Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / สารตฺถทีปนี-ฎีกา • Sāratthadīpanī-ṭīkā |
อธิกรณกถาวณฺณนา
Adhikaraṇakathāvaṇṇanā
๒๑๖. วิวาทาธิกรณสฺส กิํ มูลนฺติอาทีสุ วิวาทมูลานีติ วิวาทสฺส มูลานิฯ โกธโนติ กุชฺฌนลกฺขเณน โกเธน สมนฺนาคโตฯ อุปนาหีติ เวรอปฺปฎินิสฺสคฺคลกฺขเณน อุปนาเหน สมนฺนาคโตฯ อคารโวติ (ที. นิ. อฎฺฐ. ๓.๓๒๓; ม. นิ. อฎฺฐ. ๓.๔๔) คารววิรหิโตฯ อปฺปติโสฺสติ อปฺปติสฺสโย อนีจวุตฺติฯ เอตฺถ ปน โย ภิกฺขุ สตฺถริ ธรมาเน ตีสุ กาเลสุ อุปฎฺฐานํ น ยาติ, สตฺถริ อนุปาหเน จงฺกมเนฺต สอุปาหโน จงฺกมติ, นีเจ จงฺกเม จงฺกมเนฺต อุเจฺจ จงฺกมติ, เหฎฺฐา วสเนฺต อุปริ วสติ, สตฺถุ ทสฺสนฎฺฐาเน อุโภ อํเส ปารุปติ, ฉตฺตํ ธาเรติ, อุปาหนํ ธาเรติ, นหายติ, อุจฺจารํ วา ปสฺสาวํ วา กโรติ, ปรินิพฺพุเต วา ปน เจติยํ วนฺทิตุํ น คจฺฉติ, เจติยสฺส ปญฺญายนฎฺฐาเน สตฺถุทสฺสนฎฺฐาเน วุตฺตํ สพฺพํ กโรติ, อเญฺญหิ จ ภิกฺขูหิ ‘‘กสฺมา เอวํ กโรสิ, น อิทํ วฎฺฎติ, สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส นาม ลชฺชิตุํ วฎฺฎตี’’ติ วุเตฺต ‘‘ตุณฺหี โหหิ, พุโทฺธ พุโทฺธติ วทสิ, กิํ พุโทฺธ นามา’’ติ ภณติ, อยํ สตฺถริ อคารโว นามฯ
216.Vivādādhikaraṇassa kiṃ mūlantiādīsu vivādamūlānīti vivādassa mūlāni. Kodhanoti kujjhanalakkhaṇena kodhena samannāgato. Upanāhīti veraappaṭinissaggalakkhaṇena upanāhena samannāgato. Agāravoti (dī. ni. aṭṭha. 3.323; ma. ni. aṭṭha. 3.44) gāravavirahito. Appatissoti appatissayo anīcavutti. Ettha pana yo bhikkhu satthari dharamāne tīsu kālesu upaṭṭhānaṃ na yāti, satthari anupāhane caṅkamante saupāhano caṅkamati, nīce caṅkame caṅkamante ucce caṅkamati, heṭṭhā vasante upari vasati, satthu dassanaṭṭhāne ubho aṃse pārupati, chattaṃ dhāreti, upāhanaṃ dhāreti, nahāyati, uccāraṃ vā passāvaṃ vā karoti, parinibbute vā pana cetiyaṃ vandituṃ na gacchati, cetiyassa paññāyanaṭṭhāne satthudassanaṭṭhāne vuttaṃ sabbaṃ karoti, aññehi ca bhikkhūhi ‘‘kasmā evaṃ karosi, na idaṃ vaṭṭati, sammāsambuddhassa nāma lajjituṃ vaṭṭatī’’ti vutte ‘‘tuṇhī hohi, buddho buddhoti vadasi, kiṃ buddho nāmā’’ti bhaṇati, ayaṃ satthari agāravo nāma.
โย ปน ธมฺมสวเน สงฺฆุเฎฺฐ สกฺกจฺจํ น คจฺฉติ, สกฺกจฺจํ ธมฺมํ น สุณาติ, นิทฺทายติ วา สลฺลปโนฺต วา นิสีทติ, สกฺกจฺจํ น คณฺหาติ น วาเจติ, ‘‘กิํ ธเมฺม อคารวํ กโรสี’’ติ วุเตฺต ‘‘ตุณฺหี โหหิ, ธโมฺม ธโมฺมติ วทสิ, กิํ ธโมฺม นามา’’ติ วทติ, อยํ ธเมฺม อคารโว นามฯ โย ปน เถเรน ภิกฺขุนา อนชฺฌิโฎฺฐ ธมฺมํ เทเสติ อุทฺทิสติ ปญฺหํ กเถติ, วุเฑฺฒ ภิกฺขู ฆเฎฺฎโนฺต คจฺฉติ ติฎฺฐติ นิสีทติ, ทุสฺสปลฺลตฺถิกํ วา หตฺถปลฺลตฺถิกํ วา กโรติ, สงฺฆมเชฺฌ อุโภ อํเส ปารุปติ, ฉตฺตุปาหนํ ธาเรติ, ‘‘ภิกฺขุสงฺฆสฺส ลชฺชิตุํ วฎฺฎตี’’ติ วุเตฺตปิ ‘‘ตุณฺหี โหหิ, สโงฺฆ สโงฺฆติ วทสิ, กิํ สโงฺฆ, มิคสโงฺฆ อชสโงฺฆ’’ติอาทีนิ วทติ, อยํ สเงฺฆ อคารโว นามฯ เอกภิกฺขุสฺมิมฺปิ หิ อคารเว กเต สเงฺฆ กโตเยว โหติฯ ติโสฺส สิกฺขา ปน อปูรยมาโน สิกฺขาย น ปริปูรการี นามฯ
Yo pana dhammasavane saṅghuṭṭhe sakkaccaṃ na gacchati, sakkaccaṃ dhammaṃ na suṇāti, niddāyati vā sallapanto vā nisīdati, sakkaccaṃ na gaṇhāti na vāceti, ‘‘kiṃ dhamme agāravaṃ karosī’’ti vutte ‘‘tuṇhī hohi, dhammo dhammoti vadasi, kiṃ dhammo nāmā’’ti vadati, ayaṃ dhamme agāravo nāma. Yo pana therena bhikkhunā anajjhiṭṭho dhammaṃ deseti uddisati pañhaṃ katheti, vuḍḍhe bhikkhū ghaṭṭento gacchati tiṭṭhati nisīdati, dussapallatthikaṃ vā hatthapallatthikaṃ vā karoti, saṅghamajjhe ubho aṃse pārupati, chattupāhanaṃ dhāreti, ‘‘bhikkhusaṅghassa lajjituṃ vaṭṭatī’’ti vuttepi ‘‘tuṇhī hohi, saṅgho saṅghoti vadasi, kiṃ saṅgho, migasaṅgho ajasaṅgho’’tiādīni vadati, ayaṃ saṅghe agāravo nāma. Ekabhikkhusmimpi hi agārave kate saṅghe katoyeva hoti. Tisso sikkhā pana apūrayamāno sikkhāya na paripūrakārī nāma.
อหิตาย ทุกฺขาย เทวมนุสฺสานนฺติ (ที. นิ. อฎฺฐ. ๓.๓๒๕; ม. นิ. อฎฺฐ. ๓.๔๒; อ. นิ. อฎฺฐ. ๓.๖.๓๖) เอกสฺมิํ วิหาเร ทฺวินฺนํ ภิกฺขูนํ อุปฺปนฺนวิวาโท กถํ เทวมนุสฺสานํ อหิตาย ทุกฺขาย สํวตฺตติ? โกสมฺพกกฺขนฺธเก วิย หิ ทฺวีสุ ภิกฺขูสุ วิวาทํ อาปเนฺนสุ ตสฺมิํ วิหาเร เตสํ อเนฺตวาสิกา วิวทนฺติ, เตสํ โอวาทํ คณฺหโนฺต ภิกฺขุนิสโงฺฆ วิวทติ, ตโต เตสํ อุปฎฺฐากา วิวทนฺติ, อถ มนุสฺสานํ อารกฺขเทวตา เทฺว โกฎฺฐาสา โหนฺติฯ ตตฺถ ธมฺมวาทีนํ อารกฺขเทวตา ธมฺมวาทินิโย โหนฺติ, อธมฺมวาทีนํ อธมฺมวาทินิโยฯ ตโต อารกฺขเทวตานํ มิตฺตา ภุมฺมเทวตา ภิชฺชนฺติฯ เอวํ ปรมฺปราย ยาว พฺรหฺมโลกา ฐเปตฺวา อริยสาวเก สเพฺพ เทวมนุสฺสา เทฺว โกฎฺฐาสา โหนฺติฯ ธมฺมวาทีหิ ปน อธมฺมวาทิโนว พหุตรา โหนฺติฯ ตโต ‘‘ยํ พหุเกหิ คหิตํ, ตํ ตจฺฉ’’นฺติ ธมฺมํ วิสฺสเชฺชตฺวา พหุตรา อธมฺมํ คณฺหนฺติฯ เต อธมฺมํ ปุรกฺขตฺวา วิหรนฺตา อปาเยสุ นิพฺพตฺตนฺติฯ เอวํ เอกสฺมิํ วิหาเร ทฺวินฺนํ ภิกฺขูนํ อุปฺปโนฺน วิวาโท พหูนํ อหิตาย ทุกฺขาย โหติฯ อชฺฌตฺตํ วาติ อตฺตนิ วา อตฺตโน ปริสาย วาฯ พหิทฺธา วาติ ปรสฺมิํ วา ปรสฺส ปริสาย วาฯ อายติํ อนวสฺสวายาติ อายติํ อนุปฺปาทายฯ
Ahitāya dukkhāya devamanussānanti (dī. ni. aṭṭha. 3.325; ma. ni. aṭṭha. 3.42; a. ni. aṭṭha. 3.6.36) ekasmiṃ vihāre dvinnaṃ bhikkhūnaṃ uppannavivādo kathaṃ devamanussānaṃ ahitāya dukkhāya saṃvattati? Kosambakakkhandhake viya hi dvīsu bhikkhūsu vivādaṃ āpannesu tasmiṃ vihāre tesaṃ antevāsikā vivadanti, tesaṃ ovādaṃ gaṇhanto bhikkhunisaṅgho vivadati, tato tesaṃ upaṭṭhākā vivadanti, atha manussānaṃ ārakkhadevatā dve koṭṭhāsā honti. Tattha dhammavādīnaṃ ārakkhadevatā dhammavādiniyo honti, adhammavādīnaṃ adhammavādiniyo. Tato ārakkhadevatānaṃ mittā bhummadevatā bhijjanti. Evaṃ paramparāya yāva brahmalokā ṭhapetvā ariyasāvake sabbe devamanussā dve koṭṭhāsā honti. Dhammavādīhi pana adhammavādinova bahutarā honti. Tato ‘‘yaṃ bahukehi gahitaṃ, taṃ taccha’’nti dhammaṃ vissajjetvā bahutarā adhammaṃ gaṇhanti. Te adhammaṃ purakkhatvā viharantā apāyesu nibbattanti. Evaṃ ekasmiṃ vihāre dvinnaṃ bhikkhūnaṃ uppanno vivādo bahūnaṃ ahitāya dukkhāya hoti. Ajjhattaṃ vāti attani vā attano parisāya vā. Bahiddhā vāti parasmiṃ vā parassa parisāya vā. Āyatiṃ anavassavāyāti āyatiṃ anuppādāya.
มกฺขีติ ปเรสํ คุณมกฺขนลกฺขเณน มเกฺขน สมนฺนาคโตฯ ปฬาสีติ ยุคคฺคาหลกฺขเณน ปฬาเสน สมนฺนาคโตฯ อิสฺสุกีติ ปรสกฺการาทีนํ อิสฺสายนลกฺขณาย อิสฺสาย สมนฺนาคโตฯ มจฺฉรีติ อาวาสมจฺฉริยาทีหิ สมนฺนาคโตฯ สโฐติ เกราฎิโกฯ มายาวีติ กตปาปปฎิจฺฉาทโกฯ ปาปิโจฺฉติ อสนฺตสมฺภาวนิจฺฉโก ทุสฺสีโลฯ มิจฺฉาทิฎฺฐีติ นตฺถิกวาที อเหตุกวาที อกิริยวาทีฯ สนฺทิฎฺฐิปรามาสีติ สยํ ทิฎฺฐเมว ปรามสติ คณฺหาติฯ อาธานคฺคาหีติ ทฬฺหคฺคาหีฯ ทุปฺปฎินิสฺสคฺคีติ น สกฺกา โหติ คหิตํ นิสฺสชฺชาเปตุํฯ เอตฺถ จ โกธโน โหติ อุปนาหีติอาทินา ปุคฺคลาธิฎฺฐานนเยน โกธูปนาหาทโย อกุสลธมฺมา วิวาทมูลานีติ ทสฺสิตานิ, ตถา ทุฎฺฐจิตฺตา วิวทนฺตีติอาทินา โลภโทสโมหาฯ อทุฎฺฐจิตฺตา วิวทนฺตีติอาทินา จ อโลภาทโย วิวาทมูลานีติ ทสฺสิตานิฯ
Makkhīti paresaṃ guṇamakkhanalakkhaṇena makkhena samannāgato. Paḷāsīti yugaggāhalakkhaṇena paḷāsena samannāgato. Issukīti parasakkārādīnaṃ issāyanalakkhaṇāya issāya samannāgato. Maccharīti āvāsamacchariyādīhi samannāgato. Saṭhoti kerāṭiko. Māyāvīti katapāpapaṭicchādako. Pāpicchoti asantasambhāvanicchako dussīlo. Micchādiṭṭhīti natthikavādī ahetukavādī akiriyavādī. Sandiṭṭhiparāmāsīti sayaṃ diṭṭhameva parāmasati gaṇhāti. Ādhānaggāhīti daḷhaggāhī. Duppaṭinissaggīti na sakkā hoti gahitaṃ nissajjāpetuṃ. Ettha ca kodhano hoti upanāhītiādinā puggalādhiṭṭhānanayena kodhūpanāhādayo akusaladhammā vivādamūlānīti dassitāni, tathā duṭṭhacittā vivadantītiādinā lobhadosamohā. Aduṭṭhacittā vivadantītiādinā ca alobhādayo vivādamūlānīti dassitāni.
๒๑๗. ทุพฺพโณฺณติ ปํสุปิสาจโก วิย ฌามขาณุวโณฺณฯ ทุทฺทสฺสิโกติ วิชาตมาตุยาปิ อมนาปทสฺสโนฯ โอโกฎิมโกติ ลกุณฺฑโกฯ กาโณติ เอกกฺขิกาโณ วา อุภยกฺขิกาโณ วาฯ กุณีติ เอกหตฺถกุณี วา อุภยหตฺถกุณี วาฯ ขโญฺชติ เอกปาทขโญฺช วา อุภยปาทขโญฺช วาฯ ปกฺขหโตติ หตปโกฺข ปีฐสปฺปีฯ
217.Dubbaṇṇoti paṃsupisācako viya jhāmakhāṇuvaṇṇo. Duddassikoti vijātamātuyāpi amanāpadassano. Okoṭimakoti lakuṇḍako. Kāṇoti ekakkhikāṇo vā ubhayakkhikāṇo vā. Kuṇīti ekahatthakuṇī vā ubhayahatthakuṇī vā. Khañjoti ekapādakhañjo vā ubhayapādakhañjo vā. Pakkhahatoti hatapakkho pīṭhasappī.
๒๒๐. วิวาทาธิกรณํ กุสลํ อกุสลํ อพฺยากตนฺติ วิวาทาธิกรณํ กิํ กุสลํ อกุสลํ อุทาหุ อพฺยากตนฺติ ปุจฺฉติฯ วิวาทาธิกรณํ สิยา กุสลนฺติอาทิ วิสฺสชฺชนํฯ เอส นโย เสเสสุปิฯ วิวทนฺติ เอเตนาติ วิวาโทติ อาห ‘‘เยน วิวทนฺติ, โส จิตฺตุปฺปาโท วิวาโท’’ติฯ กถํ ปน โส จิตฺตุปฺปาโท อธิกรณํ นามาติ อาห ‘‘สมเถหิ จ อธิกรณียตาย อธิกรณ’’นฺติ, สมเถหิ สเมตพฺพตาย อธิกรณนฺติ อโตฺถฯ วิวาทเหตุภูตสฺส หิ จิตฺตุปฺปาทสฺส วูปสเมน ตปฺปภวสฺส สทฺทสฺสปิ วูปสโม โหตีติ จิตฺตุปฺปาทสฺส สมเถหิ อธิกรณียตา ปริยาโย สมฺภวติฯ
220.Vivādādhikaraṇaṃ kusalaṃ akusalaṃ abyākatanti vivādādhikaraṇaṃ kiṃ kusalaṃ akusalaṃ udāhu abyākatanti pucchati. Vivādādhikaraṇaṃ siyā kusalantiādi vissajjanaṃ. Esa nayo sesesupi. Vivadanti etenāti vivādoti āha ‘‘yena vivadanti, so cittuppādo vivādo’’ti. Kathaṃ pana so cittuppādo adhikaraṇaṃ nāmāti āha ‘‘samathehi ca adhikaraṇīyatāya adhikaraṇa’’nti, samathehi sametabbatāya adhikaraṇanti attho. Vivādahetubhūtassa hi cittuppādassa vūpasamena tappabhavassa saddassapi vūpasamo hotīti cittuppādassa samathehi adhikaraṇīyatā pariyāyo sambhavati.
๒๒๒. อาปตฺตาธิกรณํ สิยา อกุสลํ สิยา อพฺยากตนฺติ อยํ วิกโปฺป ปญฺญตฺติวชฺชํเยว สนฺธาย วุโตฺต, น โลกวชฺชนฺติ ทเสฺสตุํ ‘‘สนฺธายภาสิตวเสนา’’ติอาทิมาหฯ กสฺมา ปเนตฺถ สนฺธายภาสิตวเสน อโตฺถ เวทิตโพฺพติ อาห ‘‘ยสฺมิํ หี’’ติอาทิฯ ปถวีขณนาทิเกติ เอตฺถ อาทิ-สเทฺทน ภูตคามปาตพฺยตาทิปญฺญตฺติวชฺชํ สิกฺขาปทํ สงฺคณฺหาติฯ โย วินเย อปกตญฺญุตาย วตฺตสีเสน สมฺมุญฺชนิอาทินา ปถวีขณนาทีนิ กโรติ, ตทา ตสฺสุปฺปนฺนจิตฺตํ สนฺธาย วุตฺตํ ‘‘กุสลจิตฺตํ องฺคํ โหตี’’ติฯ องฺคํ โหตีติ จ วตฺตสีเสน กโรนฺตสฺสปิ ‘‘อิมํ ปถวิํ ขณามี’’ติอาทินา วีติกฺกมชานนวเสน ปวตฺตตฺตา ตํ กุสลจิตฺตํ อาปตฺตาธิกรณํ, กุสลจิตฺตํ อาปตฺติยา การณํ โหตีติ อโตฺถฯ น หิ วีติกฺกมํ อชานนฺตสฺส ปถวีขณนาทีสุ อาปตฺติ สมฺภวติฯ ตสฺมิํ สตีติ ตสฺมิํ กุสลจิเตฺต อาปตฺติภาเวน คหิเต สตีติ อธิปฺปาโยฯ ตสฺมาติ ยสฺมา กุสลจิเตฺต อาปตฺติภาเวน คหิเต สติ ‘‘นตฺถิ อาปตฺตาธิกรณํ กุสล’’นฺติ น สกฺกา วตฺตุํ, ตสฺมาฯ นยิทํ องฺคปฺปโหนกจิตฺตํ สนฺธาย วุตฺตนฺติ ‘‘อาปตฺตาธิกรณํ สิยา อกุสลํ สิยา อพฺยากตํ, นตฺถิ อาปตฺตาธิกรณํ กุสล’’นฺติ อิทํ อาปตฺติสมุฎฺฐาปกภาเวน องฺคปฺปโหนกํ อาปตฺติยา การณภูตํ จิตฺตํ สนฺธาย น วุตฺตํฯ กิํ ปน สนฺธาย วุตฺตนฺติ อาห ‘‘อิทํ ปนา’’ติอาทิฯ ภิกฺขุมฺหิ กมฺมฎฺฐานคตจิเตฺตน นิปเนฺน นิทฺทายเนฺต วา มาตุคาโม เจ เสยฺยํ กเปฺปติ, ตสฺมิํ ขเณ เสยฺยากาเรน วตฺตมานรูปเมว อาปตฺติ, น กุสลาทิวสปฺปวตฺตํ จิตฺตนฺติ อาห ‘‘อสญฺจิจฺจ…เป.… สหเสยฺยาทิวเสน อาปชฺชโต (ปริ. ๓๒๓ อตฺถโต สมานํ) อพฺยากตํ โหตี’’ติฯ ตสฺมิญฺหิ ขเณ อุฎฺฐาตเพฺพ ชาเต อนุฎฺฐานโต ตทาการปวโตฺต รูปกฺขโนฺธว อาปตฺติฯ
222.Āpattādhikaraṇaṃ siyā akusalaṃ siyā abyākatanti ayaṃ vikappo paññattivajjaṃyeva sandhāya vutto, na lokavajjanti dassetuṃ ‘‘sandhāyabhāsitavasenā’’tiādimāha. Kasmā panettha sandhāyabhāsitavasena attho veditabboti āha ‘‘yasmiṃ hī’’tiādi. Pathavīkhaṇanādiketi ettha ādi-saddena bhūtagāmapātabyatādipaññattivajjaṃ sikkhāpadaṃ saṅgaṇhāti. Yo vinaye apakataññutāya vattasīsena sammuñjaniādinā pathavīkhaṇanādīni karoti, tadā tassuppannacittaṃ sandhāya vuttaṃ ‘‘kusalacittaṃ aṅgaṃ hotī’’ti. Aṅgaṃ hotīti ca vattasīsena karontassapi ‘‘imaṃ pathaviṃ khaṇāmī’’tiādinā vītikkamajānanavasena pavattattā taṃ kusalacittaṃ āpattādhikaraṇaṃ, kusalacittaṃ āpattiyā kāraṇaṃ hotīti attho. Na hi vītikkamaṃ ajānantassa pathavīkhaṇanādīsu āpatti sambhavati. Tasmiṃ satīti tasmiṃ kusalacitte āpattibhāvena gahite satīti adhippāyo. Tasmāti yasmā kusalacitte āpattibhāvena gahite sati ‘‘natthi āpattādhikaraṇaṃ kusala’’nti na sakkā vattuṃ, tasmā. Nayidaṃ aṅgappahonakacittaṃ sandhāya vuttanti ‘‘āpattādhikaraṇaṃ siyā akusalaṃ siyā abyākataṃ, natthi āpattādhikaraṇaṃ kusala’’nti idaṃ āpattisamuṭṭhāpakabhāvena aṅgappahonakaṃ āpattiyā kāraṇabhūtaṃ cittaṃ sandhāya na vuttaṃ. Kiṃ pana sandhāya vuttanti āha ‘‘idaṃ panā’’tiādi. Bhikkhumhi kammaṭṭhānagatacittena nipanne niddāyante vā mātugāmo ce seyyaṃ kappeti, tasmiṃ khaṇe seyyākārena vattamānarūpameva āpatti, na kusalādivasappavattaṃ cittanti āha ‘‘asañcicca…pe… sahaseyyādivasena āpajjato (pari. 323 atthato samānaṃ) abyākataṃ hotī’’ti. Tasmiñhi khaṇe uṭṭhātabbe jāte anuṭṭhānato tadākārapavatto rūpakkhandhova āpatti.
‘‘อาปตฺติํ อาปชฺชโนฺต กุสลจิโตฺต วา อาปชฺชติ อกุสลาพฺยากตจิโตฺต วา’’ติ วจนโต กุสลมฺปิ อาปตฺตาธิกรณํ สิยาติ เจ? นฯ โย หิ อาปตฺติํ อาปชฺชตีติ วุจฺจติ, โส ตีสุ จิเตฺตสุ อญฺญตรจิตฺตสมงฺคี หุตฺวา อาปชฺชติ, น อญฺญถาติ ทสฺสนตฺถํ ‘‘กุสลจิโตฺต วา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ อยเญฺหตฺถ อโตฺถ – ปถวีขณนาทีสุ กุสลจิตฺตกฺขเณ วีติกฺกมาทิวเสน ปวตฺตรูปสมฺภวโต กุสลจิโตฺต วา ตถาปวตฺตรูปสงฺขาตํ อพฺยากตาปตฺติํ อาปชฺชติ, ตถา อพฺยากตจิโตฺต วา อพฺยากตรูปสงฺขาตํ อพฺยากตาปตฺติํ อาปชฺชติฯ ปาณาติปาตาทิํ อกุสลจิโตฺต วา อกุสลาปตฺติํ อาปชฺชติ, รูปํ ปเนตฺถ อโพฺพหาริกํฯ สุปินเนฺต จ ปาณาติปาตาทิํ กโรโนฺต สหเสยฺยาทิวเสน อาปชฺชิตพฺพาปตฺติํ อาปชฺชโนฺต อกุสลจิโตฺต อพฺยากตาปตฺติํ อาปชฺชตีติฯ
‘‘Āpattiṃ āpajjanto kusalacitto vā āpajjati akusalābyākatacitto vā’’ti vacanato kusalampi āpattādhikaraṇaṃ siyāti ce? Na. Yo hi āpattiṃ āpajjatīti vuccati, so tīsu cittesu aññataracittasamaṅgī hutvā āpajjati, na aññathāti dassanatthaṃ ‘‘kusalacitto vā’’tiādi vuttaṃ. Ayañhettha attho – pathavīkhaṇanādīsu kusalacittakkhaṇe vītikkamādivasena pavattarūpasambhavato kusalacitto vā tathāpavattarūpasaṅkhātaṃ abyākatāpattiṃ āpajjati, tathā abyākatacitto vā abyākatarūpasaṅkhātaṃ abyākatāpattiṃ āpajjati. Pāṇātipātādiṃ akusalacitto vā akusalāpattiṃ āpajjati, rūpaṃ panettha abbohārikaṃ. Supinante ca pāṇātipātādiṃ karonto sahaseyyādivasena āpajjitabbāpattiṃ āpajjanto akusalacitto abyākatāpattiṃ āpajjatīti.
กุสลจิตฺตํ อาปเชฺชยฺยาติ เอฬกโลมํ คเหตฺวา กมฺมฎฺฐานมนสิกาเรน ติโยชนํ อติกฺกมนฺตสฺส ปญฺญตฺติํ อชานิตฺวา ปทโส ธมฺมํ วาเจนฺตสฺส จ อาปชฺชิตพฺพาปตฺติยา กุสลจิตฺตํ อาปเชฺชยฺยฯ น จ ตตฺถ วิชฺชมานมฺปิ กุสลจิตฺตํ อาปตฺติยา องฺคนฺติ ตสฺมิํ วิชฺชมานมฺปิ กุสลจิตฺตํ อาปตฺติยา องฺคํ น โหติ, สยํ อาปตฺติ น โหตีติ อโตฺถฯ จลิตปฺปวตฺตานนฺติ จลิตานํ ปวตฺตานญฺจฯ จลิโต กาโย, ปวตฺตา วาจาฯ อญฺญตรเมว องฺคนฺติ กายวาจานํ อญฺญตรเมว อาปตฺตีติ อโตฺถฯ ตญฺจ รูปกฺขนฺธปริยาปนฺนตฺตา อพฺยากตนฺติ อิมินา อพฺยากตมาปตฺตาธิกรณํ, นาญฺญนฺติ ทเสฺสติฯ
Kusalacittaṃāpajjeyyāti eḷakalomaṃ gahetvā kammaṭṭhānamanasikārena tiyojanaṃ atikkamantassa paññattiṃ ajānitvā padaso dhammaṃ vācentassa ca āpajjitabbāpattiyā kusalacittaṃ āpajjeyya. Na ca tattha vijjamānampi kusalacittaṃ āpattiyā aṅganti tasmiṃ vijjamānampi kusalacittaṃ āpattiyā aṅgaṃ na hoti, sayaṃ āpatti na hotīti attho. Calitappavattānanti calitānaṃ pavattānañca. Calito kāyo, pavattā vācā. Aññatarameva aṅganti kāyavācānaṃ aññatarameva āpattīti attho. Tañca rūpakkhandhapariyāpannattā abyākatanti iminā abyākatamāpattādhikaraṇaṃ, nāññanti dasseti.
ยทิ เอวํ ‘‘สาปตฺติกสฺส, ภิกฺขเว, นิรยํ วา วทามิ ติรจฺฉานโยนิํ วา’’ติ วจนโต อพฺยากตสฺสปิ วิปากธมฺมตา อาปเชฺชยฺยาติ? นาปเชฺชยฺยฯ อสญฺจิจฺจ อาปนฺนา หิ อาปตฺติโย ยาว โส น ชานาติ, ตาว อนนฺตรายกรา, ชานิตฺวา ฉาเทโนฺต ปน ฉาทนปฺปจฺจยา อญฺญํ ทุกฺกฎสงฺขาตํ อกุสลมาปตฺตาธิกรณมาปชฺชติ, ตญฺจ อกุสลสภาวตฺตา สคฺคโมกฺขานํ อนฺตรายกรณนฺติ สาปตฺติกสฺส อปายคามิตา วุตฺตาฯ อพฺยากตํ ปน อาปตฺตาธิกรณํ อวิปากธมฺมเมวาติ นิฎฺฐเมตฺถ คนฺตพฺพํฯ เตเนว โปราณคณฺฐิปเทสุปิ ‘‘ปุถุชฺชโน กลฺยาณปุถุชฺชโน เสโกฺข อรหาติ จตฺตาโร ปุคฺคเล ทเสฺสตฺวา เตสุ อรหโต อาปตฺตาธิกรณํ อพฺยากตเมว, ตถา เสกฺขานํ, ตถา กลฺยาณปุถุชฺชนสฺส อสญฺจิจฺจ วีติกฺกมกาเล อพฺยากตเมวฯ อิตรสฺส อกุสลมฺปิ โหติ อพฺยากตมฺปิฯ ยสฺมา จสฺส สญฺจิจฺจ วีติกฺกมกาเล อกุสลเมว โหติ, ตสฺมา วุตฺตํ ‘นตฺถิ อาปตฺตาธิกรณํ กุสล’นฺติฯ สพฺพตฺถ เอวํ อพฺยากตนฺติ วิปากาภาวมตฺตํ สนฺธาย วุตฺต’’นฺติ ลิขิตํฯ ยญฺจ อาปตฺตาธิกรณํ อกุสลํ, ตมฺปิ เทสิตํ วุฎฺฐิตํ วา อนนฺตรายกรํฯ ยถา หิ อริยูปวาทกมฺมํ อกุสลมฺปิ สมานํ อจฺจยํ เทเสตฺวา ขมาปเนน ปโยคสมฺปตฺติปฎิพาหิตตฺตา อวิปากธมฺมตํ อาปนฺนํ อโหสิกมฺมํ โหติ, เอวมิทมฺปิ เทสิตํ วุฎฺฐิตํ วา ปโยคสมฺปตฺติปฎิพาหิตตฺตา อวิปากธมฺมตาย อโหสิกมฺมภาเวน อนนฺตรายกรํ ชาตํฯ เตเนว ‘‘สาปตฺติกสฺส, ภิกฺขเว, นิรยํ วา วทามิ ติรจฺฉานโยนิํ วา’’ติ สาปตฺติกเสฺสว อปายคามิตา วุตฺตาฯ
Yadi evaṃ ‘‘sāpattikassa, bhikkhave, nirayaṃ vā vadāmi tiracchānayoniṃ vā’’ti vacanato abyākatassapi vipākadhammatā āpajjeyyāti? Nāpajjeyya. Asañcicca āpannā hi āpattiyo yāva so na jānāti, tāva anantarāyakarā, jānitvā chādento pana chādanappaccayā aññaṃ dukkaṭasaṅkhātaṃ akusalamāpattādhikaraṇamāpajjati, tañca akusalasabhāvattā saggamokkhānaṃ antarāyakaraṇanti sāpattikassa apāyagāmitā vuttā. Abyākataṃ pana āpattādhikaraṇaṃ avipākadhammamevāti niṭṭhamettha gantabbaṃ. Teneva porāṇagaṇṭhipadesupi ‘‘puthujjano kalyāṇaputhujjano sekkho arahāti cattāro puggale dassetvā tesu arahato āpattādhikaraṇaṃ abyākatameva, tathā sekkhānaṃ, tathā kalyāṇaputhujjanassa asañcicca vītikkamakāle abyākatameva. Itarassa akusalampi hoti abyākatampi. Yasmā cassa sañcicca vītikkamakāle akusalameva hoti, tasmā vuttaṃ ‘natthi āpattādhikaraṇaṃ kusala’nti. Sabbattha evaṃ abyākatanti vipākābhāvamattaṃ sandhāya vutta’’nti likhitaṃ. Yañca āpattādhikaraṇaṃ akusalaṃ, tampi desitaṃ vuṭṭhitaṃ vā anantarāyakaraṃ. Yathā hi ariyūpavādakammaṃ akusalampi samānaṃ accayaṃ desetvā khamāpanena payogasampattipaṭibāhitattā avipākadhammataṃ āpannaṃ ahosikammaṃ hoti, evamidampi desitaṃ vuṭṭhitaṃ vā payogasampattipaṭibāhitattā avipākadhammatāya ahosikammabhāvena anantarāyakaraṃ jātaṃ. Teneva ‘‘sāpattikassa, bhikkhave, nirayaṃ vā vadāmi tiracchānayoniṃ vā’’ti sāpattikasseva apāyagāmitā vuttā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / วินยปิฎก • Vinayapiṭaka / จูฬวคฺคปาฬิ • Cūḷavaggapāḷi / ๘. อธิกรณํ • 8. Adhikaraṇaṃ
อฎฺฐกถา • Aṭṭhakathā / วินยปิฎก (อฎฺฐกถา) • Vinayapiṭaka (aṭṭhakathā) / จูฬวคฺค-อฎฺฐกถา • Cūḷavagga-aṭṭhakathā / อธิกรณกถา • Adhikaraṇakathā
ฎีกา • Tīkā / วินยปิฎก (ฎีกา) • Vinayapiṭaka (ṭīkā) / วชิรพุทฺธิ-ฎีกา • Vajirabuddhi-ṭīkā / อธิกรณกถาวณฺณนา • Adhikaraṇakathāvaṇṇanā
ฎีกา • Tīkā / วินยปิฎก (ฎีกา) • Vinayapiṭaka (ṭīkā) / วิมติวิโนทนี-ฎีกา • Vimativinodanī-ṭīkā / อธิกรณกถาวณฺณนา • Adhikaraṇakathāvaṇṇanā
ฎีกา • Tīkā / วินยปิฎก (ฎีกา) • Vinayapiṭaka (ṭīkā) / ปาจิตฺยาทิโยชนาปาฬิ • Pācityādiyojanāpāḷi / ๘. อธิกรณกถา • 8. Adhikaraṇakathā