Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ชาตก-อฎฺฐกถา • Jātaka-aṭṭhakathā |
[๔๒๔] ๘. อาทิตฺตชาตกวณฺณนา
[424] 8. Ādittajātakavaṇṇanā
อาทิตฺตสฺมินฺติ อิทํ สตฺถา เชตวเน วิหรโนฺต อสทิสทานํ อารพฺภ กเถสิฯ อสทิสทานํ มหาโควินฺทสุตฺตวณฺณนาโต (ที. นิ. อฎฺฐ. ๒.๒๙๖) วิตฺถาเรตฺวา กเถตพฺพํฯ ตสฺส ปน ทินฺนทิวสโต ทุติยทิวเส ธมฺมสภายํ กถํ สมุฎฺฐาเปสุํ ‘‘อาวุโส, โกสลราชา วิจินิตฺวาว , ปุญฺญเกฺขตฺตํ ญตฺวา พุทฺธปฺปมุขสฺส อริยสงฺฆสฺส อสทิสทานํ อทาสี’’ติฯ สตฺถา อาคนฺตฺวา ‘‘กาย นุตฺถ, ภิกฺขเว, เอตรหิ กถาย สนฺนิสินฺนา’’ติ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘อิมาย นามา’’ติ วุเตฺต ‘‘อนจฺฉริยํ, ภิกฺขเว, รโญฺญ วิจินิตฺวา อนุตฺตเร ปุญฺญเกฺขเตฺต ทานปติฎฺฐาปนํ, โปราณกปณฺฑิตาปิ วิจินิตฺวาว มหาทานํ อทํสู’’ติ วตฺวา อตีตํ อาหริฯ
Ādittasminti idaṃ satthā jetavane viharanto asadisadānaṃ ārabbha kathesi. Asadisadānaṃ mahāgovindasuttavaṇṇanāto (dī. ni. aṭṭha. 2.296) vitthāretvā kathetabbaṃ. Tassa pana dinnadivasato dutiyadivase dhammasabhāyaṃ kathaṃ samuṭṭhāpesuṃ ‘‘āvuso, kosalarājā vicinitvāva , puññakkhettaṃ ñatvā buddhappamukhassa ariyasaṅghassa asadisadānaṃ adāsī’’ti. Satthā āgantvā ‘‘kāya nuttha, bhikkhave, etarahi kathāya sannisinnā’’ti pucchitvā ‘‘imāya nāmā’’ti vutte ‘‘anacchariyaṃ, bhikkhave, rañño vicinitvā anuttare puññakkhette dānapatiṭṭhāpanaṃ, porāṇakapaṇḍitāpi vicinitvāva mahādānaṃ adaṃsū’’ti vatvā atītaṃ āhari.
อตีเต สิวิรเฎฺฐ โรรุวนคเร โรรุวมหาราชา นาม ทส ราชธเมฺม อโกเปตฺวา จตูหิ สงฺคหวตฺถูหิ ชนํ สงฺคณฺหโนฺต มหาชนสฺส มาตาปิตุฎฺฐาเน ฐตฺวา กปณทฺธิกวนิพฺพกยาจกาทีนํ มหาทานํ ปวเตฺตสิฯ ตสฺส สมุทฺทวิชยา นาม อคฺคมเหสี อโหสิ ปณฺฑิตา ญาณสมฺปนฺนาฯ โส เอกทิวสํ ทานคฺคํ โอโลเกโนฺต ‘‘มยฺหํ ทานํ ทุสฺสีลา โลลสตฺตา ภุญฺชนฺติ, ตํ มํ น หาเสติ, อหํ โข ปน สีลวนฺตานํ อคฺคทกฺขิเณยฺยานํ ปเจฺจกพุทฺธานํ ทาตุกาโม, เต จ หิมวนฺตปเทเส วสนฺติ, โก นุ โข เต นิมเนฺตตฺวา อาเนสฺสติ, กํ เปเสสฺสามี’’ติ จิเนฺตตฺวา ตมตฺถํ เทวิยา อาโรเจสิฯ อถ นํ สา อาห ‘‘มหาราช, มา จินฺตยิตฺถ, อมฺหากํ ทาตพฺพทานพเลน สีลพเลน สจฺจพเลน ปุปฺผานิ เปเสตฺวา ปเจฺจกพุเทฺธ นิมเนฺตตฺวา เตสํ อาคตกาเล สพฺพปริกฺขารสมฺปนฺนทานํ ทสฺสามา’’ติฯ ราชา ‘‘สาธู’’ติ สมฺปฎิจฺฉิตฺวา ‘‘สกลนครวาสิโน สีลํ สมาทิยนฺตู’’ติ นคเร เภริํ จราเปตฺวา สยมฺปิ สปริชโน อุโปสถงฺคานิ อธิฎฺฐาย มหาทานํ ปวเตฺตตฺวา สุมนปุปฺผปุณฺณํ สุวณฺณสมุคฺคํ คาหาเปตฺวา ปาสาทา โอรุยฺห ราชงฺคเณ ฐตฺวา ปญฺจงฺคานิ ปถวิยํ ปติฎฺฐาเปตฺวา ปาจีนทิสาภิมุโข วนฺทิตฺวา ‘‘ปาจีนทิสาย อรหเนฺต วนฺทามิ, สเจ อมฺหากํ โกจิ คุโณ อตฺถิ, อเมฺหสุ อนุกมฺปํ กตฺวา อมฺหากํ ภิกฺขํ คณฺหถา’’ติ วตฺวา สตฺต ปุปฺผมุฎฺฐิโย ขิปิฯ ปาจีนทิสาย ปเจฺจกพุทฺธานํ อภาเวน ปุนทิวเส นาคมิํสุฯ ทุติยทิวเส ทกฺขิณทิสํ นมสฺสิ, ตโตปิ นาคตาฯ ตติยทิวเส ปจฺฉิมทิสํ นมสฺสิ, ตโตปิ นาคตาฯ จตุตฺถทิวเส อุตฺตรทิสํ นมสฺสิ, นมสฺสิตฺวา จ ปน ‘‘อุตฺตรหิมวนฺตปเทสวาสิโน ปเจฺจกพุทฺธา อมฺหากํ ภิกฺขํ คณฺหนฺตู’’ติ สตฺต ปุปฺผมุฎฺฐิโย วิสฺสเชฺชสิฯ ปุปฺผานิ คนฺตฺวา นนฺทมูลกปพฺภาเร ปญฺจนฺนํ ปเจฺจกพุทฺธสตานํ อุปริ ปติํสุฯ
Atīte siviraṭṭhe roruvanagare roruvamahārājā nāma dasa rājadhamme akopetvā catūhi saṅgahavatthūhi janaṃ saṅgaṇhanto mahājanassa mātāpituṭṭhāne ṭhatvā kapaṇaddhikavanibbakayācakādīnaṃ mahādānaṃ pavattesi. Tassa samuddavijayā nāma aggamahesī ahosi paṇḍitā ñāṇasampannā. So ekadivasaṃ dānaggaṃ olokento ‘‘mayhaṃ dānaṃ dussīlā lolasattā bhuñjanti, taṃ maṃ na hāseti, ahaṃ kho pana sīlavantānaṃ aggadakkhiṇeyyānaṃ paccekabuddhānaṃ dātukāmo, te ca himavantapadese vasanti, ko nu kho te nimantetvā ānessati, kaṃ pesessāmī’’ti cintetvā tamatthaṃ deviyā ārocesi. Atha naṃ sā āha ‘‘mahārāja, mā cintayittha, amhākaṃ dātabbadānabalena sīlabalena saccabalena pupphāni pesetvā paccekabuddhe nimantetvā tesaṃ āgatakāle sabbaparikkhārasampannadānaṃ dassāmā’’ti. Rājā ‘‘sādhū’’ti sampaṭicchitvā ‘‘sakalanagaravāsino sīlaṃ samādiyantū’’ti nagare bheriṃ carāpetvā sayampi saparijano uposathaṅgāni adhiṭṭhāya mahādānaṃ pavattetvā sumanapupphapuṇṇaṃ suvaṇṇasamuggaṃ gāhāpetvā pāsādā oruyha rājaṅgaṇe ṭhatvā pañcaṅgāni pathaviyaṃ patiṭṭhāpetvā pācīnadisābhimukho vanditvā ‘‘pācīnadisāya arahante vandāmi, sace amhākaṃ koci guṇo atthi, amhesu anukampaṃ katvā amhākaṃ bhikkhaṃ gaṇhathā’’ti vatvā satta pupphamuṭṭhiyo khipi. Pācīnadisāya paccekabuddhānaṃ abhāvena punadivase nāgamiṃsu. Dutiyadivase dakkhiṇadisaṃ namassi, tatopi nāgatā. Tatiyadivase pacchimadisaṃ namassi, tatopi nāgatā. Catutthadivase uttaradisaṃ namassi, namassitvā ca pana ‘‘uttarahimavantapadesavāsino paccekabuddhā amhākaṃ bhikkhaṃ gaṇhantū’’ti satta pupphamuṭṭhiyo vissajjesi. Pupphāni gantvā nandamūlakapabbhāre pañcannaṃ paccekabuddhasatānaṃ upari patiṃsu.
เต อาวชฺชมานา รญฺญา อตฺตโน นิมนฺติตภาวํ ญตฺวา ปุนทิวเส สตฺต ปเจฺจกพุเทฺธ อามเนฺตตฺวา ‘‘มาริสา, ราชา โว นิมเนฺตติ, ตสฺส สงฺคหํ กโรถา’’ติ วทิํสุฯ สตฺต ปเจฺจกพุทฺธา อากาเสนาคนฺตฺวา ราชทฺวาเร โอตริํสุฯ เต ทิสฺวา ราชา โสมนสฺสชาโต วนฺทิตฺวา ปาสาทํ อาโรเปตฺวา มหนฺตํ สกฺการํ กตฺวา ทานํ ทตฺวา ภตฺตกิจฺจปริโยสาเน ปุนทิวสตฺถาย ปุนทิวสตฺถายาติ เอวํ ฉ ทิวเส นิมเนฺตตฺวา สตฺตเม ทิวเส สพฺพปริกฺขารทานํ สเชฺชตฺวา สตฺตรตนขจิตานิ มญฺจปีฐาทีนิ ปญฺญเปตฺวา ติจีวราทิเก สพฺพสมณปริโภเค สตฺตนฺนํ ปเจฺจกพุทฺธานํ สนฺติเก ฐเปตฺวา ‘‘มยํ อิเม ปริกฺขาเร ตุมฺหากํ เทมา’’ติ วตฺวา เตสํ ภตฺตกิจฺจปริโยสาเน ราชา จ เทวี จ อุโภปิ นมสฺสมานา อฎฺฐํสุฯ อถ เนสํ อนุโมทนํ กโรโนฺต สงฺฆเตฺถโร เทฺว คาถา อภาสิ –
Te āvajjamānā raññā attano nimantitabhāvaṃ ñatvā punadivase satta paccekabuddhe āmantetvā ‘‘mārisā, rājā vo nimanteti, tassa saṅgahaṃ karothā’’ti vadiṃsu. Satta paccekabuddhā ākāsenāgantvā rājadvāre otariṃsu. Te disvā rājā somanassajāto vanditvā pāsādaṃ āropetvā mahantaṃ sakkāraṃ katvā dānaṃ datvā bhattakiccapariyosāne punadivasatthāya punadivasatthāyāti evaṃ cha divase nimantetvā sattame divase sabbaparikkhāradānaṃ sajjetvā sattaratanakhacitāni mañcapīṭhādīni paññapetvā ticīvarādike sabbasamaṇaparibhoge sattannaṃ paccekabuddhānaṃ santike ṭhapetvā ‘‘mayaṃ ime parikkhāre tumhākaṃ demā’’ti vatvā tesaṃ bhattakiccapariyosāne rājā ca devī ca ubhopi namassamānā aṭṭhaṃsu. Atha nesaṃ anumodanaṃ karonto saṅghatthero dve gāthā abhāsi –
๖๙.
69.
‘‘อาทิตฺตสฺมิํ อคารสฺมิํ, ยํ นีหรติ ภาชนํ;
‘‘Ādittasmiṃ agārasmiṃ, yaṃ nīharati bhājanaṃ;
ตํ ตสฺส โหติ อตฺถาย, โน จ ยํ ตตฺถ ฑยฺหติฯ
Taṃ tassa hoti atthāya, no ca yaṃ tattha ḍayhati.
๗๐.
70.
‘‘เอวมาทีปิโต โลโก, ชราย มรเณน จ;
‘‘Evamādīpito loko, jarāya maraṇena ca;
นีหเรเถว ทาเนน, ทินฺนํ โหติ สุนีหต’’นฺติฯ
Nīharetheva dānena, dinnaṃ hoti sunīhata’’nti.
ตตฺถ อาทิตฺตสฺมินฺติ ตงฺขเณ ปชฺชลิเตฯ ภาชนนฺติ อุปกรณํฯ โน จ ยํ ตตฺถ ฑยฺหตีติ ยํ ปน ตตฺถ ฑยฺหติ, อนฺตมโส ติณสนฺถาโรปิ, สพฺพํ ตสฺส อนุปกรณเมว โหติฯ ชราย มรเณน จาติ เทสนาสีสเมตํ, อตฺถโต ปเนส เอกาทสหิ อคฺคีหิ อาทีปิโต นามฯ นีหเรเถวาติ ตโต เอกาทสติ อคฺคีหิ ปชฺชลิตโลกา ทสวิธทานวตฺถุเภทํ ตํ ตํ ปริกฺขารทานํ เจตนาย นิกฺกเฑฺฒเถวฯ ทินฺนํ โหตีติ อปฺปํ วา พหุํ วา ยํ ทินฺนํ, ตเทว สุนีหตํ นาม โหตีติฯ
Tattha ādittasminti taṅkhaṇe pajjalite. Bhājananti upakaraṇaṃ. No ca yaṃ tattha ḍayhatīti yaṃ pana tattha ḍayhati, antamaso tiṇasanthāropi, sabbaṃ tassa anupakaraṇameva hoti. Jarāya maraṇena cāti desanāsīsametaṃ, atthato panesa ekādasahi aggīhi ādīpito nāma. Nīharethevāti tato ekādasati aggīhi pajjalitalokā dasavidhadānavatthubhedaṃ taṃ taṃ parikkhāradānaṃ cetanāya nikkaḍḍhetheva. Dinnaṃ hotīti appaṃ vā bahuṃ vā yaṃ dinnaṃ, tadeva sunīhataṃ nāma hotīti.
เอวํ สงฺฆเตฺถโร อนุโมทนํ กตฺวา ‘‘อปฺปมโตฺต โหหิ, มหาราชา’’ติ รโญฺญ โอวาทํ ทตฺวา อากาเส อุปฺปติตฺวา ปาสาทกณฺณิกํ ทฺวิธา กตฺวา คนฺตฺวา นนฺทมูลกปพฺภาเรเยว โอตริฯ ตสฺส ทินฺนปริกฺขาโรปิ เตเนว สทฺธิํ อุปฺปติตฺวา นนฺทมูลกปพฺภาเรเยว โอตริฯ รโญฺญ จ เทวิยา จ สกลสรีรํ ปีติยา ปุณฺณํ อโหสิฯ เอวํ ตสฺมิํ คเต อวเสสาปิ –
Evaṃ saṅghatthero anumodanaṃ katvā ‘‘appamatto hohi, mahārājā’’ti rañño ovādaṃ datvā ākāse uppatitvā pāsādakaṇṇikaṃ dvidhā katvā gantvā nandamūlakapabbhāreyeva otari. Tassa dinnaparikkhāropi teneva saddhiṃ uppatitvā nandamūlakapabbhāreyeva otari. Rañño ca deviyā ca sakalasarīraṃ pītiyā puṇṇaṃ ahosi. Evaṃ tasmiṃ gate avasesāpi –
๗๑.
71.
‘‘โย ธมฺมลทฺธสฺส ททาติ ทานํ, อุฎฺฐานวีริยาธิคตสฺส ชนฺตุ;
‘‘Yo dhammaladdhassa dadāti dānaṃ, uṭṭhānavīriyādhigatassa jantu;
อติกฺกมฺม โส เวตรณิํ ยมสฺส, ทิพฺพานิ ฐานานิ อุเปติ มโจฺจฯ
Atikkamma so vetaraṇiṃ yamassa, dibbāni ṭhānāni upeti macco.
๗๒.
72.
‘‘ทานญฺจ ยุทฺธญฺจ สมานมาหุ, อปฺปาปิ สนฺตา พหุเก ชินนฺติ;
‘‘Dānañca yuddhañca samānamāhu, appāpi santā bahuke jinanti;
อปฺปมฺปิ เจ สทฺทหาโน ททาติ, เตเนว โส โหติ สุขี ปรตฺถฯ
Appampi ce saddahāno dadāti, teneva so hoti sukhī parattha.
๗๓.
73.
‘‘วิเจยฺย ทานํ สุคตปฺปสตฺถํ, เย ทกฺขิเณยฺยา อิธ ชีวโลเก;
‘‘Viceyya dānaṃ sugatappasatthaṃ, ye dakkhiṇeyyā idha jīvaloke;
เอเตสุ ทินฺนานิ มหปฺผลานิ, พีชานิ วุตฺตานิ ยถา สุเขเตฺตฯ
Etesu dinnāni mahapphalāni, bījāni vuttāni yathā sukhette.
๗๔.
74.
‘‘โย ปาณภูตานิ อเหฐยํ จรํ, ปรูปวาทา น กโรติ ปาปํ;
‘‘Yo pāṇabhūtāni aheṭhayaṃ caraṃ, parūpavādā na karoti pāpaṃ;
ภีรุํ ปสํสนฺติ น ตตฺถ สูรํ, ภยา หิ สโนฺต น กโรนฺติ ปาปํฯ
Bhīruṃ pasaṃsanti na tattha sūraṃ, bhayā hi santo na karonti pāpaṃ.
๗๕.
75.
‘‘หีเนน พฺรหฺมจริเยน, ขตฺติเย อุปปชฺชติ;
‘‘Hīnena brahmacariyena, khattiye upapajjati;
มชฺฌิเมน จ เทวตฺตํ, อุตฺตเมน วิสุชฺฌติฯ
Majjhimena ca devattaṃ, uttamena visujjhati.
๗๖.
76.
‘‘อทฺธา หิ ทานํ พหุธา ปสตฺถํ, ทานา จ โข ธมฺมปทํว เสโยฺย;
‘‘Addhā hi dānaṃ bahudhā pasatthaṃ, dānā ca kho dhammapadaṃva seyyo;
ปุเพฺพว หิ ปุพฺพตเรว สโนฺต, นิพฺพานเมวชฺฌคมุํ สปญฺญา’’ติฯ –
Pubbeva hi pubbatareva santo, nibbānamevajjhagamuṃ sapaññā’’ti. –
เอวเมเกกาย คาถาย อนุโมทนํ กตฺวา ตเถว อคมิํสุ สทฺธิํ ปริกฺขาเรหิฯ
Evamekekāya gāthāya anumodanaṃ katvā tatheva agamiṃsu saddhiṃ parikkhārehi.
ตตฺถ ธมฺมลทฺธสฺสาติ ขีณาสวํ อาทิํ กตฺวา ยาว สุกฺขวิปสฺสกโยคาวจโร ปุคฺคโล ธมฺมสฺส ลทฺธตฺตา ธมฺมลโทฺธ นามฯ เสฺวว อุฎฺฐานวีริเยน ตสฺส ธมฺมสฺส อธิคตตฺตา อุฎฺฐานวีริยาธิคโต นามฯ ตสฺส ปุคฺคลสฺส โย ชนฺตุ ททาติ ทานนฺติ อโตฺถ, ธเมฺมน ลทฺธสฺส อุฎฺฐานสงฺขาเตน วีริเยน อธิคตสฺส เทยฺยธมฺมสฺส อคฺคํ คเหตฺวา โย ชนฺตุ สีลวเนฺตสุ ทานํ ททาตีติปิ อโตฺถฯ อุปโยคเตฺถ วา สามิวจนํ กตฺวาเปตฺถ อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ เวตรณินฺติ เทสนาสีสเมตํ, อฎฺฐ มหานิรเย โสฬส จ อุสฺสเท อติกฺกมิตฺวาติ อโตฺถฯ ทิพฺพานิ ฐานานิ อุเปตีติ เทวโลเก อุปฺปชฺชติฯ
Tattha dhammaladdhassāti khīṇāsavaṃ ādiṃ katvā yāva sukkhavipassakayogāvacaro puggalo dhammassa laddhattā dhammaladdho nāma. Sveva uṭṭhānavīriyena tassa dhammassa adhigatattā uṭṭhānavīriyādhigato nāma. Tassa puggalassa yo jantu dadāti dānanti attho, dhammena laddhassa uṭṭhānasaṅkhātena vīriyena adhigatassa deyyadhammassa aggaṃ gahetvā yo jantu sīlavantesu dānaṃ dadātītipi attho. Upayogatthe vā sāmivacanaṃ katvāpettha attho veditabbo. Vetaraṇinti desanāsīsametaṃ, aṭṭha mahāniraye soḷasa ca ussade atikkamitvāti attho. Dibbāni ṭhānāni upetīti devaloke uppajjati.
สมานมาหูติ สทิสํ วทนฺติฯ ขยภีรุกสฺส หิ ทานํ นตฺถิ, ภยภีรุกสฺส ยุทฺธํ นตฺถิฯ ชีวิเต อาลยํ วิชหิตฺวา ยุชฺชโนฺตว ยุชฺฌิตุํ สโกฺกติ, โภเคสุ อาลยํ วิชหิตฺวา ทายโก ทาตุํ สโกฺกติ, เตเนว ตํ อุภยํ ‘‘สมาน’’นฺติ วทนฺติฯ อปฺปาปิ สนฺตาติ โถกาปิ สมานา ปริจฺจตฺตชีวิตา พหุเก ชินนฺติ, เอวเมว อปฺปาปิ มุญฺจเจตนา พหุมฺปิ มเจฺฉรจิตฺตํ โลภาทิํ วา กิเลสคหนํ ชินาติฯ อปฺปมฺปิ เจติ โถกมฺปิ เจ เทยฺยธมฺมํ กมฺมญฺจ ผลญฺจ สทฺทหโนฺต เทติฯ เตเนว โสติ เตน ปริตฺตเทยฺยธมฺมวตฺถุเกน ปริตฺตเกนาปิ จาเคน โส ปรตฺถ สุขี โหติ, มหาราชาติฯ
Samānamāhūti sadisaṃ vadanti. Khayabhīrukassa hi dānaṃ natthi, bhayabhīrukassa yuddhaṃ natthi. Jīvite ālayaṃ vijahitvā yujjantova yujjhituṃ sakkoti, bhogesu ālayaṃ vijahitvā dāyako dātuṃ sakkoti, teneva taṃ ubhayaṃ ‘‘samāna’’nti vadanti. Appāpi santāti thokāpi samānā pariccattajīvitā bahuke jinanti, evameva appāpi muñcacetanā bahumpi maccheracittaṃ lobhādiṃ vā kilesagahanaṃ jināti. Appampi ceti thokampi ce deyyadhammaṃ kammañca phalañca saddahanto deti. Teneva soti tena parittadeyyadhammavatthukena parittakenāpi cāgena so parattha sukhī hoti, mahārājāti.
วิเจยฺย ทานนฺติ ทกฺขิณญฺจ ทกฺขิเณยฺยญฺจ วิจินิตฺวา ทินฺนทานํฯ ตตฺถ ยํ วา ตํ วา อทตฺวา อคฺคํ ปณีตํ เทยฺยธมฺมํ วิจินิตฺวา ททโนฺต ทกฺขิณํ วิจินาติ นาม, เยสํ เตสํ วา อทตฺวา สีลาทิคุณสมฺปเนฺน วิจินิตฺวา เตสํ ททโนฺต ทกฺขิเณยฺยํ วิจินาติ นามฯ สุคตปฺปสตฺถนฺติ เอวรูปํ ทานํ พุเทฺธหิ ปสตฺถํฯ ตตฺถ ทกฺขิเณยฺยวิจินนํ ทเสฺสตุํ ‘‘เย ทกฺขิเณยฺยา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ ตตฺถ ทกฺขิเณยฺยาติ ทกฺขิณาย อนุจฺฉวิกา พุทฺธาทโยฯ
Viceyya dānanti dakkhiṇañca dakkhiṇeyyañca vicinitvā dinnadānaṃ. Tattha yaṃ vā taṃ vā adatvā aggaṃ paṇītaṃ deyyadhammaṃ vicinitvā dadanto dakkhiṇaṃ vicināti nāma, yesaṃ tesaṃ vā adatvā sīlādiguṇasampanne vicinitvā tesaṃ dadanto dakkhiṇeyyaṃ vicināti nāma. Sugatappasatthanti evarūpaṃ dānaṃ buddhehi pasatthaṃ. Tattha dakkhiṇeyyavicinanaṃ dassetuṃ ‘‘ye dakkhiṇeyyā’’tiādi vuttaṃ. Tattha dakkhiṇeyyāti dakkhiṇāya anucchavikā buddhādayo.
ปาณภูตานีติ ปาณสงฺขาตานิ ภูตานิฯ อเหฐยํ จรนฺติ การุเญฺญน อวิเหฐยโนฺต จรมาโนฯ ปรูปวาทาติ ปรูปวาทภเยน ปาปํ น กโรติฯ ภีรุนฺติ อุปวาทภีรุกํฯ น ตตฺถ สูรนฺติ โย ปน อโยนิโสมนสิกาเรน ตสฺมิํ อุปวาเท สูโร โหติ, ตํ ปณฺฑิตา นปฺปสํสนฺติฯ ภยา หีติ อุปวาทภเยน หิ ปณฺฑิตา ปาปํ น กโรนฺติฯ
Pāṇabhūtānīti pāṇasaṅkhātāni bhūtāni. Aheṭhayaṃ caranti kāruññena aviheṭhayanto caramāno. Parūpavādāti parūpavādabhayena pāpaṃ na karoti. Bhīrunti upavādabhīrukaṃ. Na tattha sūranti yo pana ayonisomanasikārena tasmiṃ upavāde sūro hoti, taṃ paṇḍitā nappasaṃsanti. Bhayā hīti upavādabhayena hi paṇḍitā pāpaṃ na karonti.
หีเนน พฺรหฺมจริเยนาติ พาหิรติตฺถายตเน ตาว เมถุนวิรติสีลมตฺตกํ หีนํ พฺรหฺมจริยํ นาม, เตน ขตฺติยกุเล อุปฺปชฺชติฯ ฌานสฺส อุปจารมตฺตํ มชฺฌิมํ, เตน เทวโลเก อุปฺปชฺชติฯ อฎฺฐ สมาปตฺติโย อุตฺตมํ, เตน พฺรหฺมโลเก อุปฺปชฺชโนฺต วิสุชฺฌติ นามฯ สาสเน ปน สีลวนฺตเสฺสว เอกํ เทวนิกายํ ปณิธาย พฺรหฺมจริยํ หีนํ นาม, ปริสุทฺธสีลเสฺสว สมาปตฺตินิพฺพตฺตนํ มชฺฌิมํ นาม, ปริสุทฺธสีเล ฐตฺวา วิปสฺสนํ วเฑฺฒตฺวา อรหตฺตุปฺปตฺติ อุตฺตมํ นามฯ
Hīnena brahmacariyenāti bāhiratitthāyatane tāva methunaviratisīlamattakaṃ hīnaṃ brahmacariyaṃ nāma, tena khattiyakule uppajjati. Jhānassa upacāramattaṃ majjhimaṃ, tena devaloke uppajjati. Aṭṭha samāpattiyo uttamaṃ, tena brahmaloke uppajjanto visujjhati nāma. Sāsane pana sīlavantasseva ekaṃ devanikāyaṃ paṇidhāya brahmacariyaṃ hīnaṃ nāma, parisuddhasīlasseva samāpattinibbattanaṃ majjhimaṃ nāma, parisuddhasīle ṭhatvā vipassanaṃ vaḍḍhetvā arahattuppatti uttamaṃ nāma.
โอสานคาถาย อยมโตฺถ – มหาราช, กิญฺจาปิ เอกํเสเนว ทานํ พหุธา ปสตฺถํ วณฺณิตํ, ทานโต ปน สมถวิปสฺสนาสงฺขาตํ นิพฺพานสงฺขาตญฺจ ธมฺมโกฎฺฐาสภูตํ ธมฺมปทเมว อุตฺตริตรํฯ กิํการณา? ปุเพฺพว หิ อิมสฺมิํ กเปฺป กสฺสปทสพลาทโย ปุพฺพตเรว เวสฺสภูทสพลาทโย สโนฺต สปฺปุริสา สปญฺญา สมถวิปสฺสนํ ภาเวตฺวา นิพฺพานเมว อชฺฌคมุํ อธิคตาติฯ
Osānagāthāya ayamattho – mahārāja, kiñcāpi ekaṃseneva dānaṃ bahudhā pasatthaṃ vaṇṇitaṃ, dānato pana samathavipassanāsaṅkhātaṃ nibbānasaṅkhātañca dhammakoṭṭhāsabhūtaṃ dhammapadameva uttaritaraṃ. Kiṃkāraṇā? Pubbeva hi imasmiṃ kappe kassapadasabalādayo pubbatareva vessabhūdasabalādayo santo sappurisā sapaññā samathavipassanaṃ bhāvetvā nibbānameva ajjhagamuṃ adhigatāti.
เอวํ สตฺต ปเจฺจกพุทฺธา อนุโมทนาย รโญฺญ อมตมหานิพฺพานํ วเณฺณตฺวา ราชานํ อปฺปมาเทน โอวทิตฺวา วุตฺตนเยเนว อตฺตโน วสนฎฺฐานเมว คตาฯ ราชาปิ สทฺธิํ อคฺคมเหสิยา ทานํ ทตฺวา ยาวชีวํ ฐตฺวา ตโต จวิตฺวา สคฺคปุรํ ปูเรสิฯ
Evaṃ satta paccekabuddhā anumodanāya rañño amatamahānibbānaṃ vaṇṇetvā rājānaṃ appamādena ovaditvā vuttanayeneva attano vasanaṭṭhānameva gatā. Rājāpi saddhiṃ aggamahesiyā dānaṃ datvā yāvajīvaṃ ṭhatvā tato cavitvā saggapuraṃ pūresi.
สตฺถา อิมํ ธมฺมเทสนํ อาหริตฺวา ‘‘เอวํ ปุเพฺพปิ ปณฺฑิตา วิเจยฺย ทานํ อทํสู’’ติ วตฺวา ชาตกํ สโมธาเนสิ – ‘‘ตทา ปเจฺจกพุทฺธา ปรินิพฺพายิํสุ, สมุทฺทวิชยา ราหุลมาตา อโหสิ, โรรุวมหาราชา ปน อหเมว อโหสิ’’นฺติฯ
Satthā imaṃ dhammadesanaṃ āharitvā ‘‘evaṃ pubbepi paṇḍitā viceyya dānaṃ adaṃsū’’ti vatvā jātakaṃ samodhānesi – ‘‘tadā paccekabuddhā parinibbāyiṃsu, samuddavijayā rāhulamātā ahosi, roruvamahārājā pana ahameva ahosi’’nti.
อาทิตฺตชาตกวณฺณนา อฎฺฐมาฯ
Ādittajātakavaṇṇanā aṭṭhamā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / ชาตกปาฬิ • Jātakapāḷi / ๔๒๔. อาทิตฺตชาตกํ • 424. Ādittajātakaṃ