Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / องฺคุตฺตรนิกาย • Aṅguttaranikāya |
๒. อธิกรณวโคฺค
2. Adhikaraṇavaggo
๑๑. ‘‘เทฺวมานิ , ภิกฺขเว, พลานิฯ กตมานิ เทฺว? ปฎิสงฺขานพลญฺจ ภาวนาพลญฺจฯ กตมญฺจ, ภิกฺขเว, ปฎิสงฺขานพลํ? อิธ, ภิกฺขเว, เอกโจฺจ อิติ ปฎิสญฺจิกฺขติ – ‘กายทุจฺจริตสฺส โข ปาปโก วิปาโก ทิเฎฺฐ เจว ธเมฺม อภิสมฺปรายญฺจ, วจีทุจฺจริตสฺส ปาปโก วิปาโก ทิเฎฺฐ เจว ธเมฺม อภิสมฺปรายญฺจ, มโนทุจฺจริตสฺส ปาปโก วิปาโก ทิเฎฺฐ เจว ธเมฺม อภิสมฺปรายญฺจา’ติฯ โส อิติ ปฎิสงฺขาย กายทุจฺจริตํ ปหาย กายสุจริตํ ภาเวติ, วจีทุจฺจริตํ ปหาย วจีสุจริตํ ภาเวติ, มโนทุจฺจริตํ ปหาย มโนสุจริตํ ภาเวติ, สุทฺธํ อตฺตานํ ปริหรติฯ อิทํ วุจฺจติ, ภิกฺขเว, ปฎิสงฺขานพลํฯ
11. ‘‘Dvemāni , bhikkhave, balāni. Katamāni dve? Paṭisaṅkhānabalañca bhāvanābalañca. Katamañca, bhikkhave, paṭisaṅkhānabalaṃ? Idha, bhikkhave, ekacco iti paṭisañcikkhati – ‘kāyaduccaritassa kho pāpako vipāko diṭṭhe ceva dhamme abhisamparāyañca, vacīduccaritassa pāpako vipāko diṭṭhe ceva dhamme abhisamparāyañca, manoduccaritassa pāpako vipāko diṭṭhe ceva dhamme abhisamparāyañcā’ti. So iti paṭisaṅkhāya kāyaduccaritaṃ pahāya kāyasucaritaṃ bhāveti, vacīduccaritaṃ pahāya vacīsucaritaṃ bhāveti, manoduccaritaṃ pahāya manosucaritaṃ bhāveti, suddhaṃ attānaṃ pariharati. Idaṃ vuccati, bhikkhave, paṭisaṅkhānabalaṃ.
‘‘กตมญฺจ, ภิกฺขเว, ภาวนาพลํฯ ตตฺร, ภิกฺขเว, ยมิทํ 1 ภาวนาพลํ เสขานเมตํ 2 พลํฯ เสขญฺหิ โส, ภิกฺขเว, พลํ อาคมฺม ราคํ ปชหติ, โทสํ ปชหติ, โมหํ ปชหติฯ ราคํ ปหาย, โทสํ ปหาย, โมหํ ปหาย ยํ อกุสลํ น ตํ กโรติ, ยํ ปาปํ น ตํ เสวติฯ อิทํ วุจฺจติ, ภิกฺขเว, ภาวนาพลํฯ อิมานิ โข, ภิกฺขเว, เทฺว พลานี’’ติฯ
‘‘Katamañca, bhikkhave, bhāvanābalaṃ. Tatra, bhikkhave, yamidaṃ 3 bhāvanābalaṃ sekhānametaṃ 4 balaṃ. Sekhañhi so, bhikkhave, balaṃ āgamma rāgaṃ pajahati, dosaṃ pajahati, mohaṃ pajahati. Rāgaṃ pahāya, dosaṃ pahāya, mohaṃ pahāya yaṃ akusalaṃ na taṃ karoti, yaṃ pāpaṃ na taṃ sevati. Idaṃ vuccati, bhikkhave, bhāvanābalaṃ. Imāni kho, bhikkhave, dve balānī’’ti.
๑๒. ‘‘เทฺวมานิ, ภิกฺขเว, พลานิฯ กตมานิ เทฺว? ปฎิสงฺขานพลญฺจ ภาวนาพลญฺจฯ กตมญฺจ, ภิกฺขเว, ปฎิสงฺขานพลํ? อิธ, ภิกฺขเว, เอกโจฺจ อิติ ปฎิสญฺจิกฺขติ – ‘กายทุจฺจริตสฺส โข ปาปโก วิปาโก ทิเฎฺฐ เจว ธเมฺม อภิสมฺปรายญฺจ, วจีทุจฺจริตสฺส ปาปโก วิปาโก ทิเฎฺฐ เจว ธเมฺม อภิสมฺปรายญฺจ, มโนทุจฺจริตสฺส ปาปโก วิปาโก ทิเฎฺฐ เจว ธเมฺม อภิสมฺปรายญฺจา’ติฯ โส อิติ ปฎิสงฺขาย กายทุจฺจริตํ ปหาย กายสุจริตํ ภาเวติ, วจีทุจฺจริตํ ปหาย วจีสุจริตํ ภาเวติ, มโนทุจฺจริตํ ปหาย มโนสุจริตํ ภาเวติ, สุทฺธํ อตฺตานํ ปริหรติฯ อิทํ วุจฺจติ, ภิกฺขเว, ปฎิสงฺขานพลํฯ
12. ‘‘Dvemāni, bhikkhave, balāni. Katamāni dve? Paṭisaṅkhānabalañca bhāvanābalañca. Katamañca, bhikkhave, paṭisaṅkhānabalaṃ? Idha, bhikkhave, ekacco iti paṭisañcikkhati – ‘kāyaduccaritassa kho pāpako vipāko diṭṭhe ceva dhamme abhisamparāyañca, vacīduccaritassa pāpako vipāko diṭṭhe ceva dhamme abhisamparāyañca, manoduccaritassa pāpako vipāko diṭṭhe ceva dhamme abhisamparāyañcā’ti. So iti paṭisaṅkhāya kāyaduccaritaṃ pahāya kāyasucaritaṃ bhāveti, vacīduccaritaṃ pahāya vacīsucaritaṃ bhāveti, manoduccaritaṃ pahāya manosucaritaṃ bhāveti, suddhaṃ attānaṃ pariharati. Idaṃ vuccati, bhikkhave, paṭisaṅkhānabalaṃ.
‘‘กตมญฺจ, ภิกฺขเว, ภาวนาพลํ? อิธ, ภิกฺขเว, ภิกฺขุ สติสโมฺพชฺฌงฺคํ ภาเวติ วิเวกนิสฺสิตํ วิราคนิสฺสิตํ นิโรธนิสฺสิตํ โวสคฺคปริณามิํ, ธมฺมวิจยสโมฺพชฺฌงฺคํ ภาเวติ… วีริยสโมฺพชฺฌงฺคํ ภาเวติ… ปีติสโมฺพชฺฌงฺคํ ภาเวติ… ปสฺสทฺธิสโมฺพชฺฌงฺคํ ภาเวติ… สมาธิสโมฺพชฺฌงฺคํ ภาเวติ… อุเปกฺขาสโมฺพชฺฌงฺคํ ภาเวติ วิเวกนิสฺสิตํ วิราคนิสฺสิตํ นิโรธนิสฺสิตํ โวสคฺคปริณามิํ ฯ อิทํ วุจฺจติ, ภิกฺขเว, ภาวนาพลํฯ อิมานิ โข, ภิกฺขเว, เทฺว พลานี’’ติฯ
‘‘Katamañca, bhikkhave, bhāvanābalaṃ? Idha, bhikkhave, bhikkhu satisambojjhaṅgaṃ bhāveti vivekanissitaṃ virāganissitaṃ nirodhanissitaṃ vosaggapariṇāmiṃ, dhammavicayasambojjhaṅgaṃ bhāveti… vīriyasambojjhaṅgaṃ bhāveti… pītisambojjhaṅgaṃ bhāveti… passaddhisambojjhaṅgaṃ bhāveti… samādhisambojjhaṅgaṃ bhāveti… upekkhāsambojjhaṅgaṃ bhāveti vivekanissitaṃ virāganissitaṃ nirodhanissitaṃ vosaggapariṇāmiṃ . Idaṃ vuccati, bhikkhave, bhāvanābalaṃ. Imāni kho, bhikkhave, dve balānī’’ti.
๑๓. ‘‘เทฺวมานิ, ภิกฺขเว, พลานิฯ กตมานิ เทฺว? ปฎิสงฺขานพลญฺจ ภาวนาพลญฺจฯ กตมญฺจ, ภิกฺขเว, ปฎิสงฺขานพลํ? อิธ, ภิกฺขเว , เอกโจฺจ อิติ ปฎิสญฺจิกฺขติ – ‘กายทุจฺจริตสฺส โข ปาปโก วิปาโก ทิเฎฺฐ เจว ธเมฺม อภิสมฺปรายญฺจ, วจีทุจฺจริตสฺส โข ปาปโก วิปาโก ทิเฎฺฐ เจว ธเมฺม อภิสมฺปรายญฺจ, มโนทุจฺจริตสฺส โข ปาปโก วิปาโก ทิเฎฺฐ เจว ธเมฺม อภิสมฺปรายญฺจา’ติฯ โส อิติ ปฎิสงฺขาย กายทุจฺจริตํ ปหาย กายสุจริตํ ภาเวติ, วจีทุจฺจริตํ ปหาย วจีสุจริตํ ภาเวติ, มโนทุจฺจริตํ ปหาย มโนสุจริตํ ภาเวติ, สุทฺธํ อตฺตานํ ปริหรติฯ อิทํ วุจฺจติ, ภิกฺขเว, ปฎิสงฺขานพลํฯ
13. ‘‘Dvemāni, bhikkhave, balāni. Katamāni dve? Paṭisaṅkhānabalañca bhāvanābalañca. Katamañca, bhikkhave, paṭisaṅkhānabalaṃ? Idha, bhikkhave , ekacco iti paṭisañcikkhati – ‘kāyaduccaritassa kho pāpako vipāko diṭṭhe ceva dhamme abhisamparāyañca, vacīduccaritassa kho pāpako vipāko diṭṭhe ceva dhamme abhisamparāyañca, manoduccaritassa kho pāpako vipāko diṭṭhe ceva dhamme abhisamparāyañcā’ti. So iti paṭisaṅkhāya kāyaduccaritaṃ pahāya kāyasucaritaṃ bhāveti, vacīduccaritaṃ pahāya vacīsucaritaṃ bhāveti, manoduccaritaṃ pahāya manosucaritaṃ bhāveti, suddhaṃ attānaṃ pariharati. Idaṃ vuccati, bhikkhave, paṭisaṅkhānabalaṃ.
‘‘กตมญฺจ, ภิกฺขเว, ภาวนาพลํ? อิธ, ภิกฺขเว, ภิกฺขุ วิวิเจฺจว กาเมหิ, วิวิจฺจ อกุสเลหิ ธเมฺมหิ สวิตกฺกํ สวิจารํ วิเวกชํ ปีติสุขํ ปฐมํ ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหรติฯ วิตกฺกวิจารานํ วูปสมา อชฺฌตฺตํ สมฺปสาทนํ เจตโส เอโกทิภาวํ อวิตกฺกํ อวิจารํ สมาธิชํ ปีติสุขํ ทุติยํ ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหรติฯ ปีติยา จ วิราคา อุเปกฺขโก จ วิหรติ สโต จ สมฺปชาโน, สุขญฺจ กาเยน ปฎิสํเวเทติ, ยํ ตํ อริยา อาจิกฺขนฺติ – ‘อุเปกฺขโก สติมา สุขวิหารี’ติ ตติยํ ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหรติฯ สุขสฺส จ ปหานา ทุกฺขสฺส จ ปหานา ปุเพฺพว โสมนสฺสโทมนสฺสานํ อตฺถงฺคมา อทุกฺขมสุขํ อุเปกฺขาสติปาริสุทฺธิํ จตุตฺถํ ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหรติฯ อิทํ วุจฺจติ, ภิกฺขเว, ภาวนาพลํฯ อิมานิ โข, ภิกฺขเว, เทฺว พลานี’’ติฯ
‘‘Katamañca, bhikkhave, bhāvanābalaṃ? Idha, bhikkhave, bhikkhu vivicceva kāmehi, vivicca akusalehi dhammehi savitakkaṃ savicāraṃ vivekajaṃ pītisukhaṃ paṭhamaṃ jhānaṃ upasampajja viharati. Vitakkavicārānaṃ vūpasamā ajjhattaṃ sampasādanaṃ cetaso ekodibhāvaṃ avitakkaṃ avicāraṃ samādhijaṃ pītisukhaṃ dutiyaṃ jhānaṃ upasampajja viharati. Pītiyā ca virāgā upekkhako ca viharati sato ca sampajāno, sukhañca kāyena paṭisaṃvedeti, yaṃ taṃ ariyā ācikkhanti – ‘upekkhako satimā sukhavihārī’ti tatiyaṃ jhānaṃ upasampajja viharati. Sukhassa ca pahānā dukkhassa ca pahānā pubbeva somanassadomanassānaṃ atthaṅgamā adukkhamasukhaṃ upekkhāsatipārisuddhiṃ catutthaṃ jhānaṃ upasampajja viharati. Idaṃ vuccati, bhikkhave, bhāvanābalaṃ. Imāni kho, bhikkhave, dve balānī’’ti.
๑๔. ‘‘เทฺวมา, ภิกฺขเว, ตถาคตสฺส ธมฺมเทสนาฯ กตมา เทฺว? สํขิเตฺตน จ วิตฺถาเรน จฯ อิมา โข, ภิกฺขเว, เทฺว ตถาคตสฺส ธมฺมเทสนา’’ติฯ
14. ‘‘Dvemā, bhikkhave, tathāgatassa dhammadesanā. Katamā dve? Saṃkhittena ca vitthārena ca. Imā kho, bhikkhave, dve tathāgatassa dhammadesanā’’ti.
๑๕. ‘‘ยสฺมิํ , ภิกฺขเว, อธิกรเณ อาปโนฺน 5 จ ภิกฺขุ โจทโก จ ภิกฺขุ น สาธุกํ อตฺตนาว อตฺตานํ ปจฺจเวกฺขติ ตเสฺมตํ, ภิกฺขเว, อธิกรเณ ปาฎิกงฺขํ ทีฆตฺตาย ขรตฺตาย วาฬตฺตาย สํวตฺติสฺสติ, ภิกฺขู จ น ผาสุํ 6 วิหริสฺสนฺตีติ 7ฯ ยสฺมิญฺจ โข, ภิกฺขเว, อธิกรเณ อาปโนฺน จ ภิกฺขุ โจทโก จ ภิกฺขุ สาธุกํ อตฺตนาว อตฺตานํ ปจฺจเวกฺขติ ตเสฺมตํ, ภิกฺขเว, อธิกรเณ ปาฎิกงฺขํ น ทีฆตฺตาย ขรตฺตาย วาฬตฺตาย สํวตฺติสฺสติ, ภิกฺขู จ ผาสุํ วิหริสฺสนฺตีติฯ
15. ‘‘Yasmiṃ , bhikkhave, adhikaraṇe āpanno 8 ca bhikkhu codako ca bhikkhu na sādhukaṃ attanāva attānaṃ paccavekkhati tasmetaṃ, bhikkhave, adhikaraṇe pāṭikaṅkhaṃ dīghattāya kharattāya vāḷattāya saṃvattissati, bhikkhū ca na phāsuṃ 9 viharissantīti 10. Yasmiñca kho, bhikkhave, adhikaraṇe āpanno ca bhikkhu codako ca bhikkhu sādhukaṃ attanāva attānaṃ paccavekkhati tasmetaṃ, bhikkhave, adhikaraṇe pāṭikaṅkhaṃ na dīghattāya kharattāya vāḷattāya saṃvattissati, bhikkhū ca phāsuṃ viharissantīti.
‘‘กถญฺจ, ภิกฺขเว, อาปโนฺน ภิกฺขุ สาธุกํ อตฺตนาว อตฺตานํ ปจฺจเวกฺขติ? อิธ, ภิกฺขเว, อาปโนฺน ภิกฺขุ อิติ ปฎิสญฺจิกฺขติ – ‘อหํ โข อกุสลํ อาปโนฺน กญฺจิเทว 11 เทสํ กาเยนฯ มํ โส 12 ภิกฺขุ อทฺทส อกุสลํ อาปชฺชมานํ กิญฺจิเทว เทสํ กาเยนฯ โน เจ อหํ อกุสลํ อาปเชฺชยฺยํ กิญฺจิเทว เทสํ กาเยน, น มํ โส ภิกฺขุ ปเสฺสยฺย อกุสลํ อาปชฺชมานํ กิญฺจิเทว เทสํ กาเยนฯ ยสฺมา จ โข, อหํ อกุสลํ อาปโนฺน กิญฺจิเทว เทสํ กาเยน, ตสฺมา มํ โส ภิกฺขุ อทฺทส อกุสลํ อาปชฺชมานํ กิญฺจิเทว เทสํ กาเยนฯ ทิสฺวา จ ปน มํ โส ภิกฺขุ อกุสลํ อาปชฺชมานํ กิญฺจิเทว เทสํ กาเยน อนตฺตมโน อโหสิฯ อนตฺตมโน สมาโน อนตฺตมนวจนํ 13 มํ โส ภิกฺขุ อวจฯ อนตฺตมนวจนาหํ 14 เตน ภิกฺขุนา วุโตฺต สมาโน อนตฺตมโน 15 อโหสิํฯ อนตฺตมโน สมาโน ปเรสํ อาโรเจสิํฯ อิติ มเมว ตตฺถ อจฺจโย อจฺจคมา สุงฺกทายกํว ภณฺฑสฺมินฺติฯ เอวํ โข, ภิกฺขเว, อาปโนฺน ภิกฺขุ สาธุกํ อตฺตนาว อตฺตานํ ปจฺจเวกฺขติฯ
‘‘Kathañca, bhikkhave, āpanno bhikkhu sādhukaṃ attanāva attānaṃ paccavekkhati? Idha, bhikkhave, āpanno bhikkhu iti paṭisañcikkhati – ‘ahaṃ kho akusalaṃ āpanno kañcideva 16 desaṃ kāyena. Maṃ so 17 bhikkhu addasa akusalaṃ āpajjamānaṃ kiñcideva desaṃ kāyena. No ce ahaṃ akusalaṃ āpajjeyyaṃ kiñcideva desaṃ kāyena, na maṃ so bhikkhu passeyya akusalaṃ āpajjamānaṃ kiñcideva desaṃ kāyena. Yasmā ca kho, ahaṃ akusalaṃ āpanno kiñcideva desaṃ kāyena, tasmā maṃ so bhikkhu addasa akusalaṃ āpajjamānaṃ kiñcideva desaṃ kāyena. Disvā ca pana maṃ so bhikkhu akusalaṃ āpajjamānaṃ kiñcideva desaṃ kāyena anattamano ahosi. Anattamano samāno anattamanavacanaṃ 18 maṃ so bhikkhu avaca. Anattamanavacanāhaṃ 19 tena bhikkhunā vutto samāno anattamano 20 ahosiṃ. Anattamano samāno paresaṃ ārocesiṃ. Iti mameva tattha accayo accagamā suṅkadāyakaṃva bhaṇḍasminti. Evaṃ kho, bhikkhave, āpanno bhikkhu sādhukaṃ attanāva attānaṃ paccavekkhati.
‘‘กถญฺจ, ภิกฺขเว, โจทโก ภิกฺขุ สาธุกํ อตฺตนาว อตฺตานํ ปจฺจเวกฺขติ? อิธ, ภิกฺขเว, โจทโก ภิกฺขุ อิติ ปฎิสญฺจิกฺขติ – ‘อยํ โข ภิกฺขุ อกุสลํ อาปโนฺน กิญฺจิเทว เทสํ กาเยนฯ อหํ อิมํ ภิกฺขุํ อทฺทสํ อกุสลํ อาปชฺชมานํ กิญฺจิเทว เทสํ กาเยนฯ โน เจ อยํ ภิกฺขุ อกุสลํ อาปเชฺชยฺย กิญฺจิเทว เทสํ กาเยน, นาหํ อิมํ ภิกฺขุํ ปเสฺสยฺยํ อกุสลํ อาปชฺชมานํ กิญฺจิเทว เทสํ กาเยนฯ ยสฺมา จ โข, อยํ ภิกฺขุ อกุสลํ อาปโนฺน กิญฺจิเทว เทสํ กาเยน, ตสฺมา อหํ อิมํ ภิกฺขุํ อทฺทสํ อกุสลํ อาปชฺชมานํ กิญฺจิเทว เทสํ กาเยนฯ ทิสฺวา จ ปนาหํ อิมํ ภิกฺขุํ อกุสลํ อาปชฺชมานํ กิญฺจิเทว เทสํ กาเยน อนตฺตมโน อโหสิํฯ อนตฺตมโน สมาโน อนตฺตมนวจนาหํ อิมํ ภิกฺขุํ อวจํฯ อนตฺตมนวจนายํ ภิกฺขุ มยา วุโตฺต สมาโน อนตฺตมโน อโหสิฯ อนตฺตมโน สมาโน ปเรสํ อาโรเจสิฯ อิติ มเมว ตตฺถ อจฺจโย อจฺจคมา สุงฺกทายกํว ภณฺฑสฺมินฺติฯ เอวํ โข, ภิกฺขเว, โจทโก ภิกฺขุ สาธุกํ อตฺตนาว อตฺตานํ ปจฺจเวกฺขติฯ
‘‘Kathañca, bhikkhave, codako bhikkhu sādhukaṃ attanāva attānaṃ paccavekkhati? Idha, bhikkhave, codako bhikkhu iti paṭisañcikkhati – ‘ayaṃ kho bhikkhu akusalaṃ āpanno kiñcideva desaṃ kāyena. Ahaṃ imaṃ bhikkhuṃ addasaṃ akusalaṃ āpajjamānaṃ kiñcideva desaṃ kāyena. No ce ayaṃ bhikkhu akusalaṃ āpajjeyya kiñcideva desaṃ kāyena, nāhaṃ imaṃ bhikkhuṃ passeyyaṃ akusalaṃ āpajjamānaṃ kiñcideva desaṃ kāyena. Yasmā ca kho, ayaṃ bhikkhu akusalaṃ āpanno kiñcideva desaṃ kāyena, tasmā ahaṃ imaṃ bhikkhuṃ addasaṃ akusalaṃ āpajjamānaṃ kiñcideva desaṃ kāyena. Disvā ca panāhaṃ imaṃ bhikkhuṃ akusalaṃ āpajjamānaṃ kiñcideva desaṃ kāyena anattamano ahosiṃ. Anattamano samāno anattamanavacanāhaṃ imaṃ bhikkhuṃ avacaṃ. Anattamanavacanāyaṃ bhikkhu mayā vutto samāno anattamano ahosi. Anattamano samāno paresaṃ ārocesi. Iti mameva tattha accayo accagamā suṅkadāyakaṃva bhaṇḍasminti. Evaṃ kho, bhikkhave, codako bhikkhu sādhukaṃ attanāva attānaṃ paccavekkhati.
‘‘ยสฺมิํ, ภิกฺขเว, อธิกรเณ อาปโนฺน จ ภิกฺขุ โจทโก จ ภิกฺขุ น สาธุกํ อตฺตนาว อตฺตานํ ปจฺจเวกฺขติ ตเสฺมตํ, ภิกฺขเว, อธิกรเณ ปาฎิกงฺขํ ทีฆตฺตาย ขรตฺตาย วาฬตฺตาย สํวตฺติสฺสติ, ภิกฺขู จ น ผาสุํ วิหริสฺสนฺตีติฯ ยสฺมิญฺจ โข, ภิกฺขเว, อธิกรเณ อาปโนฺน จ ภิกฺขุ โจทโก จ ภิกฺขุ สาธุกํ อตฺตนาว อตฺตานํ ปจฺจเวกฺขติ ตเสฺมตํ, ภิกฺขเว, อธิกรเณ ปาฎิกงฺขํ น ทีฆตฺตาย ขรตฺตาย วาฬตฺตาย สํวตฺติสฺสติ, ภิกฺขู จ ผาสุ วิหริสฺสนฺตี’’ติฯ
‘‘Yasmiṃ, bhikkhave, adhikaraṇe āpanno ca bhikkhu codako ca bhikkhu na sādhukaṃ attanāva attānaṃ paccavekkhati tasmetaṃ, bhikkhave, adhikaraṇe pāṭikaṅkhaṃ dīghattāya kharattāya vāḷattāya saṃvattissati, bhikkhū ca na phāsuṃ viharissantīti. Yasmiñca kho, bhikkhave, adhikaraṇe āpanno ca bhikkhu codako ca bhikkhu sādhukaṃ attanāva attānaṃ paccavekkhati tasmetaṃ, bhikkhave, adhikaraṇe pāṭikaṅkhaṃ na dīghattāya kharattāya vāḷattāya saṃvattissati, bhikkhū ca phāsu viharissantī’’ti.
๑๖. อถ โข อญฺญตโร พฺราหฺมโณ เยน ภควา เตนุปสงฺกมิ; อุปสงฺกมิตฺวา ภควตา สทฺธิํ สโมฺมทิฯ สโมฺมทนียํ กถํ สารณียํ วีติสาเรตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิฯ เอกมนฺตํ นิสิโนฺน โข โส พฺราหฺมโณ ภควนฺตํ เอตทโวจ – ‘‘โก นุ โข, โภ โคตม, เหตุ โก ปจฺจโย เยน มิเธกเจฺจ สตฺตา กายสฺส เภทา ปรํ มรณา อปายํ ทุคฺคติํ วินิปาตํ นิรยํ อุปปชฺชนฺตี’’ติ? ‘‘อธมฺมจริยาวิสมจริยาเหตุ โข, พฺราหฺมณ, เอวมิเธกเจฺจ สตฺตา กายสฺส เภทา ปรํ มรณา อปายํ ทุคฺคติํ วินิปาตํ นิรยํ อุปปชฺชนฺตี’’ติฯ
16. Atha kho aññataro brāhmaṇo yena bhagavā tenupasaṅkami; upasaṅkamitvā bhagavatā saddhiṃ sammodi. Sammodanīyaṃ kathaṃ sāraṇīyaṃ vītisāretvā ekamantaṃ nisīdi. Ekamantaṃ nisinno kho so brāhmaṇo bhagavantaṃ etadavoca – ‘‘ko nu kho, bho gotama, hetu ko paccayo yena midhekacce sattā kāyassa bhedā paraṃ maraṇā apāyaṃ duggatiṃ vinipātaṃ nirayaṃ upapajjantī’’ti? ‘‘Adhammacariyāvisamacariyāhetu kho, brāhmaṇa, evamidhekacce sattā kāyassa bhedā paraṃ maraṇā apāyaṃ duggatiṃ vinipātaṃ nirayaṃ upapajjantī’’ti.
‘‘โก นุ โข, โภ โคตม, เหตุ โก ปจฺจโย เยน มิเธกเจฺจ สตฺตา กายสฺส เภทา ปรํ มรณา สุคติํ สคฺคํ โลกํ อุปปชฺชนฺตี’’ติ? ‘‘ธมฺมจริยาสมจริยาเหตุ โข, พฺราหฺมณ , เอวมิเธกเจฺจ สตฺตา กายสฺส เภทา ปรํ มรณา สุคติํ สคฺคํ โลกํ อุปปชฺชนฺตี’’ติฯ
‘‘Ko nu kho, bho gotama, hetu ko paccayo yena midhekacce sattā kāyassa bhedā paraṃ maraṇā sugatiṃ saggaṃ lokaṃ upapajjantī’’ti? ‘‘Dhammacariyāsamacariyāhetu kho, brāhmaṇa , evamidhekacce sattā kāyassa bhedā paraṃ maraṇā sugatiṃ saggaṃ lokaṃ upapajjantī’’ti.
‘‘อภิกฺกนฺตํ, โภ โคตม! อภิกฺกนฺตํ, โภ โคตม! เสยฺยถาปิ, โภ โคตม, นิกฺกุชฺชิตํ 21 วา อุกฺกุเชฺชยฺย, ปฎิจฺฉนฺนํ วา วิวเรยฺย, มูฬฺหสฺส วา มคฺคํ อาจิเกฺขยฺย, อนฺธกาเร วา เตลปโชฺชตํ ธาเรยฺย – ‘จกฺขุมโนฺต รูปานิ ทกฺขนฺตี’ติ, เอวเมวํ โภตา โคตเมน อเนกปริยาเยน ธโมฺม ปกาสิโตฯ เอสาหํ ภวนฺตํ โคตมํ สรณํ คจฺฉามิ ธมฺมญฺจ ภิกฺขุสงฺฆญฺจ ฯ อุปาสกํ มํ ภวํ โคตโม ธาเรตุ อชฺชตเคฺค ปาณุเปตํ สรณํ คต’’นฺติฯ
‘‘Abhikkantaṃ, bho gotama! Abhikkantaṃ, bho gotama! Seyyathāpi, bho gotama, nikkujjitaṃ 22 vā ukkujjeyya, paṭicchannaṃ vā vivareyya, mūḷhassa vā maggaṃ ācikkheyya, andhakāre vā telapajjotaṃ dhāreyya – ‘cakkhumanto rūpāni dakkhantī’ti, evamevaṃ bhotā gotamena anekapariyāyena dhammo pakāsito. Esāhaṃ bhavantaṃ gotamaṃ saraṇaṃ gacchāmi dhammañca bhikkhusaṅghañca . Upāsakaṃ maṃ bhavaṃ gotamo dhāretu ajjatagge pāṇupetaṃ saraṇaṃ gata’’nti.
๑๗. อถ โข ชาณุโสฺสณิ 23 พฺราหฺมโณ เยน ภควา เตนุปสงฺกมิ; อุปสงฺกมิตฺวา ภควตา สทฺธิํ สโมฺมทิฯ สโมฺมทนียํ กถํ สารณียํ วีติสาเรตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิฯ เอกมนฺตํ นิสิโนฺน โข ชาณุโสฺสณิ พฺราหฺมโณ ภควนฺตํ เอตทโวจ – ‘‘โก นุ โข, โภ โคตม, เหตุ โก ปจฺจโย เยน มิเธกเจฺจ สตฺตา กายสฺส เภทา ปรํ มรณา อปายํ ทุคฺคติํ วินิปาตํ นิรยํ อุปปชฺชนฺตี’’ติ? ‘‘กตตฺตา จ, พฺราหฺมณ, อกตตฺตา จฯ เอวมิเธกเจฺจ สตฺตา กายสฺส เภทา ปรํ มรณา อปายํ ทุคฺคติํ วินิปาตํ นิรยํ อุปปชฺชนฺตี’’ติฯ ‘‘โก ปน, โภ โคตม, เหตุ โก ปจฺจโย เยน มิเธกเจฺจ สตฺตา กายสฺส เภทา ปรํ มรณา สุคติํ สคฺคํ โลกํ อุปปชฺชนฺตี’’ติ? ‘‘กตตฺตา จ, พฺราหฺมณ, อกตตฺตา จฯ เอวมิเธกเจฺจ สตฺตา กายสฺส เภทา ปรํ มรณา สุคติํ สคฺคํ โลกํ อุปปชฺชนฺตี’’ติฯ ‘‘น โข อหํ อิมสฺส โภโต โคตมสฺส สํขิเตฺตน ภาสิตสฺส วิตฺถาเรน อตฺถํ อวิภตฺตสฺส วิตฺถาเรน อตฺถํ อาชานามิฯ สาธุ เม ภวํ โคตโม ตถา ธมฺมํ เทเสตุ ยถา อหํ อิมสฺส โภโต โคตมสฺส สํขิเตฺตน ภาสิตสฺส วิตฺถาเรน อตฺถํ อวิภตฺตสฺส วิตฺถาเรน อตฺถํ อาชาเนยฺย’’นฺติฯ ‘‘เตน หิ, พฺราหฺมณ, สุณาหิ, สาธุกํ มนสิ กโรหิ; ภาสิสฺสามี’’ติฯ ‘‘เอวํ โภ’’ติ โข ชาณุโสฺสณิ พฺราหฺมโณ ภควโต ปจฺจโสฺสสิฯ ภควา เอตทโวจ –
17. Atha kho jāṇussoṇi 24 brāhmaṇo yena bhagavā tenupasaṅkami; upasaṅkamitvā bhagavatā saddhiṃ sammodi. Sammodanīyaṃ kathaṃ sāraṇīyaṃ vītisāretvā ekamantaṃ nisīdi. Ekamantaṃ nisinno kho jāṇussoṇi brāhmaṇo bhagavantaṃ etadavoca – ‘‘ko nu kho, bho gotama, hetu ko paccayo yena midhekacce sattā kāyassa bhedā paraṃ maraṇā apāyaṃ duggatiṃ vinipātaṃ nirayaṃ upapajjantī’’ti? ‘‘Katattā ca, brāhmaṇa, akatattā ca. Evamidhekacce sattā kāyassa bhedā paraṃ maraṇā apāyaṃ duggatiṃ vinipātaṃ nirayaṃ upapajjantī’’ti. ‘‘Ko pana, bho gotama, hetu ko paccayo yena midhekacce sattā kāyassa bhedā paraṃ maraṇā sugatiṃ saggaṃ lokaṃ upapajjantī’’ti? ‘‘Katattā ca, brāhmaṇa, akatattā ca. Evamidhekacce sattā kāyassa bhedā paraṃ maraṇā sugatiṃ saggaṃ lokaṃ upapajjantī’’ti. ‘‘Na kho ahaṃ imassa bhoto gotamassa saṃkhittena bhāsitassa vitthārena atthaṃ avibhattassa vitthārena atthaṃ ājānāmi. Sādhu me bhavaṃ gotamo tathā dhammaṃ desetu yathā ahaṃ imassa bhoto gotamassa saṃkhittena bhāsitassa vitthārena atthaṃ avibhattassa vitthārena atthaṃ ājāneyya’’nti. ‘‘Tena hi, brāhmaṇa, suṇāhi, sādhukaṃ manasi karohi; bhāsissāmī’’ti. ‘‘Evaṃ bho’’ti kho jāṇussoṇi brāhmaṇo bhagavato paccassosi. Bhagavā etadavoca –
‘‘อิธ, พฺราหฺมณ, เอกจฺจสฺส กายทุจฺจริตํ กตํ โหติ, อกตํ โหติ กายสุจริตํ; วจีทุจฺจริตํ กตํ โหติ, อกตํ โหติ วจีสุจริตํ; มโนทุจฺจริตํ กตํ โหติ, อกตํ โหติ มโนสุจริตํฯ เอวํ โข, พฺราหฺมณ, กตตฺตา จ อกตตฺตา จ เอวมิเธกเจฺจ สตฺตา กายสฺส เภทา ปรํ มรณา อปายํ ทุคฺคติํ วินิปาตํ นิรยํ อุปปชฺชนฺติฯ อิธ ปน, พฺราหฺมณ, เอกจฺจสฺส กายสุจริตํ กตํ โหติ, อกตํ โหติ กายทุจฺจริตํ; วจีสุจริตํ กตํ โหติ, อกตํ โหติ วจีทุจฺจริตํ; มโนสุจริตํ กตํ โหติ, อกตํ โหติ มโนทุจฺจริตํฯ เอวํ โข, พฺราหฺมณ, กตตฺตา จ อกตตฺตา จ เอวมิเธกเจฺจ สตฺตา กายสฺส เภทา ปรํ มรณา สุคติํ สคฺคํ โลกํ อุปปชฺชนฺตี’’ติฯ
‘‘Idha, brāhmaṇa, ekaccassa kāyaduccaritaṃ kataṃ hoti, akataṃ hoti kāyasucaritaṃ; vacīduccaritaṃ kataṃ hoti, akataṃ hoti vacīsucaritaṃ; manoduccaritaṃ kataṃ hoti, akataṃ hoti manosucaritaṃ. Evaṃ kho, brāhmaṇa, katattā ca akatattā ca evamidhekacce sattā kāyassa bhedā paraṃ maraṇā apāyaṃ duggatiṃ vinipātaṃ nirayaṃ upapajjanti. Idha pana, brāhmaṇa, ekaccassa kāyasucaritaṃ kataṃ hoti, akataṃ hoti kāyaduccaritaṃ; vacīsucaritaṃ kataṃ hoti, akataṃ hoti vacīduccaritaṃ; manosucaritaṃ kataṃ hoti, akataṃ hoti manoduccaritaṃ. Evaṃ kho, brāhmaṇa, katattā ca akatattā ca evamidhekacce sattā kāyassa bhedā paraṃ maraṇā sugatiṃ saggaṃ lokaṃ upapajjantī’’ti.
‘‘อภิกฺกนฺตํ , โภ โคตม…เป.… อุปาสกํ มํ ภวํ โคตโม ธาเรตุ อชฺชตเคฺค ปาณุเปตํ สรณํ คต’’นฺติฯ
‘‘Abhikkantaṃ , bho gotama…pe… upāsakaṃ maṃ bhavaṃ gotamo dhāretu ajjatagge pāṇupetaṃ saraṇaṃ gata’’nti.
๑๘. อถ โข อายสฺมา อานโนฺท เยน ภควา เตนุปสงฺกมิ; อุปสงฺกมิตฺวา ภควนฺตํ อภิวาเทตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิฯ เอกมนฺตํ นิสินฺนํ โข อายสฺมนฺตํ อานนฺทํ ภควา เอตทโวจ – ‘‘เอกํเสนาหํ, อานนฺท, อกรณียํ วทามิ กายทุจฺจริตํ วจีทุจฺจริตํ มโนทุจฺจริต’’นฺติฯ ‘‘ยมิทํ, ภเนฺต, ภควตา เอกํเสน อกรณียํ อกฺขาตํ กายทุจฺจริตํ วจีทุจฺจริตํ มโนทุจฺจริตํ ตสฺมิํ อกรณีเย กยิรมาเน โก อาทีนโว ปาฎิกโงฺข’’ติ? ‘‘ยมิทํ, อานนฺท, มยา เอกํเสน อกรณียํ อกฺขาตํ กายทุจฺจริตํ วจีทุจฺจริตํ มโนทุจฺจริตํ ตสฺมิํ อกรณีเย กยิรมาเน อยํ อาทีนโว ปาฎิกโงฺข – อตฺตาปิ อตฺตานํ อุปวทติ, อนุวิจฺจ วิญฺญู ครหนฺติ, ปาปโก กิตฺติสโทฺท อพฺภุคฺคจฺฉติ, สมฺมูโฬฺห กาลํ กโรติ, กายสฺส เภทา ปรํ มรณา อปายํ ทุคฺคติํ วินิปาตํ นิรยํ อุปปชฺชติฯ ยมิทํ, อานนฺท, มยา เอกํเสน อกรณียํ อกฺขาตํ กายทุจฺจริตํ วจีทุจฺจริตํ มโนทุจฺจริตํ ตสฺมิํ อกรณีเย กยิรมาเน อยํ อาทีนโว ปาฎิกโงฺข’’ติฯ
18. Atha kho āyasmā ānando yena bhagavā tenupasaṅkami; upasaṅkamitvā bhagavantaṃ abhivādetvā ekamantaṃ nisīdi. Ekamantaṃ nisinnaṃ kho āyasmantaṃ ānandaṃ bhagavā etadavoca – ‘‘ekaṃsenāhaṃ, ānanda, akaraṇīyaṃ vadāmi kāyaduccaritaṃ vacīduccaritaṃ manoduccarita’’nti. ‘‘Yamidaṃ, bhante, bhagavatā ekaṃsena akaraṇīyaṃ akkhātaṃ kāyaduccaritaṃ vacīduccaritaṃ manoduccaritaṃ tasmiṃ akaraṇīye kayiramāne ko ādīnavo pāṭikaṅkho’’ti? ‘‘Yamidaṃ, ānanda, mayā ekaṃsena akaraṇīyaṃ akkhātaṃ kāyaduccaritaṃ vacīduccaritaṃ manoduccaritaṃ tasmiṃ akaraṇīye kayiramāne ayaṃ ādīnavo pāṭikaṅkho – attāpi attānaṃ upavadati, anuvicca viññū garahanti, pāpako kittisaddo abbhuggacchati, sammūḷho kālaṃ karoti, kāyassa bhedā paraṃ maraṇā apāyaṃ duggatiṃ vinipātaṃ nirayaṃ upapajjati. Yamidaṃ, ānanda, mayā ekaṃsena akaraṇīyaṃ akkhātaṃ kāyaduccaritaṃ vacīduccaritaṃ manoduccaritaṃ tasmiṃ akaraṇīye kayiramāne ayaṃ ādīnavo pāṭikaṅkho’’ti.
‘‘เอกํเสนาหํ, อานนฺท, กรณียํ วทามิ กายสุจริตํ วจีสุจริตํ มโนสุจริต’’นฺติฯ ‘‘ยมิทํ, ภเนฺต, ภควตา เอกํเสน กรณียํ อกฺขาตํ กายสุจริตํ วจีสุจริตํ มโนสุจริตํ ตสฺมิํ กรณีเย กยิรมาเน โก อานิสํโส ปาฎิกโงฺข’’ติ? ‘‘ยมิทํ, อานนฺท, มยา เอกํเสน กรณียํ อกฺขาตํ กายสุจริตํ วจีสุจริตํ มโนสุจริตํ ตสฺมิํ กรณีเย กยิรมาเน อยํ อานิสํโส ปาฎิกโงฺข – อตฺตาปิ อตฺตานํ น อุปวทติ, อนุวิจฺจ วิญฺญู ปสํสนฺติ, กลฺยาโณ กิตฺติสโทฺท อพฺภุคฺคจฺฉติ, อสมฺมูโฬฺห กาลํ กโรติ, กายสฺส เภทา ปรํ มรณา สุคติํ สคฺคํ โลกํ อุปปชฺชติฯ ยมิทํ, อานนฺท, มยา เอกํเสน กรณียํ อกฺขาตํ กายสุจริตํ วจีสุจริตํ มโนสุจริตํ ตสฺมิํ กรณีเย กยิรมาเน อยํ อานิสํโส ปาฎิกโงฺข’’ติฯ
‘‘Ekaṃsenāhaṃ, ānanda, karaṇīyaṃ vadāmi kāyasucaritaṃ vacīsucaritaṃ manosucarita’’nti. ‘‘Yamidaṃ, bhante, bhagavatā ekaṃsena karaṇīyaṃ akkhātaṃ kāyasucaritaṃ vacīsucaritaṃ manosucaritaṃ tasmiṃ karaṇīye kayiramāne ko ānisaṃso pāṭikaṅkho’’ti? ‘‘Yamidaṃ, ānanda, mayā ekaṃsena karaṇīyaṃ akkhātaṃ kāyasucaritaṃ vacīsucaritaṃ manosucaritaṃ tasmiṃ karaṇīye kayiramāne ayaṃ ānisaṃso pāṭikaṅkho – attāpi attānaṃ na upavadati, anuvicca viññū pasaṃsanti, kalyāṇo kittisaddo abbhuggacchati, asammūḷho kālaṃ karoti, kāyassa bhedā paraṃ maraṇā sugatiṃ saggaṃ lokaṃ upapajjati. Yamidaṃ, ānanda, mayā ekaṃsena karaṇīyaṃ akkhātaṃ kāyasucaritaṃ vacīsucaritaṃ manosucaritaṃ tasmiṃ karaṇīye kayiramāne ayaṃ ānisaṃso pāṭikaṅkho’’ti.
๑๙. ‘‘อกุสลํ, ภิกฺขเว, ปชหถฯ สกฺกา, ภิกฺขเว, อกุสลํ ปชหิตุํฯ โน เจทํ 25, ภิกฺขเว, สกฺกา อภวิสฺส อกุสลํ ปชหิตุํ, นาหํ เอวํ วเทยฺยํ – ‘อกุสลํ, ภิกฺขเว, ปชหถา’ติฯ ยสฺมา จ โข, ภิกฺขเว, สกฺกา อกุสลํ ปชหิตุํ ตสฺมาหํ เอวํ วทามิ – ‘อกุสลํ, ภิกฺขเว, ปชหถา’ติฯ อกุสลญฺจ หิทํ, ภิกฺขเว 26, ปหีนํ อหิตาย ทุกฺขาย สํวเตฺตยฺย นาหํ เอวํ วเทยฺยํ – ‘อกุสลํ, ภิกฺขเว, ปชหถา’ติฯ ยสฺมา จ โข, ภิกฺขเว, อกุสลํ ปหีนํ หิตาย สุขาย สํวตฺตติ ตสฺมาหํ เอวํ วทามิ – ‘อกุสลํ , ภิกฺขเว, ปชหถา’’’ติฯ
19. ‘‘Akusalaṃ, bhikkhave, pajahatha. Sakkā, bhikkhave, akusalaṃ pajahituṃ. No cedaṃ 27, bhikkhave, sakkā abhavissa akusalaṃ pajahituṃ, nāhaṃ evaṃ vadeyyaṃ – ‘akusalaṃ, bhikkhave, pajahathā’ti. Yasmā ca kho, bhikkhave, sakkā akusalaṃ pajahituṃ tasmāhaṃ evaṃ vadāmi – ‘akusalaṃ, bhikkhave, pajahathā’ti. Akusalañca hidaṃ, bhikkhave 28, pahīnaṃ ahitāya dukkhāya saṃvatteyya nāhaṃ evaṃ vadeyyaṃ – ‘akusalaṃ, bhikkhave, pajahathā’ti. Yasmā ca kho, bhikkhave, akusalaṃ pahīnaṃ hitāya sukhāya saṃvattati tasmāhaṃ evaṃ vadāmi – ‘akusalaṃ , bhikkhave, pajahathā’’’ti.
‘‘กุสลํ , ภิกฺขเว, ภาเวถฯ สกฺกา, ภิกฺขเว, กุสลํ ภาเวตุํฯ โน เจทํ, ภิกฺขเว, สกฺกา อภวิสฺส กุสลํ ภาเวตุํ, นาหํ เอวํ วเทยฺยํ – ‘กุสลํ, ภิกฺขเว, ภาเวถา’ติฯ ยสฺมา จ โข, ภิกฺขเว, สกฺกา กุสลํ ภาเวตุํ ตสฺมาหํ เอวํ วทามิ – ‘กุสลํ, ภิกฺขเว, ภาเวถา’ติฯ กุสลญฺจ หิทํ, ภิกฺขเว, ภาวิตํ อหิตาย ทุกฺขาย สํวเตฺตยฺย, นาหํ เอวํ วเทยฺยํ – ‘กุสลํ, ภิกฺขเว, ภาเวถา’ติฯ ยสฺมา จ โข, ภิกฺขเว, กุสลํ ภาวิตํ หิตาย สุขาย สํวตฺตติ ตสฺมาหํ เอวํ วทามิ – ‘กุสลํ, ภิกฺขเว, ภาเวถา’’’ติฯ
‘‘Kusalaṃ , bhikkhave, bhāvetha. Sakkā, bhikkhave, kusalaṃ bhāvetuṃ. No cedaṃ, bhikkhave, sakkā abhavissa kusalaṃ bhāvetuṃ, nāhaṃ evaṃ vadeyyaṃ – ‘kusalaṃ, bhikkhave, bhāvethā’ti. Yasmā ca kho, bhikkhave, sakkā kusalaṃ bhāvetuṃ tasmāhaṃ evaṃ vadāmi – ‘kusalaṃ, bhikkhave, bhāvethā’ti. Kusalañca hidaṃ, bhikkhave, bhāvitaṃ ahitāya dukkhāya saṃvatteyya, nāhaṃ evaṃ vadeyyaṃ – ‘kusalaṃ, bhikkhave, bhāvethā’ti. Yasmā ca kho, bhikkhave, kusalaṃ bhāvitaṃ hitāya sukhāya saṃvattati tasmāhaṃ evaṃ vadāmi – ‘kusalaṃ, bhikkhave, bhāvethā’’’ti.
๒๐. ‘‘เทฺวเม, ภิกฺขเว, ธมฺมา สทฺธมฺมสฺส สโมฺมสาย อนฺตรธานาย สํวตฺตนฺติฯ กตเม เทฺว? ทุนฺนิกฺขิตฺตญฺจ ปทพฺยญฺชนํ อโตฺถ จ ทุนฺนีโตฯ ทุนฺนิกฺขิตฺตสฺส , ภิกฺขเว, ปทพฺยญฺชนสฺส อโตฺถปิ ทุนฺนโย โหติฯ อิเม โข, ภิกฺขเว, เทฺว ธมฺมา สทฺธมฺมสฺส สโมฺมสาย อนฺตรธานาย สํวตฺตนฺตี’’ติฯ
20. ‘‘Dveme, bhikkhave, dhammā saddhammassa sammosāya antaradhānāya saṃvattanti. Katame dve? Dunnikkhittañca padabyañjanaṃ attho ca dunnīto. Dunnikkhittassa , bhikkhave, padabyañjanassa atthopi dunnayo hoti. Ime kho, bhikkhave, dve dhammā saddhammassa sammosāya antaradhānāya saṃvattantī’’ti.
๒๑. ‘‘เทฺวเม, ภิกฺขเว, ธมฺมา สทฺธมฺมสฺส ฐิติยา อสโมฺมสาย อนนฺตรธานาย สํวตฺตนฺติฯ กตเม เทฺว? สุนิกฺขิตฺตญฺจ ปทพฺยญฺชนํ อโตฺถ จ สุนีโตฯ สุนิกฺขิตฺตสฺส, ภิกฺขเว, ปทพฺยญฺชนสฺส อโตฺถปิ สุนโย โหติฯ อิเม โข, ภิกฺขเว, เทฺว ธมฺมา สทฺธมฺมสฺส ฐิติยา อสโมฺมสาย อนนฺตรธานาย สํวตฺตนฺตี’’ติฯ
21. ‘‘Dveme, bhikkhave, dhammā saddhammassa ṭhitiyā asammosāya anantaradhānāya saṃvattanti. Katame dve? Sunikkhittañca padabyañjanaṃ attho ca sunīto. Sunikkhittassa, bhikkhave, padabyañjanassa atthopi sunayo hoti. Ime kho, bhikkhave, dve dhammā saddhammassa ṭhitiyā asammosāya anantaradhānāya saṃvattantī’’ti.
อธิกรณวโคฺค ทุติโยฯ
Adhikaraṇavaggo dutiyo.
Footnotes:
Related texts:
อฎฺฐกถา • Aṭṭhakathā / สุตฺตปิฎก (อฎฺฐกถา) • Suttapiṭaka (aṭṭhakathā) / องฺคุตฺตรนิกาย (อฎฺฐกถา) • Aṅguttaranikāya (aṭṭhakathā) / ๒. อธิกรณวคฺควณฺณนา • 2. Adhikaraṇavaggavaṇṇanā
ฎีกา • Tīkā / สุตฺตปิฎก (ฎีกา) • Suttapiṭaka (ṭīkā) / องฺคุตฺตรนิกาย (ฎีกา) • Aṅguttaranikāya (ṭīkā) / ๒. อธิกรณวคฺควณฺณนา • 2. Adhikaraṇavaggavaṇṇanā