Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / องฺคุตฺตรนิกาย (อฎฺฐกถา) • Aṅguttaranikāya (aṭṭhakathā)

    ๖. อจฺฉราสงฺฆาตวคฺควณฺณนา

    6. Accharāsaṅghātavaggavaṇṇanā

    ๕๑. ฉฎฺฐสฺส ปฐเม ตํ อสฺสุตวา ปุถุชฺชโนติ ตํ ภวงฺคจิตฺตํ สุตวิรหิโต ปุถุชฺชโนฯ ตตฺถ อาคมาธิคมาภาวา เญโยฺย อสฺสุตวา อิติฯ โย หิ อิทํ สุตฺตํ อาทิโต ปฎฺฐาย อตฺถวเสน อุปปริกฺขโนฺต ‘‘อิทํ ภวงฺคจิตฺตํ นาม ปกติปริสุทฺธมฺปิ ชวนกฺขเณ อุปฺปเนฺนหิ โลภาทีหิ อุปกฺกิเลเสหิ อุปกฺกิลิฎฺฐ’’นฺติ เนว อาคมวเสน น อธิคมวเสน ชานาติ, ยสฺส จ ขนฺธธาตุอายตนปจฺจยาการสติปฎฺฐานาทีสุ อุคฺคหปริปุจฺฉาวินิจฺฉยวิรหิตตฺตา ยถาภูตญาณปฎิเวธสาธโก เนว อาคโม, ปฎิปตฺติยา อธิคนฺตพฺพสฺส อนธิคตตฺตา น อธิคโม อตฺถิฯ โส อาคมาธิคมาภาวา เญโยฺย อสฺสุตวา อิติฯ สฺวายํ –

    51. Chaṭṭhassa paṭhame taṃ assutavā puthujjanoti taṃ bhavaṅgacittaṃ sutavirahito puthujjano. Tattha āgamādhigamābhāvā ñeyyo assutavā iti. Yo hi idaṃ suttaṃ ādito paṭṭhāya atthavasena upaparikkhanto ‘‘idaṃ bhavaṅgacittaṃ nāma pakatiparisuddhampi javanakkhaṇe uppannehi lobhādīhi upakkilesehi upakkiliṭṭha’’nti neva āgamavasena na adhigamavasena jānāti, yassa ca khandhadhātuāyatanapaccayākārasatipaṭṭhānādīsu uggahaparipucchāvinicchayavirahitattā yathābhūtañāṇapaṭivedhasādhako neva āgamo, paṭipattiyā adhigantabbassa anadhigatattā na adhigamo atthi. So āgamādhigamābhāvā ñeyyo assutavā iti. Svāyaṃ –

    ‘‘ปุถูนํ ชนนาทีหิ, การเณหิ ปุถุชฺชโน;

    ‘‘Puthūnaṃ jananādīhi, kāraṇehi puthujjano;

    ปุถุชฺชนโนฺตคธตฺตา, ปุถุวายํ ชโน อิติ’’ฯ

    Puthujjanantogadhattā, puthuvāyaṃ jano iti’’.

    โส หิ ปุถูนํ นานปฺปการานํ กิเลสาทีนํ ชนนาทีหิ การเณหิ ปุถุชฺชโนฯ ยถาห –

    So hi puthūnaṃ nānappakārānaṃ kilesādīnaṃ jananādīhi kāraṇehi puthujjano. Yathāha –

    ‘‘ปุถุ กิเลเส ชเนนฺตีติ ปุถุชฺชนา, ปุถุ อวิหตสกฺกายทิฎฺฐิกาติ ปุถุชฺชนา, ปุถุ สตฺถารานํ มุขุโลฺลกิกาติ ปุถุชฺชนา, ปุถุ สพฺพคตีหิ อวุฎฺฐิตาติ ปุถุชฺชนา, ปุถุ นานาภิสงฺขาเร อภิสงฺขโรนฺตีติ ปุถุชฺชนา, ปุถุ นานาโอเฆหิ วุยฺหนฺตีติ ปุถุชฺชนา, ปุถุ นานาสนฺตาเปหิ สนฺตปฺปนฺตีติ ปุถุชฺชนา, ปุถุ นานาปริฬาเหหิ ปริฑยฺหนฺตีติ ปุถุชฺชนา, ปุถุ ปญฺจสุ กามคุเณสุ รตฺตา คิทฺธา คธิตา มุจฺฉิตา อโชฺฌปนฺนา ลคฺคา ลคฺคิตา ปลิพุทฺธาติ ปุถุชฺชนา, ปุถุ ปญฺจหิ นีวรเณหิ อาวุตา นิวุตา โอวุตา ปิหิตา ปฎิจฺฉนฺนา ปฎิกุชฺชิตาติ ปุถุชฺชนา’’ติ (มหานิ. ๕๑, ๙๔)ฯ

    ‘‘Puthu kilese janentīti puthujjanā, puthu avihatasakkāyadiṭṭhikāti puthujjanā, puthu satthārānaṃ mukhullokikāti puthujjanā, puthu sabbagatīhi avuṭṭhitāti puthujjanā, puthu nānābhisaṅkhāre abhisaṅkharontīti puthujjanā, puthu nānāoghehi vuyhantīti puthujjanā, puthu nānāsantāpehi santappantīti puthujjanā, puthu nānāpariḷāhehi pariḍayhantīti puthujjanā, puthu pañcasu kāmaguṇesu rattā giddhā gadhitā mucchitā ajjhopannā laggā laggitā palibuddhāti puthujjanā, puthu pañcahi nīvaraṇehi āvutā nivutā ovutā pihitā paṭicchannā paṭikujjitāti puthujjanā’’ti (mahāni. 51, 94).

    ปุถูนํ วา คณนปถมตีตานํ อริยธมฺมปรมฺมุขานํ นีจธมฺมสมาจารานํ ชนานํ อโนฺตคธตฺตาปิ ปุถุชฺชโน, ปุถุ วา อยํ วิสุํเยว สงฺขํ คโต, วิสํสโฎฺฐ สีลสุตาทิคุณยุเตฺตหิ อริเยหิ ชโนติ ปุถุชฺชโนฯ เอวเมเตหิ ‘‘อสฺสุตวา ปุถุชฺชโน’’ติ ทฺวีหิ ปเทหิ เย เต –

    Puthūnaṃ vā gaṇanapathamatītānaṃ ariyadhammaparammukhānaṃ nīcadhammasamācārānaṃ janānaṃ antogadhattāpi puthujjano, puthu vā ayaṃ visuṃyeva saṅkhaṃ gato, visaṃsaṭṭho sīlasutādiguṇayuttehi ariyehi janoti puthujjano. Evametehi ‘‘assutavā puthujjano’’ti dvīhi padehi ye te –

    ‘‘ทุเว ปุถุชฺชนา วุตฺตา, พุเทฺธนาทิจฺจพนฺธุนา;

    ‘‘Duve puthujjanā vuttā, buddhenādiccabandhunā;

    อโนฺธ ปุถุชฺชโน เอโก, กลฺยาเณโก ปุถุชฺชโน’’ติฯ –

    Andho puthujjano eko, kalyāṇeko puthujjano’’ti. –

    เทฺว ปุถุชฺชนา วุตฺตา, เตสุ อนฺธปุถุชฺชโน วุโตฺต โหตีติ เวทิตโพฺพฯ

    Dve puthujjanā vuttā, tesu andhaputhujjano vutto hotīti veditabbo.

    ยถาภูตํ นปฺปชานาตีติ ‘‘อิทญฺจ ภวงฺคจิตฺตํ เอวํ อาคนฺตุเกหิ อุปกฺกิเลเสหิ อุปกฺกิลิฎฺฐํ นาม โหติ, เอวํ วิปฺปมุตฺตํ นามา’’ติ ยถาสภาวโต น ชานาติฯ ตสฺมาติ ยสฺมา น ชานาติ, ตสฺมาฯ จิตฺตภาวนา นตฺถีติ จิตฺตฎฺฐิติ จิตฺตปริคฺคโห นตฺถิ, นตฺถิภาเวเนว ‘‘นตฺถี’’ติ วทามีติ ทเสฺสติฯ

    Yathābhūtaṃ nappajānātīti ‘‘idañca bhavaṅgacittaṃ evaṃ āgantukehi upakkilesehi upakkiliṭṭhaṃ nāma hoti, evaṃ vippamuttaṃ nāmā’’ti yathāsabhāvato na jānāti. Tasmāti yasmā na jānāti, tasmā. Cittabhāvanā natthīti cittaṭṭhiti cittapariggaho natthi, natthibhāveneva ‘‘natthī’’ti vadāmīti dasseti.

    ๕๒. ทุติเย สุตวาติ สุตสมฺปโนฺนฯ วิตฺถารโต ปเนตฺถ อสฺสุตวาติ ปทสฺส ปฎิปกฺขวเสน อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ อริยสาวโกติ อตฺถิ อริโย น สาวโก, เสยฺยถาปิ พุทฺธา เจว ปเจฺจกพุทฺธา จ; อตฺถิ สาวโก น อริโย, เสยฺยถาปิ คิหี อนาคตผโล; อตฺถิ เนว อริโย น สาวโก เสยฺยถาปิ ปุถุติตฺถิยาฯ อตฺถิ อริโยเจว สาวโก จ, เสยฺยถาปิ สมณา สกฺยปุตฺติยา อาคตผลา วิญฺญาตสาสนาฯ อิธ ปน คิหี วา โหตุ ปพฺพชิโต วา, โย โกจิ สุตวาติ เอตฺถ วุตฺตสฺส อตฺถสฺส วเสน สุตสมฺปโนฺน, อยํ อริยสาวโกติ เวทิตโพฺพฯ ยถาภูตํ ปชานาตีติ ‘‘เอวมิทํ ภวงฺคจิตฺตํ อาคนฺตุเกหิ อุปกฺกิเลเสหิ วิปฺปมุตฺตํ โหติ, เอวํ อุปกฺกิลิฎฺฐ’’นฺติ ยถาสภาวโต ชานาติฯ จิตฺตภาวนา อตฺถีติ จิตฺตฎฺฐิติ จิตฺตปริคฺคโห อตฺถิ, อตฺถิภาเวเนว ‘‘อตฺถี’’ติ วทามีติ ทเสฺสติฯ อิมสฺมิํ สุเตฺต พลววิปสฺสนา กถิตาฯ เกจิ ตรุณวิปสฺสนาติ วทนฺติฯ

    52. Dutiye sutavāti sutasampanno. Vitthārato panettha assutavāti padassa paṭipakkhavasena attho veditabbo. Ariyasāvakoti atthi ariyo na sāvako, seyyathāpi buddhā ceva paccekabuddhā ca; atthi sāvako na ariyo, seyyathāpi gihī anāgataphalo; atthi neva ariyo na sāvako seyyathāpi puthutitthiyā. Atthi ariyoceva sāvako ca, seyyathāpi samaṇā sakyaputtiyā āgataphalā viññātasāsanā. Idha pana gihī vā hotu pabbajito vā, yo koci sutavāti ettha vuttassa atthassa vasena sutasampanno, ayaṃ ariyasāvakoti veditabbo. Yathābhūtaṃ pajānātīti ‘‘evamidaṃ bhavaṅgacittaṃ āgantukehi upakkilesehi vippamuttaṃ hoti, evaṃ upakkiliṭṭha’’nti yathāsabhāvato jānāti. Cittabhāvanā atthīti cittaṭṭhiti cittapariggaho atthi, atthibhāveneva ‘‘atthī’’ti vadāmīti dasseti. Imasmiṃ sutte balavavipassanā kathitā. Keci taruṇavipassanāti vadanti.

    ๕๓. ตติยํ อฎฺฐุปฺปตฺติยํ กถิตํฯ กตรายํ ปน อฎฺฐุปฺปตฺติยํ? อคฺคิกฺขโนฺธปมสุตฺตนฺตอฎฺฐุปฺปตฺติยํฯ ภควา กิร เอกสฺมิํ สมเย สาวตฺถิํ อุปนิสฺสาย เชตวนมหาวิหาเร ปฎิวสติฯ พุทฺธานญฺจ ยตฺถ กตฺถจิ ปฎิวสนฺตานํ ปญฺจวิธํ กิจฺจํ อวิชหิตเมว โหติฯ ปญฺจ หิ พุทฺธกิจฺจานิ – ปุเรภตฺตกิจฺจํ, ปจฺฉาภตฺตกิจฺจํ, ปุริมยามกิจฺจํ, มชฺฌิมยามกิจฺจํ, ปจฺฉิมยามกิจฺจนฺติฯ

    53. Tatiyaṃ aṭṭhuppattiyaṃ kathitaṃ. Katarāyaṃ pana aṭṭhuppattiyaṃ? Aggikkhandhopamasuttantaaṭṭhuppattiyaṃ. Bhagavā kira ekasmiṃ samaye sāvatthiṃ upanissāya jetavanamahāvihāre paṭivasati. Buddhānañca yattha katthaci paṭivasantānaṃ pañcavidhaṃ kiccaṃ avijahitameva hoti. Pañca hi buddhakiccāni – purebhattakiccaṃ, pacchābhattakiccaṃ, purimayāmakiccaṃ, majjhimayāmakiccaṃ, pacchimayāmakiccanti.

    ตตฺริทํ ปุเรภตฺตกิจฺจํ – ภควา หิ ปาโตว วุฎฺฐาย อุปฎฺฐากานุคฺคหตฺถํ สรีรผาสุกตฺถญฺจ มุขโธวนาทิสรีรปริกมฺมํ กตฺวา ยาว ภิกฺขาจารเวลา ตาว วิวิตฺตาสเน วีตินาเมตฺวา ภิกฺขาจารเวลาย นิวาเสตฺวา กายพนฺธนํ พนฺธิตฺวา จีวรํ ปารุปิตฺวา ปตฺตมาทาย กทาจิ เอกโกว, กทาจิ ภิกฺขุสงฺฆปริวุโต คามํ วา นิคมํ วา ปิณฺฑาย ปวิสติ กทาจิ ปกติยา, กทาจิ อเนเกหิ ปาฎิหาริเยหิ วตฺตมาเนหิฯ เสยฺยถิทํ – ปิณฺฑาย ปวิสโต โลกนาถสฺส ปุรโต ปุรโต คนฺตฺวา มุทุคตวาตา ปถวิํ โสเธนฺติ, วลาหกา อุทกผุสิตานิ มุญฺจนฺตา มเคฺค เรณุํ วูปสเมตฺวา อุปริ วิตานํ หุตฺวา ติฎฺฐนฺติ, อปเร วาตา ปุปฺผานิ อุปสํหริตฺวา มเคฺค โอกิรนฺติ, อุนฺนตา ภูมิปฺปเทสา โอนมนฺติ, โอนตา อุนฺนมนฺติ, ปาทนิเกฺขปสมเย สมาว ภูมิ โหติ, สุขสมฺผสฺสานิ ปทุมปุปฺผานิ วา ปาเท สมฺปฎิจฺฉนฺติฯ อินฺทขีลสฺส อโนฺต ฐปิตมเตฺต ทกฺขิณปาเท สรีรโต ฉพฺพณฺณรสฺมิโย นิกฺขมิตฺวา สุวณฺณรสปิญฺชรานิ วิย จิตฺรปฎปริกฺขิตฺตานิ วิย จ ปาสาทกูฎาคาราทีนิ อลงฺกโรนฺติโย อิโต จิโต จ ธาวนฺติ, หตฺถิอสฺสวิหงฺคาทโย สกสกฎฺฐาเนสุ ฐิตาเยว มธุเรนากาเรน สทฺทํ กโรนฺติ, ตถา เภริวีณาทีนิ ตูริยานิ มนุสฺสานญฺจ กายูปคานิ อาภรณานิฯ เตน สญฺญาเณน มนุสฺสา ชานนฺติ ‘‘อชฺช ภควา อิธ ปิณฺฑาย ปวิโฎฺฐ’’ติฯ เต สุนิวตฺถา สุปารุตา คนฺธปุปฺผาทีนิ อาทาย ฆรา นิกฺขมิตฺวา อนฺตรวีถิํ ปฎิปชฺชิตฺวา ภควนฺตํ คนฺธปุปฺผาทีหิ สกฺกจฺจํ ปูเชตฺวา วนฺทิตฺวา ‘‘อมฺหากํ, ภเนฺต, ทส ภิกฺขู, อมฺหากํ วีสติ, ปญฺญาสํ…เป.… สตํ เทถา’’ติ ยาจิตฺวา ภควโตปิ ปตฺตํ คเหตฺวา อาสนํ ปญฺญาเปตฺวา สกฺกจฺจํ ปิณฺฑปาเตน ปฎิมาเนนฺติฯ ภควา กตภตฺตกิโจฺจ เตสํ อุปนิสฺสยจิตฺตสนฺตานานิ โอโลเกตฺวา ตถา ธมฺมํ เทเสติ, ยถา เกจิ สรณคมเนสุ ปติฎฺฐหนฺติ, เกจิ ปญฺจสุ สีเลสุ, เกจิ โสตาปตฺติสกทาคามิอนาคามิผลานํ อญฺญตรสฺมิํ, เกจิ ปพฺพชิตฺวา อคฺคผเล อรหเตฺตติฯ เอวํ มหาชนํ อนุคฺคเหตฺวา อุฎฺฐายาสนา วิหารํ คจฺฉติฯ ตตฺถ คนฺตฺวา คนฺธมณฺฑลมาเฬ ปญฺญตฺตวรพุทฺธาสเน นิสีทติ ภิกฺขูนํ ภตฺตกิจฺจปริโยสานํ อาคมยมาโนฯ ตโต ภิกฺขูนํ ภตฺตกิจฺจปริโยสาเน อุปฎฺฐาโก ภควโต นิเวเทติฯ อถ ภควา คนฺธกุฎิํ ปวิสติฯ อิทํ ตาว ปุเรภตฺตกิจฺจํ

    Tatridaṃ purebhattakiccaṃ – bhagavā hi pātova vuṭṭhāya upaṭṭhākānuggahatthaṃ sarīraphāsukatthañca mukhadhovanādisarīraparikammaṃ katvā yāva bhikkhācāravelā tāva vivittāsane vītināmetvā bhikkhācāravelāya nivāsetvā kāyabandhanaṃ bandhitvā cīvaraṃ pārupitvā pattamādāya kadāci ekakova, kadāci bhikkhusaṅghaparivuto gāmaṃ vā nigamaṃ vā piṇḍāya pavisati kadāci pakatiyā, kadāci anekehi pāṭihāriyehi vattamānehi. Seyyathidaṃ – piṇḍāya pavisato lokanāthassa purato purato gantvā mudugatavātā pathaviṃ sodhenti, valāhakā udakaphusitāni muñcantā magge reṇuṃ vūpasametvā upari vitānaṃ hutvā tiṭṭhanti, apare vātā pupphāni upasaṃharitvā magge okiranti, unnatā bhūmippadesā onamanti, onatā unnamanti, pādanikkhepasamaye samāva bhūmi hoti, sukhasamphassāni padumapupphāni vā pāde sampaṭicchanti. Indakhīlassa anto ṭhapitamatte dakkhiṇapāde sarīrato chabbaṇṇarasmiyo nikkhamitvā suvaṇṇarasapiñjarāni viya citrapaṭaparikkhittāni viya ca pāsādakūṭāgārādīni alaṅkarontiyo ito cito ca dhāvanti, hatthiassavihaṅgādayo sakasakaṭṭhānesu ṭhitāyeva madhurenākārena saddaṃ karonti, tathā bherivīṇādīni tūriyāni manussānañca kāyūpagāni ābharaṇāni. Tena saññāṇena manussā jānanti ‘‘ajja bhagavā idha piṇḍāya paviṭṭho’’ti. Te sunivatthā supārutā gandhapupphādīni ādāya gharā nikkhamitvā antaravīthiṃ paṭipajjitvā bhagavantaṃ gandhapupphādīhi sakkaccaṃ pūjetvā vanditvā ‘‘amhākaṃ, bhante, dasa bhikkhū, amhākaṃ vīsati, paññāsaṃ…pe… sataṃ dethā’’ti yācitvā bhagavatopi pattaṃ gahetvā āsanaṃ paññāpetvā sakkaccaṃ piṇḍapātena paṭimānenti. Bhagavā katabhattakicco tesaṃ upanissayacittasantānāni oloketvā tathā dhammaṃ deseti, yathā keci saraṇagamanesu patiṭṭhahanti, keci pañcasu sīlesu, keci sotāpattisakadāgāmianāgāmiphalānaṃ aññatarasmiṃ, keci pabbajitvā aggaphale arahatteti. Evaṃ mahājanaṃ anuggahetvā uṭṭhāyāsanā vihāraṃ gacchati. Tattha gantvā gandhamaṇḍalamāḷe paññattavarabuddhāsane nisīdati bhikkhūnaṃ bhattakiccapariyosānaṃ āgamayamāno. Tato bhikkhūnaṃ bhattakiccapariyosāne upaṭṭhāko bhagavato nivedeti. Atha bhagavā gandhakuṭiṃ pavisati. Idaṃ tāva purebhattakiccaṃ.

    อถ ภควา เอวํ กตปุเรภตฺตกิโจฺจ คนฺธกุฎิยา อุปฎฺฐาเน นิสีทิตฺวา ปาเท ปกฺขาเลตฺวา ปาทปีเฐ ฐตฺวา ภิกฺขุสงฺฆํ โอวทติ – ‘‘ภิกฺขเว, อปฺปมาเทน สมฺปาเทถ, ทุลฺลโภ พุทฺธุปฺปาโท โลกสฺมิํ, ทุลฺลโภ มนุสฺสตฺตปฎิลาโภ, ทุลฺลภา ขณสมฺปตฺติ, ทุลฺลภา ปพฺพชฺชา, ทุลฺลภํ สทฺธมฺมสฺสวน’’นฺติฯ ตตฺถ เกจิ ภควนฺตํ กมฺมฎฺฐานํ ปุจฺฉนฺติฯ ภควา เตสํ จริยานุรูปํ กมฺมฎฺฐานํ เทติฯ ตโต สเพฺพปิ ภควนฺตํ วนฺทิตฺวา อตฺตโน อตฺตโน รตฺติฎฺฐานทิวาฎฺฐานานิ คจฺฉนฺติฯ เกจิ อรญฺญํ, เกจิ รุกฺขมูลํ, เกจิ ปพฺพตาทีนํ อญฺญตรํ, เกจิ จาตุมหาราชิกภวนํ…เป.… เกจิ วสวตฺติภวนนฺติ ฯ ตโต ภควา คนฺธกุฎิํ ปวิสิตฺวา สเจ อากงฺขติ, ทกฺขิเณน ปเสฺสน สโต สมฺปชาโน มุหุตฺตํ สีหเสยฺยํ กเปฺปติฯ อถ สมสฺสาสิตกาโย อุฎฺฐหิตฺวา ทุติยภาเค โลกํ โวโลเกติฯ ตติยภาเค ยํ คามํ วา นิคมํ วา อุปนิสฺสาย วิหรติ, ตตฺถ มหาชโน ปุเรภตฺตํ ทานํ ทตฺวา ปจฺฉาภตฺตํ สุนิวโตฺถ สุปารุโต คนฺธปุปฺผาทีนิ อาทาย วิหาเร สนฺนิปตติฯ ตโต ภควา สมฺปตฺตปริสาย อนุรูเปน ปาฎิหาริเยน คนฺตฺวา ธมฺมสภายํ ปญฺญตฺตวรพุทฺธาสเน นิสชฺช ธมฺมํ เทเสติ กาลยุตฺตํ สมยยุตฺตํ, อถ กาลํ วิทิตฺวา ปริสํ อุโยฺยเชติ, มนุสฺสา ภควนฺตํ วนฺทิตฺวา ปกฺกมนฺติฯ อิทํ ปจฺฉาภตฺตกิจฺจํ

    Atha bhagavā evaṃ katapurebhattakicco gandhakuṭiyā upaṭṭhāne nisīditvā pāde pakkhāletvā pādapīṭhe ṭhatvā bhikkhusaṅghaṃ ovadati – ‘‘bhikkhave, appamādena sampādetha, dullabho buddhuppādo lokasmiṃ, dullabho manussattapaṭilābho, dullabhā khaṇasampatti, dullabhā pabbajjā, dullabhaṃ saddhammassavana’’nti. Tattha keci bhagavantaṃ kammaṭṭhānaṃ pucchanti. Bhagavā tesaṃ cariyānurūpaṃ kammaṭṭhānaṃ deti. Tato sabbepi bhagavantaṃ vanditvā attano attano rattiṭṭhānadivāṭṭhānāni gacchanti. Keci araññaṃ, keci rukkhamūlaṃ, keci pabbatādīnaṃ aññataraṃ, keci cātumahārājikabhavanaṃ…pe… keci vasavattibhavananti . Tato bhagavā gandhakuṭiṃ pavisitvā sace ākaṅkhati, dakkhiṇena passena sato sampajāno muhuttaṃ sīhaseyyaṃ kappeti. Atha samassāsitakāyo uṭṭhahitvā dutiyabhāge lokaṃ voloketi. Tatiyabhāge yaṃ gāmaṃ vā nigamaṃ vā upanissāya viharati, tattha mahājano purebhattaṃ dānaṃ datvā pacchābhattaṃ sunivattho supāruto gandhapupphādīni ādāya vihāre sannipatati. Tato bhagavā sampattaparisāya anurūpena pāṭihāriyena gantvā dhammasabhāyaṃ paññattavarabuddhāsane nisajja dhammaṃ deseti kālayuttaṃ samayayuttaṃ, atha kālaṃ viditvā parisaṃ uyyojeti, manussā bhagavantaṃ vanditvā pakkamanti. Idaṃ pacchābhattakiccaṃ.

    โส เอวํ นิฎฺฐิตปจฺฉาภตฺตกิโจฺจ สเจ คตฺตานิ โอสิญฺจิตุกาโม โหติ, พุทฺธาสนา อุฎฺฐาย นฺหานโกฎฺฐกํ ปวิสิตฺวา อุปฎฺฐาเกน ปฎิยาทิตอุทเกน คตฺตานิ อุตุํ คณฺหาเปติฯ อุปฎฺฐาโกปิ พุทฺธาสนํ อาเนตฺวา คนฺธกุฎิปริเวเณ ปญฺญเปติฯ ภควา สุรตฺตทุปฎฺฎํ นิวาเสตฺวา กายพนฺธนํ พนฺธิตฺวา อุตฺตราสงฺคํ เอกํสํ กตฺวา ตตฺถ อาคนฺตฺวา นิสีทติ เอกโกว มุหุตฺตํ ปฎิสลฺลีโน, อถ ภิกฺขู ตโต ตโต อาคมฺม ภควโต อุปฎฺฐานํ อาคจฺฉนฺติฯ ตตฺถ เอกเจฺจ ปญฺหํ ปุจฺฉนฺติ, เอกเจฺจ กมฺมฎฺฐานํ, เอกเจฺจ ธมฺมสฺสวนํ ยาจนฺติฯ ภควา เตสํ อธิปฺปายํ สมฺปาเทโนฺต ปุริมยามํ วิตินาเมติฯ อิทํ ปุริมยามกิจฺจํ

    So evaṃ niṭṭhitapacchābhattakicco sace gattāni osiñcitukāmo hoti, buddhāsanā uṭṭhāya nhānakoṭṭhakaṃ pavisitvā upaṭṭhākena paṭiyāditaudakena gattāni utuṃ gaṇhāpeti. Upaṭṭhākopi buddhāsanaṃ ānetvā gandhakuṭipariveṇe paññapeti. Bhagavā surattadupaṭṭaṃ nivāsetvā kāyabandhanaṃ bandhitvā uttarāsaṅgaṃ ekaṃsaṃ katvā tattha āgantvā nisīdati ekakova muhuttaṃ paṭisallīno, atha bhikkhū tato tato āgamma bhagavato upaṭṭhānaṃ āgacchanti. Tattha ekacce pañhaṃ pucchanti, ekacce kammaṭṭhānaṃ, ekacce dhammassavanaṃ yācanti. Bhagavā tesaṃ adhippāyaṃ sampādento purimayāmaṃ vitināmeti. Idaṃ purimayāmakiccaṃ.

    ปุริมยามกิจฺจปริโยสาเน ปน ภิกฺขูสุ ภควนฺตํ วนฺทิตฺวา ปกฺกเนฺตสุ สกลทสสหสฺสิโลกธาตุเทวตาโย โอกาสํ ลภมานา ภควนฺตํ อุปสงฺกมิตฺวา ปญฺหํ ปุจฺฉนฺติ ยถาภิสงฺขตํ อนฺตมโส จตุรกฺขรมฺปิฯ ภควา ตาสํ เทวตานํ ปญฺหํ วิสฺสเชฺชโนฺต มชฺฌิมยามํ วีตินาเมติฯ อิทํ มชฺฌิมยามกิจฺจํ

    Purimayāmakiccapariyosāne pana bhikkhūsu bhagavantaṃ vanditvā pakkantesu sakaladasasahassilokadhātudevatāyo okāsaṃ labhamānā bhagavantaṃ upasaṅkamitvā pañhaṃ pucchanti yathābhisaṅkhataṃ antamaso caturakkharampi. Bhagavā tāsaṃ devatānaṃ pañhaṃ vissajjento majjhimayāmaṃ vītināmeti. Idaṃ majjhimayāmakiccaṃ.

    ปจฺฉิมยามํ ปน ตโย โกฎฺฐาเส กตฺวา ปุเรภตฺตโต ปฎฺฐาย นิสชฺชาปีฬิตสฺส สรีรสฺส กิลาสุภาวโมจนตฺถํ เอกํ โกฎฺฐาสํ จงฺกเมน วีตินาเมติ, ทุติยโกฎฺฐาเส คนฺธกุฎิํ ปวิสิตฺวา ทกฺขิเณน ปเสฺสน สโต สมฺปชาโน สีหเสยฺยํ กเปฺปติฯ ตติยโกฎฺฐาเส ปจฺจุฎฺฐาย นิสีทิตฺวา ปุริมพุทฺธานํ สนฺติเก ทานสีลาทิวเสน กตาธิการปุคฺคลทสฺสนตฺถํ พุทฺธจกฺขุนา โลกํ โวโลเกติฯ อิทํ ปจฺฉิมยามกิจฺจํ

    Pacchimayāmaṃ pana tayo koṭṭhāse katvā purebhattato paṭṭhāya nisajjāpīḷitassa sarīrassa kilāsubhāvamocanatthaṃ ekaṃ koṭṭhāsaṃ caṅkamena vītināmeti, dutiyakoṭṭhāse gandhakuṭiṃ pavisitvā dakkhiṇena passena sato sampajāno sīhaseyyaṃ kappeti. Tatiyakoṭṭhāse paccuṭṭhāya nisīditvā purimabuddhānaṃ santike dānasīlādivasena katādhikārapuggaladassanatthaṃ buddhacakkhunā lokaṃ voloketi. Idaṃ pacchimayāmakiccaṃ.

    ตมฺปิ ทิวสํ ภควา อิมสฺมิํเยว กิเจฺจ ฐิโต โลกํ โอโลเกโนฺต อิทํ อทฺทส – มยา โกสลรเฎฺฐ จาริกํ จรเนฺตน อคฺคิกฺขเนฺธน อุปเมตฺวา เอกสฺมิํ สุเตฺต เทสิเต สฎฺฐิ ภิกฺขู อรหตฺตํ ปาปุณิสฺสนฺติ, สฎฺฐิมตฺตานํ อุณฺหํ โลหิตํ มุขโต อุคฺคจฺฉิสฺสติ, สฎฺฐิมตฺตา คิหิภาวํ คมิสฺสนฺติฯ ตตฺถ เย อรหตฺตํ ปาปุณิสฺสนฺติ, เต ยํกิญฺจิ ธมฺมเทสนํ สุตฺวา ปาปุณิสฺสเนฺตวฯ อิตเรสํ ปน ภิกฺขูนํ สงฺคหตฺถาย จาริกํ จริตุกาโม หุตฺวา, ‘‘อานนฺท, ภิกฺขูนํ อาโรเจหี’’ติ อาหฯ

    Tampi divasaṃ bhagavā imasmiṃyeva kicce ṭhito lokaṃ olokento idaṃ addasa – mayā kosalaraṭṭhe cārikaṃ carantena aggikkhandhena upametvā ekasmiṃ sutte desite saṭṭhi bhikkhū arahattaṃ pāpuṇissanti, saṭṭhimattānaṃ uṇhaṃ lohitaṃ mukhato uggacchissati, saṭṭhimattā gihibhāvaṃ gamissanti. Tattha ye arahattaṃ pāpuṇissanti, te yaṃkiñci dhammadesanaṃ sutvā pāpuṇissanteva. Itaresaṃ pana bhikkhūnaṃ saṅgahatthāya cārikaṃ caritukāmo hutvā, ‘‘ānanda, bhikkhūnaṃ ārocehī’’ti āha.

    เถโร อนุปริเวณํ คนฺตฺวา, ‘‘อาวุโส, สตฺถา มหาชนสฺส สงฺคหตฺถาย จาริกํ จริตุกาโม, คนฺตุกามา อาคจฺฉถา’’ติ อาหฯ ภิกฺขู มหาลาภํ ลภิตฺวา วิย ตุฎฺฐมานสา ‘‘ลภิสฺสาม วต มหาชนสฺส ธมฺมํ เทเสนฺตสฺส ภควโต สุวณฺณวณฺณํ สรีรํ โอโลเกตุํ มธุรญฺจ ธมฺมกถํ โสตุ’’นฺติ ปรุฬฺหเกสา เกเส โอหาเรตฺวา มลคฺคหิตปตฺตา ปเตฺต ปจิตฺวา กิลิฎฺฐจีวรา จีวรานิ โธวิตฺวา คมนสชฺชา อเหสุํฯ สตฺถา อปริจฺฉิเนฺนน ภิกฺขุสเงฺฆน ปริวุโต โกสลรฎฺฐํ จาริกาย นิกฺขโนฺต คามนิคมปฎิปาฎิยา เอกทิวสํ คาวุตอฑฺฒโยชนติคาวุตโยชนปรมํ จาริกํ จรโนฺต เอกสฺมิํ ปเทเส มหนฺตํ สุสิรรุกฺขํ อคฺคินา สมฺปชฺชลิตํ ทิสฺวา ‘‘อิมเมว วตฺถุํ กตฺวา สตฺตหิ อเงฺคหิ ปฎิมเณฺฑตฺวา ธมฺมเทสนํ กเถสฺสามี’’ติ คมนํ ปจฺฉินฺทิตฺวา อญฺญตรํ รุกฺขมูลํ อุปสงฺกมิตฺวา นิสชฺชาการํ ทเสฺสสิฯ อานนฺทเตฺถโร สตฺถุ อธิปฺปายํ ญตฺวา ‘‘อทฺธา การณํ ภวิสฺสติ, น อการเณน ตถาคตา คมนํ ปจฺฉินฺทิตฺวา นิสีทนฺตี’’ติ จตุคฺคุณํ สงฺฆาฎิํ ปญฺญาเปสิฯ สตฺถา นิสีทิตฺวา ภิกฺขู อามเนฺตตฺวา ‘‘ปสฺสถ โน ตุเมฺห, ภิกฺขเว, อมุํ มหนฺตํ อคฺคิกฺขนฺธ’’นฺติ อคฺคิกฺขโนฺธปมสุตฺตนฺตํ (อ. นิ. ๗.๗๒) เทเสติฯ

    Thero anupariveṇaṃ gantvā, ‘‘āvuso, satthā mahājanassa saṅgahatthāya cārikaṃ caritukāmo, gantukāmā āgacchathā’’ti āha. Bhikkhū mahālābhaṃ labhitvā viya tuṭṭhamānasā ‘‘labhissāma vata mahājanassa dhammaṃ desentassa bhagavato suvaṇṇavaṇṇaṃ sarīraṃ oloketuṃ madhurañca dhammakathaṃ sotu’’nti paruḷhakesā kese ohāretvā malaggahitapattā patte pacitvā kiliṭṭhacīvarā cīvarāni dhovitvā gamanasajjā ahesuṃ. Satthā aparicchinnena bhikkhusaṅghena parivuto kosalaraṭṭhaṃ cārikāya nikkhanto gāmanigamapaṭipāṭiyā ekadivasaṃ gāvutaaḍḍhayojanatigāvutayojanaparamaṃ cārikaṃ caranto ekasmiṃ padese mahantaṃ susirarukkhaṃ agginā sampajjalitaṃ disvā ‘‘imameva vatthuṃ katvā sattahi aṅgehi paṭimaṇḍetvā dhammadesanaṃ kathessāmī’’ti gamanaṃ pacchinditvā aññataraṃ rukkhamūlaṃ upasaṅkamitvā nisajjākāraṃ dassesi. Ānandatthero satthu adhippāyaṃ ñatvā ‘‘addhā kāraṇaṃ bhavissati, na akāraṇena tathāgatā gamanaṃ pacchinditvā nisīdantī’’ti catugguṇaṃ saṅghāṭiṃ paññāpesi. Satthā nisīditvā bhikkhū āmantetvā ‘‘passatha no tumhe, bhikkhave, amuṃ mahantaṃ aggikkhandha’’nti aggikkhandhopamasuttantaṃ (a. ni. 7.72) deseti.

    อิมสฺมิญฺจ ปน เวยฺยากรเณ ภญฺญมาเน สฎฺฐิมตฺตานํ ภิกฺขูนํ อุณฺหํ โลหิตํ มุขโต อุคฺคญฺฉิ, สฎฺฐิมตฺตา ภิกฺขู สิกฺขํ ปจฺจกฺขาย หีนายาวตฺติํสุ, สฎฺฐิมตฺตานํ ภิกฺขูนํ อนุปาทาย อาสเวหิ จิตฺตานิ วิมุจฺจิํสุฯ ตญฺหิ เวยฺยากรณํ สุตฺวา สฎฺฐิมตฺตานํ ภิกฺขูนํ นามกาโย สนฺตโตฺต, นามกาเย สนฺตเตฺต กรชกาโย สนฺตโตฺต, กรชกาเย สนฺตเตฺต นิธานคตํ อุณฺหํ โลหิตํ มุขโต อุคฺคญฺฉิฯ สฎฺฐิมตฺตา ภิกฺขู ‘‘ทุกฺกรํ วต พุทฺธสาสเน ยาวชีวํ ปริปุณฺณํ ปริสุทฺธํ พฺรหฺมจริยํ จริตุ’’นฺติ สิกฺขํ ปจฺจกฺขาย หีนายาวตฺตา, สฎฺฐิมตฺตา ภิกฺขู สตฺถุ เทสนาภิมุขํ ญาณํ เปเสตฺวา สห ปฎิสมฺภิทาหิ อรหตฺตํ ปตฺตาฯ

    Imasmiñca pana veyyākaraṇe bhaññamāne saṭṭhimattānaṃ bhikkhūnaṃ uṇhaṃ lohitaṃ mukhato uggañchi, saṭṭhimattā bhikkhū sikkhaṃ paccakkhāya hīnāyāvattiṃsu, saṭṭhimattānaṃ bhikkhūnaṃ anupādāya āsavehi cittāni vimucciṃsu. Tañhi veyyākaraṇaṃ sutvā saṭṭhimattānaṃ bhikkhūnaṃ nāmakāyo santatto, nāmakāye santatte karajakāyo santatto, karajakāye santatte nidhānagataṃ uṇhaṃ lohitaṃ mukhato uggañchi. Saṭṭhimattā bhikkhū ‘‘dukkaraṃ vata buddhasāsane yāvajīvaṃ paripuṇṇaṃ parisuddhaṃ brahmacariyaṃ caritu’’nti sikkhaṃ paccakkhāya hīnāyāvattā, saṭṭhimattā bhikkhū satthu desanābhimukhaṃ ñāṇaṃ pesetvā saha paṭisambhidāhi arahattaṃ pattā.

    ตตฺถ เยสํ อุณฺหํ โลหิตํ มุขโต อุคฺคญฺฉิ, เต ปาราชิกํ อาปชฺชิํสุฯ เย คิหิภาวํ ปตฺตา, เต ขุทฺทานุขุทฺทกานิ สิกฺขาปทานิ มทฺทนฺตา วิจริํสุฯ เย อรหตฺตํ ปตฺตา, เต ปริสุทฺธสีลาว อเหสุํฯ สตฺถุ ธมฺมเทสนา อิเมสํ ติณฺณมฺปิ สผลาว ชาตาติฯ อรหตฺตํ ปตฺตานํ ตาว สผลา โหตุ, อิตเรสํ กถํ สผลา ชาตาติ? เตปิ หิ สเจ อิมํ ธมฺมเทสนํ น สุเณยฺยุํ, ปมตฺตาว หุตฺวา ฐานํ ชหิตุํ น สกฺกุเณยฺยุํฯ ตโต เนสํ ตํ ปาปํ วฑฺฒมานํ อปาเยสุเยว สํสีทาเปยฺย ฯ อิมํ ปน เทสนํ สุตฺวา ชาตสํเวคา ฐานํ ชหิตฺวา สามเณรภูมิยํ ฐิตา ทส สีลานิ ปูเรตฺวา โยนิโส มนสิกาเร ยุตฺตปฺปยุตฺตา เกจิ โสตาปนฺนา เกจิ สกทาคามิโน เกจิ อนาคามิโน อเหสุํ, เกจิ เทวโลเก นิพฺพตฺติํสุ, เอวํ ปาราชิกาปนฺนานมฺปิ สผลา อโหสิฯ อิตเร ปน สเจ อิมํ ธมฺมเทสนํ น สุเณยฺยุํ, คจฺฉเนฺต คจฺฉเนฺต กาเล อนุปุเพฺพน สงฺฆาทิเสสมฺปิ ปาราชิกมฺปิ ปาปุณิตฺวา อปาเยสุเยว อุปฺปชฺชิตฺวา มหาทุกฺขํ อนุภเวยฺยุํฯ อิมํ ปน เทสนํ สุตฺวา ‘‘อโห สเลฺลขิตํ พุทฺธสาสนํ, น สกฺกา อเมฺหหิ ยาวชีวํ อิมํ ปฎิปตฺติํ ปูเรตุํ, สิกฺขํ ปจฺจกฺขาย อุปาสกธมฺมํ ปูเรตฺวา ทุกฺขา มุจฺจิสฺสามา’’ติ คิหิภาวํ อุปคมิํสุฯ เต ตีสุ สรเณสุ ปติฎฺฐาย ปญฺจ สีลานิ รกฺขิตฺวา อุปาสกธมฺมํ ปูเรตฺวา เกจิ โสตาปนฺนา เกจิ สกทาคามิโน เกจิ อนาคามิโน ชาตา, เกจิ เทวโลเก นิพฺพตฺตาติฯ เอวํ เตสมฺปิ สผลาว อโหสิฯ

    Tattha yesaṃ uṇhaṃ lohitaṃ mukhato uggañchi, te pārājikaṃ āpajjiṃsu. Ye gihibhāvaṃ pattā, te khuddānukhuddakāni sikkhāpadāni maddantā vicariṃsu. Ye arahattaṃ pattā, te parisuddhasīlāva ahesuṃ. Satthu dhammadesanā imesaṃ tiṇṇampi saphalāva jātāti. Arahattaṃ pattānaṃ tāva saphalā hotu, itaresaṃ kathaṃ saphalā jātāti? Tepi hi sace imaṃ dhammadesanaṃ na suṇeyyuṃ, pamattāva hutvā ṭhānaṃ jahituṃ na sakkuṇeyyuṃ. Tato nesaṃ taṃ pāpaṃ vaḍḍhamānaṃ apāyesuyeva saṃsīdāpeyya . Imaṃ pana desanaṃ sutvā jātasaṃvegā ṭhānaṃ jahitvā sāmaṇerabhūmiyaṃ ṭhitā dasa sīlāni pūretvā yoniso manasikāre yuttappayuttā keci sotāpannā keci sakadāgāmino keci anāgāmino ahesuṃ, keci devaloke nibbattiṃsu, evaṃ pārājikāpannānampi saphalā ahosi. Itare pana sace imaṃ dhammadesanaṃ na suṇeyyuṃ, gacchante gacchante kāle anupubbena saṅghādisesampi pārājikampi pāpuṇitvā apāyesuyeva uppajjitvā mahādukkhaṃ anubhaveyyuṃ. Imaṃ pana desanaṃ sutvā ‘‘aho sallekhitaṃ buddhasāsanaṃ, na sakkā amhehi yāvajīvaṃ imaṃ paṭipattiṃ pūretuṃ, sikkhaṃ paccakkhāya upāsakadhammaṃ pūretvā dukkhā muccissāmā’’ti gihibhāvaṃ upagamiṃsu. Te tīsu saraṇesu patiṭṭhāya pañca sīlāni rakkhitvā upāsakadhammaṃ pūretvā keci sotāpannā keci sakadāgāmino keci anāgāmino jātā, keci devaloke nibbattāti. Evaṃ tesampi saphalāva ahosi.

    อิมํ ปน สตฺถุ ธมฺมเทสนํ สุตฺวา เทวสงฺฆา เยหิปิ สุตา, เยหิปิ น สุตา, สเพฺพสํเยว อาโรเจนฺตา วิจริํสุฯ ภิกฺขู สุตฺวา สุตฺวา ‘‘ทุกฺกรํ, โภ, พุทฺธานํ สาสเน ยาวชีวํ ปริปุณฺณํ ปริสุทฺธํ พฺรหฺมจริยํ จริตุ’’นฺติ เอกกฺขเณเนว ทสปิ ภิกฺขู วีสติปิ สฎฺฐิปิ สตมฺปิ สหสฺสมฺปิ ภิกฺขู คิหี โหนฺติฯ สตฺถา ยถารุจิยา จาริกํ จริตฺวา ปุน เชตวนเมว อาคนฺตฺวา ภิกฺขู อามเนฺตสิ – ‘‘ภิกฺขเว, ตถาคโต จาริกํ จรมาโน จิรํ อากิโณฺณ วิหาสิ, อิจฺฉามหํ, ภิกฺขเว, อฑฺฒมาสํ ปฎิสลฺลียิตุํ, นามฺหิ เกนจิ อุปสงฺกมิตโพฺพ อญฺญตฺร เอเกน ปิณฺฑปาตนีหารเกนา’’ติฯ อฑฺฒมาสํ เอกีภาเวน วีตินาเมตฺวา ปฎิสลฺลานา วุฎฺฐิโต อานนฺทเตฺถเรน สทฺธิํ วิหารจาริกํ จรมาโน โอโลกิโตโลกิตฎฺฐาเน ตนุภูตํ ภิกฺขุสงฺฆํ ทิสฺวา ชานโนฺตเยว เถรํ ปุจฺฉิ – ‘‘อานนฺท, อญฺญสฺมิํ กาเล ตถาคเต จาริกํ จริตฺวา เชตวนํ อาคเต สกลวิหาโร กาสาวปโชฺชโต อิสิวาตปฺปฎิวาโต โหติ, อิทานิ ปน ตนุภูโต ภิกฺขุสโงฺฆ ทิสฺสติ, เยภุเยฺยน จ อุปฺปณฺฑุปณฺฑุกชาตา ภิกฺขู, กิํ นุ โข เอต’’นฺติ? เอตรหิ ภควา ตุมฺหากํ อคฺคิกฺขโนฺธปมธมฺมเทสนํ กถิตกาลโต ปฎฺฐาย ภิกฺขู สํเวคปฺปตฺตา หุตฺวา ‘‘มยํ เอตํ ธมฺมํ สพฺพปฺปกาเรน ปริปูเรตุํ น สกฺขิสฺสาม, อสมฺมาวตฺตนฺตานญฺจ ชนสฺส สทฺธาเทยฺยํ ปริภุญฺชิตุํ อยุตฺต’’นฺติ คิหิภาวํ สงฺกมนฺตีติฯ

    Imaṃ pana satthu dhammadesanaṃ sutvā devasaṅghā yehipi sutā, yehipi na sutā, sabbesaṃyeva ārocentā vicariṃsu. Bhikkhū sutvā sutvā ‘‘dukkaraṃ, bho, buddhānaṃ sāsane yāvajīvaṃ paripuṇṇaṃ parisuddhaṃ brahmacariyaṃ caritu’’nti ekakkhaṇeneva dasapi bhikkhū vīsatipi saṭṭhipi satampi sahassampi bhikkhū gihī honti. Satthā yathāruciyā cārikaṃ caritvā puna jetavanameva āgantvā bhikkhū āmantesi – ‘‘bhikkhave, tathāgato cārikaṃ caramāno ciraṃ ākiṇṇo vihāsi, icchāmahaṃ, bhikkhave, aḍḍhamāsaṃ paṭisallīyituṃ, nāmhi kenaci upasaṅkamitabbo aññatra ekena piṇḍapātanīhārakenā’’ti. Aḍḍhamāsaṃ ekībhāvena vītināmetvā paṭisallānā vuṭṭhito ānandattherena saddhiṃ vihāracārikaṃ caramāno olokitolokitaṭṭhāne tanubhūtaṃ bhikkhusaṅghaṃ disvā jānantoyeva theraṃ pucchi – ‘‘ānanda, aññasmiṃ kāle tathāgate cārikaṃ caritvā jetavanaṃ āgate sakalavihāro kāsāvapajjoto isivātappaṭivāto hoti, idāni pana tanubhūto bhikkhusaṅgho dissati, yebhuyyena ca uppaṇḍupaṇḍukajātā bhikkhū, kiṃ nu kho eta’’nti? Etarahi bhagavā tumhākaṃ aggikkhandhopamadhammadesanaṃ kathitakālato paṭṭhāya bhikkhū saṃvegappattā hutvā ‘‘mayaṃ etaṃ dhammaṃ sabbappakārena paripūretuṃ na sakkhissāma, asammāvattantānañca janassa saddhādeyyaṃ paribhuñjituṃ ayutta’’nti gihibhāvaṃ saṅkamantīti.

    ตสฺมิํ ขเณ ภควโต ธมฺมสํเวโค อุปฺปชฺชิฯ ตโต เถรํ อาห – ‘‘มยิ ปฎิสลฺลาเน วีตินาเมเนฺต น โกจิ มม ปุตฺตานํ เอกํ อสฺสาสฎฺฐานํ กเถสิฯ สาครสฺส หิ โอตรณติตฺถานิ วิย พหูนิ อิมสฺมิํ สาสเน อสฺสาสการณานิฯ คจฺฉานนฺท, คนฺธกุฎิปริเวเณ พุทฺธาสนํ ปญฺญาเปตฺวา ภิกฺขุสงฺฆํ สนฺนิปาเตหี’’ติฯ เถโร ตถา อกาสิฯ สตฺถา พุทฺธาสนวรคโต ภิกฺขู อามเนฺตตฺวา, ‘‘ภิกฺขเว, เมตฺตาย สพฺพปุพฺพภาโค นาม เนว อปฺปนา, น อุปจาโร, สตฺตานํ หิตผรณมตฺตเมวา’’ติ วตฺวา อิมิสฺสา อฎฺฐุปฺปตฺติยา อิมํ จูฬจฺฉราสงฺฆาตสุตฺตํ เทเสสิฯ

    Tasmiṃ khaṇe bhagavato dhammasaṃvego uppajji. Tato theraṃ āha – ‘‘mayi paṭisallāne vītināmente na koci mama puttānaṃ ekaṃ assāsaṭṭhānaṃ kathesi. Sāgarassa hi otaraṇatitthāni viya bahūni imasmiṃ sāsane assāsakāraṇāni. Gacchānanda, gandhakuṭipariveṇe buddhāsanaṃ paññāpetvā bhikkhusaṅghaṃ sannipātehī’’ti. Thero tathā akāsi. Satthā buddhāsanavaragato bhikkhū āmantetvā, ‘‘bhikkhave, mettāya sabbapubbabhāgo nāma neva appanā, na upacāro, sattānaṃ hitapharaṇamattamevā’’ti vatvā imissā aṭṭhuppattiyā imaṃ cūḷaccharāsaṅghātasuttaṃ desesi.

    ตตฺถ อจฺฉราสงฺฆาตมตฺตนฺติ อจฺฉราปหรณมตฺตํ, เทฺว องฺคุลิโย ปหริตฺวา สทฺทกรณมตฺตนฺติ อโตฺถฯ เมตฺตาจิตฺตนฺติ สพฺพสตฺตานํ หิตผรณจิตฺตํฯ อาเสวตีติ กถํ อาเสวติ? อาวเชฺชโนฺต อาเสวติ, ชานโนฺต อาเสวติ, ปสฺสโนฺต อาเสวติ, ปจฺจเวกฺขโนฺต อาเสวติ, จิตฺตํ อธิฎฺฐหโนฺต อาเสวติ, สทฺธาย อธิมุจฺจโนฺต อาเสวติ, วีริยํ ปคฺคณฺหโนฺต อาเสวติ, สติํ อุปฎฺฐาเปโนฺต อาเสวติ, จิตฺตํ สมาทหโนฺต อาเสวติ, ปญฺญาย ปชานโนฺต อาเสวติ, อภิเญฺญยฺยํ อภิชานโนฺต อาเสวติ, ปริเญฺญยฺยํ ปริชานโนฺต อาเสวติ, ปหาตพฺพํ ปชหโนฺต อาเสวติ, ภาเวตพฺพํ ภาเวโนฺต อาเสวติ, สจฺฉิกาตพฺพํ สจฺฉิกโรโนฺต อาเสวตีติ (ปฎิ. ม. ๒.๒)ฯ อิธ ปน เมตฺตาปุพฺพภาเคน หิตผรณปฺปวตฺตนมเตฺตเนว อาเสวตีติ เวทิตโพฺพฯ

    Tattha accharāsaṅghātamattanti accharāpaharaṇamattaṃ, dve aṅguliyo paharitvā saddakaraṇamattanti attho. Mettācittanti sabbasattānaṃ hitapharaṇacittaṃ. Āsevatīti kathaṃ āsevati? Āvajjento āsevati, jānanto āsevati, passanto āsevati, paccavekkhanto āsevati, cittaṃ adhiṭṭhahanto āsevati, saddhāya adhimuccanto āsevati, vīriyaṃ paggaṇhanto āsevati, satiṃ upaṭṭhāpento āsevati, cittaṃ samādahanto āsevati, paññāya pajānanto āsevati, abhiññeyyaṃ abhijānanto āsevati, pariññeyyaṃ parijānanto āsevati, pahātabbaṃ pajahanto āsevati, bhāvetabbaṃ bhāvento āsevati, sacchikātabbaṃ sacchikaronto āsevatīti (paṭi. ma. 2.2). Idha pana mettāpubbabhāgena hitapharaṇappavattanamatteneva āsevatīti veditabbo.

    อริตฺตชฺฌาโนติ อตุจฺฉชฺฌาโน อปริจฺจตฺตชฺฌาโน วาฯ วิหรตีติ อิริยติ ปวตฺตติ ปาเลติ ยเปติ ยาเปติ จรติ วิหรติฯ เตน วุจฺจติ วิหรตีติฯ อิมินา ปเทน เมตฺตํ อาเสวนฺตสฺส ภิกฺขุโน อิริยาปถวิหาโร กถิโตฯ สตฺถุสาสนกโรติ สตฺถุ อนุสาสนิกโรฯ โอวาทปติกโรติ โอวาทการโกฯ เอตฺถ จ สกิํวจนํ โอวาโท, ปุนปฺปุนวจนํ อนุสาสนีฯ สมฺมุขาวจนมฺปิ โอวาโท, เปเสตฺวา ปรมฺมุขาวจนํ, อนุสาสนีฯ โอติเณฺณ วตฺถุสฺมิํ วจนํ โอวาโท, โอติเณฺณ วา อโนติเณฺณ วา วตฺถุสฺมิํ ตนฺติฐปนวเสน วจนํ อนุสาสนีฯ เอวํ วิเสโส เวทิตโพฺพฯ ปรมตฺถโต ปน โอวาโทติ วา อนุสาสนีติ วา เอเส เอเก เอกเฎฺฐ สเม สมภาเค ตชฺชาเต ตเญฺญวาติฯ เอตฺถ จ ‘‘อจฺฉราสงฺฆาตมตฺตมฺปิ เจ, ภิกฺขเว, ภิกฺขุ เมตฺตาจิตฺตํ อาเสวตี’’ติ อิทเมว สตฺถุสาสนเญฺจว โอวาโท จ, ตสฺส กรณโต เอส สาสนกโร โอวาทปติกโรติ เวทิตโพฺพฯ

    Arittajjhānoti atucchajjhāno apariccattajjhāno vā. Viharatīti iriyati pavattati pāleti yapeti yāpeti carati viharati. Tena vuccati viharatīti. Iminā padena mettaṃ āsevantassa bhikkhuno iriyāpathavihāro kathito. Satthusāsanakaroti satthu anusāsanikaro. Ovādapatikaroti ovādakārako. Ettha ca sakiṃvacanaṃ ovādo, punappunavacanaṃ anusāsanī. Sammukhāvacanampi ovādo, pesetvā parammukhāvacanaṃ, anusāsanī. Otiṇṇe vatthusmiṃ vacanaṃ ovādo, otiṇṇe vā anotiṇṇe vā vatthusmiṃ tantiṭhapanavasena vacanaṃ anusāsanī. Evaṃ viseso veditabbo. Paramatthato pana ovādoti vā anusāsanīti vā ese eke ekaṭṭhe same samabhāge tajjāte taññevāti. Ettha ca ‘‘accharāsaṅghātamattampi ce, bhikkhave, bhikkhu mettācittaṃ āsevatī’’ti idameva satthusāsanañceva ovādo ca, tassa karaṇato esa sāsanakaro ovādapatikaroti veditabbo.

    อโมฆนฺติ อตุจฺฉํฯ รฎฺฐปิณฺฑนฺติ ญาติปริวฎฺฎํ ปหาย รฎฺฐํ นิสฺสาย ปพฺพชิเตน ปเรสํ เคหโต ปฎิลทฺธตฺตา ปิณฺฑปาโต รฎฺฐปิโณฺฑ นาม วุจฺจติฯ ปริภุญฺชตีติ จตฺตาโร ปริโภคา เถยฺยปริโภโค อิณปริโภโค ทายชฺชปริโภโค สามิปริโภโคติฯ ตตฺถ ทุสฺสีลสฺส ปริโภโค เถยฺยปริโภโค นามฯ สีลวโต อปจฺจเวกฺขิตปริโภโค อิณปริโภโค นามฯ สตฺตนฺนํ เสกฺขานํ ปริโภโค ทายชฺชปริโภคา นามฯ ขีณาสวสฺส ปริโภโค สามิปริโภโค นามฯ ตตฺถ อิมสฺส ภิกฺขุโน อยํ รฎฺฐปิณฺฑปริโภโค ทฺวีหิ การเณหิ อโมโฆ โหติฯ อจฺฉราสงฺฆาตมตฺตมฺปิ เมตฺตาจิตฺตํ อาเสวโนฺต ภิกฺขุ รฎฺฐปิณฺฑสฺส สามิโก หุตฺวา, อณโณ หุตฺวา, ทายาโท หุตฺวา ปริภุญฺชตีติปิสฺส อโมโฆ รฎฺฐปิณฺฑปริโภโคฯ อจฺฉราสงฺฆาตมตฺตมฺปิ เมตฺตํ อาเสวนฺตสฺส ภิกฺขุโน ทินฺนทานํ มหฎฺฐิยํ โหติ มหปฺผลํ มหานิสํสํ มหาชุติกํ มหาวิปฺผารนฺติปิสฺส อโมโฆ รฎฺฐปิณฺฑปริโภโคฯ โก ปน วาโท เย นํ พหุลีกโรนฺตีติ เย ปน อิมํ เมตฺตาจิตฺตํ พหุลํ อาเสวนฺติ ภาเวนฺติ ปุนปฺปุนํ กโรนฺติ, เต อโมฆํ รฎฺฐปิณฺฑํ ปริภุญฺชนฺตีติ เอตฺถ วตฺตพฺพเมว กิํ? เอวรูปา หิ ภิกฺขู รฎฺฐปิณฺฑสฺส สามิโน อณณา ทายาทา หุตฺวา ปริภุญฺชนฺตีติฯ

    Amoghanti atucchaṃ. Raṭṭhapiṇḍanti ñātiparivaṭṭaṃ pahāya raṭṭhaṃ nissāya pabbajitena paresaṃ gehato paṭiladdhattā piṇḍapāto raṭṭhapiṇḍo nāma vuccati. Paribhuñjatīti cattāro paribhogā theyyaparibhogo iṇaparibhogo dāyajjaparibhogo sāmiparibhogoti. Tattha dussīlassa paribhogo theyyaparibhogo nāma. Sīlavato apaccavekkhitaparibhogo iṇaparibhogo nāma. Sattannaṃ sekkhānaṃ paribhogo dāyajjaparibhogā nāma. Khīṇāsavassa paribhogo sāmiparibhogo nāma. Tattha imassa bhikkhuno ayaṃ raṭṭhapiṇḍaparibhogo dvīhi kāraṇehi amogho hoti. Accharāsaṅghātamattampi mettācittaṃ āsevanto bhikkhu raṭṭhapiṇḍassa sāmiko hutvā, aṇaṇo hutvā, dāyādo hutvā paribhuñjatītipissa amogho raṭṭhapiṇḍaparibhogo. Accharāsaṅghātamattampi mettaṃ āsevantassa bhikkhuno dinnadānaṃ mahaṭṭhiyaṃ hoti mahapphalaṃ mahānisaṃsaṃ mahājutikaṃ mahāvipphārantipissa amogho raṭṭhapiṇḍaparibhogo. Ko pana vādo ye naṃ bahulīkarontīti ye pana imaṃ mettācittaṃ bahulaṃ āsevanti bhāventi punappunaṃ karonti, te amoghaṃ raṭṭhapiṇḍaṃ paribhuñjantīti ettha vattabbameva kiṃ? Evarūpā hi bhikkhū raṭṭhapiṇḍassa sāmino aṇaṇā dāyādā hutvā paribhuñjantīti.

    ๕๔-๕๕. จตุเตฺถ ภาเวตีติ อุปฺปาเทติ วเฑฺฒติฯ ปญฺจเม มนสิ กโรตีติ มนสฺมิํ กโรติฯ เสสํ อิเมสุ ทฺวีสุปิ ตติเย วุตฺตนเยเนว เวทิตพฺพํฯ โย หิ อาเสวติ, อยเมว ภาเวติ, อยํ มนสิ กโรติฯ เยน จิเตฺตน อาเสวติ, เตเนว ภาเวติ, เตน มนสิ กโรติฯ สมฺมาสมฺพุโทฺธ ปน ยาย ธมฺมธาตุยา สุปฺปฎิวิทฺธตฺตา เทสนาวิลาสปฺปโตฺต นาม โหติ, ตสฺสา สุปฺปฎิวิทฺธตฺตา อตฺตโน เทสนาวิลาสํ ธมฺมิสฺสริยตํ ปฎิสมฺภิทาปเภทกุสลตํ อปฺปฎิหตสพฺพญฺญุตญฺญาณญฺจ นิสฺสาย เอกกฺขเณ อุปฺปนฺนํ เอกจิตฺตเมว ตีหิ โกฎฺฐาเสหิ วิภชิตฺวา ทเสฺสสีติฯ

    54-55. Catutthe bhāvetīti uppādeti vaḍḍheti. Pañcame manasi karotīti manasmiṃ karoti. Sesaṃ imesu dvīsupi tatiye vuttanayeneva veditabbaṃ. Yo hi āsevati, ayameva bhāveti, ayaṃ manasi karoti. Yena cittena āsevati, teneva bhāveti, tena manasi karoti. Sammāsambuddho pana yāya dhammadhātuyā suppaṭividdhattā desanāvilāsappatto nāma hoti, tassā suppaṭividdhattā attano desanāvilāsaṃ dhammissariyataṃ paṭisambhidāpabhedakusalataṃ appaṭihatasabbaññutaññāṇañca nissāya ekakkhaṇe uppannaṃ ekacittameva tīhi koṭṭhāsehi vibhajitvā dassesīti.

    ๕๖. ฉเฎฺฐ เย เกจีติ อนิยามิตวจนํฯ อกุสลาติ เตสํ นิยามิตวจนํฯ เอตฺตาวตา สพฺพากุสลา อเสสโต ปริยาทินฺนา โหนฺติฯ อกุสลภาคิยา อกุสลปกฺขิกาติ อกุสลานเมเวตํ นามํฯ อกุสลาเยว หิ เอกเจฺจ อกุสลํ สหชาตวเสน, เอกเจฺจ อุปนิสฺสยวเสน ภชนฺติ เจว, เตสญฺจ ปกฺขา ภวนฺตีติ ‘‘อกุสลภาคิยา อกุสลปกฺขิกา’’ติ วุจฺจนฺติฯ สเพฺพเต มโนปุพฺพงฺคมาติ มโน ปุพฺพํ ปฐมตรํ คจฺฉติ เอเตสนฺติ มโนปุพฺพงฺคมาฯ เอเต หิ กิญฺจาปิ มเนน สทฺธิํ เอกุปฺปาทา เอกวตฺถุกา เอกนิโรธา เอการมฺมณา จ โหนฺติฯ ยสฺมา ปน เตสํ มโน อุปฺปาทโก การโก ชนโก สมุฎฺฐาปโก นิพฺพตฺตโก, ตสฺมา มโนปุพฺพงฺคมา นาม โหนฺติฯ

    56. Chaṭṭhe ye kecīti aniyāmitavacanaṃ. Akusalāti tesaṃ niyāmitavacanaṃ. Ettāvatā sabbākusalā asesato pariyādinnā honti. Akusalabhāgiyāakusalapakkhikāti akusalānamevetaṃ nāmaṃ. Akusalāyeva hi ekacce akusalaṃ sahajātavasena, ekacce upanissayavasena bhajanti ceva, tesañca pakkhā bhavantīti ‘‘akusalabhāgiyā akusalapakkhikā’’ti vuccanti. Sabbete manopubbaṅgamāti mano pubbaṃ paṭhamataraṃ gacchati etesanti manopubbaṅgamā. Ete hi kiñcāpi manena saddhiṃ ekuppādā ekavatthukā ekanirodhā ekārammaṇā ca honti. Yasmā pana tesaṃ mano uppādako kārako janako samuṭṭhāpako nibbattako, tasmā manopubbaṅgamā nāma honti.

    ปฐมํ อุปฺปชฺชตีติ ยถา นาม ‘‘ราชา นิกฺขโนฺต’’ติ วุเตฺต ‘‘ราชาเยว นิกฺขโนฺต, เสสา ราชเสนา นิกฺขนฺตา อนิกฺขนฺตา’’ติ ปุจฺฉิตพฺพการณํ นตฺถิ, สพฺพา นิกฺขนฺตาเตว ปญฺญายนฺติ, เอวเมว มโน อุปฺปโนฺนติ วุตฺตกาลโต ปฎฺฐาย อวเสสา สหชาตสํสฎฺฐสมฺปยุตฺตา อุปฺปนฺนา น อุปฺปนฺนาติ ปุจฺฉิตพฺพการณํ นตฺถิ, สเพฺพ เต อุปฺปนฺนา เตฺวว ปญฺญายนฺติฯ เอตมตฺถวสํ ปฎิจฺจ เตหิ สํสฎฺฐสมฺปยุโตฺต เอกุปฺปาเทกนิโรโธปิ สมาโน มโน เตสํ ธมฺมานํ ปฐมํ อุปฺปชฺชตีติ วุโตฺตฯ อนฺวเทวาติ อนุเทว, สเหว เอกโตเยวาติ อโตฺถฯ พฺยญฺชนจฺฉายํ ปน คเหตฺวา ปฐมํ จิตฺตํ อุปฺปชฺชติ, ปจฺฉา เจตสิกาติ น คเหตพฺพํฯ อโตฺถ หิ ปฎิสรณํ , น พฺยญฺชนํฯ ‘‘มโนปุพฺพงฺคมา ธมฺมา, มโนเสฎฺฐา มโนมยา’’ติ คาถายปิ เอเสว นโยฯ

    Paṭhamaṃ uppajjatīti yathā nāma ‘‘rājā nikkhanto’’ti vutte ‘‘rājāyeva nikkhanto, sesā rājasenā nikkhantā anikkhantā’’ti pucchitabbakāraṇaṃ natthi, sabbā nikkhantāteva paññāyanti, evameva mano uppannoti vuttakālato paṭṭhāya avasesā sahajātasaṃsaṭṭhasampayuttā uppannā na uppannāti pucchitabbakāraṇaṃ natthi, sabbe te uppannā tveva paññāyanti. Etamatthavasaṃ paṭicca tehi saṃsaṭṭhasampayutto ekuppādekanirodhopi samāno mano tesaṃ dhammānaṃ paṭhamaṃ uppajjatīti vutto. Anvadevāti anudeva, saheva ekatoyevāti attho. Byañjanacchāyaṃ pana gahetvā paṭhamaṃ cittaṃ uppajjati, pacchā cetasikāti na gahetabbaṃ. Attho hi paṭisaraṇaṃ , na byañjanaṃ. ‘‘Manopubbaṅgamā dhammā, manoseṭṭhā manomayā’’ti gāthāyapi eseva nayo.

    ๕๗. สตฺตเม กุสลาติ จตุภูมกาปิ กุสลา ธมฺมา กถิตาฯ เสสํ ฉเฎฺฐ วุตฺตนเยเนว เวทิตพฺพํฯ

    57. Sattame kusalāti catubhūmakāpi kusalā dhammā kathitā. Sesaṃ chaṭṭhe vuttanayeneva veditabbaṃ.

    ๕๘. อฎฺฐเม ยถยิทํ, ภิกฺขเว, ปมาโทติ เอตฺถ, ภิกฺขเวติ อาลปนํ, ยถา อยํ ปมาโทติ อโตฺถฯ ปมาโทติ ปมชฺชนากาโรฯ วุตฺตเญฺหตํ –

    58. Aṭṭhame yathayidaṃ, bhikkhave, pamādoti ettha, bhikkhaveti ālapanaṃ, yathā ayaṃ pamādoti attho. Pamādoti pamajjanākāro. Vuttañhetaṃ –

    ‘‘ตตฺถ กตโม ปมาโท? กายทุจฺจริเต วา วจีทุจฺจริเต วา มโนทุจฺจริเต วา ปญฺจสุ วา กามคุเณสุ จิตฺตสฺส โวสฺสโคฺค โวสฺสคฺคานุปฺปทานํ กุสลานํ วา ธมฺมานํ ภาวนาย อสกฺกจฺจกิริยตา อสาตจฺจกิริยตา อนฎฺฐิตกิริยตา โอลีนวุตฺติตา นิกฺขิตฺตฉนฺทตา นิกฺขิตฺตธุรตา อนธิฎฺฐานํ อนนุโยโค อนาเสวนา อภาวนา อพหุลีกมฺมํ ฯ โย เอวรูโป ปมาโท ปมชฺชนา ปมชฺชิตตฺตํ, อยํ วุจฺจติ ปมาโท’’ติ (วิภ. ๘๔๖)ฯ

    ‘‘Tattha katamo pamādo? Kāyaduccarite vā vacīduccarite vā manoduccarite vā pañcasu vā kāmaguṇesu cittassa vossaggo vossaggānuppadānaṃ kusalānaṃ vā dhammānaṃ bhāvanāya asakkaccakiriyatā asātaccakiriyatā anaṭṭhitakiriyatā olīnavuttitā nikkhittachandatā nikkhittadhuratā anadhiṭṭhānaṃ ananuyogo anāsevanā abhāvanā abahulīkammaṃ . Yo evarūpo pamādo pamajjanā pamajjitattaṃ, ayaṃ vuccati pamādo’’ti (vibha. 846).

    อุปฺปนฺนา จ กุสลา ธมฺมา ปริหายนฺตีติ อิทํ ฌานวิปสฺสนานํ วเสน วุตฺตํฯ มคฺคผลานํ ปน สกิํ อุปฺปนฺนานํ ปุน ปริหานํ นาม นตฺถิฯ

    Uppannā ca kusalā dhammā parihāyantīti idaṃ jhānavipassanānaṃ vasena vuttaṃ. Maggaphalānaṃ pana sakiṃ uppannānaṃ puna parihānaṃ nāma natthi.

    ๕๙. นวเม อปฺปมาโท ปมาทสฺส ปฎิปกฺขวเสน วิตฺถารโต เวทิตโพฺพฯ

    59. Navame appamādo pamādassa paṭipakkhavasena vitthārato veditabbo.

    ๖๐. ทสเม โกสชฺชนฺติ กุสีตภาโวฯ เสสํ วุตฺตนยเมวาติฯ

    60. Dasame kosajjanti kusītabhāvo. Sesaṃ vuttanayamevāti.

    อจฺฉราสงฺฆาตวคฺควณฺณนาฯ

    Accharāsaṅghātavaggavaṇṇanā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / องฺคุตฺตรนิกาย • Aṅguttaranikāya / ๖. อจฺฉราสงฺฆาตวโคฺค • 6. Accharāsaṅghātavaggo

    ฎีกา • Tīkā / สุตฺตปิฎก (ฎีกา) • Suttapiṭaka (ṭīkā) / องฺคุตฺตรนิกาย (ฎีกา) • Aṅguttaranikāya (ṭīkā) / ๖. อจฺฉราสงฺฆาตวคฺควณฺณนา • 6. Accharāsaṅghātavaggavaṇṇanā


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact