Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / องฺคุตฺตรนิกาย • Aṅguttaranikāya |
๑๐. อาธิปเตยฺยสุตฺตํ
10. Ādhipateyyasuttaṃ
๔๐. ‘‘ตีณิมานิ , ภิกฺขเว, อาธิปเตยฺยานิฯ กตมานิ ตีณิ? อตฺตาธิปเตยฺยํ, โลกาธิปเตยฺยํ, ธมฺมาธิปเตยฺยํฯ กตมญฺจ, ภิกฺขเว, อตฺตาธิปเตยฺยํ? อิธ, ภิกฺขเว, ภิกฺขุ อรญฺญคโต วา รุกฺขมูลคโต วา สุญฺญาคารคโต วา อิติ ปฎิสญฺจิกฺขติ – ‘น โข ปนาหํ จีวรเหตุ อคารสฺมา อนคาริยํ ปพฺพชิโตฯ น ปิณฺฑปาตเหตุ, น เสนาสนเหตุ, น อิติภวาภวเหตุ อคารสฺมา อนคาริยํ ปพฺพชิโตฯ อปิ จ โขมฺหิ โอติโณฺณ ชาติยา ชราย มรเณน โสเกหิ ปริเทเวหิ ทุเกฺขหิ โทมนเสฺสหิ อุปายาเสหิ, ทุโกฺขติโณฺณ ทุกฺขปเรโตฯ อเปฺปว นาม อิมสฺส เกวลสฺส ทุกฺขกฺขนฺธสฺส อนฺตกิริยา ปญฺญาเยถาติฯ อหเญฺจว โข ปน ยาทิสเก 1 กาเม โอหาย อคารสฺมา อนคาริยํ ปพฺพชิโต ตาทิสเก วา 2 กาเม ปริเยเสยฺยํ ตโต วา 3 ปาปิฎฺฐตเร, น เมตํ ปติรูป’นฺติฯ โส อิติ ปฎิสญฺจิกฺขติ – ‘อารทฺธํ โข ปน เม วีริยํ ภวิสฺสติ อสลฺลีนํ, อุปฎฺฐิตา สติ อสมฺมุฎฺฐา, ปสฺสโทฺธ กาโย อสารโทฺธ, สมาหิตํ จิตฺตํ เอกคฺค’นฺติฯ โส อตฺตานํเยว อธิปติํ กริตฺวา อกุสลํ ปชหติ, กุสลํ ภาเวติ, สาวชฺชํ ปชหติ, อนวชฺชํ ภาเวติ, สุทฺธํ อตฺตานํ ปริหรติฯ อิทํ วุจฺจติ, ภิกฺขเว, อตฺตาธิปเตยฺยํฯ
40. ‘‘Tīṇimāni , bhikkhave, ādhipateyyāni. Katamāni tīṇi? Attādhipateyyaṃ, lokādhipateyyaṃ, dhammādhipateyyaṃ. Katamañca, bhikkhave, attādhipateyyaṃ? Idha, bhikkhave, bhikkhu araññagato vā rukkhamūlagato vā suññāgāragato vā iti paṭisañcikkhati – ‘na kho panāhaṃ cīvarahetu agārasmā anagāriyaṃ pabbajito. Na piṇḍapātahetu, na senāsanahetu, na itibhavābhavahetu agārasmā anagāriyaṃ pabbajito. Api ca khomhi otiṇṇo jātiyā jarāya maraṇena sokehi paridevehi dukkhehi domanassehi upāyāsehi, dukkhotiṇṇo dukkhapareto. Appeva nāma imassa kevalassa dukkhakkhandhassa antakiriyā paññāyethāti. Ahañceva kho pana yādisake 4 kāme ohāya agārasmā anagāriyaṃ pabbajito tādisake vā 5 kāme pariyeseyyaṃ tato vā 6 pāpiṭṭhatare, na metaṃ patirūpa’nti. So iti paṭisañcikkhati – ‘āraddhaṃ kho pana me vīriyaṃ bhavissati asallīnaṃ, upaṭṭhitā sati asammuṭṭhā, passaddho kāyo asāraddho, samāhitaṃ cittaṃ ekagga’nti. So attānaṃyeva adhipatiṃ karitvā akusalaṃ pajahati, kusalaṃ bhāveti, sāvajjaṃ pajahati, anavajjaṃ bhāveti, suddhaṃ attānaṃ pariharati. Idaṃ vuccati, bhikkhave, attādhipateyyaṃ.
‘‘กตมญฺจ, ภิกฺขเว, โลกาธิปเตยฺยํ? อิธ, ภิกฺขเว, ภิกฺขุ อรญฺญคโต วา รุกฺขมูลคโต วา สุญฺญาคารคโต วา อิติ ปฎิสญฺจิกฺขติ – ‘น โข ปนาหํ จีวรเหตุ อคารสฺมา อนคาริยํ ปพฺพชิโตฯ น ปิณฺฑปาตเหตุ, น เสนาสนเหตุ, น อิติภวาภวเหตุ อคารสฺมา อนคาริยํ ปพฺพชิโตฯ อปิ จ โขมฺหิ โอติโณฺณ ชาติยา ชราย มรเณน โสเกหิ ปริเทเวหิ ทุเกฺขหิ โทมนเสฺสหิ อุปายาเสหิ, ทุโกฺขติโณฺณ ทุกฺขปเรโตฯ อเปฺปว นาม อิมสฺส เกวลสฺส ทุกฺขกฺขนฺธสฺส อนฺตกิริยา ปญฺญาเยถา’ติฯ อหเญฺจว โข ปน เอวํ ปพฺพชิโต สมาโน กามวิตกฺกํ วา วิตเกฺกยฺยํ, พฺยาปาทวิตกฺกํ วา วิตเกฺกยฺยํ, วิหิํสาวิตกฺกํ วา วิตเกฺกยฺยํ, มหา โข ปนายํ โลกสนฺนิวาโสฯ มหนฺตสฺมิํ โข ปน โลกสนฺนิวาเส สนฺติ สมณพฺราหฺมณา อิทฺธิมโนฺต ทิพฺพจกฺขุกา ปรจิตฺตวิทุโนฯ เต ทูรโตปิ ปสฺสนฺติ, อาสนฺนาปิ น ทิสฺสนฺติ, เจตสาปิ จิตฺตํ ปชานนฺติ 7ฯ เตปิ มํ เอวํ ชาเนยฺยุํ – ‘ปสฺสถ, โภ, อิมํ กุลปุตฺตํ สทฺธา อคารสฺมา อนคาริยํ ปพฺพชิโต สมาโน โวกิโณฺณ วิหรติ ปาปเกหิ อกุสเลหิ ธเมฺมหี’ติฯ เทวตาปิ โข สนฺติ อิทฺธิมนฺตินิโย ทิพฺพจกฺขุกา ปรจิตฺตวิทุนิโยฯ ตา ทูรโตปิ ปสฺสนฺติ, อาสนฺนาปิ น ทิสฺสนฺติ, เจตสาปิ จิตฺตํ ชานนฺติฯ ตาปิ มํ เอวํ ชาเนยฺยุํ – ‘ปสฺสถ, โภ, อิมํ กุลปุตฺตํ สทฺธา อคารสฺมา อนคาริยํ ปพฺพชิโต สมาโน โวกิโณฺณ วิหรติ ปาปเกหิ อกุสเลหิ ธเมฺมหี’ติฯ โส อิติ ปฎิสญฺจิกฺขติ – ‘อารทฺธํ โข ปน เม วีริยํ ภวิสฺสติ อสลฺลีนํ, อุปฎฺฐิตา สติ อสมฺมุฎฺฐา, ปสฺสโทฺธ กาโย อสารโทฺธ, สมาหิตํ จิตฺตํ เอกคฺค’นฺติฯ โส โลกํเยว อธิปติํ กริตฺวา อกุสลํ ปชหติ, กุสลํ ภาเวติ, สาวชฺชํ ปชหติ, อนวชฺชํ ภาเวติ, สุทฺธํ อตฺตานํ ปริหรติฯ อิทํ วุจฺจติ, ภิกฺขเว, โลกาธิปเตยฺยํฯ
‘‘Katamañca, bhikkhave, lokādhipateyyaṃ? Idha, bhikkhave, bhikkhu araññagato vā rukkhamūlagato vā suññāgāragato vā iti paṭisañcikkhati – ‘na kho panāhaṃ cīvarahetu agārasmā anagāriyaṃ pabbajito. Na piṇḍapātahetu, na senāsanahetu, na itibhavābhavahetu agārasmā anagāriyaṃ pabbajito. Api ca khomhi otiṇṇo jātiyā jarāya maraṇena sokehi paridevehi dukkhehi domanassehi upāyāsehi, dukkhotiṇṇo dukkhapareto. Appeva nāma imassa kevalassa dukkhakkhandhassa antakiriyā paññāyethā’ti. Ahañceva kho pana evaṃ pabbajito samāno kāmavitakkaṃ vā vitakkeyyaṃ, byāpādavitakkaṃ vā vitakkeyyaṃ, vihiṃsāvitakkaṃ vā vitakkeyyaṃ, mahā kho panāyaṃ lokasannivāso. Mahantasmiṃ kho pana lokasannivāse santi samaṇabrāhmaṇā iddhimanto dibbacakkhukā paracittaviduno. Te dūratopi passanti, āsannāpi na dissanti, cetasāpi cittaṃ pajānanti 8. Tepi maṃ evaṃ jāneyyuṃ – ‘passatha, bho, imaṃ kulaputtaṃ saddhā agārasmā anagāriyaṃ pabbajito samāno vokiṇṇo viharati pāpakehi akusalehi dhammehī’ti. Devatāpi kho santi iddhimantiniyo dibbacakkhukā paracittaviduniyo. Tā dūratopi passanti, āsannāpi na dissanti, cetasāpi cittaṃ jānanti. Tāpi maṃ evaṃ jāneyyuṃ – ‘passatha, bho, imaṃ kulaputtaṃ saddhā agārasmā anagāriyaṃ pabbajito samāno vokiṇṇo viharati pāpakehi akusalehi dhammehī’ti. So iti paṭisañcikkhati – ‘āraddhaṃ kho pana me vīriyaṃ bhavissati asallīnaṃ, upaṭṭhitā sati asammuṭṭhā, passaddho kāyo asāraddho, samāhitaṃ cittaṃ ekagga’nti. So lokaṃyeva adhipatiṃ karitvā akusalaṃ pajahati, kusalaṃ bhāveti, sāvajjaṃ pajahati, anavajjaṃ bhāveti, suddhaṃ attānaṃ pariharati. Idaṃ vuccati, bhikkhave, lokādhipateyyaṃ.
‘‘กตมญฺจ, ภิกฺขเว, ธมฺมาธิปเตยฺยํ? อิธ, ภิกฺขเว, ภิกฺขุ อรญฺญคโต วา รุกฺขมูลคโต วา สุญฺญาคารคโต วา อิติ ปฎิสญฺจิกฺขติ – ‘น โข ปนาหํ จีวรเหตุ อคารสฺมา อนคาริยํ ปพฺพชิโตฯ น ปิณฺฑปาตเหตุ, น เสนาสนเหตุ, น อิติภวาภวเหตุ อคารสฺมา อนคาริยํ ปพฺพชิโตฯ อปิ จ โขมฺหิ โอติโณฺณ ชาติยา ชราย มรเณน โสเกหิ ปริเทเวหิ ทุเกฺขหิ โทมนเสฺสหิ อุปายาเสหิ, ทุโกฺขติโณฺณ ทุกฺขปเรโตฯ อเปฺปว นาม อิมสฺส เกวลสฺส ทุกฺขกฺขนฺธสฺส อนฺตกิริยา ปญฺญาเยถาติฯ สฺวากฺขาโต ภควตา ธโมฺม สนฺทิฎฺฐิโก อกาลิโก เอหิปสฺสิโก โอปเนยฺยิโก ปจฺจตฺตํ เวทิตโพฺพ วิญฺญูหีติฯ สนฺติ โข ปน เม สพฺรหฺมจารี ชานํ ปสฺสํ วิหรนฺติฯ อหเญฺจว โข ปน เอวํ สฺวากฺขาเต ธมฺมวินเย ปพฺพชิโต สมาโน กุสีโต วิหเรยฺยํ ปมโตฺต, น เมตํ อสฺส ปติรูป’นฺติฯ โส อิติ ปฎิสญฺจิกฺขติ – ‘อารทฺธํ โข ปน เม วีริยํ ภวิสฺสติ อสลฺลีนํ, อุปฎฺฐิตา สติ อสมฺมุฎฺฐา, ปสฺสโทฺธ กาโย อสารโทฺธ, สมาหิตํ จิตฺตํ เอกคฺค’นฺติฯ โส ธมฺมํเยว อธิปติํ กริตฺวา อกุสลํ ปชหติ, กุสลํ ภาเวติ, สาวชฺชํ ปชหติ, อนวชฺชํ ภาเวติ, สุทฺธํ อตฺตานํ ปริหรติฯ อิทํ วุจฺจติ, ภิกฺขเว, ธมฺมาธิปเตยฺยํฯ อิมานิ โข, ภิกฺขเว, ตีณิ อาธิปเตยฺยานี’’ติฯ
‘‘Katamañca, bhikkhave, dhammādhipateyyaṃ? Idha, bhikkhave, bhikkhu araññagato vā rukkhamūlagato vā suññāgāragato vā iti paṭisañcikkhati – ‘na kho panāhaṃ cīvarahetu agārasmā anagāriyaṃ pabbajito. Na piṇḍapātahetu, na senāsanahetu, na itibhavābhavahetu agārasmā anagāriyaṃ pabbajito. Api ca khomhi otiṇṇo jātiyā jarāya maraṇena sokehi paridevehi dukkhehi domanassehi upāyāsehi, dukkhotiṇṇo dukkhapareto. Appeva nāma imassa kevalassa dukkhakkhandhassa antakiriyā paññāyethāti. Svākkhāto bhagavatā dhammo sandiṭṭhiko akāliko ehipassiko opaneyyiko paccattaṃ veditabbo viññūhīti. Santi kho pana me sabrahmacārī jānaṃ passaṃ viharanti. Ahañceva kho pana evaṃ svākkhāte dhammavinaye pabbajito samāno kusīto vihareyyaṃ pamatto, na metaṃ assa patirūpa’nti. So iti paṭisañcikkhati – ‘āraddhaṃ kho pana me vīriyaṃ bhavissati asallīnaṃ, upaṭṭhitā sati asammuṭṭhā, passaddho kāyo asāraddho, samāhitaṃ cittaṃ ekagga’nti. So dhammaṃyeva adhipatiṃ karitvā akusalaṃ pajahati, kusalaṃ bhāveti, sāvajjaṃ pajahati, anavajjaṃ bhāveti, suddhaṃ attānaṃ pariharati. Idaṃ vuccati, bhikkhave, dhammādhipateyyaṃ. Imāni kho, bhikkhave, tīṇi ādhipateyyānī’’ti.
‘‘นตฺถิ โลเก รโห นาม, ปาปกมฺมํ ปกุพฺพโต;
‘‘Natthi loke raho nāma, pāpakammaṃ pakubbato;
อตฺตา เต ปุริส ชานาติ, สจฺจํ วา ยทิ วา มุสาฯ
Attā te purisa jānāti, saccaṃ vā yadi vā musā.
‘‘กลฺยาณํ วต โภ สกฺขิ, อตฺตานํ อติมญฺญสิ;
‘‘Kalyāṇaṃ vata bho sakkhi, attānaṃ atimaññasi;
โย สนฺตํ อตฺตนิ ปาปํ, อตฺตานํ ปริคูหสิฯ
Yo santaṃ attani pāpaṃ, attānaṃ parigūhasi.
‘‘ปสฺสนฺติ เทวา จ ตถาคตา จ,
‘‘Passanti devā ca tathāgatā ca,
โลกสฺมิํ พาลํ วิสมํ จรนฺตํ;
Lokasmiṃ bālaṃ visamaṃ carantaṃ;
โลกาธิโป จ นิปโก จ ฌายีฯ
Lokādhipo ca nipako ca jhāyī.
‘‘ธมฺมาธิโป จ อนุธมฺมจารี,
‘‘Dhammādhipo ca anudhammacārī,
น หียติ สจฺจปรกฺกโม มุนิ;
Na hīyati saccaparakkamo muni;
ปสยฺห มารํ อภิภุยฺย อนฺตกํ,
Pasayha māraṃ abhibhuyya antakaṃ,
โย จ ผุสี ชาติกฺขยํ ปธานวา;
Yo ca phusī jātikkhayaṃ padhānavā;
โส ตาทิโส โลกวิทู สุเมโธ,
So tādiso lokavidū sumedho,
สเพฺพสุ ธเมฺมสุ อตมฺมโย มุนี’’ติฯ ทสมํ;
Sabbesu dhammesu atammayo munī’’ti. dasamaṃ;
เทวทูตวโคฺค จตุโตฺถฯ
Devadūtavaggo catuttho.
ตสฺสุทฺทานํ –
Tassuddānaṃ –
พฺรหฺม อานนฺท สาริปุโตฺต, นิทานํ หตฺถเกน จ;
Brahma ānanda sāriputto, nidānaṃ hatthakena ca;
ทูตา ทุเว จ ราชาโน, สุขุมาลาธิปเตเยฺยน จาติฯ
Dūtā duve ca rājāno, sukhumālādhipateyyena cāti.
Footnotes:
Related texts:
อฎฺฐกถา • Aṭṭhakathā / สุตฺตปิฎก (อฎฺฐกถา) • Suttapiṭaka (aṭṭhakathā) / องฺคุตฺตรนิกาย (อฎฺฐกถา) • Aṅguttaranikāya (aṭṭhakathā) / ๑๐. อาธิปเตยฺยสุตฺตวณฺณนา • 10. Ādhipateyyasuttavaṇṇanā
ฎีกา • Tīkā / สุตฺตปิฎก (ฎีกา) • Suttapiṭaka (ṭīkā) / องฺคุตฺตรนิกาย (ฎีกา) • Aṅguttaranikāya (ṭīkā) / ๑๐. อาธิปเตยฺยสุตฺตวณฺณนา • 10. Ādhipateyyasuttavaṇṇanā