Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / สารตฺถทีปนี-ฎีกา • Sāratthadīpanī-ṭīkā

    อาทิตฺตปริยายสุตฺตวณฺณนา

    Ādittapariyāyasuttavaṇṇanā

    ๕๔. อิทานิ ตสฺส ภิกฺขุสหสฺสสฺส อาทิตฺตปริยายเทสนาย อรหตฺตปฺปตฺติํ ทเสฺสตุํ ‘‘อถ โข ภควา’’ติอาทิ อารทฺธํฯ ตตฺถ คยายํ วิหรติ คยาสีเสติ คยานามิกาย นทิยา อวิทูเร ภวตฺตา คาโม คยา นาม, ตสฺสํ คยายํ วิหรติฯ สมีปเตฺถ เจตํ ภุมฺมวจนํฯ คยาคามสฺส หิ อวิทูเร คยาติ เอกา โปกฺขรณีปิ อตฺถิ นทีปิ คยาสีสนามโก หตฺถิกุมฺภสทิโส ปิฎฺฐิปาสาโณปิฯ ยตฺถ ภิกฺขุสหสฺสสฺส โอกาโส ปโหติ, ภควา ตตฺถ วิหรติฯ เตน วุตฺตํ ‘‘คยาสีเส’’ติ, คยาคามสฺส อาสเนฺน คยาสีสนามเก ปิฎฺฐิปาสาเณ วิหรตีติ วุตฺตํ โหติฯ ภิกฺขู อามเนฺตสีติ เตสํ สปฺปายธมฺมเทสนํ วิจินิตฺวา ตํ เทเสสฺสามีติ อามเนฺตสิฯ ภควา หิ ตํ อิทฺธิมยปตฺตจีวรธรํ สมณสหสฺสํ อาทาย คยาสีสํ คนฺตฺวา เตน ปริวาริโต นิสีทิตฺวา ‘‘กตรา นุ โข เอเตสํ ธมฺมกถา สปฺปายา’’ติ จิเนฺตโนฺต ‘‘อิเม สายํ ปาตํ อคฺคิํ ปริจรนฺติ, อิเมสํ ทฺวาทสายตนานิ อาทิตฺตานิ สมฺปชฺชลิตานิ วิย กตฺวา ทเสฺสสฺสามิ, เอวํ อิเม อรหตฺตํ ปาปุณิตุํ สกฺขิสฺสนฺตี’’ติ สนฺนิฎฺฐานมกาสิฯ อถ เนสํ ตถา เทเสตุํ ‘‘สพฺพํ, ภิกฺขเว, อาทิตฺต’’นฺติอาทินา อิมํ อาทิตฺตปริยายํ อภาสิฯ

    54. Idāni tassa bhikkhusahassassa ādittapariyāyadesanāya arahattappattiṃ dassetuṃ ‘‘atha khobhagavā’’tiādi āraddhaṃ. Tattha gayāyaṃ viharati gayāsīseti gayānāmikāya nadiyā avidūre bhavattā gāmo gayā nāma, tassaṃ gayāyaṃ viharati. Samīpatthe cetaṃ bhummavacanaṃ. Gayāgāmassa hi avidūre gayāti ekā pokkharaṇīpi atthi nadīpi gayāsīsanāmako hatthikumbhasadiso piṭṭhipāsāṇopi. Yattha bhikkhusahassassa okāso pahoti, bhagavā tattha viharati. Tena vuttaṃ ‘‘gayāsīse’’ti, gayāgāmassa āsanne gayāsīsanāmake piṭṭhipāsāṇe viharatīti vuttaṃ hoti. Bhikkhū āmantesīti tesaṃ sappāyadhammadesanaṃ vicinitvā taṃ desessāmīti āmantesi. Bhagavā hi taṃ iddhimayapattacīvaradharaṃ samaṇasahassaṃ ādāya gayāsīsaṃ gantvā tena parivārito nisīditvā ‘‘katarā nu kho etesaṃ dhammakathā sappāyā’’ti cintento ‘‘ime sāyaṃ pātaṃ aggiṃ paricaranti, imesaṃ dvādasāyatanāni ādittāni sampajjalitāni viya katvā dassessāmi, evaṃ ime arahattaṃ pāpuṇituṃ sakkhissantī’’ti sanniṭṭhānamakāsi. Atha nesaṃ tathā desetuṃ ‘‘sabbaṃ, bhikkhave, āditta’’ntiādinā imaṃ ādittapariyāyaṃ abhāsi.

    ตตฺถ (สํ. นิ. อฎฺฐ. ๓.๔.๒๓) สพฺพํ นาม จตุพฺพิธํ สพฺพสพฺพํ อายตนสพฺพํ สกฺกายสพฺพํ ปเทสสพฺพนฺติฯ ตตฺถ –

    Tattha (saṃ. ni. aṭṭha. 3.4.23) sabbaṃ nāma catubbidhaṃ sabbasabbaṃ āyatanasabbaṃ sakkāyasabbaṃ padesasabbanti. Tattha –

    ‘‘น ตสฺส อทฺทิฎฺฐมิธตฺถิ กิญฺจิ;

    ‘‘Na tassa addiṭṭhamidhatthi kiñci;

    อโถ อวิญฺญาตมชานิตพฺพํ;

    Atho aviññātamajānitabbaṃ;

    สพฺพํ อภิญฺญาสิ ยทตฺถิ เนยฺยํ;

    Sabbaṃ abhiññāsi yadatthi neyyaṃ;

    ตถาคโต เตน สมนฺตจกฺขู’’ติ (มหานิ. ๑๕๖; จูฬนิ. โธตกมาณวปุจฺฉานิเทฺทส ๓๒; ปฎิ. ม. ๑.๑๒๑) –

    Tathāgato tena samantacakkhū’’ti (mahāni. 156; cūḷani. dhotakamāṇavapucchāniddesa 32; paṭi. ma. 1.121) –

    อิทํ สพฺพสพฺพํ นามฯ ‘‘สพฺพํ โว, ภิกฺขเว, เทเสสฺสามิ, ตํ สุณาถา’’ติ (สํ. นิ. ๔.๒๓) อิทํ อายตนสพฺพํ นามฯ ‘‘สพฺพธมฺมมูลปริยายํ โว, ภิกฺขเว, เทเสสฺสามี’’ติ (ม. นิ. ๑.๑) อิทํ สกฺกายสพฺพํ นามฯ ‘‘สพฺพธเมฺมสุ วา ปฐมสมนฺนาหาโร อุปฺปชฺชติ จิตฺตํ มโน มานสํ ตชฺชา มโนวิญฺญาณธาตู’’ติ อิทํ ปเทสสพฺพํ นามฯ อิติ ปญฺจารมฺมณมตฺตํ ปเทสสพฺพํ, เตภูมกา ธมฺมา สกฺกายสพฺพํ, จตุภูมกา ธมฺมา อายตนสพฺพํ, ยํ กิญฺจิ เนยฺยํ สพฺพสพฺพํฯ ปเทสสพฺพํ สกฺกายสพฺพํ น ปาปุณาติ ตสฺส เตภูมกธเมฺมสุปิ เอกเทสสฺส อสงฺคณฺหนโตฯ สกฺกายสพฺพํ อายตนสพฺพํ น ปาปุณาติ โลกุตฺตรธมฺมานํ อสงฺคณฺหนโตฯ อายตนสพฺพํ สพฺพสพฺพํ น ปาปุณาติฯ กสฺมา? ยสฺมา อายตนสเพฺพน จตุภูมกธมฺมาว ปริคฺคหิตา , น ลกฺขณปญฺญตฺติโยติฯ อิมสฺมิํ ปน สุเตฺต อายตนสพฺพํ อธิเปฺปตํ, ตตฺถาปิ อิธ วิปสฺสนุปคธมฺมาว คเหตพฺพาฯ

    Idaṃ sabbasabbaṃ nāma. ‘‘Sabbaṃ vo, bhikkhave, desessāmi, taṃ suṇāthā’’ti (saṃ. ni. 4.23) idaṃ āyatanasabbaṃ nāma. ‘‘Sabbadhammamūlapariyāyaṃ vo, bhikkhave, desessāmī’’ti (ma. ni. 1.1) idaṃ sakkāyasabbaṃ nāma. ‘‘Sabbadhammesu vā paṭhamasamannāhāro uppajjati cittaṃ mano mānasaṃ tajjā manoviññāṇadhātū’’ti idaṃ padesasabbaṃ nāma. Iti pañcārammaṇamattaṃ padesasabbaṃ, tebhūmakā dhammā sakkāyasabbaṃ, catubhūmakā dhammā āyatanasabbaṃ, yaṃ kiñci neyyaṃ sabbasabbaṃ. Padesasabbaṃ sakkāyasabbaṃ na pāpuṇāti tassa tebhūmakadhammesupi ekadesassa asaṅgaṇhanato. Sakkāyasabbaṃ āyatanasabbaṃ na pāpuṇāti lokuttaradhammānaṃ asaṅgaṇhanato. Āyatanasabbaṃ sabbasabbaṃ na pāpuṇāti. Kasmā? Yasmā āyatanasabbena catubhūmakadhammāva pariggahitā , na lakkhaṇapaññattiyoti. Imasmiṃ pana sutte āyatanasabbaṃ adhippetaṃ, tatthāpi idha vipassanupagadhammāva gahetabbā.

    จกฺขูติ (ธ. ส. อฎฺฐ. ๕๙๖; สํ. นิ. อฎฺฐ. ๓.๔.๑) เทฺว จกฺขูนิ ญาณจกฺขุ เจว มํสจกฺขุ จฯ ตตฺถ ญาณจกฺขุ ปญฺจวิธํ พุทฺธจกฺขุ ธมฺมจกฺขุ สมนฺตจกฺขุ ทิพฺพจกฺขุ ปญฺญาจกฺขูติฯ เตสุ พุทฺธจกฺขุ นาม อาสยานุสยญาณเญฺจว อินฺทฺริยปโรปริยตฺตญาณญฺจ, ยํ ‘‘พุทฺธจกฺขุนา โลกํ โวโลเกโนฺต’’ติ (ที. นิ. ๒.๖๙; ม. นิ. ๑.๒๘๓) อาคตํฯ ธมฺมจกฺขุ นาม เหฎฺฐิมา ตโย มคฺคา ตีณิ จ ผลานิ, ยํ ‘‘วิรชํ วีตมลํ ธมฺมจกฺขุํ อุทปาที’’ติ (ที. นิ. ๑.๓๕๕; สํ. นิ. ๕.๑๐๘๑) อาคตํฯ สมนฺตจกฺขุ นาม สพฺพญฺญุตญฺญาณํ, ยํ ‘‘ปาสาทมารุยฺห สมนฺตจกฺขู’’ติ (ที. นิ. ๒.๗๐; ม. นิ. ๑.๒๘๒) อาคตํฯ ทิพฺพจกฺขุ นาม อาโลกวฑฺฒเนน อุปฺปนฺนญาณํ, ยํ ‘‘ทิเพฺพน จกฺขุนา วิสุเทฺธนา’’ติ (ม. นิ. ๑.๑๔๘, ๒๘๔) อาคตํฯ ปญฺญาจกฺขุ นาม จตุสจฺจปริเจฺฉทกญาณํ, ยํ ‘‘จกฺขุํ อุทปาที’’ติ (สํ. นิ. ๕.๑๐๘๑; มหาว. ๑๕) อาคตํฯ มํสจกฺขุปิ ทุวิธํ สสมฺภารจกฺขุ ปสาทจกฺขูติฯ เตสุ ยฺวายํ อกฺขิกูปเก อกฺขิปฎเลหิ ปริวาริโต มํสปิโณฺฑ, ยตฺถ จตโสฺส ธาตุโย วณฺณคนฺธรโสชา สมฺภโว ชีวิตํ ภาโว จกฺขุปฺปสาโท กายปฺปสาโทติ สเงฺขปโต เตรส สมฺภารา โหนฺติ, วิตฺถารโต ปน จตโสฺส ธาตุโย วณฺณคนฺธรโสชา สมฺภโวติ อิเม นว จตุสมุฎฺฐานวเสน ฉตฺติํส, ชีวิตํ ภาโว จกฺขุปฺปสาโท กายปฺปสาโทติ อิเม กมฺมสมุฎฺฐานา ตาว จตฺตาโรติ จตฺตาลีส สมฺภารา โหนฺติ, อิทํ สสมฺภารจกฺขุ นามฯ ยํ ปเนตฺถ เสตมณฺฑลปริจฺฉิเนฺนน กณฺหมณฺฑเลน ปริวาริเต ทิฎฺฐิมณฺฑเล สนฺนิวิฎฺฐํ รูปทสฺสนสมตฺถํ ปสาทมตฺตํ, อิทํ ปสาทจกฺขุ นามฯ ตสฺส ตโต ปเรสญฺจ โสตาทีนํ วิตฺถารกถา วิสุทฺธิมเคฺค (วิสุทฺธิ. ๒.๔๓๖) วุตฺตาวฯ

    Cakkhūti (dha. sa. aṭṭha. 596; saṃ. ni. aṭṭha. 3.4.1) dve cakkhūni ñāṇacakkhu ceva maṃsacakkhu ca. Tattha ñāṇacakkhu pañcavidhaṃ buddhacakkhu dhammacakkhu samantacakkhu dibbacakkhu paññācakkhūti. Tesu buddhacakkhu nāma āsayānusayañāṇañceva indriyaparopariyattañāṇañca, yaṃ ‘‘buddhacakkhunā lokaṃ volokento’’ti (dī. ni. 2.69; ma. ni. 1.283) āgataṃ. Dhammacakkhu nāma heṭṭhimā tayo maggā tīṇi ca phalāni, yaṃ ‘‘virajaṃ vītamalaṃ dhammacakkhuṃ udapādī’’ti (dī. ni. 1.355; saṃ. ni. 5.1081) āgataṃ. Samantacakkhu nāma sabbaññutaññāṇaṃ, yaṃ ‘‘pāsādamāruyha samantacakkhū’’ti (dī. ni. 2.70; ma. ni. 1.282) āgataṃ. Dibbacakkhu nāma ālokavaḍḍhanena uppannañāṇaṃ, yaṃ ‘‘dibbena cakkhunā visuddhenā’’ti (ma. ni. 1.148, 284) āgataṃ. Paññācakkhu nāma catusaccaparicchedakañāṇaṃ, yaṃ ‘‘cakkhuṃ udapādī’’ti (saṃ. ni. 5.1081; mahāva. 15) āgataṃ. Maṃsacakkhupi duvidhaṃ sasambhāracakkhu pasādacakkhūti. Tesu yvāyaṃ akkhikūpake akkhipaṭalehi parivārito maṃsapiṇḍo, yattha catasso dhātuyo vaṇṇagandharasojā sambhavo jīvitaṃ bhāvo cakkhuppasādo kāyappasādoti saṅkhepato terasa sambhārā honti, vitthārato pana catasso dhātuyo vaṇṇagandharasojā sambhavoti ime nava catusamuṭṭhānavasena chattiṃsa, jīvitaṃ bhāvo cakkhuppasādo kāyappasādoti ime kammasamuṭṭhānā tāva cattāroti cattālīsa sambhārā honti, idaṃ sasambhāracakkhu nāma. Yaṃ panettha setamaṇḍalaparicchinnena kaṇhamaṇḍalena parivārite diṭṭhimaṇḍale sanniviṭṭhaṃ rūpadassanasamatthaṃ pasādamattaṃ, idaṃ pasādacakkhu nāma. Tassa tato paresañca sotādīnaṃ vitthārakathā visuddhimagge (visuddhi. 2.436) vuttāva.

    ตตฺถ ยทิทํ ปสาทจกฺขุ, ตญฺจ คเหตฺวา ภควา ‘‘จกฺขุ อาทิตฺต’’นฺติอาทิมาหฯ ตตฺถ อาทิตฺตนฺติ ปทิตฺตํ, สมฺปชฺชลิตํ เอกาทสหิ อคฺคีหิ เอกชาลีภูตนฺติ อโตฺถฯ จกฺขุสนฺนิสฺสิตํ วิญฺญาณํ จกฺขุวิญฺญาณํ, จกฺขุสฺส วา การณภูตสฺส วิญฺญาณํ จกฺขุวิญฺญาณํฯ กามํ รูปาโลกมนสิการาทโยปิ ตสฺส วิญฺญาณสฺส การณํ, เต ปน สาธารณการณํ, จกฺขุ อสาธารณนฺติ อสาธารณการเณนายํ นิเทฺทโส ยถา ‘‘ยวงฺกุโร’’ติฯ โสตวิญฺญาณาทีสุปิ เอเสว นโยฯ จกฺขุสนฺนิสฺสิโต ผโสฺส จกฺขุสมฺผโสฺส, จกฺขุวิญฺญาณสมฺปยุตฺตผสฺสเสฺสตํ อธิวจนํฯ โสตสมฺผสฺสาทีสุปิ เอเสว นโยฯ จกฺขุสมฺผสฺสปจฺจยา อุปฺปชฺชติ เวทยิตนฺติ จกฺขุสมฺผสฺสํ มูลปจฺจยํ กตฺวา อุปฺปนฺนา สมฺปฎิจฺฉนสนฺตีรณโวฎฺฐพฺพนชวนเวทนาฯ จกฺขุวิญฺญาณสมฺปยุตฺตาย ปน เวทนาย จกฺขุสมฺผสฺสสฺส ปจฺจยภาเว วตฺตพฺพเมว นตฺถิฯ จกฺขุสมฺผโสฺส หิ สหชาตาย เวทนาย สหชาตาทิวเสน, อสหชาตาย อุปนิสฺสยาทิวเสน ปจฺจโย โหติฯ เตเนว ‘‘จกฺขุสมฺผสฺสปจฺจยา อุปฺปชฺชติ เวทยิตํ สุขํ วา ทุกฺขํ วา อทุกฺขมสุขํ วา’’ติ วุตฺตํฯ โสตทฺวารเวทนาทีสุปิ เอเสว นโยฯ เอตฺถ ปน มโนติ ภวงฺคจิตฺตํ มโนทฺวารสฺส อธิเปฺปตตฺตาฯ ธมฺมาติ ธมฺมารมฺมณํฯ มโนวิญฺญาณนฺติ สหาวชฺชนกํ ชวนํฯ มโนสมฺผโสฺสติ ภวงฺคสหชาโต ผโสฺสฯ เวทยิตนฺติ อาวชฺชนเวทนาย สทฺธิํ ชวนเวทนาฯ ภวงฺคสมฺปยุตฺตาย ปน เวทนาย คหเณ วตฺตพฺพเมว นตฺถิฯ อาวชฺชนํ วา ภวงฺคโต อโมเจตฺวา มโนติ สาวชฺชนํ ภวงฺคํ ทฎฺฐพฺพํฯ ธมฺมาติ ธมฺมารมฺมณเมวฯ มโนวิญฺญาณนฺติ ชวนวิญฺญาณํฯ มโนสมฺผโสฺสติ ภวงฺคาวชฺชนสหชาโต ผโสฺสฯ เวทยิตนฺติ ชวนสหชาตา เวทนา, ภวงฺคาวชฺชนสหชาตาปิ วฎฺฎติเยวฯ

    Tattha yadidaṃ pasādacakkhu, tañca gahetvā bhagavā ‘‘cakkhu āditta’’ntiādimāha. Tattha ādittanti padittaṃ, sampajjalitaṃ ekādasahi aggīhi ekajālībhūtanti attho. Cakkhusannissitaṃ viññāṇaṃ cakkhuviññāṇaṃ, cakkhussa vā kāraṇabhūtassa viññāṇaṃ cakkhuviññāṇaṃ. Kāmaṃ rūpālokamanasikārādayopi tassa viññāṇassa kāraṇaṃ, te pana sādhāraṇakāraṇaṃ, cakkhu asādhāraṇanti asādhāraṇakāraṇenāyaṃ niddeso yathā ‘‘yavaṅkuro’’ti. Sotaviññāṇādīsupi eseva nayo. Cakkhusannissito phasso cakkhusamphasso, cakkhuviññāṇasampayuttaphassassetaṃ adhivacanaṃ. Sotasamphassādīsupi eseva nayo. Cakkhusamphassapaccayā uppajjativedayitanti cakkhusamphassaṃ mūlapaccayaṃ katvā uppannā sampaṭicchanasantīraṇavoṭṭhabbanajavanavedanā. Cakkhuviññāṇasampayuttāya pana vedanāya cakkhusamphassassa paccayabhāve vattabbameva natthi. Cakkhusamphasso hi sahajātāya vedanāya sahajātādivasena, asahajātāya upanissayādivasena paccayo hoti. Teneva ‘‘cakkhusamphassapaccayā uppajjati vedayitaṃ sukhaṃ vā dukkhaṃ vā adukkhamasukhaṃ vā’’ti vuttaṃ. Sotadvāravedanādīsupi eseva nayo. Ettha pana manoti bhavaṅgacittaṃ manodvārassa adhippetattā. Dhammāti dhammārammaṇaṃ. Manoviññāṇanti sahāvajjanakaṃ javanaṃ. Manosamphassoti bhavaṅgasahajāto phasso. Vedayitanti āvajjanavedanāya saddhiṃ javanavedanā. Bhavaṅgasampayuttāya pana vedanāya gahaṇe vattabbameva natthi. Āvajjanaṃ vā bhavaṅgato amocetvā manoti sāvajjanaṃ bhavaṅgaṃ daṭṭhabbaṃ. Dhammāti dhammārammaṇameva. Manoviññāṇanti javanaviññāṇaṃ. Manosamphassoti bhavaṅgāvajjanasahajāto phasso. Vedayitanti javanasahajātā vedanā, bhavaṅgāvajjanasahajātāpi vaṭṭatiyeva.

    ราคคฺคินาติอาทีสุ ราโคว อนุทหนเฎฺฐน อคฺคีติ ราคคฺคิฯ ราโค หิ ติขิณํ หุตฺวา อุปฺปชฺชมาโน สเตฺต อนุทหติ ฌาเปติ, ตสฺมา ‘‘อคฺคี’’ติ วุจฺจติฯ อิตเรสุปิ ทฺวีสุ เอเสว นโยฯ ตตฺริมานิ วตฺถูนิ (ที. นิ. อฎฺฐ. ๓.๓๐๕; วิภ. อฎฺฐ. ๙๒๔) – เอกา ทหรภิกฺขุนี จิตฺตลปพฺพตวิหาเร อุโปสถาคารํ คนฺตฺวา ทฺวารปาลรูปํ โอโลกยมานา ฐิตาฯ อถสฺสา อโนฺต ราโค ติขิณตโร หุตฺวา อุปฺปโนฺน, ตสฺมา ตํสมุฎฺฐานา เตโชธาตุ อติวิย ติขิณภาเวน สทฺธิํ อตฺตนา สหชาตธเมฺมหิ หทยปเทสํ ฌาเปสิ ยถา ตํ พาหิรา เตโชธาตุ สนฺนิสฺสยํ, เตน สา ภิกฺขุนี ฌายิตฺวา กาลมกาสิฯ ภิกฺขุนิโย คจฺฉมานา ‘‘อยํ ทหรา ฐิตา, ปโกฺกสถ น’’นฺติ อาหํสุฯ เอกา คนฺตฺวา ‘‘กสฺมา ฐิตาสี’’ติ หเตฺถ คณฺหิฯ คหิตมตฺตา ปริวตฺติตฺวา ปปตาฯ อิทํ ตาว ราคสฺส อนุทหนตาย วตฺถุฯ

    Rāgagginātiādīsu rāgova anudahanaṭṭhena aggīti rāgaggi. Rāgo hi tikhiṇaṃ hutvā uppajjamāno satte anudahati jhāpeti, tasmā ‘‘aggī’’ti vuccati. Itaresupi dvīsu eseva nayo. Tatrimāni vatthūni (dī. ni. aṭṭha. 3.305; vibha. aṭṭha. 924) – ekā daharabhikkhunī cittalapabbatavihāre uposathāgāraṃ gantvā dvārapālarūpaṃ olokayamānā ṭhitā. Athassā anto rāgo tikhiṇataro hutvā uppanno, tasmā taṃsamuṭṭhānā tejodhātu ativiya tikhiṇabhāvena saddhiṃ attanā sahajātadhammehi hadayapadesaṃ jhāpesi yathā taṃ bāhirā tejodhātu sannissayaṃ, tena sā bhikkhunī jhāyitvā kālamakāsi. Bhikkhuniyo gacchamānā ‘‘ayaṃ daharā ṭhitā, pakkosatha na’’nti āhaṃsu. Ekā gantvā ‘‘kasmā ṭhitāsī’’ti hatthe gaṇhi. Gahitamattā parivattitvā papatā. Idaṃ tāva rāgassa anudahanatāya vatthu.

    โทสสฺส ปน อนุทหนตาย มโนปโทสิกา เทวา ทฎฺฐพฺพาฯ เตสุ (ที. นิ. อฎฺฐ. ๑.๔๗-๔๘) กิร เอโก เทวปุโตฺต ‘‘นกฺขตฺตํ กีฬิสฺสามี’’ติ สปริวาโร รเถน วีถิํ ปฎิปชฺชติฯ อถโญฺญ นิกฺขมโนฺต ตํ ปุรโต คจฺฉนฺตํ ทิสฺวา ‘‘โภ อยํ กปโณ อทิฎฺฐปุพฺพํ วิย เอตํ ทิสฺวา ปีติยา อุทฺธุมาโต วิย ภิชฺชมาโน วิย จ คจฺฉตี’’ติ กุชฺฌติฯ ปุรโต คจฺฉโนฺตปิ นิวตฺติตฺวา ตํ กุทฺธํ ทิสฺวา กุทฺธา นาม สุวิชานา โหนฺตีติ กุทฺธภาวมสฺส ญตฺวา ‘‘ตฺวํ กุโทฺธ มยฺหํ กิํ กริสฺสสิ, อยํ สมฺปตฺติ มยา ทานสีลาทีนํ วเสน ลทฺธา, น ตุยฺหํ วเสนา’’ติ ปฎิกุชฺฌติฯ เอกสฺมิญฺหิ กุเทฺธ อิตโร อกุโทฺธ รกฺขติฯ กุทฺธสฺส หิ โส โกโธ อิตรสฺมิํ อกุชฺฌเนฺต อนุปาทาโน เอกวารเมว อุปฺปตฺติยา อนาเสวโน จาเวตุํ น สโกฺกติ, อุทกํ ปตฺวา อคฺคิ วิย นิพฺพายติ, ตสฺมา อกุโทฺธ ตํ จวนโต รกฺขติฯ อุโภสุ ปน กุเทฺธสุ เอกสฺส โกโธ อิตรสฺส ปจฺจโย โหติ, ตสฺสปิ โกโธ อิตรสฺส ปจฺจโย โหตีติ อุโภ กนฺทนฺตานํเยว โอโรธานํ จวนฺติฯ อุโภสุ หิ กุเทฺธสุ ภิโยฺย ภิโยฺย อญฺญมญฺญมฺหิ ปริวฑฺฒนวเสน ติขิณสมุทาจาโร นิสฺสยทหนรโส โกโธ อุปฺปชฺชมาโน หทยวตฺถุํ นิทฺทหโนฺต อจฺจนฺตสุขุมาลํ กรชกายํ วินาเสติ, ตโต สกโลปิ อตฺตภาโว อนฺตรธายติฯ อิทํ โทสสฺส อนุทหนตาย วตฺถุฯ

    Dosassa pana anudahanatāya manopadosikā devā daṭṭhabbā. Tesu (dī. ni. aṭṭha. 1.47-48) kira eko devaputto ‘‘nakkhattaṃ kīḷissāmī’’ti saparivāro rathena vīthiṃ paṭipajjati. Athañño nikkhamanto taṃ purato gacchantaṃ disvā ‘‘bho ayaṃ kapaṇo adiṭṭhapubbaṃ viya etaṃ disvā pītiyā uddhumāto viya bhijjamāno viya ca gacchatī’’ti kujjhati. Purato gacchantopi nivattitvā taṃ kuddhaṃ disvā kuddhā nāma suvijānā hontīti kuddhabhāvamassa ñatvā ‘‘tvaṃ kuddho mayhaṃ kiṃ karissasi, ayaṃ sampatti mayā dānasīlādīnaṃ vasena laddhā, na tuyhaṃ vasenā’’ti paṭikujjhati. Ekasmiñhi kuddhe itaro akuddho rakkhati. Kuddhassa hi so kodho itarasmiṃ akujjhante anupādāno ekavārameva uppattiyā anāsevano cāvetuṃ na sakkoti, udakaṃ patvā aggi viya nibbāyati, tasmā akuddho taṃ cavanato rakkhati. Ubhosu pana kuddhesu ekassa kodho itarassa paccayo hoti, tassapi kodho itarassa paccayo hotīti ubho kandantānaṃyeva orodhānaṃ cavanti. Ubhosu hi kuddhesu bhiyyo bhiyyo aññamaññamhi parivaḍḍhanavasena tikhiṇasamudācāro nissayadahanaraso kodho uppajjamāno hadayavatthuṃ niddahanto accantasukhumālaṃ karajakāyaṃ vināseti, tato sakalopi attabhāvo antaradhāyati. Idaṃ dosassa anudahanatāya vatthu.

    โมหสฺส ปน อนุทหนตาย ขิฑฺฑาปโทสิกา เทวา ทฎฺฐพฺพาฯ โมหวเสน หิ เตสํ สติสโมฺมโส โหติ, ตสฺมา ขิฑฺฑาวเสน อาหารกาลํ อติวเตฺตตฺวา กาลํ กโรนฺติฯ เต (ที. นิ. อฎฺฐ. ๑.๔๕-๔๖) กิร ปุญฺญวิเสสาธิคเตน มหเนฺตน อตฺตโน สิริวิภเวน นกฺขตฺตํ กีฬนฺตา ตาย สมฺปตฺติมหนฺตตาย ‘‘อาหารํ ปริภุญฺชิมฺห, น ปริภุญฺชิมฺหา’’ติปิ น ชานนฺติฯ อถ เอกาหาราติกฺกมนโต ปฎฺฐาย นิรนฺตรํ ขาทนฺตาปิ ปิวนฺตาปิ จวนฺติเยว น ติฎฺฐนฺติฯ กสฺมา? กมฺมชเตชสฺส พลวตายฯ มนุสฺสานญฺหิ กมฺมชเตโช มโนฺท, กรชกาโย พลวาฯ เตสํ เตชสฺส มนฺทตาย กรชกายสฺส พลวตาย สตฺตาหมฺปิ อติกฺกมิตฺวา อุโณฺหทกอจฺฉยาคุอาทีหิ สกฺกา วตฺถุํ อุปตฺถเมฺภตุํฯ เทวานํ ปน เตโช พลวา โหติ อุฬารปุญฺญนิพฺพตฺตตฺตา อุฬารครุสินิทฺธสุธาหารชิรณโต จ, กรชํ มนฺทํ มุทุสุขุมาลภาวโตฯ เตเนว หิ ภควา อินฺทสาลคุหายํ ปกติปถวิยํ ปติฎฺฐาตุํ อสโกฺกนฺตํ สกฺกํ เทวราชานํ ‘‘โอฬาริกกายํ อธิฎฺฐาหี’’ติ อาห, ตสฺมา เต เอกํ อาหารเวลํ อติกฺกมิตฺวา สณฺฐาตุํ น สโกฺกนฺติฯ ยถา นาม คิมฺหานํ มชฺฌนฺหิเก ตตฺตปาสาเณ ฐปิตํ ปทุมํ วา อุปฺปลํ วา สายนฺหสมเย ฆฎสเตนปิ สิญฺจิยมานํ ปากติกํ น โหติ วินสฺสติเยว, เอวเมว ปจฺฉา นิรนฺตรํ ขาทนฺตาปิ ปิวนฺตาปิ จวนฺติเยว น ติฎฺฐนฺติฯ

    Mohassa pana anudahanatāya khiḍḍāpadosikā devā daṭṭhabbā. Mohavasena hi tesaṃ satisammoso hoti, tasmā khiḍḍāvasena āhārakālaṃ ativattetvā kālaṃ karonti. Te (dī. ni. aṭṭha. 1.45-46) kira puññavisesādhigatena mahantena attano sirivibhavena nakkhattaṃ kīḷantā tāya sampattimahantatāya ‘‘āhāraṃ paribhuñjimha, na paribhuñjimhā’’tipi na jānanti. Atha ekāhārātikkamanato paṭṭhāya nirantaraṃ khādantāpi pivantāpi cavantiyeva na tiṭṭhanti. Kasmā? Kammajatejassa balavatāya. Manussānañhi kammajatejo mando, karajakāyo balavā. Tesaṃ tejassa mandatāya karajakāyassa balavatāya sattāhampi atikkamitvā uṇhodakaacchayāguādīhi sakkā vatthuṃ upatthambhetuṃ. Devānaṃ pana tejo balavā hoti uḷārapuññanibbattattā uḷāragarusiniddhasudhāhārajiraṇato ca, karajaṃ mandaṃ mudusukhumālabhāvato. Teneva hi bhagavā indasālaguhāyaṃ pakatipathaviyaṃ patiṭṭhātuṃ asakkontaṃ sakkaṃ devarājānaṃ ‘‘oḷārikakāyaṃ adhiṭṭhāhī’’ti āha, tasmā te ekaṃ āhāravelaṃ atikkamitvā saṇṭhātuṃ na sakkonti. Yathā nāma gimhānaṃ majjhanhike tattapāsāṇe ṭhapitaṃ padumaṃ vā uppalaṃ vā sāyanhasamaye ghaṭasatenapi siñciyamānaṃ pākatikaṃ na hoti vinassatiyeva, evameva pacchā nirantaraṃ khādantāpi pivantāpi cavantiyeva na tiṭṭhanti.

    โก ปน เตสํ อาหาโร, กา อาหารเวลาติ? สเพฺพสมฺปิ กามาวจรเทวานํ สุธา อาหาโร, โส เหฎฺฐิเมหิ เหฎฺฐิเมหิ อุปริมานํ อุปริมานํ ปณีตตโม โหติฯ ตํ ยถาสกํ ทิวสวเสน ทิวเส ทิวเส ภุญฺชนฺติฯ เกจิ ปน ‘‘พิฬารปทปฺปมาณํ สุธาหารํ ภุญฺชนฺติฯ โส ชิวฺหาย ฐปิตมโตฺต ยาว เกสคฺคนขคฺคา กายํ ผรติ, เตสํเยว ทิวสวเสน สตฺตทิวสํ ยาปนสมโตฺถว โหตี’’ติ วทนฺติฯ

    Ko pana tesaṃ āhāro, kā āhāravelāti? Sabbesampi kāmāvacaradevānaṃ sudhā āhāro, so heṭṭhimehi heṭṭhimehi uparimānaṃ uparimānaṃ paṇītatamo hoti. Taṃ yathāsakaṃ divasavasena divase divase bhuñjanti. Keci pana ‘‘biḷārapadappamāṇaṃ sudhāhāraṃ bhuñjanti. So jivhāya ṭhapitamatto yāva kesagganakhaggā kāyaṃ pharati, tesaṃyeva divasavasena sattadivasaṃ yāpanasamatthova hotī’’ti vadanti.

    เก ปน เต ขิฑฺฑาปโทสิกา นาม เทวาติ? อิเม นามาติ อฎฺฐกถายํ วิจารณา นตฺถิ, ‘‘กมฺมชเตโช พลวา โหติ, กรชํ มนฺท’’นฺติ อวิเสเสน วุตฺตตฺตา ปน เย เกจิ กพฬีการาหารูปชีวิโน เอวํ กโรนฺติ, เต เอวํ จวนฺตีติ เวทิตพฺพาฯ เกจิ ปนาหุ ‘‘นิมฺมานรติปรนิมฺมิตวสวตฺติโน เต เทวาฯ ขิฑฺฑาย ปทุสฺสนมเตฺตเนว เหเต ขิฑฺฑาปโทสิกาติ วุตฺตา’’ติฯ มโนปโทสิกา ปน จาตุมหาราชิกาติ อฎฺฐกถายเมว วุตฺตํฯ เกจิ ปน ‘‘ขิฑฺฑาปโทสิกาปิ จาตุมหาราชิกาเยวา’’ติ วทนฺติฯ เอวํ ตาว ราคาทโย ตโย อนุทหนเฎฺฐน ‘‘อคฺคี’’ติ เวทิตพฺพาฯ ชาติอาทิตฺตยํ ปน นานปฺปการทุกฺขวตฺถุภาเวน อนุทหนโต อคฺคิฯ โสกาทีนํ อนุทหนตา ปากฎาเยวฯ เสสเมตฺถ วุตฺตนยเมวฯ อิติ อิมสฺมิํ สุเตฺต ทุกฺขลกฺขณํ กถิตํ จกฺขาทีนํ เอกาทสหิ อคฺคีหิ อาทิตฺตภาเวน ทุกฺขมตาย ทุกฺขภาวสฺส กถิตตฺตาฯ

    Ke pana te khiḍḍāpadosikā nāma devāti? Ime nāmāti aṭṭhakathāyaṃ vicāraṇā natthi, ‘‘kammajatejo balavā hoti, karajaṃ manda’’nti avisesena vuttattā pana ye keci kabaḷīkārāhārūpajīvino evaṃ karonti, te evaṃ cavantīti veditabbā. Keci panāhu ‘‘nimmānaratiparanimmitavasavattino te devā. Khiḍḍāya padussanamatteneva hete khiḍḍāpadosikāti vuttā’’ti. Manopadosikā pana cātumahārājikāti aṭṭhakathāyameva vuttaṃ. Keci pana ‘‘khiḍḍāpadosikāpi cātumahārājikāyevā’’ti vadanti. Evaṃ tāva rāgādayo tayo anudahanaṭṭhena ‘‘aggī’’ti veditabbā. Jātiādittayaṃ pana nānappakāradukkhavatthubhāvena anudahanato aggi. Sokādīnaṃ anudahanatā pākaṭāyeva. Sesamettha vuttanayameva. Iti imasmiṃ sutte dukkhalakkhaṇaṃ kathitaṃ cakkhādīnaṃ ekādasahi aggīhi ādittabhāvena dukkhamatāya dukkhabhāvassa kathitattā.

    อาทิตฺตปริยายสุตฺตวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Ādittapariyāyasuttavaṇṇanā niṭṭhitā.

    อุรุเวลปาฎิหาริยกถาวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Uruvelapāṭihāriyakathāvaṇṇanā niṭṭhitā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / วินยปิฎก • Vinayapiṭaka / มหาวคฺคปาฬิ • Mahāvaggapāḷi / ๑๒. อุรุเวลปาฎิหาริยกถา • 12. Uruvelapāṭihāriyakathā

    ฎีกา • Tīkā / วินยปิฎก (ฎีกา) • Vinayapiṭaka (ṭīkā) / วชิรพุทฺธิ-ฎีกา • Vajirabuddhi-ṭīkā / อุรุเวลปาฎิหาริยกถาวณฺณนา • Uruvelapāṭihāriyakathāvaṇṇanā

    ฎีกา • Tīkā / วินยปิฎก (ฎีกา) • Vinayapiṭaka (ṭīkā) / วิมติวิโนทนี-ฎีกา • Vimativinodanī-ṭīkā / อุรุเวลปาฎิหาริยกถาวณฺณนา • Uruvelapāṭihāriyakathāvaṇṇanā


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact