Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / จูฬวคฺค-อฎฺฐกถา • Cūḷavagga-aṭṭhakathā

    อธิกรณกถา

    Adhikaraṇakathā

    ๒๑๕. ภิกฺขุนีนํ อนุปขชฺชาติ ภิกฺขุนีนํ อโนฺต ปวิสิตฺวาฯ วิวาทาธิกรณาทีนํ วจนโตฺถ ทุฎฺฐโทสวณฺณนายํ วุโตฺตเยวฯ วิปจฺจตาย โวหาโรติ จิตฺตทุกฺขตฺถํ โวหาโร; ผรุสวจนนฺติ อโตฺถฯ โย ตตฺถ อนุวาโทติ โย เตสุ อนุวทเนฺตสุ อุปวาโทฯ อนุวทนาติ อาการนิทสฺสนเมตํ; อุปวทนาติ อโตฺถฯ อนุลฺลปนา อนุภณนาติ อุภยํ อนุวทนเววจนมตฺตเมวฯ อนุสมฺปวงฺกตาติ ปุนปฺปุนํ กายจิตฺตวาจาหิ ตเตฺถว สมฺปวงฺกตา; อนุวทนภาโวติ อโตฺถฯ อพฺภุสฺสหนตาติ ‘‘กสฺมา เอวํ น อุปวทิสฺสามิ, อุปวทิสฺสามิเยวา’’ติ อุสฺสาหํ กตฺวา อนุวทนาฯ อนุพลปฺปทานนฺติ ปุริมวจนสฺส การณํ ทเสฺสตฺวา ปจฺฉิมวจเนน พลปฺปทานํฯ

    215.Bhikkhunīnaṃ anupakhajjāti bhikkhunīnaṃ anto pavisitvā. Vivādādhikaraṇādīnaṃ vacanattho duṭṭhadosavaṇṇanāyaṃ vuttoyeva. Vipaccatāya vohāroti cittadukkhatthaṃ vohāro; pharusavacananti attho. Yo tattha anuvādoti yo tesu anuvadantesu upavādo. Anuvadanāti ākāranidassanametaṃ; upavadanāti attho. Anullapanā anubhaṇanāti ubhayaṃ anuvadanavevacanamattameva. Anusampavaṅkatāti punappunaṃ kāyacittavācāhi tattheva sampavaṅkatā; anuvadanabhāvoti attho. Abbhussahanatāti ‘‘kasmā evaṃ na upavadissāmi, upavadissāmiyevā’’ti ussāhaṃ katvā anuvadanā. Anubalappadānanti purimavacanassa kāraṇaṃ dassetvā pacchimavacanena balappadānaṃ.

    กิจฺจยตา กรณียตาติ เอตฺถ กิจฺจเมว กิจฺจยํ, กิจฺจยสฺส ภาโว กิจฺจยตา, กรณียสฺส ภาโว กรณียตา; อุภยเมฺปตํ สงฺฆกมฺมเสฺสว อธิวจนํฯ อปโลกนกมฺมนฺติอาทิ ปน ตเสฺสว ปเภทวจนํฯ ตตฺถ อปโลกนกมฺมํ นาม สีมฎฺฐกสงฺฆํ โสเธตฺวา ฉนฺทารหานํ ฉนฺทํ อาหริตฺวา สมคฺคสฺส สงฺฆสฺส อนุมติยา ติกฺขตฺตุํ สาเวตฺวา กตฺตพฺพกมฺมํฯ ญตฺติกมฺมํ นาม วุตฺตนเยเนว สมคฺคสฺส สงฺฆสฺส อนุมติยา เอกาย ญตฺติยา กตฺตพฺพกมฺมํฯ ญตฺติทุติยกมฺมํ นาม วุตฺตนเยเนว สมคฺคสฺส สงฺฆสฺส อนุมติยา เอกาย ญตฺติยา เอกาย จ อนุสฺสาวนายาติ เอวํ ญตฺติทุติยาย อนุสฺสาวนาย กตฺตพฺพกมฺมํฯ ญตฺติจตุตฺถกมฺมํ นาม วุตฺตนเยเนว สมคฺคสฺส สงฺฆสฺส อนุมติยา เอกาย ญตฺติยา ตีหิ จ อนุสฺสาวนาหีติ เอวํ ญตฺติจตุตฺถาหิ ตีหิ อนุสฺสาวนาหิ กตฺตพฺพกมฺมํฯ

    Kiccayatākaraṇīyatāti ettha kiccameva kiccayaṃ, kiccayassa bhāvo kiccayatā, karaṇīyassa bhāvo karaṇīyatā; ubhayampetaṃ saṅghakammasseva adhivacanaṃ. Apalokanakammantiādi pana tasseva pabhedavacanaṃ. Tattha apalokanakammaṃ nāma sīmaṭṭhakasaṅghaṃ sodhetvā chandārahānaṃ chandaṃ āharitvā samaggassa saṅghassa anumatiyā tikkhattuṃ sāvetvā kattabbakammaṃ. Ñattikammaṃ nāma vuttanayeneva samaggassa saṅghassa anumatiyā ekāya ñattiyā kattabbakammaṃ. Ñattidutiyakammaṃ nāma vuttanayeneva samaggassa saṅghassa anumatiyā ekāya ñattiyā ekāya ca anussāvanāyāti evaṃ ñattidutiyāya anussāvanāya kattabbakammaṃ. Ñatticatutthakammaṃ nāma vuttanayeneva samaggassa saṅghassa anumatiyā ekāya ñattiyā tīhi ca anussāvanāhīti evaṃ ñatticatutthāhi tīhi anussāvanāhi kattabbakammaṃ.

    ตตฺถ อปโลกนกมฺมํ อปโลเกตฺวาว กาตพฺพํ, ญตฺติกมฺมาทิวเสน น กาตพฺพํฯ ญตฺติกมฺมมฺปิ เอกํ ญตฺติํ ฐเปตฺวาว กาตพฺพํ, อปโลกนกมฺมาทิวเสน น กาตพฺพํฯ ญตฺติทุติยกมฺมํ ปน อปโลเกตฺวา กตฺตพฺพมฺปิ อตฺถิ, อกตฺตพฺพมฺปิ อตฺถิฯ ตตฺถ สีมาสมฺมุติ สีมาสมูหนนํ กถินทานํ กถินุพฺภาโร กุฎิวตฺถุเทสนา วิหารวตฺถุเทสนาติ อิมานิ ฉ กมฺมานิ ครุกานิ, อปโลเกตฺวา กาตุํ น วฎฺฎนฺติฯ ญตฺติทุติยกมฺมวาจํ สาเวตฺวาว กาตพฺพานิฯ อวเสสา เตรส สมฺมุติโย เสนาสนคฺคาหกมตกจีวรทานาทิสมฺมุติโย จาติ เอวรูปานิ ลหุกกมฺมานิ อปโลเกตฺวาปิ กาตุํ วฎฺฎนฺติฯ ญตฺติกมฺมญตฺติจตุตฺถกมฺมวเสน ปน น กาตพฺพเมวฯ ญตฺติจตุตฺถกมฺมํ ญตฺติญฺจ ติโสฺส จ กมฺมวาจาโย สาเวตฺวาว กาตพฺพํ, อปโลกนกมฺมาทิวเสน น กาตพฺพนฺติ อยเมตฺถ สเงฺขโปฯ

    Tattha apalokanakammaṃ apaloketvāva kātabbaṃ, ñattikammādivasena na kātabbaṃ. Ñattikammampi ekaṃ ñattiṃ ṭhapetvāva kātabbaṃ, apalokanakammādivasena na kātabbaṃ. Ñattidutiyakammaṃ pana apaloketvā kattabbampi atthi, akattabbampi atthi. Tattha sīmāsammuti sīmāsamūhananaṃ kathinadānaṃ kathinubbhāro kuṭivatthudesanā vihāravatthudesanāti imāni cha kammāni garukāni, apaloketvā kātuṃ na vaṭṭanti. Ñattidutiyakammavācaṃ sāvetvāva kātabbāni. Avasesā terasa sammutiyo senāsanaggāhakamatakacīvaradānādisammutiyo cāti evarūpāni lahukakammāni apaloketvāpi kātuṃ vaṭṭanti. Ñattikammañatticatutthakammavasena pana na kātabbameva. Ñatticatutthakammaṃ ñattiñca tisso ca kammavācāyo sāvetvāva kātabbaṃ, apalokanakammādivasena na kātabbanti ayamettha saṅkhepo.

    วิตฺถารโต ปน อิมานิ จตฺตาริ กมฺมานิ ‘‘กติหากาเรหิ วิปชฺชนฺตี’’ติอาทินา นเยน ปริวาราวสาเน กมฺมวเคฺค เอเตสํ วินิจฺฉโย อาคโตเยวฯ ยํ ปน ตตฺถ อนุตฺตานํ, ตํ กมฺมวเคฺคเยว วณฺณยิสฺสามฯ เอวญฺหิ สติ น อฎฺฐาเน วณฺณนา ภวิสฺสติ, อาทิโต ปฎฺฐาย จ ตสฺส ตสฺส กมฺมสฺส วิญฺญาตตฺตา สุวิเญฺญโยฺย ภวิสฺสติฯ

    Vitthārato pana imāni cattāri kammāni ‘‘katihākārehi vipajjantī’’tiādinā nayena parivārāvasāne kammavagge etesaṃ vinicchayo āgatoyeva. Yaṃ pana tattha anuttānaṃ, taṃ kammavaggeyeva vaṇṇayissāma. Evañhi sati na aṭṭhāne vaṇṇanā bhavissati, ādito paṭṭhāya ca tassa tassa kammassa viññātattā suviññeyyo bhavissati.

    ๒๑๖. วิวาทาธิกรณสฺส กิํ มูลนฺติอาทีนิ ปาฬิวเสเนว เวทิตพฺพานิฯ

    216.Vivādādhikaraṇassa kiṃ mūlantiādīni pāḷivaseneva veditabbāni.

    ๒๒๐. ‘‘วิวาทาธิกรณํ สิยา กุสล’’นฺติอาทีสุ เยน วิวทนฺติ, โส จิตฺตุปฺปาโท วิวาโท, สมเถหิ จ อธิกรณียตาย อธิกรณนฺติ เอวมาทินา นเยน อโตฺถ ทฎฺฐโพฺพฯ

    220.‘‘Vivādādhikaraṇaṃsiyā kusala’’ntiādīsu yena vivadanti, so cittuppādo vivādo, samathehi ca adhikaraṇīyatāya adhikaraṇanti evamādinā nayena attho daṭṭhabbo.

    ๒๒๒. อาปตฺตาธิกรณํ สิยา อกุสลํ สิยา อพฺยากตํ, นตฺถิ อาปตฺตาธิกรณํ กุสลนฺติ เอตฺถ สนฺธาย ภาสิตวเสน อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ ยสฺมิญฺหิ ปถวิขณนาทิเก อาปตฺตาธิกรเณ กุสลจิตฺตํ องฺคํ โหติ, ตสฺมิํ สติ น สกฺกา วตฺตุํ ‘‘นตฺถิ อาปตฺตาธิกรณํ กุสล’’นฺติ, ตสฺมา นยิทํ องฺคปฺปโหนกจิตฺตํ สนฺธาย วุตฺตํฯ อิทํ ปน สนฺธาย วุตฺตํฯ ยํ ตาว อาปตฺตาธิกรณํ โลกวชฺชํ, ตํ เอกนฺตโต อกุสลเมว, ตตฺถ ‘‘สิยา อกุสล’’นฺติ วิกโปฺป นตฺถิฯ ยํ ปน ปณฺณตฺติวชฺชํ, ตํ ยสฺมา สญฺจิจฺจ ‘‘อิมํ อาปตฺติํ วีติกฺกมามี’’ติ วีติกฺกมนฺตเสฺสว อกุสลํ โหติ, อสญฺจิจฺจ ปน กิญฺจิ อชานนฺตสฺส สหเสยฺยาทิวเสน อาปชฺชโต อพฺยากตํ โหติ, ตสฺมา ตตฺถ สญฺจิจฺจาสญฺจิจฺจวเสน อิมํ วิกปฺปภาวํ สนฺธาย อิทํ วุตฺตํ – ‘‘อาปตฺตาธิกรณํ สิยา อกุสลํ, สิยา อพฺยากตํ, นตฺถิ อาปตฺตาธิกรณํ กุสล’’นฺติฯ

    222.Āpattādhikaraṇaṃ siyā akusalaṃ siyā abyākataṃ, natthi āpattādhikaraṇaṃ kusalanti ettha sandhāya bhāsitavasena attho veditabbo. Yasmiñhi pathavikhaṇanādike āpattādhikaraṇe kusalacittaṃ aṅgaṃ hoti, tasmiṃ sati na sakkā vattuṃ ‘‘natthi āpattādhikaraṇaṃ kusala’’nti, tasmā nayidaṃ aṅgappahonakacittaṃ sandhāya vuttaṃ. Idaṃ pana sandhāya vuttaṃ. Yaṃ tāva āpattādhikaraṇaṃ lokavajjaṃ, taṃ ekantato akusalameva, tattha ‘‘siyā akusala’’nti vikappo natthi. Yaṃ pana paṇṇattivajjaṃ, taṃ yasmā sañcicca ‘‘imaṃ āpattiṃ vītikkamāmī’’ti vītikkamantasseva akusalaṃ hoti, asañcicca pana kiñci ajānantassa sahaseyyādivasena āpajjato abyākataṃ hoti, tasmā tattha sañciccāsañciccavasena imaṃ vikappabhāvaṃ sandhāya idaṃ vuttaṃ – ‘‘āpattādhikaraṇaṃ siyā akusalaṃ, siyā abyākataṃ, natthi āpattādhikaraṇaṃ kusala’’nti.

    สเจ ปน ‘‘ยํ กุสลจิโตฺต อาปชฺชติ, อิทํ วุจฺจติ อาปตฺตาธิกรณํ กุสล’’นฺติ วเทยฺย, อจิตฺตกานํ ปน เอฬกโลมปทโสธมฺมาทิสมุฎฺฐานานมฺปิ กุสลจิตฺตํ อาปเชฺชยฺย, น จ ตตฺถ วิชฺชมานมฺปิ กุสลจิตฺตํ อาปตฺติยา องฺคํฯ กายวจีวิญฺญตฺติวเสน ปน จลิตปฺปวตฺตานํ กายวาจานํ อญฺญตรเมว องฺคํ, ตญฺจ รูปกฺขนฺธปริยาปนฺนตฺตา อพฺยากตนฺติฯ

    Sace pana ‘‘yaṃ kusalacitto āpajjati, idaṃ vuccati āpattādhikaraṇaṃ kusala’’nti vadeyya, acittakānaṃ pana eḷakalomapadasodhammādisamuṭṭhānānampi kusalacittaṃ āpajjeyya, na ca tattha vijjamānampi kusalacittaṃ āpattiyā aṅgaṃ. Kāyavacīviññattivasena pana calitappavattānaṃ kāyavācānaṃ aññatarameva aṅgaṃ, tañca rūpakkhandhapariyāpannattā abyākatanti.

    ยํ ชานโนฺตติอาทิมฺหิ ปน อยมโตฺถ – ยํ จิตฺตํ อาปตฺติยา องฺคํ โหติ, เตน วตฺถุํ ชานโนฺต ‘‘อิทํ วีติกฺกมามี’’ติ จ วีติกฺกมากาเรน สทฺธิํ ชานโนฺต สญฺชานโนฺต วีติกฺกมเจตนาวเสน เจเตตฺวา ปกเปฺปตฺวา อุปกฺกมวเสน มทฺทโนฺต อภิวิตริตฺวา นิราสงฺกจิตฺตํ เปเสตฺวา ยํ อาปตฺตาธิกรณํ วีติกฺกมํ อาปชฺชติ, ตสฺส เอวํ วีติกฺกมโต โย วีติกฺกโม, อิทํ วุจฺจติ ‘‘อาปตฺตาธิกรณํ อกุสล’’นฺติฯ

    Yaṃ jānantotiādimhi pana ayamattho – yaṃ cittaṃ āpattiyā aṅgaṃ hoti, tena vatthuṃ jānanto ‘‘idaṃ vītikkamāmī’’ti ca vītikkamākārena saddhiṃ jānanto sañjānanto vītikkamacetanāvasena cetetvā pakappetvā upakkamavasena maddanto abhivitaritvā nirāsaṅkacittaṃ pesetvā yaṃ āpattādhikaraṇaṃ vītikkamaṃ āpajjati, tassa evaṃ vītikkamato yo vītikkamo, idaṃ vuccati ‘‘āpattādhikaraṇaṃ akusala’’nti.

    อพฺยากตวาเรปิ ยํ จิตฺตํ อาปตฺติยา องฺคํ โหติ, ตสฺส อภาเวน อชานโนฺต วีติกฺกมากาเรน จ สทฺธิํ อชานโนฺต อสญฺชานโนฺต อาปตฺติองฺคภูตาย วีติกฺกมเจตนาย อภาเวน อเจเตตฺวา สญฺจิจฺจ มทฺทนสฺส อภาเวน อนภิวิตริตฺวา นิราสงฺกจิตฺตํ อเปเสตฺวา ยํ อาปตฺตาธิกรณํ วีติกฺกมํ อาปชฺชติ, ตสฺส เอวํ วีติกฺกมโต โย วีติกฺกโม, อิทํ วุจฺจติ ‘‘อาปตฺตาธิกรณํ อพฺยากต’’นฺติฯ

    Abyākatavārepi yaṃ cittaṃ āpattiyā aṅgaṃ hoti, tassa abhāvena ajānanto vītikkamākārena ca saddhiṃ ajānanto asañjānanto āpattiaṅgabhūtāya vītikkamacetanāya abhāvena acetetvā sañcicca maddanassa abhāvena anabhivitaritvā nirāsaṅkacittaṃ apesetvā yaṃ āpattādhikaraṇaṃ vītikkamaṃ āpajjati, tassa evaṃ vītikkamato yo vītikkamo, idaṃ vuccati ‘‘āpattādhikaraṇaṃ abyākata’’nti.

    ๒๒๔. อยํ วิวาโท โน อธิกรณนฺติอาทีสุ สมเถหิ อธิกรณียตาย อภาวโต โนอธิกรณนฺติ เอวมโตฺถ เวทิตโพฺพฯ

    224.Ayaṃ vivādo no adhikaraṇantiādīsu samathehi adhikaraṇīyatāya abhāvato noadhikaraṇanti evamattho veditabbo.

    อธิกรณกถา นิฎฺฐิตาฯ

    Adhikaraṇakathā niṭṭhitā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / วินยปิฎก • Vinayapiṭaka / จูฬวคฺคปาฬิ • Cūḷavaggapāḷi / ๘. อธิกรณํ • 8. Adhikaraṇaṃ

    ฎีกา • Tīkā / วินยปิฎก (ฎีกา) • Vinayapiṭaka (ṭīkā) / สารตฺถทีปนี-ฎีกา • Sāratthadīpanī-ṭīkā / อธิกรณกถาวณฺณนา • Adhikaraṇakathāvaṇṇanā

    ฎีกา • Tīkā / วินยปิฎก (ฎีกา) • Vinayapiṭaka (ṭīkā) / วชิรพุทฺธิ-ฎีกา • Vajirabuddhi-ṭīkā / อธิกรณกถาวณฺณนา • Adhikaraṇakathāvaṇṇanā

    ฎีกา • Tīkā / วินยปิฎก (ฎีกา) • Vinayapiṭaka (ṭīkā) / วิมติวิโนทนี-ฎีกา • Vimativinodanī-ṭīkā / อธิกรณกถาวณฺณนา • Adhikaraṇakathāvaṇṇanā

    ฎีกา • Tīkā / วินยปิฎก (ฎีกา) • Vinayapiṭaka (ṭīkā) / ปาจิตฺยาทิโยชนาปาฬิ • Pācityādiyojanāpāḷi / ๘. อธิกรณกถา • 8. Adhikaraṇakathā


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact