Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / อิติวุตฺตก-อฎฺฐกถา • Itivuttaka-aṭṭhakathā

    ๕. ปญฺจมวโคฺค

    5. Pañcamavaggo

    ๑. อคฺคปฺปสาทสุตฺตวณฺณนา

    1. Aggappasādasuttavaṇṇanā

    ๙๐. ปญฺจมวคฺคสฺส ปฐเม อคฺคปฺปสาทาติ เอตฺถ อยํ อคฺคสโทฺท อาทิโกฎิโกฎฺฐาสเสเฎฺฐสุ ทิสฺสติฯ ตถา เหส ‘‘อชฺชตเคฺค, สมฺม โทวาริก, อาวรามิ ทฺวารํ นิคณฺฐานํ นิคณฺฐีนํ (ม. นิ. ๒.๗๐)ฯ อชฺชตเคฺค ปาณุเปตํ สรณํ คต’’นฺติ (ที. นิ. ๑.๒๕๐; ปารา. ๑๕) จ อาทีสุ อาทิมฺหิ ทิสฺสติฯ ‘‘เตเนว องฺคุลเคฺคน ตํ องฺคุลคฺคํ ปรามเสยฺย (กถา. ๔๔๑)ฯ อุจฺฉคฺคํ เวฬคฺค’’นฺติ จ อาทีสุ โกฎิยํฯ ‘‘อมฺพิลคฺคํ วา มธุรคฺคํ วา ติตฺตกคฺคํ วา (สํ. นิ. ๕.๓๗๔)ฯ อนุชานามิ, ภิกฺขเว, วิหารเคฺคน วา ปริเวณเคฺคน วา ภาเชตุ’’นฺติ (จูฬว. ๓๑๘) จ อาทีสุ โกฎฺฐาเสฯ ‘‘อยํ อิเมสํ จตุนฺนํ ปุคฺคลานํ อโคฺค จ เสโฎฺฐ จ อุตฺตโม จ ปวโร จ (อ. นิ. ๔.๙๕)ฯ อโคฺคหมสฺมิ โลกสฺสา’’ติ จ อาทีสุ (ที. นิ. ๒.๓๑; ม. นิ. ๓.๒๐๗) เสเฎฺฐฯ สฺวายมิธาปิ เสเฎฺฐเยว ทฎฺฐโพฺพฯ ตสฺมา อเคฺคสุ เสเฎฺฐสุ ปสาทา, อคฺคภูตา เสฎฺฐภูตา วา ปสาทา อคฺคปฺปสาทาติ อโตฺถฯ

    90. Pañcamavaggassa paṭhame aggappasādāti ettha ayaṃ aggasaddo ādikoṭikoṭṭhāsaseṭṭhesu dissati. Tathā hesa ‘‘ajjatagge, samma dovārika, āvarāmi dvāraṃ nigaṇṭhānaṃ nigaṇṭhīnaṃ (ma. ni. 2.70). Ajjatagge pāṇupetaṃ saraṇaṃ gata’’nti (dī. ni. 1.250; pārā. 15) ca ādīsu ādimhi dissati. ‘‘Teneva aṅgulaggena taṃ aṅgulaggaṃ parāmaseyya (kathā. 441). Ucchaggaṃ veḷagga’’nti ca ādīsu koṭiyaṃ. ‘‘Ambilaggaṃ vā madhuraggaṃ vā tittakaggaṃ vā (saṃ. ni. 5.374). Anujānāmi, bhikkhave, vihāraggena vā pariveṇaggena vā bhājetu’’nti (cūḷava. 318) ca ādīsu koṭṭhāse. ‘‘Ayaṃ imesaṃ catunnaṃ puggalānaṃ aggo ca seṭṭho ca uttamo ca pavaro ca (a. ni. 4.95). Aggohamasmi lokassā’’ti ca ādīsu (dī. ni. 2.31; ma. ni. 3.207) seṭṭhe. Svāyamidhāpi seṭṭheyeva daṭṭhabbo. Tasmā aggesu seṭṭhesu pasādā, aggabhūtā seṭṭhabhūtā vā pasādā aggappasādāti attho.

    ปุริมสฺมิญฺจ อเตฺถ อคฺคสเทฺทน พุทฺธาทิรตนตฺตยํ วุจฺจติฯ เตสุ ภควา ตาว อสทิสเฎฺฐน, คุณวิสิฎฺฐเฎฺฐน, อสมสมเฎฺฐน จ อโคฺคฯ โส หิ มหาภินีหารํ ทสนฺนํ ปารมีนํ ปวิจยญฺจ อาทิํ กตฺวา เตหิ โพธิสมฺภารคุเณหิ เจว พุทฺธคุเณหิ จ เสสชเนหิ อสทิโสติ อสทิสเฎฺฐน อโคฺคฯ เย จสฺส คุณา มหากรุณาทโย, เต เสสสตฺตานํ คุเณหิ วิสิฎฺฐาติ คุณวิสิฎฺฐเฎฺฐนปิ สพฺพสตฺตุตฺตมตาย อโคฺคฯ เย ปน ปุริมกา สมฺมาสมฺพุทฺธา สพฺพสเตฺตหิ อสมา, เตหิ สทฺธิํ อยเมว รูปกายคุเณหิ เจว ธมฺมกายคุเณหิ จ สโมติ อสมสมเฎฺฐนปิ อโคฺคฯ ตถา ทุลฺลภปาตุภาวโต อจฺฉริยมนุสฺสภาวโต พหุชนหิตสุขาวหโต อทุติยอสหายาทิภาวโต จ ภควา โลเก อโคฺคติ วุจฺจติฯ ยถาห –

    Purimasmiñca atthe aggasaddena buddhādiratanattayaṃ vuccati. Tesu bhagavā tāva asadisaṭṭhena, guṇavisiṭṭhaṭṭhena, asamasamaṭṭhena ca aggo. So hi mahābhinīhāraṃ dasannaṃ pāramīnaṃ pavicayañca ādiṃ katvā tehi bodhisambhāraguṇehi ceva buddhaguṇehi ca sesajanehi asadisoti asadisaṭṭhena aggo. Ye cassa guṇā mahākaruṇādayo, te sesasattānaṃ guṇehi visiṭṭhāti guṇavisiṭṭhaṭṭhenapi sabbasattuttamatāya aggo. Ye pana purimakā sammāsambuddhā sabbasattehi asamā, tehi saddhiṃ ayameva rūpakāyaguṇehi ceva dhammakāyaguṇehi ca samoti asamasamaṭṭhenapi aggo. Tathā dullabhapātubhāvato acchariyamanussabhāvato bahujanahitasukhāvahato adutiyaasahāyādibhāvato ca bhagavā loke aggoti vuccati. Yathāha –

    ‘‘เอกปุคฺคลสฺส , ภิกฺขเว, ปาตุภาโว ทุลฺลโภ โลกสฺมิํ, กตมสฺส เอกปุคฺคลสฺส? ตถาคตสฺส อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺสฯ

    ‘‘Ekapuggalassa , bhikkhave, pātubhāvo dullabho lokasmiṃ, katamassa ekapuggalassa? Tathāgatassa arahato sammāsambuddhassa.

    ‘‘เอกปุคฺคโล , ภิกฺขเว, โลเก อุปฺปชฺชมาโน อุปฺปชฺชติ อจฺฉริยมนุโสฺสฯ

    ‘‘Ekapuggalo , bhikkhave, loke uppajjamāno uppajjati acchariyamanusso.

    ‘‘เอกปุคฺคโล, ภิกฺขเว, โลเก อุปฺปชฺชมาโน อุปฺปชฺชติ พหุชน…เป.… สมฺมาสมฺพุโทฺธฯ

    ‘‘Ekapuggalo, bhikkhave, loke uppajjamāno uppajjati bahujana…pe… sammāsambuddho.

    ‘‘เอกปุคฺคโล, ภิกฺขเว, โลเก อุปฺปชฺชมาโน อุปฺปชฺชติ, อทุติโย อสหาโย อปฺปฎิโม อปฺปฎิสโม อปฺปฎิภาโค อปฺปฎิปุคฺคโล อสโม อสมสโม ทฺวิปทานํ อโคฺคฯ กตโม เอกปุคฺคโล? ตถาคโต อรหํ สมฺมาสมฺพุโทฺธ’’ติ (อ. นิ. ๑.๑๗๐-๑๗๒, ๑๗๔)ฯ

    ‘‘Ekapuggalo, bhikkhave, loke uppajjamāno uppajjati, adutiyo asahāyo appaṭimo appaṭisamo appaṭibhāgo appaṭipuggalo asamo asamasamo dvipadānaṃ aggo. Katamo ekapuggalo? Tathāgato arahaṃ sammāsambuddho’’ti (a. ni. 1.170-172, 174).

    ธมฺมสงฺฆาปิ อญฺญธมฺมสเงฺฆหิ อสทิสเฎฺฐน วิสิฎฺฐคุณตาย ทุลฺลภปาตุภาวาทินา จ อคฺคาฯ ตถา หิ เตสํ สฺวากฺขาตตาทิสุปฺปฎิปนฺนตาทิคุณวิเสเสหิ อญฺญธมฺมสงฺฆา สทิสา อปฺปตรนิหีนา วา นตฺถิ, กุโต เสฎฺฐาฯ สยเมว จ ปน เตหิ วิสิฎฺฐคุณตาย เสฎฺฐาฯ ตถา ทุลฺลภุปฺปาทอจฺฉริยภาวพหุชนหิตสุขาวหา อทุติยอสหายาทิสภาวา จ เตฯ ยทเคฺคน หิ ภควา ทุลฺลภปาตุภาโว, ตทเคฺคน ธมฺมสงฺฆาปีติฯ อจฺฉริยาทิภาเวปิ เอเสว นโยฯ เอวํ อเคฺคสุ เสเฎฺฐสุ อุตฺตเมสุ ปวเรสุ คุณวิสิเฎฺฐสุ ปสาทาติ อคฺคปฺปสาทา

    Dhammasaṅghāpi aññadhammasaṅghehi asadisaṭṭhena visiṭṭhaguṇatāya dullabhapātubhāvādinā ca aggā. Tathā hi tesaṃ svākkhātatādisuppaṭipannatādiguṇavisesehi aññadhammasaṅghā sadisā appataranihīnā vā natthi, kuto seṭṭhā. Sayameva ca pana tehi visiṭṭhaguṇatāya seṭṭhā. Tathā dullabhuppādaacchariyabhāvabahujanahitasukhāvahā adutiyaasahāyādisabhāvā ca te. Yadaggena hi bhagavā dullabhapātubhāvo, tadaggena dhammasaṅghāpīti. Acchariyādibhāvepi eseva nayo. Evaṃ aggesu seṭṭhesu uttamesu pavaresu guṇavisiṭṭhesu pasādāti aggappasādā.

    ทุติยสฺมิํ ปน อเตฺถ ยถาวุเตฺตสุ อเคฺคสุ พุทฺธาทีสุ อุปฺปตฺติยา อคฺคภูตา ปสาทา อคฺคปฺปสาทาฯ เย ปน อริยมเคฺคน อาคตา อเวจฺจปฺปสาทา, เต เอกเนฺตเนว อคฺคภูตา ปสาทาติ อคฺคปฺปสาทาฯ ยถาห ‘‘อิธ , ภิกฺขเว, อริยสาวโก พุเทฺธ อเวจฺจปฺปสาเทน สมนฺนาคโต โหตี’’ติอาทิ (สํ. นิ. ๕.๑๐๒๗)ฯ อคฺควิปากตฺตาปิ เจเต อคฺคปฺปสาทาฯ วุตฺตญฺหิ ‘‘อเคฺค โข ปน ปสนฺนานํ อโคฺค วิปาโก’’ติฯ

    Dutiyasmiṃ pana atthe yathāvuttesu aggesu buddhādīsu uppattiyā aggabhūtā pasādā aggappasādā. Ye pana ariyamaggena āgatā aveccappasādā, te ekanteneva aggabhūtā pasādāti aggappasādā. Yathāha ‘‘idha , bhikkhave, ariyasāvako buddhe aveccappasādena samannāgato hotī’’tiādi (saṃ. ni. 5.1027). Aggavipākattāpi cete aggappasādā. Vuttañhi ‘‘agge kho pana pasannānaṃ aggo vipāko’’ti.

    ยาวตาติ ยตฺตกาฯ สตฺตาติ ปาณิโนฯ อปทาติ อปาทกาฯ ทฺวิปทาติ ทฺวิปาทกาฯ เสสปททฺวเยปิ เอเสว นโยฯ วา-สโทฺท สมุจฺจยโตฺถ, น วิกปฺปโตฺถฯ ยถา ‘‘อนุปฺปโนฺน วา กามาสโว อุปฺปชฺชติ, อุปฺปโนฺน วา กามาสโว ปวฑฺฒตี’’ติ (ม. นิ. ๑.๑๗) เอตฺถ อนุปฺปโนฺน จ อุปฺปโนฺน จาติ อโตฺถฯ ยถา จ ‘‘ภูตานํ วา สตฺตานํ ฐิติยา สมฺภเวสีนํ วา อนุคฺคหายา’’ติ (ม. นิ. ๑.๔๐๒; สํ. นิ. ๒.๑๒) เอตฺถ ภูตานญฺจ สมฺภเวสีนญฺจาติ อโตฺถฯ ยถา จ ‘‘อคฺคิโต วา อุทกโต วา มิถุเภทโต วา’’ติ (ที. นิ. ๒.๑๕๒; อุทา. ๗๖; มหาว. ๒๘๖) เอตฺถ อคฺคิโต จ อุทกโต จ มิถุเภทโต จาติ อโตฺถ, เอวํ ‘‘อปทา วา…เป.… อคฺคมกฺขายตี’’ติ เอตฺถาปิ อปทา จ ทฺวิปทา จาติ สมฺปิณฺฑนวเสน อโตฺถ ทฎฺฐโพฺพฯ เตน วุตฺตํ ‘‘วา-สโทฺท สมุจฺจยโตฺถ, น วิกปฺปโตฺถ’’ติฯ

    Yāvatāti yattakā. Sattāti pāṇino. Apadāti apādakā. Dvipadāti dvipādakā. Sesapadadvayepi eseva nayo. Vā-saddo samuccayattho, na vikappattho. Yathā ‘‘anuppanno vā kāmāsavo uppajjati, uppanno vā kāmāsavo pavaḍḍhatī’’ti (ma. ni. 1.17) ettha anuppanno ca uppanno cāti attho. Yathā ca ‘‘bhūtānaṃ vā sattānaṃ ṭhitiyā sambhavesīnaṃ vā anuggahāyā’’ti (ma. ni. 1.402; saṃ. ni. 2.12) ettha bhūtānañca sambhavesīnañcāti attho. Yathā ca ‘‘aggito vā udakato vā mithubhedato vā’’ti (dī. ni. 2.152; udā. 76; mahāva. 286) ettha aggito ca udakato ca mithubhedato cāti attho, evaṃ ‘‘apadā vā…pe… aggamakkhāyatī’’ti etthāpi apadā ca dvipadā cāti sampiṇḍanavasena attho daṭṭhabbo. Tena vuttaṃ ‘‘vā-saddo samuccayattho, na vikappattho’’ti.

    รูปิโนติ รูปวโนฺตฯ น รูปิโนติ อรูปิโนฯ สญฺญิโนติ สญฺญาวโนฺตฯ น สญฺญิโนติ อสญฺญิโนฯ เนวสญฺญินาสญฺญิโน นาม ภวคฺคปริยาปนฺนาฯ เอตฺตาวตา จ กามภโว, รูปภโว, อรูปภโว, เอกโวการภโว, จตุโวการภโว, ปญฺจโวการภโว, สญฺญีภโว, อสญฺญีภโว, เนวสญฺญีนาสญฺญีภโวติ นววิเธปิ ภเว สเตฺต อนวเสสโต ปริยาทิยิตฺวา ทเสฺสสิ ธมฺมราชาฯ เอตฺถ หิ รูปิคฺคหเณน กามภโว รูปภโว ปญฺจโวการภโว เอกโวการภโว จ ทสฺสิโต, อรูปิคฺคหเณน อรูปภโว จตุโวการภโว จ ทสฺสิโตฯ สญฺญีภวาทโย ปน สรูเปเนว ทสฺสิตาฯ อปทาทิคฺคหเณน กามภวปญฺจโวการภวสญฺญีภวานํ เอกเทโส ทสฺสิโตติฯ

    Rūpinoti rūpavanto. Na rūpinoti arūpino. Saññinoti saññāvanto. Na saññinoti asaññino. Nevasaññināsaññino nāma bhavaggapariyāpannā. Ettāvatā ca kāmabhavo, rūpabhavo, arūpabhavo, ekavokārabhavo, catuvokārabhavo, pañcavokārabhavo, saññībhavo, asaññībhavo, nevasaññīnāsaññībhavoti navavidhepi bhave satte anavasesato pariyādiyitvā dassesi dhammarājā. Ettha hi rūpiggahaṇena kāmabhavo rūpabhavo pañcavokārabhavo ekavokārabhavo ca dassito, arūpiggahaṇena arūpabhavo catuvokārabhavo ca dassito. Saññībhavādayo pana sarūpeneva dassitā. Apadādiggahaṇena kāmabhavapañcavokārabhavasaññībhavānaṃ ekadeso dassitoti.

    กสฺมา ปเนตฺถ ยถา อทุติยสุเตฺต ‘‘ทฺวิปทานํ อโคฺค’’ติ ทฺวิปทานํ คหณเมว อกตฺวา อปทาทิคฺคหณํ กตนฺติ? วุจฺจเต – อทุติยสุเตฺต ตาว เสฎฺฐตรวเสน ทฺวิปทคฺคหณเมว กตํฯ อิมสฺมิญฺหิ โลเก เสโฎฺฐ นาม อุปฺปชฺชมาโน อปทจตุปฺปทพหุปฺปเทสุ น อุปฺปชฺชติ, ทฺวิปเทสุเยว อุปฺปชฺชติฯ กตเรสุ ทฺวิปเทสุ? มนุเสฺสสุ เจว เทเวสุ จฯ มนุเสฺสสุ อุปฺปชฺชมาโน สกลโลกํ วเส วเตฺตตุํ สมโตฺถ พุโทฺธ หุตฺวา อุปฺปชฺชติฯ องฺคุตฺตรฎฺฐกถายํ ปน ‘‘ติสหสฺสิมหาสหสฺสิโลกธาตุํ วเส วเตฺตตุํ สมโตฺถ’’ติ (อ. นิ. อฎฺฐ. ๑.๑.๑๗๔) วุตฺตํฯ เทเวสุ อุปฺปชฺชมาโน ทสสหสฺสิโลกธาตุํ วเส วตฺตนโก มหาพฺรหฺมา หุตฺวา อุปฺปชฺชติ, โส ตสฺส กปฺปิยการโก วา อารามิโก วา สมฺปชฺชติฯ อิติ ตโตปิ เสฎฺฐตรวเสเนส ‘‘ทฺวิปทานํ อโคฺค’’ติ ตตฺถ วุโตฺต, อิธ ปน อนวเสสปริยาทานวเสน เอวํ วุตฺตํฯ ยาวตฺตกา หิ สตฺตา อตฺตภาวปริยาปนฺนา อปทา วา…เป.… เนวสญฺญีนาสญฺญิโน วา, ตถาคโต เตสํ อคฺคมกฺขายตีติฯ นิทฺธารเณ เจตํ สามิวจนํ, มกาโร ปทสนฺธิกโรฯ อโคฺค อกฺขายตีติ ปทวิภาโคฯ

    Kasmā panettha yathā adutiyasutte ‘‘dvipadānaṃ aggo’’ti dvipadānaṃ gahaṇameva akatvā apadādiggahaṇaṃ katanti? Vuccate – adutiyasutte tāva seṭṭhataravasena dvipadaggahaṇameva kataṃ. Imasmiñhi loke seṭṭho nāma uppajjamāno apadacatuppadabahuppadesu na uppajjati, dvipadesuyeva uppajjati. Kataresu dvipadesu? Manussesu ceva devesu ca. Manussesu uppajjamāno sakalalokaṃ vase vattetuṃ samattho buddho hutvā uppajjati. Aṅguttaraṭṭhakathāyaṃ pana ‘‘tisahassimahāsahassilokadhātuṃ vase vattetuṃ samattho’’ti (a. ni. aṭṭha. 1.1.174) vuttaṃ. Devesu uppajjamāno dasasahassilokadhātuṃ vase vattanako mahābrahmā hutvā uppajjati, so tassa kappiyakārako vā ārāmiko vā sampajjati. Iti tatopi seṭṭhataravasenesa ‘‘dvipadānaṃ aggo’’ti tattha vutto, idha pana anavasesapariyādānavasena evaṃ vuttaṃ. Yāvattakā hi sattā attabhāvapariyāpannā apadā vā…pe… nevasaññīnāsaññino vā, tathāgato tesaṃ aggamakkhāyatīti. Niddhāraṇe cetaṃ sāmivacanaṃ, makāro padasandhikaro. Aggo akkhāyatīti padavibhāgo.

    อโคฺค วิปาโก โหตีติ อเคฺค สมฺมาสมฺพุเทฺธ ปสนฺนานํ โย ปสาโท, โส อโคฺค เสโฎฺฐ อุตฺตโม โกฎิภูโต วา, ตสฺมา ตสฺส วิปาโกปิ อโคฺค เสโฎฺฐ อุตฺตโม โกฎิภูโต อุฬารตโม ปณีตตโม โหติฯ โส ปน ปสาโท ทุวิโธ โลกิยโลกุตฺตรเภทโตฯ เตสุ โลกิยสฺส ตาว –

    Aggo vipāko hotīti agge sammāsambuddhe pasannānaṃ yo pasādo, so aggo seṭṭho uttamo koṭibhūto vā, tasmā tassa vipākopi aggo seṭṭho uttamo koṭibhūto uḷāratamo paṇītatamo hoti. So pana pasādo duvidho lokiyalokuttarabhedato. Tesu lokiyassa tāva –

    ‘‘เย เกจิ พุทฺธํ สรณํ คตาเส, น เต คมิสฺสนฺติ อปายภูมิํ;

    ‘‘Ye keci buddhaṃ saraṇaṃ gatāse, na te gamissanti apāyabhūmiṃ;

    ปหาย มานุสํ เทหํ, เทวกายํ ปริปูเรสฺสนฺติฯ (ที. นิ. ๒.๓๓๒; สํ. นิ. ๑.๓๗);

    Pahāya mānusaṃ dehaṃ, devakāyaṃ paripūressanti. (dī. ni. 2.332; saṃ. ni. 1.37);

    ‘‘พุโทฺธติ กิตฺตยนฺตสฺส, กาเย ภวติ ยา ปีติ;

    ‘‘Buddhoti kittayantassa, kāye bhavati yā pīti;

    วรเมว หิ สา ปีติ, กสิเณนปิ ชมฺพุทีปสฺสฯ

    Varameva hi sā pīti, kasiṇenapi jambudīpassa.

    ‘‘สตํ หตฺถี สตํ อสฺสา, สตํ อสฺสตรี รถา;

    ‘‘Sataṃ hatthī sataṃ assā, sataṃ assatarī rathā;

    สตํ กญฺญาสหสฺสานิ, อามุกฺกมณิกุณฺฑลา;

    Sataṃ kaññāsahassāni, āmukkamaṇikuṇḍalā;

    เอกสฺส ปทวีติหารสฺส, กลํ นาคฺฆนฺติ โสฬสิํ’’ฯ (สํ. นิ. ๑.๒๔๒; จูฬว. ๓๐๕);

    Ekassa padavītihārassa, kalaṃ nāgghanti soḷasiṃ’’. (saṃ. ni. 1.242; cūḷava. 305);

    ‘‘สาธุ โข, เทวานมินฺท, พุทฺธํ สรณคมนํ โหติ, พุทฺธํ สรณคมนเหตุ โข, เทวานมินฺท, เอวมิเธกเจฺจ สตฺตา กายสฺส เภทา ปรํ มรณา สุคติํ สคฺคํ โลกํ อุปปชฺชนฺติฯ เต อเญฺญ เทเว ทสหิ ฐาเนหิ อธิคณฺหนฺติ – ทิเพฺพน อายุนา, ทิเพฺพน วเณฺณน, ทิเพฺพน สุเขน, ทิเพฺพน ยเสน, ทิเพฺพน อาธิปเตเยฺยน, ทิเพฺพหิ รูเปหิ, ทิเพฺพหิ สเทฺทหิ, ทิเพฺพหิ คเนฺธหิ, ทิเพฺพหิ รเสหิ, ทิเพฺพหิ โผฎฺฐเพฺพหี’’ติ (สํ. นิ. ๔.๓๔๑) –

    ‘‘Sādhu kho, devānaminda, buddhaṃ saraṇagamanaṃ hoti, buddhaṃ saraṇagamanahetu kho, devānaminda, evamidhekacce sattā kāyassa bhedā paraṃ maraṇā sugatiṃ saggaṃ lokaṃ upapajjanti. Te aññe deve dasahi ṭhānehi adhigaṇhanti – dibbena āyunā, dibbena vaṇṇena, dibbena sukhena, dibbena yasena, dibbena ādhipateyyena, dibbehi rūpehi, dibbehi saddehi, dibbehi gandhehi, dibbehi rasehi, dibbehi phoṭṭhabbehī’’ti (saṃ. ni. 4.341) –

    เอวมาทีนํ สุตฺตปทานํ วเสน ปสาทสฺส ผลวิเสสโยโค เวทิตโพฺพฯ ตสฺมา โส อปายทุกฺขวินิวตฺตเนน สทฺธิํ สมฺปตฺติภเวสุ สุขวิปากทายโกติ ทฎฺฐโพฺพฯ โลกุตฺตโร ปน สามญฺญผลวิปากทายโก วฎฺฎทุกฺขวินิวตฺตโก จฯ สโพฺพปิ จายํ ปสาโท ปรมฺปราย วฎฺฎทุกฺขํ วินิวเตฺตติเยวฯ วุตฺตเญฺหตํ –

    Evamādīnaṃ suttapadānaṃ vasena pasādassa phalavisesayogo veditabbo. Tasmā so apāyadukkhavinivattanena saddhiṃ sampattibhavesu sukhavipākadāyakoti daṭṭhabbo. Lokuttaro pana sāmaññaphalavipākadāyako vaṭṭadukkhavinivattako ca. Sabbopi cāyaṃ pasādo paramparāya vaṭṭadukkhaṃ vinivattetiyeva. Vuttañhetaṃ –

    ‘‘ยสฺมิํ , ภิกฺขเว, สมเย อริยสาวโก อตฺตโน สทฺธํ อนุสฺสรติ, เนวสฺส ตสฺมิํ สมเย ราคปริยุฎฺฐิตํ จิตฺตํ โหติ, น โทสปริยุฎฺฐิตํ, น โมหปริยุฎฺฐิตํ จิตฺตํ โหติ, อุชุคตเมวสฺส ตสฺมิํ สมเย จิตฺตํ โหติฯ อุชุคตจิตฺตสฺส ปาโมชฺชํ ชายติ, ปมุทิตสฺส ปีติ ชายติ…เป.… นาปรํ อิตฺถตฺตายาติ ปชานาตี’’ติ (อ. นิ. ๖.๑๐; ๒๖)ฯ

    ‘‘Yasmiṃ , bhikkhave, samaye ariyasāvako attano saddhaṃ anussarati, nevassa tasmiṃ samaye rāgapariyuṭṭhitaṃ cittaṃ hoti, na dosapariyuṭṭhitaṃ, na mohapariyuṭṭhitaṃ cittaṃ hoti, ujugatamevassa tasmiṃ samaye cittaṃ hoti. Ujugatacittassa pāmojjaṃ jāyati, pamuditassa pīti jāyati…pe… nāparaṃ itthattāyāti pajānātī’’ti (a. ni. 6.10; 26).

    ธมฺมาติ สภาวธมฺมาฯ สงฺขตาติ สเมจฺจ สมฺภุยฺย ปจฺจเยหิ กตาติ สงฺขตา, สปฺปจฺจยธมฺมาฯ เหตูหิ ปจฺจเยหิ จ น เกหิจิ กตาติ อสงฺขตา, อปฺปจฺจยนิพฺพานํฯ สงฺขตานํ ปฎิโยคิภาเวน ‘‘อสงฺขตา’’ติ ปุถุวจนํฯ วิราโค เตสํ อคฺคมกฺขายตีติ เตสํ สงฺขตาสงฺขตธมฺมานํ โย วิราคสงฺขาโต อสงฺขตธโมฺม, โส สภาเวเนว สณฺหสุขุมภาวโต สนฺตตรปณีตตรภาวโต คมฺภีราทิภาวโต มทนิมฺมทนาทิภาวโต จ อคฺคํ เสฎฺฐํ อุตฺตมํ ปวรนฺติ วุจฺจติฯ ยทิทนฺติ นิปาโต, โย อยนฺติ อโตฺถฯ มทนิมฺมทโนติอาทีนิ สพฺพานิ นิพฺพานเววจนานิเยวฯ ตถา หิ ตํ อาคมฺม มานมทปุริสมทาทิโก สโพฺพ มโท นิมฺมทียติ ปมทฺทียติ, กามปิปาสาทิกา สพฺพา ปิปาสา วินียติ, กามาลยาทิกา สเพฺพปิ อาลยา สมุคฺฆาตียนฺติ, สเพฺพปิ กมฺมวฎฺฎกิเลสวฎฺฎวิปากวฎฺฎา อุปจฺฉิชฺชนฺติ, อฎฺฐสตเภทา สพฺพาปิ ตณฺหา ขียติ, สเพฺพปิ กิเลสา วิรชฺชนฺติ, สพฺพํ ทุกฺขํ นิรุชฺฌติ, ตสฺมา มทนิมฺมทโน…เป.… นิโรโธติ วุจฺจติฯ ยา ปเนสา ตณฺหา ภเวน ภวํ, ผเลน กมฺมํ วินติ สํสิพฺพตีติ กตฺวา วานนฺติ วุจฺจติฯ ตํ วานํ เอตฺถ นตฺถิ, เอตสฺมิํ วา อธิคเต อริยปุคฺคลสฺส น โหตีติ นิพฺพานํ

    Dhammāti sabhāvadhammā. Saṅkhatāti samecca sambhuyya paccayehi katāti saṅkhatā, sappaccayadhammā. Hetūhi paccayehi ca na kehici katāti asaṅkhatā, appaccayanibbānaṃ. Saṅkhatānaṃ paṭiyogibhāvena ‘‘asaṅkhatā’’ti puthuvacanaṃ. Virāgo tesaṃ aggamakkhāyatīti tesaṃ saṅkhatāsaṅkhatadhammānaṃ yo virāgasaṅkhāto asaṅkhatadhammo, so sabhāveneva saṇhasukhumabhāvato santatarapaṇītatarabhāvato gambhīrādibhāvato madanimmadanādibhāvato ca aggaṃ seṭṭhaṃ uttamaṃ pavaranti vuccati. Yadidanti nipāto, yo ayanti attho. Madanimmadanotiādīni sabbāni nibbānavevacanāniyeva. Tathā hi taṃ āgamma mānamadapurisamadādiko sabbo mado nimmadīyati pamaddīyati, kāmapipāsādikā sabbā pipāsā vinīyati, kāmālayādikā sabbepi ālayā samugghātīyanti, sabbepi kammavaṭṭakilesavaṭṭavipākavaṭṭā upacchijjanti, aṭṭhasatabhedā sabbāpi taṇhā khīyati, sabbepi kilesā virajjanti, sabbaṃ dukkhaṃ nirujjhati, tasmā madanimmadano…pe… nirodhoti vuccati. Yā panesā taṇhā bhavena bhavaṃ, phalena kammaṃ vinati saṃsibbatīti katvā vānanti vuccati. Taṃ vānaṃ ettha natthi, etasmiṃ vā adhigate ariyapuggalassa na hotīti nibbānaṃ.

    อโคฺค วิปาโก โหตีติ เอตฺถาปิ –

    Aggo vipāko hotīti etthāpi –

    ‘‘เย เกจิ ธมฺมํ สรณํ คตาเส…เป.…ฯ (ที. นิ. ๒.๓๓๒; สํ. นิ. ๑.๓๗);

    ‘‘Ye keci dhammaṃ saraṇaṃ gatāse…pe…. (dī. ni. 2.332; saṃ. ni. 1.37);

    ‘‘ธโมฺมติ กิตฺตยนฺตสฺส, กาเย ภวติ ยา ปีติ…เป.…ฯ

    ‘‘Dhammoti kittayantassa, kāye bhavati yā pīti…pe….

    ‘‘สาธุ โข, เทวานมินฺท, ธมฺมํ สรณคมนํ โหติฯ ธมฺมํ สรณคมนเหตุ โข, เทวานมินฺท, เอวมิเธกเจฺจ…เป.… ทิเพฺพหิ โผฎฺฐเพฺพหี’’ติ (สํ. นิ. ๔.๓๔๑) –

    ‘‘Sādhu kho, devānaminda, dhammaṃ saraṇagamanaṃ hoti. Dhammaṃ saraṇagamanahetu kho, devānaminda, evamidhekacce…pe… dibbehi phoṭṭhabbehī’’ti (saṃ. ni. 4.341) –

    เอวมาทีนํ สุตฺตปทานํ วเสน ธเมฺม ปสาทสฺส ผลวิเสสโยโค เวทิตโพฺพฯ เอวเมตฺถ อสงฺขตธมฺมวเสเนว อคฺคภาโว อาคโต, สพฺพสงฺขตนิสฺสรณทสฺสนตฺถํ อริยมคฺควเสนปิ อยมโตฺถ ลพฺภเตวฯ วุตฺตเญฺหตํ –

    Evamādīnaṃ suttapadānaṃ vasena dhamme pasādassa phalavisesayogo veditabbo. Evamettha asaṅkhatadhammavaseneva aggabhāvo āgato, sabbasaṅkhatanissaraṇadassanatthaṃ ariyamaggavasenapi ayamattho labbhateva. Vuttañhetaṃ –

    ‘‘ยาวตา , ภิกฺขเว, ธมฺมา สงฺขตา, อริโย อฎฺฐงฺคิโก มโคฺค เตสํ อคฺคมกฺขายตี’’ติ (อ. นิ. ๔.๓๔)ฯ

    ‘‘Yāvatā , bhikkhave, dhammā saṅkhatā, ariyo aṭṭhaṅgiko maggo tesaṃ aggamakkhāyatī’’ti (a. ni. 4.34).

    ‘‘มคฺคานฎฺฐงฺคิโก เสโฎฺฐ’’ติ จฯ (ธ. ป. ๒๗๓)ฯ

    ‘‘Maggānaṭṭhaṅgiko seṭṭho’’ti ca. (Dha. pa. 273).

    สงฺฆา วา คณา วาติ ชนสมูหสงฺขาตา ยาวตา โลเก สงฺฆา วา คณา วาฯ ตถาคตสาวกสโงฺฆติ อฎฺฐอริยปุคฺคลสมูหสงฺขาโต ทิฎฺฐิสีลสามเญฺญน สํหโต ตถาคตสฺส สาวกสโงฺฆฯ เตสํ อคฺคมกฺขายตีติ อตฺตโน สีลสมาธิปญฺญาวิมุตฺติอาทิคุณวิเสเสน เตสํ สงฺฆานํ อโคฺค เสโฎฺฐ อุตฺตโม ปวโรติ วุจฺจติฯ ยทิทนฺติ ยานิ อิมานิฯ จตฺตาริ ปุริสยุคานีติ ยุคฬวเสน ปฐมมคฺคโฎฺฐ ปฐมผลโฎฺฐติ อิทเมกํ ยุคฬํ, ยาว จตุตฺถมคฺคโฎฺฐ จตุตฺถผลโฎฺฐติ อิทเมกํ ยุคฬนฺติ เอวํ จตฺตาริ ปุริสยุคานิฯ อฎฺฐ ปุริสปุคฺคลาติ ปุริสปุคฺคลวเสน เอโก ปฐมมคฺคโฎฺฐ เอโก ปฐมผลโฎฺฐติ อิมินา นเยน อฎฺฐ ปุริสปุคฺคลาฯ เอตฺถ จ ปุริโสติ วา ปุคฺคโลติ วา เอกตฺถานิ เอตานิ ปทานิ, เวเนยฺยวเสน ปเนวํ วุตฺตํฯ เอส ภควโต สาวกสโงฺฆติ ยานิมานิ ยุควเสน จตฺตาริ ปุริสยุคานิ, ปาเฎกฺกโต อฎฺฐ ปุริสปุคฺคลา, เอส ภควโต สาวกสโงฺฆฯ

    Saṅghā vā gaṇā vāti janasamūhasaṅkhātā yāvatā loke saṅghā vā gaṇā vā. Tathāgatasāvakasaṅghoti aṭṭhaariyapuggalasamūhasaṅkhāto diṭṭhisīlasāmaññena saṃhato tathāgatassa sāvakasaṅgho. Tesaṃ aggamakkhāyatīti attano sīlasamādhipaññāvimuttiādiguṇavisesena tesaṃ saṅghānaṃ aggo seṭṭho uttamo pavaroti vuccati. Yadidanti yāni imāni. Cattāri purisayugānīti yugaḷavasena paṭhamamaggaṭṭho paṭhamaphalaṭṭhoti idamekaṃ yugaḷaṃ, yāva catutthamaggaṭṭho catutthaphalaṭṭhoti idamekaṃ yugaḷanti evaṃ cattāri purisayugāni. Aṭṭha purisapuggalāti purisapuggalavasena eko paṭhamamaggaṭṭho eko paṭhamaphalaṭṭhoti iminā nayena aṭṭha purisapuggalā. Ettha ca purisoti vā puggaloti vā ekatthāni etāni padāni, veneyyavasena panevaṃ vuttaṃ. Esa bhagavato sāvakasaṅghoti yānimāni yugavasena cattāri purisayugāni, pāṭekkato aṭṭha purisapuggalā, esa bhagavato sāvakasaṅgho.

    อาหุเนโยฺยติอาทีสุ อาเนตฺวา หุนิตพฺพนฺติ อาหุนํ, ทูรโตปิ อาคนฺตฺวา สีลวเนฺตสุ ทาตพฺพนฺติ อโตฺถฯ จตุนฺนํ ปจฺจยานเมตํ อธิวจนํฯ มหปฺผลภาวกรณโต ตํ อาหุนํ ปฎิคฺคเหตุํ ยุโตฺตติ อาหุเนโยฺยฯ อถ วา ทูรโตปิ อาคนฺตฺวา สพฺพํ สาปเตยฺยมฺปิ เอตฺถ หุนิตพฺพํ, สกฺกาทีนมฺปิ อาหวนํ อรหตีติ วา อาหวนีโยฯ โย จายํ พฺราหฺมณานํ อาหวนีโย นาม อคฺคิ, ยตฺถ หุตํ มหปฺผลนฺติ เตสํ ลทฺธิ, โส เจ หุตสฺส มหปฺผลตาย อาหวนีโย, สโงฺฆว อาหวนีโยฯ สเงฺฆ หุตญฺหิ มหปฺผลํ โหติฯ ยถาห –

    Āhuneyyotiādīsu ānetvā hunitabbanti āhunaṃ, dūratopi āgantvā sīlavantesu dātabbanti attho. Catunnaṃ paccayānametaṃ adhivacanaṃ. Mahapphalabhāvakaraṇato taṃ āhunaṃ paṭiggahetuṃ yuttoti āhuneyyo. Atha vā dūratopi āgantvā sabbaṃ sāpateyyampi ettha hunitabbaṃ, sakkādīnampi āhavanaṃ arahatīti vā āhavanīyo. Yo cāyaṃ brāhmaṇānaṃ āhavanīyo nāma aggi, yattha hutaṃ mahapphalanti tesaṃ laddhi, so ce hutassa mahapphalatāya āhavanīyo, saṅghova āhavanīyo. Saṅghe hutañhi mahapphalaṃ hoti. Yathāha –

    ‘‘โย จ วสฺสสตํ ชนฺตุ, อคฺคิํ ปริจเร วเน;

    ‘‘Yo ca vassasataṃ jantu, aggiṃ paricare vane;

    เอกญฺจ ภาวิตตฺตานํ, มุหุตฺตมปิ ปูชเย;

    Ekañca bhāvitattānaṃ, muhuttamapi pūjaye;

    สา เอว ปูชนา เสโยฺย, ยเญฺจ วสฺสสตํ หุต’’นฺติฯ (ธ. ป. ๑๐๗);

    Sā eva pūjanā seyyo, yañce vassasataṃ huta’’nti. (dha. pa. 107);

    ตยิทํ นิกายนฺตเร ‘‘อาหวนีโย’’ติ ปทํ อิธ ‘‘อาหุเนโยฺย’’ติ อิมินา ปเทน อตฺถโต เอกํ, พฺยญฺชนโต ปน กิญฺจิมตฺตเมว นานํ, ตสฺมา เอวมตฺถวณฺณนา กตาฯ

    Tayidaṃ nikāyantare ‘‘āhavanīyo’’ti padaṃ idha ‘‘āhuneyyo’’ti iminā padena atthato ekaṃ, byañjanato pana kiñcimattameva nānaṃ, tasmā evamatthavaṇṇanā katā.

    ปาหุเนโยฺยติ เอตฺถ ปน ปาหุนํ วุจฺจติ ทิสาวิทิสโต อาคตานํ ปิยมนาปานํ ญาติมิตฺตานํ อตฺถาย สกฺกาเรน ปฎิยตฺตํ อาคนฺตุกทานํ, ตมฺปิ ฐเปตฺวา เต ตถารูเป ปาหุนเก สงฺฆเสฺสว ทาตุํ ยุตฺตํฯ ตถา เหส เอกพุทฺธนฺตเรปิ ทิสฺสติ อโพฺพกิณฺณญฺจฯ อยํ ปเนตฺถ ปทโตฺถ – ‘‘ปิยมนาปตฺตกเรหิ ธเมฺมหิ สมนฺนาคโต’’ติ เอวํ ปาหุนมสฺส ทาตุํ ยุตฺตํ, ปาหุนญฺจ ปฎิคฺคเหตุํ ยุโตฺตติ ปาหุเนโยฺยฯ เยสํ ปน ปาหวนีโยติ ปาฬิ, เตสํ ยสฺมา สโงฺฆ ปุพฺพการํ อรหติ, ตสฺมา สโงฺฆ สพฺพปฐมํ อาเนตฺวา เอตฺถ หุนิตพฺพนฺติ ปาหวนีโย, สพฺพปฺปกาเรน วา อาหวนํ อรหตีติ ปาหวนีโยฯ สฺวายมิธ เตเนว อเตฺถน ปาหุเนโยฺยติ วุจฺจติฯ

    Pāhuneyyoti ettha pana pāhunaṃ vuccati disāvidisato āgatānaṃ piyamanāpānaṃ ñātimittānaṃ atthāya sakkārena paṭiyattaṃ āgantukadānaṃ, tampi ṭhapetvā te tathārūpe pāhunake saṅghasseva dātuṃ yuttaṃ. Tathā hesa ekabuddhantarepi dissati abbokiṇṇañca. Ayaṃ panettha padattho – ‘‘piyamanāpattakarehi dhammehi samannāgato’’ti evaṃ pāhunamassa dātuṃ yuttaṃ, pāhunañca paṭiggahetuṃ yuttoti pāhuneyyo. Yesaṃ pana pāhavanīyoti pāḷi, tesaṃ yasmā saṅgho pubbakāraṃ arahati, tasmā saṅgho sabbapaṭhamaṃ ānetvā ettha hunitabbanti pāhavanīyo, sabbappakārena vā āhavanaṃ arahatīti pāhavanīyo. Svāyamidha teneva atthena pāhuneyyoti vuccati.

    ‘‘ทกฺขิณา’’ติ ปรโลกํ สทฺทหิตฺวา ทาตพฺพทานํ, ตํ ทกฺขิณํ อรหติ ทกฺขิณาย วา หิโต มหปฺผลภาวกรเณน วิโสธนโตติ ทกฺขิเณโยฺยฯ อุโภ หเตฺถ สิรสิ ปติฎฺฐเปตฺวา สพฺพโลเกน กริยมานํ อญฺชลิกมฺมํ อรหตีติ อญฺชลิกรณีโยอนุตฺตรํ ปุญฺญเกฺขตฺตํ โลกสฺสาติ สพฺพโลกสฺส อสทิสํ ปุญฺญวิรูหนฎฺฐานํฯ ยถา หิ รตฺตสาลีนํ วา ยวานํ วา วิรูหนฎฺฐานํ ‘‘รตฺตสาลิเกฺขตฺตํ ยวเกฺขตฺต’’นฺติ วุจฺจติ, เอวํ สโงฺฆ สเทวกสฺส โลกสฺส ปุญฺญวิรูหนฎฺฐานํฯ สงฺฆํ นิสฺสาย หิ โลกสฺส นานปฺปการหิตสุขนิพฺพตฺตกานิ ปุญฺญานิ วิรูหนฺติ, ตสฺมา สโงฺฆ อนุตฺตรํ ปุญฺญเกฺขตฺตํ โลกสฺสฯ อิธาปิ –

    ‘‘Dakkhiṇā’’ti paralokaṃ saddahitvā dātabbadānaṃ, taṃ dakkhiṇaṃ arahati dakkhiṇāya vā hito mahapphalabhāvakaraṇena visodhanatoti dakkhiṇeyyo. Ubho hatthe sirasi patiṭṭhapetvā sabbalokena kariyamānaṃ añjalikammaṃ arahatīti añjalikaraṇīyo. Anuttaraṃ puññakkhettaṃ lokassāti sabbalokassa asadisaṃ puññavirūhanaṭṭhānaṃ. Yathā hi rattasālīnaṃ vā yavānaṃ vā virūhanaṭṭhānaṃ ‘‘rattasālikkhettaṃ yavakkhetta’’nti vuccati, evaṃ saṅgho sadevakassa lokassa puññavirūhanaṭṭhānaṃ. Saṅghaṃ nissāya hi lokassa nānappakārahitasukhanibbattakāni puññāni virūhanti, tasmā saṅgho anuttaraṃ puññakkhettaṃ lokassa. Idhāpi –

    ‘‘เย เกจิ สงฺฆํ สรณํ คตาเส…เป.…ฯ (ที. นิ. ๒.๓๓๒; สํ. นิ. ๑.๓๗);

    ‘‘Ye keci saṅghaṃ saraṇaṃ gatāse…pe…. (dī. ni. 2.332; saṃ. ni. 1.37);

    ‘‘สโงฺฆติ กิตฺตยนฺตสฺส, กาเย ภวติ ยา ปีติ…เป.…’’ฯ

    ‘‘Saṅghoti kittayantassa, kāye bhavati yā pīti…pe…’’.

    ‘‘สาธุ โข, เทวานมินฺท, สงฺฆํ สรณคมนํ โหติ, สงฺฆํ สรณคมนเหตุ โข เทวานมินฺท…เป.… ทิเพฺพหิ โผฎฺฐเพฺพหี’’ติ (สํ. นิ. ๔.๓๔๑) –

    ‘‘Sādhu kho, devānaminda, saṅghaṃ saraṇagamanaṃ hoti, saṅghaṃ saraṇagamanahetu kho devānaminda…pe… dibbehi phoṭṭhabbehī’’ti (saṃ. ni. 4.341) –

    อาทีนํ สุตฺตปทานํ วเสน สเงฺฆ ปสาทสฺส ผลวิเสสโยโค, เตนสฺส อคฺคตา อคฺควิปากตา จ เวทิตพฺพาฯ ตถา อนุตฺตริยปฎิลาโภ สตฺตมภวาทิโต ปฎฺฐาย วฎฺฎทุกฺขสมุเจฺฉโท อนุตฺตรสุขาธิคโมติ เอวมาทิอุฬารผลนิปฺผาทนวเสน อคฺควิปากตา เวทิตพฺพาฯ

    Ādīnaṃ suttapadānaṃ vasena saṅghe pasādassa phalavisesayogo, tenassa aggatā aggavipākatā ca veditabbā. Tathā anuttariyapaṭilābho sattamabhavādito paṭṭhāya vaṭṭadukkhasamucchedo anuttarasukhādhigamoti evamādiuḷāraphalanipphādanavasena aggavipākatā veditabbā.

    คาถาสุ อคฺคโตติ อเคฺค รตนตฺตเย, อคฺคภาวโต วา ปสนฺนานํฯ อคฺคํ ธมฺมนฺติ อคฺคสภาวํ พุทฺธสุพุทฺธตํ ธมฺมสุธมฺมตํ สงฺฆสุปฺปฎิปตฺติํ รตนตฺตยสฺส อนญฺญสาธารณํ อุตฺตมสภาวํ , ทสพลาทิสฺวากฺขาตตาทิสุปฺปฎิปนฺนตาทิคุณสภาวํ วา วิชานตํ วิชานนฺตานํฯ เอวํ สาธารณโต อคฺคปฺปสาทวตฺถุํ ทเสฺสตฺวา อิทานิ อสาธารณโต ตํ วิภาเคน ทเสฺสตุํ ‘‘อเคฺค พุเทฺธ’’ติอาทิ วุตฺตํฯ ตตฺถ ปสนฺนานนฺติ อเวจฺจปฺปสาเทน อิตรปฺปสาเทน จ ปสนฺนานํ อธิมุตฺตานํฯ วิราคูปสเมติ วิราเค อุปสเม จ, สพฺพสฺส ราคสฺส สเพฺพสํ กิเลสานํ อจฺจนฺตวิราคเหตุภูเต อจฺจนฺตอุปสมเหตุภูเต จาติ อโตฺถฯ สุเขติ วฎฺฎทุกฺขกฺขยภาเวน สงฺขารูปสมสุขภาเวน จ สุเขฯ

    Gāthāsu aggatoti agge ratanattaye, aggabhāvato vā pasannānaṃ. Aggaṃ dhammanti aggasabhāvaṃ buddhasubuddhataṃ dhammasudhammataṃ saṅghasuppaṭipattiṃ ratanattayassa anaññasādhāraṇaṃ uttamasabhāvaṃ , dasabalādisvākkhātatādisuppaṭipannatādiguṇasabhāvaṃ vā vijānataṃ vijānantānaṃ. Evaṃ sādhāraṇato aggappasādavatthuṃ dassetvā idāni asādhāraṇato taṃ vibhāgena dassetuṃ ‘‘agge buddhe’’tiādi vuttaṃ. Tattha pasannānanti aveccappasādena itarappasādena ca pasannānaṃ adhimuttānaṃ. Virāgūpasameti virāge upasame ca, sabbassa rāgassa sabbesaṃ kilesānaṃ accantavirāgahetubhūte accantaupasamahetubhūte cāti attho. Sukheti vaṭṭadukkhakkhayabhāvena saṅkhārūpasamasukhabhāvena ca sukhe.

    อคฺคสฺมิํ ทานํ ททตนฺติ อเคฺค รตนตฺตเย ทานํ เทนฺตานํ เทยฺยธมฺมํ ปริจฺจชนฺตานํฯ ตตฺถ ธรมานํ ภควนฺตํ จตูหิ ปจฺจเยหิ อุปฎฺฐหนฺตา ปูเชนฺตา สกฺกโรนฺตา ปรินิพฺพุตญฺจ ภควนฺตํ อุทฺทิสฺส ธาตุเจติยาทิเก อุปฎฺฐหนฺตา ปูเชนฺตา สกฺกโรนฺตา พุเทฺธ ทานํ ททนฺติ นามฯ ‘‘ธมฺมํ ปูเชสฺสามา’’ติ ธมฺมธเร ปุคฺคเล จตูหิ ปจฺจเยหิ อุปฎฺฐหนฺตา ปูเชนฺตา สกฺกโรนฺตา ธมฺมญฺจ จิรฎฺฐิติกํ กโรนฺตา ธเมฺม ทานํ ททนฺติ นามฯ ตถา อริยสงฺฆํ จตูหิ ปจฺจเยหิ อุปฎฺฐหนฺตา ปูเชนฺตา สกฺกโรนฺตา ตํ อุทฺทิสฺส อิตรสฺมิมฺปิ ตถา ปฎิปชฺชนฺตา สเงฺฆ ทานํ ททนฺติ นามฯ อคฺคํ ปุญฺญํ ปวฑฺฒตีติ เอวํ รตนตฺตเย ปสเนฺนน เจตสา อุฬารํ ปริจฺจาคํ อุฬารญฺจ ปูชาสกฺการํ ปวเตฺตนฺตานํ ทิวเส ทิวเส อคฺคํ อุฬารํ กุสลํ อุปจียติฯ อิทานิ ตสฺส ปุญฺญสฺส อคฺควิปากตาย อคฺคภาวํ ทเสฺสตุํ ‘‘อคฺคํ อายู’’ติอาทิ วุตฺตํฯ ตตฺถ อคฺคํ อายูติ ทิพฺพํ วา มานุสํ วา อคฺคํ อุฬารตมํ อายุฯ ปวฑฺฒตีติ อุปรูปริ พฺรูหติฯ วโณฺณติ รูปสมฺปทาฯ ยโสติ ปริวารสมฺปทาฯ กิตฺตีติ ถุติโฆโสฯ สุขนฺติ กายิกํ เจตสิกญฺจ สุขํฯ พลนฺติ กายพลํ ญาณพลญฺจฯ

    Aggasmiṃ dānaṃ dadatanti agge ratanattaye dānaṃ dentānaṃ deyyadhammaṃ pariccajantānaṃ. Tattha dharamānaṃ bhagavantaṃ catūhi paccayehi upaṭṭhahantā pūjentā sakkarontā parinibbutañca bhagavantaṃ uddissa dhātucetiyādike upaṭṭhahantā pūjentā sakkarontā buddhe dānaṃ dadanti nāma. ‘‘Dhammaṃ pūjessāmā’’ti dhammadhare puggale catūhi paccayehi upaṭṭhahantā pūjentā sakkarontā dhammañca ciraṭṭhitikaṃ karontā dhamme dānaṃ dadanti nāma. Tathā ariyasaṅghaṃ catūhi paccayehi upaṭṭhahantā pūjentā sakkarontā taṃ uddissa itarasmimpi tathā paṭipajjantā saṅghe dānaṃ dadanti nāma. Aggaṃ puññaṃ pavaḍḍhatīti evaṃ ratanattaye pasannena cetasā uḷāraṃ pariccāgaṃ uḷārañca pūjāsakkāraṃ pavattentānaṃ divase divase aggaṃ uḷāraṃ kusalaṃ upacīyati. Idāni tassa puññassa aggavipākatāya aggabhāvaṃ dassetuṃ ‘‘aggaṃ āyū’’tiādi vuttaṃ. Tattha aggaṃ āyūti dibbaṃ vā mānusaṃ vā aggaṃ uḷāratamaṃ āyu. Pavaḍḍhatīti uparūpari brūhati. Vaṇṇoti rūpasampadā. Yasoti parivārasampadā. Kittīti thutighoso. Sukhanti kāyikaṃ cetasikañca sukhaṃ. Balanti kāyabalaṃ ñāṇabalañca.

    อคฺคสฺส ทาตาติ อคฺคสฺส รตนตฺตยสฺส ทาตา, อถ วา อคฺคสฺส เทยฺยธมฺมสฺส ทานํ อุฬารํ กตฺวา ตตฺถ ปุญฺญํ ปวเตฺตตาฯ อคฺคธมฺมสมาหิโตติ อเคฺคน ปสาทธเมฺมน ทานาทิธเมฺมน จ สมาหิโต สมนฺนาคโต อจลปฺปสาทยุโตฺต, ตสฺส วา วิปากภูเตหิ พหุชนสฺส ปิยมนาปตาทิธเมฺมหิ ยุโตฺตฯ อคฺคปฺปโตฺต ปโมทตีติ ยตฺถ ยตฺถ สตฺตนิกาเย อุปฺปโนฺน, ตตฺถ ตตฺถ อคฺคภาวํ เสฎฺฐภาวํ อธิคโต, อคฺคภาวํ วา โลกุตฺตรมคฺคผลํ อธิคโต ปโมทติ อภิรมติ ปริตุสฺสตีติฯ

    Aggassa dātāti aggassa ratanattayassa dātā, atha vā aggassa deyyadhammassa dānaṃ uḷāraṃ katvā tattha puññaṃ pavattetā. Aggadhammasamāhitoti aggena pasādadhammena dānādidhammena ca samāhito samannāgato acalappasādayutto, tassa vā vipākabhūtehi bahujanassa piyamanāpatādidhammehi yutto. Aggappatto pamodatīti yattha yattha sattanikāye uppanno, tattha tattha aggabhāvaṃ seṭṭhabhāvaṃ adhigato, aggabhāvaṃ vā lokuttaramaggaphalaṃ adhigato pamodati abhiramati paritussatīti.

    ปฐมสุตฺตวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Paṭhamasuttavaṇṇanā niṭṭhitā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / อิติวุตฺตกปาฬิ • Itivuttakapāḷi / ๑. อคฺคปฺปสาทสุตฺตํ • 1. Aggappasādasuttaṃ


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact