนวฯ โสมนสฺสินฺทฺริยํ ฉฎฺฐวตฺถุกํ วา อวตฺถุกํ วา เตภูมกํ ฯ โทมนสฺสินฺทฺริยํ ฉฎฺฐวตฺถุกํ กามาวจรํฯ อุเปกฺขินฺทฺริยํ จกฺขาทิจตุปฺปสาทวตฺถุกํ ฉฎฺฐวตฺถุกํ อวตฺถุกญฺจ จตุภูมกํฯ ฉพฺพิเธน วตฺถุโต ทสฺสิโตฯ ตตฺถ ปุริมา ปญฺจ เวทนา ปญฺจปฺปสาทวตฺถุกา กามาวจราว ฉฎฺฐา อวตฺถุกา วา สวตฺถุกา วา จตุภูมิกาฯ
34. Vedanākkhandhaniddese ekavidhenāti ekakoṭṭhāsena. Phassasampayuttoti phassena sampayutto. Sabbāpi catubhūmikavedanā. Sahetukaduke sahetukā catubhūmikavedanā, ahetukā kāmāvacarāva. Iminā upāyena kusalapadādīhi vuttā vedanā jānitabbā. Apicāyaṃ vedanākkhandho ekavidhena phassasampayuttato dassito, duvidhena sahetukāhetukato, tividhena jātito , catubbidhena bhūmantarato, pañcavidhena indriyato. Tattha sukhindriyadukkhindriyāni kāyappasādavatthukāni kāmāvacarāneva. Somanassindriyaṃ chaṭṭhavatthukaṃ vā avatthukaṃ vā tebhūmakaṃ . Domanassindriyaṃ chaṭṭhavatthukaṃ kāmāvacaraṃ. Upekkhindriyaṃ cakkhādicatuppasādavatthukaṃ chaṭṭhavatthukaṃ avatthukañca catubhūmakaṃ. Chabbidhena vatthuto dassito. Tattha purimā pañca vedanā pañcappasādavatthukā kāmāvacarāva chaṭṭhā avatthukā vā savatthukā vā catubhūmikā.
สตฺตวิเธน ตตฺถ มโนสมฺผสฺสชา เภทโต ทสฺสิตา, อฎฺฐวิเธน ตตฺถ กายสมฺผสฺสชา เภทโต, นววิเธน สตฺตวิธเภเท มโนวิญฺญาณธาตุสมฺผสฺสชา เภทโต, ทสวิเธน อฎฺฐวิธเภเท มโนวิญฺญาณธาตุสมฺผสฺสชา เภทโตฯ เอเตสุ หิ สตฺตวิธเภเท มโนสมฺผสฺสชา มโนธาตุสมฺผสฺสชา, มโนวิญฺญาณธาตุสมฺผสฺสชาติ ทฺวิธา ภินฺนาฯ อฎฺฐวิธเภเท ตาย สทฺธิํ กายสมฺผสฺสชาปิ สุขา ทุกฺขาติ ทฺวิธา ภินฺนาฯ นววิธเภเท สตฺตวิเธ วุตฺตา มโนวิญฺญาณธาตุสมฺผสฺสชา กุสลาทิวเสน ติธา ภินฺนาฯ ทสวิธเภเท อฎฺฐวิเธ วุตฺตา มโนวิญฺญาณธาตุสมฺผสฺสชา กุสลาทิวเสเนว ติธา ภินฺนาฯ
Sattavidhena tattha manosamphassajā bhedato dassitā, aṭṭhavidhena tattha kāyasamphassajā bhedato, navavidhena sattavidhabhede manoviññāṇadhātusamphassajā bhedato, dasavidhena aṭṭhavidhabhede manoviññāṇadhātusamphassajā bhedato. Etesu hi sattavidhabhede manosamphassajā manodhātusamphassajā, manoviññāṇadhātusamphassajāti dvidhā bhinnā. Aṭṭhavidhabhede tāya saddhiṃ kāyasamphassajāpi sukhā dukkhāti dvidhā bhinnā. Navavidhabhede sattavidhe vuttā manoviññāṇadhātusamphassajā kusalādivasena tidhā bhinnā. Dasavidhabhede aṭṭhavidhe vuttā manoviññāṇadhātusamphassajā kusalādivaseneva tidhā bhinnā.
กุสลตฺติโก เจตฺถ เกวลํ ปูรณตฺถเมว วุโตฺตฯ สตฺตวิธอฎฺฐวิธนววิธเภเทสุ ปน นยํ ทาตุํ ยุตฺตฎฺฐาเน นโย ทิโนฺนฯ อภิธมฺมญฺหิ ปตฺวา ตถาคเตน นยํ ทาตุํ ยุตฺตฎฺฐาเน นโย อทิโนฺน นาม นตฺถิฯ อยํ ตาว ทุกมูลเก เอโก วาโรฯ
Kusalattiko cettha kevalaṃ pūraṇatthameva vutto. Sattavidhaaṭṭhavidhanavavidhabhedesu pana nayaṃ dātuṃ yuttaṭṭhāne nayo dinno. Abhidhammañhi patvā tathāgatena nayaṃ dātuṃ yuttaṭṭhāne nayo adinno nāma natthi. Ayaṃ tāva dukamūlake eko vāro.
สตฺถา หิ อิมสฺมิํ อภิธมฺมภาชนีเย เวทนากฺขนฺธํ ภาเชโนฺต ติเก คเหตฺวา ทุเกสุ ปกฺขิปิ, ทุเก คเหตฺวา ติเกสุ ปกฺขิปิ, ติเก จ ทุเก จ อุภโตวฑฺฒนนีหาเรน อาหริ; สตฺตวิเธน, จตุวีสติวิเธน, ติํสวิเธน, พหุวิเธนาติ สพฺพถาปิ พหุวิเธน เวทนากฺขนฺธํ ทเสฺสสิฯ กสฺมา? ปุคฺคลชฺฌาสเยน เจว เทสนาวิลาเสน จฯ ธมฺมํ โสตุํ นิสินฺนเทวปริสาย หิ เย เทวปุตฺตา ติเก อาทาย ทุเกสุ ปกฺขิปิตฺวา กถิยมานํ ปฎิวิชฺฌิตุํ สโกฺกนฺติ, เตสํ สปฺปายวเสน ตถา กตฺวา เทเสสิฯ เย อิตเรหิ อากาเรหิ กถิยมานํ ปฎิวิชฺฌิตุํ สโกฺกนฺติ, เตสํ เตหากาเรหิ เทเสสีติฯ อยเมตฺถ ‘ปุคฺคลชฺฌาสโย’ฯ สมฺมาสมฺพุโทฺธ ปน อตฺตโน มหาวิสยตาย ติเก วา ทุเกสุ ปกฺขิปิตฺวา, ทุเก วา ติเกสุ อุภโตวฑฺฒเนน วา, สตฺตวิธาทินเยน วา, ยถา ยถา อิจฺฉติ ตถา ตถา เทเสตุํ สโกฺกติฯ ตสฺมาปิ อิเมหากาเรหิ เทเสสีติ อยมสฺส ‘เทสนาวิลาโส’ฯ
Satthā hi imasmiṃ abhidhammabhājanīye vedanākkhandhaṃ bhājento tike gahetvā dukesu pakkhipi, duke gahetvā tikesu pakkhipi, tike ca duke ca ubhatovaḍḍhananīhārena āhari; sattavidhena, catuvīsatividhena, tiṃsavidhena, bahuvidhenāti sabbathāpi bahuvidhena vedanākkhandhaṃ dassesi. Kasmā? Puggalajjhāsayena ceva desanāvilāsena ca. Dhammaṃ sotuṃ nisinnadevaparisāya hi ye devaputtā tike ādāya dukesu pakkhipitvā kathiyamānaṃ paṭivijjhituṃ sakkonti, tesaṃ sappāyavasena tathā katvā desesi. Ye itarehi ākārehi kathiyamānaṃ paṭivijjhituṃ sakkonti, tesaṃ tehākārehi desesīti. Ayamettha ‘puggalajjhāsayo’. Sammāsambuddho pana attano mahāvisayatāya tike vā dukesu pakkhipitvā, duke vā tikesu ubhatovaḍḍhanena vā, sattavidhādinayena vā, yathā yathā icchati tathā tathā desetuṃ sakkoti. Tasmāpi imehākārehi desesīti ayamassa ‘desanāvilāso’.
ตตฺถ ติเก อาทาย ทุเกสุ ปกฺขิปิตฺวา เทสิตวาโร ทุกมูลโก นามฯ ทุเก อาทาย ติเกสุ ปกฺขิปิตฺวา เทสิตวาโร ติกมูลโก นามฯ ติเก จ ทุเก จ อุภโต วเฑฺฒตฺวา เทสิตวาโร อุภโตวฑฺฒิตโก นามฯ อวสาเน สตฺตวิเธนาติอาทิวาโร พหุวิธวาโร นามาติ อิเม ตาว จตฺตาโร มหาวาราฯ
Tattha tike ādāya dukesu pakkhipitvā desitavāro dukamūlako nāma. Duke ādāya tikesu pakkhipitvā desitavāro tikamūlako nāma. Tike ca duke ca ubhato vaḍḍhetvā desitavāro ubhatovaḍḍhitako nāma. Avasāne sattavidhenātiādivāro bahuvidhavāro nāmāti ime tāva cattāro mahāvārā.
ตตฺถ ทุกมูลเก ทุเกสุ ลพฺภมาเนน เอเกเกน ทุเกน สทฺธิํ ติเกสุ อลพฺภมาเน เวทนาตฺติกปีติตฺติกสนิทสฺสนตฺติเก อปเนตฺวา, เสเส ลพฺภมานเก เอกูนวีสติ ติเก โยเชตฺวา, ทุติยทุกปฐมตฺติกโยชนวาราทีนิ นววารสตานิ ปญฺญาสญฺจ วารา โหนฺติฯ เต สเพฺพปิ ปาฬิยํ สํขิปิตฺวา ตตฺถ ตตฺถ ทเสฺสตพฺพยุตฺตกํ ทเสฺสตฺวา วุตฺตาฯ อสมฺมุยฺหเนฺตน ปน วิตฺถารโต เวทิตพฺพาฯ
Tattha dukamūlake dukesu labbhamānena ekekena dukena saddhiṃ tikesu alabbhamāne vedanāttikapītittikasanidassanattike apanetvā, sese labbhamānake ekūnavīsati tike yojetvā, dutiyadukapaṭhamattikayojanavārādīni navavārasatāni paññāsañca vārā honti. Te sabbepi pāḷiyaṃ saṃkhipitvā tattha tattha dassetabbayuttakaṃ dassetvā vuttā. Asammuyhantena pana vitthārato veditabbā.
ติกมูลเกปิ ติเกสุ ลพฺภมาเนน เอเกเกน ติเกน สทฺธิํ ทุเกสุ อลพฺภมาเน ปฐมทุกาทโย ทุเก อปเนตฺวา, เสเส ลพฺภมานเก สเหตุกทุกาทโย ปญฺญาส ทุเก โยเชตฺวา, ปฐมตฺติกทุติยทุกโยชนวาราทีนิ นววารสตานิ ปญฺญาสญฺจ วารา โหนฺติฯ เตปิ สเพฺพ ปาฬิยํ สงฺขิปิตฺวา ตตฺถ ตตฺถ ทเสฺสตพฺพยุตฺตกํ ทเสฺสตฺวา วุตฺตาฯ อสมฺมุยฺหเนฺตน ปน วิตฺถารโต เวทิตพฺพาฯ
Tikamūlakepi tikesu labbhamānena ekekena tikena saddhiṃ dukesu alabbhamāne paṭhamadukādayo duke apanetvā, sese labbhamānake sahetukadukādayo paññāsa duke yojetvā, paṭhamattikadutiyadukayojanavārādīni navavārasatāni paññāsañca vārā honti. Tepi sabbe pāḷiyaṃ saṅkhipitvā tattha tattha dassetabbayuttakaṃ dassetvā vuttā. Asammuyhantena pana vitthārato veditabbā.
อุภโตวฑฺฒิตเก ทุวิธเภเท ทุติยทุกํ ติวิธเภเท จ ปฐมติกํ อาทิํ กตฺวา ลพฺภมาเนหิ เอกูนวีสติยา ทุเกหิ ลพฺภมาเน เอกูนวีสติติเก โยเชตฺวา ทุติยทุกปฐมติกโยชนวาราทโย เอกูนวีสติวารา วุตฺตาฯ เอส ทุกติกานํ วเสน อุภโตวฑฺฒิตตฺตา อุภโตวฑฺฒิตโก นาม ตติโย มหาวาโรฯ
Ubhatovaḍḍhitake duvidhabhede dutiyadukaṃ tividhabhede ca paṭhamatikaṃ ādiṃ katvā labbhamānehi ekūnavīsatiyā dukehi labbhamāne ekūnavīsatitike yojetvā dutiyadukapaṭhamatikayojanavārādayo ekūnavīsativārā vuttā. Esa dukatikānaṃ vasena ubhatovaḍḍhitattā ubhatovaḍḍhitako nāma tatiyo mahāvāro.
พหุวิธวารสฺส สตฺตวิธนิเทฺทเส อาทิโต ปฎฺฐาย ลพฺภมาเนสุ เอกูนวีสติยา ติเกสุ เอเกเกน สทฺธิํ จตโสฺส ภูมิโย โยเชตฺวา เอกูนวีสติ สตฺตวิธวารา วุตฺตาฯ จตุวีสติวิธนิเทฺทเสปิ เตสํเยว ติกานํ วเสน เอกูนวีสติวารา วุตฺตาฯ ตถา พหุวิธวาเร จาติ ฯ ติํสวิธวาโร เอโกเยวาติ สเพฺพปิ อฎฺฐปญฺญาส วารา โหนฺติฯ อยํ ตาเวตฺถ วารปริเจฺฉทวเสน ปาฬิวณฺณนาฯ
Bahuvidhavārassa sattavidhaniddese ādito paṭṭhāya labbhamānesu ekūnavīsatiyā tikesu ekekena saddhiṃ catasso bhūmiyo yojetvā ekūnavīsati sattavidhavārā vuttā. Catuvīsatividhaniddesepi tesaṃyeva tikānaṃ vasena ekūnavīsativārā vuttā. Tathā bahuvidhavāre cāti . Tiṃsavidhavāro ekoyevāti sabbepi aṭṭhapaññāsa vārā honti. Ayaṃ tāvettha vāraparicchedavasena pāḷivaṇṇanā.
อิทานิ อตฺถวณฺณนา โหติฯ ตตฺถ สตฺตวิธนิเทฺทโส ตาว อุตฺตานโตฺถเยวฯ จตุวีสติวิธนิเทฺทเส จกฺขุสมฺผสฺสปจฺจยา เวทนากฺขโนฺธ อตฺถิ กุสโลติ กามาวจรอฎฺฐกุสลจิตฺตวเสน เวทิตโพฺพฯ อตฺถิ อกุสโลติ ทฺวาทสอกุสลจิตฺตวเสน เวทิตโพฺพฯ อตฺถิ อพฺยากโตติ ติโสฺส มโนธาตุโย, ติโสฺส อเหตุกมโนวิญฺญาณธาตุโย, อฎฺฐ มหาวิปากานิ, ทส กามาวจรกิริยาติ จตุวีสติยา จิตฺตานํ วเสน เวทิตโพฺพฯ
Idāni atthavaṇṇanā hoti. Tattha sattavidhaniddeso tāva uttānatthoyeva. Catuvīsatividhaniddese cakkhusamphassapaccayā vedanākkhandho atthi kusaloti kāmāvacaraaṭṭhakusalacittavasena veditabbo. Atthi akusaloti dvādasaakusalacittavasena veditabbo. Atthi abyākatoti tisso manodhātuyo, tisso ahetukamanoviññāṇadhātuyo, aṭṭha mahāvipākāni, dasa kāmāvacarakiriyāti catuvīsatiyā cittānaṃ vasena veditabbo.
ตตฺถ อฎฺฐ กุสลานิ ทฺวาทส อกุสลานิ จ ชวนวเสน ลพฺภนฺติฯ กิริยมโนธาตุ อาวชฺชนวเสน ลพฺภติฯ เทฺว วิปากมโนธาตุโย สมฺปฎิจฺฉนวเสน, ติโสฺส วิปากมโนวิญฺญาณธาตุโย สนฺตีรณตทารมฺมณวเสน, กิริยาเหตุกมโนวิญฺญาณธาตุ โวฎฺฐพฺพนวเสน, อฎฺฐ มหาวิปากจิตฺตานิ ตทารมฺมณวเสน, นว กิริยจิตฺตานิ ชวนวเสน ลพฺภนฺติฯ โสตฆานชิวฺหากายทฺวาเรสุปิ เอเสว นโยฯ
Tattha aṭṭha kusalāni dvādasa akusalāni ca javanavasena labbhanti. Kiriyamanodhātu āvajjanavasena labbhati. Dve vipākamanodhātuyo sampaṭicchanavasena, tisso vipākamanoviññāṇadhātuyo santīraṇatadārammaṇavasena, kiriyāhetukamanoviññāṇadhātu voṭṭhabbanavasena, aṭṭha mahāvipākacittāni tadārammaṇavasena, nava kiriyacittāni javanavasena labbhanti. Sotaghānajivhākāyadvāresupi eseva nayo.
มโนทฺวาเร ปน อตฺถิ กุสโลติ จตุภูมกกุสลวเสน กถิตํ, อตฺถิ อกุสโลติ ทฺวาทสอกุสลวเสนฯ อตฺถิ อพฺยากโตติ เอกาทสนฺนํ กามาวจรวิปากานํ, ทสนฺนํ กิริยานํ , นวนฺนํ รูปาวจรารูปาวจรกิริยานํ, จตุนฺนํ สามญฺญผลานนฺติ จตุตฺติํสจิตฺตุปฺปาทวเสน กถิตํฯ ตตฺถ จตุภูมกกุสลเญฺจว อกุสลญฺจ ชวนวเสน ลพฺภติฯ กิริยโต อเหตุกมโนวิญฺญาณธาตุ อาวชฺชนวเสน, เอกาทส วิปากจิตฺตานิ ตทารมฺมณวเสน, เตภูมกกิริยา เจว สามญฺญผลานิ จ ชวนวเสเนว ลพฺภนฺติฯ ตานิ สตฺตวิธาทีสุ ยตฺถ กตฺถจิ ฐตฺวา กเถตุํ วฎฺฎนฺติฯ ติํสวิเธ ปน ฐตฺวา ทีปิยมานานิ สุขทีปนานิ โหนฺตีติ ติํสวิธสฺมิํเยว ฐตฺวา ทีปยิํสุฯ
Manodvāre pana atthi kusaloti catubhūmakakusalavasena kathitaṃ, atthi akusaloti dvādasaakusalavasena. Atthi abyākatoti ekādasannaṃ kāmāvacaravipākānaṃ, dasannaṃ kiriyānaṃ , navannaṃ rūpāvacarārūpāvacarakiriyānaṃ, catunnaṃ sāmaññaphalānanti catuttiṃsacittuppādavasena kathitaṃ. Tattha catubhūmakakusalañceva akusalañca javanavasena labbhati. Kiriyato ahetukamanoviññāṇadhātu āvajjanavasena, ekādasa vipākacittāni tadārammaṇavasena, tebhūmakakiriyā ceva sāmaññaphalāni ca javanavaseneva labbhanti. Tāni sattavidhādīsu yattha katthaci ṭhatvā kathetuṃ vaṭṭanti. Tiṃsavidhe pana ṭhatvā dīpiyamānāni sukhadīpanāni hontīti tiṃsavidhasmiṃyeva ṭhatvā dīpayiṃsu.
เอตานิ หิ สพฺพานิปิ จิตฺตานิ จกฺขุทฺวาเร อุปนิสฺสยโกฎิยา, สมติกฺกมวเสน, ภาวนาวเสนาติ ตีหากาเรหิ ลพฺภนฺติฯ ตถา โสตทฺวารมโนทฺวาเรสุปิฯ ฆานชิวฺหากายทฺวาเรสุ ปน สมติกฺกมวเสน, ภาวนาวเสนาติ ทฺวีเหวากาเรหิ ลพฺภนฺตีติ เวทิตพฺพานิฯ กถํ? อิธ ภิกฺขุ วิหารจาริกํ จรมาโน กสิณมณฺฑลํ ทิสฺวา ‘กิํ นาเมต’นฺติ ปุจฺฉิตฺวา ‘กสิณมณฺฑล’นฺติ วุเตฺต ปุน ‘กิํ อิมินา กโรนฺตี’ติ ปุจฺฉติฯ อถสฺส อาจิกฺขนฺติ – ‘เอวํ ภาเวตฺวา ฌานานิ อุปฺปาเทตฺวา, สมาปตฺติปทฎฺฐานํ วิปสฺสนํ วเฑฺฒตฺวา, อรหตฺตํ ปาปุณนฺตี’ติฯ อชฺฌาสยสมฺปโนฺน กุลปุโตฺต ‘ภาริยํ เอต’นฺติ อสลฺลเกฺขตฺวา ‘มยาปิ เอส คุโณ นิพฺพเตฺตตุํ วฎฺฎติ, น โข ปน สกฺกา เอส นิปชฺชิตฺวา นิทฺทายเนฺตน นิพฺพเตฺตตุํ, อาทิโตว วีริยํ กาตุํ สีลํ โสเธตุํ วฎฺฎตี’ติ จิเนฺตตฺวา สีลํ โสเธติฯ ตโต สีเล ปติฎฺฐาย ทส ปลิโพเธ อุปจฺฉินฺทิตฺวา, ติจีวรปรเมน สโนฺตเสน สนฺตุโฎฺฐ, อาจริยุปชฺฌายานํ วตฺตปฎิวตฺตํ กตฺวา, กมฺมฎฺฐานํ อุคฺคณฺหิตฺวา, กสิณปริกมฺมํ กตฺวา, สมาปตฺติโย อุปฺปาเทตฺวา, สมาปตฺติปทฎฺฐานํ วิปสฺสนํ วเฑฺฒตฺวา, อรหตฺตํ ปาปุณาติฯ ตตฺถ สพฺพาปิ ปริกมฺมเวทนา กามาวจรา, อฎฺฐสมาปตฺติเวทนา รูปาวจรารูปาวจรา, มคฺคผลเวทนา โลกุตฺตราติ เอวํ จกฺขุวิญฺญาณํ จตุภูมิกเวทนานิพฺพตฺติยา พลวปจฺจโย โหตีติ จตุภูมิกเวทนา จกฺขุสมฺผสฺสปจฺจยา นาม ชาตาฯ เอวํ ตาว ‘อุปนิสฺสยวเสน’ ลพฺภนฺติฯ
Etāni hi sabbānipi cittāni cakkhudvāre upanissayakoṭiyā, samatikkamavasena, bhāvanāvasenāti tīhākārehi labbhanti. Tathā sotadvāramanodvāresupi. Ghānajivhākāyadvāresu pana samatikkamavasena, bhāvanāvasenāti dvīhevākārehi labbhantīti veditabbāni. Kathaṃ? Idha bhikkhu vihāracārikaṃ caramāno kasiṇamaṇḍalaṃ disvā ‘kiṃ nāmeta’nti pucchitvā ‘kasiṇamaṇḍala’nti vutte puna ‘kiṃ iminā karontī’ti pucchati. Athassa ācikkhanti – ‘evaṃ bhāvetvā jhānāni uppādetvā, samāpattipadaṭṭhānaṃ vipassanaṃ vaḍḍhetvā, arahattaṃ pāpuṇantī’ti. Ajjhāsayasampanno kulaputto ‘bhāriyaṃ eta’nti asallakkhetvā ‘mayāpi esa guṇo nibbattetuṃ vaṭṭati, na kho pana sakkā esa nipajjitvā niddāyantena nibbattetuṃ, āditova vīriyaṃ kātuṃ sīlaṃ sodhetuṃ vaṭṭatī’ti cintetvā sīlaṃ sodheti. Tato sīle patiṭṭhāya dasa palibodhe upacchinditvā, ticīvaraparamena santosena santuṭṭho, ācariyupajjhāyānaṃ vattapaṭivattaṃ katvā, kammaṭṭhānaṃ uggaṇhitvā, kasiṇaparikammaṃ katvā, samāpattiyo uppādetvā, samāpattipadaṭṭhānaṃ vipassanaṃ vaḍḍhetvā, arahattaṃ pāpuṇāti. Tattha sabbāpi parikammavedanā kāmāvacarā, aṭṭhasamāpattivedanā rūpāvacarārūpāvacarā, maggaphalavedanā lokuttarāti evaṃ cakkhuviññāṇaṃ catubhūmikavedanānibbattiyā balavapaccayo hotīti catubhūmikavedanā cakkhusamphassapaccayā nāma jātā. Evaṃ tāva ‘upanissayavasena’ labbhanti.
จกฺขุทฺวาเร ปน รูเป อาปาถคเต ‘อิเฎฺฐ เม อารมฺมเณ ราโค อุปฺปโนฺน, อนิเฎฺฐ ปฎิโฆ, อสมเปกฺขนาย โมโห, วินิพนฺธสฺส ปน เม มาโน อุปฺปโนฺน, ปรามฎฺฐสฺส ทิฎฺฐิ, วิเกฺขปคตสฺส อุทฺธจฺจํ, อสนฺนิฎฺฐาคตสฺส วิจิกิจฺฉา, ถามคตสฺส อนุสโย อุปฺปโนฺน’ติ ปริคฺคเห ฐิโต กุลปุโตฺต อตฺตโน กิเลสุปฺปตฺติํ ญตฺวา ‘อิเม เม กิเลสา วฑฺฒมานา อนยพฺยสนาย สํวตฺติสฺสนฺติ, หนฺท เน นิคฺคณฺหามี’ติ จิเนฺตตฺวา ‘น โข ปน สกฺกา นิปชฺชิตฺวา นิทฺทายเนฺตน กิเลเส นิคฺคณฺหิตุํ; อาทิโตว วีริยํ กาตุํ วฎฺฎติ สีลํ โสเธตุ’นฺติ เหฎฺฐา วุตฺตนเยเนว ปฎิปชฺชิตฺวา อรหตฺตํ ปาปุณาติฯ ตตฺถ สพฺพาปิ ปริกมฺมเวทนา กามาวจรา, อฎฺฐสมาปตฺติเวทนา รูปาวจรารูปาวจรา, มคฺคผลเวทนา โลกุตฺตราติ เอวํ รูปารมฺมเณ อุปฺปนฺนํ กิเลสํ สมติกฺกมิตฺวา คตาติ จตุภูมิกเวทนา จกฺขุสมฺผสฺสปจฺจยา นาม ชาตาฯ เอวํ ‘สมติกฺกมวเสน’ ลพฺภนฺติฯ
Cakkhudvāre pana rūpe āpāthagate ‘iṭṭhe me ārammaṇe rāgo uppanno, aniṭṭhe paṭigho, asamapekkhanāya moho, vinibandhassa pana me māno uppanno, parāmaṭṭhassa diṭṭhi, vikkhepagatassa uddhaccaṃ, asanniṭṭhāgatassa vicikicchā, thāmagatassa anusayo uppanno’ti pariggahe ṭhito kulaputto attano kilesuppattiṃ ñatvā ‘ime me kilesā vaḍḍhamānā anayabyasanāya saṃvattissanti, handa ne niggaṇhāmī’ti cintetvā ‘na kho pana sakkā nipajjitvā niddāyantena kilese niggaṇhituṃ; āditova vīriyaṃ kātuṃ vaṭṭati sīlaṃ sodhetu’nti heṭṭhā vuttanayeneva paṭipajjitvā arahattaṃ pāpuṇāti. Tattha sabbāpi parikammavedanā kāmāvacarā, aṭṭhasamāpattivedanā rūpāvacarārūpāvacarā, maggaphalavedanā lokuttarāti evaṃ rūpārammaṇe uppannaṃ kilesaṃ samatikkamitvā gatāti catubhūmikavedanā cakkhusamphassapaccayā nāma jātā. Evaṃ ‘samatikkamavasena’ labbhanti.
จกฺขุทฺวาเร ปน รูเป อาปาถคเต เอโก เอวํ ปริคฺคหํ ปฎฺฐเปติ – ‘อิทํ รูปํ กิํ นิสฺสิต’นฺติ? ตโต นํ ‘ภูตนิสฺสิต’นฺติ ญตฺวา จตฺตาริ มหาภูตานิ อุปาทารูปญฺจ รูปนฺติ ปริคฺคณฺหาติ, ตทารมฺมเณ ธเมฺม อรูปนฺติ ปริคฺคณฺหาติฯ ตโต สปฺปจฺจยํ นามรูปํ ปริคณฺหิตฺวา ตีณิ ลกฺขณานิ อาโรเปตฺวา วิปสฺสนาปฎิปาฎิยา สงฺขาเร สมฺมสิตฺวา อรหตฺตํ ปาปุณาติฯ ตตฺถ สพฺพาปิ ปริกมฺมเวทนา กามาวจรา, อฎฺฐสมาปตฺติเวทนา รูปาวจรารูปาวจรา, มคฺคผลเวทนา โลกุตฺตราติ เอวํ รูปารมฺมณํ สมฺมสิตฺวา นิพฺพตฺติตาติ อยํ เวทนา จกฺขุสมฺผสฺสปจฺจยา นาม ชาตาฯ เอวํ ‘ภาวนาวเสน’ ลพฺภนฺติฯ
Cakkhudvāre pana rūpe āpāthagate eko evaṃ pariggahaṃ paṭṭhapeti – ‘idaṃ rūpaṃ kiṃ nissita’nti? Tato naṃ ‘bhūtanissita’nti ñatvā cattāri mahābhūtāni upādārūpañca rūpanti pariggaṇhāti, tadārammaṇe dhamme arūpanti pariggaṇhāti. Tato sappaccayaṃ nāmarūpaṃ parigaṇhitvā tīṇi lakkhaṇāni āropetvā vipassanāpaṭipāṭiyā saṅkhāre sammasitvā arahattaṃ pāpuṇāti. Tattha sabbāpi parikammavedanā kāmāvacarā, aṭṭhasamāpattivedanā rūpāvacarārūpāvacarā, maggaphalavedanā lokuttarāti evaṃ rūpārammaṇaṃ sammasitvā nibbattitāti ayaṃ vedanā cakkhusamphassapaccayā nāma jātā. Evaṃ ‘bhāvanāvasena’ labbhanti.
อปโร ภิกฺขุ สุณาติ – ‘กสิณปริกมฺมํ กิร กตฺวา สมาปตฺติโย อุปฺปาเทตฺวา สมาปตฺติปทฎฺฐานํ วิปสฺสนํ วเฑฺฒตฺวา อรหตฺตํ ปาปุณนฺตี’ติฯ อชฺฌาสยสมฺปโนฺน กุลปุโตฺต ‘ภาริยํ เอต’นฺติ อสลฺลเกฺขตฺวา ‘มยาปิ เอส คุโณ นิพฺพเตฺตตุํ วฎฺฎตี’ติ ปุริมนเยเนว ปฎิปชฺชิตฺวา อรหตฺตํ ปาปุณาติฯ ตตฺถ สพฺพาปิ ปริกมฺมเวทนา กามาวจรา, อฎฺฐสมาปตฺติเวทนา รูปาวจรารูปาวจรา, มคฺคผลเวทนา โลกุตฺตราติ เอวํ โสตวิญฺญาณํ จตุภูมิกเวทนา นิพฺพตฺติยา พลวปจฺจโย โหตีติ จตุภูมิกเวทนา โสตสมฺผสฺสปจฺจยา นาม ชาตาฯ เอวํ ตาว ‘อุปนิสฺสยวเสน’ ลพฺภนฺติฯ
Aparo bhikkhu suṇāti – ‘kasiṇaparikammaṃ kira katvā samāpattiyo uppādetvā samāpattipadaṭṭhānaṃ vipassanaṃ vaḍḍhetvā arahattaṃ pāpuṇantī’ti. Ajjhāsayasampanno kulaputto ‘bhāriyaṃ eta’nti asallakkhetvā ‘mayāpi esa guṇo nibbattetuṃ vaṭṭatī’ti purimanayeneva paṭipajjitvā arahattaṃ pāpuṇāti. Tattha sabbāpi parikammavedanā kāmāvacarā, aṭṭhasamāpattivedanā rūpāvacarārūpāvacarā, maggaphalavedanā lokuttarāti evaṃ sotaviññāṇaṃ catubhūmikavedanā nibbattiyā balavapaccayo hotīti catubhūmikavedanā sotasamphassapaccayā nāma jātā. Evaṃ tāva ‘upanissayavasena’ labbhanti.
โสตทฺวาเร ปน สเทฺท อาปาถคเตติ สพฺพํ จกฺขุทฺวาเร วุตฺตนเยเนว เวทิตพฺพํฯ เอวํ สทฺทารมฺมเณ อุปฺปนฺนํ กิเลสํ สมติกฺกมิตฺวา คตาติ จตุภูมิกเวทนา โสตสมฺผสฺสปจฺจยา นาม ชาตาฯ เอวํ ‘สมติกฺกมวเสน’ ลพฺภนฺติฯ
Sotadvāre pana sadde āpāthagateti sabbaṃ cakkhudvāre vuttanayeneva veditabbaṃ. Evaṃ saddārammaṇe uppannaṃ kilesaṃ samatikkamitvā gatāti catubhūmikavedanā sotasamphassapaccayā nāma jātā. Evaṃ ‘samatikkamavasena’ labbhanti.
โสตทฺวาเร ปน สเทฺท อาปาถคเต เอโก เอวํ ปริคฺคหํ ปฎฺฐเปติ – อยํ สโทฺท กิํ นิสฺสิโตติ สพฺพํ จกฺขุทฺวาเร วุตฺตนเยเนว เวทิตพฺพํฯ เอวํ สทฺทารมฺมณํ สมฺมสิตฺวา นิพฺพตฺติตาติ อยํ เวทนา โสตสมฺผสฺสปจฺจยา นาม ชาตาฯ เอวํ ‘ภาวนาวเสน’ ลพฺภนฺติฯ
Sotadvāre pana sadde āpāthagate eko evaṃ pariggahaṃ paṭṭhapeti – ayaṃ saddo kiṃ nissitoti sabbaṃ cakkhudvāre vuttanayeneva veditabbaṃ. Evaṃ saddārammaṇaṃ sammasitvā nibbattitāti ayaṃ vedanā sotasamphassapaccayā nāma jātā. Evaṃ ‘bhāvanāvasena’ labbhanti.
ฆานชิวฺหากายทฺวาเรสุ ปน คนฺธารมฺมณาทีสุ อาปาถคเตสุ ‘อิเฎฺฐ เม อารมฺมเณ ราโค อุปฺปโนฺน’ติ สพฺพํ จกฺขุทฺวาเร วุตฺตนเยเนว เวทิตพฺพํฯ เอวํ คนฺธารมฺมณาทีสุ อุปฺปนฺนํ กิเลสํ สมติกฺกมิตฺวา คตาติ จตุภูมิกเวทนา ฆานชิวฺหากายสมฺผสฺสปจฺจยา นาม ชาตาฯ เอวํ ตีสุ ทฺวาเรสุ ‘สมติกฺกมวเสน’ ลพฺภนฺติฯ
Ghānajivhākāyadvāresu pana gandhārammaṇādīsu āpāthagatesu ‘iṭṭhe me ārammaṇe rāgo uppanno’ti sabbaṃ cakkhudvāre vuttanayeneva veditabbaṃ. Evaṃ gandhārammaṇādīsu uppannaṃ kilesaṃ samatikkamitvā gatāti catubhūmikavedanā ghānajivhākāyasamphassapaccayā nāma jātā. Evaṃ tīsu dvāresu ‘samatikkamavasena’ labbhanti.
ฆานทฺวาราทีสุ ปน คนฺธาทีสุ อาปาถคเตสุ เอโก เอวํ ปริคฺคหํ ปฎฺฐเปติ – ‘อยํ คโนฺธ, อยํ รโส, อิทํ โผฎฺฐพฺพํ กิํ นิสฺสิต’นฺติ สพฺพํ จกฺขุทฺวาเร วุตฺตนเยเนว เวทิตพฺพํฯ เอวํ คนฺธารมฺมณาทีนิ สมฺมสิตฺวา นิพฺพตฺติตาติ อยํ เวทนา ฆานชิวฺหากายสมฺผสฺสปจฺจยา นาม ชาตาฯ เอวํ ‘ภาวนาวเสน’ ลพฺภนฺติฯ
Ghānadvārādīsu pana gandhādīsu āpāthagatesu eko evaṃ pariggahaṃ paṭṭhapeti – ‘ayaṃ gandho, ayaṃ raso, idaṃ phoṭṭhabbaṃ kiṃ nissita’nti sabbaṃ cakkhudvāre vuttanayeneva veditabbaṃ. Evaṃ gandhārammaṇādīni sammasitvā nibbattitāti ayaṃ vedanā ghānajivhākāyasamphassapaccayā nāma jātā. Evaṃ ‘bhāvanāvasena’ labbhanti.
มโนทฺวาเร ปน ตีหิปิ อากาเรหิ ลพฺภนฺติฯ เอกโจฺจ หิ ชาติํ ภยโต ปสฺสติ, ชรํ พฺยาธิํ มรณํ ภยโต ปสฺสติ, ภยโต ทิสฺวา ‘ชาติชราพฺยาธิมรเณหิ มุจฺจิตุํ วฎฺฎติ, น โข ปน สกฺกา นิปชฺชิตฺวา นิทฺทายเนฺตน ชาติอาทีหิ มุจฺจิตุํ, อาทิโตว วีริยํ กาตุํ สีลํ โสเธตุํ วฎฺฎตี’ติ จิเนฺตตฺวา จกฺขุทฺวาเร วุตฺตนเยเนว ปฎิปชฺชิตฺวา อรหตฺตํ ปาปุณาติฯ ตตฺถ สพฺพาปิ ปริกมฺมเวทนา กามาวจรา, อฎฺฐสมาปตฺติเวทนา รูปาวจรารูปาวจรา, มคฺคผลเวทนา โลกุตฺตราติ เอวํ ชาติชราพฺยาธิมรณํ จตุภูมิกเวทนานิพฺพตฺติยา พลวปจฺจโย โหตีติ จตุภูมิกเวทนา มโนสมฺผสฺสปจฺจยา นาม ชาตาฯ เอวํ ตาว ‘อุปนิสฺสยวเสน’ ลพฺภนฺติฯ
Manodvāre pana tīhipi ākārehi labbhanti. Ekacco hi jātiṃ bhayato passati, jaraṃ byādhiṃ maraṇaṃ bhayato passati, bhayato disvā ‘jātijarābyādhimaraṇehi muccituṃ vaṭṭati, na kho pana sakkā nipajjitvā niddāyantena jātiādīhi muccituṃ, āditova vīriyaṃ kātuṃ sīlaṃ sodhetuṃ vaṭṭatī’ti cintetvā cakkhudvāre vuttanayeneva paṭipajjitvā arahattaṃ pāpuṇāti. Tattha sabbāpi parikammavedanā kāmāvacarā, aṭṭhasamāpattivedanā rūpāvacarārūpāvacarā, maggaphalavedanā lokuttarāti evaṃ jātijarābyādhimaraṇaṃ catubhūmikavedanānibbattiyā balavapaccayo hotīti catubhūmikavedanā manosamphassapaccayā nāma jātā. Evaṃ tāva ‘upanissayavasena’ labbhanti.
มโนทฺวาเร ปน ธมฺมารมฺมเณ อาปาถคเตติ สพฺพํ จกฺขุทฺวาเร วุตฺตนเยเนว เวทิตพฺพํฯ เอวํ ธมฺมารมฺมเณ อุปฺปนฺนํ กิเลสํ สมติกฺกมิตฺวา คตาติ จตุภูมิกเวทนา มโนสมฺผสฺสปจฺจยา นาม ชาตาฯ เอวํ ‘สมติกฺกมวเสน’ ลพฺภนฺติฯ
Manodvāre pana dhammārammaṇe āpāthagateti sabbaṃ cakkhudvāre vuttanayeneva veditabbaṃ. Evaṃ dhammārammaṇe uppannaṃ kilesaṃ samatikkamitvā gatāti catubhūmikavedanā manosamphassapaccayā nāma jātā. Evaṃ ‘samatikkamavasena’ labbhanti.
มโนทฺวาเร ปน ธมฺมารมฺมเณ อาปาถคเต เอโก เอวํ ปริคฺคหํ ปฎฺฐเปติ – ‘เอตํ ธมฺมารมฺมณํ กิํ นิสฺสิต’นฺติ? ‘วตฺถุนิสฺสิต’นฺติฯ ‘วตฺถุ กิํ นิสฺสิต’นฺติ? ‘มหาภูตานิ นิสฺสิต’นฺติฯ โส จตฺตาริ มหาภูตานิ อุปาทารูปญฺจ รูปนฺติ ปริคฺคณฺหาติ, ตทารมฺมเณ ธเมฺม อรูปนฺติ ปริคฺคณฺหาติฯ ตโต สปฺปจฺจยํ นามรูปํ ปริคฺคณฺหิตฺวา ตีณิ ลกฺขณานิ อาโรเปตฺวา วิปสฺสนาปฎิปาฎิยา สงฺขาเร สมฺมสิตฺวา อรหตฺตํ ปาปุณาติฯ ตตฺถ สพฺพาปิ ปริกมฺมเวทนา กามาวจรา, อฎฺฐสมาปตฺติเวทนา รูปาวจรารูปาวจรา, มคฺคผลเวทนา โลกุตฺตราติ เอวํ ธมฺมารมฺมณํ สมฺมสิตฺวา นิพฺพตฺติตาติ อยํ เวทนา มโนสมฺผสฺสปจฺจยา นาม ชาตาฯ เอวํ ‘ภาวนาวเสน’ ลพฺภนฺติฯ ยา ปเนตา สเพฺพสมฺปิ จตุวีสติวิธาทีนํ วารานํ ปริโยสาเนสุ จกฺขุสมฺผสฺสชา เวทนา…เป.… มโนสมฺผสฺสชา เวทนาติ ฉ ฉ เวทนา วุตฺตา, ตา สมฺปยุตฺตปจฺจยวเสน วุตฺตาติฯ
Manodvāre pana dhammārammaṇe āpāthagate eko evaṃ pariggahaṃ paṭṭhapeti – ‘etaṃ dhammārammaṇaṃ kiṃ nissita’nti? ‘Vatthunissita’nti. ‘Vatthu kiṃ nissita’nti? ‘Mahābhūtāni nissita’nti. So cattāri mahābhūtāni upādārūpañca rūpanti pariggaṇhāti, tadārammaṇe dhamme arūpanti pariggaṇhāti. Tato sappaccayaṃ nāmarūpaṃ pariggaṇhitvā tīṇi lakkhaṇāni āropetvā vipassanāpaṭipāṭiyā saṅkhāre sammasitvā arahattaṃ pāpuṇāti. Tattha sabbāpi parikammavedanā kāmāvacarā, aṭṭhasamāpattivedanā rūpāvacarārūpāvacarā, maggaphalavedanā lokuttarāti evaṃ dhammārammaṇaṃ sammasitvā nibbattitāti ayaṃ vedanā manosamphassapaccayā nāma jātā. Evaṃ ‘bhāvanāvasena’ labbhanti. Yā panetā sabbesampi catuvīsatividhādīnaṃ vārānaṃ pariyosānesu cakkhusamphassajā vedanā…pe… manosamphassajā vedanāti cha cha vedanā vuttā, tā sampayuttapaccayavasena vuttāti.
อยํ เวทนากฺขนฺธนิเทฺทโสฯ
Ayaṃ vedanākkhandhaniddeso.
สญฺญากฺขนฺธาทโยปิ อิมินา อุปาเยน เวทิตพฺพาฯ เกวลญฺหิ สญฺญากฺขนฺธนิเทฺทเส ติเกสุ เวทนาตฺติกปีติตฺติกาปิ ลพฺภนฺติ, ทุเกสุ จ สุขสหคตทุกาทโยปิฯ สงฺขารกฺขนฺธนิเทฺทเส ผสฺสสฺสาปิ สงฺขารกฺขนฺธปริยาปนฺนตฺตา ผสฺสสมฺปยุโตฺตติ อวตฺวา จิตฺตสมฺปยุโตฺตติ วุตฺตํฯ ทุเกสุ เจตฺถ เหตุทุกาทโยปิ ลพฺภนฺติฯ ติกา สญฺญากฺขนฺธสทิสา เอว ฯ วิญฺญาณกฺขนฺธนิเทฺทเส จกฺขุสมฺผสฺสชาทิภาวํ อวตฺวา จกฺขุวิญฺญาณนฺติอาทิ วุตฺตํฯ น หิ สกฺกา วิญฺญาณํ มโนสมฺผสฺสชนฺติ นิทฺทิสิตุํฯ เสสเมตฺถ สญฺญากฺขเนฺธ วุตฺตสทิสเมวฯ อิเมสํ ปน ติณฺณมฺปิ ขนฺธานํ นิเทฺทเสเยว เวทนากฺขนฺธนิเทฺทสโต อติเรกติกทุกา ลทฺธาฯ เตสํ วเสน วารปฺปเภโท เวทิตโพฺพติฯ
Saññākkhandhādayopi iminā upāyena veditabbā. Kevalañhi saññākkhandhaniddese tikesu vedanāttikapītittikāpi labbhanti, dukesu ca sukhasahagatadukādayopi. Saṅkhārakkhandhaniddese phassassāpi saṅkhārakkhandhapariyāpannattā phassasampayuttoti avatvā cittasampayuttoti vuttaṃ. Dukesu cettha hetudukādayopi labbhanti. Tikā saññākkhandhasadisā eva . Viññāṇakkhandhaniddese cakkhusamphassajādibhāvaṃ avatvā cakkhuviññāṇantiādi vuttaṃ. Na hi sakkā viññāṇaṃ manosamphassajanti niddisituṃ. Sesamettha saññākkhandhe vuttasadisameva. Imesaṃ pana tiṇṇampi khandhānaṃ niddeseyeva vedanākkhandhaniddesato atirekatikadukā laddhā. Tesaṃ vasena vārappabhedo veditabboti.
อภิธมฺมภาชนียวณฺณนาฯ
Abhidhammabhājanīyavaṇṇanā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / อภิธมฺมปิฎก • Abhidhammapiṭaka / วิภงฺคปาฬิ • Vibhaṅgapāḷi / ๑. ขนฺธวิภโงฺค • 1. Khandhavibhaṅgo
ฎีกา • Tīkā / อภิธมฺมปิฎก (ฎีกา) • Abhidhammapiṭaka (ṭīkā) / วิภงฺค-มูลฎีกา • Vibhaṅga-mūlaṭīkā / ๑. ขนฺธวิภโงฺค • 1. Khandhavibhaṅgo
ฎีกา • Tīkā / อภิธมฺมปิฎก (ฎีกา) • Abhidhammapiṭaka (ṭīkā) / วิภงฺค-อนุฎีกา • Vibhaṅga-anuṭīkā / ๑. ขนฺธวิภโงฺค • 1. Khandhavibhaṅgo