Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / องฺคุตฺตรนิกาย • Aṅguttaranikāya

    ๗. อภิณฺหปจฺจเวกฺขิตพฺพฐานสุตฺตํ

    7. Abhiṇhapaccavekkhitabbaṭhānasuttaṃ

    ๕๗. ‘‘ปญฺจิมานิ, ภิกฺขเว, ฐานานิ อภิณฺหํ ปจฺจเวกฺขิตพฺพานิ อิตฺถิยา วา ปุริเสน วา คหเฎฺฐน วา ปพฺพชิเตน วาฯ กตมานิ ปญฺจ? ‘ชราธโมฺมมฺหิ, ชรํ อนตีโต’ติ อภิณฺหํ ปจฺจเวกฺขิตพฺพํ อิตฺถิยา วา ปุริเสน วา คหเฎฺฐน วา ปพฺพชิเตน วาฯ ‘พฺยาธิธโมฺมมฺหิ, พฺยาธิํ อนตีโต’ติ อภิณฺหํ ปจฺจเวกฺขิตพฺพํ อิตฺถิยา วา ปุริเสน วา คหเฎฺฐน วา ปพฺพชิเตน วาฯ ‘มรณธโมฺมมฺหิ, มรณํ อนตีโต’ติ อภิณฺหํ ปจฺจเวกฺขิตพฺพํ อิตฺถิยา วา ปุริเสน วา คหเฎฺฐน วา ปพฺพชิเตน วาฯ ‘สเพฺพหิ เม ปิเยหิ มนาเปหิ นานาภาโว วินาภาโว’ติ อภิณฺหํ ปจฺจเวกฺขิตพฺพํ อิตฺถิยา วา ปุริเสน วา คหเฎฺฐน วา ปพฺพชิเตน วาฯ ‘กมฺมสฺสโกมฺหิ, กมฺมทายาโท กมฺมโยนิ กมฺมพนฺธุ กมฺมปฎิสรโณฯ ยํ กมฺมํ กริสฺสามิ – กลฺยาณํ วา ปาปกํ วา – ตสฺส ทายาโท ภวิสฺสามี’ติ อภิณฺหํ ปจฺจเวกฺขิตพฺพํ อิตฺถิยา วา ปุริเสน วา คหเฎฺฐน วา ปพฺพชิเตน วาฯ

    57. ‘‘Pañcimāni, bhikkhave, ṭhānāni abhiṇhaṃ paccavekkhitabbāni itthiyā vā purisena vā gahaṭṭhena vā pabbajitena vā. Katamāni pañca? ‘Jarādhammomhi, jaraṃ anatīto’ti abhiṇhaṃ paccavekkhitabbaṃ itthiyā vā purisena vā gahaṭṭhena vā pabbajitena vā. ‘Byādhidhammomhi, byādhiṃ anatīto’ti abhiṇhaṃ paccavekkhitabbaṃ itthiyā vā purisena vā gahaṭṭhena vā pabbajitena vā. ‘Maraṇadhammomhi, maraṇaṃ anatīto’ti abhiṇhaṃ paccavekkhitabbaṃ itthiyā vā purisena vā gahaṭṭhena vā pabbajitena vā. ‘Sabbehi me piyehi manāpehi nānābhāvo vinābhāvo’ti abhiṇhaṃ paccavekkhitabbaṃ itthiyā vā purisena vā gahaṭṭhena vā pabbajitena vā. ‘Kammassakomhi, kammadāyādo kammayoni kammabandhu kammapaṭisaraṇo. Yaṃ kammaṃ karissāmi – kalyāṇaṃ vā pāpakaṃ vā – tassa dāyādo bhavissāmī’ti abhiṇhaṃ paccavekkhitabbaṃ itthiyā vā purisena vā gahaṭṭhena vā pabbajitena vā.

    ‘‘กิญฺจ, ภิกฺขเว, อตฺถวสํ ปฎิจฺจ ‘ชราธโมฺมมฺหิ, ชรํ อนตีโต’ติ อภิณฺหํ ปจฺจเวกฺขิตพฺพํ อิตฺถิยา วา ปุริเสน วา คหเฎฺฐน วา ปพฺพชิเตน วา? อตฺถิ, ภิกฺขเว, สตฺตานํ โยพฺพเน โยพฺพนมโท, เยน มเทน มตฺตา กาเยน ทุจฺจริตํ จรนฺติ, วาจาย ทุจฺจริตํ จรนฺติ, มนสา ทุจฺจริตํ จรนฺติฯ ตสฺส ตํ ฐานํ อภิณฺหํ ปจฺจเวกฺขโต โย โยพฺพเน โยพฺพนมโท โส สพฺพโส วา ปหียติ ตนุ วา ปน โหติฯ อิทํ โข, ภิกฺขเว, อตฺถวสํ ปฎิจฺจ ‘ชราธโมฺมมฺหิ, ชรํ อนตีโต’ติ อภิณฺหํ ปจฺจเวกฺขิตพฺพํ อิตฺถิยา วา ปุริเสน วา คหเฎฺฐน วา ปพฺพชิเตน วาฯ

    ‘‘Kiñca, bhikkhave, atthavasaṃ paṭicca ‘jarādhammomhi, jaraṃ anatīto’ti abhiṇhaṃ paccavekkhitabbaṃ itthiyā vā purisena vā gahaṭṭhena vā pabbajitena vā? Atthi, bhikkhave, sattānaṃ yobbane yobbanamado, yena madena mattā kāyena duccaritaṃ caranti, vācāya duccaritaṃ caranti, manasā duccaritaṃ caranti. Tassa taṃ ṭhānaṃ abhiṇhaṃ paccavekkhato yo yobbane yobbanamado so sabbaso vā pahīyati tanu vā pana hoti. Idaṃ kho, bhikkhave, atthavasaṃ paṭicca ‘jarādhammomhi, jaraṃ anatīto’ti abhiṇhaṃ paccavekkhitabbaṃ itthiyā vā purisena vā gahaṭṭhena vā pabbajitena vā.

    ‘‘กิญฺจ , ภิกฺขเว, อตฺถวสํ ปฎิจฺจ ‘พฺยาธิธโมฺมมฺหิ, พฺยาธิํ อนตีโต’ติ อภิณฺหํ ปจฺจเวกฺขิตพฺพํ อิตฺถิยา วา ปุริเสน วา คหเฎฺฐน วา ปพฺพชิเตน วา? อตฺถิ, ภิกฺขเว, สตฺตานํ อาโรเคฺย อาโรคฺยมโท, เยน มเทน มตฺตา กาเยน ทุจฺจริตํ จรนฺติ, วาจาย ทุจฺจริตํ จรนฺติ, มนสา ทุจฺจริตํ จรนฺติฯ ตสฺส ตํ ฐานํ อภิณฺหํ ปจฺจเวกฺขโต โย อาโรเคฺย อาโรคฺยมโท โส สพฺพโส วา ปหียติ ตนุ วา ปน โหติฯ อิทํ โข, ภิกฺขเว, อตฺถวสํ ปฎิจฺจ ‘พฺยาธิธโมฺมมฺหิ, พฺยาธิํ อนตีโต’ติ อภิณฺหํ ปจฺจเวกฺขิตพฺพํ อิตฺถิยา วา ปุริเสน วา คหเฎฺฐน วา ปพฺพชิเตน วาฯ

    ‘‘Kiñca , bhikkhave, atthavasaṃ paṭicca ‘byādhidhammomhi, byādhiṃ anatīto’ti abhiṇhaṃ paccavekkhitabbaṃ itthiyā vā purisena vā gahaṭṭhena vā pabbajitena vā? Atthi, bhikkhave, sattānaṃ ārogye ārogyamado, yena madena mattā kāyena duccaritaṃ caranti, vācāya duccaritaṃ caranti, manasā duccaritaṃ caranti. Tassa taṃ ṭhānaṃ abhiṇhaṃ paccavekkhato yo ārogye ārogyamado so sabbaso vā pahīyati tanu vā pana hoti. Idaṃ kho, bhikkhave, atthavasaṃ paṭicca ‘byādhidhammomhi, byādhiṃ anatīto’ti abhiṇhaṃ paccavekkhitabbaṃ itthiyā vā purisena vā gahaṭṭhena vā pabbajitena vā.

    ‘‘กิญฺจ, ภิกฺขเว, อตฺถวสํ ปฎิจฺจ ‘มรณธโมฺมมฺหิ, มรณํ อนตีโต’ติ อภิณฺหํ ปจฺจเวกฺขิตพฺพํ อิตฺถิยา วา ปุริเสน วา คหเฎฺฐน วา ปพฺพชิเตน วา? อตฺถิ, ภิกฺขเว, สตฺตานํ ชีวิเต ชีวิตมโท, เยน มเทน มตฺตา กาเยน ทุจฺจริตํ จรนฺติ, วาจาย ทุจฺจริตํ จรนฺติ, มนสา ทุจฺจริตํ จรนฺติฯ ตสฺส ตํ ฐานํ อภิณฺหํ ปจฺจเวกฺขโต โย ชีวิเต ชีวิตมโท โส สพฺพโส วา ปหียติ ตนุ วา ปน โหติฯ อิทํ โข, ภิกฺขเว, อตฺถวสํ ปฎิจฺจ ‘มรณธโมฺมมฺหิ, มรณํ อนตีโต’ติ อภิณฺหํ ปจฺจเวกฺขิตพฺพํ อิตฺถิยา วา ปุริเสน วา คหเฎฺฐน วา ปพฺพชิเตน วาฯ

    ‘‘Kiñca, bhikkhave, atthavasaṃ paṭicca ‘maraṇadhammomhi, maraṇaṃ anatīto’ti abhiṇhaṃ paccavekkhitabbaṃ itthiyā vā purisena vā gahaṭṭhena vā pabbajitena vā? Atthi, bhikkhave, sattānaṃ jīvite jīvitamado, yena madena mattā kāyena duccaritaṃ caranti, vācāya duccaritaṃ caranti, manasā duccaritaṃ caranti. Tassa taṃ ṭhānaṃ abhiṇhaṃ paccavekkhato yo jīvite jīvitamado so sabbaso vā pahīyati tanu vā pana hoti. Idaṃ kho, bhikkhave, atthavasaṃ paṭicca ‘maraṇadhammomhi, maraṇaṃ anatīto’ti abhiṇhaṃ paccavekkhitabbaṃ itthiyā vā purisena vā gahaṭṭhena vā pabbajitena vā.

    ‘‘กิญฺจ, ภิกฺขเว, อตฺถวสํ ปฎิจฺจ ‘สเพฺพหิ เม ปิเยหิ มนาเปหิ นานาภาโว วินาภาโว’ติ อภิณฺหํ ปจฺจเวกฺขิตพฺพํ อิตฺถิยา วา ปุริเสน วา คหเฎฺฐน วา ปพฺพชิเตน วา? อตฺถิ, ภิกฺขเว, สตฺตานํ ปิเยสุ มนาเปสุ โย ฉนฺทราโค เยน ราเคน รตฺตา กาเยน ทุจฺจริตํ จรนฺติ, วาจาย ทุจฺจริตํ จรนฺติ, มนสา ทุจฺจริตํ จรนฺติฯ ตสฺส ตํ ฐานํ อภิณฺหํ ปจฺจเวกฺขโต โย ปิเยสุ มนาเปสุ ฉนฺทราโค โส สพฺพโส วา ปหียติ ตนุ วา ปน โหติฯ อิทํ โข, ภิกฺขเว, อตฺถวสํ ปฎิจฺจ ‘สเพฺพหิ เม ปิเยหิ มนาเปหิ นานาภาโว วินาภาโว’ติ อภิณฺหํ ปจฺจเวกฺขิตพฺพํ อิตฺถิยา วา ปุริเสน วา คหเฎฺฐน วา ปพฺพชิเตน วาฯ

    ‘‘Kiñca, bhikkhave, atthavasaṃ paṭicca ‘sabbehi me piyehi manāpehi nānābhāvo vinābhāvo’ti abhiṇhaṃ paccavekkhitabbaṃ itthiyā vā purisena vā gahaṭṭhena vā pabbajitena vā? Atthi, bhikkhave, sattānaṃ piyesu manāpesu yo chandarāgo yena rāgena rattā kāyena duccaritaṃ caranti, vācāya duccaritaṃ caranti, manasā duccaritaṃ caranti. Tassa taṃ ṭhānaṃ abhiṇhaṃ paccavekkhato yo piyesu manāpesu chandarāgo so sabbaso vā pahīyati tanu vā pana hoti. Idaṃ kho, bhikkhave, atthavasaṃ paṭicca ‘sabbehi me piyehi manāpehi nānābhāvo vinābhāvo’ti abhiṇhaṃ paccavekkhitabbaṃ itthiyā vā purisena vā gahaṭṭhena vā pabbajitena vā.

    ‘‘กิญฺจ, ภิกฺขเว, อตฺถวสํ ปฎิจฺจ ‘กมฺมสฺสโกมฺหิ, กมฺมทายาโท กมฺมโยนิ กมฺมพนฺธุ กมฺมปฎิสรโณ, ยํ กมฺมํ กริสฺสามิ – กลฺยาณํ วา ปาปกํ วา – ตสฺส ทายาโท ภวิสฺสามี’ติ อภิณฺหํ ปจฺจเวกฺขิตพฺพํ อิตฺถิยา วา ปุริเสน วา คหเฎฺฐน วา ปพฺพชิเตน วา ? อตฺถิ, ภิกฺขเว, สตฺตานํ กายทุจฺจริตํ วจีทุจฺจริตํ มโนทุจฺจริตํฯ ตสฺส ตํ ฐานํ อภิณฺหํ ปจฺจเวกฺขโต สพฺพโส วา ทุจฺจริตํ ปหียติ ตนุ วา ปน โหติฯ อิทํ โข, ภิกฺขเว, อตฺถวสํ ปฎิจฺจ ‘กมฺมสฺสโกมฺหิ, กมฺมทายาโท กมฺมโยนิ กมฺมพนฺธุ กมฺมปฎิสรโณ, ยํ กมฺมํ กริสฺสามิ – กลฺยาณํ วา ปาปกํ วา – ตสฺส ทายาโท ภวิสฺสามี’ติ อภิณฺหํ ปจฺจเวกฺขิตพฺพํ อิตฺถิยา วา ปุริเสน วา คหเฎฺฐน วา ปพฺพชิเตน วาฯ

    ‘‘Kiñca, bhikkhave, atthavasaṃ paṭicca ‘kammassakomhi, kammadāyādo kammayoni kammabandhu kammapaṭisaraṇo, yaṃ kammaṃ karissāmi – kalyāṇaṃ vā pāpakaṃ vā – tassa dāyādo bhavissāmī’ti abhiṇhaṃ paccavekkhitabbaṃ itthiyā vā purisena vā gahaṭṭhena vā pabbajitena vā ? Atthi, bhikkhave, sattānaṃ kāyaduccaritaṃ vacīduccaritaṃ manoduccaritaṃ. Tassa taṃ ṭhānaṃ abhiṇhaṃ paccavekkhato sabbaso vā duccaritaṃ pahīyati tanu vā pana hoti. Idaṃ kho, bhikkhave, atthavasaṃ paṭicca ‘kammassakomhi, kammadāyādo kammayoni kammabandhu kammapaṭisaraṇo, yaṃ kammaṃ karissāmi – kalyāṇaṃ vā pāpakaṃ vā – tassa dāyādo bhavissāmī’ti abhiṇhaṃ paccavekkhitabbaṃ itthiyā vā purisena vā gahaṭṭhena vā pabbajitena vā.

    ‘‘ส โข 1 โส, ภิกฺขเว, อริยสาวโก อิติ ปฎิสญฺจิกฺขติ – ‘น โข อหเญฺญเวโก ชราธโมฺม 2 ชรํ อนตีโต, อถ โข ยาวตา สตฺตานํ อาคติ คติ จุติ อุปปตฺติ สเพฺพ สตฺตา ชราธมฺมา ชรํ อนตีตา’ติฯ ตสฺส ตํ ฐานํ อภิณฺหํ ปจฺจเวกฺขโต มโคฺค สญฺชายติฯ โส ตํ มคฺคํ อาเสวติ ภาเวติ พหุลีกโรติฯ ตสฺส ตํ มคฺคํ อาเสวโต ภาวยโต พหุลีกโรโต สํโยชนานิ สพฺพโส ปหียนฺติ อนุสยา พฺยนฺตีโหนฺติฯ

    ‘‘Sa kho 3 so, bhikkhave, ariyasāvako iti paṭisañcikkhati – ‘na kho ahaññeveko jarādhammo 4 jaraṃ anatīto, atha kho yāvatā sattānaṃ āgati gati cuti upapatti sabbe sattā jarādhammā jaraṃ anatītā’ti. Tassa taṃ ṭhānaṃ abhiṇhaṃ paccavekkhato maggo sañjāyati. So taṃ maggaṃ āsevati bhāveti bahulīkaroti. Tassa taṃ maggaṃ āsevato bhāvayato bahulīkaroto saṃyojanāni sabbaso pahīyanti anusayā byantīhonti.

    ‘‘ส โข โส, ภิกฺขเว, อริยสาวโก อิติ ปฎิสญฺจิกฺขติ – ‘น โข อหเญฺญเวโก พฺยาธิธโมฺม พฺยาธิํ อนตีโต, อถ โข ยาวตา สตฺตานํ อาคติ คติ จุติ อุปปตฺติ สเพฺพ สตฺตา พฺยาธิธมฺมา พฺยาธิํ อนตีตา’ติฯ ตสฺส ตํ ฐานํ อภิณฺหํ ปจฺจเวกฺขโต มโคฺค สญฺชายติฯ โส ตํ มคฺคํ อาเสวติ ภาเวติ พหุลีกโรติฯ ตสฺส ตํ มคฺคํ อาเสวโต ภาวยโต พหุลีกโรโต สํโยชนานิ สพฺพโส ปหียนฺติ, อนุสยา พฺยนฺตีโหนฺติฯ

    ‘‘Sa kho so, bhikkhave, ariyasāvako iti paṭisañcikkhati – ‘na kho ahaññeveko byādhidhammo byādhiṃ anatīto, atha kho yāvatā sattānaṃ āgati gati cuti upapatti sabbe sattā byādhidhammā byādhiṃ anatītā’ti. Tassa taṃ ṭhānaṃ abhiṇhaṃ paccavekkhato maggo sañjāyati. So taṃ maggaṃ āsevati bhāveti bahulīkaroti. Tassa taṃ maggaṃ āsevato bhāvayato bahulīkaroto saṃyojanāni sabbaso pahīyanti, anusayā byantīhonti.

    ‘‘ส โข โส, ภิกฺขเว, อริยสาวโก อิติ ปฎิสญฺจิกฺขติ – ‘น โข อหเญฺญเวโก มรณธโมฺม มรณํ อนตีโต, อถ โข ยาวตา สตฺตานํ อาคติ คติ จุติ อุปปตฺติ สเพฺพ สตฺตา มรณธมฺมา มรณํ อนตีตา’ติฯ ตสฺส ตํ ฐานํ อภิณฺหํ ปจฺจเวกฺขโต มโคฺค สญฺชายติฯ โส ตํ มคฺคํ อาเสวติ ภาเวติ พหุลีกโรติฯ ตสฺส ตํ มคฺคํ อาเสวโต ภาวยโต พหุลีกโรโต สํโยชนานิ สพฺพโส ปหียนฺติ, อนุสยา พฺยนฺตีโหนฺติฯ

    ‘‘Sa kho so, bhikkhave, ariyasāvako iti paṭisañcikkhati – ‘na kho ahaññeveko maraṇadhammo maraṇaṃ anatīto, atha kho yāvatā sattānaṃ āgati gati cuti upapatti sabbe sattā maraṇadhammā maraṇaṃ anatītā’ti. Tassa taṃ ṭhānaṃ abhiṇhaṃ paccavekkhato maggo sañjāyati. So taṃ maggaṃ āsevati bhāveti bahulīkaroti. Tassa taṃ maggaṃ āsevato bhāvayato bahulīkaroto saṃyojanāni sabbaso pahīyanti, anusayā byantīhonti.

    ‘‘ส โข โส, ภิกฺขเว, อริยสาวโก อิติ ปฎิสญฺจิกฺขติ – ‘น โข มเยฺหเวกสฺส สเพฺพหิ ปิเยหิ มนาเปหิ นานาภาโว วินาภาโว, อถ โข ยาวตา สตฺตานํ อาคติ คติ จุติ อุปปตฺติ สเพฺพสํ สตฺตานํ ปิเยหิ มนาเปหิ นานาภาโว วินาภาโว’ติฯ ตสฺส ตํ ฐานํ อภิณฺหํ ปจฺจเวกฺขโต มโคฺค สญฺชายติฯ โส ตํ มคฺคํ อาเสวติ ภาเวติ พหุลีกโรติฯ ตสฺส ตํ มคฺคํ อาเสวโต ภาวยโต พหุลีกโรโต สํโยชนานิ สพฺพโส ปหียนฺติ, อนุสยา พฺยนฺตีโหนฺติฯ

    ‘‘Sa kho so, bhikkhave, ariyasāvako iti paṭisañcikkhati – ‘na kho mayhevekassa sabbehi piyehi manāpehi nānābhāvo vinābhāvo, atha kho yāvatā sattānaṃ āgati gati cuti upapatti sabbesaṃ sattānaṃ piyehi manāpehi nānābhāvo vinābhāvo’ti. Tassa taṃ ṭhānaṃ abhiṇhaṃ paccavekkhato maggo sañjāyati. So taṃ maggaṃ āsevati bhāveti bahulīkaroti. Tassa taṃ maggaṃ āsevato bhāvayato bahulīkaroto saṃyojanāni sabbaso pahīyanti, anusayā byantīhonti.

    ‘‘ส โข โส, ภิกฺขเว, อริยสาวโก อิติ ปฎิสญฺจิกฺขติ – ‘น โข อหเญฺญเวโก กมฺมสฺสโก กมฺมทายาโท กมฺมโยนิ กมฺมพนฺธุ กมฺมปฺปฎิสรโณ, ยํ กมฺมํ กริสฺสามิ – กลฺยาณํ วา ปาปกํ วา – ตสฺส ทายาโท ภวิสฺสามิ; อถ โข ยาวตา สตฺตานํ อาคติ คติ จุติ อุปปตฺติ สเพฺพ สตฺตา กมฺมสฺสกา กมฺมทายาทา กมฺมโยนิ กมฺมพนฺธุ กมฺมปฺปฎิสรณา, ยํ กมฺมํ กริสฺสนฺติ – กลฺยาณํ วา ปาปกํ วา – ตสฺส ทายาทา ภวิสฺสนฺตี’ติ ฯ ตสฺส ตํ ฐานํ อภิณฺหํ ปจฺจเวกฺขโต มโคฺค สญฺชายติฯ โส ตํ มคฺคํ อาเสวติ ภาเวติ พหุลีกโรติฯ ตสฺส ตํ มคฺคํ อาเสวโต ภาวยโต พหุลีกโรโต สํโยชนานิ สพฺพโส ปหียนฺติ, อนุสยา พฺยนฺตีโหนฺตี’’ติฯ

    ‘‘Sa kho so, bhikkhave, ariyasāvako iti paṭisañcikkhati – ‘na kho ahaññeveko kammassako kammadāyādo kammayoni kammabandhu kammappaṭisaraṇo, yaṃ kammaṃ karissāmi – kalyāṇaṃ vā pāpakaṃ vā – tassa dāyādo bhavissāmi; atha kho yāvatā sattānaṃ āgati gati cuti upapatti sabbe sattā kammassakā kammadāyādā kammayoni kammabandhu kammappaṭisaraṇā, yaṃ kammaṃ karissanti – kalyāṇaṃ vā pāpakaṃ vā – tassa dāyādā bhavissantī’ti . Tassa taṃ ṭhānaṃ abhiṇhaṃ paccavekkhato maggo sañjāyati. So taṃ maggaṃ āsevati bhāveti bahulīkaroti. Tassa taṃ maggaṃ āsevato bhāvayato bahulīkaroto saṃyojanāni sabbaso pahīyanti, anusayā byantīhontī’’ti.

    ‘‘พฺยาธิธมฺมา ชราธมฺมา, อโถ มรณธมฺมิโน;

    ‘‘Byādhidhammā jarādhammā, atho maraṇadhammino;

    ยถา ธมฺมา ตถา สตฺตา 5, ชิคุจฺฉนฺติ ปุถุชฺชนาฯ

    Yathā dhammā tathā sattā 6, jigucchanti puthujjanā.

    ‘‘อหเญฺจ ตํ ชิคุเจฺฉยฺยํ, เอวํ ธเมฺมสุ ปาณิสุ;

    ‘‘Ahañce taṃ jiguccheyyaṃ, evaṃ dhammesu pāṇisu;

    น เมตํ ปติรูปสฺส, มม เอวํ วิหาริโนฯ

    Na metaṃ patirūpassa, mama evaṃ vihārino.

    ‘‘โสหํ เอวํ วิหรโนฺต, ญตฺวา ธมฺมํ นิรูปธิํ;

    ‘‘Sohaṃ evaṃ viharanto, ñatvā dhammaṃ nirūpadhiṃ;

    อาโรเคฺย โยพฺพนสฺมิญฺจ, ชีวิตสฺมิญฺจ เย มทาฯ

    Ārogye yobbanasmiñca, jīvitasmiñca ye madā.

    ‘‘สเพฺพ มเท อภิโภสฺมิ, เนกฺขมฺมํ ทฎฺฐุ เขมโต 7;

    ‘‘Sabbe made abhibhosmi, nekkhammaṃ daṭṭhu khemato 8;

    ตสฺส เม อหุ อุสฺสาโห, นิพฺพานํ อภิปสฺสโตฯ

    Tassa me ahu ussāho, nibbānaṃ abhipassato.

    ‘‘นาหํ ภโพฺพ เอตรหิ, กามานิ ปฎิเสวิตุํ;

    ‘‘Nāhaṃ bhabbo etarahi, kāmāni paṭisevituṃ;

    อนิวตฺติ 9 ภวิสฺสามิ, พฺรหฺมจริยปรายโณ’’ติฯ สตฺตมํ;

    Anivatti 10 bhavissāmi, brahmacariyaparāyaṇo’’ti. sattamaṃ;







    Footnotes:
    1. สเจ (ปี. ก.)
    2. อหเญฺจเวโก ชราธโมฺมมฺหิ (ก.)
    3. sace (pī. ka.)
    4. ahañceveko jarādhammomhi (ka.)
    5. สนฺตา (สฺยา. กํ.)
    6. santā (syā. kaṃ.)
    7. เนกฺขเมฺม ทฎฺฐุ เขมตํ (อ. นิ. ๓.๓๙) อุภยตฺถปิ อฎฺฐกถาย สเมติ
    8. nekkhamme daṭṭhu khemataṃ (a. ni. 3.39) ubhayatthapi aṭṭhakathāya sameti
    9. อนิวตฺตี (?)
    10. anivattī (?)



    Related texts:



    อฎฺฐกถา • Aṭṭhakathā / สุตฺตปิฎก (อฎฺฐกถา) • Suttapiṭaka (aṭṭhakathā) / องฺคุตฺตรนิกาย (อฎฺฐกถา) • Aṅguttaranikāya (aṭṭhakathā) / ๗. อภิณฺหปจฺจเวกฺขิตพฺพฐานสุตฺตวณฺณนา • 7. Abhiṇhapaccavekkhitabbaṭhānasuttavaṇṇanā

    ฎีกา • Tīkā / สุตฺตปิฎก (ฎีกา) • Suttapiṭaka (ṭīkā) / องฺคุตฺตรนิกาย (ฎีกา) • Aṅguttaranikāya (ṭīkā) / ๗. อภิณฺหปจฺจเวกฺขิตพฺพฎฺฐานสุตฺตวณฺณนา • 7. Abhiṇhapaccavekkhitabbaṭṭhānasuttavaṇṇanā


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact