Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / องฺคุตฺตรนิกาย (อฎฺฐกถา) • Aṅguttaranikāya (aṭṭhakathā)

    ๒. อธิกรณวคฺควณฺณนา

    2. Adhikaraṇavaggavaṇṇanā

    ๑๑. ทุติยสฺส ปฐเม พลานีติ เกนเฎฺฐน พลานิฯ อกมฺปิยเฎฺฐน พลานิ นาม, ตถา ทุรภิภวนเฎฺฐน อนโชฺฌมทฺทนเฎฺฐน จฯ ปฎิสงฺขานพลนฺติ ปจฺจเวกฺขณพลํฯ ภาวนาพลนฺติ พฺรูหนพลํ วฑฺฒนพลํฯ สุทฺธํ อตฺตานนฺติ อิทํ เหฎฺฐา วุตฺตนเยเนว เวทิตพฺพํฯ ตตฺราติ เตสุ ทฺวีสุ พเลสุฯ ยมิทนฺติ ยํ อิทํฯ เสขานเมตํ พลนฺติ สตฺตนฺนํ เสขานํ ญาณพลเมตํฯ เสขญฺหิ โส, ภิกฺขเว, พลํ อาคมฺมาติ สตฺตนฺนํ เสขานํ ญาณพลํ อารพฺภ สนฺธาย ปฎิจฺจฯ ปชหตีติ มเคฺคน ปชหติฯ ปหายาติ อิมินา ปน ผลํ กถิตํฯ ยํ ปาปนฺติ ยํ ปาปกํ ลามกํฯ ยสฺมา ปเนตานิ เทฺวปิ วเฑฺฒตฺวา อรหตฺตํ ปาปุณาติ, ตสฺมา เอตฺถ เอตทคฺคํ นาคตนฺติ เวทิตพฺพํฯ

    11. Dutiyassa paṭhame balānīti kenaṭṭhena balāni. Akampiyaṭṭhena balāni nāma, tathā durabhibhavanaṭṭhena anajjhomaddanaṭṭhena ca. Paṭisaṅkhānabalanti paccavekkhaṇabalaṃ. Bhāvanābalanti brūhanabalaṃ vaḍḍhanabalaṃ. Suddhaṃ attānanti idaṃ heṭṭhā vuttanayeneva veditabbaṃ. Tatrāti tesu dvīsu balesu. Yamidanti yaṃ idaṃ. Sekhānametaṃ balanti sattannaṃ sekhānaṃ ñāṇabalametaṃ. Sekhañhi so, bhikkhave, balaṃ āgammāti sattannaṃ sekhānaṃ ñāṇabalaṃ ārabbha sandhāya paṭicca. Pajahatīti maggena pajahati. Pahāyāti iminā pana phalaṃ kathitaṃ. Yaṃ pāpanti yaṃ pāpakaṃ lāmakaṃ. Yasmā panetāni dvepi vaḍḍhetvā arahattaṃ pāpuṇāti, tasmā ettha etadaggaṃ nāgatanti veditabbaṃ.

    ๑๒. ทุติเย สติสโมฺพชฺฌงฺคํ ภาเวตีติอาทีสุ อยํ เหฎฺฐา อนาคตานํ ปทานํ วเสน อตฺถวณฺณนา – วิเวกนิสฺสิตนฺติ วิเวกํ นิสฺสิตํฯ วิเวโกติ วิวิตฺตตาฯ สฺวายํ ตทงฺควิเวโก วิกฺขมฺภน-สมุเจฺฉท-ปฎิปฺปสฺสทฺธิ-นิสฺสรณวิเวโกติ ปญฺจวิโธฯ ตสฺมิํ ปญฺจวิเธ วิเวเกฯ วิเวกนิสฺสิตนฺติ ตทงฺควิเวกนิสฺสิตํ, สมุเจฺฉทวิเวกนิสฺสิตํ, นิสฺสรณวิเวกนิสฺสิตญฺจ สติสโมฺพชฺฌงฺคํ ภาเวตีติ อยมโตฺถ เวทิตโพฺพฯ ตถา หิ สติสโมฺพชฺฌงฺคภาวนานุยุโตฺต โยคี วิปสฺสนากฺขเณ กิจฺจโต ตทงฺควิเวกนิสฺสิตํ, อชฺฌาสยโต นิสฺสรณวิเวกนิสฺสิตํ, มคฺคกาเล ปน กิจฺจโต สมุเจฺฉทวิเวกนิสฺสิตํ, อารมฺมณโต นิสฺสรณวิเวกนิสฺสิตํ สติสโมฺพชฺฌงฺคํ ภาเวติฯ ปญฺจวิธวิเวกนิสฺสิตมฺปีติ เอเกฯ เต หิ น เกวลํ พลววิปสฺสนามคฺคผลกฺขเณสุเยว โพชฺฌเงฺค อุทฺธรนฺติ, วิปสฺสนาปาทกกสิณชฺฌานอานาปานาสุภพฺรหฺมวิหารชฺฌาเนสุปิ อุทฺธรนฺติ, น จ ปฎิสิทฺธา อฎฺฐกถาจริเยหิฯ ตสฺมา เตสํ มเตน เอเตสํ ฌานานํ ปวตฺติกฺขเณ กิจฺจโต เอว วิกฺขมฺภนวิเวกนิสฺสิตํฯ ยถา จ ‘‘วิปสฺสนากฺขเณ อชฺฌาสยโต นิสฺสรณวิเวกนิสฺสิต’’นฺติ วุตฺตํ, เอวํ ‘‘ปฎิปฺปสฺสทฺธิวิเวกนิสฺสิตมฺปิ ภาเวตี’’ติ วตฺตุํ วฎฺฎติฯ เอส นโย วิราคนิสฺสิตนฺติอาทีสุฯ วิเวกตฺถา เอว หิ วิราคาทโยฯ

    12. Dutiye satisambojjhaṅgaṃ bhāvetītiādīsu ayaṃ heṭṭhā anāgatānaṃ padānaṃ vasena atthavaṇṇanā – vivekanissitanti vivekaṃ nissitaṃ. Vivekoti vivittatā. Svāyaṃ tadaṅgaviveko vikkhambhana-samuccheda-paṭippassaddhi-nissaraṇavivekoti pañcavidho. Tasmiṃ pañcavidhe viveke. Vivekanissitanti tadaṅgavivekanissitaṃ, samucchedavivekanissitaṃ, nissaraṇavivekanissitañca satisambojjhaṅgaṃ bhāvetīti ayamattho veditabbo. Tathā hi satisambojjhaṅgabhāvanānuyutto yogī vipassanākkhaṇe kiccato tadaṅgavivekanissitaṃ, ajjhāsayato nissaraṇavivekanissitaṃ, maggakāle pana kiccato samucchedavivekanissitaṃ, ārammaṇato nissaraṇavivekanissitaṃ satisambojjhaṅgaṃ bhāveti. Pañcavidhavivekanissitampīti eke. Te hi na kevalaṃ balavavipassanāmaggaphalakkhaṇesuyeva bojjhaṅge uddharanti, vipassanāpādakakasiṇajjhānaānāpānāsubhabrahmavihārajjhānesupi uddharanti, na ca paṭisiddhā aṭṭhakathācariyehi. Tasmā tesaṃ matena etesaṃ jhānānaṃ pavattikkhaṇe kiccato eva vikkhambhanavivekanissitaṃ. Yathā ca ‘‘vipassanākkhaṇe ajjhāsayato nissaraṇavivekanissita’’nti vuttaṃ, evaṃ ‘‘paṭippassaddhivivekanissitampi bhāvetī’’ti vattuṃ vaṭṭati. Esa nayo virāganissitantiādīsu. Vivekatthā eva hi virāgādayo.

    เกวลํ เหตฺถ โวสฺสโคฺค ทุวิโธ ปริจฺจาคโวสฺสโคฺค จ ปกฺขนฺทนโวสฺสโคฺค จาติฯ ตตฺถ ปริจฺจาคโวสฺสโคฺคติ วิปสฺสนากฺขเณ จ ตทงฺควเสน, มคฺคกฺขเณ จ สมุเจฺฉทวเสน กิเลสปฺปหานํฯ ปกฺขนฺทนโวสฺสโคฺคติ วิปสฺสนากฺขเณ ตนฺนินฺนภาเวน, มคฺคกฺขเณ ปน อารมฺมณกรเณน นิพฺพานปกฺขนฺทนํฯ ตทุภยมฺปิ อิมสฺมิํ โลกิยโลกุตฺตรมิสฺสเก อตฺถวณฺณนานเย วฎฺฎติฯ ตถา หิ อยํ สติสโมฺพชฺฌโงฺค ยถาวุเตฺตน ปกาเรน กิเลเส ปริจฺจชติ, นิพฺพานญฺจ ปกฺขนฺทติฯ โวสฺสคฺคปริณามินฺติ อิมินา ปน สกเลน วจเนน โวสฺสคฺคตฺถํ ปริณมนฺตํ ปริณตญฺจ, ปริปจฺจนฺตํ ปริปกฺกญฺจาติ อิทํ วุตฺตํ โหติฯ อยญฺหิ โพชฺฌงฺคภาวนานุยุโตฺต ภิกฺขุ ยถา สติสโมฺพชฺฌโงฺค กิเลสปริจฺจาคโวสฺสคฺคตฺถํ นิพฺพานปกฺขนฺทนโวสฺสคฺคตฺถญฺจ ปริปจฺจติ, ยถา จ ปริปโกฺก โหติ, ตถา นํ ภาเวตีติฯ เอส นโย เสสโพชฺฌเงฺคสุฯ

    Kevalaṃ hettha vossaggo duvidho pariccāgavossaggo ca pakkhandanavossaggo cāti. Tattha pariccāgavossaggoti vipassanākkhaṇe ca tadaṅgavasena, maggakkhaṇe ca samucchedavasena kilesappahānaṃ. Pakkhandanavossaggoti vipassanākkhaṇe tanninnabhāvena, maggakkhaṇe pana ārammaṇakaraṇena nibbānapakkhandanaṃ. Tadubhayampi imasmiṃ lokiyalokuttaramissake atthavaṇṇanānaye vaṭṭati. Tathā hi ayaṃ satisambojjhaṅgo yathāvuttena pakārena kilese pariccajati, nibbānañca pakkhandati. Vossaggapariṇāminti iminā pana sakalena vacanena vossaggatthaṃ pariṇamantaṃ pariṇatañca, paripaccantaṃ paripakkañcāti idaṃ vuttaṃ hoti. Ayañhi bojjhaṅgabhāvanānuyutto bhikkhu yathā satisambojjhaṅgo kilesapariccāgavossaggatthaṃ nibbānapakkhandanavossaggatthañca paripaccati, yathā ca paripakko hoti, tathā naṃ bhāvetīti. Esa nayo sesabojjhaṅgesu.

    อิธ ปน นิพฺพานํเยว สพฺพสงฺขเตหิ วิวิตฺตตฺตา วิเวโก, สเพฺพสํ วิราคภาวโต วิราโค, นิโรธภาวโต นิโรโธติ วุตฺตํฯ มโคฺค เอว จ โวสฺสคฺคปริณามี, ตสฺมา สติสโมฺพชฺฌงฺคํ ภาเวติ วิเวกํ อารมฺมณํ กตฺวา ปวตฺติยา วิเวกนิสฺสิตํ, ตถา วิราคนิสฺสิตํ นิโรธนิสฺสิตํฯ ตญฺจ โข อริยมคฺคกฺขณุปฺปตฺติยา กิเลสานํ สมุเจฺฉทโต ปริจฺจาคภาเวน จ นิพฺพานปกฺขนฺทนภาเวน จ ปริณตํ ปริปกฺกนฺติ อยเมว อโตฺถ ทฎฺฐโพฺพฯ เอส นโย เสสโพชฺฌเงฺคสุฯ อิติ อิเม สตฺต โพชฺฌงฺคา โลกิยโลกุตฺตรมิสฺสกา กถิตาฯ อิเมสุปิ ทฺวีสุ พเลสุ เอตทคฺคภาโว วุตฺตนเยเนว เวทิตโพฺพฯ

    Idha pana nibbānaṃyeva sabbasaṅkhatehi vivittattā viveko, sabbesaṃ virāgabhāvato virāgo, nirodhabhāvato nirodhoti vuttaṃ. Maggo eva ca vossaggapariṇāmī, tasmā satisambojjhaṅgaṃ bhāveti vivekaṃ ārammaṇaṃ katvā pavattiyā vivekanissitaṃ, tathā virāganissitaṃ nirodhanissitaṃ. Tañca kho ariyamaggakkhaṇuppattiyā kilesānaṃ samucchedato pariccāgabhāvena ca nibbānapakkhandanabhāvena ca pariṇataṃ paripakkanti ayameva attho daṭṭhabbo. Esa nayo sesabojjhaṅgesu. Iti ime satta bojjhaṅgā lokiyalokuttaramissakā kathitā. Imesupi dvīsu balesu etadaggabhāvo vuttanayeneva veditabbo.

    ๑๓. ตติเย วิวิเจฺจว กาเมหีติอาทีนํ จตุนฺนํ ฌานานํ ปาฬิอโตฺถ จ ภาวนานโย จ สโพฺพ สพฺพากาเรน วิสุทฺธิมเคฺค (วิสุทฺธิ. ๑.๖๙-๗๐) วิตฺถาริโตเยวฯ อิมานิ ปน จตฺตาริ ฌานานิ เอโก ภิกฺขุ จิเตฺตกคฺคตฺถาย ภาเวติ, เอโก วิปสฺสนาปาทกตฺถาย, เอโก อภิญฺญาปาทกตฺถาย, เอโก นิโรธปาทกตฺถาย, เอโก ภววิเสสตฺถายฯ อิธ ปน ตานิปิ วิปสฺสนาปาทกานิ อธิเปฺปตานิฯ อยํ หิ ภิกฺขุ อิมานิ ฌานานิ สมาปชฺชิตฺวา สมาปตฺติโต วุฎฺฐาย สงฺขาเร สมฺมสิตฺวา เหตุปจฺจยปริคฺคหํ กตฺวา สปฺปจฺจยํ นามรูปญฺจ ววตฺถเปตฺวา อินฺทฺริยพลโพชฺฌงฺคานิ สโมธาเนตฺวา อรหตฺตํ ปาปุณาติฯ เอวเมตานิ ฌานานิ โลกิยโลกุตฺตรมิสฺสกาเนว กถิตานิฯ อิมสฺมิมฺปิ พลทฺวเย เอตทคฺคภาโว วุตฺตนเยเนว เวทิตโพฺพฯ

    13. Tatiye vivicceva kāmehītiādīnaṃ catunnaṃ jhānānaṃ pāḷiattho ca bhāvanānayo ca sabbo sabbākārena visuddhimagge (visuddhi. 1.69-70) vitthāritoyeva. Imāni pana cattāri jhānāni eko bhikkhu cittekaggatthāya bhāveti, eko vipassanāpādakatthāya, eko abhiññāpādakatthāya, eko nirodhapādakatthāya, eko bhavavisesatthāya. Idha pana tānipi vipassanāpādakāni adhippetāni. Ayaṃ hi bhikkhu imāni jhānāni samāpajjitvā samāpattito vuṭṭhāya saṅkhāre sammasitvā hetupaccayapariggahaṃ katvā sappaccayaṃ nāmarūpañca vavatthapetvā indriyabalabojjhaṅgāni samodhānetvā arahattaṃ pāpuṇāti. Evametāni jhānāni lokiyalokuttaramissakāneva kathitāni. Imasmimpi baladvaye etadaggabhāvo vuttanayeneva veditabbo.

    ๑๔. จตุเตฺถ สํขิเตฺตน จ วิตฺถาเรน จาติ สํขิตฺตธมฺมเทสนา วิตฺถารธมฺมเทสนา จาติ เทฺวเยว ธมฺมเทสนาติ ทเสฺสติฯ ตตฺถ มาติกํ อุทฺทิสิตฺวา กถิตา เทสนา สํขิตฺตเทสนา นามฯ ตเมว มาติกํ วิตฺถารโต วิภชิตฺวา กถิตา วิตฺถารเทสนา นามฯ มาติกํ วา ฐเปตฺวาปิ อฎฺฐเปตฺวาปิ วิตฺถารโต วิภชิตฺวา กถิตา วิตฺถารเทสนา นาม ฯ ตาสุ สํขิตฺตเทสนา นาม มหาปญฺญสฺส ปุคฺคลสฺส วเสน กถิตา, วิตฺถารเทสนา นาม มนฺทปญฺญสฺสฯ มหาปญฺญสฺส หิ วิตฺถารเทสนา อติปปโญฺจ วิย โหติฯ มนฺทปญฺญสฺส สเงฺขปเทสนา สสกสฺส อุปฺปตนํ วิย โหติ, เนว อนฺตํ น โกฎิํ ปาปุณิตุํ สโกฺกติฯ สเงฺขปเทสนา จ อุคฺฆฎิตญฺญุสฺส วเสน กถิตา, วิตฺถารเทสนา อิตเรสํ ติณฺณํ วเสนฯ สกลมฺปิ หิ เตปิฎกํ สเงฺขปเทสนา วิตฺถารเทสนาติ เอเตฺถว สงฺขํ คจฺฉติฯ

    14. Catutthe saṃkhittena ca vitthārena cāti saṃkhittadhammadesanā vitthāradhammadesanā cāti dveyeva dhammadesanāti dasseti. Tattha mātikaṃ uddisitvā kathitā desanā saṃkhittadesanā nāma. Tameva mātikaṃ vitthārato vibhajitvā kathitā vitthāradesanā nāma. Mātikaṃ vā ṭhapetvāpi aṭṭhapetvāpi vitthārato vibhajitvā kathitā vitthāradesanā nāma . Tāsu saṃkhittadesanā nāma mahāpaññassa puggalassa vasena kathitā, vitthāradesanā nāma mandapaññassa. Mahāpaññassa hi vitthāradesanā atipapañco viya hoti. Mandapaññassa saṅkhepadesanā sasakassa uppatanaṃ viya hoti, neva antaṃ na koṭiṃ pāpuṇituṃ sakkoti. Saṅkhepadesanā ca ugghaṭitaññussa vasena kathitā, vitthāradesanā itaresaṃ tiṇṇaṃ vasena. Sakalampi hi tepiṭakaṃ saṅkhepadesanā vitthāradesanāti ettheva saṅkhaṃ gacchati.

    ๑๕. ปญฺจเม ยสฺมิํ, ภิกฺขเว, อธิกรเณติ วิวาทาธิกรณํ, อนุวาทาธิกรณํ, อาปตฺตาธิกรณํ, กิจฺจาธิกรณนฺติ อิเมสํ จตุนฺนํ อธิกรณานํ ยสฺมิํ อธิกรเณฯ อาปโนฺน จ ภิกฺขูติ อาปตฺติํ อาปโนฺน ภิกฺขุ จฯ ตเสฺมตนฺติ ตสฺมิํ เอตํฯ ทีฆตฺตายาติ ทีฆํ อทฺธานํ ติฎฺฐนตฺถายฯ ขรตฺตายาติ ทาส-โกณฺฑ-จณฺฑาล-เวนาติ เอวํ ขรวาจาปวตฺตนตฺถายฯ วาฬตฺตายาติ ปาณิ เลฑฺฑุทณฺฑาทีหิ ปหรณวเสน กกฺขฬภาวตฺถายฯ ภิกฺขู จ น ผาสุํ วิหริสฺสนฺตีติ อญฺญมญฺญํ วิวาทาปเนฺน ภิกฺขุสเงฺฆ เยปิ อุเทฺทสํ วา ปริปุจฺฉํ วา คเหตุกามา ปธานํ วา อนุยุญฺชิตุกามา, เต ผาสุํ น วิหริสฺสนฺติฯ ภิกฺขุสงฺฆสฺมิํ หิ อุโปสถปวารณาย ฐิตาย อุเทฺทสาทีหิ อตฺถิกา อุเทฺทสาทีนิ คเหตุํ น สโกฺกนฺติ, วิปสฺสกานํ จิตฺตุปฺปาโท น เอกโคฺค โหติ, ตโต วิเสสํ นิพฺพเตฺตตุํ น สโกฺกนฺติฯ เอวํ ภิกฺขู จ น ผาสุํ วิหริสฺสนฺติฯ น ทีฆตฺตายาติอาทีสุ วุตฺตปฎิปกฺขนเยน อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ

    15. Pañcame yasmiṃ, bhikkhave, adhikaraṇeti vivādādhikaraṇaṃ, anuvādādhikaraṇaṃ, āpattādhikaraṇaṃ, kiccādhikaraṇanti imesaṃ catunnaṃ adhikaraṇānaṃ yasmiṃ adhikaraṇe. Āpanno ca bhikkhūti āpattiṃ āpanno bhikkhu ca. Tasmetanti tasmiṃ etaṃ. Dīghattāyāti dīghaṃ addhānaṃ tiṭṭhanatthāya. Kharattāyāti dāsa-koṇḍa-caṇḍāla-venāti evaṃ kharavācāpavattanatthāya. Vāḷattāyāti pāṇi leḍḍudaṇḍādīhi paharaṇavasena kakkhaḷabhāvatthāya. Bhikkhū ca na phāsuṃ viharissantīti aññamaññaṃ vivādāpanne bhikkhusaṅghe yepi uddesaṃ vā paripucchaṃ vā gahetukāmā padhānaṃ vā anuyuñjitukāmā, te phāsuṃ na viharissanti. Bhikkhusaṅghasmiṃ hi uposathapavāraṇāya ṭhitāya uddesādīhi atthikā uddesādīni gahetuṃ na sakkonti, vipassakānaṃ cittuppādo na ekaggo hoti, tato visesaṃ nibbattetuṃ na sakkonti. Evaṃ bhikkhū ca na phāsuṃ viharissanti. Na dīghattāyātiādīsu vuttapaṭipakkhanayena attho veditabbo.

    อิธาติ อิมสฺมิํ สาสเนฯ อิติ ปฎิสญฺจิกฺขตีติ เอวํ ปจฺจเวกฺขติฯ อกุสลํ อาปโนฺนติ เอตฺถ อกุสลนฺติ อาปตฺติ อธิเปฺปตา, อาปตฺติํ อาปโนฺนติ อโตฺถฯ กญฺจิเทว เทสนฺติ น สพฺพเมว อาปตฺติํ, อาปตฺติยา ปน กญฺจิเทว เทสํ อญฺญตรํ อาปตฺตินฺติ อโตฺถฯ กาเยนาติ กรชกาเยนฯ อนตฺตมโนติ อตุฎฺฐจิโตฺตฯ อนตฺตมนวาจนฺติ อตุฎฺฐวาจํฯ มเมวาติ มํเยวฯ ตตฺถาติ ตสฺมิํ อธิกรเณฯ อจฺจโย อจฺจคมาติ อปราโธ อติกฺกมิตฺวา มทฺทิตฺวา คโต, อหเมเวตฺถ อปราธิโกฯ สุงฺกทายกํว ภณฺฑสฺมินฺติ ยถา สุงฺกฎฺฐานํ ปริหริตฺวา นีเต ภณฺฑสฺมิํ สุงฺกทายกํ อปราโธ อภิภวติ, โส จ ตตฺถ อปราธิโก โหติ, น ราชาโน น ราชปุริสาติ อโตฺถฯ

    Idhāti imasmiṃ sāsane. Iti paṭisañcikkhatīti evaṃ paccavekkhati. Akusalaṃ āpannoti ettha akusalanti āpatti adhippetā, āpattiṃ āpannoti attho. Kañcideva desanti na sabbameva āpattiṃ, āpattiyā pana kañcideva desaṃ aññataraṃ āpattinti attho. Kāyenāti karajakāyena. Anattamanoti atuṭṭhacitto. Anattamanavācanti atuṭṭhavācaṃ. Mamevāti maṃyeva. Tatthāti tasmiṃ adhikaraṇe. Accayo accagamāti aparādho atikkamitvā madditvā gato, ahamevettha aparādhiko. Suṅkadāyakaṃva bhaṇḍasminti yathā suṅkaṭṭhānaṃ pariharitvā nīte bhaṇḍasmiṃ suṅkadāyakaṃ aparādho abhibhavati, so ca tattha aparādhiko hoti, na rājāno na rājapurisāti attho.

    อิทํ วุตฺตํ โหติ – โย หิ รญฺญา ฐปิตํ สุงฺกฎฺฐานํ ปริหริตฺวา ภณฺฑํ หรติ, ตํ สห ภณฺฑสกเฎน อาเนตฺวา รโญฺญ ทเสฺสนฺติฯ ตตฺถ เนว สุงฺกฎฺฐานสฺส โทโส อตฺถิ, น รโญฺญ น ราชปุริสานํ, ปริหริตฺวา คตเสฺสว ปน โทโส, เอวเมวํ ยํ โส ภิกฺขุ อาปตฺติํ อาปโนฺน, ตตฺถ เนว อาปตฺติยา โทโส, น โจทกสฺสฯ ตีหิ ปน การเณหิ ตเสฺสว ภิกฺขุโน โทโสฯ ตสฺส หิ อาปตฺติํ อาปนฺนภาเวนปิ โทโส, โจทเก อนตฺตมนตายปิ โทโส, อนตฺตมนสฺส สโต ปเรสํ อาโรจเนนปิ โทโสฯ โจทกสฺส ปน ยํ โส ตํ อาปตฺติํ อาปชฺชนฺตํ อทฺทส, ตตฺถ โทโส นตฺถิฯ อนตฺตมนตาย โจทนาย ปน โทโสฯ ตมฺปิ อมนสิกริตฺวา อยํ ภิกฺขุ อตฺตโนว โทสํ ปจฺจเวกฺขโนฺต ‘‘อิติ มเมว ตตฺถ อจฺจโย อจฺจคมา สุงฺกทายกํว ภณฺฑสฺมิ’’นฺติ เอวํ ปฎิสญฺจิกฺขตีติ อโตฺถฯ ทุติยวาเร โจทกสฺส อนตฺตมนตา จ อนตฺตมนตาย โจทิตภาโว จาติ เทฺว โทสา, เตสํ วเสน ‘‘อจฺจโย อจฺจคมา’’ติ เอตฺถ โยชนา กาตพฺพาฯ เสสเมตฺถ อุตฺตานเมวาติฯ

    Idaṃ vuttaṃ hoti – yo hi raññā ṭhapitaṃ suṅkaṭṭhānaṃ pariharitvā bhaṇḍaṃ harati, taṃ saha bhaṇḍasakaṭena ānetvā rañño dassenti. Tattha neva suṅkaṭṭhānassa doso atthi, na rañño na rājapurisānaṃ, pariharitvā gatasseva pana doso, evamevaṃ yaṃ so bhikkhu āpattiṃ āpanno, tattha neva āpattiyā doso, na codakassa. Tīhi pana kāraṇehi tasseva bhikkhuno doso. Tassa hi āpattiṃ āpannabhāvenapi doso, codake anattamanatāyapi doso, anattamanassa sato paresaṃ ārocanenapi doso. Codakassa pana yaṃ so taṃ āpattiṃ āpajjantaṃ addasa, tattha doso natthi. Anattamanatāya codanāya pana doso. Tampi amanasikaritvā ayaṃ bhikkhu attanova dosaṃ paccavekkhanto ‘‘iti mameva tattha accayo accagamā suṅkadāyakaṃva bhaṇḍasmi’’nti evaṃ paṭisañcikkhatīti attho. Dutiyavāre codakassa anattamanatā ca anattamanatāya coditabhāvo cāti dve dosā, tesaṃ vasena ‘‘accayo accagamā’’ti ettha yojanā kātabbā. Sesamettha uttānamevāti.

    ๑๖. ฉเฎฺฐ อญฺญตโรติ เอโก อปากฎนาโม พฺราหฺมโณฯ เยน ภควา เตนุปสงฺกมีติ เยนาติ ภุมฺมเตฺถ กรณวจนํฯ ตสฺมา ยตฺถ ภควา, ตตฺถ อุปสงฺกมีติ เอวเมตฺถ อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ เยน วา การเณน ภควา เทวมนุเสฺสหิ อุปสงฺกมิตโพฺพ, เตน การเณน อุปสงฺกมีติ เอวเมตฺถ อโตฺถ ทฎฺฐโพฺพฯ เกน จ การเณน ภควา อุปสงฺกมิตโพฺพ ? นานปฺปการคุณวิเสสาธิคมาธิปฺปาเยน, สาทุผลูปโภคาธิปฺปาเยน ทิชคเณหิ นิจฺจผลิตมหารุโกฺข วิยฯ อุปสงฺกมีติ คโตติ วุตฺตํ โหติฯ อุปสงฺกมิตฺวาติ อุปสงฺกมนปริโยสานทีปนํฯ อถ วา เอวํ คโต ตโต อาสนฺนตรํ ฐานํ ภควโต สมีปสงฺขาตํ คนฺตฺวาติปิ วุตฺตํ โหติฯ

    16. Chaṭṭhe aññataroti eko apākaṭanāmo brāhmaṇo. Yena bhagavā tenupasaṅkamīti yenāti bhummatthe karaṇavacanaṃ. Tasmā yattha bhagavā, tattha upasaṅkamīti evamettha attho veditabbo. Yena vā kāraṇena bhagavā devamanussehi upasaṅkamitabbo, tena kāraṇena upasaṅkamīti evamettha attho daṭṭhabbo. Kena ca kāraṇena bhagavā upasaṅkamitabbo ? Nānappakāraguṇavisesādhigamādhippāyena, sāduphalūpabhogādhippāyena dijagaṇehi niccaphalitamahārukkho viya. Upasaṅkamīti gatoti vuttaṃ hoti. Upasaṅkamitvāti upasaṅkamanapariyosānadīpanaṃ. Atha vā evaṃ gato tato āsannataraṃ ṭhānaṃ bhagavato samīpasaṅkhātaṃ gantvātipi vuttaṃ hoti.

    ภควตา สทฺธิํ สโมฺมทีติ ยถา จ ขมนียาทีนิ ปุจฺฉโนฺต ภควา เตน, เอวํ โสปิ ภควตา สทฺธิํ สมปฺปวตฺตโมโท อโหสิ, สีโตทกํ วิย อุโณฺหทเกน สโมฺมทิตํ เอกีภาวํ อคมาสิฯ ยาย จ ‘‘กจฺจิ, โภ โคตม, ขมนียํ, กจฺจิ ยาปนียํ, กจฺจิ โภโต โคตมสฺส จ สาวกานญฺจ อปฺปาพาธํ อปฺปาตงฺกํ ลหุฎฺฐานํ พลํ ผาสุวิหาโร’’ติอาทิกาย กถาย สโมฺมทิ, ตํ ปีติปาโมชฺชสงฺขาตสฺส สโมฺมทสฺส ชนนโต สโมฺมทิตุํ ยุตฺตภาวโต จ สโมฺมทนียํ, อตฺถพฺยญฺชนมธุรตาย สุจิรมฺปิ กาลํ สาเรตุํ นิรนฺตรํ ปวเตฺตตุํ อรหรูปโต สริตพฺพภาวโต จ สารณียํฯ สุยฺยมานสุขโต วา สโมฺมทนียํ, อนุสฺสริยมานสุขโต สารณียํ, ตถา พฺยญฺชนปริสุทฺธตาย สโมฺมทนียํ, อตฺถปริสุทฺธตาย สารณียนฺติ เอวํ อเนเกหิ ปริยาเยหิ สโมฺมทนียํ สารณียํ กถํ วีติสาเรตฺวา ปริโยสาเปตฺวา นิฎฺฐเปตฺวา เยนเตฺถน อาคโต, ตํ ปุจฺฉิตุกาโม เอกมนฺตํ นิสีทิฯ

    Bhagavatā saddhiṃ sammodīti yathā ca khamanīyādīni pucchanto bhagavā tena, evaṃ sopi bhagavatā saddhiṃ samappavattamodo ahosi, sītodakaṃ viya uṇhodakena sammoditaṃ ekībhāvaṃ agamāsi. Yāya ca ‘‘kacci, bho gotama, khamanīyaṃ, kacci yāpanīyaṃ, kacci bhoto gotamassa ca sāvakānañca appābādhaṃ appātaṅkaṃ lahuṭṭhānaṃ balaṃ phāsuvihāro’’tiādikāya kathāya sammodi, taṃ pītipāmojjasaṅkhātassa sammodassa jananato sammodituṃ yuttabhāvato ca sammodanīyaṃ, atthabyañjanamadhuratāya sucirampi kālaṃ sāretuṃ nirantaraṃ pavattetuṃ araharūpato saritabbabhāvato ca sāraṇīyaṃ. Suyyamānasukhato vā sammodanīyaṃ, anussariyamānasukhato sāraṇīyaṃ, tathā byañjanaparisuddhatāya sammodanīyaṃ, atthaparisuddhatāya sāraṇīyanti evaṃ anekehi pariyāyehi sammodanīyaṃ sāraṇīyaṃ kathaṃ vītisāretvā pariyosāpetvā niṭṭhapetvā yenatthena āgato, taṃ pucchitukāmo ekamantaṃ nisīdi.

    เอกมนฺตนฺติ ภาวนปุํสกนิเทฺทโส ‘‘วิสมํ จนฺทิมสูริยา ปริวตฺตนฺตี’’ติอาทีสุ (อ. นิ. ๔.๗๐) วิยฯ ตสฺมา ยถา นิสิโนฺน เอกมนฺตํ นิสิโนฺน โหติ, ตถา นิสีทีติ เอวเมตฺถ อโตฺถ ทฎฺฐโพฺพฯ ภุมฺมเตฺถ วา เอตํ อุปโยควจนํฯ นิสีทีติ อุปาวิสิฯ ปณฺฑิตา หิ ปุริสา ครุฎฺฐานียํ อุปสงฺกมิตฺวา อาสนกุสลตาย เอกมนฺตํ นิสีทนฺติฯ อยญฺจ เนสํ อญฺญตโร, ตสฺมา เอกมนฺตํ นิสีทิฯ

    Ekamantanti bhāvanapuṃsakaniddeso ‘‘visamaṃ candimasūriyā parivattantī’’tiādīsu (a. ni. 4.70) viya. Tasmā yathā nisinno ekamantaṃ nisinno hoti, tathā nisīdīti evamettha attho daṭṭhabbo. Bhummatthe vā etaṃ upayogavacanaṃ. Nisīdīti upāvisi. Paṇḍitā hi purisā garuṭṭhānīyaṃ upasaṅkamitvā āsanakusalatāya ekamantaṃ nisīdanti. Ayañca nesaṃ aññataro, tasmā ekamantaṃ nisīdi.

    กถํ นิสิโนฺน ปน เอกมนฺตํ นิสิโนฺน โหตีติ? ฉ นิสชฺชโทเส วเชฺชตฺวาฯ เสยฺยถิทํ – อติทูรํ, อจฺจาสนฺนํ, อุปริวาตํ, อุนฺนตปฺปเทสํ, อติสมฺมุขํ อติปจฺฉาติฯ อติทูเร นิสิโนฺน หิ สเจ กเถตุกาโม โหติ, อุจฺจาสเทฺทน กเถตพฺพํ โหติฯ อจฺจาสเนฺน นิสิโนฺน สงฺฆฎฺฎนํ กโรติ ฯ อุปริวาเต นิสิโนฺน สรีรคเนฺธน พาธติฯ อุนฺนตปฺปเทเส นิสิโนฺน อคารวํ ปกาเสติฯ อติสมฺมุขา นิสิโนฺน สเจ ทฎฺฐุกาโม โหติ, จกฺขุนา จกฺขุํ อาหจฺจ ทฎฺฐพฺพํ โหติฯ อติปจฺฉา นิสิโนฺน สเจ ทฎฺฐุกาโม โหติ, คีวํ ปสาเรตฺวา ทฎฺฐพฺพํ โหติฯ ตสฺมา อยมฺปิ เอเต ฉ นิสชฺชโทเส วเชฺชตฺวา นิสีทิฯ เตน วุตฺตํ ‘‘เอกมนฺตํ นิสีที’’ติฯ

    Kathaṃ nisinno pana ekamantaṃ nisinno hotīti? Cha nisajjadose vajjetvā. Seyyathidaṃ – atidūraṃ, accāsannaṃ, uparivātaṃ, unnatappadesaṃ, atisammukhaṃ atipacchāti. Atidūre nisinno hi sace kathetukāmo hoti, uccāsaddena kathetabbaṃ hoti. Accāsanne nisinno saṅghaṭṭanaṃ karoti . Uparivāte nisinno sarīragandhena bādhati. Unnatappadese nisinno agāravaṃ pakāseti. Atisammukhā nisinno sace daṭṭhukāmo hoti, cakkhunā cakkhuṃ āhacca daṭṭhabbaṃ hoti. Atipacchā nisinno sace daṭṭhukāmo hoti, gīvaṃ pasāretvā daṭṭhabbaṃ hoti. Tasmā ayampi ete cha nisajjadose vajjetvā nisīdi. Tena vuttaṃ ‘‘ekamantaṃ nisīdī’’ti.

    เอตทโวจาติ ทุวิธา หิ ปุจฺฉา – อคาริกปุจฺฉา, อนคาริกปุจฺฉา จฯ ตตฺถ ‘‘กิํ, ภเนฺต, กุสลํ, กิํ อกุสล’’นฺติ (ม. นิ. ๓.๒๙๖) อิมินา นเยน อคาริกปุจฺฉา อาคตาฯ ‘‘อิเม นุ โข, ภเนฺต, ปญฺจุปาทานกฺขนฺธา’’ติ (ม. นิ. ๓.๘๖) อิมินา นเยน อนคาริกปุจฺฉาฯ อยํ ปน อตฺตโน อนุรูปํ อคาริกปุจฺฉํ ปุจฺฉโนฺต เอตํ ‘‘โก นุ โข, โภ โคตม, เหตุ โก ปจฺจโย’’ติอาทิวจนํ อโวจฯ ตตฺถ เหตุ ปจฺจโยติ อุภยเมฺปตํ การณเววจนเมวฯ อธมฺมจริยาวิสมจริยาเหตูติ อธมฺมจริยาสงฺขาตาย วิสมจริยาย เหตุ, ตํการณา ตปฺปจฺจยาติ อโตฺถ ฯ ตตฺรายํ ปทโตฺถ – อธมฺมสฺส จริยา อธมฺมจริยา, อธมฺมการณนฺติ อโตฺถฯ วิสมํ จริยา, วิสมสฺส วา กมฺมสฺส จริยาติ วิสมจริยาฯ อธมฺมจริยา จ สา วิสมจริยา จาติ อธมฺมจริยาวิสมจริยาฯ เอเตนุปาเยน สุกฺกปเกฺขปิ อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ อตฺถโต ปเนตฺถ อธมฺมจริยาวิสมจริยา นาม ทส อกุสลกมฺมปถา, ธมฺมจริยาสมจริยา นาม ทส กุสลกมฺมปถาติ เวทิตพฺพาฯ

    Etadavocāti duvidhā hi pucchā – agārikapucchā, anagārikapucchā ca. Tattha ‘‘kiṃ, bhante, kusalaṃ, kiṃ akusala’’nti (ma. ni. 3.296) iminā nayena agārikapucchā āgatā. ‘‘Ime nu kho, bhante, pañcupādānakkhandhā’’ti (ma. ni. 3.86) iminā nayena anagārikapucchā. Ayaṃ pana attano anurūpaṃ agārikapucchaṃ pucchanto etaṃ ‘‘ko nu kho, bho gotama, hetu ko paccayo’’tiādivacanaṃ avoca. Tattha hetu paccayoti ubhayampetaṃ kāraṇavevacanameva. Adhammacariyāvisamacariyāhetūti adhammacariyāsaṅkhātāya visamacariyāya hetu, taṃkāraṇā tappaccayāti attho . Tatrāyaṃ padattho – adhammassa cariyā adhammacariyā, adhammakāraṇanti attho. Visamaṃ cariyā, visamassa vā kammassa cariyāti visamacariyā. Adhammacariyā ca sā visamacariyā cāti adhammacariyāvisamacariyā. Etenupāyena sukkapakkhepi attho veditabbo. Atthato panettha adhammacariyāvisamacariyā nāma dasa akusalakammapathā, dhammacariyāsamacariyā nāma dasa kusalakammapathāti veditabbā.

    อภิกฺกนฺตํ, โภ โคตมาติ เอตฺถ อยํ อภิกฺกนฺตสโทฺท ขยสุนฺทราภิรูปอพฺภนุโมทเนสุ ทิสฺสติฯ ‘‘อภิกฺกนฺตา, ภเนฺต, รตฺติ, นิกฺขโนฺต ปฐโม ยาโม, จิรนิสิโนฺน ภิกฺขุสโงฺฆ’’ติอาทีสุ (อุทา. ๔๕; จูฬว. ๓๘๓; อ. นิ. ๘.๒๐) หิ ขเย ทิสฺสติฯ ‘‘อยํ อิเมสํ จตุนฺนํ ปุคฺคลานํ อภิกฺกนฺตตโร จ ปณีตตโร จา’’ติอาทีสุ (อ. นิ. ๔.๑๐๐) สุนฺทเรฯ

    Abhikkantaṃ, bho gotamāti ettha ayaṃ abhikkantasaddo khayasundarābhirūpaabbhanumodanesu dissati. ‘‘Abhikkantā, bhante, ratti, nikkhanto paṭhamo yāmo, ciranisinno bhikkhusaṅgho’’tiādīsu (udā. 45; cūḷava. 383; a. ni. 8.20) hi khaye dissati. ‘‘Ayaṃ imesaṃ catunnaṃ puggalānaṃ abhikkantataro ca paṇītataro cā’’tiādīsu (a. ni. 4.100) sundare.

    ‘‘โก เม วนฺทติ ปาทานิ, อิทฺธิยา ยสสา ชลํ;

    ‘‘Ko me vandati pādāni, iddhiyā yasasā jalaṃ;

    อภิกฺกเนฺตน วเณฺณน, สพฺพา โอภาสยํ ทิสา’’ติฯ –

    Abhikkantena vaṇṇena, sabbā obhāsayaṃ disā’’ti. –

    อาทีสุ (วิ. ว. ๘๕๗) อภิรูเปฯ ‘‘อภิกฺกนฺตํ, ภเนฺต’’ติอาทีสุ (ที. นิ. ๑.๒๕๐; ปารา. ๑๕) อพฺภนุโมทเนฯ อิธาปิ อพฺภนุโมทเนเยวฯ ยสฺมา จ อพฺภนุโมทเน, ตสฺมา สาธุ สาธุ, โภ โคตมาติ วุตฺตํ โหตีติ เวทิตพฺพํฯ

    Ādīsu (vi. va. 857) abhirūpe. ‘‘Abhikkantaṃ, bhante’’tiādīsu (dī. ni. 1.250; pārā. 15) abbhanumodane. Idhāpi abbhanumodaneyeva. Yasmā ca abbhanumodane, tasmā sādhu sādhu, bho gotamāti vuttaṃ hotīti veditabbaṃ.

    ‘‘ภเย โกเธ ปสํสายํ, ตุริเต โกตูหลจฺฉเร;

    ‘‘Bhaye kodhe pasaṃsāyaṃ, turite kotūhalacchare;

    หาเส โสเก ปสาเท จ, กเร อาเมฑิตํ พุโธ’’ติฯ –

    Hāse soke pasāde ca, kare āmeḍitaṃ budho’’ti. –

    อิมินา จ ลกฺขเณน อิธ ปสาทวเสน ปสํสาวเสน จายํ ทฺวิกฺขตฺตุํ วุโตฺตติ เวทิตโพฺพฯ อถ วา อภิกฺกนฺตนฺติ อภิกฺกนฺตํ อติอิฎฺฐํ อติมนาปํ, อติสุนฺทรนฺติ วุตฺตํ โหติฯ

    Iminā ca lakkhaṇena idha pasādavasena pasaṃsāvasena cāyaṃ dvikkhattuṃ vuttoti veditabbo. Atha vā abhikkantanti abhikkantaṃ atiiṭṭhaṃ atimanāpaṃ, atisundaranti vuttaṃ hoti.

    ตตฺถ เอเกน อภิกฺกนฺตสเทฺทน เทสนํ โถเมติ, เอเกน อตฺตโน ปสาทํฯ อยเญฺหตฺถ อธิปฺปาโย – อภิกฺกนฺตํ, โภ โคตม, ยทิทํ โภโต โคตมสฺส ธมฺมเทสนา, อภิกฺกนฺตํ ยทิทํ โภโต โคตมสฺส ธมฺมเทสนํ อาคมฺม มม ปสาโทติฯ ภควโตเยว วา วจนํ เทฺว เทฺว อเตฺถ สนฺธาย โถเมติ – โภโต โคตมสฺส วจนํ อภิกฺกนฺตํ โทสนาสนโต, อภิกฺกนฺตํ คุณาธิคมนโต , ตถา สทฺธาชนนโต, ปญฺญาชนนโต, สาตฺถโต, สพฺยญฺชนโต, อุตฺตานปทโต, คมฺภีรตฺถโต, กณฺณสุขโต, หทยงฺคมโต, อนตฺตุกฺกํสนโต, อปรวมฺภนโต, กรุณาสีตลโต, ปญฺญาวทาตโต, อาปาถรมณียโต, วิมทฺทกฺขมโต, สุยฺยมานสุขโต, วีมํสิยมานหิตโตติ เอวมาทีหิ โยเชตพฺพํฯ

    Tattha ekena abhikkantasaddena desanaṃ thometi, ekena attano pasādaṃ. Ayañhettha adhippāyo – abhikkantaṃ, bho gotama, yadidaṃ bhoto gotamassa dhammadesanā, abhikkantaṃ yadidaṃ bhoto gotamassa dhammadesanaṃ āgamma mama pasādoti. Bhagavatoyeva vā vacanaṃ dve dve atthe sandhāya thometi – bhoto gotamassa vacanaṃ abhikkantaṃ dosanāsanato, abhikkantaṃ guṇādhigamanato , tathā saddhājananato, paññājananato, sātthato, sabyañjanato, uttānapadato, gambhīratthato, kaṇṇasukhato, hadayaṅgamato, anattukkaṃsanato, aparavambhanato, karuṇāsītalato, paññāvadātato, āpātharamaṇīyato, vimaddakkhamato, suyyamānasukhato, vīmaṃsiyamānahitatoti evamādīhi yojetabbaṃ.

    ตโต ปรมฺปิ จตูหิ อุปมาหิ เทสนํเยว โถเมติฯ ตตฺถ นิกฺกุชฺชิตนฺติ อโธมุขฐปิตํ, เหฎฺฐามุขชาตํ วาฯ อุกฺกุเชฺชยฺยาติ อุปริมุขํ กเรยฺยฯ ปฎิจฺฉนฺนนฺติ ติณปณฺณาทิฉาทิตํฯ วิวเรยฺยาติ อุคฺฆาเฎยฺยฯ มูฬฺหสฺสาติ ทิสามูฬฺหสฺสฯ มคฺคํ อาจิเกฺขยฺยาติ หเตฺถ คเหตฺวา ‘‘เอส มโคฺค’’ติ วเทยฺยฯ อนฺธกาเรติ กาฬปกฺขจาตุทฺทสีอฑฺฒรตฺตฆนวนสณฺฑเมฆปฎเลหิ จตุรเงฺค ตเมฯ อยํ ตาว อนุตฺตานปทโตฺถฯ

    Tato parampi catūhi upamāhi desanaṃyeva thometi. Tattha nikkujjitanti adhomukhaṭhapitaṃ, heṭṭhāmukhajātaṃ vā. Ukkujjeyyāti uparimukhaṃ kareyya. Paṭicchannanti tiṇapaṇṇādichāditaṃ. Vivareyyāti ugghāṭeyya. Mūḷhassāti disāmūḷhassa. Maggaṃ ācikkheyyāti hatthe gahetvā ‘‘esa maggo’’ti vadeyya. Andhakāreti kāḷapakkhacātuddasīaḍḍharattaghanavanasaṇḍameghapaṭalehi caturaṅge tame. Ayaṃ tāva anuttānapadattho.

    อยํ ปน อธิปฺปายโยชนา – ยถา โกจิ นิกฺกุชฺชิตํ อุกฺกุเชฺชยฺย, เอวํ สทฺธมฺมวิมุขํ อสทฺธเมฺม ปติตํ มํ อสทฺธมฺมา วุฎฺฐาเปเนฺตน, ยถา ปฎิจฺฉนฺนํ วิวเรยฺย, เอวํ กสฺสปสฺส ภควโต สาสนนฺตรธานโต ปภุติ มิจฺฉาทิฎฺฐิคหนปฎิจฺฉนฺนํ สาสนํ วิวรเนฺตน, ยถา มูฬฺหสฺส มคฺคํ อาจิเกฺขยฺย, เอวํ กุมฺมคฺคมิจฺฉามคฺคปฺปฎิปนฺนสฺส เม สคฺคโมกฺขมคฺคํ อาวิกโรเนฺตน, ยถา อนฺธกาเร เตลปโชฺชตํ ธาเรยฺย, เอวํ โมหนฺธกาเร นิมุคฺคสฺส เม พุทฺธาทิรตนรูปานิ อปสฺสโต ตปฺปฎิจฺฉาทกโมหนฺธการวิทฺธํสกเทสนาปโชฺชตธารเณน มยฺหํ โภตา โคตเมน เอเตหิ ปริยาเยหิ ปกาสิตตฺตา อเนกปริยาเยน ธโมฺม ปกาสิโตติฯ

    Ayaṃ pana adhippāyayojanā – yathā koci nikkujjitaṃ ukkujjeyya, evaṃ saddhammavimukhaṃ asaddhamme patitaṃ maṃ asaddhammā vuṭṭhāpentena, yathā paṭicchannaṃ vivareyya, evaṃ kassapassa bhagavato sāsanantaradhānato pabhuti micchādiṭṭhigahanapaṭicchannaṃ sāsanaṃ vivarantena, yathā mūḷhassa maggaṃ ācikkheyya, evaṃ kummaggamicchāmaggappaṭipannassa me saggamokkhamaggaṃ āvikarontena, yathā andhakāre telapajjotaṃ dhāreyya, evaṃ mohandhakāre nimuggassa me buddhādiratanarūpāni apassato tappaṭicchādakamohandhakāraviddhaṃsakadesanāpajjotadhāraṇena mayhaṃ bhotā gotamena etehi pariyāyehi pakāsitattā anekapariyāyena dhammo pakāsitoti.

    เอวํ เทสนํ โถเมตฺวา อิมาย เทสนาย รตนตฺตเย ปสนฺนจิโตฺต ปสนฺนาการํ กโรโนฺต เอสาหนฺติอาทิมาหฯ ตตฺถ เอสาหนฺติ เอโส อหํฯ ภวนฺตํ โคตมํ สรณํ คจฺฉามีติ ภวํ เม โคตโม สรณํ ปรายณํ อฆสฺส ตาตา หิตสฺส จ วิธาตาติ อิมินา อธิปฺปาเยน ภวนฺตํ โคตมํ คจฺฉามิ ภชามิ เสวามิ ปยิรุปาสามิ, เอวํ วา ชานามิ พุชฺฌามีติฯ เยสญฺหิ ธาตูนํ คติ อโตฺถ, พุทฺธิปิ เตสํ อโตฺถฯ ตสฺมา คจฺฉามีติ อิมสฺส ชานามิ พุชฺฌามีติ อยมโตฺถ วุโตฺตฯ ธมฺมญฺจ ภิกฺขุสงฺฆญฺจาติ เอตฺถ ปน อธิคตมเคฺค สจฺฉิกตนิโรเธ ยถานุสิฎฺฐํ ปฎิปชฺชมาเน จ จตูสุ อปาเยสุ อปตมาเน ธาเรตีติ ธโมฺมฯ โส อตฺถโต อริยมโคฺค เจว นิพฺพานญฺจฯ วุตฺตเญฺหตํ – ‘‘ยาวตา, ภิกฺขเว, ธมฺมา สงฺขตา, อริโย อฎฺฐงฺคิโก มโคฺค เตสํ อคฺคมกฺขายตี’’ติ (อ. นิ. ๔.๓๔) วิตฺถาโรฯ น เกวลญฺจ อริยมโคฺค เจว นิพฺพานญฺจ , อปิจ โข อริยผเลหิ สทฺธิํ ปริยตฺติธโมฺมปิฯ วุตฺตเญฺหตํ ฉตฺตมาณวกวิมาเน –

    Evaṃ desanaṃ thometvā imāya desanāya ratanattaye pasannacitto pasannākāraṃ karonto esāhantiādimāha. Tattha esāhanti eso ahaṃ. Bhavantaṃ gotamaṃ saraṇaṃ gacchāmīti bhavaṃ me gotamo saraṇaṃ parāyaṇaṃ aghassa tātā hitassa ca vidhātāti iminā adhippāyena bhavantaṃ gotamaṃ gacchāmi bhajāmi sevāmi payirupāsāmi, evaṃ vā jānāmi bujjhāmīti. Yesañhi dhātūnaṃ gati attho, buddhipi tesaṃ attho. Tasmā gacchāmīti imassa jānāmi bujjhāmīti ayamattho vutto. Dhammañca bhikkhusaṅghañcāti ettha pana adhigatamagge sacchikatanirodhe yathānusiṭṭhaṃ paṭipajjamāne ca catūsu apāyesu apatamāne dhāretīti dhammo. So atthato ariyamaggo ceva nibbānañca. Vuttañhetaṃ – ‘‘yāvatā, bhikkhave, dhammā saṅkhatā, ariyo aṭṭhaṅgiko maggo tesaṃ aggamakkhāyatī’’ti (a. ni. 4.34) vitthāro. Na kevalañca ariyamaggo ceva nibbānañca , apica kho ariyaphalehi saddhiṃ pariyattidhammopi. Vuttañhetaṃ chattamāṇavakavimāne –

    ‘‘ราควิราคมเนชมโสกํ, ธมฺมมสงฺขตมปฺปฎิกูลํ;

    ‘‘Rāgavirāgamanejamasokaṃ, dhammamasaṅkhatamappaṭikūlaṃ;

    มธุรมิมํ ปคุณํ สุวิภตฺตํ, ธมฺมมิมํ สรณตฺถมุเปหี’’ติฯ (วิ. ว. ๘๘๗);

    Madhuramimaṃ paguṇaṃ suvibhattaṃ, dhammamimaṃ saraṇatthamupehī’’ti. (vi. va. 887);

    เอตฺถ ราควิโรโคติ มโคฺค กถิโตฯ อโนชมโสกนฺติ ผลํฯ ธมฺมมสงฺขตนฺติ นิพฺพานํฯ อปฺปฎิกูลํ มธุรมิมํ ปคุณํ สุวิภตฺตนฺติ ปิฎกตฺตเยน วิภตฺตา สพฺพธมฺมกฺขนฺธาติฯ ทิฎฺฐิสีลสงฺฆาเตน สํหโตติ สโงฺฆฯ โส อตฺถโต อฎฺฐอริยปุคฺคลสมูโหฯ วุตฺตเญฺหตํ ตสฺมิเยว วิมาเน –

    Ettha rāgavirogoti maggo kathito. Anojamasokanti phalaṃ. Dhammamasaṅkhatanti nibbānaṃ. Appaṭikūlaṃ madhuramimaṃpaguṇaṃ suvibhattanti piṭakattayena vibhattā sabbadhammakkhandhāti. Diṭṭhisīlasaṅghātena saṃhatoti saṅgho. So atthato aṭṭhaariyapuggalasamūho. Vuttañhetaṃ tasmiyeva vimāne –

    ‘‘ยตฺถ จ ทินฺนมหปฺผลมาหุ, จตูสุ สุจีสุ ปุริสยุเคสุ;

    ‘‘Yattha ca dinnamahapphalamāhu, catūsu sucīsu purisayugesu;

    อฎฺฐ จ ปุคฺคลธมฺมทสา เต, สงฺฆมิมํ สรณตฺถมุเปหี’’ติฯ (วิ. ว. ๘๘๘);

    Aṭṭha ca puggaladhammadasā te, saṅghamimaṃ saraṇatthamupehī’’ti. (vi. va. 888);

    ภิกฺขูนํ สโงฺฆ ภิกฺขุสโงฺฆฯ เอตฺตาวตา พฺราหฺมโณ ตีณิ สรณคมนานิ ปฎิเวเทสิฯ

    Bhikkhūnaṃ saṅgho bhikkhusaṅgho. Ettāvatā brāhmaṇo tīṇi saraṇagamanāni paṭivedesi.

    อิทานิ เตสุ สรณคมเนสุ โกสลฺลตฺถํ สรณํ, สรณคมนํ, โย จ สรณํ คจฺฉติ, สรณคมนปฺปเภโท, สรณคมนผลํ, สํกิเลโส, เภโทติ อยํ วิธิ เวทิตโพฺพฯ

    Idāni tesu saraṇagamanesu kosallatthaṃ saraṇaṃ, saraṇagamanaṃ, yo ca saraṇaṃ gacchati, saraṇagamanappabhedo, saraṇagamanaphalaṃ, saṃkileso, bhedoti ayaṃ vidhi veditabbo.

    เสยฺยถิทํ – ปทตฺถโต ตาว หิํสตีติ สรณํ, สรณคตานํ เตเนว สรณคมเนน ภยํ สนฺตาสํ ทุกฺขํ ทุคฺคติปริกิเลสํ หนติ วินาเสตีติ อโตฺถ, รตนตฺตยเสฺสเวตํ อธิวจนํฯ อถ วา หิเต ปวตฺตเนน อหิตา จ นิวตฺตเนน สตฺตานํ ภยํ หิํสตีติ พุโทฺธ, ภวกนฺตารา อุตฺตารเณน โลกสฺส อสฺสาสทาเนน จ ธโมฺม, อปฺปกานมฺปิ การานํ วิปุลผลปฎิลาภกรเณน สโงฺฆฯ ตสฺมา อิมินาปิ ปริยาเยน รตนตฺตยํ สรณํฯ ตปฺปสาทตคฺครุตาหิ วิหตกิเลโส ตปฺปรายณตาการปฺปวโตฺต จิตฺตุปฺปาโท สรณคมนํฯ ตํสมงฺคีสโตฺต สรณํ คจฺฉติ, วุตฺตปฺปกาเรน จิตฺตุปฺปาเทน ‘‘เอตานิ เม ตีณิ รตนานิ สรณํ, เอตานิ ปรายณ’’นฺติ เอวํ อุเปตีติ อโตฺถฯ เอวํ ตาว สรณํ สรณคมนํ โย จ สรณํ คจฺฉติ อิทํ ตยํ เวทิตพฺพํฯ

    Seyyathidaṃ – padatthato tāva hiṃsatīti saraṇaṃ, saraṇagatānaṃ teneva saraṇagamanena bhayaṃ santāsaṃ dukkhaṃ duggatiparikilesaṃ hanati vināsetīti attho, ratanattayassevetaṃ adhivacanaṃ. Atha vā hite pavattanena ahitā ca nivattanena sattānaṃ bhayaṃ hiṃsatīti buddho, bhavakantārā uttāraṇena lokassa assāsadānena ca dhammo, appakānampi kārānaṃ vipulaphalapaṭilābhakaraṇena saṅgho. Tasmā imināpi pariyāyena ratanattayaṃ saraṇaṃ. Tappasādataggarutāhi vihatakileso tapparāyaṇatākārappavatto cittuppādo saraṇagamanaṃ. Taṃsamaṅgīsatto saraṇaṃ gacchati, vuttappakārena cittuppādena ‘‘etāni me tīṇi ratanāni saraṇaṃ, etāni parāyaṇa’’nti evaṃ upetīti attho. Evaṃ tāva saraṇaṃ saraṇagamanaṃ yo ca saraṇaṃ gacchati idaṃ tayaṃ veditabbaṃ.

    สรณคมนปฺปเภเท ปน ทุวิธํ สรณคมนํ โลกุตฺตรํ โลกิยญฺจาติฯ ตตฺถ โลกุตฺตรํ ทิฎฺฐสจฺจานํ มคฺคกฺขเณ สรณคมนุปกฺกิเลสสมุเจฺฉเทน อารมฺมณโต นิพฺพานารมฺมณํ หุตฺวา กิจฺจโต สกเลปิ รตนตฺตเย อิชฺฌติฯ โลกิยํ ปุถุชฺชนานํ สรณคมนุปกฺกิเลสวิกฺขมฺภเนน อารมฺมณโต พุทฺธาทิคุณารมฺมณํ หุตฺวา อิชฺฌติฯ ตํ อตฺถโต พุทฺธาทีสุ วตฺถูสุ สทฺธาปฎิลาโภ, สทฺธามูลิกา จ สมฺมาทิฎฺฐิ ทสสุ ปุญฺญกิริยาวตฺถูสุ ทิฎฺฐิชุกมฺมนฺติ วุจฺจติฯ

    Saraṇagamanappabhede pana duvidhaṃ saraṇagamanaṃ lokuttaraṃ lokiyañcāti. Tattha lokuttaraṃ diṭṭhasaccānaṃ maggakkhaṇe saraṇagamanupakkilesasamucchedena ārammaṇato nibbānārammaṇaṃ hutvā kiccato sakalepi ratanattaye ijjhati. Lokiyaṃ puthujjanānaṃ saraṇagamanupakkilesavikkhambhanena ārammaṇato buddhādiguṇārammaṇaṃ hutvā ijjhati. Taṃ atthato buddhādīsu vatthūsu saddhāpaṭilābho, saddhāmūlikā ca sammādiṭṭhi dasasu puññakiriyāvatthūsu diṭṭhijukammanti vuccati.

    ตยิทํ จตุธา ปวตฺตติ อตฺตสนฺนิยฺยาตเนน ตปฺปรายณตาย สิสฺสภาวูปคมเนน ปณิปาเตนาติฯ ตตฺถ อตฺตสนฺนิยฺยาตนํ นาม ‘‘อชฺช อาทิํ กตฺวา อหํ อตฺตานํ พุทฺธสฺส นิยฺยาเตมิ, ธมฺมสฺส, สงฺฆสฺสา’’ติ เอวํ พุทฺธาทีนํ อตฺตปริจฺจชนํฯ ตปฺปรายณตา นาม ‘‘อชฺช อาทิํ กตฺวา อหํ พุทฺธปรายโณ, ธมฺมปรายโณ, สงฺฆปรายโณ อิติ มํ ธาเรถา’’ติ เอวํ ตปฺปรายณภาโวฯ สิสฺสภาวูปคมนํ นาม ‘‘อชฺช อาทิํ กตฺวา อหํ พุทฺธสฺส อเนฺตวาสิโก, ธมฺมสฺส, สงฺฆสฺส อิติ มํ ธาเรถา’’ติ เอวํ สิสฺสภาวูปคโมฯ ปณิปาโต นาม ‘‘อชฺช อาทิํ กตฺวา อหํ อภิวาทน-ปจฺจุฎฺฐาน-อญฺชลิกมฺม-สามีจิกมฺมํ พุทฺธาทีนํเยว ติณฺณํ วตฺถูนํ กโรมิ อิติ มํ ธาเรถา’’ติ เอวํ พุทฺธาทีสุ ปรมนิปจฺจกาโรฯ อิเมสญฺหิ จตุนฺนมฺปิ อาการานํ อญฺญตรมฺปิ กโรเนฺตน คหิตํเยว โหติ สรณคมนํฯ

    Tayidaṃ catudhā pavattati attasanniyyātanena tapparāyaṇatāya sissabhāvūpagamanena paṇipātenāti. Tattha attasanniyyātanaṃ nāma ‘‘ajja ādiṃ katvā ahaṃ attānaṃ buddhassa niyyātemi, dhammassa, saṅghassā’’ti evaṃ buddhādīnaṃ attapariccajanaṃ. Tapparāyaṇatā nāma ‘‘ajja ādiṃ katvā ahaṃ buddhaparāyaṇo, dhammaparāyaṇo, saṅghaparāyaṇo iti maṃ dhārethā’’ti evaṃ tapparāyaṇabhāvo. Sissabhāvūpagamanaṃ nāma ‘‘ajja ādiṃ katvā ahaṃ buddhassa antevāsiko, dhammassa, saṅghassa iti maṃ dhārethā’’ti evaṃ sissabhāvūpagamo. Paṇipāto nāma ‘‘ajja ādiṃ katvā ahaṃ abhivādana-paccuṭṭhāna-añjalikamma-sāmīcikammaṃ buddhādīnaṃyeva tiṇṇaṃ vatthūnaṃ karomi iti maṃ dhārethā’’ti evaṃ buddhādīsu paramanipaccakāro. Imesañhi catunnampi ākārānaṃ aññatarampi karontena gahitaṃyeva hoti saraṇagamanaṃ.

    อปิจ ‘‘ภควโต อตฺตานํ ปริจฺจชามิ, ธมฺมสฺส, สงฺฆสฺส อตฺตานํ ปริจฺจชามิ, ชีวิตํ ปริจฺจชามิ, ปริจฺจโตฺตเยว เม อตฺตา, ปริจฺจตฺตํเยว เม ชีวิตํ, ชีวิตปริยนฺติกํ พุทฺธํ สรณํ คจฺฉามิ, พุโทฺธ เม สรณํ เลณํ ตาณ’’นฺติ เอวมฺปิ อตฺตสนฺนิยฺยาตนํ เวทิตพฺพํฯ ‘‘สตฺถารญฺจ วตาหํ ปเสฺสยฺยํ, ภควนฺตเมว ปเสฺสยฺยํ, สุคตญฺจ วตาหํ ปเสฺสยฺยํ, ภควนฺตเมว ปเสฺสยฺยํ, สมฺมาสมฺพุทฺธญฺจ วตาหํ ปเสฺสยฺยํ, ภควนฺตเมว ปเสฺสยฺย’’นฺติ (สํ. นิ. ๒.๑๕๔) เอวมฺปิ มหากสฺสปสฺส สรณคมเน วิย สิสฺสภาวูปคมนํ ทฎฺฐพฺพํฯ

    Apica ‘‘bhagavato attānaṃ pariccajāmi, dhammassa, saṅghassa attānaṃ pariccajāmi, jīvitaṃ pariccajāmi, pariccattoyeva me attā, pariccattaṃyeva me jīvitaṃ, jīvitapariyantikaṃ buddhaṃ saraṇaṃ gacchāmi, buddho me saraṇaṃ leṇaṃ tāṇa’’nti evampi attasanniyyātanaṃ veditabbaṃ. ‘‘Satthārañca vatāhaṃ passeyyaṃ, bhagavantameva passeyyaṃ, sugatañca vatāhaṃ passeyyaṃ, bhagavantameva passeyyaṃ, sammāsambuddhañca vatāhaṃ passeyyaṃ, bhagavantameva passeyya’’nti (saṃ. ni. 2.154) evampi mahākassapassa saraṇagamane viya sissabhāvūpagamanaṃ daṭṭhabbaṃ.

    ‘‘โส อหํ วิจริสฺสามิ, คามา คามํ ปุรา ปุรํ;

    ‘‘So ahaṃ vicarissāmi, gāmā gāmaṃ purā puraṃ;

    นมสฺสมาโน สมฺพุทฺธํ, ธมฺมสฺส จ สุธมฺมต’’นฺติฯ (สุ. นิ. ๑๙๔; สํ. นิ. ๑.๒๔๖);

    Namassamāno sambuddhaṃ, dhammassa ca sudhammata’’nti. (su. ni. 194; saṃ. ni. 1.246);

    เอวมฺปิ อาฬวกาทีนํ สรณคมนํ วิย ตปฺปรายณตา เวทิตพฺพาฯ ‘‘อถ โข พฺรหฺมายุ พฺราหฺมโณ อุฎฺฐายาสนา เอกํสํ อุตฺตราสงฺคํ กริตฺวา ภควโต ปาเทสุ สิรสา นิปติตฺวา ภควโต ปาทานิ มุเขน จ ปริจุมฺพติ, ปาณีหิ จ ปริสมฺพาหติ, นามญฺจ สาเวติ – ‘พฺรหฺมายุ อหํ, โภ โคตม, พฺราหฺมโณ; พฺรหฺมายุ อหํ, โภ โคตม, พฺราหฺมโณ’’’ติ (ม. นิ. ๒.๓๙๔) เอวมฺปิ ปณิปาโต เวทิตโพฺพฯ

    Evampi āḷavakādīnaṃ saraṇagamanaṃ viya tapparāyaṇatā veditabbā. ‘‘Atha kho brahmāyu brāhmaṇo uṭṭhāyāsanā ekaṃsaṃ uttarāsaṅgaṃ karitvā bhagavato pādesu sirasā nipatitvā bhagavato pādāni mukhena ca paricumbati, pāṇīhi ca parisambāhati, nāmañca sāveti – ‘brahmāyu ahaṃ, bho gotama, brāhmaṇo; brahmāyu ahaṃ, bho gotama, brāhmaṇo’’’ti (ma. ni. 2.394) evampi paṇipāto veditabbo.

    โส ปเนส ญาติภยาจริยทกฺขิเณยฺยวเสน จตุพฺพิโธ โหติฯ ตตฺถ ทกฺขิเณยฺยปณิปาเตน สรณคมนํ โหติ, น อิตเรหิฯ เสฎฺฐวเสเนว หิ สรณํ คณฺหาติ, เสฎฺฐวเสน จ ภิชฺชติฯ ตสฺมา โย สากิโย วา โกลิโย วา ‘‘พุโทฺธ อมฺหากํ ญาตโก’’ติ วนฺทติ, อคฺคหิตเมว โหติ สรณํฯ โย วา ‘‘สมโณ โคตโม ราชปูชิโต มหานุภาโว อวนฺทิยมาโน อนตฺถมฺปิ กเรยฺยา’’ติ ภเยน วนฺทติ, อคฺคหิตเมว โหติ สรณํฯ โย วา โพธิสตฺตกาเล ภควโต สนฺติเก กิญฺจิ อุคฺคหิตํ สรมาโน พุทฺธกาเล วา –

    So panesa ñātibhayācariyadakkhiṇeyyavasena catubbidho hoti. Tattha dakkhiṇeyyapaṇipātena saraṇagamanaṃ hoti, na itarehi. Seṭṭhavaseneva hi saraṇaṃ gaṇhāti, seṭṭhavasena ca bhijjati. Tasmā yo sākiyo vā koliyo vā ‘‘buddho amhākaṃ ñātako’’ti vandati, aggahitameva hoti saraṇaṃ. Yo vā ‘‘samaṇo gotamo rājapūjito mahānubhāvo avandiyamāno anatthampi kareyyā’’ti bhayena vandati, aggahitameva hoti saraṇaṃ. Yo vā bodhisattakāle bhagavato santike kiñci uggahitaṃ saramāno buddhakāle vā –

    ‘‘เอเกน โภเค ภุเญฺชยฺย, ทฺวีหิ กมฺมํ ปโยชเย;

    ‘‘Ekena bhoge bhuñjeyya, dvīhi kammaṃ payojaye;

    จตุตฺถญฺจ นิธาเปยฺย, อาปทาสุ ภวิสฺสตี’’ติฯ (ที. นิ. ๓.๒๖๕) –

    Catutthañca nidhāpeyya, āpadāsu bhavissatī’’ti. (dī. ni. 3.265) –

    เอวรูปํ อนุสาสนิํ อุคฺคเหตฺวา ‘‘อาจริโย เม’’ติ วนฺทติ, อคฺคหิตเมว โหติ สรณํฯ โย ปน ‘‘อยํ โลเก อคฺคทกฺขิเณโยฺย’’ติ วนฺทติ, เตเนว คหิตํ โหติ สรณํฯ

    Evarūpaṃ anusāsaniṃ uggahetvā ‘‘ācariyo me’’ti vandati, aggahitameva hoti saraṇaṃ. Yo pana ‘‘ayaṃ loke aggadakkhiṇeyyo’’ti vandati, teneva gahitaṃ hoti saraṇaṃ.

    เอวํ คหิตสรณสฺส จ อุปาสกสฺส วา อุปาสิกาย วา อญฺญติตฺถิเยสุ ปพฺพชิตมฺปิ ญาติํ ‘‘ญาตโก เม อย’’นฺติ วนฺทโต สรณคมนํ น ภิชฺชติ, ปเคว อปพฺพชิตํฯ ตถา ราชานํ ภยวเสน วนฺทโตฯ โส หิ รฎฺฐปูชิตตฺตา อวนฺทิยมาโน อนตฺถมฺปิ กเรยฺยาติฯ ตถา ยํ กิญฺจิ สิปฺปํ สิกฺขาปกํ ติตฺถิยํ ‘‘อาจริโย เม อย’’นฺติ วนฺทโตปิ น ภิชฺชตีติ เอวํ สรณคมนปฺปเภโท เวทิตโพฺพฯ

    Evaṃ gahitasaraṇassa ca upāsakassa vā upāsikāya vā aññatitthiyesu pabbajitampi ñātiṃ ‘‘ñātako me aya’’nti vandato saraṇagamanaṃ na bhijjati, pageva apabbajitaṃ. Tathā rājānaṃ bhayavasena vandato. So hi raṭṭhapūjitattā avandiyamāno anatthampi kareyyāti. Tathā yaṃ kiñci sippaṃ sikkhāpakaṃ titthiyaṃ ‘‘ācariyo me aya’’nti vandatopi na bhijjatīti evaṃ saraṇagamanappabhedo veditabbo.

    เอตฺถ จ โลกุตฺตรสฺส สรณคมนสฺส จตฺตาริ สามญฺญผลานิ วิปากผลํ, สพฺพทุกฺขกฺขโย อานิสํสผลํฯ วุตฺตเญฺหตํ –

    Ettha ca lokuttarassa saraṇagamanassa cattāri sāmaññaphalāni vipākaphalaṃ, sabbadukkhakkhayo ānisaṃsaphalaṃ. Vuttañhetaṃ –

    ‘‘โย จ พุทฺธญฺจ ธมฺมญฺจ, สงฺฆญฺจ สรณํ คโต;

    ‘‘Yo ca buddhañca dhammañca, saṅghañca saraṇaṃ gato;

    จตฺตาริ อริยสจฺจานิ, สมฺมปฺปญฺญาย ปสฺสติฯ (ธ. ป. ๑๙๐);

    Cattāri ariyasaccāni, sammappaññāya passati. (dha. pa. 190);

    ‘‘ทุกฺขํ ทุกฺขสมุปฺปาทํ, ทุกฺขสฺส จ อติกฺกมํ;

    ‘‘Dukkhaṃ dukkhasamuppādaṃ, dukkhassa ca atikkamaṃ;

    อริยญฺจฎฺฐงฺคิกํ มคฺคํ, ทุกฺขูปสมคามินํฯ (ธ. ป. ๑๙๑);

    Ariyañcaṭṭhaṅgikaṃ maggaṃ, dukkhūpasamagāminaṃ. (dha. pa. 191);

    ‘‘เอตํ โข สรณํ เขมํ, เอตํ สรณมุตฺตมํ;

    ‘‘Etaṃ kho saraṇaṃ khemaṃ, etaṃ saraṇamuttamaṃ;

    เอตํ สรณมาคมฺม, สพฺพทุกฺขา ปมุจฺจตี’’ติฯ (ธ. ป. ๑๙๒);

    Etaṃ saraṇamāgamma, sabbadukkhā pamuccatī’’ti. (dha. pa. 192);

    อปิจ นิจฺจโต อนุปคมนาทิวเสนเปตสฺส อานิสํสผลํ เวทิตพฺพํฯ วุตฺตเญฺหตํ –

    Apica niccato anupagamanādivasenapetassa ānisaṃsaphalaṃ veditabbaṃ. Vuttañhetaṃ –

    ‘‘อฎฺฐานเมตํ, ภิกฺขเว, อนวกาโส, ยํ ทิฎฺฐิสมฺปโนฺน ปุคฺคโล กญฺจิ สงฺขารํ นิจฺจโต อุปคเจฺฉยฺย, สุขโต อุปคเจฺฉยฺย, กญฺจิ ธมฺมํ อตฺตโต อุปคเจฺฉยฺย, มาตรํ ชีวิตา โวโรเปยฺย, ปิตรํ, อรหนฺตํ ชีวิตา โวโรเปยฺย, ปทุฎฺฐจิโตฺต ตถาคตสฺส โลหิตํ อุปฺปาเทยฺย, สงฺฆํ ภิเนฺทยฺย, อญฺญํ สตฺถารํ อุทฺทิเสยฺย, เนตํ ฐานํ วิชฺชตี’’ติ (ม. นิ. ๓.๑๒๘-๑๓๐; อ. นิ. ๑.๒๗๒-๒๗๗)ฯ

    ‘‘Aṭṭhānametaṃ, bhikkhave, anavakāso, yaṃ diṭṭhisampanno puggalo kañci saṅkhāraṃ niccato upagaccheyya, sukhato upagaccheyya, kañci dhammaṃ attato upagaccheyya, mātaraṃ jīvitā voropeyya, pitaraṃ, arahantaṃ jīvitā voropeyya, paduṭṭhacitto tathāgatassa lohitaṃ uppādeyya, saṅghaṃ bhindeyya, aññaṃ satthāraṃ uddiseyya, netaṃ ṭhānaṃ vijjatī’’ti (ma. ni. 3.128-130; a. ni. 1.272-277).

    โลกิยสฺส ปน สรณคมนสฺส ภวสมฺปทาปิ โภคสมฺปทาปิ ผลเมวฯ วุตฺตเญฺหตํ –

    Lokiyassa pana saraṇagamanassa bhavasampadāpi bhogasampadāpi phalameva. Vuttañhetaṃ –

    ‘‘เย เกจิ พุทฺธํ สรณํ คตาเส,

    ‘‘Ye keci buddhaṃ saraṇaṃ gatāse,

    น เต คมิสฺสนฺติ อปายภูมิํ;

    Na te gamissanti apāyabhūmiṃ;

    ปหาย มานุสํ เทหํ,

    Pahāya mānusaṃ dehaṃ,

    เทวกายํ ปริปูเรสฺสนฺตี’’ติฯ (สํ. นิ. ๑.๓๗);

    Devakāyaṃ paripūressantī’’ti. (saṃ. ni. 1.37);

    อปรมฺปิ วุตฺตํ –

    Aparampi vuttaṃ –

    ‘‘อถ โข สโกฺก เทวานมิโนฺท อสีติยา เทวตาสหเสฺสหิ สทฺธิํ เยนายสฺมา มหาโมคฺคลฺลาโน เตนุปสงฺกมิ…เป.… เอกมนฺตํ ฐิตํ โข สกฺกํ เทวานมินฺทํ อายสฺมา มหาโมคฺคลฺลาโน เอตทโวจ – ‘สาธุ โข, เทวานมินฺท, พุทฺธสรณคมนํ โหติฯ พุทฺธสรณคมนเหตุ โข เทวานมินฺท เอวมิเธกเจฺจ สตฺตา กายสฺส เภทา ปรํ มรณา สุคติํ สคฺคํ โลกํ อุปปชฺชนฺติฯ เต อเญฺญ เทเว ทสหิ ฐาเนหิ อธิคณฺหนฺติ ทิเพฺพน อายุนา ทิเพฺพน วเณฺณน สุเขน ยเสน อาธิปเตเยฺยน ทิเพฺพหิ รูเปหิ สเทฺทหิ คเนฺธหิ รเสหิ โผฎฺฐเพฺพหี’’’ติ (สํ. นิ. ๔.๓๔๑)ฯ

    ‘‘Atha kho sakko devānamindo asītiyā devatāsahassehi saddhiṃ yenāyasmā mahāmoggallāno tenupasaṅkami…pe… ekamantaṃ ṭhitaṃ kho sakkaṃ devānamindaṃ āyasmā mahāmoggallāno etadavoca – ‘sādhu kho, devānaminda, buddhasaraṇagamanaṃ hoti. Buddhasaraṇagamanahetu kho devānaminda evamidhekacce sattā kāyassa bhedā paraṃ maraṇā sugatiṃ saggaṃ lokaṃ upapajjanti. Te aññe deve dasahi ṭhānehi adhigaṇhanti dibbena āyunā dibbena vaṇṇena sukhena yasena ādhipateyyena dibbehi rūpehi saddehi gandhehi rasehi phoṭṭhabbehī’’’ti (saṃ. ni. 4.341).

    เอเสว นโย ธเมฺม สเงฺฆ จฯ อปิจ เวลามสุตฺตาทิวเสนาปิ (อ. นิ. ๙.๒๐ อาทโย) สรณคมนสฺส ผลวิเสโส เวทิตโพฺพฯ เอวํ สรณคมนผลํ เวทิตพฺพํฯ

    Eseva nayo dhamme saṅghe ca. Apica velāmasuttādivasenāpi (a. ni. 9.20 ādayo) saraṇagamanassa phalaviseso veditabbo. Evaṃ saraṇagamanaphalaṃ veditabbaṃ.

    ตตฺถ โลกิยสรณคมนํ ตีสุ วตฺถูสุ อญฺญาณสํสยมิจฺฉาญาณาทีหิ สํกิลิสฺสติ, น มหาชุติกํ โหติ น มหาวิปฺผารํฯ โลกุตฺตรสฺส นตฺถิ สํกิเลโสฯ โลกิยสฺส จ สรณคมนสฺส ทุวิโธ เภโท สาวโชฺช อนวโชฺช จฯ ตตฺถ สาวโชฺช อญฺญสตฺถาราทีสุ อตฺตสนฺนิยฺยาตนาทีหิ โหติ, โส อนิฎฺฐผโลฯ อนวโชฺช กาลกิริยาย, โส อวิปากตฺตา อผโลฯ โลกุตฺตรสฺส ปน เนวตฺถิ เภโทฯ ภวนฺตเรปิ หิ อริยสาวโก อญฺญํ สตฺถารํ น อุทฺทิสตีติ เอวํ สรณคมนสฺส สํกิเลโสเภโท จ เวทิตโพฺพฯ

    Tattha lokiyasaraṇagamanaṃ tīsu vatthūsu aññāṇasaṃsayamicchāñāṇādīhi saṃkilissati, na mahājutikaṃ hoti na mahāvipphāraṃ. Lokuttarassa natthi saṃkileso. Lokiyassa ca saraṇagamanassa duvidho bhedo sāvajjo anavajjo ca. Tattha sāvajjo aññasatthārādīsu attasanniyyātanādīhi hoti, so aniṭṭhaphalo. Anavajjo kālakiriyāya, so avipākattā aphalo. Lokuttarassa pana nevatthi bhedo. Bhavantarepi hi ariyasāvako aññaṃ satthāraṃ na uddisatīti evaṃ saraṇagamanassa saṃkileso ca bhedo ca veditabbo.

    อุปาสกํ มํ ภวํ โคตโม ธาเรตูติ มํ ภวํ โคตโม ‘‘อุปาสโก อย’’นฺติ เอวํ ธาเรตุ, ชานาตูติ อโตฺถฯ อุปาสกวิธิโกสลฺลตฺถํ ปเนตฺถ โก อุปาสโก, กสฺมา อุปาสโกติ วุจฺจติ, กิมสฺส สีลํ, โก อาชีโว, กา วิปตฺติ, กา สมฺปตฺตีติ อิทํ ปกิณฺณกํ เวทิตพฺพํฯ

    Upāsakaṃmaṃ bhavaṃ gotamo dhāretūti maṃ bhavaṃ gotamo ‘‘upāsako aya’’nti evaṃ dhāretu, jānātūti attho. Upāsakavidhikosallatthaṃ panettha ko upāsako, kasmā upāsakoti vuccati, kimassa sīlaṃ, ko ājīvo, kā vipatti, kā sampattīti idaṃ pakiṇṇakaṃ veditabbaṃ.

    ตตฺถ โก อุปาสโกติ โย โกจิ สรณคโต คหโฎฺฐฯ วุตฺตเญฺหตํ –

    Tattha ko upāsakoti yo koci saraṇagato gahaṭṭho. Vuttañhetaṃ –

    ‘‘ยโต โข, มหานาม, อุปาสโก พุทฺธํ สรณํ คโต โหติ, ธมฺมํ สรณํ คโต, สงฺฆํ สรณํ คโต โหติฯ เอตฺตาวตา โข, มหานาม, อุปาสโก โหตี’’ติ (สํ. นิ. ๕.๑๐๓๓)ฯ

    ‘‘Yato kho, mahānāma, upāsako buddhaṃ saraṇaṃ gato hoti, dhammaṃ saraṇaṃ gato, saṅghaṃ saraṇaṃ gato hoti. Ettāvatā kho, mahānāma, upāsako hotī’’ti (saṃ. ni. 5.1033).

    กสฺมา อุปาสโกติฯ รตนตฺตยสฺส อุปาสนโตฯ โส หิ พุทฺธํ อุปาสตีติ อุปาสโกฯ ธมฺมํ, สงฺฆํ อุปาสตีติ อุปาสโกติฯ

    Kasmāupāsakoti. Ratanattayassa upāsanato. So hi buddhaṃ upāsatīti upāsako. Dhammaṃ, saṅghaṃ upāsatīti upāsakoti.

    กิมสฺส สีลนฺติฯ ปญฺจ เวรมณิโยฯ ยถาห –

    Kimassa sīlanti. Pañca veramaṇiyo. Yathāha –

    ‘‘ยโต โข, มหานาม, อุปาสโก ปาณาติปาตา ปฎิวิรโต โหติ, อทินฺนาทานา, กาเมสุมิจฺฉาจารา, มุสาวาทา, สุราเมรยมชฺชปฺปมาทฎฺฐานา ปฎิวิรโต โหติฯ เอตฺตาวตา โข, มหานาม, อุปาสโก สีลวา โหตี’’ติ (สํ. นิ. ๕.๑๐๓๓)ฯ

    ‘‘Yato kho, mahānāma, upāsako pāṇātipātā paṭivirato hoti, adinnādānā, kāmesumicchācārā, musāvādā, surāmerayamajjappamādaṭṭhānā paṭivirato hoti. Ettāvatā kho, mahānāma, upāsako sīlavā hotī’’ti (saṃ. ni. 5.1033).

    โก อาชีโวติฯ ปญฺจ มิจฺฉาวณิชฺชา ปหาย ธเมฺมน สเมน ชีวิกกปฺปนํฯ วุตฺตเญฺหตํ –

    Ko ājīvoti. Pañca micchāvaṇijjā pahāya dhammena samena jīvikakappanaṃ. Vuttañhetaṃ –

    ‘‘ปญฺจิมา, ภิกฺขเว, วณิชฺชา อุปาสเกน อกรณียาฯ กตมา ปญฺจฯ สตฺถวณิชฺชา, สตฺตวณิชฺชา, มํสวณิชฺชา, มชฺชวณิชฺชา, วิสวณิชฺชาฯ อิมา โข, ภิกฺขเว, ปญฺจ วณิชฺชา อุปาสเกน อกรณียา’’ติ (อ. นิ. ๕.๑๗๗)ฯ

    ‘‘Pañcimā, bhikkhave, vaṇijjā upāsakena akaraṇīyā. Katamā pañca. Satthavaṇijjā, sattavaṇijjā, maṃsavaṇijjā, majjavaṇijjā, visavaṇijjā. Imā kho, bhikkhave, pañca vaṇijjā upāsakena akaraṇīyā’’ti (a. ni. 5.177).

    กา วิปตฺตีติฯ ยา ตเสฺสว สีลสฺส จ อาชีวสฺส จ วิปตฺติ, อยมสฺส วิปตฺติฯ อปิจ ยาย เอส จณฺฑาโล เจว โหติ มลญฺจ ปติกุโฎฺฐ จ, สาปิ ตสฺส วิปตฺตีติ เวทิตพฺพาฯ เต จ อตฺถโต อสฺสทฺธิยาทโย ปญฺจ ธมฺมา โหนฺติฯ ยถาห –

    Kā vipattīti. Yā tasseva sīlassa ca ājīvassa ca vipatti, ayamassa vipatti. Apica yāya esa caṇḍālo ceva hoti malañca patikuṭṭho ca, sāpi tassa vipattīti veditabbā. Te ca atthato assaddhiyādayo pañca dhammā honti. Yathāha –

    ‘‘ปญฺจหิ , ภิกฺขเว, ธเมฺมหิ สมนฺนาคโต อุปาสโก อุปาสกจณฺฑาโล จ โหติ อุปาสกมลญฺจ อุปาสกปติกุโฎฺฐ จฯ กตเมหิ ปญฺจหิ? อสฺสโทฺธ โหติ, ทุสฺสีโล โหติ, โกตูหลมงฺคลิโก โหติ, มงฺคลํ ปเจฺจติ โน กมฺมํ, อิโต จ พหิทฺธา ทกฺขิเณยฺยํ ปริเยสติ, ตตฺถ จ ปุพฺพการํ กโรตี’’ติ (อ. นิ. ๕.๑๗๕)ฯ

    ‘‘Pañcahi , bhikkhave, dhammehi samannāgato upāsako upāsakacaṇḍālo ca hoti upāsakamalañca upāsakapatikuṭṭho ca. Katamehi pañcahi? Assaddho hoti, dussīlo hoti, kotūhalamaṅgaliko hoti, maṅgalaṃ pacceti no kammaṃ, ito ca bahiddhā dakkhiṇeyyaṃ pariyesati, tattha ca pubbakāraṃ karotī’’ti (a. ni. 5.175).

    กา สมฺปตฺตีติฯ ยา จสฺส สีลสมฺปทา จ อาชีวสมฺปทา จ, สา สมฺปตฺติฯ เย จสฺส รตนภาวาทิกรา สทฺธาทโย ปญฺจ ธมฺมาฯ ยถาห –

    Kā sampattīti. Yā cassa sīlasampadā ca ājīvasampadā ca, sā sampatti. Ye cassa ratanabhāvādikarā saddhādayo pañca dhammā. Yathāha –

    ‘‘ปญฺจหิ , ภิกฺขเว, ธเมฺมหิ สมนฺนาคโต อุปาสโก อุปาสกรตนญฺจ โหติ อุปาสกปทุมญฺจ อุปาสกปุณฺฑรีกญฺจฯ กตเมหิ ปญฺจหิ? สโทฺธ โหติ, สีลวา โหติ, น โกตูหลมงฺคลิโก โหติ, กมฺมํ ปเจฺจติ โน มงฺคลํ, น อิโต พหิทฺธา ทกฺขิเณยฺยํ คเวสติ, อิธ จ ปุพฺพการํ กโรตี’’ติ (อ. นิ. ๕.๑๗๕)ฯ

    ‘‘Pañcahi , bhikkhave, dhammehi samannāgato upāsako upāsakaratanañca hoti upāsakapadumañca upāsakapuṇḍarīkañca. Katamehi pañcahi? Saddho hoti, sīlavā hoti, na kotūhalamaṅgaliko hoti, kammaṃ pacceti no maṅgalaṃ, na ito bahiddhā dakkhiṇeyyaṃ gavesati, idha ca pubbakāraṃ karotī’’ti (a. ni. 5.175).

    อชฺชตเคฺคติ เอตฺถ อยํ อคฺคสโทฺท อาทิโกฎิโกฎฺฐาสเสเฎฺฐสุ ทิสฺสติฯ ‘‘อชฺชตเคฺค สมฺม, โทวาริก, อาวรามิ ทฺวารํ นิคณฺฐานํ นิคณฺฐีน’’นฺติอาทีสุ (ม. นิ. ๒.๗๐) หิ อาทิมฺหิ ทิสฺสติฯ ‘‘เตเนว องฺคุลเคฺคน ตํ องฺคุลคฺคํ ปรามเสยฺย (กถา. ๔๔๑)ฯ อุจฺฉคฺคํ เวฬคฺค’’นฺติอาทีสุ โกฎิยํฯ ‘‘อมฺพิลคฺคํ วา มธุรคฺคํ วา ติตฺตกคฺคํ วา (สํ. นิ. ๕.๓๗๔), อนุชานามิ, ภิกฺขเว, วิหารเคฺคน วา ปริเวณเคฺคน วา ภาเชตุ’’นฺติอาทีสุ (จูฬว. ๓๑๘) โกฎฺฐาเสฯ ‘‘ยาวตา, ภิกฺขเว, สตฺตา อปทา วา…เป.… ตถาคโต เตสํ อคฺคมกฺขายตี’’ติอาทีสุ (อ. นิ. ๔.๓๔) เสเฎฺฐฯ อิธ ปนายํ อาทิมฺหิ ทฎฺฐโพฺพฯ ตสฺมา อชฺชตเคฺคติ อชฺชตํ อาทิํ กตฺวาติ เอวเมตฺถ อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ อชฺชตนฺติ อชฺชภาวํฯ อชฺชทเคฺคติ วา ปาโฐ, ทกาโร ปทสนฺธิกโร, อชฺช อคฺคํ กตฺวาติ อโตฺถฯ

    Ajjataggeti ettha ayaṃ aggasaddo ādikoṭikoṭṭhāsaseṭṭhesu dissati. ‘‘Ajjatagge samma, dovārika, āvarāmi dvāraṃ nigaṇṭhānaṃ nigaṇṭhīna’’ntiādīsu (ma. ni. 2.70) hi ādimhi dissati. ‘‘Teneva aṅgulaggena taṃ aṅgulaggaṃ parāmaseyya (kathā. 441). Ucchaggaṃ veḷagga’’ntiādīsu koṭiyaṃ. ‘‘Ambilaggaṃ vā madhuraggaṃ vā tittakaggaṃ vā (saṃ. ni. 5.374), anujānāmi, bhikkhave, vihāraggena vā pariveṇaggena vā bhājetu’’ntiādīsu (cūḷava. 318) koṭṭhāse. ‘‘Yāvatā, bhikkhave, sattā apadā vā…pe… tathāgato tesaṃ aggamakkhāyatī’’tiādīsu (a. ni. 4.34) seṭṭhe. Idha panāyaṃ ādimhi daṭṭhabbo. Tasmā ajjataggeti ajjataṃ ādiṃ katvāti evamettha attho veditabbo. Ajjatanti ajjabhāvaṃ. Ajjadaggeti vā pāṭho, dakāro padasandhikaro, ajja aggaṃ katvāti attho.

    ปาณุเปตนฺติ ปาเณหิ อุเปตํ, ยาว เม ชีวิตํ ปวตฺตติ, ตาว อุเปตํ, อนญฺญสตฺถุกํ ตีหิ สรณคมเนหิ สรณํ คตํ อุปาสกํ กปฺปิยการกํ มํ ภวํ โคตโม ธาเรตุ ชานาตุฯ อหญฺหิ สเจปิ เม ติขิเณน อสินา สีสํ ฉิเนฺทยฺย, เนว พุทฺธํ ‘‘น พุโทฺธ’’ติ วา ธมฺมํ ‘‘น ธโมฺม’’ติ วา สงฺฆํ ‘‘น สโงฺฆ’’ติ วา วเทยฺยนฺติ เอวํ อตฺตสนฺนิยฺยาตเนน สรณํ คนฺตฺวา จตูหิ จ ปจฺจเยหิ ปวาเรตฺวา อุฎฺฐายาสนา ภควนฺตํ อภิวาเทตฺวา ติกฺขตฺตุํ ปทกฺขิณํ กตฺวา ปกฺกามีติฯ

    Pāṇupetanti pāṇehi upetaṃ, yāva me jīvitaṃ pavattati, tāva upetaṃ, anaññasatthukaṃ tīhi saraṇagamanehi saraṇaṃ gataṃ upāsakaṃ kappiyakārakaṃ maṃ bhavaṃ gotamo dhāretu jānātu. Ahañhi sacepi me tikhiṇena asinā sīsaṃ chindeyya, neva buddhaṃ ‘‘na buddho’’ti vā dhammaṃ ‘‘na dhammo’’ti vā saṅghaṃ ‘‘na saṅgho’’ti vā vadeyyanti evaṃ attasanniyyātanena saraṇaṃ gantvā catūhi ca paccayehi pavāretvā uṭṭhāyāsanā bhagavantaṃ abhivādetvā tikkhattuṃ padakkhiṇaṃ katvā pakkāmīti.

    ๑๗. สตฺตเม ชาณุโสฺสณีติ ชาณุโสฺสณิฐานนฺตรํ กิร นาเมกํ ฐานนฺตรํ, ตํ เยน กุเลน ลทฺธํ, ตํ ชาณุโสฺสณิกุลนฺติ วุจฺจติฯ อยํ ตสฺมิํ กุเล ชาตตฺตา รโญฺญ สนฺติเก จ ลทฺธชาณุโสฺสณิสกฺการตฺตา ชาณุโสฺสณีติ วุจฺจติฯ เตนุปสงฺกมีติ ‘‘สมโณ กิร โคตโม ปณฺฑิโต พฺยโตฺต พหุสฺสุโต’’ติ สุตฺวา ‘‘สเจ โส ลิงฺควิภตฺติการกาทิเภทํ ชานิสฺสติ, อเมฺหหิ ญาตเมว ชานิสฺสติ, อญฺญาตํ กิํ ชานิสฺสติฯ ญาตเมว กเถสฺสติ, อญฺญาตํ กิํ กเถสฺสตี’’ติ จิเนฺตตฺวา มานทฺธชํ ปคฺคยฺห สิงฺคํ อุกฺขิปิตฺวา มหาปริวาเรหิ ปริวุโต เยน ภควา เตนุปสงฺกมิฯ กตตฺตา จ, พฺราหฺมณ, อกตตฺตา จาติ สตฺถา ตสฺส วจนํ สุตฺวา ‘‘อยํ พฺราหฺมโณ อิธ อาคจฺฉโนฺต น ชานิตุกาโม อตฺถคเวสี หุตฺวา อาคโต, มานํ ปน ปคฺคยฺห สิงฺคํ อุกฺขิปิตฺวา อาคโตฯ กิํ นุ ขฺวสฺส ยถา ปญฺหสฺส อตฺถํ ชานาติ, เอวํ กถิเต วฑฺฒิ ภวิสฺสติ, อุทาหุ ยถา น ชานาตี’’ติ จิเนฺตตฺวา ‘‘ยถา น ชานาติ, เอวํ กถิเต วฑฺฒิ ภวิสฺสตี’’ติ ญตฺวา ‘‘กตตฺตา จ, พฺราหฺมณ, อกตตฺตา จา’’ติ อาหฯ

    17. Sattame jāṇussoṇīti jāṇussoṇiṭhānantaraṃ kira nāmekaṃ ṭhānantaraṃ, taṃ yena kulena laddhaṃ, taṃ jāṇussoṇikulanti vuccati. Ayaṃ tasmiṃ kule jātattā rañño santike ca laddhajāṇussoṇisakkārattā jāṇussoṇīti vuccati. Tenupasaṅkamīti ‘‘samaṇo kira gotamo paṇḍito byatto bahussuto’’ti sutvā ‘‘sace so liṅgavibhattikārakādibhedaṃ jānissati, amhehi ñātameva jānissati, aññātaṃ kiṃ jānissati. Ñātameva kathessati, aññātaṃ kiṃ kathessatī’’ti cintetvā mānaddhajaṃ paggayha siṅgaṃ ukkhipitvā mahāparivārehi parivuto yena bhagavā tenupasaṅkami. Katattā ca, brāhmaṇa, akatattā cāti satthā tassa vacanaṃ sutvā ‘‘ayaṃ brāhmaṇo idha āgacchanto na jānitukāmo atthagavesī hutvā āgato, mānaṃ pana paggayha siṅgaṃ ukkhipitvā āgato. Kiṃ nu khvassa yathā pañhassa atthaṃ jānāti, evaṃ kathite vaḍḍhi bhavissati, udāhu yathā na jānātī’’ti cintetvā ‘‘yathā na jānāti, evaṃ kathite vaḍḍhi bhavissatī’’ti ñatvā ‘‘katattā ca, brāhmaṇa, akatattā cā’’ti āha.

    พฺราหฺมโณ ตํ สุตฺวา ‘‘สมโณ โคตโม กตตฺตาปิ อกตตฺตาปิ นิรเย นิพฺพตฺติํ วทติ, อิทํ อุภยการเณนาปิ เอกฎฺฐาเน นิพฺพตฺติยา กถิตตฺตา ทุชฺชานํ มหนฺธการํ, นตฺถิ มยฺหํ เอตฺถ ปติฎฺฐาฯ สเจ ปนาหํ เอตฺตเกเนว ตุณฺหี ภเวยฺยํ, พฺราหฺมณานํ มเชฺฌ กถนกาเลปิ มํ เอวํ วเทยฺยุํ – ‘ตฺวํ สมณสฺส โคตมสฺส สนฺติกํ มานํ ปคฺคยฺห สิงฺคํ อุกฺขิปิตฺวา คโตสิ, เอกวจเนเนว ตุณฺหี หุตฺวา กิญฺจิ วตฺตุํ นาสกฺขิ, อิมสฺมิํ ฐาเน กสฺมา กเถสี’ติฯ ตสฺมา ปราชิโตปิ อปราชิตสทิโส หุตฺวา ปุน สคฺคคมนปญฺหํ ปุจฺฉิสฺสามี’’ติ จิเนฺตตฺวา โก นุ โข, โภ โคตมาติ อิมํ ทุติยปญฺหํ อารภิฯ

    Brāhmaṇo taṃ sutvā ‘‘samaṇo gotamo katattāpi akatattāpi niraye nibbattiṃ vadati, idaṃ ubhayakāraṇenāpi ekaṭṭhāne nibbattiyā kathitattā dujjānaṃ mahandhakāraṃ, natthi mayhaṃ ettha patiṭṭhā. Sace panāhaṃ ettakeneva tuṇhī bhaveyyaṃ, brāhmaṇānaṃ majjhe kathanakālepi maṃ evaṃ vadeyyuṃ – ‘tvaṃ samaṇassa gotamassa santikaṃ mānaṃ paggayha siṅgaṃ ukkhipitvā gatosi, ekavacaneneva tuṇhī hutvā kiñci vattuṃ nāsakkhi, imasmiṃ ṭhāne kasmā kathesī’ti. Tasmā parājitopi aparājitasadiso hutvā puna saggagamanapañhaṃ pucchissāmī’’ti cintetvā ko nu kho, bho gotamāti imaṃ dutiyapañhaṃ ārabhi.

    เอวมฺปิ ตสฺส อโหสิ – ‘‘อุปริปเญฺหน เหฎฺฐาปญฺหํ ชานิสฺสามิ, เหฎฺฐาปเญฺหน อุปริปญฺห’’นฺติฯ ตสฺมาปิ อิมํ ปญฺหํ ปุจฺฉิฯ สตฺถา ปุริมนเยเนว จิเนฺตตฺวา ยถา น ชานาติ, เอวเมว กเถโนฺต ปุนปิ ‘‘กตตฺตา จ, พฺราหฺมณ, อกตตฺตา จา’’ติ อาหฯ พฺราหฺมโณ ตสฺมิมฺปิ ปติฎฺฐาตุํ อสโกฺกโนฺต ‘‘อลํ, โภ, น อีทิสสฺส ปุริสสฺส สนฺติกํ อาคเตน อชานิตฺวา คนฺตุํ วฎฺฎติ, สกวาทํ ปหาย สมณํ โคตมํ อนุวตฺติตฺวา มยฺหํ อตฺถํ คเวสิสฺสามิ, ปรโลกมคฺคํ โสเธสฺสามี’’ติ สนฺนิฎฺฐานํ กตฺวา สตฺถารํ อายาจโนฺต น โข อหนฺติอาทิมาหฯ อถสฺส นิหตมานตํ ญตฺวา สตฺถา อุปริ เทสนํ วเฑฺฒโนฺต เตน หิ, พฺราหฺมณาติอาทิมาหฯ ตตฺถ เตน หีติ การณนิเทฺทโสฯ ยสฺมา สํขิเตฺตน ภาสิตสฺส อตฺถํ อชานโนฺต วิตฺถารเทสนํ ยาจสิ, ตสฺมาติ อโตฺถฯ เสสเมตฺถ อุตฺตานตฺถเมวาติฯ

    Evampi tassa ahosi – ‘‘uparipañhena heṭṭhāpañhaṃ jānissāmi, heṭṭhāpañhena uparipañha’’nti. Tasmāpi imaṃ pañhaṃ pucchi. Satthā purimanayeneva cintetvā yathā na jānāti, evameva kathento punapi ‘‘katattā ca, brāhmaṇa, akatattā cā’’ti āha. Brāhmaṇo tasmimpi patiṭṭhātuṃ asakkonto ‘‘alaṃ, bho, na īdisassa purisassa santikaṃ āgatena ajānitvā gantuṃ vaṭṭati, sakavādaṃ pahāya samaṇaṃ gotamaṃ anuvattitvā mayhaṃ atthaṃ gavesissāmi, paralokamaggaṃ sodhessāmī’’ti sanniṭṭhānaṃ katvā satthāraṃ āyācanto na kho ahantiādimāha. Athassa nihatamānataṃ ñatvā satthā upari desanaṃ vaḍḍhento tena hi, brāhmaṇātiādimāha. Tattha tena hīti kāraṇaniddeso. Yasmā saṃkhittena bhāsitassa atthaṃ ajānanto vitthāradesanaṃ yācasi, tasmāti attho. Sesamettha uttānatthamevāti.

    ๑๘. อฎฺฐเม อายสฺมาติ ปิยวจนเมตํฯ อานโนฺทติ ตสฺส เถรสฺส นามํฯ เอกํเสนาติ เอกเนฺตนฯ อนุวิจฺจาติ อนุปวิสิตฺวาฯ วิญฺญูติ ปณฺฑิตาฯ ครหนฺตีติ นินฺทนฺติ, อวณฺณํ ภาสนฺติฯ เสสเมตฺถ นวเม จ สพฺพํ อุตฺตานตฺถเมวฯ

    18. Aṭṭhame āyasmāti piyavacanametaṃ. Ānandoti tassa therassa nāmaṃ. Ekaṃsenāti ekantena. Anuviccāti anupavisitvā. Viññūti paṇḍitā. Garahantīti nindanti, avaṇṇaṃ bhāsanti. Sesamettha navame ca sabbaṃ uttānatthameva.

    ๒๐. ทสเม ทุนฺนิกฺขิตฺตญฺจ ปทพฺยญฺชนนฺติ อุปฺปฎิปาฎิยา คหิตปาฬิปทเมว หิ อตฺถสฺส พฺยญฺชนตฺตา พฺยญฺชนนฺติ วุจฺจติฯ อุภยเมตํ ปาฬิยาว นามํฯ อโตฺถ จ ทุนฺนีโตติ ปริวเตฺตตฺวา อุปฺปฎิปาฎิยา คหิตา อฎฺฐกถาฯ ทุนฺนิกฺขิตฺตสฺส, ภิกฺขเว, ปทพฺยญฺชนสฺส อโตฺถปิ ทุนฺนโย โหตีติ ปริวเตฺตตฺวา อุปฺปฎิปาฎิยา คหิตาย ปาฬิยา อฎฺฐกถา นาม ทุนฺนยา ทุนฺนีหารา ทุกฺกถา นาม โหติฯ เอกาทสเม วุตฺตปฎิปกฺขนเยน อโตฺถ เวทิตโพฺพติฯ

    20. Dasame dunnikkhittañca padabyañjananti uppaṭipāṭiyā gahitapāḷipadameva hi atthassa byañjanattā byañjananti vuccati. Ubhayametaṃ pāḷiyāva nāmaṃ. Attho ca dunnītoti parivattetvā uppaṭipāṭiyā gahitā aṭṭhakathā. Dunnikkhittassa, bhikkhave, padabyañjanassa atthopi dunnayo hotīti parivattetvā uppaṭipāṭiyā gahitāya pāḷiyā aṭṭhakathā nāma dunnayā dunnīhārā dukkathā nāma hoti. Ekādasame vuttapaṭipakkhanayena attho veditabboti.

    อธิกรณวโคฺค ทุติโยฯ

    Adhikaraṇavaggo dutiyo.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / องฺคุตฺตรนิกาย • Aṅguttaranikāya / ๒. อธิกรณวโคฺค • 2. Adhikaraṇavaggo

    ฎีกา • Tīkā / สุตฺตปิฎก (ฎีกา) • Suttapiṭaka (ṭīkā) / องฺคุตฺตรนิกาย (ฎีกา) • Aṅguttaranikāya (ṭīkā) / ๒. อธิกรณวคฺควณฺณนา • 2. Adhikaraṇavaggavaṇṇanā


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact