Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ชาตก-อฎฺฐกถา • Jātaka-aṭṭhakathā |
[๒๗] ๗. อภิณฺหชาตกวณฺณนา
[27] 7. Abhiṇhajātakavaṇṇanā
นาลํ กพฬํ ปทาตเวติ อิทํ สตฺถา เชตวเน วิหรโนฺต เอกํ อุปาสกญฺจ มหลฺลกเตฺถรญฺจ อารพฺภ กเถสิ ฯ สาวตฺถิยํ กิร เทฺว สหายกาฯ เตสุ เอโก ปพฺพชิตฺวา เทวสิกํ อิตรสฺส ฆรํ คจฺฉติฯ โส ตสฺส ภิกฺขํ ทตฺวา สยมฺปิ ภุญฺชิตฺวา เตเนว สทฺธิํ วิหารํ คนฺตฺวา ยาว สูริยตฺถงฺคมนา อาลาปสลฺลาเปน นิสีทิตฺวา นครํ ปวิสติ, อิตโรปิ นํ ยาว นครทฺวารา อนุคนฺตฺวา นิวตฺตติฯ โส เตสํ วิสฺสาโส ภิกฺขูนํ อนฺตเร ปากโฎ ชาโตฯ อเถกทิวสํ ภิกฺขู เตสํ วิสฺสาสกถํ กเถนฺตา ธมฺมสภายํ นิสีทิํสุฯ สตฺถา อาคนฺตฺวา ‘‘กาย นุตฺถ, ภิกฺขเว, เอตรหิ กถาย สนฺนิสินฺนา’’ติ ปุจฺฉิ, เต ‘‘อิมาย นาม, ภเนฺต’’ติ กถยิํสุฯ สตฺถา ‘‘น, ภิกฺขเว, อิทาเนว อิเม วิสฺสาสิกา, ปุเพฺพปิ วิสฺสาสิกาเยว อเหสุ’’นฺติ วตฺวา อตีตํ อาหริฯ
Nālaṃkabaḷaṃ padātaveti idaṃ satthā jetavane viharanto ekaṃ upāsakañca mahallakattherañca ārabbha kathesi . Sāvatthiyaṃ kira dve sahāyakā. Tesu eko pabbajitvā devasikaṃ itarassa gharaṃ gacchati. So tassa bhikkhaṃ datvā sayampi bhuñjitvā teneva saddhiṃ vihāraṃ gantvā yāva sūriyatthaṅgamanā ālāpasallāpena nisīditvā nagaraṃ pavisati, itaropi naṃ yāva nagaradvārā anugantvā nivattati. So tesaṃ vissāso bhikkhūnaṃ antare pākaṭo jāto. Athekadivasaṃ bhikkhū tesaṃ vissāsakathaṃ kathentā dhammasabhāyaṃ nisīdiṃsu. Satthā āgantvā ‘‘kāya nuttha, bhikkhave, etarahi kathāya sannisinnā’’ti pucchi, te ‘‘imāya nāma, bhante’’ti kathayiṃsu. Satthā ‘‘na, bhikkhave, idāneva ime vissāsikā, pubbepi vissāsikāyeva ahesu’’nti vatvā atītaṃ āhari.
อตีเต พาราณสิยํ พฺรหฺมทเตฺต รชฺชํ กาเรเนฺต โพธิสโตฺต ตสฺส อมโจฺจ อโหสิฯ ตทา เอโก กุกฺกุโร มงฺคลหตฺถิสาลํ คนฺตฺวา มงฺคลหตฺถิสฺส ภุญฺชนฎฺฐาเน ปติตานิ ภตฺตสิตฺถานิ ขาทติฯ โส เตเนว โภชเนน สํวทฺธมาโน มงฺคลหตฺถิสฺส วิสฺสาสิโก ชาโต หตฺถิเสฺสว สนฺติเก ภุญฺชติ, อุโภปิ วินา วตฺติตุํ น สโกฺกนฺติฯ โส หตฺถี นํ โสณฺฑาย คเหตฺวา อปราปรํ กโรโนฺต กีฬติ, อุกฺขิปิตฺวา กุเมฺภ ปติฎฺฐาเปติฯ อเถกทิวสํ เอโก คามิกมนุโสฺส หตฺถิโคปกสฺส มูลํ ทตฺวา ตํ กุกฺกุรํ อาทาย อตฺตโน คามํ อคมาสิฯ ตโต ปฎฺฐาย โส หตฺถี กุกฺกุรํ อปสฺสโนฺต เนว ขาทติ น ปิวติ น นฺหายติฯ ตมตฺถํ รโญฺญ อาโรเจสุํฯ ราชา โพธิสตฺตํ ปหิณิ ‘‘คจฺฉ ปณฺฑิต, ชานาหิ กิํการณา หตฺถี เอวํ กโรตี’’ติฯ
Atīte bārāṇasiyaṃ brahmadatte rajjaṃ kārente bodhisatto tassa amacco ahosi. Tadā eko kukkuro maṅgalahatthisālaṃ gantvā maṅgalahatthissa bhuñjanaṭṭhāne patitāni bhattasitthāni khādati. So teneva bhojanena saṃvaddhamāno maṅgalahatthissa vissāsiko jāto hatthisseva santike bhuñjati, ubhopi vinā vattituṃ na sakkonti. So hatthī naṃ soṇḍāya gahetvā aparāparaṃ karonto kīḷati, ukkhipitvā kumbhe patiṭṭhāpeti. Athekadivasaṃ eko gāmikamanusso hatthigopakassa mūlaṃ datvā taṃ kukkuraṃ ādāya attano gāmaṃ agamāsi. Tato paṭṭhāya so hatthī kukkuraṃ apassanto neva khādati na pivati na nhāyati. Tamatthaṃ rañño ārocesuṃ. Rājā bodhisattaṃ pahiṇi ‘‘gaccha paṇḍita, jānāhi kiṃkāraṇā hatthī evaṃ karotī’’ti.
โพธิสโตฺต หตฺถิสาลํ คนฺตฺวา หตฺถิสฺส ทุมฺมนภาวํ ญตฺวา ‘‘อิมสฺส สรีเร โรโค น ปญฺญายติ, เกนจิ ปนสฺส สทฺธิํ มิตฺตสนฺถเวน ภวิตพฺพํ, ตํ อปสฺสโนฺต เอส มเญฺญ โสกาภิภูโต’’ติ หตฺถิโคปเก ปุจฺฉิ ‘‘อตฺถิ นุ โข อิมสฺส เกนจิ สทฺธิํ วิสฺสาโส’’ติ? ‘‘อาม, อตฺถิ สามิ เอเกน สุนเขน สทฺธิํ พลวา เมตฺตี’’ติฯ ‘‘กหํ โส เอตรหี’’ติ? ‘‘เอเกน มนุเสฺสน นีโต’’ติฯ ‘‘ชานาถ ปนสฺส นิวาสนฎฺฐาน’’นฺติ? ‘‘น ชานาม, สามี’’ติฯ โพธิสโตฺต รโญฺญ สนฺติกํ คนฺตฺวา ‘‘นตฺถิ, เทว, หตฺถิสฺส โกจิ อาพาโธ , เอเกน ปนสฺส สุนเขน สทฺธิํ พลววิสฺสาโส , ตํ อปสฺสโนฺต น ภุญฺชติ มเญฺญ’’ติ วตฺวา อิมํ คาถมาห –
Bodhisatto hatthisālaṃ gantvā hatthissa dummanabhāvaṃ ñatvā ‘‘imassa sarīre rogo na paññāyati, kenaci panassa saddhiṃ mittasanthavena bhavitabbaṃ, taṃ apassanto esa maññe sokābhibhūto’’ti hatthigopake pucchi ‘‘atthi nu kho imassa kenaci saddhiṃ vissāso’’ti? ‘‘Āma, atthi sāmi ekena sunakhena saddhiṃ balavā mettī’’ti. ‘‘Kahaṃ so etarahī’’ti? ‘‘Ekena manussena nīto’’ti. ‘‘Jānātha panassa nivāsanaṭṭhāna’’nti? ‘‘Na jānāma, sāmī’’ti. Bodhisatto rañño santikaṃ gantvā ‘‘natthi, deva, hatthissa koci ābādho , ekena panassa sunakhena saddhiṃ balavavissāso , taṃ apassanto na bhuñjati maññe’’ti vatvā imaṃ gāthamāha –
๒๗.
27.
‘‘นาลํ กพฬํ ปทาตเว, น จ ปิณฺฑํ น กุเส น ฆํสิตุํ;
‘‘Nālaṃ kabaḷaṃ padātave, na ca piṇḍaṃ na kuse na ghaṃsituṃ;
มญฺญามิ อภิณฺหทสฺสนา, นาโค เสฺนหมกาสิ กุกฺกุเร’’ติฯ
Maññāmi abhiṇhadassanā, nāgo snehamakāsi kukkure’’ti.
ตตฺถ นาลนฺติ น สมโตฺถฯ กพฬนฺติ โภชนกาเล ปฐมเมว ทินฺนํ กฎุกกพฬํฯ ปทาตเวติ ปอาทาตเว, สนฺธิวเสน อาการโลโป เวทิตโพฺพ, คเหตุนฺติ อโตฺถฯ น จ ปิณฺฑนฺติ วเฑฺฒตฺวา ทียมานํ ภตฺตปิณฺฑมฺปิ นาลํ คเหตุํฯ น กุเสติ ขาทนตฺถาย ทินฺนานิ ติณานิปิ นาลํ คเหตุํฯ น ฆํสิตุนฺติ นฺหาปิยมาโน สรีรมฺปิ ฆํสิตุํ นาลํฯ เอวํ ยํ ยํ โส หตฺถี กาตุํ น สมโตฺถ, ตํ ตํ สพฺพํ รโญฺญ อาโรเจตฺวา ตสฺส อสมตฺถภาเว อตฺตนา สลฺลกฺขิตการณํ อาโรเจโนฺต ‘‘มญฺญามี’’ติอาทิมาหฯ
Tattha nālanti na samattho. Kabaḷanti bhojanakāle paṭhamameva dinnaṃ kaṭukakabaḷaṃ. Padātaveti paādātave, sandhivasena ākāralopo veditabbo, gahetunti attho. Na ca piṇḍanti vaḍḍhetvā dīyamānaṃ bhattapiṇḍampi nālaṃ gahetuṃ. Na kuseti khādanatthāya dinnāni tiṇānipi nālaṃ gahetuṃ. Na ghaṃsitunti nhāpiyamāno sarīrampi ghaṃsituṃ nālaṃ. Evaṃ yaṃ yaṃ so hatthī kātuṃ na samattho, taṃ taṃ sabbaṃ rañño ārocetvā tassa asamatthabhāve attanā sallakkhitakāraṇaṃ ārocento ‘‘maññāmī’’tiādimāha.
ราชา ตสฺส วจนํ สุตฺวา ‘‘อิทานิ กิํ กาตพฺพํ ปณฺฑิตา’’ติ ปุจฺฉิฯ ‘‘‘อมฺหากํ กิร มงฺคลหตฺถิสฺส สหายํ สุนขํ เอโก มนุโสฺส คเหตฺวา คโต, ยสฺส ฆเร ตํ สุนขํ ปสฺสนฺติ, ตสฺส อยํ นาม ทโณฺฑ’ติ เภริํ จราเปถ เทวา’’ติฯ ราชา ตถา กาเรสิฯ ตํ ปวตฺติํ สุตฺวา โส ปุริโส สุนขํ วิสฺสเชฺชสิ, สุนโข เวเคนาคนฺตฺวา หตฺถิสฺส สนฺติกเมว อคมาสิฯ หตฺถี ตํ โสณฺฑาย คเหตฺวา กุเมฺภ ฐเปตฺวา โรทิตฺวา ปริเทวิตฺวา กุมฺภา โอตาเรตฺวา เตน ภุเตฺต ปจฺฉา อตฺตนาปิ ภุญฺชิฯ ‘‘ติรจฺฉานคตสฺส อาสยํ ชานาตี’’ติ ราชา โพธิสตฺตสฺส มหนฺตํ ยสํ อทาสิฯ
Rājā tassa vacanaṃ sutvā ‘‘idāni kiṃ kātabbaṃ paṇḍitā’’ti pucchi. ‘‘‘Amhākaṃ kira maṅgalahatthissa sahāyaṃ sunakhaṃ eko manusso gahetvā gato, yassa ghare taṃ sunakhaṃ passanti, tassa ayaṃ nāma daṇḍo’ti bheriṃ carāpetha devā’’ti. Rājā tathā kāresi. Taṃ pavattiṃ sutvā so puriso sunakhaṃ vissajjesi, sunakho vegenāgantvā hatthissa santikameva agamāsi. Hatthī taṃ soṇḍāya gahetvā kumbhe ṭhapetvā roditvā paridevitvā kumbhā otāretvā tena bhutte pacchā attanāpi bhuñji. ‘‘Tiracchānagatassa āsayaṃ jānātī’’ti rājā bodhisattassa mahantaṃ yasaṃ adāsi.
สตฺถา ‘‘น, ภิกฺขเว, อิเม อิทาเนว วิสฺสาสิกา, ปุเพฺพปิ วิสฺสาสิกาเยวา’’ติ อิมํ ธมฺมเทสนํ อาหริตฺวา จตุสจฺจกถาย วินิวเฎฺฎตฺวา อนุสนฺธิํ ฆเฎตฺวา ชาตกํ สโมธาเนสิฯ อิทํ จตุสจฺจกถาย วินิวฎฺฎนํ นาม สพฺพชาตเกสุปิ อตฺถิเยวฯ มยํ ปน ยตฺถสฺส อานิสํโส ปญฺญายติ , ตเตฺถว ทสฺสยิสฺสามฯ
Satthā ‘‘na, bhikkhave, ime idāneva vissāsikā, pubbepi vissāsikāyevā’’ti imaṃ dhammadesanaṃ āharitvā catusaccakathāya vinivaṭṭetvā anusandhiṃ ghaṭetvā jātakaṃ samodhānesi. Idaṃ catusaccakathāya vinivaṭṭanaṃ nāma sabbajātakesupi atthiyeva. Mayaṃ pana yatthassa ānisaṃso paññāyati , tattheva dassayissāma.
ตทา สุนโข อุปาสโก อโหสิ, หตฺถี มหลฺลกเตฺถโร, ราชา อานโนฺท, อมจฺจปณฺฑิโต ปน อหเมว อโหสินฺติฯ
Tadā sunakho upāsako ahosi, hatthī mahallakatthero, rājā ānando, amaccapaṇḍito pana ahameva ahosinti.
อภิณฺหชาตกวณฺณนา สตฺตมาฯ
Abhiṇhajātakavaṇṇanā sattamā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / ชาตกปาฬิ • Jātakapāḷi / ๒๗. อภิณฺหชาตกํ • 27. Abhiṇhajātakaṃ