Tipiṭaka / Tipiṭaka (English) / Dīgha Nikāya, English translation

    ทีฆ นิกาย ๒๗

    Long Discourses 27

    อคฺคญฺญสุตฺต

    What Came First

    เอวํ เม สุตํ—เอกํ สมยํ ภควา สาวตฺถิยํ วิหรติ ปุพฺพาราเม มิคารมาตุปาสาเทฯ

    So I have heard. At one time the Buddha was staying near Sāvatthī in the Eastern Monastery, in the stilt longhouse of Migāra’s mother.

    เตน โข ปน สมเยน วาเสฏฺฐภารทฺวาชา ภิกฺขูสุ ปริวสนฺติ ภิกฺขุภาวํ อากงฺขมานาฯ อถ โข ภควา สายนฺหสมยํ ปฏิสลฺลานา วุฏฺฐิโต ปาสาทา โอโรหิตฺวา ปาสาทปจฺฉายายํ อพฺโภกาเส จงฺกมติฯ

    Now at that time Vāseṭṭha and Bhāradvāja were living on probation among the bhikkhus in hopes of being ordained. Then in the late afternoon, the Buddha came downstairs from the longhouse and was walking mindfully in the open air, beneath the shade of the longhouse.

    อทฺทสา โข วาเสฏฺโฐ ภควนฺตํ สายนฺหสมยํ ปฏิสลฺลานา วุฏฺฐิตํ ปาสาทา โอโรหิตฺวา ปาสาทปจฺฉายายํ อพฺโภกาเส จงฺกมนฺตํฯ ทิสฺวาน ภารทฺวาชํ อามนฺเตสิ: “อยํ, อาวุโส ภารทฺวาช, ภควา สายนฺหสมยํ ปฏิสลฺลานา วุฏฺฐิโต ปาสาทา โอโรหิตฺวา ปาสาทปจฺฉายายํ อพฺโภกาเส จงฺกมติฯ อายามาวุโส ภารทฺวาช, เยน ภควา เตนุปสงฺกมิสฺสาม; อปฺเปว นาม ลเภยฺยาม ภควโต สนฺติกา ธมฺมึ กถํ สวนายา”ติฯ

    Vāseṭṭha saw him and said to Bhāradvāja, “Friend Bhāradvāja, the Buddha is walking mindfully in the open air, beneath the shade of the longhouse. Come, friend, let’s go to the Buddha. Hopefully we’ll get to hear a Dhamma talk from him.”

    “เอวมาวุโส”ติ โข ภารทฺวาโช วาเสฏฺฐสฺส ปจฺจโสฺสสิฯ

    “Yes, friend,” replied Bhāradvāja.

    อถ โข วาเสฏฺฐภารทฺวาชา เยน ภควา เตนุปสงฺกมึสุ; อุปสงฺกมิตฺวา ภควนฺตํ อภิวาเทตฺวา ภควนฺตํ จงฺกมนฺตํ อนุจงฺกมึสุฯ

    So they went to the Buddha, bowed, and walked beside him.

    อถ โข ภควา วาเสฏฺฐํ อามนฺเตสิ: “ตุเมฺห ขฺวตฺถ, วาเสฏฺฐ, พฺราหฺมณชจฺจา พฺราหฺมณกุลีนา พฺราหฺมณกุลา อคารสฺมา อนคาริยํ ปพฺพชิตา, กจฺจิ โว, วาเสฏฺฐ, พฺราหฺมณา น อกฺโกสนฺติ น ปริภาสนฺตี”ติ?

    Then the Buddha said to Vāseṭṭha, “Vāseṭṭha, you are both brahmins by birth and clan, and have gone forth from the lay life to homelessness from a brahmin family. I hope you don’t have to suffer abuse and insults from the brahmins.”

    “ตคฺฆ โน, ภนฺเต, พฺราหฺมณา อกฺโกสนฺติ ปริภาสนฺติ อตฺตรูปาย ปริภาสาย ปริปุณฺณาย, โน อปริปุณฺณายา”ติฯ

    “Actually, sir, the brahmins do insult and abuse us with their typical insults to the fullest extent.”

    “ยถา กถํ ปน โว, วาเสฏฺฐ, พฺราหฺมณา อกฺโกสนฺติ ปริภาสนฺติ อตฺตรูปาย ปริภาสาย ปริปุณฺณาย, โน อปริปุณฺณายา”ติ?

    “But how do the brahmins insult you?”

    “พฺราหฺมณา, ภนฺเต, เอวมาหํสุ: ‘พฺราหฺมโณว เสฏฺโฐ วณฺโณ, หีนา อญฺเญ วณฺณาฯ พฺราหฺมโณว สุกฺโก วณฺโณ, กณฺหา อญฺเญ วณฺณาฯ พฺราหฺมณาว สุชฺฌนฺติ, โน อพฺราหฺมณาฯ พฺราหฺมณาว พฺรหฺมุโน ปุตฺตา โอรสา มุขโต ชาตา พฺรหฺมชา พฺรหฺมนิมฺมิตา พฺรหฺมทายาทาฯ เต ตุเมฺห เสฏฺฐํ วณฺณํ หิตฺวา หีนมตฺถ วณฺณํ อชฺฌุปคตา, ยทิทํ มุณฺฑเก สมณเก อิพฺเภ กเณฺห พนฺธุปาทาปจฺเจฯ ตยิทํ น สาธุ, ตยิทํ นปฺปติรูปํ, ยํ ตุเมฺห เสฏฺฐํ วณฺณํ หิตฺวา หีนมตฺถ วณฺณํ อชฺฌุปคตา ยทิทํ มุณฺฑเก สมณเก อิพฺเภ กเณฺห พนฺธุปาทาปจฺเจ'ติฯ เอวํ โข โน, ภนฺเต, พฺราหฺมณา อกฺโกสนฺติ ปริภาสนฺติ อตฺตรูปาย ปริภาสาย ปริปุณฺณาย, โน อปริปุณฺณายา”ติฯ

    “Sir, the brahmins say: ‘Only brahmins are the best caste; other castes are inferior. Only brahmins are the light caste; other castes are dark. Only brahmins are purified, not others. Only brahmins are Brahmā’s rightful sons, born of his mouth, born of Brahmā, created by Brahmā, heirs of Brahmā. You’ve both abandoned the best caste to join an inferior caste, namely these shavelings, fake ascetics, primitives, black spawn from the feet of our kinsman. This is not right, it’s not proper!’ That’s how the brahmins insult us.”

    “ตคฺฆ โว, วาเสฏฺฐ, พฺราหฺมณา โปราณํ อสฺสรนฺตา เอวมาหํสุ: ‘พฺราหฺมโณว เสฏฺโฐ วณฺโณ, หีนา อญฺเญ วณฺณา; พฺราหฺมโณว สุกฺโก วณฺโณ, กณฺหา อญฺเญ วณฺณา; พฺราหฺมณาว สุชฺฌนฺติ, โน อพฺราหฺมณา; พฺราหฺมณาว พฺรหฺมุโน ปุตฺตา โอรสา มุขโต ชาตา พฺรหฺมชา พฺรหฺมนิมฺมิตา พฺรหฺมทายาทา'ติฯ ทิสฺสนฺติ โข ปน, วาเสฏฺฐ, พฺราหฺมณานํ พฺราหฺมณิโย อุตุนิโยปิ คพฺภินิโยปิ วิชายมานาปิ ปายมานาปิฯ เต จ พฺราหฺมณา โยนิชาว สมานา เอวมาหํสุ: ‘พฺราหฺมโณว เสฏฺโฐ วณฺโณ, หีนา อญฺเญ วณฺณา; พฺราหฺมโณว สุกฺโก วณฺโณ, กณฺหา อญฺเญ วณฺณา; พฺราหฺมณาว สุชฺฌนฺติ, โน อพฺราหฺมณา; พฺราหฺมณาว พฺรหฺมุโน ปุตฺตา โอรสา มุขโต ชาตา พฺรหฺมชา พฺรหฺมนิมฺมิตา พฺรหฺมทายาทา'ติฯ เต พฺรหฺมานญฺเจว อพฺภาจิกฺขนฺติ, มุสา จ ภาสนฺติ, พหุญฺจ อปุญฺญํ ปสวนฺติฯ

    “Actually, Vāseṭṭha, the brahmins are forgetting their tradition when they say this to you. For brahmin women are seen menstruating, being pregnant, giving birth, and breast-feeding. Yet even though they’re born from a brahmin womb they say: ‘Only brahmins are the best caste; other castes are inferior. Only brahmins are the light caste; other castes are dark. Only brahmins are purified, not others. Only brahmins are Brahmā’s rightful sons, born of his mouth, born of Brahmā, created by Brahmā, heirs of Brahmā.’ They misrepresent the brahmins, speak falsely, and make much bad karma.

    ๑ฯ จตุวณฺณสุทฺธิ

    1. Purification in the Four Castes

    จตฺตาโรเม, วาเสฏฺฐ, วณฺณา—ขตฺติยา, พฺราหฺมณา, เวสฺสา, สุทฺทาฯ ขตฺติโยปิ โข, วาเสฏฺฐ, อิเธกจฺโจ ปาณาติปาตี โหติ อทินฺนาทายี กาเมสุมิจฺฉาจารี มุสาวาที ปิสุณวาโจ ผรุสวาโจ สมฺผปฺปลาปี อภิชฺฌาลุ พฺยาปนฺนจิตฺโต มิจฺฉาทิฏฺฐีฯ อิติ โข, วาเสฏฺฐ, เยเม ธมฺมา อกุสลา อกุสลสงฺขาตา สาวชฺชา สาวชฺชสงฺขาตา อเสวิตพฺพา อเสวิตพฺพสงฺขาตา นอลมริยา นอลมริยสงฺขาตา กณฺหา กณฺหวิปากา วิญฺญุครหิตา, ขตฺติเยปิ เต อิเธกจฺเจ สนฺทิสฺสนฺติฯ พฺราหฺมโณปิ โข, วาเสฏฺฐ …เป… เวโสฺสปิ โข, วาเสฏฺฐ …เป… สุทฺโทปิ โข, วาเสฏฺฐ, อิเธกจฺโจ ปาณาติปาตี โหติ อทินฺนาทายี กาเมสุมิจฺฉาจารี มุสาวาที ปิสุณวาโจ ผรุสวาโจ สมฺผปฺปลาปี อภิชฺฌาลุ พฺยาปนฺนจิตฺโต มิจฺฉาทิฏฺฐีฯ อิติ โข, วาเสฏฺฐ, เยเม ธมฺมา อกุสลา อกุสลสงฺขาตา …เป… กณฺหา กณฺหวิปากา วิญฺญุครหิตา; สุทฺเทปิ เต อิเธกจฺเจ สนฺทิสฺสนฺติฯ

    Vāseṭṭha, there are these four castes: aristocrats, brahmins, peasants, and menials. Some aristocrats kill living creatures, steal, and commit sexual misconduct. They use speech that’s false, divisive, harsh, and nonsensical. And they’re covetous, malicious, with wrong view. These things are unskillful, blameworthy, not to be cultivated, unworthy of the noble ones—and are reckoned as such. They are dark deeds with dark results, criticized by sensible people. Such things are exhibited in some aristocrats. And they are also seen among some brahmins, peasants, and menials.

    ขตฺติโยปิ โข, วาเสฏฺฐ, อิเธกจฺโจ ปาณาติปาตา ปฏิวิรโต โหติ, อทินฺนาทานา ปฏิวิรโต, กาเมสุมิจฺฉาจารา ปฏิวิรโต, มุสาวาทา ปฏิวิรโต, ปิสุณาย วาจาย ปฏิวิรโต, ผรุสาย วาจาย ปฏิวิรโต, สมฺผปฺปลาปา ปฏิวิรโต, อนภิชฺฌาลุ อพฺยาปนฺนจิตฺโต, สมฺมาทิฏฺฐีฯ อิติ โข, วาเสฏฺฐ, เยเม ธมฺมา กุสลา กุสลสงฺขาตา อนวชฺชา อนวชฺชสงฺขาตา เสวิตพฺพา เสวิตพฺพสงฺขาตา อลมริยา อลมริยสงฺขาตา สุกฺกา สุกฺกวิปากา วิญฺญุปฺปสตฺถา, ขตฺติเยปิ เต อิเธกจฺเจ สนฺทิสฺสนฺติฯ พฺราหฺมโณปิ โข, วาเสฏฺฐ …เป… เวโสฺสปิ โข, วาเสฏฺฐ …เป… สุทฺโทปิ โข, วาเสฏฺฐ, อิเธกจฺโจ ปาณาติปาตา ปฏิวิรโต โหติ …เป… อนภิชฺฌาลุ, อพฺยาปนฺนจิตฺโต, สมฺมาทิฏฺฐีฯ อิติ โข, วาเสฏฺฐ, เยเม ธมฺมา กุสลา กุสลสงฺขาตา อนวชฺชา อนวชฺชสงฺขาตา เสวิตพฺพา เสวิตพฺพสงฺขาตา อลมริยา อลมริยสงฺขาตา สุกฺกา สุกฺกวิปากา วิญฺญุปฺปสตฺถา; สุทฺเทปิ เต อิเธกจฺเจ สนฺทิสฺสนฺติฯ

    But some aristocrats refrain from killing living creatures, stealing, and committing sexual misconduct. They refrain from speech that’s false, divisive, harsh, and nonsensical. And they’re content, kind-hearted, with right view. These things are skillful, blameless, to be cultivated, worthy of the noble ones—and are reckoned as such. They are bright deeds with bright results, praised by sensible people. Such things are exhibited in some aristocrats. And they are also seen among some brahmins, peasants, and menials.

    อิเมสุ โข, วาเสฏฺฐ, จตูสุ วณฺเณสุ เอวํ อุภยโวกิณฺเณสุ วตฺตมาเนสุ กณฺหสุกฺเกสุ ธมฺเมสุ วิญฺญุครหิเตสุ เจว วิญฺญุปฺปสตฺเถสุ จ ยเทตฺถ พฺราหฺมณา เอวมาหํสุ: ‘พฺราหฺมโณว เสฏฺโฐ วณฺโณ, หีนา อญฺเญ วณฺณา; พฺราหฺมโณว สุกฺโก วณฺโณ, กณฺหา อญฺเญ วณฺณา; พฺราหฺมณาว สุชฺฌนฺติ, โน อพฺราหฺมณา; พฺราหฺมณาว พฺรหฺมุโน ปุตฺตา โอรสา มุขโต ชาตา พฺรหฺมชา พฺรหฺมนิมฺมิตา พฺรหฺมทายาทา'ติฯ

    Both these things occur like this, mixed up in these four castes—the dark and the bright, that which is praised and that which is criticized by sensible people. Yet of this the brahmins say: ‘Only brahmins are the best caste; other castes are inferior. Only brahmins are the light caste; other castes are dark. Only brahmins are purified, not others. Only brahmins are Brahmā’s rightful sons, born of his mouth, born of Brahmā, created by Brahmā, heirs of Brahmā.’

    ตํ เตสํ วิญฺญู นานุชานนฺติฯ ตํ กิสฺส เหตุ? อิเมสญฺหิ, วาเสฏฺฐ, จตุนฺนํ วณฺณานํ โย โหติ ภิกฺขุ อรหํ ขีณาสโว วุสิตวา กตกรณีโย โอหิตภาโร อนุปฺปตฺตสทตฺโถ ปริกฺขีณภวสํโยชโน สมฺมทญฺญาวิมุตฺโต, โส เนสํ อคฺคมกฺขายติ ธมฺเมเนว, โน อธมฺเมนฯ ธมฺโม หิ, วาเสฏฺฐ, เสฏฺโฐ ชเนตสฺมึ, ทิฏฺเฐ เจว ธมฺเม อภิสมฺปรายญฺจฯ

    Sensible people don’t acknowledge this. Why is that? Because any bhikkhu from these four castes who is perfected—with defilements ended, who has completed the spiritual journey, done what had to be done, laid down the burden, achieved their own true goal, utterly ended the fetters of rebirth, and is rightly freed through enlightenment—is said to be foremost by virtue of principle, not against principle. For principle, Vāseṭṭha, is the best thing for people in both this life and the next.

    ตทมินาเปตํ, วาเสฏฺฐ, ปริยาเยน เวทิตพฺพํ, ยถา ธมฺโมว เสฏฺโฐ ชเนตสฺมึ, ทิฏฺเฐ เจว ธมฺเม อภิสมฺปรายญฺจฯ

    And here’s a way to understand how this is so.

    ชานาติ โข, วาเสฏฺฐ, ราชา ปเสนทิ โกสโล: ‘สมโณ โคตโม อนนฺตรา สกฺยกุลา ปพฺพชิโต'ติฯ สกฺยา โข ปน, วาเสฏฺฐ, รญฺโญ ปเสนทิสฺส โกสลสฺส อนุยุตฺตา ภวนฺติฯ กโรนฺติ โข, วาเสฏฺฐ, สกฺยา รญฺเญ ปเสนทิมฺหิ โกสเล นิปจฺจการํ อภิวาทนํ ปจฺจุฏฺฐานํ อญฺชลิกมฺมํ สามีจิกมฺมํฯ อิติ โข, วาเสฏฺฐ, ยํ กโรนฺติ สกฺยา รญฺเญ ปเสนทิมฺหิ โกสเล นิปจฺจการํ อภิวาทนํ ปจฺจุฏฺฐานํ อญฺชลิกมฺมํ สามีจิกมฺมํ, กโรติ ตํ ราชา ปเสนทิ โกสโล ตถาคเต นิปจฺจการํ อภิวาทนํ ปจฺจุฏฺฐานํ อญฺชลิกมฺมํ สามีจิกมฺมํ, น นํ ‘สุชาโต สมโณ โคตโม, ทุชฺชาโตหมสฺมิฯ พลวา สมโณ โคตโม, ทุพฺพโลหมสฺมิฯ ปาสาทิโก สมโณ โคตโม, ทุพฺพณฺโณหมสฺมิฯ มเหสกฺโข สมโณ โคตโม, อปฺเปสกฺโขหมสฺมี'ติฯ อถ โข นํ ธมฺมํเยว สกฺกโรนฺโต ธมฺมํ ครุํ กโรนฺโต ธมฺมํ มาเนนฺโต ธมฺมํ ปูเชนฺโต ธมฺมํ อปจายมาโน เอวํ ราชา ปเสนทิ โกสโล ตถาคเต นิปจฺจการํ กโรติ, อภิวาทนํ ปจฺจุฏฺฐานํ อญฺชลิกมฺมํ สามีจิกมฺมํฯ อิมินาปิ โข เอตํ, วาเสฏฺฐ, ปริยาเยน เวทิตพฺพํ, ยถา ธมฺโมว เสฏฺโฐ ชเนตสฺมึ, ทิฏฺเฐ เจว ธมฺเม อภิสมฺปรายญฺจฯ

    King Pasenadi of Kosala knows that the ascetic Gotama has gone forth from the neighboring clan of the Sakyans. And the Sakyans are his vassals. The Sakyans show deference to King Pasenadi by bowing down, rising up, greeting him with joined palms, and observing proper etiquette for him. Now, King Pasenadi shows the same kind of deference to the Realized One. But he doesn’t think: ‘The ascetic Gotama is well-born, I am ill-born. He is powerful, I am weak. He is handsome, I am ugly. He is influential, I am insignificant.’ Rather, in showing such deference to the Realized One he is only honoring, respecting, and venerating principle. And here’s another way to understand how principle is the best thing for people in both this life and the next.

    ตุเมฺห ขฺวตฺถ, วาเสฏฺฐ, นานาชจฺจา นานานามา นานาโคตฺตา นานากุลา อคารสฺมา อนคาริยํ ปพฺพชิตาฯ ‘เก ตุเมฺห'ติ—ปุฏฺฐา สมานา ‘สมณา สกฺยปุตฺติยามฺหา'ติ—ปฏิชานาถฯ ยสฺส โข ปนสฺส, วาเสฏฺฐ, ตถาคเต สทฺธา นิวิฏฺฐา มูลชาตา ปติฏฺฐิตา ทฬฺหา อสํหาริยา สมเณน วา พฺราหฺมเณน วา เทเวน วา มาเรน วา พฺรหฺมุนา วา เกนจิ วา โลกสฺมึ, ตเสฺสตํ กลฺลํ วจนาย: ‘ภควโตมฺหิ ปุตฺโต โอรโส มุขโต ชาโต ธมฺมโช ธมฺมนิมฺมิโต ธมฺมทายาโท'ติฯ ตํ กิสฺส เหตุ? ตถาคตสฺส เหตํ, วาเสฏฺฐ, อธิวจนํ ‘ธมฺมกาโย' อิติปิ, ‘พฺรหฺมกาโย' อิติปิ, ‘ธมฺมภูโต' อิติปิ, ‘พฺรหฺมภูโต' อิติปิฯ

    Vāseṭṭha, you have different births, names, and clans, and have gone forth from the lay life to homelessness from different families. When they ask you what you are, you claim to be ascetics, followers of the Sakyan. But only when someone has faith in the Realized One—settled, rooted, and planted deep, strong, not to be shifted by any ascetic or brahmin or god or Māra or Brahmā or by anyone in the world—is it appropriate for them to say: ‘I am the Buddha’s rightful child, born from his mouth, born of principle, created by principle, heir to principle.’ Why is that? For these are terms for the Realized One: ‘the embodiment of principle’, and ‘the embodiment of divinity’, and ‘the manifestation of principle’, and ‘the manifestation of divinity’.

    โหติ โข โส, วาเสฏฺฐ, สมโย ยํ กทาจิ กรหจิ ทีฆสฺส อทฺธุโน อจฺจเยน อยํ โลโก สํวฏฺฏติฯ สํวฏฺฏมาเน โลเก เยภุเยฺยน สตฺตา อาภสฺสรสํวตฺตนิกา โหนฺติฯ เต ตตฺถ โหนฺติ มโนมยา ปีติภกฺขา สยํปภา อนฺตลิกฺขจรา สุภฏฺฐายิโน จิรํ ทีฆมทฺธานํ ติฏฺฐนฺติฯ

    There comes a time when, Vāseṭṭha, after a very long period has passed, this cosmos contracts. As the cosmos contracts, sentient beings are mostly headed for the realm of streaming radiance. There they are mind-made, feeding on rapture, self-luminous, moving through the sky, steadily glorious, and they remain like that for a very long time.

    โหติ โข โส, วาเสฏฺฐ, สมโย ยํ กทาจิ กรหจิ ทีฆสฺส อทฺธุโน อจฺจเยน อยํ โลโก วิวฏฺฏติฯ วิวฏฺฏมาเน โลเก เยภุเยฺยน สตฺตา อาภสฺสรกายา จวิตฺวา อิตฺถตฺตํ อาคจฺฉนฺติฯ เตธ โหนฺติ มโนมยา ปีติภกฺขา สยํปภา อนฺตลิกฺขจรา สุภฏฺฐายิโน จิรํ ทีฆมทฺธานํ ติฏฺฐนฺติฯ

    There comes a time when, after a very long period has passed, this cosmos expands. As the cosmos expands, sentient beings mostly pass away from that host of radiant deities and come back to this realm. Here they are mind-made, feeding on rapture, self-luminous, moving through the sky, steadily glorious, and they remain like that for a very long time.

    ๒ฯ รสปถวิปาตุภาว

    2. The Earth’s Nectar Appears

    เอโกทกีภูตํ โข ปน, วาเสฏฺฐ, เตน สมเยน โหติ อนฺธกาโร อนฺธการติมิสาฯ น จนฺทิมสูริยา ปญฺญายนฺติ, น นกฺขตฺตานิ ตารกรูปานิ ปญฺญายนฺติ, น รตฺตินฺทิวา ปญฺญายนฺติ, น มาสฑฺฒมาสา ปญฺญายนฺติ, น อุตุสํวจฺฉรา ปญฺญายนฺติ, น อิตฺถิปุมา ปญฺญายนฺติ, สตฺตา สตฺตาเตฺวว สงฺขฺยํ คจฺฉนฺติฯ อถ โข เตสํ, วาเสฏฺฐ, สตฺตานํ กทาจิ กรหจิ ทีฆสฺส อทฺธุโน อจฺจเยน รสปถวี อุทกสฺมึ สมตนิ; เสยฺยถาปิ นาม ปยโส ตตฺตสฺส นิพฺพายมานสฺส อุปริ สนฺตานกํ โหติ; เอวเมว ปาตุรโหสิฯ สา อโหสิ วณฺณสมฺปนฺนา คนฺธสมฺปนฺนา รสสมฺปนฺนา, เสยฺยถาปิ นาม สมฺปนฺนํ วา สปฺปิ สมฺปนฺนํ วา นวนีตํ เอวํวณฺณา อโหสิฯ เสยฺยถาปิ นาม ขุทฺทมธุํ อเนฬกํ; เอวมสฺสาทา อโหสิฯ อถ โข, วาเสฏฺฐ, อญฺญตโร สตฺโต โลลชาติโก: ‘อมฺโภ, กิเมวิทํ ภวิสฺสตี'ติ รสปถวึ องฺคุลิยา สายิฯ ตสฺส รสปถวึ องฺคุลิยา สายโต อจฺฉาเทสิ, ตณฺหา จสฺส โอกฺกมิฯ อญฺเญปิ โข, วาเสฏฺฐ, สตฺตา ตสฺส สตฺตสฺส ทิฏฺฐานุคตึ อาปชฺชมานา รสปถวึ องฺคุลิยา สายึสุฯ เตสํ รสปถวึ องฺคุลิยา สายตํ อจฺฉาเทสิ, ตณฺหา จ เตสํ โอกฺกมิฯ

    But the single mass of water at that time was utterly dark. The moon and sun were not found, nor were stars and constellations, day and night, months and fortnights, years and seasons, or male and female. Beings were simply known as ‘beings’. After a very long period had passed, the earth’s nectar curdled in the water. It appeared just like the curd on top of hot milk-rice as it cools. It was beautiful, fragrant, and delicious, like ghee or butter. And it was as sweet as pure dwarf-bee honey. Now, one of those beings was reckless. Thinking, ‘Oh my, what might this be?’ they tasted the earth’s nectar with their finger. They enjoyed it, and craving was born in them. And other beings, following that being’s example, tasted the earth’s nectar with their fingers. They too enjoyed it, and craving was born in them.

    ๓ฯ จนฺทิมสูริยาทิปาตุภาว

    3. The Moon and Sun Appear

    อถ โข เต, วาเสฏฺฐ, สตฺตา รสปถวึ หตฺเถหิ อาลุปฺปการกํ อุปกฺกมึสุ ปริภุญฺชิตุํฯ ยโต โข เต, วาเสฏฺฐ, สตฺตา รสปถวึ หตฺเถหิ อาลุปฺปการกํ อุปกฺกมึสุ ปริภุญฺชิตุํฯ อถ เตสํ สตฺตานํ สยํปภา อนฺตรธายิฯ สยํปภาย อนฺตรหิตาย จนฺทิมสูริยา ปาตุรเหสุํฯ จนฺทิมสูริเยสุ ปาตุภูเตสุ นกฺขตฺตานิ ตารกรูปานิ ปาตุรเหสุํฯ นกฺขตฺเตสุ ตารกรูเปสุ ปาตุภูเตสุ รตฺตินฺทิวา ปญฺญายึสุฯ รตฺตินฺทิเวสุ ปญฺญายมาเนสุ มาสฑฺฒมาสา ปญฺญายึสุฯ มาสฑฺฒมาเสสุ ปญฺญายมาเนสุ อุตุสํวจฺฉรา ปญฺญายึสุฯ เอตฺตาวตา โข, วาเสฏฺฐ, อยํ โลโก ปุน วิวฏฺโฏ โหติฯ

    Then those beings started to eat the earth’s nectar, breaking it into lumps. But when they did this their luminosity vanished. And with the vanishing of their luminosity the moon and sun appeared, stars and constellations appeared, days and nights were distinguished, and so were months and fortnights, and years and seasons. So far had the world evolved once more.

    อถ โข เต, วาเสฏฺฐ, สตฺตา รสปถวึ ปริภุญฺชนฺตา ตมฺภกฺขา ตทาหารา จิรํ ทีฆมทฺธานํ อฏฺฐํสุฯ ยถา ยถา โข เต, วาเสฏฺฐ, สตฺตา รสปถวึ ปริภุญฺชนฺตา ตมฺภกฺขา ตทาหารา จิรํ ทีฆมทฺธานํ อฏฺฐํสุ ตถา ตถา เตสํ สตฺตานํ รสปถวึ ปริภุญฺชนฺตานํ ขรตฺตญฺเจว กายสฺมึ โอกฺกมิ, วณฺณเววณฺณตา จ ปญฺญายิตฺถฯ เอกิทํ สตฺตา วณฺณวนฺโต โหนฺติ, เอกิทํ สตฺตา ทุพฺพณฺณาฯ ตตฺถ เย เต สตฺตา วณฺณวนฺโต, เต ทุพฺพณฺเณ สตฺเต อติมญฺญนฺติ: ‘มยเมเตหิ วณฺณวนฺตตรา, อเมฺหเหเต ทุพฺพณฺณตรา'ติฯ เตสํ วณฺณาติมานปจฺจยา มานาติมานชาติกานํ รสปถวี อนฺตรธายิฯ รสาย ปถวิยา อนฺตรหิตาย สนฺนิปตึสุฯ สนฺนิปติตฺวา อนุตฺถุนึสุ: ‘อโห รสํ, อโห รสนฺ'ติฯ ตเทตรหิปิ มนุสฺสา กญฺจิเทว สุรสํ ลภิตฺวา เอวมาหํสุ: ‘อโห รสํ, อโห รสนฺ'ติฯ ตเทว โปราณํ อคฺคญฺญํ อกฺขรํ อนุสรนฺติ, น เตฺววสฺส อตฺถํ อาชานนฺติฯ

    Then those beings eating the earth’s nectar, with that as their food and nourishment, remained for a very long time. But so long as they ate that earth’s nectar, their bodies became more solid and they diverged in appearance; some beautiful, some ugly. And the beautiful beings looked down on the ugly ones: ‘We’re more beautiful, they’re the ugly ones!’ And the vanity of the beautiful ones made the earth’s nectar vanish. They gathered together and bemoaned, ‘Oh, what a taste! Oh, what a taste!’ And even today when people get something tasty they say: ‘Oh, what a taste! Oh, what a taste!’ They’re just remembering an ancient primordial saying, but they don’t understand what it means.

    ๔ฯ ภูมิปปฺปฏกปาตุภาว

    4. Ground-Fungus

    อถ โข เตสํ, วาเสฏฺฐ, สตฺตานํ รสาย ปถวิยา อนฺตรหิตาย ภูมิปปฺปฏโก ปาตุรโหสิฯ เสยฺยถาปิ นาม อหิจฺฉตฺตโก; เอวเมว ปาตุรโหสิฯ โส อโหสิ วณฺณสมฺปนฺโน คนฺธสมฺปนฺโน รสสมฺปนฺโน, เสยฺยถาปิ นาม สมฺปนฺนํ วา สปฺปิ สมฺปนฺนํ วา นวนีตํ เอวํวณฺโณ อโหสิฯ เสยฺยถาปิ นาม ขุทฺทมธุํ อเนฬกํ; เอวมสฺสาโท อโหสิฯ

    When the earth’s nectar had vanished, ground-fungus appeared to those beings. It appeared just like a mushroom. It was beautiful, fragrant, and delicious, like ghee or butter. And it was as sweet as pure dwarf-bee honey.

    อถ โข เต, วาเสฏฺฐ, สตฺตา ภูมิปปฺปฏกํ อุปกฺกมึสุ ปริภุญฺชิตุํฯ เต ตํ ปริภุญฺชนฺตา ตมฺภกฺขา ตทาหารา จิรํ ทีฆมทฺธานํ อฏฺฐํสุฯ ยถา ยถา โข เต, วาเสฏฺฐ, สตฺตา ภูมิปปฺปฏกํ ปริภุญฺชนฺตา ตมฺภกฺขา ตทาหารา จิรํ ทีฆมทฺธานํ อฏฺฐํสุ ตถา ตถา เตสํ สตฺตานํ ภิโยฺยโส มตฺตาย ขรตฺตญฺเจว กายสฺมึ โอกฺกมิ, วณฺณเววณฺณตา จ ปญฺญายิตฺถฯ เอกิทํ สตฺตา วณฺณวนฺโต โหนฺติ, เอกิทํ สตฺตา ทุพฺพณฺณาฯ ตตฺถ เย เต สตฺตา วณฺณวนฺโต, เต ทุพฺพณฺเณ สตฺเต อติมญฺญนฺติ: ‘มยเมเตหิ วณฺณวนฺตตรา, อเมฺหเหเต ทุพฺพณฺณตรา'ติฯ เตสํ วณฺณาติมานปจฺจยา มานาติมานชาติกานํ ภูมิปปฺปฏโก อนฺตรธายิฯ

    Then those beings started to eat the ground-fungus. With that as their food and nourishment, they remained for a very long time. But so long as they ate that ground-fungus, their bodies became more solid and they diverged in appearance; some beautiful, some ugly. And the beautiful beings looked down on the ugly ones: ‘We’re more beautiful, they’re the ugly ones!’ And the vanity of the beautiful ones made the ground-fungus vanish.

    ๕ฯ ปทาลตาปาตุภาว

    5. Bursting Pods

    ภูมิปปฺปฏเก อนฺตรหิเต ปทาลตา ปาตุรโหสิ, เสยฺยถาปิ นาม กลมฺพุกา; เอวเมว ปาตุรโหสิฯ สา อโหสิ วณฺณสมฺปนฺนา คนฺธสมฺปนฺนา รสสมฺปนฺนา, เสยฺยถาปิ นาม สมฺปนฺนํ วา สปฺปิ สมฺปนฺนํ วา นวนีตํ เอวํวณฺณา อโหสิฯ เสยฺยถาปิ นาม ขุทฺทมธุํ อเนฬกํ; เอวมสฺสาทา อโหสิฯ

    When the ground-fungus had vanished, bursting pods appeared, like the fruit of the kadam tree. They were beautiful, fragrant, and delicious, like ghee or butter. And they were as sweet as pure dwarf-bee honey.

    อถ โข เต, วาเสฏฺฐ, สตฺตา ปทาลตํ อุปกฺกมึสุ ปริภุญฺชิตุํฯ เต ตํ ปริภุญฺชนฺตา ตมฺภกฺขา ตทาหารา จิรํ ทีฆมทฺธานํ อฏฺฐํสุฯ ยถา ยถา โข เต, วาเสฏฺฐ, สตฺตา ปทาลตํ ปริภุญฺชนฺตา ตมฺภกฺขา ตทาหารา จิรํ ทีฆมทฺธานํ อฏฺฐํสุ ตถา ตถา เตสํ สตฺตานํ ภิโยฺยโส มตฺตาย ขรตฺตญฺเจว กายสฺมึ โอกฺกมิ, วณฺณเววณฺณตา จ ปญฺญายิตฺถฯ เอกิทํ สตฺตา วณฺณวนฺโต โหนฺติ, เอกิทํ สตฺตา ทุพฺพณฺณาฯ ตตฺถ เย เต สตฺตา วณฺณวนฺโต, เต ทุพฺพณฺเณ สตฺเต อติมญฺญนฺติ: ‘มยเมเตหิ วณฺณวนฺตตรา, อเมฺหเหเต ทุพฺพณฺณตรา'ติฯ เตสํ วณฺณาติมานปจฺจยา มานาติมานชาติกานํ ปทาลตา อนฺตรธายิฯ

    Then those beings started to eat the bursting pods. With that as their food and nourishment, they remained for a very long time. But so long as they ate those bursting pods, their bodies became more solid and they diverged in appearance; some beautiful, some ugly. And the beautiful beings looked down on the ugly ones: ‘We’re more beautiful, they’re the ugly ones!’ And the vanity of the beautiful ones made the bursting pods vanish.

    ปทาลตาย อนฺตรหิตาย สนฺนิปตึสุฯ สนฺนิปติตฺวา อนุตฺถุนึสุ: ‘อหุ วต โน, อหายิ วต โน ปทาลตา'ติฯ ตเทตรหิปิ มนุสฺสา เกนจิ ทุกฺขธมฺเมน ผุฏฺฐา เอวมาหํสุ: ‘อหุ วต โน, อหายิ วต โน'ติฯ ตเทว โปราณํ อคฺคญฺญํ อกฺขรํ อนุสรนฺติ, น เตฺววสฺส อตฺถํ อาชานนฺติฯ

    They gathered together and bemoaned, ‘Oh, what we’ve lost! Oh, what we’ve lost—those bursting pods!’ And even today when people experience suffering they say: ‘Oh, what we’ve lost! Oh, what we’ve lost!’ They’re just remembering an ancient primordial saying, but they don’t understand what it means.

    ๖ฯ อกฏฺฐปากสาลิปาตุภาว

    6. Ripe Untilled Rice

    อถ โข เตสํ, วาเสฏฺฐ, สตฺตานํ ปทาลตาย อนฺตรหิตาย อกฏฺฐปาโก สาลิ ปาตุรโหสิ อกโณ อถุโส สุทฺโธ สุคนฺโธ ตณฺฑุลปฺผโลฯ ยํ ตํ สายํ สายมาสาย อาหรนฺติ, ปาโต ตํ โหติ ปกฺกํ ปฏิวิรูฬฺหํฯ ยํ ตํ ปาโต ปาตราสาย อาหรนฺติ, สายํ ตํ โหติ ปกฺกํ ปฏิวิรูฬฺหํ; นาปทานํ ปญฺญายติฯ อถ โข เต, วาเสฏฺฐ, สตฺตา อกฏฺฐปากํ สาลึ ปริภุญฺชนฺตา ตมฺภกฺขา ตทาหารา จิรํ ทีฆมทฺธานํ อฏฺฐํสุฯ

    When the bursting pods had vanished, ripe untilled rice appeared to those beings. It had no powder or husk, pure and fragrant, with only the rice-grain. What they took for supper in the evening, by the morning had grown back and ripened. And what they took for breakfast in the morning had grown back and ripened by the evening, leaving no trace showing. Then those beings eating the ripe untilled rice, with that as their food and nourishment, remained for a very long time.

    ๗ฯ อิตฺถิปุริสลิงฺคปาตุภาว

    7. Gender Appears

    ยถา ยถา โข เต, วาเสฏฺฐ, สตฺตา อกฏฺฐปากํ สาลึ ปริภุญฺชนฺตา ตมฺภกฺขา ตทาหารา จิรํ ทีฆมทฺธานํ อฏฺฐํสุ ตถา ตถา เตสํ สตฺตานํ ภิโยฺยโส มตฺตาย ขรตฺตญฺเจว กายสฺมึ โอกฺกมิ, วณฺณเววณฺณตา จ ปญฺญายิตฺถ, อิตฺถิยา จ อิตฺถิลิงฺคํ ปาตุรโหสิ ปุริสสฺส จ ปุริสลิงฺคํฯ อิตฺถี จ ปุริสํ อติเวลํ อุปนิชฺฌายติ ปุริโส จ อิตฺถึฯ เตสํ อติเวลํ อญฺญมญฺญํ อุปนิชฺฌายตํ สาราโค อุทปาทิ, ปริฬาโห กายสฺมึ โอกฺกมิฯ เต ปริฬาหปจฺจยา เมถุนํ ธมฺมํ ปฏิเสวึสุฯ

    But so long as they ate that ripe untilled rice, their bodies became more solid and they diverged in appearance. And female characteristics appeared on women, while male characteristics appeared on men. Women spent too much time gazing at men, and men at women. They became lustful, and their bodies burned with fever. Due to this fever they had sex with each other.

    เย โข ปน เต, วาเสฏฺฐ, เตน สมเยน สตฺตา ปสฺสนฺติ เมถุนํ ธมฺมํ ปฏิเสวนฺเต, อญฺเญ ปํสุํ ขิปนฺติ, อญฺเญ เสฏฺฐึ ขิปนฺติ, อญฺเญ โคมยํ ขิปนฺติ: ‘นสฺส อสุจิ, นสฺส อสุจี'ติฯ ‘กถญฺหิ นาม สตฺโต สตฺตสฺส เอวรูปํ กริสฺสตี'ติฯ ตเทตรหิปิ มนุสฺสา เอกจฺเจสุ ชนปเทสุ วธุยา นิพฺพุยฺหมานาย อญฺเญ ปํสุํ ขิปนฺติ, อญฺเญ เสฏฺฐึ ขิปนฺติ, อญฺเญ โคมยํ ขิปนฺติฯ ตเทว โปราณํ อคฺคญฺญํ อกฺขรํ อนุสรนฺติ, น เตฺววสฺส อตฺถํ อาชานนฺติฯ

    Those who saw them having sex pelted them with dirt, clods, or cow-dung, saying, ‘Get lost, filth! Get lost, filth! How on earth can one being do that to another?’ And even today people in some countries, when carrying a bride off, pelt her with dirt, clods, or cow-dung. They’re just remembering an ancient primordial saying, but they don’t understand what it means.

    ๘ฯ เมถุนธมฺมสมาจาร

    8. Sexual Intercourse

    อธมฺมสมฺมตํ โข ปน, วาเสฏฺฐ, เตน สมเยน โหติ, ตเทตรหิ ธมฺมสมฺมตํฯ เย โข ปน, วาเสฏฺฐ, เตน สมเยน สตฺตา เมถุนํ ธมฺมํ ปฏิเสวนฺติ, เต มาสมฺปิ เทฺวมาสมฺปิ น ลภนฺติ คามํ วา นิคมํ วา ปวิสิตุํฯ ยโต โข เต, วาเสฏฺฐ, สตฺตา ตสฺมึ อสทฺธมฺเม อติเวลํ ปาตพฺยตํ อาปชฺชึสุฯ อถ อคารานิ อุปกฺกมึสุ กาตุํ ตเสฺสว อสทฺธมฺมสฺส ปฏิจฺฉาทนตฺถํฯ อถ โข, วาเสฏฺฐ, อญฺญตรสฺส สตฺตสฺส อลสชาติกสฺส เอตทโหสิ: ‘อมฺโภ, กิเมวาหํ วิหญฺญามิ สาลึ อาหรนฺโต สายํ สายมาสาย ปาโต ปาตราสายฯ ยนฺนูนาหํ สาลึ อาหเรยฺยํ สกิเทว สายปาตราสายา'ติฯ

    What was deemed as unprincipled at that time, these days is deemed as principled. The beings who had sex together weren’t allowed to enter a village or town for one or two months. Ever since they excessively threw themselves into immorality, they started to make buildings to hide their immoral deeds. Then one of those beings of idle disposition thought, ‘Hey now, why should I be bothered to gather rice in the evening for supper, and in the morning for breakfast? Why don’t I gather rice for supper and breakfast all at once?’

    อถ โข โส, วาเสฏฺฐ, สตฺโต สาลึ อาหาสิ สกิเทว สายปาตราสายฯ อถ โข, วาเสฏฺฐ, อญฺญตโร สตฺโต เยน โส สตฺโต เตนุปสงฺกมิ; อุปสงฺกมิตฺวา ตํ สตฺตํ เอตทโวจ: ‘เอหิ, โภ สตฺต, สาลาหารํ คมิสฺสามา'ติฯ ‘อลํ, โภ สตฺต, อาหโต เม สาลิ สกิเทว สายปาตราสายา'ติฯ อถ โข โส, วาเสฏฺฐ, สตฺโต ตสฺส สตฺตสฺส ทิฏฺฐานุคตึ อาปชฺชมาโน สาลึ อาหาสิ สกิเทว ทฺวีหายฯ ‘เอวมฺปิ กิร, โภ, สาธู'ติฯ

    So that’s what he did. Then one of the other beings approached that being and said, ‘Come, good being, we shall go to gather rice.’ ‘There’s no need, good being! I gathered rice for supper and breakfast all at once.’ So that being, following their example, gathered rice for two days all at once, thinking: ‘This seems fine.’

    อถ โข, วาเสฏฺฐ, อญฺญตโร สตฺโต เยน โส สตฺโต เตนุปสงฺกมิ; อุปสงฺกมิตฺวา ตํ สตฺตํ เอตทโวจ: ‘เอหิ, โภ สตฺต, สาลาหารํ คมิสฺสามา'ติฯ ‘อลํ, โภ สตฺต, อาหโต เม สาลิ สกิเทว ทฺวีหายา'ติฯ อถ โข โส, วาเสฏฺฐ, สตฺโต ตสฺส สตฺตสฺส ทิฏฺฐานุคตึ อาปชฺชมาโน สาลึ อาหาสิ สกิเทว จตูหาย, ‘เอวมฺปิ กิร, โภ, สาธู'ติฯ

    Then one of the other beings approached that being and said, ‘Come, good being, we shall go to gather rice.’ ‘There’s no need, good being! I gathered rice for two days all at once.’ So that being, following their example, gathered rice for four days all at once, thinking: ‘This seems fine.’

    อถ โข, วาเสฏฺฐ, อญฺญตโร สตฺโต เยน โส สตฺโต เตนุปสงฺกมิ; อุปสงฺกมิตฺวา ตํ สตฺตํ เอตทโวจ: ‘เอหิ, โภ สตฺต, สาลาหารํ คมิสฺสามา'ติฯ ‘อลํ, โภ สตฺต, อาหโต เม สาลิ สกิเทว จตูหายา'ติฯ อถ โข โส, วาเสฏฺฐ, สตฺโต ตสฺส สตฺตสฺส ทิฏฺฐานุคตึ อาปชฺชมาโน สาลึ อาหาสิ สกิเทว อฏฺฐาหาย, ‘เอวมฺปิ กิร, โภ, สาธู'ติฯ

    Then one of the other beings approached that being and said, ‘Come, good being, we shall go to gather rice.’ ‘There’s no need, good being! I gathered rice for four days all at once.’ So that being, following their example, gathered rice for eight days all at once, thinking: ‘This seems fine.’

    ยโต โข เต, วาเสฏฺฐ, สตฺตา สนฺนิธิการกํ สาลึ อุปกฺกมึสุ ปริภุญฺชิตุํฯ อถ กโณปิ ตณฺฑุลํ ปริโยนนฺธิ, ถุโสปิ ตณฺฑุลํ ปริโยนนฺธิ; ลูนมฺปิ นปฺปฏิวิรูฬฺหํ, อปทานํ ปญฺญายิตฺถ, สณฺฑสณฺฑา สาลโย อฏฺฐํสุฯ

    But when they started to store up rice to eat, the rice grains became wrapped in powder and husk, it didn’t grow back after reaping, leaving a trace showing, and the rice stood in clumps.

    ๙ฯ สาลิวิภาค

    9. Dividing the Rice

    อถ โข เต, วาเสฏฺฐ, สตฺตา สนฺนิปตึสุ, สนฺนิปติตฺวา อนุตฺถุนึสุ: ‘ปาปกา วต, โภ, ธมฺมา สตฺเตสุ ปาตุภูตาฯ มยญฺหิ ปุพฺเพ มโนมยา อหุมฺหา ปีติภกฺขา สยํปภา อนฺตลิกฺขจรา สุภฏฺฐายิโน, จิรํ ทีฆมทฺธานํ อฏฺฐมฺหาฯ เตสํ โน อมฺหากํ กทาจิ กรหจิ ทีฆสฺส อทฺธุโน อจฺจเยน รสปถวี อุทกสฺมึ สมตนิฯ สา อโหสิ วณฺณสมฺปนฺนา คนฺธสมฺปนฺนา รสสมฺปนฺนาฯ เต มยํ รสปถวึ หตฺเถหิ อาลุปฺปการกํ อุปกฺกมิมฺห ปริภุญฺชิตุํ, เตสํ โน รสปถวึ หตฺเถหิ อาลุปฺปการกํ อุปกฺกมตํ ปริภุญฺชิตุํ สยํปภา อนฺตรธายิฯ สยํปภาย อนฺตรหิตาย จนฺทิมสูริยา ปาตุรเหสุํ, จนฺทิมสูริเยสุ ปาตุภูเตสุ นกฺขตฺตานิ ตารกรูปานิ ปาตุรเหสุํ, นกฺขตฺเตสุ ตารกรูเปสุ ปาตุภูเตสุ รตฺตินฺทิวา ปญฺญายึสุ, รตฺตินฺทิเวสุ ปญฺญายมาเนสุ มาสฑฺฒมาสา ปญฺญายึสุฯ มาสฑฺฒมาเสสุ ปญฺญายมาเนสุ อุตุสํวจฺฉรา ปญฺญายึสุฯ เต มยํ รสปถวึ ปริภุญฺชนฺตา ตมฺภกฺขา ตทาหารา จิรํ ทีฆมทฺธานํ อฏฺฐมฺหาฯ เตสํ โน ปาปกานํเยว อกุสลานํ ธมฺมานํ ปาตุภาวา รสปถวี อนฺตรธายิฯ รสปถวิยา อนฺตรหิตาย ภูมิปปฺปฏโก ปาตุรโหสิฯ โส อโหสิ วณฺณสมฺปนฺโน คนฺธสมฺปนฺโน รสสมฺปนฺโนฯ เต มยํ ภูมิปปฺปฏกํ อุปกฺกมิมฺห ปริภุญฺชิตุํฯ เต มยํ ตํ ปริภุญฺชนฺตา ตมฺภกฺขา ตทาหารา จิรํ ทีฆมทฺธานํ อฏฺฐมฺหาฯ เตสํ โน ปาปกานํเยว อกุสลานํ ธมฺมานํ ปาตุภาวา ภูมิปปฺปฏโก อนฺตรธายิฯ ภูมิปปฺปฏเก อนฺตรหิเต ปทาลตา ปาตุรโหสิฯ สา อโหสิ วณฺณสมฺปนฺนา คนฺธสมฺปนฺนา รสสมฺปนฺนาฯ เต มยํ ปทาลตํ อุปกฺกมิมฺห ปริภุญฺชิตุํฯ เต มยํ ตํ ปริภุญฺชนฺตา ตมฺภกฺขา ตทาหารา จิรํ ทีฆมทฺธานํ อฏฺฐมฺหาฯ เตสํ โน ปาปกานํเยว อกุสลานํ ธมฺมานํ ปาตุภาวา ปทาลตา อนฺตรธายิฯ ปทาลตาย อนฺตรหิตาย อกฏฺฐปาโก สาลิ ปาตุรโหสิ อกโณ อถุโส สุทฺโธ สุคนฺโธ ตณฺฑุลปฺผโลฯ ยํ ตํ สายํ สายมาสาย อาหราม, ปาโต ตํ โหติ ปกฺกํ ปฏิวิรูฬฺหํฯ ยํ ตํ ปาโต ปาตราสาย อาหราม, สายํ ตํ โหติ ปกฺกํ ปฏิวิรูฬฺหํฯ นาปทานํ ปญฺญายิตฺถฯ เต มยํ อกฏฺฐปากํ สาลึ ปริภุญฺชนฺตา ตมฺภกฺขา ตทาหารา จิรํ ทีฆมทฺธานํ อฏฺฐมฺหาฯ เตสํ โน ปาปกานํเยว อกุสลานํ ธมฺมานํ ปาตุภาวา กโณปิ ตณฺฑุลํ ปริโยนนฺธิ, ถุโสปิ ตณฺฑุลํ ปริโยนนฺธิ, ลูนมฺปิ นปฺปฏิวิรูฬฺหํ, อปทานํ ปญฺญายิตฺถ, สณฺฑสณฺฑา สาลโย ฐิตาฯ ยนฺนูน มยํ สาลึ วิภเชยฺยาม, มริยาทํ ฐเปยฺยามา'ติฯ อถ โข เต, วาเสฏฺฐ, สตฺตา สาลึ วิภชึสุ, มริยาทํ ฐเปสุํฯ

    Then those beings gathered together and bemoaned, ‘Oh, how wicked things have appeared among beings! For we used to be mind-made, feeding on rapture, self-luminous, moving through the sky, steadily glorious, and we remained like that for a very long time. After a very long period had passed, the earth’s nectar curdled in the water. But due to bad, unskillful things among us, the earth’s nectar vanished, then the ground-fungus vanished, the bursting pods vanished, and now the rice grains have become wrapped in powder and husk, it doesn’t grow back after reaping, traces are left showing, and the rice stands in clumps. We’d better divide up the rice and lay down boundaries.’ So that’s what they did.

    อถ โข, วาเสฏฺฐ, อญฺญตโร สตฺโต โลลชาติโก สกํ ภาคํ ปริรกฺขนฺโต อญฺญตรํ ภาคํ อทินฺนํ อาทิยิตฺวา ปริภุญฺชิฯ

    Now, one of those beings was reckless. While guarding their own share they took another’s share without it being given, and ate it.

    ตเมนํ อคฺคเหสุํ, คเหตฺวา เอตทโวจุํ: ‘ปาปกํ วต, โภ สตฺต, กโรสิ, ยตฺร หิ นาม สกํ ภาคํ ปริรกฺขนฺโต อญฺญตรํ ภาคํ อทินฺนํ อาทิยิตฺวา ปริภุญฺชสิฯ มาสฺสุ, โภ สตฺต, ปุนปิ เอวรูปมกาสี'ติฯ

    They grabbed the one who had done this and said, ‘You have done a bad thing, good being, in that while guarding your own share you took another’s share without it being given, and ate it. Do not do such a thing again.’

    ‘เอวํ, โภ'ติ โข, วาเสฏฺฐ, โส สตฺโต เตสํ สตฺตานํ ปจฺจโสฺสสิฯ ทุติยมฺปิ โข, วาเสฏฺฐ, โส สตฺโต …เป… ตติยมฺปิ โข, วาเสฏฺฐ, โส สตฺโต สกํ ภาคํ ปริรกฺขนฺโต อญฺญตรํ ภาคํ อทินฺนํ อาทิยิตฺวา ปริภุญฺชิฯ ตเมนํ อคฺคเหสุํ, คเหตฺวา เอตทโวจุํ: ‘ปาปกํ วต, โภ สตฺต, กโรสิ, ยตฺร หิ นาม สกํ ภาคํ ปริรกฺขนฺโต อญฺญตรํ ภาคํ อทินฺนํ อาทิยิตฺวา ปริภุญฺชสิฯ มาสฺสุ, โภ สตฺต, ปุนปิ เอวรูปมกาสี'ติฯ อญฺเญ ปาณินา ปหรึสุ, อญฺเญ เลฑฺฑุนา ปหรึสุ, อญฺเญ ทณฺเฑน ปหรึสุฯ ตทคฺเค โข, วาเสฏฺฐ, อทินฺนาทานํ ปญฺญายติ, ครหา ปญฺญายติ, มุสาวาโท ปญฺญายติ, ทณฺฑาทานํ ปญฺญายติฯ

    ‘Yes, sirs,’ replied that being. But for a second time, and a third time they did the same thing, and were told not to continue. And then they struck that being, some with fists, others with stones, and still others with rods. From that day on stealing was found, and blame, and lying, and the taking up of rods.

    ๑๐ฯ มหาสมฺมตราชา

    10. The Elected King

    อถ โข เต, วาเสฏฺฐ, สตฺตา สนฺนิปตึสุ, สนฺนิปติตฺวา อนุตฺถุนึสุ: ‘ปาปกา วต โภ ธมฺมา สตฺเตสุ ปาตุภูตา, ยตฺร หิ นาม อทินฺนาทานํ ปญฺญายิสฺสติ, ครหา ปญฺญายิสฺสติ, มุสาวาโท ปญฺญายิสฺสติ, ทณฺฑาทานํ ปญฺญายิสฺสติฯ ยนฺนูน มยํ เอกํ สตฺตํ สมฺมนฺเนยฺยาม, โย โน สมฺมา ขียิตพฺพํ ขีเยยฺย, สมฺมา ครหิตพฺพํ ครเหยฺย, สมฺมา ปพฺพาเชตพฺพํ ปพฺพาเชยฺยฯ มยํ ปนสฺส สาลีนํ ภาคํ อนุปฺปทสฺสามา'ติฯ

    Then those beings gathered together and bemoaned, ‘Oh, how wicked things have appeared among beings, in that stealing is found, and blaming and lying and the taking up of rods! Why don’t we elect one being who would rightly accuse those who deserve it, blame those who deserve it, and expel those who deserve it? We shall pay them with a share of rice.’

    อถ โข เต, วาเสฏฺฐ, สตฺตา โย เนสํ สตฺโต อภิรูปตโร จ ทสฺสนียตโร จ ปาสาทิกตโร จ มเหสกฺขตโร จ ตํ สตฺตํ อุปสงฺกมิตฺวา เอตทโวจุํ: ‘เอหิ, โภ สตฺต, สมฺมา ขียิตพฺพํ ขีย, สมฺมา ครหิตพฺพํ ครห, สมฺมา ปพฺพาเชตพฺพํ ปพฺพาเชหิฯ มยํ ปน เต สาลีนํ ภาคํ อนุปฺปทสฺสามา'ติฯ ‘เอวํ, โภ'ติ โข, วาเสฏฺฐ, โส สตฺโต เตสํ สตฺตานํ ปฏิสฺสุณิตฺวา สมฺมา ขียิตพฺพํ ขียิ, สมฺมา ครหิตพฺพํ ครหิ, สมฺมา ปพฺพาเชตพฺพํ ปพฺพาเชสิฯ เต ปนสฺส สาลีนํ ภาคํ อนุปฺปทํสุฯ

    Then those beings approached the being among them who was most attractive, good-looking, lovely, and illustrious, and said, ‘Come, good being, rightly accuse those who deserve it, blame those who deserve it, and banish those who deserve it. We shall pay you with a share of rice.’ ‘Yes, sirs,’ replied that being. They acted accordingly, and were paid with a share of rice.

    มหาชนสมฺมโตติ โข, วาเสฏฺฐ, ‘มหาสมฺมโต, มหาสมฺมโต' เตฺวว ปฐมํ อกฺขรํ อุปนิพฺพตฺตํฯ

    ‘Elected by the people’, Vāseṭṭha, is the meaning of ‘elected one’, the first term applied to them.

    เขตฺตานํ อธิปตีติ โข, วาเสฏฺฐ, ‘ขตฺติโย, ขตฺติโย' เตฺวว ทุติยํ อกฺขรํ อุปนิพฺพตฺตํฯ

    ‘Lord of the fields’ is the meaning of ‘aristocrat’, the second term applied to them.

    ธมฺเมน ปเร รญฺเชตีติ โข, วาเสฏฺฐ, ‘ราชา, ราชา' เตฺวว ตติยํ อกฺขรํ อุปนิพฺพตฺตํฯ

    ‘They please others with principle’ is the meaning of ‘king’, the third term applied to them.

    อิติ โข, วาเสฏฺฐ, เอวเมตสฺส ขตฺติยมณฺฑลสฺส โปราเณน อคฺคญฺเญน อกฺขเรน อภินิพฺพตฺติ อโหสิ เตสํเยว สตฺตานํ, อนญฺเญสํฯ สทิสานํเยว, โน อสทิสานํฯ ธมฺเมเนว, โน อธมฺเมนฯ ธมฺโม หิ, วาเสฏฺฐ, เสฏฺโฐ ชเนตสฺมึ ทิฏฺเฐ เจว ธมฺเม อภิสมฺปรายญฺจฯ

    And that, Vāseṭṭha, is how the ancient primordial terms for the circle of aristocrats were created; for those very beings, not others; for those like them, not unlike; by virtue of principle, not against principle. For principle, Vāseṭṭha, is the best thing for people in both this life and the next.

    ๑๑ฯ พฺราหฺมณมณฺฑล

    11. The Circle of Brahmins

    อถ โข เตสํ, วาเสฏฺฐ, สตฺตานํเยว เอกจฺจานํ เอตทโหสิ: ‘ปาปกา วต, โภ, ธมฺมา สตฺเตสุ ปาตุภูตา, ยตฺร หิ นาม อทินฺนาทานํ ปญฺญายิสฺสติ, ครหา ปญฺญายิสฺสติ, มุสาวาโท ปญฺญายิสฺสติ, ทณฺฑาทานํ ปญฺญายิสฺสติ, ปพฺพาชนํ ปญฺญายิสฺสติฯ ยนฺนูน มยํ ปาปเก อกุสเล ธมฺเม วาเหยฺยามา'ติฯ เต ปาปเก อกุสเล ธมฺเม วาเหสุํฯ

    Then some of those same beings thought, ‘Oh, how wicked things have appeared among beings, in that stealing is found, and blaming and lying and the taking up of rods and banishment! Why don’t we set aside bad, unskillful things?’ So that’s what they did.

    ปาปเก อกุสเล ธมฺเม วาเหนฺตีติ โข, วาเสฏฺฐ, ‘พฺราหฺมณา, พฺราหฺมณา' เตฺวว ปฐมํ อกฺขรํ อุปนิพฺพตฺตํฯ

    ‘They set aside bad, unskillful things’ is the meaning of ‘brahmin’, the first term applied to them.

    เต อรญฺญายตเน ปณฺณกุฏิโย กริตฺวา ปณฺณกุฏีสุ ฌายนฺติ วีตงฺคารา วีตธูมา ปนฺนมุสลา สายํ สายมาสาย ปาโต ปาตราสาย คามนิคมราชธานิโย โอสรนฺติ ฆาสเมสมานาฯ เต ฆาสํ ปฏิลภิตฺวา ปุนเทว อรญฺญายตเน ปณฺณกุฏีสุ ฌายนฺติฯ

    They built leaf huts in a wilderness region where they meditated pure and bright, without lighting cooking fires or digging the soil. They came down in the morning for breakfast and in the evening for supper to the village, town, or royal capital seeking a meal. When they had obtained food they continued to meditate in the leaf huts.

    ตเมนํ มนุสฺสา ทิสฺวา เอวมาหํสุ: ‘อิเม โข, โภ, สตฺตา อรญฺญายตเน ปณฺณกุฏิโย กริตฺวา ปณฺณกุฏีสุ ฌายนฺติ, วีตงฺคารา วีตธูมา ปนฺนมุสลา สายํ สายมาสาย ปาโต ปาตราสาย คามนิคมราชธานิโย โอสรนฺติ ฆาสเมสมานาฯ เต ฆาสํ ปฏิลภิตฺวา ปุนเทว อรญฺญายตเน ปณฺณกุฏีสุ ฌายนฺตี'ติ,

    When people noticed this they said, ‘These beings build leaf huts in a wilderness region where they meditate pure and bright, without lighting cooking fires or digging the soil. They come down in the morning for breakfast and in the evening for supper to the village, town, or royal capital seeking a meal. When they have obtained food they continue to meditate in the leaf huts.’

    ฌายนฺตีติ โข, วาเสฏฺฐ, ‘ฌายกา, ฌายกา' เตฺวว ทุติยํ อกฺขรํ อุปนิพฺพตฺตํฯ

    ‘They meditate’ is the meaning of ‘meditator’, the second term applied to them.

    เตสํเยว โข, วาเสฏฺฐ, สตฺตานํ เอกจฺเจ สตฺตา อรญฺญายตเน ปณฺณกุฏีสุ ตํ ฌานํ อนภิสมฺภุณมานา คามสามนฺตํ นิคมสามนฺตํ โอสริตฺวา คนฺเถ กโรนฺตา อจฺฉนฺติฯ

    But some of those beings were unable to keep up with their meditation in the leaf huts in the wilderness. They came down to the neighborhood of a village or town where they dwelt compiling texts.

    ตเมนํ มนุสฺสา ทิสฺวา เอวมาหํสุ: ‘อิเม โข, โภ, สตฺตา อรญฺญายตเน ปณฺณกุฏีสุ ตํ ฌานํ อนภิสมฺภุณมานา คามสามนฺตํ นิคมสามนฺตํ โอสริตฺวา คนฺเถ กโรนฺตา อจฺฉนฺติ, น ทานิเม ฌายนฺตี'ติฯ

    When people noticed this they said, ‘These beings were unable to keep up with their meditation in the leaf huts in the wilderness. They came down to the neighborhood of a village or town where they dwelt compiling texts. Now they don’t meditate.’

    น ทานิเม ฌายนฺตีติ โข, วาเสฏฺฐ, ‘อชฺฌายกา, อชฺฌายกา' เตฺวว ตติยํ อกฺขรํ อุปนิพฺพตฺตํฯ หีนสมฺมตํ โข ปน, วาเสฏฺฐ, เตน สมเยน โหติ, ตเทตรหิ เสฏฺฐสมฺมตํฯ

    ‘Now they don’t meditate’ is the meaning of ‘reciter’, the third term applied to them. What was deemed as worse at that time, these days is deemed as best.

    อิติ โข, วาเสฏฺฐ, เอวเมตสฺส พฺราหฺมณมณฺฑลสฺส โปราเณน อคฺคญฺเญน อกฺขเรน อภินิพฺพตฺติ อโหสิ เตสํเยว สตฺตานํ, อนญฺเญสํ สทิสานํเยว โน อสทิสานํ ธมฺเมเนว, โน อธมฺเมนฯ ธมฺโม หิ, วาเสฏฺฐ, เสฏฺโฐ ชเนตสฺมึ ทิฏฺเฐ เจว ธมฺเม อภิสมฺปรายญฺจฯ

    And that, Vāseṭṭha, is how the ancient primordial terms for the circle of brahmins were created; for those very beings, not others; for those like them, not unlike; by virtue of principle, not against principle. For principle, Vāseṭṭha, is the best thing for people in both this life and the next.

    ๑๒ฯ เวสฺสมณฺฑล

    12. The Circle of Peasants

    เตสํเยว โข, วาเสฏฺฐ, สตฺตานํ เอกจฺเจ สตฺตา เมถุนํ ธมฺมํ สมาทาย วิสุกมฺมนฺเต ปโยเชสุํฯ

    Some of those same beings, taking up an active sex life, applied themselves to various jobs.

    เมถุนํ ธมฺมํ สมาทาย วิสุกมฺมนฺเต ปโยเชนฺตีติ โข, วาเสฏฺฐ, ‘เวสฺสา, เวสฺสา' เตฺวว อกฺขรํ อุปนิพฺพตฺตํฯ

    ‘Having taken up an active sex life, they apply themselves to various jobs’ is the meaning of ‘peasant’, the term applied to them.

    อิติ โข, วาเสฏฺฐ, เอวเมตสฺส เวสฺสมณฺฑลสฺส โปราเณน อคฺคญฺเญน อกฺขเรน อภินิพฺพตฺติ อโหสิ เตสญฺเญว สตฺตานํ อนญฺเญสํ สทิสานํเยว, โน อสทิสานํ, ธมฺเมเนว โน อธมฺเมนฯ ธมฺโม หิ, วาเสฏฺฐ, เสฏฺโฐ ชเนตสฺมึ ทิฏฺเฐ เจว ธมฺเม อภิสมฺปรายญฺจฯ

    And that, Vāseṭṭha, is how the ancient primordial term for the circle of peasants was created; for those very beings, not others; for those like them, not unlike; by virtue of principle, not against principle. For principle, Vāseṭṭha, is the best thing for people in both this life and the next.

    ๑๓ฯ สุทฺทมณฺฑล

    13. The Circle of Menials

    เตสญฺเญว โข, วาเสฏฺฐ, สตฺตานํ เย เต สตฺตา อวเสสา เต ลุทฺทาจารา ขุทฺทาจารา อเหสุํฯ

    The remaining beings lived by hunting and menial tasks.

    ลุทฺทาจารา ขุทฺทาจาราติ โข, วาเสฏฺฐ, ‘สุทฺทา, สุทฺทา' เตฺวว อกฺขรํ อุปนิพฺพตฺตํฯ

    ‘They live by hunting and humble tasks’ is the meaning of ‘menial’, the term applied to them.

    อิติ โข, วาเสฏฺฐ, เอวเมตสฺส สุทฺทมณฺฑลสฺส โปราเณน อคฺคญฺเญน อกฺขเรน อภินิพฺพตฺติ อโหสิ เตสํเยว สตฺตานํ อนญฺเญสํ, สทิสานํเยว โน อสทิสานํ, ธมฺเมเนว, โน อธมฺเมนฯ ธมฺโม หิ, วาเสฏฺฐ, เสฏฺโฐ ชเนตสฺมึ ทิฏฺเฐ เจว ธมฺเม อภิสมฺปรายญฺจฯ

    And that, Vāseṭṭha, is how the ancient primordial term for the circle of menials was created; for those very beings, not others; for those like them, not unlike; by virtue of principle, not against principle. For principle, Vāseṭṭha, is the best thing for people in both this life and the next.

    อหุ โข โส, วาเสฏฺฐ, สมโย, ยํ ขตฺติโยปิ สกํ ธมฺมํ ครหมาโน อคารสฺมา อนคาริยํ ปพฺพชติ: ‘สมโณ ภวิสฺสามี'ติฯ พฺราหฺมโณปิ โข, วาเสฏฺฐ …เป… เวโสฺสปิ โข, วาเสฏฺฐ …เป… สุทฺโทปิ โข, วาเสฏฺฐ, สกํ ธมฺมํ ครหมาโน อคารสฺมา อนคาริยํ ปพฺพชติ: ‘สมโณ ภวิสฺสามี'ติฯ

    There came a time when an aristocrat, brahmin, peasant, or menial, deprecating their own vocation, went forth from the lay life to homelessness, thinking, ‘I will be an ascetic.’

    อิเมหิ โข, วาเสฏฺฐ, จตูหิ มณฺฑเลหิ สมณมณฺฑลสฺส อภินิพฺพตฺติ อโหสิ, เตสํเยว สตฺตานํ อนญฺเญสํ, สทิสานํเยว โน อสทิสานํ, ธมฺเมเนว โน อธมฺเมนฯ ธมฺโม หิ, วาเสฏฺฐ, เสฏฺโฐ ชเนตสฺมึ ทิฏฺเฐ เจว ธมฺเม อภิสมฺปรายญฺจฯ

    From these four circles, Vāseṭṭha, the circle of ascetics was created; for those very beings, not others; for those like them, not unlike; by virtue of principle, not against principle. For principle, Vāseṭṭha, is the best thing for people in both this life and the next.

    ๑๔ฯ ทุจฺจริตาทิกถา

    14. On Bad Conduct

    ขตฺติโยปิ โข, วาเสฏฺฐ, กาเยน ทุจฺจริตํ จริตฺวา วาจาย ทุจฺจริตํ จริตฺวา มนสา ทุจฺจริตํ จริตฺวา มิจฺฉาทิฏฺฐิโก มิจฺฉาทิฏฺฐิกมฺมสมาทาโน มิจฺฉาทิฏฺฐิกมฺมสมาทานเหตุ กายสฺส เภทา ปรํ มรณา อปายํ ทุคฺคตึ วินิปาตํ นิรยํ อุปปชฺชติฯ พฺราหฺมโณปิ โข, วาเสฏฺฐ …เป… เวโสฺสปิ โข, วาเสฏฺฐ … สุทฺโทปิ โข, วาเสฏฺฐ … สมโณปิ โข, วาเสฏฺฐ, กาเยน ทุจฺจริตํ จริตฺวา วาจาย ทุจฺจริตํ จริตฺวา มนสา ทุจฺจริตํ จริตฺวา มิจฺฉาทิฏฺฐิโก มิจฺฉาทิฏฺฐิกมฺมสมาทาโน มิจฺฉาทิฏฺฐิกมฺมสมาทานเหตุ กายสฺส เภทา ปรํ มรณา อปายํ ทุคฺคตึ วินิปาตํ นิรยํ อุปปชฺชติฯ

    An aristocrat, brahmin, peasant, menial, or ascetic may do bad things by way of body, speech, and mind. They have wrong view, and they act out of that wrong view. And because of that, when their body breaks up, after death, they’re reborn in a place of loss, a bad place, the underworld, hell.

    ขตฺติโยปิ โข, วาเสฏฺฐ, กาเยน สุจริตํ จริตฺวา วาจาย สุจริตํ จริตฺวา มนสา สุจริตํ จริตฺวา สมฺมาทิฏฺฐิโก สมฺมาทิฏฺฐิกมฺมสมาทาโน สมฺมาทิฏฺฐิกมฺมสมาทานเหตุ กายสฺส เภทา ปรํ มรณา สุคตึ สคฺคํ โลกํ อุปปชฺชติฯ พฺราหฺมโณปิ โข, วาเสฏฺฐ …เป… เวโสฺสปิ โข, วาเสฏฺฐ … สุทฺโทปิ โข, วาเสฏฺฐ … สมโณปิ โข, วาเสฏฺฐ, กาเยน สุจริตํ จริตฺวา วาจาย สุจริตํ จริตฺวา มนสา สุจริตํ จริตฺวา สมฺมาทิฏฺฐิโก สมฺมาทิฏฺฐิกมฺมสมาทาโน สมฺมาทิฏฺฐิกมฺมสมาทานเหตุ กายสฺส เภทา ปรํ มรณา สุคตึ สคฺคํ โลกํ อุปปชฺชติฯ

    An aristocrat, brahmin, peasant, menial, or ascetic may do good things by way of body, speech, and mind. They have right view, and they act out of that right view. And because of that, when their body breaks up, after death, they’re reborn in a good place, a heavenly realm.

    ขตฺติโยปิ โข, วาเสฏฺฐ, กาเยน ทฺวยการี, วาจาย ทฺวยการี, มนสา ทฺวยการี, วิมิสฺสทิฏฺฐิโก วิมิสฺสทิฏฺฐิกมฺมสมาทาโน วิมิสฺสทิฏฺฐิกมฺมสมาทานเหตุ กายสฺส เภทา ปรํ มรณา สุขทุกฺขปฺปฏิสํเวที โหติฯ พฺราหฺมโณปิ โข, วาเสฏฺฐ …เป… เวโสฺสปิ โข, วาเสฏฺฐ … สุทฺโทปิ โข, วาเสฏฺฐ … สมโณปิ โข, วาเสฏฺฐ, กาเยน ทฺวยการี, วาจาย ทฺวยการี, มนสา ทฺวยการี, วิมิสฺสทิฏฺฐิโก วิมิสฺสทิฏฺฐิกมฺมสมาทาโน วิมิสฺสทิฏฺฐิกมฺมสมาทานเหตุ กายสฺส เภทา ปรํ มรณา สุขทุกฺขปฺปฏิสํเวที โหติฯ

    An aristocrat, brahmin, peasant, menial, or ascetic may do mixed things by way of body, speech, and mind. They have mixed view, and they act out of that mixed view. And because of that, when their body breaks up, after death, they experience both pleasure and pain.

    ๑๕ฯ โพธิปกฺขิยภาวนา

    15. The Qualities That Lead to Awakening

    ขตฺติโยปิ โข, วาเสฏฺฐ, กาเยน สํวุโต วาจาย สํวุโต มนสา สํวุโต สตฺตนฺนํ โพธิปกฺขิยานํ ธมฺมานํ ภาวนมนฺวาย ทิฏฺเฐว ธมฺเม ปรินิพฺพายติฯ พฺราหฺมโณปิ โข, วาเสฏฺฐ …เป… เวโสฺสปิ โข, วาเสฏฺฐ … สุทฺโทปิ โข, วาเสฏฺฐ … สมโณปิ โข, วาเสฏฺฐ, กาเยน สํวุโต วาจาย สํวุโต มนสา สํวุโต สตฺตนฺนํ โพธิปกฺขิยานํ ธมฺมานํ ภาวนมนฺวาย ทิฏฺเฐว ธมฺเม ปรินิพฺพายติฯ

    An aristocrat, brahmin, peasant, menial, or ascetic who is restrained in body, speech, and mind, and develops the seven qualities that lead to awakening, becomes extinguished in this very life.

    อิเมสญฺหิ, วาเสฏฺฐ, จตุนฺนํ วณฺณานํ โย โหติ ภิกฺขุ อรหํ ขีณาสโว วุสิตวา กตกรณีโย โอหิตภาโร อนุปฺปตฺตสทตฺโถ ปริกฺขีณภวสํโยชโน สมฺมทญฺญาวิมุตฺโต, โส เนสํ อคฺคมกฺขายติ ธมฺเมเนว, โน อธมฺเมนฯ ธมฺโม หิ, วาเสฏฺฐ, เสฏฺโฐ ชเนตสฺมึ ทิฏฺเฐ เจว ธมฺเม อภิสมฺปรายญฺจฯ

    Any bhikkhu from these four castes who is perfected—with defilements ended, who has completed the spiritual journey, done what had to be done, laid down the burden, achieved their own true goal, utterly ended the fetters of rebirth, and is rightly freed through enlightenment—is said to be the foremost by virtue of principle, not against principle. For principle, Vāseṭṭha, is the best thing for people in both this life and the next.

    พฺรหฺมุนา เปสา, วาเสฏฺฐ, สนงฺกุมาเรน คาถา ภาสิตา:

    Brahmā Sanaṅkumāra also spoke this verse:

    ‘ขตฺติโย เสฏฺโฐ ชเนตสฺมึ, เย โคตฺตปฏิสาริโน; วิชฺชาจรณสมฺปนฺโน, โส เสฏฺโฐ เทวมานุเส'ติฯ

    ‘The aristocrat is best among people who take clan as the standard. But one accomplished in knowledge and conduct is first among gods and humans.’

    สา โข ปเนสา, วาเสฏฺฐ, พฺรหฺมุนา สนงฺกุมาเรน คาถา สุคีตา, โน ทุคฺคีตาฯ สุภาสิตา, โน ทุพฺภาสิตาฯ อตฺถสํหิตา, โน อนตฺถสํหิตาฯ อนุมตา มยาฯ อหมฺปิ, วาเสฏฺฐ, เอวํ วทามิ—

    That verse was well sung by Brahmā Sanaṅkumāra, not poorly sung; well spoken, not poorly spoken; beneficial, not harmful, and I agree with it. I also say:

    ขตฺติโย เสฏฺโฐ ชเนตสฺมึ, เย โคตฺตปฏิสาริโน; วิชฺชาจรณสมฺปนฺโน, โส เสฏฺโฐ เทวมานุเส”ติฯ

    The aristocrat is best among people who take clan as the standard. But one accomplished in knowledge and conduct is first among gods and humans.”

    อิทมโวจ ภควาฯ อตฺตมนา วาเสฏฺฐภารทฺวาชา ภควโต ภาสิตํ อภินนฺทุนฺติฯ

    That is what the Buddha said. Satisfied, Vāseṭṭha and Bhāradvāja approved what the Buddha said.

    อคฺคญฺญสุตฺตํ นิฏฺฐิตํ จตุตฺถํฯ





    The authoritative text of the Dīgha Nikāya is the Pāli text. The English translation is provided as an aid to the study of the original Pāli text. [CREDITS »]


    © 1991-2024 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact