Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / สํยุตฺตนิกาย (อฎฺฐกถา) • Saṃyuttanikāya (aṭṭhakathā) |
๖. อาทิตฺตสุตฺตวณฺณนา
6. Ādittasuttavaṇṇanā
๒๘. ฉเฎฺฐ คยาสีเสติ คยาคามสฺส หิ อวิทูเร คยาติ เอกา โปกฺขรณีปิ อตฺถิ นทีปิ, คยาสีสนามโก หตฺถิกุมฺภสทิโส ปิฎฺฐิปาสาโณปิ, ยตฺถ ภิกฺขุสหสฺสสฺสปิ โอกาโส ปโหติ, ภควา ตตฺถ วิหรติฯ เตน วุตฺตํ ‘‘คยาสีเส’’ติฯ ภิกฺขู อามเนฺตสีติ เตสํ สปฺปายธมฺมเทสนํ วิจินิตฺวา ตํ เทเสสฺสามีติ อามเนฺตสิฯ
28. Chaṭṭhe gayāsīseti gayāgāmassa hi avidūre gayāti ekā pokkharaṇīpi atthi nadīpi, gayāsīsanāmako hatthikumbhasadiso piṭṭhipāsāṇopi, yattha bhikkhusahassassapi okāso pahoti, bhagavā tattha viharati. Tena vuttaṃ ‘‘gayāsīse’’ti. Bhikkhū āmantesīti tesaṃ sappāyadhammadesanaṃ vicinitvā taṃ desessāmīti āmantesi.
ตตฺรายํ อนุปุพฺพิกถา – อิโต กิร ทฺวานวุติกเปฺป มหิโนฺท นาม ราชา อโหสิฯ ตสฺส เชฎฺฐปุโตฺต ผุโสฺส นามฯ โส ปูริตปารมี ปจฺฉิมภวิกสโตฺต, ปริปากคเต ญาเณ โพธิมณฺฑํ อารุยฺห สพฺพญฺญุตํ ปฎิวิชฺฌิ ฯ รโญฺญ กนิฎฺฐปุโตฺต ตสฺส อคฺคสาวโก อโหสิ, ปุโรหิตปุโตฺต ทุติยสาวโกฯ ราชา จิเนฺตสิ – ‘‘มยฺหํ เชฎฺฐปุโตฺต นิกฺขมิตฺวา พุโทฺธ ชาโต, กนิฎฺฐปุโตฺต อคฺคสาวโก, ปุโรหิตปุโตฺต ทุติยสาวโก’’ติฯ โส ‘‘อมฺหากํเยว พุโทฺธ, อมฺหากํ ธโมฺม, อมฺหากํ สโงฺฆ’’ติ วิหารํ กาเรตฺวา วิหารทฺวารโกฎฺฐกโต ยาว อตฺตโน ฆรทฺวารา อุภโต เวฬุภิตฺติกุฎิกาหิ ปริกฺขิปิตฺวา มตฺถเก สุวณฺณตารกขจิตสโมสริตคนฺธทามมาลาทามวิตานํ พนฺธาเปตฺวา เหฎฺฐา รชตวณฺณํ วาลุกํ สนฺถริตฺวา ปุปฺผานิ วิกิราเปตฺวา เตน มเคฺคน ภควโต อาคมนํ กาเรสิฯ
Tatrāyaṃ anupubbikathā – ito kira dvānavutikappe mahindo nāma rājā ahosi. Tassa jeṭṭhaputto phusso nāma. So pūritapāramī pacchimabhavikasatto, paripākagate ñāṇe bodhimaṇḍaṃ āruyha sabbaññutaṃ paṭivijjhi . Rañño kaniṭṭhaputto tassa aggasāvako ahosi, purohitaputto dutiyasāvako. Rājā cintesi – ‘‘mayhaṃ jeṭṭhaputto nikkhamitvā buddho jāto, kaniṭṭhaputto aggasāvako, purohitaputto dutiyasāvako’’ti. So ‘‘amhākaṃyeva buddho, amhākaṃ dhammo, amhākaṃ saṅgho’’ti vihāraṃ kāretvā vihāradvārakoṭṭhakato yāva attano gharadvārā ubhato veḷubhittikuṭikāhi parikkhipitvā matthake suvaṇṇatārakakhacitasamosaritagandhadāmamālādāmavitānaṃ bandhāpetvā heṭṭhā rajatavaṇṇaṃ vālukaṃ santharitvā pupphāni vikirāpetvā tena maggena bhagavato āgamanaṃ kāresi.
สตฺถา วิหารสฺมิํเยว ฐิโต จีวรํ ปารุปิตฺวา อโนฺตสาณิยาว สทฺธิํ ภิกฺขุสเงฺฆน ราชเคหํ อาคจฺฉติ, กตภตฺตกิโจฺจ อโนฺตสาณิยาว คจฺฉติฯ โกจิ กฎจฺฉุภิกฺขามตฺตมฺปิ ทาตุํ น ลภติฯ ตโต นาครา อุชฺฌายิํสุ, ‘‘พุโทฺธ โลเก อุปฺปโนฺน, น จ มยํ ปุญฺญานิ กาตุํ ลภามฯ ยถา หิ จนฺทิมสูริยา สเพฺพสํ อาโลกํ กโรนฺติ, เอวํ พุทฺธา นาม สเพฺพสํ หิตตฺถาย อุปฺปชฺชนฺติ, อยํ ปน ราชา สเพฺพสํ ปุญฺญเจตนํ อตฺตโนเยว อโนฺต ปเวเสตี’’ติฯ
Satthā vihārasmiṃyeva ṭhito cīvaraṃ pārupitvā antosāṇiyāva saddhiṃ bhikkhusaṅghena rājagehaṃ āgacchati, katabhattakicco antosāṇiyāva gacchati. Koci kaṭacchubhikkhāmattampi dātuṃ na labhati. Tato nāgarā ujjhāyiṃsu, ‘‘buddho loke uppanno, na ca mayaṃ puññāni kātuṃ labhāma. Yathā hi candimasūriyā sabbesaṃ ālokaṃ karonti, evaṃ buddhā nāma sabbesaṃ hitatthāya uppajjanti, ayaṃ pana rājā sabbesaṃ puññacetanaṃ attanoyeva anto pavesetī’’ti.
ตสฺส จ รโญฺญ อเญฺญ ตโย ปุตฺตา อตฺถิฯ นาครา เตหิ สทฺธิํ เอกโต หุตฺวา สมฺมนฺตยิํสุ, ‘‘ราชกุเลหิ สทฺธิํ อโฎฺฎ นาม นตฺถิ, เอกํ อุปายํ กโรมา’’ติฯ เต ปจฺจเนฺต โจเร อุฎฺฐาเปตฺวา, ‘‘กติปยา คามา ปหฎา’’ติ สาสนํ อาหราเปตฺวา รโญฺญ อาโรจยิํสุฯ ราชา ปุเตฺต ปโกฺกสาเปตฺวา‘‘ตาตา, อหํ มหลฺลโก, คจฺฉถ โจเร วูปสเมถา’’ติ เปเสสิฯ ปยุตฺตโจรา อิโต จิโต จ อวิปฺปกิริตฺวา เตสํ สนฺติกเมว อาคจฺฉิํสุฯ เต อนาวาเส คาเม วาเสตฺวา ‘‘วูปสมิตา โจรา’’ติ อาคนฺตฺวา ราชานํ วนฺทิตฺวา อฎฺฐํสุฯ
Tassa ca rañño aññe tayo puttā atthi. Nāgarā tehi saddhiṃ ekato hutvā sammantayiṃsu, ‘‘rājakulehi saddhiṃ aṭṭo nāma natthi, ekaṃ upāyaṃ karomā’’ti. Te paccante core uṭṭhāpetvā, ‘‘katipayā gāmā pahaṭā’’ti sāsanaṃ āharāpetvā rañño ārocayiṃsu. Rājā putte pakkosāpetvā‘‘tātā, ahaṃ mahallako, gacchatha core vūpasamethā’’ti pesesi. Payuttacorā ito cito ca avippakiritvā tesaṃ santikameva āgacchiṃsu. Te anāvāse gāme vāsetvā ‘‘vūpasamitā corā’’ti āgantvā rājānaṃ vanditvā aṭṭhaṃsu.
ราชา ตุโฎฺฐ ‘‘ตาตา, วรํ โว เทมี’’ติ อาหฯ เต อธิวาเสตฺวา คนฺตฺวา นาคเรหิ สทฺธิํ มนฺตยิํสุ, ‘‘รญฺญา อมฺหากํ วโร ทิโนฺนฯ กิํ คณฺหามา’’ติ? อยฺยปุตฺตา, ตุมฺหากํ หตฺถิอสฺสาทโย น ทุลฺลภา , พุทฺธรตนํ ปน ทุลฺลภํ, น สพฺพกาลํ อุปฺปชฺชติ, ตุมฺหากํ เชฎฺฐภาติกสฺส ผุสฺสพุทฺธสฺส ปฎิชคฺคนวรํ คณฺหถาติฯ เต ‘‘เอวํ กริสฺสามา’’ติ นาครานํ ปฎิสฺสุณิตฺวา กตมสฺสุกมฺมา สุนฺหาตา สุวิลิตฺตา รโญฺญ สนฺติกํ คนฺตฺวา, ‘‘เทว, โน วรํ เทถา’’ติ ยาจิํสุฯ กิํ คณฺหิสฺสถ ตาตาติ? เทว, อมฺหากํ หตฺถิอสฺสาทีหิ อโตฺถ นตฺถิ, เชฎฺฐภาติกสฺส โน ผุสฺสพุทฺธสฺส ปฎิชคฺคนวรํ เทถาติฯ ‘‘อยํ วโร น สกฺกา มยา ชีวมาเนน ทาตุ’’นฺติ เทฺว กเณฺณ ปิทหิฯ ‘‘เทว, น ตุเมฺห อเมฺหหิ พลกฺกาเรน วรํ ทาปิตา, ตุเมฺหหิ อตฺตโน รุจิยา ตุเฎฺฐหิ ทิโนฺนฯ กิํ, เทว, ราชกุลสฺส เทฺว กถา วฎฺฎนฺตี’’ติ? สจฺจวาทิตาย ภณิํสุฯ
Rājā tuṭṭho ‘‘tātā, varaṃ vo demī’’ti āha. Te adhivāsetvā gantvā nāgarehi saddhiṃ mantayiṃsu, ‘‘raññā amhākaṃ varo dinno. Kiṃ gaṇhāmā’’ti? Ayyaputtā, tumhākaṃ hatthiassādayo na dullabhā , buddharatanaṃ pana dullabhaṃ, na sabbakālaṃ uppajjati, tumhākaṃ jeṭṭhabhātikassa phussabuddhassa paṭijagganavaraṃ gaṇhathāti. Te ‘‘evaṃ karissāmā’’ti nāgarānaṃ paṭissuṇitvā katamassukammā sunhātā suvilittā rañño santikaṃ gantvā, ‘‘deva, no varaṃ dethā’’ti yāciṃsu. Kiṃ gaṇhissatha tātāti? Deva, amhākaṃ hatthiassādīhi attho natthi, jeṭṭhabhātikassa no phussabuddhassa paṭijagganavaraṃ dethāti. ‘‘Ayaṃ varo na sakkā mayā jīvamānena dātu’’nti dve kaṇṇe pidahi. ‘‘Deva, na tumhe amhehi balakkārena varaṃ dāpitā, tumhehi attano ruciyā tuṭṭhehi dinno. Kiṃ, deva, rājakulassa dve kathā vaṭṭantī’’ti? Saccavāditāya bhaṇiṃsu.
ราชา วินิวตฺติตุํ อลภโนฺต – ‘‘ตาตา, สตฺต สํวจฺฉเร สตฺต มาเส สตฺต จ ทิวเส อุปฎฺฐหิตฺวา ตุมฺหากํ ทสฺสามี’’ติ อาหฯ ‘‘สุนฺทรํ, เทว, ปาฎิโภคํ เทถา’’ติฯ ‘‘กิสฺส ปาฎิโภคํ ตาตา’’ติ? ‘‘เอตฺตกํ กาลํ อมรณปาฎิโภคํ เทวา’’ติฯ ‘‘ตาตา, อยุตฺตํ ปาฎิโภคํ ทาเปถ, น สกฺกา เอวํ ปาฎิโภคํ ทาตุํ, ติณเคฺค อุสฺสาวพินฺทุสทิสํ สตฺตานํ ชีวิต’’นฺติฯ ‘‘โน เจ, เทว, ปาฎิโภคํ เทถ, มยํ อนฺตรา มตา กิํ กุสลํ กริสฺสามา’’ติ? ‘‘เตน หิ, ตาตา, ฉ สํวจฺฉรานิ เทถา’’ติฯ ‘‘น สกฺกา, เทวา’’ติฯ ‘‘เตน หิ ปญฺจ, จตฺตาริ, ตีณิ, เทฺว, เอกํ สํวจฺฉรํ เทถ’’ฯ ‘‘สตฺต, ฉ มาเส เทถ…เป.… มาสฑฺฒมตฺตํ เทถา’’ติฯ ‘‘น สกฺกา, เทวา’’ติฯ ‘‘เตน หิ สตฺตทิวสมตฺตํ เทถา’’ติฯ ‘‘สาธุ, เทวาติ สตฺต ทิวเส สมฺปฎิจฺฉิํสุ’’ฯ ราชา สตฺต สํวจฺฉเร สตฺต มาเส สตฺต ทิวเส กตฺตพฺพสกฺการํ สตฺตสุเยว ทิวเสสุ อกาสิฯ
Rājā vinivattituṃ alabhanto – ‘‘tātā, satta saṃvacchare satta māse satta ca divase upaṭṭhahitvā tumhākaṃ dassāmī’’ti āha. ‘‘Sundaraṃ, deva, pāṭibhogaṃ dethā’’ti. ‘‘Kissa pāṭibhogaṃ tātā’’ti? ‘‘Ettakaṃ kālaṃ amaraṇapāṭibhogaṃ devā’’ti. ‘‘Tātā, ayuttaṃ pāṭibhogaṃ dāpetha, na sakkā evaṃ pāṭibhogaṃ dātuṃ, tiṇagge ussāvabindusadisaṃ sattānaṃ jīvita’’nti. ‘‘No ce, deva, pāṭibhogaṃ detha, mayaṃ antarā matā kiṃ kusalaṃ karissāmā’’ti? ‘‘Tena hi, tātā, cha saṃvaccharāni dethā’’ti. ‘‘Na sakkā, devā’’ti. ‘‘Tena hi pañca, cattāri, tīṇi, dve, ekaṃ saṃvaccharaṃ detha’’. ‘‘Satta, cha māse detha…pe… māsaḍḍhamattaṃ dethā’’ti. ‘‘Na sakkā, devā’’ti. ‘‘Tena hi sattadivasamattaṃ dethā’’ti. ‘‘Sādhu, devāti satta divase sampaṭicchiṃsu’’. Rājā satta saṃvacchare satta māse satta divase kattabbasakkāraṃ sattasuyeva divasesu akāsi.
ตโต ปุตฺตานํ วสนฎฺฐานํ สตฺถารํ เปเสตุํ อฎฺฐอุสภวิตฺถตํ มคฺคํ อลงฺการาเปสิ, มชฺฌฎฺฐาเน จตุอุสภปฺปมาณํ ปเทสํ หตฺถีหิ มทฺทาเปตฺวา กสิณมณฺฑลสทิสํ กตฺวา วาลุกาย สนฺถราเปตฺวา ปุปฺผาภิกิณฺณมกาสิ, ตตฺถ ตตฺถ กทลิโย จ ปุณฺณฆเฎ จ ฐปาเปตฺวา ธชปฎากา อุกฺขิปาเปสิฯ อุสเภ อุสเภ โปกฺขรณิํ ขณาเปสิ, อปรภาเค ทฺวีสุ ปเสฺสสุ คนฺธมาลาปุปฺผาปเณ ปสาราเปสิฯ มชฺฌฎฺฐาเน จตุอุสภวิตฺถารสฺส อลงฺกตมคฺคสฺส อุโภสุ ปเสฺสสุ เทฺว เทฺว อุสภวิตฺถาเร มเคฺค ขาณุกณฺฎเก หราเปตฺวา ทณฺฑทีปิกาโย การาเปสิฯ ราชปุตฺตาปิ อตฺตโน อาณาปวตฺติฎฺฐาเน โสฬสอุสภมคฺคํ ตเถว อลงฺการาเปสุํฯ
Tato puttānaṃ vasanaṭṭhānaṃ satthāraṃ pesetuṃ aṭṭhausabhavitthataṃ maggaṃ alaṅkārāpesi, majjhaṭṭhāne catuusabhappamāṇaṃ padesaṃ hatthīhi maddāpetvā kasiṇamaṇḍalasadisaṃ katvā vālukāya santharāpetvā pupphābhikiṇṇamakāsi, tattha tattha kadaliyo ca puṇṇaghaṭe ca ṭhapāpetvā dhajapaṭākā ukkhipāpesi. Usabhe usabhe pokkharaṇiṃ khaṇāpesi, aparabhāge dvīsu passesu gandhamālāpupphāpaṇe pasārāpesi. Majjhaṭṭhāne catuusabhavitthārassa alaṅkatamaggassa ubhosu passesu dve dve usabhavitthāre magge khāṇukaṇṭake harāpetvā daṇḍadīpikāyo kārāpesi. Rājaputtāpi attano āṇāpavattiṭṭhāne soḷasausabhamaggaṃ tatheva alaṅkārāpesuṃ.
ราชา อตฺตโน อาณาปวตฺติฎฺฐานสฺส เกทารสีมํ คนฺตฺวา สตฺถารํ วนฺทิตฺวา ปริเทวมาโน, ‘‘ตาตา, มยฺหํ ทกฺขิณกฺขิํ อุปฺปาเฎตฺวา คณฺหนฺตา วิย คจฺฉถ, เอวํ คณฺหิตฺวา คตา ปน พุทฺธานํ อนุจฺฉวิกํ กเรยฺยาถฯ มา สุราโสณฺฑา วิย ปมตฺตา วิจริตฺถา’’ติ อาหฯ เต ‘‘ชานิสฺสาม มยํ, เทวา’’ติ สตฺถารํ คเหตฺวา คตา, วิหารํ กาเรตฺวา สตฺถุ นิยฺยาเตตฺวา ตตฺถ สตฺถารํ ปฎิชคฺคนฺตา กาเลน เถราสเน, กาเลน มชฺฌิมาสเน, กาเลน สงฺฆนวกาสเน ติฎฺฐนฺติฯ ทานํ อุปปริกฺขมานานํ ติณฺณมฺปิ ชนานํ เอกสทิสเมว อโหสิฯ เต อุปกฎฺฐาย วสฺสูปนายิกาย จินฺตยิํสุ – ‘‘กถํ นุ โข สตฺถุ อชฺฌาสยํ คเณฺหยฺยามา’’ติ? อถ เนสํ เอตทโหสิ – ‘‘พุทฺธา นาม ธมฺมครุโน, น อามิสครุโน, สีเล ปติฎฺฐมานา มยํ สตฺถุ อชฺฌาสยํ คเหตุํ สกฺขิสฺสามา’’ติ ทานสํวิธายเก มนุเสฺส ปโกฺกสาเปตฺวา, ‘‘ตาตา, อิมินาว นีหาเรน ยาคุภตฺตขาทนียาทีนิ สมฺปาเทนฺตา ทานํ ปวเตฺตถา’’ติ วตฺวา ทานสํวิทหนปลิโพธํ ฉินฺทิํสุฯ
Rājā attano āṇāpavattiṭṭhānassa kedārasīmaṃ gantvā satthāraṃ vanditvā paridevamāno, ‘‘tātā, mayhaṃ dakkhiṇakkhiṃ uppāṭetvā gaṇhantā viya gacchatha, evaṃ gaṇhitvā gatā pana buddhānaṃ anucchavikaṃ kareyyātha. Mā surāsoṇḍā viya pamattā vicaritthā’’ti āha. Te ‘‘jānissāma mayaṃ, devā’’ti satthāraṃ gahetvā gatā, vihāraṃ kāretvā satthu niyyātetvā tattha satthāraṃ paṭijaggantā kālena therāsane, kālena majjhimāsane, kālena saṅghanavakāsane tiṭṭhanti. Dānaṃ upaparikkhamānānaṃ tiṇṇampi janānaṃ ekasadisameva ahosi. Te upakaṭṭhāya vassūpanāyikāya cintayiṃsu – ‘‘kathaṃ nu kho satthu ajjhāsayaṃ gaṇheyyāmā’’ti? Atha nesaṃ etadahosi – ‘‘buddhā nāma dhammagaruno, na āmisagaruno, sīle patiṭṭhamānā mayaṃ satthu ajjhāsayaṃ gahetuṃ sakkhissāmā’’ti dānasaṃvidhāyake manusse pakkosāpetvā, ‘‘tātā, imināva nīhārena yāgubhattakhādanīyādīni sampādentā dānaṃ pavattethā’’ti vatvā dānasaṃvidahanapalibodhaṃ chindiṃsu.
อถ เนสํ เชฎฺฐภาตา ปญฺจสเต ปุริเส อาทาย ทสสุ สีเลสุ ปติฎฺฐาย เทฺว กาสายานิ อจฺฉาเทตฺวา กปฺปิยํ อุทกํ ปริภุญฺชมาโน วาสํ กเปฺปสิฯ มชฺฌิโม ตีหิ, กนิโฎฺฐ ทฺวีหิ ปุริสสเตหิ สทฺธิํ ตเถว ปฎิปชฺชิฯ เต ยาวชีวํ สตฺถารํ อุปฎฺฐหิํสุฯ สตฺถา เตสํเยว สนฺติเก ปรินิพฺพายิฯ
Atha nesaṃ jeṭṭhabhātā pañcasate purise ādāya dasasu sīlesu patiṭṭhāya dve kāsāyāni acchādetvā kappiyaṃ udakaṃ paribhuñjamāno vāsaṃ kappesi. Majjhimo tīhi, kaniṭṭho dvīhi purisasatehi saddhiṃ tatheva paṭipajji. Te yāvajīvaṃ satthāraṃ upaṭṭhahiṃsu. Satthā tesaṃyeva santike parinibbāyi.
เตปิ กาลํ กตฺวา ตโต ปฎฺฐาย ทฺวานวุติกเปฺป มนุสฺสโลกโต เทวโลกํ, เทวโลกโต จ มนุสฺสโลกํ สํสรนฺตา อมฺหากํ สตฺถุกาเล เทวโลกา จวิตฺวา มนุสฺสโลเก นิพฺพตฺติํสุฯ เตสํ ทานเคฺค พฺยาวโฎ มหาอมโจฺจ องฺคมคธานํ ราชา พิมฺพิสาโร หุตฺวา นิพฺพตฺติฯ เต ตเสฺสว รโญฺญ รเฎฺฐ พฺราหฺมณมหาสาลกุเล นิพฺพตฺติํสุฯ เชฎฺฐภาตา เชโฎฺฐว ชาโต, มชฺฌิมกนิฎฺฐา มชฺฌิมกนิฎฺฐาเยวฯ เยปิ เตสํ ปริวารมนุสฺสา, เต ปริวารมนุสฺสาว ชาตาฯ เต วุทฺธิมนฺวาย ตโยปิ ชนา ตํ ปุริสสหสฺสํ อาทาย นิกฺขมิตฺวา ตาปสา หุตฺวา อุรุเวลายํ นทีตีเรเยว วสิํสุฯ องฺคมคธวาสิโน มาเส มาเส เตสํ มหาสกฺการํ อภิหรนฺติฯ
Tepi kālaṃ katvā tato paṭṭhāya dvānavutikappe manussalokato devalokaṃ, devalokato ca manussalokaṃ saṃsarantā amhākaṃ satthukāle devalokā cavitvā manussaloke nibbattiṃsu. Tesaṃ dānagge byāvaṭo mahāamacco aṅgamagadhānaṃ rājā bimbisāro hutvā nibbatti. Te tasseva rañño raṭṭhe brāhmaṇamahāsālakule nibbattiṃsu. Jeṭṭhabhātā jeṭṭhova jāto, majjhimakaniṭṭhā majjhimakaniṭṭhāyeva. Yepi tesaṃ parivāramanussā, te parivāramanussāva jātā. Te vuddhimanvāya tayopi janā taṃ purisasahassaṃ ādāya nikkhamitvā tāpasā hutvā uruvelāyaṃ nadītīreyeva vasiṃsu. Aṅgamagadhavāsino māse māse tesaṃ mahāsakkāraṃ abhiharanti.
อถ อมฺหากํ โพธิสโตฺต กตาภินิกฺขมโน อนุปุเพฺพน สพฺพญฺญุตํ ปตฺวา ปวตฺติตวรธมฺมจโกฺก ยสาทโย กุลปุเตฺต วิเนตฺวา สฎฺฐิ อรหเนฺต ธมฺมเทสนตฺถาย ทิสาสุ อุโยฺยเชตฺวา สยํ ปตฺตจีวรมาทาย – ‘‘เต ตโย ชฎิลภาติเก ทเมสฺสามี’’ติ อุรุเวลํ คนฺตฺวา อเนเกหิ ปาฎิหาริยสเตหิ เตสํ ทิฎฺฐิํ ภินฺทิตฺวา เต ปพฺพาเชสิฯ โส ตํ อิทฺธิมยปตฺตจีวรธรํ สมณสหสฺสํ อาทาย คยาสีสํ คนฺตฺวา เตหิ ปริวาริโต นิสีทิตฺวา, – ‘‘กตรา นุ โข เอเตสํ ธมฺมกถา สปฺปายา’’ติ จิเนฺตโนฺต, ‘‘อิเม สายํปาตํ อคฺคิํ ปริจรนฺติฯ อิเมสํ ทฺวาทสายตนานิ อาทิตฺตานิ สมฺปชฺชลิตานิ วิย กตฺวา เทเสสฺสามิ, เอวํ อิเม อรหตฺตํ ปาปุณิตุํ สกฺขิสฺสนฺตี’’ติ สนฺนิฎฺฐานมกาสิฯ อถ เนสํ ตถา ธมฺมํ เทเสตุํ อิมํ อาทิตฺตปริยายํ อภาสิฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘ภิกฺขู อามเนฺตสีติ เตสํ สปฺปายธมฺมเทสนํ วิจินิตฺวา ตํ เทเสสฺสามีติ อามเนฺตสี’’ติฯ ตตฺถ อาทิตฺตนฺติ ปทิตฺตํ สมฺปชฺชลิตํฯ เสสํ วุตฺตนยเมวฯ อิติ อิมสฺมิํ สุเตฺต ทุกฺขลกฺขณํ กถิตํฯ
Atha amhākaṃ bodhisatto katābhinikkhamano anupubbena sabbaññutaṃ patvā pavattitavaradhammacakko yasādayo kulaputte vinetvā saṭṭhi arahante dhammadesanatthāya disāsu uyyojetvā sayaṃ pattacīvaramādāya – ‘‘te tayo jaṭilabhātike damessāmī’’ti uruvelaṃ gantvā anekehi pāṭihāriyasatehi tesaṃ diṭṭhiṃ bhinditvā te pabbājesi. So taṃ iddhimayapattacīvaradharaṃ samaṇasahassaṃ ādāya gayāsīsaṃ gantvā tehi parivārito nisīditvā, – ‘‘katarā nu kho etesaṃ dhammakathā sappāyā’’ti cintento, ‘‘ime sāyaṃpātaṃ aggiṃ paricaranti. Imesaṃ dvādasāyatanāni ādittāni sampajjalitāni viya katvā desessāmi, evaṃ ime arahattaṃ pāpuṇituṃ sakkhissantī’’ti sanniṭṭhānamakāsi. Atha nesaṃ tathā dhammaṃ desetuṃ imaṃ ādittapariyāyaṃ abhāsi. Tena vuttaṃ – ‘‘bhikkhū āmantesīti tesaṃ sappāyadhammadesanaṃ vicinitvā taṃ desessāmīti āmantesī’’ti. Tattha ādittanti padittaṃ sampajjalitaṃ. Sesaṃ vuttanayameva. Iti imasmiṃ sutte dukkhalakkhaṇaṃ kathitaṃ.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / สํยุตฺตนิกาย • Saṃyuttanikāya / ๖. อาทิตฺตสุตฺตํ • 6. Ādittasuttaṃ
ฎีกา • Tīkā / สุตฺตปิฎก (ฎีกา) • Suttapiṭaka (ṭīkā) / สํยุตฺตนิกาย (ฎีกา) • Saṃyuttanikāya (ṭīkā) / ๖. อาทิตฺตสุตฺตวณฺณนา • 6. Ādittasuttavaṇṇanā