Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / วินยสงฺคห-อฎฺฐกถา • Vinayasaṅgaha-aṭṭhakathā |
๘. อธิฎฺฐานวิกปฺปนวินิจฺฉยกถา
8. Adhiṭṭhānavikappanavinicchayakathā
๔๔. อธิฎฺฐานวิกปฺปเนสุ ปน – อนุชานามิ, ภิกฺขเว, ติจีวรํ อธิฎฺฐาตุํ น วิกเปฺปตุํ, วสฺสิกสาฎิกํ วสฺสานํ จาตุมาสํ อธิฎฺฐาตุํ ตโต ปรํ วิกเปฺปตุํ, นิสีทนํ อธิฎฺฐาตุํ น วิกเปฺปตุํ, ปจฺจตฺถรณํ อธิฎฺฐาตุํ น วิกเปฺปตุํ, กณฺฑุปฺปฎิจฺฉาทิํ ยาว อาพาธา อธิฎฺฐาตุํ ตโต ปรํ วิกเปฺปตุํ, มุขปุญฺฉนโจฬํ อธิฎฺฐาตุํ น วิกเปฺปตุํ, ปริกฺขารโจฬํ อธิฎฺฐาตุํ น วิกเปฺปตุ’’นฺติ (มหาว. ๓๕๘) วจนโต ติจีวราทินิยาเมเนว อธิฎฺฐหิตฺวา ปริภุญฺชิตุกอาเมน ‘‘อิมํ สงฺฆาฎิํ อธิฎฺฐามี’’ติอาทินา นามํ วตฺวา อธิฎฺฐาตพฺพํฯ วิกเปฺปเนฺตน ปน นามํ อคฺคเหตฺวาว ‘‘อิมํ จีวรํ ตุยฺหํ วิกเปฺปมี’’ติ วตฺวา วิกเปฺปตพฺพํฯ ตตฺถ (ปารา. อฎฺฐ. ๒.๔๖๙) ติจีวรํ อธิฎฺฐหเนฺตน รชิตฺวา กปฺปพินฺทุํ ทตฺวา ปมาณยุตฺตเมว อธิฎฺฐาตพฺพํฯ อสฺส ปมาณํ อุกฺกฎฺฐปริเจฺฉเทน สุคตจีวรโต อูนกํ วฎฺฎติ, ลามกปริเจฺฉเทน สงฺฆาฎิยา อุตฺตราสงฺคสฺส จ ทีฆโต มุฎฺฐิปญฺจกํ, ติริยํ มุฎฺฐิตฺติกํ ปมาณํ วฎฺฎติฯ อนฺตรวาสโก ทีฆโส มุฎฺฐิปญฺจโก, ติริยํ ทฺวิหโตฺถปิ วฎฺฎติฯ ปารุปเนนปิ หิ สกฺกา นาภิํ ปฎิจฺฉาเทตุนฺติฯ วุตฺตปฺปมาณโต ปน อติเรกญฺจ อูนกญฺจ ‘‘ปริกฺขารโจฬก’’นฺติ อธิฎฺฐาตพฺพํฯ
44.Adhiṭṭhānavikappanesu pana – anujānāmi, bhikkhave, ticīvaraṃ adhiṭṭhātuṃ na vikappetuṃ, vassikasāṭikaṃ vassānaṃ cātumāsaṃ adhiṭṭhātuṃ tato paraṃ vikappetuṃ, nisīdanaṃ adhiṭṭhātuṃ na vikappetuṃ, paccattharaṇaṃ adhiṭṭhātuṃ na vikappetuṃ, kaṇḍuppaṭicchādiṃ yāva ābādhā adhiṭṭhātuṃ tato paraṃ vikappetuṃ, mukhapuñchanacoḷaṃ adhiṭṭhātuṃ na vikappetuṃ, parikkhāracoḷaṃ adhiṭṭhātuṃ na vikappetu’’nti (mahāva. 358) vacanato ticīvarādiniyāmeneva adhiṭṭhahitvā paribhuñjitukaāmena ‘‘imaṃ saṅghāṭiṃ adhiṭṭhāmī’’tiādinā nāmaṃ vatvā adhiṭṭhātabbaṃ. Vikappentena pana nāmaṃ aggahetvāva ‘‘imaṃ cīvaraṃ tuyhaṃ vikappemī’’ti vatvā vikappetabbaṃ. Tattha (pārā. aṭṭha. 2.469) ticīvaraṃ adhiṭṭhahantena rajitvā kappabinduṃ datvā pamāṇayuttameva adhiṭṭhātabbaṃ. Assa pamāṇaṃ ukkaṭṭhaparicchedena sugatacīvarato ūnakaṃ vaṭṭati, lāmakaparicchedena saṅghāṭiyā uttarāsaṅgassa ca dīghato muṭṭhipañcakaṃ, tiriyaṃ muṭṭhittikaṃ pamāṇaṃ vaṭṭati. Antaravāsako dīghaso muṭṭhipañcako, tiriyaṃ dvihatthopi vaṭṭati. Pārupanenapi hi sakkā nābhiṃ paṭicchādetunti. Vuttappamāṇato pana atirekañca ūnakañca ‘‘parikkhāracoḷaka’’nti adhiṭṭhātabbaṃ.
ตตฺถ ยสฺมา ‘‘เทฺว จีวรสฺส อธิฎฺฐานา กาเยน วา อธิเฎฺฐติ, วาจาย วา อธิเฎฺฐตี’’ติ (ปริ. ๓๒๒) วุตฺตํ, ตสฺมา ปุราณสงฺฆาฎิํ ‘‘อิมํ สงฺฆาฎิํ ปจฺจุทฺธรามี’’ติ ปจฺจุทฺธริตฺวา นวํ สงฺฆาฎิํ หเตฺถน คเหตฺวา ‘‘อิมํ สงฺฆาฎิํ อธิฎฺฐามี’’ติ จิเตฺตน อาโภคํ กตฺวา กายวิการํ กโรเนฺตน กาเยน อธิฎฺฐาตพฺพาฯ อิทํ กาเยน อธิฎฺฐานํ, ตํ เยน เกนจิ สรีราวยเวน อผุสนฺตสฺส น วฎฺฎติฯ วาจาย อธิฎฺฐาเน ปน วจีเภทํ กตฺวา วาจาย อธิฎฺฐาตพฺพาฯ ตตฺร ทุวิธํ อธิฎฺฐานํ – สเจ หตฺถปาเส โหติ, ‘‘อิมํ สงฺฆาฎิํ อธิฎฺฐามี’’ติ วาจา ภินฺทิตพฺพาฯ อถ อโนฺตคเพฺภ วา อุปริปาสาเท วา สามนฺตวิหาเร วา โหติ, ฐปิตฎฺฐานํ สลฺลเกฺขตฺวา ‘‘เอตํ สงฺฆาฎิํ อธิฎฺฐามี’’ติ วาจา ภินฺทิตพฺพาฯ เอส นโย อุตฺตราสเงฺค อนฺตรวาสเก จฯ นามมตฺตเมว หิ วิเสโส, ตสฺมา สพฺพานิ สงฺฆาฎิํ อุตฺตราสงฺคํ อนฺตรวาสกนฺติ เอวํ อตฺตโน นาเมเนว อธิฎฺฐาตพฺพานิฯ สเจ อธิฎฺฐหิตฺวา ฐปิตวเตฺถหิ สงฺฆาฎิอาทีนิ กโรติ, นิฎฺฐิเต รชเน จ กเปฺป จ ‘‘อิมํ ปจฺจุทฺธรามี’’ติ ปจฺจุทฺธริตฺวา ปุน อธิฎฺฐาตพฺพานิฯ อธิฎฺฐิเตน ปน สทฺธิํ มหนฺตตรเมว ทุติยปฎฺฎํ วา ขณฺฑํ วา สิพฺพเนฺตน ปุน อธิฎฺฐาตพฺพํฯ สเม วา ขุทฺทเก วา อธิฎฺฐานกิจฺจํ นตฺถิฯ
Tattha yasmā ‘‘dve cīvarassa adhiṭṭhānā kāyena vā adhiṭṭheti, vācāya vā adhiṭṭhetī’’ti (pari. 322) vuttaṃ, tasmā purāṇasaṅghāṭiṃ ‘‘imaṃ saṅghāṭiṃ paccuddharāmī’’ti paccuddharitvā navaṃ saṅghāṭiṃ hatthena gahetvā ‘‘imaṃ saṅghāṭiṃ adhiṭṭhāmī’’ti cittena ābhogaṃ katvā kāyavikāraṃ karontena kāyena adhiṭṭhātabbā. Idaṃ kāyena adhiṭṭhānaṃ, taṃ yena kenaci sarīrāvayavena aphusantassa na vaṭṭati. Vācāya adhiṭṭhāne pana vacībhedaṃ katvā vācāya adhiṭṭhātabbā. Tatra duvidhaṃ adhiṭṭhānaṃ – sace hatthapāse hoti, ‘‘imaṃ saṅghāṭiṃ adhiṭṭhāmī’’ti vācā bhinditabbā. Atha antogabbhe vā uparipāsāde vā sāmantavihāre vā hoti, ṭhapitaṭṭhānaṃ sallakkhetvā ‘‘etaṃ saṅghāṭiṃ adhiṭṭhāmī’’ti vācā bhinditabbā. Esa nayo uttarāsaṅge antaravāsake ca. Nāmamattameva hi viseso, tasmā sabbāni saṅghāṭiṃ uttarāsaṅgaṃ antaravāsakanti evaṃ attano nāmeneva adhiṭṭhātabbāni. Sace adhiṭṭhahitvā ṭhapitavatthehi saṅghāṭiādīni karoti, niṭṭhite rajane ca kappe ca ‘‘imaṃ paccuddharāmī’’ti paccuddharitvā puna adhiṭṭhātabbāni. Adhiṭṭhitena pana saddhiṃ mahantatarameva dutiyapaṭṭaṃ vā khaṇḍaṃ vā sibbantena puna adhiṭṭhātabbaṃ. Same vā khuddake vā adhiṭṭhānakiccaṃ natthi.
ติจีวรํ ปน ปริกฺขารโจฬํ อธิฎฺฐาตุํ วฎฺฎติ, น วฎฺฎตีติ? มหาปทุมเตฺถโร กิราห ‘‘ติจีวรํ ติจีวรเมว อธิฎฺฐาตพฺพํ, สเจ ปริกฺขารโจฬาธิฎฺฐานํ ลเภยฺย, อุโทสิตสิกฺขาปเท ปริหาโร นิรตฺถโก ภเวยฺยา’’ติฯ เอวํ วุเตฺต กิร อวเสสา ภิกฺขู อาหํสุ ‘‘ปริกฺขารโจฬมฺปิ ภควตาว ‘อธิฎฺฐาตพฺพ’นฺติ วุตฺตํ, ตสฺมา วฎฺฎตี’’ติฯ มหาปจฺจริยมฺปิ วุตฺตํ ‘‘ปริกฺขารโจฬํ นาม ปาเฎกฺกํ นิธานมุขเมตํฯ ติจีวรํ ‘ปริกฺขารโจฬ’นฺติ อธิฎฺฐหิตฺวา ปริภุญฺชิตุํ วฎฺฎติ, อุโทสิตสิกฺขาปเท (ปารา. ๔๗๑ อาทโย) ปน ติจีวรํ อธิฎฺฐหิตฺวา ปริหรนฺตสฺส ปริหาโร วุโตฺต’’ติฯ อุภโตวิภงฺคภาณโก ปุณฺณวาลิกวาสี มหาติสฺสเตฺถโรปิ กิราห ‘‘มยํ ปุเพฺพ มหาเถรานํ อสฺสุมฺหา ‘อรญฺญวาสิโน ภิกฺขู รุกฺขสุสิราทีสุ จีวรํ ฐเปตฺวา ปธานํ ปทหนตฺถาย คจฺฉนฺติ, สามนฺตวิหาเร ธมฺมสฺสวนตฺถาย คตานญฺจ เตสํ สูริเย อุฎฺฐิเต สามเณรา วา ทหรภิกฺขู วา ปตฺตจีวรํ คเหตฺวา คจฺฉนฺติ, ตสฺมา สุขปริโภคตฺถํ ติจีวรํ ปริกฺขารโจฬํ อธิฎฺฐาตุํ วฎฺฎตี’’’ติฯ มหาปจฺจริยมฺปิ วุตฺตํ ‘‘ปุเพฺพ อารญฺญิกา ภิกฺขู อพทฺธสีมาย ทุปฺปริหารนฺติ ติจีวรํ ปริกฺขารโจฬเมว อธิฎฺฐหิตฺวา ปริภุญฺชิํสู’’ติฯ
Ticīvaraṃ pana parikkhāracoḷaṃ adhiṭṭhātuṃ vaṭṭati, na vaṭṭatīti? Mahāpadumatthero kirāha ‘‘ticīvaraṃ ticīvarameva adhiṭṭhātabbaṃ, sace parikkhāracoḷādhiṭṭhānaṃ labheyya, udositasikkhāpade parihāro niratthako bhaveyyā’’ti. Evaṃ vutte kira avasesā bhikkhū āhaṃsu ‘‘parikkhāracoḷampi bhagavatāva ‘adhiṭṭhātabba’nti vuttaṃ, tasmā vaṭṭatī’’ti. Mahāpaccariyampi vuttaṃ ‘‘parikkhāracoḷaṃ nāma pāṭekkaṃ nidhānamukhametaṃ. Ticīvaraṃ ‘parikkhāracoḷa’nti adhiṭṭhahitvā paribhuñjituṃ vaṭṭati, udositasikkhāpade (pārā. 471 ādayo) pana ticīvaraṃ adhiṭṭhahitvā pariharantassa parihāro vutto’’ti. Ubhatovibhaṅgabhāṇako puṇṇavālikavāsī mahātissattheropi kirāha ‘‘mayaṃ pubbe mahātherānaṃ assumhā ‘araññavāsino bhikkhū rukkhasusirādīsu cīvaraṃ ṭhapetvā padhānaṃ padahanatthāya gacchanti, sāmantavihāre dhammassavanatthāya gatānañca tesaṃ sūriye uṭṭhite sāmaṇerā vā daharabhikkhū vā pattacīvaraṃ gahetvā gacchanti, tasmā sukhaparibhogatthaṃ ticīvaraṃ parikkhāracoḷaṃ adhiṭṭhātuṃ vaṭṭatī’’’ti. Mahāpaccariyampi vuttaṃ ‘‘pubbe āraññikā bhikkhū abaddhasīmāya dupparihāranti ticīvaraṃ parikkhāracoḷameva adhiṭṭhahitvā paribhuñjiṃsū’’ti.
๔๕. วสฺสิกสาฎิกา อนติริตฺตปฺปมาณา นามํ คเหตฺวา วุตฺตนเยเนว จตฺตาโร วสฺสิเก มาเส อธิฎฺฐาตพฺพา, ตโต ปรํ ปจฺจุทฺธริตฺวา วิกเปฺปตพฺพาฯ วณฺณเภทมตฺตรตฺตาปิ เจสา วฎฺฎติ, เทฺว ปน น วฎฺฎนฺติฯ นิสีทนํ วุตฺตนเยน อธิฎฺฐาตพฺพเมว, ตญฺจ โข ปมาณยุตฺตํ เอกเมว, เทฺว น วฎฺฎนฺติฯ ปจฺจตฺถรณมฺปิ อธิฎฺฐาตพฺพเมว, ตํ ปน มหนฺตมฺปิ วฎฺฎติ, เอกมฺปิ วฎฺฎติ, พหูนิปิ วฎฺฎนฺติ, นีลมฺปิ ปีตกมฺปิ สทสมฺปิ ปุปฺผทสมฺปีติ สพฺพปฺปการํ วฎฺฎติฯ กณฺฑุปฺปฎิจฺฉาทิ ยาว อาพาโธ อตฺถิ, ตาว ปมาณิกา อธิฎฺฐาตพฺพาฯ อาพาเธ วูปสเนฺต ปจฺจุทฺธริตฺวา วิกเปฺปตพฺพา, เอกาว วฎฺฎติฯ มุขปุญฺฉนโจฬํ อธิฎฺฐาตพฺพเมว, ยาว เอกํ โธวียติ, ตาว อญฺญํ ปริโภคตฺถาย อิจฺฉิตพฺพนฺติ เทฺวปิ วฎฺฎนฺติฯ อปเร ปน เถรา ‘‘นิธานมุขเมตํ, พหูนิปิ วฎฺฎนฺตี’’ติ วทนฺติฯ ปริกฺขารโจเฬ คณนา นตฺถิ, ยตฺตกํ อิจฺฉติ, ตตฺตกํ อธิฎฺฐาตพฺพเมวฯ ถวิกาปิ ปริสฺสาวนมฺปิ วิกปฺปนูปคปจฺฉิมจีวรปฺปมาณํ ‘‘ปริกฺขารโจฬ’’นฺติ อธิฎฺฐาตพฺพเมวฯ ตสฺส ปมาณํ ทีฆโต เทฺว วิทตฺถิโย ติริยํ วิทตฺถิ, ตํ ปน ทีฆโต วฑฺฒกีหตฺถปฺปมาณํ, วิตฺถารโต ตโต อุปฑฺฒปฺปมาณํ โหติฯ ตตฺรายํ ปาฬิ ‘‘อนุชานามิ, ภิกฺขเว, อายาเมน อฎฺฐงฺคุลํ สุคตงฺคุเลน จตุรงฺคุลวิตฺถตํ ปจฺฉิมํ จีวรํ วิกเปฺปตุ’’นฺติ (มหาว. ๓๕๘)ฯ พหูนิปิ เอกโต กตฺวา ‘‘อิมานิ จีวรานิ ปริกฺขารโจฬานิ อธิฎฺฐามี’’ติ อธิฎฺฐาตุมฺปิ วฎฺฎติเยวฯ เภสชฺชนวกมฺมมาตาปิตุอาทีนํ อตฺถาย ฐเปเนฺตน อนธิฎฺฐิเตปิ นตฺถิ อาปตฺติฯ มญฺจภิสิ ปีฐภิสิ พิโมฺพหนํ ปาวาโร โกชโวติ เอเตสุ ปน เสนาสนปริกฺขารตฺถาย ทินฺนปจฺจตฺถรเณ จ อธิฎฺฐานกิจฺจํ นตฺถิเยวฯ
45.Vassikasāṭikā anatirittappamāṇā nāmaṃ gahetvā vuttanayeneva cattāro vassike māse adhiṭṭhātabbā, tato paraṃ paccuddharitvā vikappetabbā. Vaṇṇabhedamattarattāpi cesā vaṭṭati, dve pana na vaṭṭanti. Nisīdanaṃ vuttanayena adhiṭṭhātabbameva, tañca kho pamāṇayuttaṃ ekameva, dve na vaṭṭanti. Paccattharaṇampi adhiṭṭhātabbameva, taṃ pana mahantampi vaṭṭati, ekampi vaṭṭati, bahūnipi vaṭṭanti, nīlampi pītakampi sadasampi pupphadasampīti sabbappakāraṃ vaṭṭati. Kaṇḍuppaṭicchādi yāva ābādho atthi, tāva pamāṇikā adhiṭṭhātabbā. Ābādhe vūpasante paccuddharitvā vikappetabbā, ekāva vaṭṭati. Mukhapuñchanacoḷaṃ adhiṭṭhātabbameva, yāva ekaṃ dhovīyati, tāva aññaṃ paribhogatthāya icchitabbanti dvepi vaṭṭanti. Apare pana therā ‘‘nidhānamukhametaṃ, bahūnipi vaṭṭantī’’ti vadanti. Parikkhāracoḷe gaṇanā natthi, yattakaṃ icchati, tattakaṃ adhiṭṭhātabbameva. Thavikāpi parissāvanampi vikappanūpagapacchimacīvarappamāṇaṃ ‘‘parikkhāracoḷa’’nti adhiṭṭhātabbameva. Tassa pamāṇaṃ dīghato dve vidatthiyo tiriyaṃ vidatthi, taṃ pana dīghato vaḍḍhakīhatthappamāṇaṃ, vitthārato tato upaḍḍhappamāṇaṃ hoti. Tatrāyaṃ pāḷi ‘‘anujānāmi, bhikkhave, āyāmena aṭṭhaṅgulaṃ sugataṅgulena caturaṅgulavitthataṃ pacchimaṃ cīvaraṃ vikappetu’’nti (mahāva. 358). Bahūnipi ekato katvā ‘‘imāni cīvarāni parikkhāracoḷāni adhiṭṭhāmī’’ti adhiṭṭhātumpi vaṭṭatiyeva. Bhesajjanavakammamātāpituādīnaṃ atthāya ṭhapentena anadhiṭṭhitepi natthi āpatti. Mañcabhisi pīṭhabhisi bimbohanaṃ pāvāro kojavoti etesu pana senāsanaparikkhāratthāya dinnapaccattharaṇe ca adhiṭṭhānakiccaṃ natthiyeva.
สเจ ปน (ปารา. อฎฺฐ. ๒.๖๓๖-๓๘) ญาตกปวาริตฎฺฐานโต สุตฺตํ ลภิตฺวา ญาตกปวาริเตเนว ตนฺตวาเยน อเญฺญน วา มูลํ ทตฺวา จีวรํ วายาเปติ, วายาปนปจฺจยา อนาปตฺติฯ ทสาหาติกฺกมนปจฺจยา ปน อาปตฺติํ รกฺขเนฺตน วิกปฺปนุปคปฺปมาณมเตฺต วีเต ตเนฺต ฐิตํเยว อธิฎฺฐาตพฺพํฯ ทสาหาติกฺกเมน นิฎฺฐาปิยมานญฺหิ นิสฺสคฺคิยํ ภเวยฺยาติฯ ญาตกาทีหิ ตนฺตํ อาโรปาเปตฺวา ‘‘ตุมฺหากํ, ภเนฺต, อิทํ จีวรํ คเณฺหยฺยาถา’’ติ นิยฺยาติเตปิ เอเสว นโยฯ
Sace pana (pārā. aṭṭha. 2.636-38) ñātakapavāritaṭṭhānato suttaṃ labhitvā ñātakapavāriteneva tantavāyena aññena vā mūlaṃ datvā cīvaraṃ vāyāpeti, vāyāpanapaccayā anāpatti. Dasāhātikkamanapaccayā pana āpattiṃ rakkhantena vikappanupagappamāṇamatte vīte tante ṭhitaṃyeva adhiṭṭhātabbaṃ. Dasāhātikkamena niṭṭhāpiyamānañhi nissaggiyaṃ bhaveyyāti. Ñātakādīhi tantaṃ āropāpetvā ‘‘tumhākaṃ, bhante, idaṃ cīvaraṃ gaṇheyyāthā’’ti niyyātitepi eseva nayo.
สเจ ตนฺตวาโย เอวํ ปโยชิโต วา สยํ ทาตุกาโม วา หุตฺวา ‘‘อหํ, ภเนฺต, ตุมฺหากํ จีวรํ อสุกทิวเส นาม วายิตฺวา ฐเปสฺสามี’’ติ วทติ, ภิกฺขุ จ เตน ปริจฺฉินฺนทิวสโต ปฎฺฐาย ทสาหํ อติกฺกาเมติ, นิสฺสคฺคิยํ ปาจิตฺติยํฯ สเจ ปน ตนฺตวาโย ‘‘อหํ ตุมฺหากํ จีวรํ วายิตฺวา สาสนํ เปเสสฺสามี’’ติ วตฺวา ตเถว กโรติ, เตน เปสิตภิกฺขุ ปน ตสฺส ภิกฺขุโน น อาโรเจติ, อโญฺญ ทิสฺวา วา สุตฺวา วา ‘‘ตุมฺหากํ, ภเนฺต, จีวรํ นิฎฺฐิต’’นฺติ อาโรเจติ, เอตสฺส อาโรจนํ น ปมาณํฯ ยทา ปน เตน เปสิโตเยว อาโรเจติ, ตสฺส วจนํ สุตทิวสโต ปฎฺฐาย ทสาหํ อติกฺกามยโต นิสฺสคฺคิยํ ปาจิตฺติยํฯ
Sace tantavāyo evaṃ payojito vā sayaṃ dātukāmo vā hutvā ‘‘ahaṃ, bhante, tumhākaṃ cīvaraṃ asukadivase nāma vāyitvā ṭhapessāmī’’ti vadati, bhikkhu ca tena paricchinnadivasato paṭṭhāya dasāhaṃ atikkāmeti, nissaggiyaṃ pācittiyaṃ. Sace pana tantavāyo ‘‘ahaṃ tumhākaṃ cīvaraṃ vāyitvā sāsanaṃ pesessāmī’’ti vatvā tatheva karoti, tena pesitabhikkhu pana tassa bhikkhuno na āroceti, añño disvā vā sutvā vā ‘‘tumhākaṃ, bhante, cīvaraṃ niṭṭhita’’nti āroceti, etassa ārocanaṃ na pamāṇaṃ. Yadā pana tena pesitoyeva āroceti, tassa vacanaṃ sutadivasato paṭṭhāya dasāhaṃ atikkāmayato nissaggiyaṃ pācittiyaṃ.
สเจ ตนฺตวาโย ‘‘อหํ ตุมฺหากํ จีวรํ วายิตฺวา กสฺสจิ หเตฺถ ปหิณิสฺสามี’’ติ วตฺวา ตเถว กโรติ, จีวรํ คเหตฺวา คตภิกฺขุ ปน อตฺตโน ปริเวเณ ฐเปตฺวา ตสฺส น อาโรเจติ, อโญฺญ โกจิ ภณติ ‘‘อปิ, ภเนฺต, อธุนา อาภตํ จีวรํ สุนฺทร’’นฺติฯ กุหิํ, อาวุโส, จีวรนฺติฯ อิตฺถนฺนามสฺส หเตฺถ เปสิตนฺติฯ เอตสฺสปิ วจนํ น ปมาณํฯ ยทา ปน โส ภิกฺขุ จีวรํ เทติ, ลทฺธทิวสโต ปฎฺฐาย ทสาหํ อติกฺกามยโต นิสฺสคฺคิยํ ปาจิตฺติยํฯ สเจ ปน วายาปนมูลํ อทินฺนํ โหติ, ยาว กากณิกมตฺตมฺปิ อวสิฎฺฐํ, ตาว รกฺขติฯ
Sace tantavāyo ‘‘ahaṃ tumhākaṃ cīvaraṃ vāyitvā kassaci hatthe pahiṇissāmī’’ti vatvā tatheva karoti, cīvaraṃ gahetvā gatabhikkhu pana attano pariveṇe ṭhapetvā tassa na āroceti, añño koci bhaṇati ‘‘api, bhante, adhunā ābhataṃ cīvaraṃ sundara’’nti. Kuhiṃ, āvuso, cīvaranti. Itthannāmassa hatthe pesitanti. Etassapi vacanaṃ na pamāṇaṃ. Yadā pana so bhikkhu cīvaraṃ deti, laddhadivasato paṭṭhāya dasāhaṃ atikkāmayato nissaggiyaṃ pācittiyaṃ. Sace pana vāyāpanamūlaṃ adinnaṃ hoti, yāva kākaṇikamattampi avasiṭṭhaṃ, tāva rakkhati.
๔๖. อธิฎฺฐิตจีวรํ (ปารา. อฎฺฐ. ๒.๔๖๙) ปน ปริภุญฺชโต กถํ อธิฎฺฐานํ วิชหตีติ ? อญฺญสฺส ทาเนน อจฺฉินฺทิตฺวา คหเณน วิสฺสาสคฺคาเหน หีนายาวตฺตเนน สิกฺขาปจฺจกฺขาเนน กาลกิริยาย ลิงฺคปริวตฺตเนน ปจฺจุทฺธรเณน ฉิทฺทภาเวนาติ อิเมหิ นวหิ การเณหิ วิชหติฯ ตตฺถ ปุริเมหิ อฎฺฐหิ สพฺพจีวรานิ อธิฎฺฐานํ วิชหนฺติ, ฉิทฺทภาเวน ปน ติจีวรเสฺสว สพฺพฎฺฐกถาสุ อธิฎฺฐานวิชหนํ วุตฺตํ, ตญฺจ นขปิฎฺฐิปฺปมาเณน ฉิเทฺทนฯ ตตฺถ นขปิฎฺฐิปฺปมาณํ กนิฎฺฐงฺคุลินขวเสน เวทิตพฺพํ, ฉิทฺทญฺจ วินิวิทฺธฉิทฺทเมวฯ ฉิทฺทสฺส หิ อพฺภนฺตเร เอกตนฺตุ เจปิ อจฺฉิโนฺน โหติ, รกฺขติฯ ตตฺถ สงฺฆาฎิยา จ อุตฺตราสงฺคสฺส จ ทีฆนฺตโต วิทตฺถิปฺปมาณสฺส, ติริยนฺตโต อฎฺฐงฺคุลปฺปมาณสฺส ปเทสสฺส โอรโต ฉิทฺทํ อธิฎฺฐานํ ภินฺทติ, อนฺตรวาสกสฺส ปน ทีฆนฺตโต วิทตฺถิปฺปมาณเสฺสว, ติริยนฺตโต จตุรงฺคุลปฺปมาณสฺส ปเทสสฺส โอรโต ฉิทฺทํ อธิฎฺฐานํ ภินฺทติ, ปรโต น ภินฺทติ, ตสฺมา ชาเต ฉิเทฺท ติจีวรํ อติเรกจีวรฎฺฐาเน ติฎฺฐติ, สูจิกมฺมํ กตฺวา ปุน อธิฎฺฐาตพฺพํฯ โย ปน ทุพฺพลฎฺฐาเน ปฐมํ อคฺคฬํ ทตฺวา ปจฺฉา ทุพฺพลฎฺฐานํ ฉินฺทิตฺวา อปเนติ, อธิฎฺฐานํ น ภิชฺชติฯ มณฺฑลปริวตฺตเนปิ เอเสว นโยฯ ทุปฎฺฎสฺส เอกสฺมิํ ปฎเล ฉิเทฺท วา ชาเต คฬิเต วา อธิฎฺฐานํ น ภิชฺชติ, ขุทฺทกํ จีวรํ มหนฺตํ กโรติ, มหนฺตํ วา ขุทฺทกํ กโรติ, อธิฎฺฐานํ น ภิชฺชติฯ อุโภ โกฎิโย มเชฺฌ กโรโนฺต สเจ ปฐมํ ฉินฺทิตฺวา ปจฺฉา ฆเฎติ, อธิฎฺฐานํ ภิชฺชติฯ อถ ฆเฎตฺวา ฉินฺทติ, น ภิชฺชติฯ รชเกหิ โธวาเปตฺวา เสตํ การาเปนฺตสฺสปิ อธิฎฺฐานํ อธิฎฺฐานเมวาติฯ อยํ ตาว อธิฎฺฐาเน วินิจฺฉโยฯ
46. Adhiṭṭhitacīvaraṃ (pārā. aṭṭha. 2.469) pana paribhuñjato kathaṃ adhiṭṭhānaṃ vijahatīti ? Aññassa dānena acchinditvā gahaṇena vissāsaggāhena hīnāyāvattanena sikkhāpaccakkhānena kālakiriyāya liṅgaparivattanena paccuddharaṇena chiddabhāvenāti imehi navahi kāraṇehi vijahati. Tattha purimehi aṭṭhahi sabbacīvarāni adhiṭṭhānaṃ vijahanti, chiddabhāvena pana ticīvarasseva sabbaṭṭhakathāsu adhiṭṭhānavijahanaṃ vuttaṃ, tañca nakhapiṭṭhippamāṇena chiddena. Tattha nakhapiṭṭhippamāṇaṃ kaniṭṭhaṅgulinakhavasena veditabbaṃ, chiddañca vinividdhachiddameva. Chiddassa hi abbhantare ekatantu cepi acchinno hoti, rakkhati. Tattha saṅghāṭiyā ca uttarāsaṅgassa ca dīghantato vidatthippamāṇassa, tiriyantato aṭṭhaṅgulappamāṇassa padesassa orato chiddaṃ adhiṭṭhānaṃ bhindati, antaravāsakassa pana dīghantato vidatthippamāṇasseva, tiriyantato caturaṅgulappamāṇassa padesassa orato chiddaṃ adhiṭṭhānaṃ bhindati, parato na bhindati, tasmā jāte chidde ticīvaraṃ atirekacīvaraṭṭhāne tiṭṭhati, sūcikammaṃ katvā puna adhiṭṭhātabbaṃ. Yo pana dubbalaṭṭhāne paṭhamaṃ aggaḷaṃ datvā pacchā dubbalaṭṭhānaṃ chinditvā apaneti, adhiṭṭhānaṃ na bhijjati. Maṇḍalaparivattanepi eseva nayo. Dupaṭṭassa ekasmiṃ paṭale chidde vā jāte gaḷite vā adhiṭṭhānaṃ na bhijjati, khuddakaṃ cīvaraṃ mahantaṃ karoti, mahantaṃ vā khuddakaṃ karoti, adhiṭṭhānaṃ na bhijjati. Ubho koṭiyo majjhe karonto sace paṭhamaṃ chinditvā pacchā ghaṭeti, adhiṭṭhānaṃ bhijjati. Atha ghaṭetvā chindati, na bhijjati. Rajakehi dhovāpetvā setaṃ kārāpentassapi adhiṭṭhānaṃ adhiṭṭhānamevāti. Ayaṃ tāva adhiṭṭhāne vinicchayo.
๔๗. วิกปฺปเน ปน เทฺว วิกปฺปนา สมฺมุขาวิกปฺปนา ปรมฺมุขาวิกปฺปนา จฯ กถํ สมฺมุขาวิกปฺปนา โหติ? จีวรานํ เอกพหุภาวํ สนฺนิหิตาสนฺนิหิตภาวญฺจ ญตฺวา ‘‘อิมํ จีวร’’นฺติ วา ‘‘อิมานิ จีวรานี’’ติ วา ‘‘เอตํ จีวร’’นฺติ วา ‘‘เอตานิ จีวรานี’’ติ วา วตฺวา ‘‘ตุยฺหํ วิกเปฺปมี’’ติ วตฺตพฺพํ, อยเมกา สมฺมุขาวิกปฺปนาฯ เอตฺตาวตา นิเธตุํ วฎฺฎติ, ปริภุญฺชิตุํ ปน วิสฺสเชฺชตุํ วา อธิฎฺฐาตุํ วา น วฎฺฎติฯ ‘‘มยฺหํ สนฺตกํ, มยฺหํ สนฺตกานิ ปริภุญฺช วา วิสฺสเชฺชหิ วา ยถาปจฺจยํ วา กโรหี’’ติ เอวํ ปน วุเตฺต ปจฺจุทฺธาโร นาม โหติ, ตโต ปภุติ ปริโภคาทโยปิ วฎฺฎนฺติฯ
47.Vikappane pana dve vikappanā sammukhāvikappanā parammukhāvikappanā ca. Kathaṃ sammukhāvikappanā hoti? Cīvarānaṃ ekabahubhāvaṃ sannihitāsannihitabhāvañca ñatvā ‘‘imaṃ cīvara’’nti vā ‘‘imāni cīvarānī’’ti vā ‘‘etaṃ cīvara’’nti vā ‘‘etāni cīvarānī’’ti vā vatvā ‘‘tuyhaṃ vikappemī’’ti vattabbaṃ, ayamekā sammukhāvikappanā. Ettāvatā nidhetuṃ vaṭṭati, paribhuñjituṃ pana vissajjetuṃ vā adhiṭṭhātuṃ vā na vaṭṭati. ‘‘Mayhaṃ santakaṃ, mayhaṃ santakāni paribhuñja vā vissajjehi vā yathāpaccayaṃ vā karohī’’ti evaṃ pana vutte paccuddhāro nāma hoti, tato pabhuti paribhogādayopi vaṭṭanti.
อปโร นโย – ตเถว จีวรานํ เอกพหุภาวํ สนฺนิหิตาสนฺนิหิตภาวญฺจ ญตฺวา ตเสฺสว ภิกฺขุโน สนฺติเก ‘‘อิมํ จีวร’’นฺติ วา ‘‘อิมานิ จีวรานี’’ติ วา ‘‘เอตํ จีวร’’นฺติ วา ‘‘เอตานิ จีวรานี’’ติ วา วตฺวา ปญฺจสุ สหธมฺมิเกสุ อญฺญตรสฺส อตฺตนา อภิรุจิตสฺส ยสฺส กสฺสจิ นามํ คเหตฺวา ‘‘ติสฺสสฺส ภิกฺขุโน วิกเปฺปมี’’ติ วา ‘‘ติสฺสาย ภิกฺขุนิยา, ติสฺสาย สิกฺขมานาย, ติสฺสสฺส สามเณรสฺส, ติสฺสาย สามเณริยา วิกเปฺปมี’’ติ วา วตฺตพฺพํ, อยํ อปราปิ สมฺมุขาวิกปฺปนาฯ เอตฺตาวตา นิเธตุํ วฎฺฎติ, ปริโภคาทีสุ ปน เอกมฺปิ น วฎฺฎติฯ เตน ปน ภิกฺขุนา ‘‘ติสฺสสฺส ภิกฺขุโน สนฺตกํ…เป.… ติสฺสาย สามเณริยา สนฺตกํ ปริภุญฺช วา วิสฺสเชฺชหิ วา ยถาปจฺจยํ วา กโรหี’’ติ วุเตฺต ปจฺจุทฺธาโร นาม โหติ, ตโต ปภุติ ปริโภคาทโยปิ วฎฺฎนฺติฯ
Aparo nayo – tatheva cīvarānaṃ ekabahubhāvaṃ sannihitāsannihitabhāvañca ñatvā tasseva bhikkhuno santike ‘‘imaṃ cīvara’’nti vā ‘‘imāni cīvarānī’’ti vā ‘‘etaṃ cīvara’’nti vā ‘‘etāni cīvarānī’’ti vā vatvā pañcasu sahadhammikesu aññatarassa attanā abhirucitassa yassa kassaci nāmaṃ gahetvā ‘‘tissassa bhikkhuno vikappemī’’ti vā ‘‘tissāya bhikkhuniyā, tissāya sikkhamānāya, tissassa sāmaṇerassa, tissāya sāmaṇeriyā vikappemī’’ti vā vattabbaṃ, ayaṃ aparāpi sammukhāvikappanā. Ettāvatā nidhetuṃ vaṭṭati, paribhogādīsu pana ekampi na vaṭṭati. Tena pana bhikkhunā ‘‘tissassa bhikkhuno santakaṃ…pe… tissāya sāmaṇeriyā santakaṃ paribhuñja vā vissajjehi vā yathāpaccayaṃ vā karohī’’ti vutte paccuddhāro nāma hoti, tato pabhuti paribhogādayopi vaṭṭanti.
กถํ ปรมฺมุขาวิกปฺปนา โหติ? จีวรานํ ตเถว เอกพหุภาวํ สนฺนิหิตาสนฺนิหิตภาวญฺจ ญตฺวา ‘‘อิมํ จีวร’’นฺติ วา ‘‘อิมานิ จีวรานี’’ติ วา ‘‘เอตํ จีวร’’นฺติ วา ‘‘เอตานิ จีวรานี’’ติ วา วตฺวา ‘‘ตุยฺหํ วิกปฺปนตฺถาย ทมฺมี’’ติ วตฺตพฺพํฯ เตน วตฺตโพฺพ ‘‘โก เต มิโตฺต วา สนฺทิโฎฺฐ วา’’ติฯ ตโต อิตเรน ปุริมนเยเนว ‘‘ติโสฺส ภิกฺขู’’ติ วา…เป.… ‘‘ติสฺสา สามเณรี’’ติ วา วตฺตพฺพํฯ ปุน เตน ภิกฺขุนา ‘‘อหํ ติสฺสสฺส ภิกฺขุโน ทมฺมี’’ติ วา…เป.… ‘‘ติสฺสาย สามเณริยา ทมฺมี’’ติ วา วตฺตพฺพํ, อยํ ปรมฺมุขาวิกปฺปนาฯ เอตฺตาวตา นิเธตุํ วฎฺฎติ, ปริโภคาทีสุ ปน เอกมฺปิ น วฎฺฎติฯ เตน ปน ภิกฺขุนา ทุติยสมฺมุขาวิกปฺปนายํ วุตฺตนเยเนว ‘‘อิตฺถนฺนามสฺส สนฺตกํ ปริภุญฺช วา วิสฺสเชฺชหิ วา ยถาปจฺจยํ วา กโรหี’’ติ วุเตฺต ปจฺจุทฺธาโร นาม โหติ, ตโต ปภุติ ปริโภคาทโยปิ วฎฺฎนฺติฯ
Kathaṃ parammukhāvikappanā hoti? Cīvarānaṃ tatheva ekabahubhāvaṃ sannihitāsannihitabhāvañca ñatvā ‘‘imaṃ cīvara’’nti vā ‘‘imāni cīvarānī’’ti vā ‘‘etaṃ cīvara’’nti vā ‘‘etāni cīvarānī’’ti vā vatvā ‘‘tuyhaṃ vikappanatthāya dammī’’ti vattabbaṃ. Tena vattabbo ‘‘ko te mitto vā sandiṭṭho vā’’ti. Tato itarena purimanayeneva ‘‘tisso bhikkhū’’ti vā…pe… ‘‘tissā sāmaṇerī’’ti vā vattabbaṃ. Puna tena bhikkhunā ‘‘ahaṃ tissassa bhikkhuno dammī’’ti vā…pe… ‘‘tissāya sāmaṇeriyā dammī’’ti vā vattabbaṃ, ayaṃ parammukhāvikappanā. Ettāvatā nidhetuṃ vaṭṭati, paribhogādīsu pana ekampi na vaṭṭati. Tena pana bhikkhunā dutiyasammukhāvikappanāyaṃ vuttanayeneva ‘‘itthannāmassa santakaṃ paribhuñja vā vissajjehi vā yathāpaccayaṃ vā karohī’’ti vutte paccuddhāro nāma hoti, tato pabhuti paribhogādayopi vaṭṭanti.
ทฺวินฺนํ วิกปฺปนานํ กิํ นานากรณํ? สมฺมุขาวิกปฺปนายํ สยํ วิกเปฺปตฺวา ปเรน ปจฺจุทฺธราเปติ, ปรมฺมุขาวิกปฺปนายํ ปเรเนว วิกปฺปาเปตฺวา ปเรเนว ปจฺจุทฺธราเปติ, อิทเมตฺถ นานากรณํฯ สเจ ปน ยสฺส วิกเปฺปติ, โส ปญฺญตฺติโกวิโท น โหติ, น ชานาติ ปจฺจุทฺธริตุํ, ตํ จีวรํ คเหตฺวา อญฺญสฺส พฺยตฺตสฺส สนฺติกํ คนฺตฺวา ปุน วิกเปฺปตฺวา ปเรน ปจฺจุทฺธราเปตพฺพํฯ วิกปฺปิตวิกปฺปนา นาเมสา วฎฺฎติฯ เอวํ ตาว จีวเร อธิฎฺฐานวิกปฺปนานโย เวทิตโพฺพฯ
Dvinnaṃ vikappanānaṃ kiṃ nānākaraṇaṃ? Sammukhāvikappanāyaṃ sayaṃ vikappetvā parena paccuddharāpeti, parammukhāvikappanāyaṃ pareneva vikappāpetvā pareneva paccuddharāpeti, idamettha nānākaraṇaṃ. Sace pana yassa vikappeti, so paññattikovido na hoti, na jānāti paccuddharituṃ, taṃ cīvaraṃ gahetvā aññassa byattassa santikaṃ gantvā puna vikappetvā parena paccuddharāpetabbaṃ. Vikappitavikappanā nāmesā vaṭṭati. Evaṃ tāva cīvare adhiṭṭhānavikappanānayo veditabbo.
๔๘. ปเตฺต ปน อยํ นโย – ปตฺตํ อธิฎฺฐหเนฺตน อุกฺกฎฺฐมชฺฌิโมมกานํ อญฺญตโร ปมาณยุโตฺตว อธิฎฺฐาตโพฺพฯ ตสฺส ปมาณํ ‘‘อฑฺฒาฬฺหโกทนํ คณฺหาตี’’ติอาทินา (ปารา. ๖๐๒) นเยน ปาฬิยํ วุตฺตํฯ ตตฺรายํ วินิจฺฉโย (ปารา. อฎฺฐ. ๒.๖๐๒ อาทโย) – อนุปหตปุราณสาลิตณฺฑุลานํ สุโกฎฺฎิตปริสุทฺธานํ เทฺว มคธนาฬิโย คเหตฺวา เตหิ ตณฺฑุเลหิ อนุตฺตณฺฑุลมกิลินฺนมปิณฺฑิตํ สุวิสทํ กุนฺทมกุฬราสิสทิสํ อวสฺสาวิโตทนํ ปจิตฺวา นิรวเสสํ ปเตฺต ปกฺขิปิตฺวา ตสฺส โอทนสฺส จตุตฺถภาคปฺปมาโณ นาติฆโน นาติตนุโก หตฺถหาริโย สพฺพสมฺภารสงฺขโต มุคฺคสูโป ปกฺขิปิตโพฺพ, ตโต อาโลปสฺส อาโลปสฺส อนุรูปํ ยาวจริมาโลปปฺปโหนกํ มจฺฉมํสาทิพฺยญฺชนํ ปกฺขิปิตพฺพํ, สปฺปิเตลตกฺกรสกญฺชิกาทีนิ ปน คณนูปคานิ น โหนฺติฯ ตานิ หิ โอทนคติกานิ โหนฺติ, เนว หาเปตุํ, น วเฑฺฒตุํ สโกฺกนฺติฯ เอวเมตํ สพฺพมฺปิ ปกฺขิตฺตํ สเจ ปตฺตสฺส มุขวฎฺฎิยา เหฎฺฐิมราชิสมํ ติฎฺฐติ, สุเตฺตน วา หีเรน วา ฉินฺทนฺตสฺส สุตฺตสฺส วา หีรสฺส วา เหฎฺฐิมนฺตํ ผุสติ, อยํ อุกฺกโฎฺฐ นาม ปโตฺตฯ สเจ ตํ ราชิํ อติกฺกมฺม ถูปีกตํ ติฎฺฐติ, อยํ อุกฺกโฎฺฐมโก นาม ปโตฺตฯ สเจ ตํ ราชิํ น สมฺปาปุณาติ อโนฺตคธเมว โหติ, อยํ อุกฺกฎฺฐุกฺกโฎฺฐ นาม ปโตฺตฯ
48.Patte pana ayaṃ nayo – pattaṃ adhiṭṭhahantena ukkaṭṭhamajjhimomakānaṃ aññataro pamāṇayuttova adhiṭṭhātabbo. Tassa pamāṇaṃ ‘‘aḍḍhāḷhakodanaṃ gaṇhātī’’tiādinā (pārā. 602) nayena pāḷiyaṃ vuttaṃ. Tatrāyaṃ vinicchayo (pārā. aṭṭha. 2.602 ādayo) – anupahatapurāṇasālitaṇḍulānaṃ sukoṭṭitaparisuddhānaṃ dve magadhanāḷiyo gahetvā tehi taṇḍulehi anuttaṇḍulamakilinnamapiṇḍitaṃ suvisadaṃ kundamakuḷarāsisadisaṃ avassāvitodanaṃ pacitvā niravasesaṃ patte pakkhipitvā tassa odanassa catutthabhāgappamāṇo nātighano nātitanuko hatthahāriyo sabbasambhārasaṅkhato muggasūpo pakkhipitabbo, tato ālopassa ālopassa anurūpaṃ yāvacarimālopappahonakaṃ macchamaṃsādibyañjanaṃ pakkhipitabbaṃ, sappitelatakkarasakañjikādīni pana gaṇanūpagāni na honti. Tāni hi odanagatikāni honti, neva hāpetuṃ, na vaḍḍhetuṃ sakkonti. Evametaṃ sabbampi pakkhittaṃ sace pattassa mukhavaṭṭiyā heṭṭhimarājisamaṃ tiṭṭhati, suttena vā hīrena vā chindantassa suttassa vā hīrassa vā heṭṭhimantaṃ phusati, ayaṃ ukkaṭṭho nāma patto. Sace taṃ rājiṃ atikkamma thūpīkataṃ tiṭṭhati, ayaṃ ukkaṭṭhomako nāma patto. Sace taṃ rājiṃ na sampāpuṇāti antogadhameva hoti, ayaṃ ukkaṭṭhukkaṭṭho nāma patto.
อุกฺกฎฺฐโต อุปฑฺฒปฺปมาโณ มชฺฌิโม นาม ปโตฺตฯ มชฺฌิมโต อุปฑฺฒปฺปมาโณ โอมโกฯ ตสฺมา สเจ มคธนาฬิยา นาฬิโกทนาทิสพฺพมฺปิ ปกฺขิตฺตํ วุตฺตนเยเนว เหฎฺฐิมราชิสมํ ติฎฺฐติ, อยํ มชฺฌิโม นาม ปโตฺตฯ สเจ ตํ ราชิํ อติกฺกมฺม ถูปีกตํ ติฎฺฐติ, อยํ มชฺฌิโมมโก นาม ปโตฺตฯ สเจ ตํ ราชิํ น สมฺปาปุณาติ อโนฺตคธเมว โหติ, อยํ มชฺฌิมุกฺกโฎฺฐ นาม ปโตฺตฯ สเจ มคธนาฬิยา อุปฑฺฒนาฬิโกทนาทิสพฺพมฺปิ ปกฺขิตฺตํ เหฎฺฐิมราชิสมํ ติฎฺฐติ, อยํ โอมโก นาม ปโตฺตฯ สเจ ตํ ราชิํ อติกฺกมฺม ถูปีกตํ ติฎฺฐติ, อยํ โอมโกมโก นาม ปโตฺตฯ สเจ ตํ ราชิํ น สมฺปาปุณาติ อโนฺตคธเมว โหติ, อยํ โอมกุกฺกโฎฺฐ นาม ปโตฺตฯ เอวเมเต นว ปตฺตาฯ เตสุ เทฺว อปตฺตา อุกฺกฎฺฐุกฺกโฎฺฐ จ โอมโกมโก จาติฯ ตสฺมา เอเต ภาชนปริโภเคน ปริภุญฺชิตพฺพา, น อธิฎฺฐานูปคา น วิกปฺปนูปคาฯ อิตเร ปน สตฺต อธิฎฺฐหิตฺวา วา วิกเปฺปตฺวา วา ปริภุญฺชิตพฺพาฯ
Ukkaṭṭhato upaḍḍhappamāṇo majjhimo nāma patto. Majjhimato upaḍḍhappamāṇo omako. Tasmā sace magadhanāḷiyā nāḷikodanādisabbampi pakkhittaṃ vuttanayeneva heṭṭhimarājisamaṃ tiṭṭhati, ayaṃ majjhimo nāma patto. Sace taṃ rājiṃ atikkamma thūpīkataṃ tiṭṭhati, ayaṃ majjhimomako nāma patto. Sace taṃ rājiṃ na sampāpuṇāti antogadhameva hoti, ayaṃ majjhimukkaṭṭho nāma patto. Sace magadhanāḷiyā upaḍḍhanāḷikodanādisabbampi pakkhittaṃ heṭṭhimarājisamaṃ tiṭṭhati, ayaṃ omako nāma patto. Sace taṃ rājiṃ atikkamma thūpīkataṃ tiṭṭhati, ayaṃ omakomako nāma patto. Sace taṃ rājiṃ na sampāpuṇāti antogadhameva hoti, ayaṃ omakukkaṭṭho nāma patto. Evamete nava pattā. Tesu dve apattā ukkaṭṭhukkaṭṭho ca omakomako cāti. Tasmā ete bhājanaparibhogena paribhuñjitabbā, na adhiṭṭhānūpagā na vikappanūpagā. Itare pana satta adhiṭṭhahitvā vā vikappetvā vā paribhuñjitabbā.
ปมาณยุตฺตานมฺปิ เอเตสํ อธิฎฺฐานวิกปฺปนูปคตฺตํ เอวํ เวทิตพฺพํ – อโยปโตฺต ปญฺจหิ ปาเกหิ, มตฺติกาปโตฺต ทฺวีหิ ปาเกหิ ปโกฺก อธิฎฺฐานูปโคฯ อุโภปิ ยํ มูลํ ทาตพฺพํ, ตสฺมิํ ทิเนฺนเยวฯ สเจ เอโกปิ ปาโก อูโน โหติ, กากณิกมตฺตมฺปิ วา มูลํ อทินฺนํ, น อธิฎฺฐานูปโคฯ สเจ ปตฺตสามิโก วทติ ‘‘ยทา ตุมฺหากํ มูลํ ภวิสฺสติ, ตทา ทสฺสถ อธิฎฺฐหิตฺวา ปริภุญฺชถา’’ติ, เนว อธิฎฺฐานูปโค โหติ, ปากสฺส หิ อูนตฺตา ปตฺตสงฺขฺยํ น คจฺฉติ, มูลสฺส สกลสฺส วา เอกเทสสฺส วา อทินฺนตฺตา สกภาวํ น อุเปติ, อญฺญเสฺสว สนฺตโก โหติ, ตสฺมา ปาเก จ มูเล จ สุนิฎฺฐิเตเยว อธิฎฺฐานูปโค โหติฯ โย อธิฎฺฐานูปโค, เสฺวว วิกปฺปนูปโคฯ โส หตฺถํ อาคโตปิ อนาคโตปิ อธิฎฺฐาตโพฺพ วิกเปฺปตโพฺพ วาฯ ยทิ หิ ปตฺตการโก มูลํ ลภิตฺวา สยํ วา ทาตุกาโม หุตฺวา ‘‘อหํ ภเนฺต ตุมฺหากํ ปตฺตํ กตฺวา อสุกทิวเส นาม ปจิตฺวา ฐเปสฺสามี’’ติ วทติ, ภิกฺขุ จ เตน ปริจฺฉินฺนทิวสโต ปฎฺฐาย ทสาหํ อติกฺกาเมติ, นิสฺสคฺคิยํ ปาจิตฺติยํฯ สเจ ปน ปตฺตการโก ‘‘อหํ ตุมฺหากํ ปตฺตํ กตฺวา ปจิตฺวา สาสนํ เปเสสฺสามี’’ติ วตฺวา ตเถว กโรติ, เตน เปสิตภิกฺขุ ปน ตสฺส ภิกฺขุโน น อาโรเจติ, อโญฺญ ทิสฺวา วา สุตฺวา วา ‘‘ตุมฺหากํ, ภเนฺต, ปโตฺต นิฎฺฐิโต’’ติ อาโรเจติ, เอตสฺส อาโรจนํ น ปมาณํฯ ยทา ปน เตน เปสิโตเยว อาโรเจติ, ตสฺส วจนํ สุตทิวสโต ปฎฺฐาย ทสาหํ อติกฺกามยโต นิสฺสคฺคิยํ ปาจิตฺติยํฯ สเจ ปน ปตฺตการโก ‘‘อหํ ตุมฺหากํ ปตฺตํ กตฺวา ปจิตฺวา กสฺสจิ หเตฺถ ปหิณิสฺสามี’’ติ วตฺวา ตเถว กโรติ, ปตฺตํ คเหตฺวา อาคตภิกฺขุ ปน อตฺตโน ปริเวเณ ฐเปตฺวา ตสฺส น อาโรเจติ, อโญฺญ โกจิ ภณติ ‘‘อปิ, ภเนฺต, อธุนา อาภโต ปโตฺต สุนฺทโร’’ติฯ ‘‘กุหิํ, อาวุโส, ปโตฺต’’ติ? ‘‘อิตฺถนฺนามสฺส หเตฺถ เปสิโต’’ติฯ เอตสฺสปิ วจนํ น ปมาณํฯ ยทา ปน โส ภิกฺขุ ปตฺตํ เทติ, ลทฺธทิวสโต ปฎฺฐาย ทสาหํ อติกฺกามยโต นิสฺสคฺคิยํ ปาจิตฺติยํ, ตสฺมา ทสาหํ อนติกฺกาเมตฺวาว อธิฎฺฐาตโพฺพ วิกเปฺปตโพฺพ วาฯ
Pamāṇayuttānampi etesaṃ adhiṭṭhānavikappanūpagattaṃ evaṃ veditabbaṃ – ayopatto pañcahi pākehi, mattikāpatto dvīhi pākehi pakko adhiṭṭhānūpago. Ubhopi yaṃ mūlaṃ dātabbaṃ, tasmiṃ dinneyeva. Sace ekopi pāko ūno hoti, kākaṇikamattampi vā mūlaṃ adinnaṃ, na adhiṭṭhānūpago. Sace pattasāmiko vadati ‘‘yadā tumhākaṃ mūlaṃ bhavissati, tadā dassatha adhiṭṭhahitvā paribhuñjathā’’ti, neva adhiṭṭhānūpago hoti, pākassa hi ūnattā pattasaṅkhyaṃ na gacchati, mūlassa sakalassa vā ekadesassa vā adinnattā sakabhāvaṃ na upeti, aññasseva santako hoti, tasmā pāke ca mūle ca suniṭṭhiteyeva adhiṭṭhānūpago hoti. Yo adhiṭṭhānūpago, sveva vikappanūpago. So hatthaṃ āgatopi anāgatopi adhiṭṭhātabbo vikappetabbo vā. Yadi hi pattakārako mūlaṃ labhitvā sayaṃ vā dātukāmo hutvā ‘‘ahaṃ bhante tumhākaṃ pattaṃ katvā asukadivase nāma pacitvā ṭhapessāmī’’ti vadati, bhikkhu ca tena paricchinnadivasato paṭṭhāya dasāhaṃ atikkāmeti, nissaggiyaṃ pācittiyaṃ. Sace pana pattakārako ‘‘ahaṃ tumhākaṃ pattaṃ katvā pacitvā sāsanaṃ pesessāmī’’ti vatvā tatheva karoti, tena pesitabhikkhu pana tassa bhikkhuno na āroceti, añño disvā vā sutvā vā ‘‘tumhākaṃ, bhante, patto niṭṭhito’’ti āroceti, etassa ārocanaṃ na pamāṇaṃ. Yadā pana tena pesitoyeva āroceti, tassa vacanaṃ sutadivasato paṭṭhāya dasāhaṃ atikkāmayato nissaggiyaṃ pācittiyaṃ. Sace pana pattakārako ‘‘ahaṃ tumhākaṃ pattaṃ katvā pacitvā kassaci hatthe pahiṇissāmī’’ti vatvā tatheva karoti, pattaṃ gahetvā āgatabhikkhu pana attano pariveṇe ṭhapetvā tassa na āroceti, añño koci bhaṇati ‘‘api, bhante, adhunā ābhato patto sundaro’’ti. ‘‘Kuhiṃ, āvuso, patto’’ti? ‘‘Itthannāmassa hatthe pesito’’ti. Etassapi vacanaṃ na pamāṇaṃ. Yadā pana so bhikkhu pattaṃ deti, laddhadivasato paṭṭhāya dasāhaṃ atikkāmayato nissaggiyaṃ pācittiyaṃ, tasmā dasāhaṃ anatikkāmetvāva adhiṭṭhātabbo vikappetabbo vā.
ตตฺถ เทฺว ปตฺตสฺส อธิฎฺฐานา กาเยน วา อธิฎฺฐาติ, วาจาย วา อธิฎฺฐาติฯ เตสํ วเสน อธิฎฺฐหเนฺตน ‘‘อิมํ ปตฺตํ ปจฺจุทฺธรามี’’ติ วา ‘‘เอตํ ปตฺตํ ปจฺจุทฺธรามี’’ติ วา วตฺวา เอวํ สมฺมุเข วา ปรมฺมุเข วา ฐิตํ ปุราณปตฺตํ ปจฺจุทฺธริตฺวา อญฺญสฺส วา ทตฺวา นวํ ปตฺตํ ยตฺถ กตฺถจิ ฐิตํ หเตฺถน ปรามสิตฺวา ‘‘อิทํ ปตฺตํ อธิฎฺฐามี’’ติ จิเตฺตน อาโภคํ กตฺวา กายวิการํ กโรเนฺตน กาเยน วา อธิฎฺฐาตโพฺพฯ วจีเภทํ กตฺวา วาจาย วา อธิฎฺฐาภโพฺพฯ ตตฺร ทุวิธํ อธิฎฺฐานํ – สเจ หตฺถปาเส โหติ, ‘‘อิมํ ปตฺตํ อธิฎฺฐามี’’ติ วาจา ภินฺทิตพฺพา, อถ อโนฺตคเพฺภ วา อุปริปาสาเท วา สามนฺตวิหาเร วา โหติ, ฐปิตฎฺฐานํ สลฺลเกฺขตฺวา ‘‘เอตํ ปตฺตํ อธิฎฺฐามี’’ติ วาจา ภินฺทิตพฺพาฯ อธิฎฺฐหเนฺตน ปน เอกเกน อธิฎฺฐาตุมฺปิ วฎฺฎติ, อญฺญสฺส สนฺติเก อธิฎฺฐาตุมฺปิ วฎฺฎติฯ อญฺญสฺส สนฺติเก อยมานิสํโส – สจสฺส ‘‘อธิฎฺฐิโต นุ โข เม, โน’’ติ วิมติ อุปฺปชฺชติ, อิตโร สาเรตฺวา วิมติํ ฉินฺทิสฺสตีติฯ สเจ โกจิ ทส ปเตฺต ลภิตฺวา สเพฺพ อตฺตนาว ปริภุญฺชิตุกาโม โหติ, น สเพฺพ อธิฎฺฐาตพฺพา, เอกํ ปตฺตํ อธิฎฺฐาย ปุนทิวเส ตํ ปจฺจุทฺธริตฺวา อโญฺญ อธิฎฺฐาตโพฺพฯ เอเตเนว อุปาเยน วสฺสสตมฺปิ ปริหริตุํ สกฺกาฯ
Tattha dve pattassa adhiṭṭhānā kāyena vā adhiṭṭhāti, vācāya vā adhiṭṭhāti. Tesaṃ vasena adhiṭṭhahantena ‘‘imaṃ pattaṃ paccuddharāmī’’ti vā ‘‘etaṃ pattaṃ paccuddharāmī’’ti vā vatvā evaṃ sammukhe vā parammukhe vā ṭhitaṃ purāṇapattaṃ paccuddharitvā aññassa vā datvā navaṃ pattaṃ yattha katthaci ṭhitaṃ hatthena parāmasitvā ‘‘idaṃ pattaṃ adhiṭṭhāmī’’ti cittena ābhogaṃ katvā kāyavikāraṃ karontena kāyena vā adhiṭṭhātabbo. Vacībhedaṃ katvā vācāya vā adhiṭṭhābhabbo. Tatra duvidhaṃ adhiṭṭhānaṃ – sace hatthapāse hoti, ‘‘imaṃ pattaṃ adhiṭṭhāmī’’ti vācā bhinditabbā, atha antogabbhe vā uparipāsāde vā sāmantavihāre vā hoti, ṭhapitaṭṭhānaṃ sallakkhetvā ‘‘etaṃ pattaṃ adhiṭṭhāmī’’ti vācā bhinditabbā. Adhiṭṭhahantena pana ekakena adhiṭṭhātumpi vaṭṭati, aññassa santike adhiṭṭhātumpi vaṭṭati. Aññassa santike ayamānisaṃso – sacassa ‘‘adhiṭṭhito nu kho me, no’’ti vimati uppajjati, itaro sāretvā vimatiṃ chindissatīti. Sace koci dasa patte labhitvā sabbe attanāva paribhuñjitukāmo hoti, na sabbe adhiṭṭhātabbā, ekaṃ pattaṃ adhiṭṭhāya punadivase taṃ paccuddharitvā añño adhiṭṭhātabbo. Eteneva upāyena vassasatampi pariharituṃ sakkā.
เอวํ อปฺปมตฺตสฺส สิยา อธิฎฺฐานวิชหนนฺติ? สิยาฯ สเจ หิ สยํ ปตฺตํ อญฺญสฺส เทติ, วิพฺภมติ วา, สิกฺขํ วา ปจฺจกฺขาติ, กาลํ วา กโรติ, ลิงฺคํ วาสฺส ปริวตฺตติ, ปจฺจุทฺธรติ วา, ปเตฺต วา ฉิทฺทํ โหติ, อธิฎฺฐานํ วิชหติฯ วุตฺตเญฺจตํ –
Evaṃ appamattassa siyā adhiṭṭhānavijahananti? Siyā. Sace hi sayaṃ pattaṃ aññassa deti, vibbhamati vā, sikkhaṃ vā paccakkhāti, kālaṃ vā karoti, liṅgaṃ vāssa parivattati, paccuddharati vā, patte vā chiddaṃ hoti, adhiṭṭhānaṃ vijahati. Vuttañcetaṃ –
‘‘ทินฺนวิพฺภนฺตปจฺจกฺขา , กาลกิริยากเตน จ;
‘‘Dinnavibbhantapaccakkhā , kālakiriyākatena ca;
ลิงฺคปจฺจุทฺธรา เจว, ฉิเทฺทน ภวติ สตฺตม’’นฺติฯ (ปารา. อฎฺฐ. ๒.๖๐๘) –
Liṅgapaccuddharā ceva, chiddena bhavati sattama’’nti. (pārā. aṭṭha. 2.608) –
โจรคหณวิสฺสาสคฺคาเหหิปิ วิชหติเยวฯ กิตฺตเกน ฉิเทฺทน อธิฎฺฐานํ ภิชฺชติ? เยน กงฺคุสิตฺถํ นิกฺขมติ เจว ปวิสติ จฯ อิทญฺหิ สตฺตนฺนํ ธญฺญานํ ลามกธญฺญสิตฺถํฯ ตสฺมิํ ฉิเทฺท อยจุเณฺณน วา อาณิยา วา ปฎิปากติเก กเต ทสาหพฺภนฺตเร ปุน อธิฎฺฐาตโพฺพฯ อยํ ตาเวตฺถ อธิฎฺฐาเน วินิจฺฉโยฯ
Coragahaṇavissāsaggāhehipi vijahatiyeva. Kittakena chiddena adhiṭṭhānaṃ bhijjati? Yena kaṅgusitthaṃ nikkhamati ceva pavisati ca. Idañhi sattannaṃ dhaññānaṃ lāmakadhaññasitthaṃ. Tasmiṃ chidde ayacuṇṇena vā āṇiyā vā paṭipākatike kate dasāhabbhantare puna adhiṭṭhātabbo. Ayaṃ tāvettha adhiṭṭhāne vinicchayo.
๔๙. วิกปฺปเน ปน เทฺว วิกปฺปนา สมฺมุขาวิกปฺปนา เจว ปรมฺมุขาวิกปฺปนา จฯ กถํ สมฺมุขาวิกปฺปนา โหติ? ปตฺตานํ เอกพหุภาวํ สนฺนิหิตาสนฺนิหิตภาวญฺจ ญตฺวา ‘‘อิมํ ปตฺต’’นฺติ วา ‘‘อิเม ปเตฺต’’ติ วา ‘‘เอตํ ปตฺต’’นฺติ วา ‘‘เอเต ปเตฺต’’ติ วา วตฺวา ‘‘ตุยฺหํ วิกเปฺปมี’’ติ วตฺตพฺพํ, อยเมกา สมฺมุขาวิกปฺปนาฯ เอตฺตาวตา นิเธตุํ วฎฺฎติ, ปริภุญฺชิตุํ ปน วิสฺสเชฺชตุํ วา อธิฎฺฐาตุํ วา น วฎฺฎติฯ ‘‘มยฺหํ สนฺตกํ ปริภุญฺช วา วิสฺสเชฺชหิ วา ยถาปจฺจยํ วา กโรหี’’ติ เอวํ ปน วุเตฺต ปจฺจุทฺธาโร นาม โหติ, ตโต ปภุติ ปริโภคาทโยปิ วฎฺฎนฺติฯ
49.Vikappane pana dve vikappanā sammukhāvikappanā ceva parammukhāvikappanā ca. Kathaṃ sammukhāvikappanā hoti? Pattānaṃ ekabahubhāvaṃ sannihitāsannihitabhāvañca ñatvā ‘‘imaṃ patta’’nti vā ‘‘ime patte’’ti vā ‘‘etaṃ patta’’nti vā ‘‘ete patte’’ti vā vatvā ‘‘tuyhaṃ vikappemī’’ti vattabbaṃ, ayamekā sammukhāvikappanā. Ettāvatā nidhetuṃ vaṭṭati, paribhuñjituṃ pana vissajjetuṃ vā adhiṭṭhātuṃ vā na vaṭṭati. ‘‘Mayhaṃ santakaṃ paribhuñja vā vissajjehi vā yathāpaccayaṃ vā karohī’’ti evaṃ pana vutte paccuddhāro nāma hoti, tato pabhuti paribhogādayopi vaṭṭanti.
อปโร นโย – ตเถว ปตฺตานํ เอกพหุภาวํ สนฺนิหิตาสนฺนิหิตภาวญฺจ ญตฺวา ตเสฺสว ภิกฺขุโน สนฺติเก ‘‘อิมํ ปตฺต’’นฺติ วา ‘‘อิเม ปเตฺต’’ติ วา ‘‘เอตํ ปตฺต’’นฺติ วา ‘‘เอเต ปเตฺต’’ติ วา วตฺวา ปญฺจสุ สหธมฺมิเกสุ อญฺญตรสฺส อตฺตนา อภิรุจิตสฺส ยสฺส กสฺสจิ นามํ คเหตฺวา ‘‘ติสฺสสฺส ภิกฺขุโน วิกเปฺปมี’’ติ วา ‘‘ติสฺสาย ภิกฺขุนิยา, สิกฺขมานาย, สามเณรสฺส, ติสฺสาย สามเณริยา วิกเปฺปมี’’ติ วา วตฺตพฺพํ, อยํ อปราปิ สมฺมุขาวิกปฺปนาฯ เอตฺตาวตา นิเธตุํ วฎฺฎติฯ ปริโภคาทีสุ ปน เอกมฺปิ น วฎฺฎติฯ เตน ปน ภิกฺขุนา ติสฺสสฺส ภิกฺขุโน สนฺตกํ…เป.… ติสฺสาย สามเณริยา สนฺตกํ ปริภุญฺช วา วิสฺสเชฺชหิ วา ยถาปจฺจยํ วา กโรหีติ วุเตฺต ปจฺจุทฺธาโร นาม โหติ, ตโต ปภุติ ปริโภคาทโยปิ วฎฺฎนฺติฯ
Aparo nayo – tatheva pattānaṃ ekabahubhāvaṃ sannihitāsannihitabhāvañca ñatvā tasseva bhikkhuno santike ‘‘imaṃ patta’’nti vā ‘‘ime patte’’ti vā ‘‘etaṃ patta’’nti vā ‘‘ete patte’’ti vā vatvā pañcasu sahadhammikesu aññatarassa attanā abhirucitassa yassa kassaci nāmaṃ gahetvā ‘‘tissassa bhikkhuno vikappemī’’ti vā ‘‘tissāya bhikkhuniyā, sikkhamānāya, sāmaṇerassa, tissāya sāmaṇeriyā vikappemī’’ti vā vattabbaṃ, ayaṃ aparāpi sammukhāvikappanā. Ettāvatā nidhetuṃ vaṭṭati. Paribhogādīsu pana ekampi na vaṭṭati. Tena pana bhikkhunā tissassa bhikkhuno santakaṃ…pe… tissāya sāmaṇeriyā santakaṃ paribhuñja vā vissajjehi vā yathāpaccayaṃ vā karohīti vutte paccuddhāro nāma hoti, tato pabhuti paribhogādayopi vaṭṭanti.
กถํ ปรมฺมุขาวิกปฺปนา โหติ? ปตฺตานํ ตเถว เอกพหุภาวํ สนฺนิหิตาสนฺนิหิตภาวญฺจ ญตฺวา ‘‘อิมํ ปตฺต’’นฺติ วา ‘‘อิเม ปเตฺต’’ติ วา ‘‘เอตํ ปตฺต’’นฺติ วา ‘‘เอเต ปเตฺต’’ติ วา วตฺวา ‘‘ตุยฺหํ วิกปฺปนตฺถาย ทมฺมี’’ติ วตฺตพฺพํฯ เตน วตฺตโพฺพ ‘‘โก เต มิโตฺต วา สนฺทิโฎฺฐ วา’’ติ ฯ ตโต อิตเรน ปุริมนเยน ‘‘ติโสฺส ภิกฺขู’’ติ วา…เป.… ‘‘ติสฺสา สามเณรี’’ติ วา วตฺตพฺพํฯ ปุน เตน ภิกฺขุนา ‘‘อหํ ติสฺสสฺส ภิกฺขุโน ทมฺมี’’ติ วา…เป.… ‘‘ติสฺสาย สามเณริยา ทมฺมี’’ติ วา วตฺตพฺพํ, อยํ ปรมฺมุขาวิกปฺปนาฯ เอตฺตาวตา นิเธตุํ วฎฺฎติ, ปริโภคาทีสุ ปน เอกมฺปิ น วฎฺฎติฯ เตน ปน ภิกฺขุนา ทุติยสมฺมุขาวิกปฺปนายํ วุตฺตนเยเนว ‘‘อิตฺถนฺนามสฺส สนฺตกํ ปริภุญฺช วา วิสฺสเชฺชหิ วา ยถาปจฺจยํ วา กโรหี’’ติ วุเตฺต ปจฺจุทฺธาโร นาม โหติ, ตโต ปภุติ ปริโภคาทโยปิ วฎฺฎนฺติฯ อยํ วิกปฺปเน นโยฯ
Kathaṃ parammukhāvikappanā hoti? Pattānaṃ tatheva ekabahubhāvaṃ sannihitāsannihitabhāvañca ñatvā ‘‘imaṃ patta’’nti vā ‘‘ime patte’’ti vā ‘‘etaṃ patta’’nti vā ‘‘ete patte’’ti vā vatvā ‘‘tuyhaṃ vikappanatthāya dammī’’ti vattabbaṃ. Tena vattabbo ‘‘ko te mitto vā sandiṭṭho vā’’ti . Tato itarena purimanayena ‘‘tisso bhikkhū’’ti vā…pe… ‘‘tissā sāmaṇerī’’ti vā vattabbaṃ. Puna tena bhikkhunā ‘‘ahaṃ tissassa bhikkhuno dammī’’ti vā…pe… ‘‘tissāya sāmaṇeriyā dammī’’ti vā vattabbaṃ, ayaṃ parammukhāvikappanā. Ettāvatā nidhetuṃ vaṭṭati, paribhogādīsu pana ekampi na vaṭṭati. Tena pana bhikkhunā dutiyasammukhāvikappanāyaṃ vuttanayeneva ‘‘itthannāmassa santakaṃ paribhuñja vā vissajjehi vā yathāpaccayaṃ vā karohī’’ti vutte paccuddhāro nāma hoti, tato pabhuti paribhogādayopi vaṭṭanti. Ayaṃ vikappane nayo.
๕๐. เอวํ อธิฎฺฐหิตฺวา วิกเปฺปตฺวา จ ปริภุญฺชเนฺตน ปเตฺต ภิเนฺน กิํ กาตพฺพนฺติ? ยสฺส ปเตฺต ราชิมุขวฎฺฎิโต เหฎฺฐา ทฺวงฺคุลปฺปมาณา น โหติ เตน น กิญฺจิ กาตพฺพํฯ ยสฺส (ปารา. อฎฺฐ. ๒.๖๑๒-๓) ปน ตาทิสา เอกาปิ ราชิ โหติ, เตน ตสฺสา ราชิยา เหฎฺฐิมปริยเนฺต ปตฺตเวธเกน วิชฺฌิตฺวา ปจิตฺวา สุตฺตรชฺชุกมกจิรชฺชุกาทีหิ วา ติปุสุตฺตเกน วา พนฺธิตฺวา ตํ พนฺธนํ อามิสสฺส อลคฺคนตฺถํ ติปุปเฎฺฎน วา เกนจิ วา พทฺธสิเลเสน ปฎิจฺฉาเทตพฺพํฯ โส จ ปโตฺต อธิฎฺฐหิตฺวา ปริภุญฺชิตโพฺพฯ สุขุมํ วา ฉิทฺทํ กตฺวา พนฺธิตโพฺพฯ สุเทฺธหิ ปน มธุกสิตฺถกลาขาสชฺชุรสาทีหิ พนฺธิตุํ น วฎฺฎติ, ผาณิตํ ฌาเปตฺวา ปาสาณจุเณฺณน พนฺธิตุํ วฎฺฎติฯ มุขวฎฺฎิสมีเป ปน ปตฺตเวธเกน วิชฺฌิยมาโน กปาลสฺส พหลตฺตา ภิชฺชติ, ตสฺมา เหฎฺฐา วิชฺฌิตโพฺพฯ ยสฺส ปน เทฺว ราชิโย, เอกาเยว วา จตุรงฺคุลา, ตสฺส เทฺว พนฺธนานิ ทาตพฺพานิฯ ยสฺส ติโสฺส, เอกาเยว วา ฉฬงฺคุลา, ตสฺส ตีณิฯ ยสฺส จตโสฺส, เอกาเยว วา อฎฺฐงฺคุลา, ตสฺส จตฺตาริฯ ยสฺส ปญฺจ, เอกาเยว วา ทสงฺคุลา, โส พโทฺธปิ อพโทฺธปิ อปโตฺตเยว, อโญฺญ วิญฺญาเปตโพฺพฯ เอส ตาว มตฺติกาปเตฺต วินิจฺฉโยฯ
50. Evaṃ adhiṭṭhahitvā vikappetvā ca paribhuñjantena patte bhinne kiṃ kātabbanti? Yassa patte rājimukhavaṭṭito heṭṭhā dvaṅgulappamāṇā na hoti tena na kiñci kātabbaṃ. Yassa (pārā. aṭṭha. 2.612-3) pana tādisā ekāpi rāji hoti, tena tassā rājiyā heṭṭhimapariyante pattavedhakena vijjhitvā pacitvā suttarajjukamakacirajjukādīhi vā tipusuttakena vā bandhitvā taṃ bandhanaṃ āmisassa alagganatthaṃ tipupaṭṭena vā kenaci vā baddhasilesena paṭicchādetabbaṃ. So ca patto adhiṭṭhahitvā paribhuñjitabbo. Sukhumaṃ vā chiddaṃ katvā bandhitabbo. Suddhehi pana madhukasitthakalākhāsajjurasādīhi bandhituṃ na vaṭṭati, phāṇitaṃ jhāpetvā pāsāṇacuṇṇena bandhituṃ vaṭṭati. Mukhavaṭṭisamīpe pana pattavedhakena vijjhiyamāno kapālassa bahalattā bhijjati, tasmā heṭṭhā vijjhitabbo. Yassa pana dve rājiyo, ekāyeva vā caturaṅgulā, tassa dve bandhanāni dātabbāni. Yassa tisso, ekāyeva vā chaḷaṅgulā, tassa tīṇi. Yassa catasso, ekāyeva vā aṭṭhaṅgulā, tassa cattāri. Yassa pañca, ekāyeva vā dasaṅgulā, so baddhopi abaddhopi apattoyeva, añño viññāpetabbo. Esa tāva mattikāpatte vinicchayo.
อโยปเตฺต ปน สเจปิ ปญฺจ วา อติเรกานิ วา ฉิทฺทานิ โหนฺติ, ตานิ จ อยจุเณฺณน วา อาณิยา วา โลหมณฺฑลเกน วา พทฺธานิ มฎฺฐานิ โหนฺติ, เสฺวว ปโตฺต ปริภุญฺชิตโพฺพ, อโญฺญ น วิญฺญาเปตโพฺพฯ อถ ปน เอกมฺปิ ฉิทฺทํ มหนฺตํ โหติ, โลหมณฺฑลเกน พทฺธมฺปิ มฎฺฐํ น โหติ, ปเตฺต อามิสํ ลคฺคติ, อกปฺปิโย โหติ, อยํ อปโตฺต, อโญฺญ วิญฺญาเปตโพฺพฯ วิญฺญาเปเนฺตน จ สงฺฆวเสน ปวาริตฎฺฐาเน ปญฺจพนฺธเนเนว ปเตฺตน อญฺญํ ปตฺตํ วิญฺญาเปตุํ วฎฺฎติ, ปุคฺคลวเสน ปน ปวาริตฎฺฐาเน อูนปญฺจพนฺธเนนาปิ วฎฺฎติฯ ปตฺตํ ลภิตฺวา ปริภุญฺชเนฺตน จ ยาคุรนฺธนรชนปจนาทินา อปริโภเคน น ปริภุญฺชิตโพฺพ, อนฺตรามเคฺค ปน พฺยาธิมฺหิ อุปฺปเนฺน อญฺญสฺมิํ ภาชเน อสติ มตฺติกาย ลิเมฺปตฺวา ยาคุํ วา ปจิตุํ อุทกํ วา ตาเปตุํ วฎฺฎติฯ มญฺจปีฐฉตฺตนาคทนฺตกาทิเก อเทเสปิ น นิกฺขิปิตโพฺพฯ ปตฺตสฺส หิ นิกฺขิปนเทโส ‘‘อนุชานามิ, ภิกฺขเว, ปตฺตาธารก’’นฺติอาทินา (จูฬว. ๒๕๔) นเยน ขนฺธเก วุโตฺตเยวฯ
Ayopatte pana sacepi pañca vā atirekāni vā chiddāni honti, tāni ca ayacuṇṇena vā āṇiyā vā lohamaṇḍalakena vā baddhāni maṭṭhāni honti, sveva patto paribhuñjitabbo, añño na viññāpetabbo. Atha pana ekampi chiddaṃ mahantaṃ hoti, lohamaṇḍalakena baddhampi maṭṭhaṃ na hoti, patte āmisaṃ laggati, akappiyo hoti, ayaṃ apatto, añño viññāpetabbo. Viññāpentena ca saṅghavasena pavāritaṭṭhāne pañcabandhaneneva pattena aññaṃ pattaṃ viññāpetuṃ vaṭṭati, puggalavasena pana pavāritaṭṭhāne ūnapañcabandhanenāpi vaṭṭati. Pattaṃ labhitvā paribhuñjantena ca yāgurandhanarajanapacanādinā aparibhogena na paribhuñjitabbo, antarāmagge pana byādhimhi uppanne aññasmiṃ bhājane asati mattikāya limpetvā yāguṃ vā pacituṃ udakaṃ vā tāpetuṃ vaṭṭati. Mañcapīṭhachattanāgadantakādike adesepi na nikkhipitabbo. Pattassa hi nikkhipanadeso ‘‘anujānāmi, bhikkhave, pattādhāraka’’ntiādinā (cūḷava. 254) nayena khandhake vuttoyeva.
อิติ ปาฬิมุตฺตกวินยวินิจฺฉยสงฺคเห
Iti pāḷimuttakavinayavinicchayasaṅgahe
อธิฎฺฐานวิกปฺปนวินิจฺฉยกถา สมตฺตาฯ
Adhiṭṭhānavikappanavinicchayakathā samattā.