Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / สุตฺตนิปาต-อฎฺฐกถา • Suttanipāta-aṭṭhakathā |
๗. อคฺคิกภารทฺวาชสุตฺตวณฺณนา
7. Aggikabhāradvājasuttavaṇṇanā
เอวํ เม สุตนฺติ อคฺคิกภารทฺวาชสุตฺตํ, ‘‘วสลสุตฺต’’นฺติปิ วุจฺจติฯ กา อุปฺปตฺติ? ภควา สาวตฺถิยํ วิหรติ เชตวเน อนาถปิณฺฑิกสฺส อาราเมฯ กสิภารทฺวาชสุเตฺต วุตฺตนเยน ปจฺฉาภตฺตกิจฺจาวสาเน พุทฺธจกฺขุนา โลกํ โวโลเกโนฺต อคฺคิกภารทฺวาชํ พฺราหฺมณํ สรณสิกฺขาปทานํ อุปนิสฺสยสมฺปนฺนํ ทิสฺวา ‘‘ตตฺถ มยิ คเต กถา ปวตฺติสฺสติ, ตโต กถาวสาเน ธมฺมเทสนํ สุตฺวา เอส พฺราหฺมโณ สรณํ คนฺตฺวา สิกฺขาปทานิ สมาทิยิสฺสตี’’ติ ญตฺวา, ตตฺถ คนฺตฺวา, ปวตฺตาย กถาย พฺราหฺมเณน ธมฺมเทสนํ ยาจิโต อิมํ สุตฺตํ อภาสิฯ ตตฺถ ‘‘เอวํ เม สุต’’นฺติอาทิํ มงฺคลสุตฺตวณฺณนายํ วณฺณยิสฺสาม, ‘‘อถ โข ภควา ปุพฺพณฺหสมย’’นฺติอาทิ กสิภารทฺวาชสุเตฺต วุตฺตนเยเนว เวทิตพฺพํฯ
Evaṃme sutanti aggikabhāradvājasuttaṃ, ‘‘vasalasutta’’ntipi vuccati. Kā uppatti? Bhagavā sāvatthiyaṃ viharati jetavane anāthapiṇḍikassa ārāme. Kasibhāradvājasutte vuttanayena pacchābhattakiccāvasāne buddhacakkhunā lokaṃ volokento aggikabhāradvājaṃ brāhmaṇaṃ saraṇasikkhāpadānaṃ upanissayasampannaṃ disvā ‘‘tattha mayi gate kathā pavattissati, tato kathāvasāne dhammadesanaṃ sutvā esa brāhmaṇo saraṇaṃ gantvā sikkhāpadāni samādiyissatī’’ti ñatvā, tattha gantvā, pavattāya kathāya brāhmaṇena dhammadesanaṃ yācito imaṃ suttaṃ abhāsi. Tattha ‘‘evaṃ me suta’’ntiādiṃ maṅgalasuttavaṇṇanāyaṃ vaṇṇayissāma, ‘‘atha kho bhagavā pubbaṇhasamaya’’ntiādi kasibhāradvājasutte vuttanayeneva veditabbaṃ.
เตน โข ปน สมเยน อคฺคิกภารทฺวาชสฺสาติ ยํ ยํ อวุตฺตปุพฺพํ, ตํ ตเทว วณฺณยิสฺสามฯ เสยฺยถิทํ – โส หิ พฺราหฺมโณ อคฺคิํ ชุหติ ปริจรตีติ กตฺวา อคฺคิโกติ นาเมน ปากโฎ อโหสิ, ภารทฺวาโชติ โคเตฺตนฯ ตสฺมา วุตฺตํ ‘‘อคฺคิกภารทฺวาชสฺสา’’ติฯ นิเวสเนติ ฆเรฯ ตสฺส กิร พฺราหฺมณสฺส นิเวสนทฺวาเร อนฺตรวีถิยํ อคฺคิหุตสาลา อโหสิฯ ตโต ‘‘นิเวสนทฺวาเร’’ติ วตฺตเพฺพ ตสฺสปิ ปเทสสฺส นิเวสเนเยว ปริยาปนฺนตฺตา ‘‘นิเวสเน’’ติ วุตฺตํฯ สมีปเตฺถ วา ภุมฺมวจนํ, นิเวสนสมีเปติ อโตฺถฯ อคฺคิ ปชฺชลิโต โหตีติ อคฺคิยาธาเน ฐิโต อคฺคิ กตพฺภุทฺธรโณ สมิธาปเกฺขปํ พีชนวาตญฺจ ลภิตฺวา ชลิโต อุทฺธํ สมุคฺคตจฺจิสมากุโล โหติฯ อาหุติ ปคฺคหิตาติ สสีสํ นฺหายิตฺวา มหตา สกฺกาเรน ปายาสสปฺปิมธุผาณิตาทีนิ อภิสงฺขตานิ โหนฺตีติ อโตฺถฯ ยญฺหิ กิญฺจิ อคฺคิมฺหิ ชุหิตพฺพํ, ตํ สพฺพํ ‘‘อาหุตี’’ติ วุจฺจติฯ สปทานนฺติ อนุฆรํฯ ภควา หิ สพฺพชนานุคฺคหตฺถาย อาหารสนฺตุฎฺฐิยา จ อุจฺจนีจกุลํ อโวกฺกมฺม ปิณฺฑาย จรติฯ เตน วุตฺตํ ‘‘สปทานํ ปิณฺฑาย จรมาโน’’ติฯ
Tena kho pana samayena aggikabhāradvājassāti yaṃ yaṃ avuttapubbaṃ, taṃ tadeva vaṇṇayissāma. Seyyathidaṃ – so hi brāhmaṇo aggiṃ juhati paricaratīti katvā aggikoti nāmena pākaṭo ahosi, bhāradvājoti gottena. Tasmā vuttaṃ ‘‘aggikabhāradvājassā’’ti. Nivesaneti ghare. Tassa kira brāhmaṇassa nivesanadvāre antaravīthiyaṃ aggihutasālā ahosi. Tato ‘‘nivesanadvāre’’ti vattabbe tassapi padesassa nivesaneyeva pariyāpannattā ‘‘nivesane’’ti vuttaṃ. Samīpatthe vā bhummavacanaṃ, nivesanasamīpeti attho. Aggi pajjalito hotīti aggiyādhāne ṭhito aggi katabbhuddharaṇo samidhāpakkhepaṃ bījanavātañca labhitvā jalito uddhaṃ samuggataccisamākulo hoti. Āhuti paggahitāti sasīsaṃ nhāyitvā mahatā sakkārena pāyāsasappimadhuphāṇitādīni abhisaṅkhatāni hontīti attho. Yañhi kiñci aggimhi juhitabbaṃ, taṃ sabbaṃ ‘‘āhutī’’ti vuccati. Sapadānanti anugharaṃ. Bhagavā hi sabbajanānuggahatthāya āhārasantuṭṭhiyā ca uccanīcakulaṃ avokkamma piṇḍāya carati. Tena vuttaṃ ‘‘sapadānaṃ piṇḍāya caramāno’’ti.
อถ กิมตฺถํ สพฺพาการสมฺปนฺนํ สมนฺตปาสาทิกํ ภควนฺตํ ทิสฺวา พฺราหฺมณสฺส จิตฺตํ นปฺปสีทติ? กสฺมา จ เอวํ ผรุเสน วจเนน ภควนฺตํ สมุทาจรตีติ? วุจฺจเต – อยํ กิร พฺราหฺมโณ ‘‘มงฺคลกิเจฺจสุ สมณทสฺสนํ อวมงฺคล’’นฺติ เอวํทิฎฺฐิโก, ตโต ‘‘มหาพฺรหฺมุโน ภุญฺชนเวลาย กาฬกณฺณี มุณฺฑกสมณโก มม นิเวสนํ อุปสงฺกมตี’’ติ มนฺตฺวา จิตฺตํ นปฺปสาเทสิ, อญฺญทตฺถุ โทสวสํเยว อคมาสิฯ อถ กุโทฺธ อนตฺตมโน อนตฺตมนวาจํ นิจฺฉาเรสิ ‘‘ตเตฺรว มุณฺฑกา’’ติอาทิฯ ตตฺราปิ จ ยสฺมา ‘‘มุโณฺฑ อสุโทฺธ โหตี’’ติ พฺราหฺมณานํ ทิฎฺฐิ, ตสฺมา ‘‘อยํ อสุโทฺธ, เตน เทวพฺราหฺมณปูชโก น โหตี’’ติ ชิคุจฺฉโนฺต ‘‘มุณฺฑกา’’ติ อาหฯ มุณฺฑกตฺตา วา อุจฺฉิโฎฺฐ เอส, น อิมํ ปเทสํ อรหติ อาคจฺฉิตุนฺติ สมโณ หุตฺวาปิ อีทิสํ กายกิเลสํ น วเณฺณตีติ จ สมณภาวํ ชิคุจฺฉโนฺต ‘‘สมณกา’’ติ อาหฯ น เกวลํ โทสวเสเนว, วสเล วา ปพฺพาเชตฺวา เตหิ สทฺธิํ เอกโต สโมฺภคปริโภคกรเณน ปติโต อยํ วสลโตปิ ปาปตโรติ ชิคุจฺฉโนฺต ‘‘วสลกา’’ติ อาห – ‘‘วสลชาติกานํ วา อาหุติทสฺสนมตฺตสวเนน ปาปํ โหตี’’ติ มญฺญมาโนปิ เอวมาหฯ
Atha kimatthaṃ sabbākārasampannaṃ samantapāsādikaṃ bhagavantaṃ disvā brāhmaṇassa cittaṃ nappasīdati? Kasmā ca evaṃ pharusena vacanena bhagavantaṃ samudācaratīti? Vuccate – ayaṃ kira brāhmaṇo ‘‘maṅgalakiccesu samaṇadassanaṃ avamaṅgala’’nti evaṃdiṭṭhiko, tato ‘‘mahābrahmuno bhuñjanavelāya kāḷakaṇṇī muṇḍakasamaṇako mama nivesanaṃ upasaṅkamatī’’ti mantvā cittaṃ nappasādesi, aññadatthu dosavasaṃyeva agamāsi. Atha kuddho anattamano anattamanavācaṃ nicchāresi ‘‘tatreva muṇḍakā’’tiādi. Tatrāpi ca yasmā ‘‘muṇḍo asuddho hotī’’ti brāhmaṇānaṃ diṭṭhi, tasmā ‘‘ayaṃ asuddho, tena devabrāhmaṇapūjako na hotī’’ti jigucchanto ‘‘muṇḍakā’’ti āha. Muṇḍakattā vā ucchiṭṭho esa, na imaṃ padesaṃ arahati āgacchitunti samaṇo hutvāpi īdisaṃ kāyakilesaṃ na vaṇṇetīti ca samaṇabhāvaṃ jigucchanto ‘‘samaṇakā’’ti āha. Na kevalaṃ dosavaseneva, vasale vā pabbājetvā tehi saddhiṃ ekato sambhogaparibhogakaraṇena patito ayaṃ vasalatopi pāpataroti jigucchanto ‘‘vasalakā’’ti āha – ‘‘vasalajātikānaṃ vā āhutidassanamattasavanena pāpaṃ hotī’’ti maññamānopi evamāha.
ภควา ตถา วุโตฺตปิ วิปฺปสเนฺนเนว มุขวเณฺณน มธุเรน สเรน พฺราหฺมณสฺส อุปริ อนุกมฺปาสีตเลน จิเตฺตน อตฺตโน สพฺพสเตฺตหิ อสาธารณตาทิภาวํ ปกาเสโนฺต อาห ‘‘ชานาสิ ปน, ตฺวํ พฺราหฺมณา’’ติฯ อถ พฺราหฺมโณ ภควโต มุขปฺปสาทสูจิตํ ตาทิภาวํ ญตฺวา อนุกมฺปาสีตเลน จิเตฺตน นิจฺฉาริตํ มธุรสฺสรํ สุตฺวา อมเตเนว อภิสิตฺตหทโย อตฺตมโน วิปฺปสนฺนินฺทฺริโย นิหตมาโน หุตฺวา ตํ ชาติสภาวํ วิสอุคฺคิรสทิสํ สมุทาจารวจนํ ปหาย ‘‘นูน ยมหํ หีนชจฺจํ วสลนฺติ ปเจฺจมิ, น โส ปรมตฺถโต วสโล, น จ หีนชจฺจตา เอว วสลกรโณ ธโมฺม’’ติ มญฺญมาโน ‘‘น ขฺวาหํ, โภ โคตมา’’ติ อาหฯ ธมฺมตา เหสา, ยํ เหตุสมฺปโนฺน ปจฺจยาลาเภน ผรุโสปิ สมาโน ลทฺธมเตฺต ปจฺจเย มุทุโก โหตีติฯ
Bhagavā tathā vuttopi vippasanneneva mukhavaṇṇena madhurena sarena brāhmaṇassa upari anukampāsītalena cittena attano sabbasattehi asādhāraṇatādibhāvaṃ pakāsento āha ‘‘jānāsi pana, tvaṃ brāhmaṇā’’ti. Atha brāhmaṇo bhagavato mukhappasādasūcitaṃ tādibhāvaṃ ñatvā anukampāsītalena cittena nicchāritaṃ madhurassaraṃ sutvā amateneva abhisittahadayo attamano vippasannindriyo nihatamāno hutvā taṃ jātisabhāvaṃ visauggirasadisaṃ samudācāravacanaṃ pahāya ‘‘nūna yamahaṃ hīnajaccaṃ vasalanti paccemi, na so paramatthato vasalo, na ca hīnajaccatā eva vasalakaraṇo dhammo’’ti maññamāno ‘‘na khvāhaṃ, bho gotamā’’ti āha. Dhammatā hesā, yaṃ hetusampanno paccayālābhena pharusopi samāno laddhamatte paccaye muduko hotīti.
ตตฺถ สาธูติ อยํ สโทฺท อายาจนสมฺปฎิจฺฉนสมฺปหํสนสุนฺทรทฬฺหีกมฺมาทีสุ ทิสฺสติฯ ‘‘สาธุ เม, ภเนฺต, ภควา สํขิเตฺตน ธมฺมํ เทเสตู’’ติอาทีสุ (สํ. นิ. ๔.๙๕; อ. นิ. ๗.๘๓) หิ อายาจเนฯ ‘‘สาธุ, ภเนฺตติ โข โส ภิกฺขุ ภควโต ภาสิตํ อภินนฺทิตฺวา อนุโมทิตฺวา’’ติอาทีสุ (ม. นิ. ๓.๘๖) สมฺปฎิจฺฉเนฯ ‘‘สาธุ, สาธุ, สาริปุตฺตา’’ติอาทีสุ (ที. นิ. ๓.๓๔๙) สมฺปหํสเนฯ
Tattha sādhūti ayaṃ saddo āyācanasampaṭicchanasampahaṃsanasundaradaḷhīkammādīsu dissati. ‘‘Sādhu me, bhante, bhagavā saṃkhittena dhammaṃ desetū’’tiādīsu (saṃ. ni. 4.95; a. ni. 7.83) hi āyācane. ‘‘Sādhu, bhanteti kho so bhikkhu bhagavato bhāsitaṃ abhinanditvā anumoditvā’’tiādīsu (ma. ni. 3.86) sampaṭicchane. ‘‘Sādhu, sādhu, sāriputtā’’tiādīsu (dī. ni. 3.349) sampahaṃsane.
‘‘สาธุ ธมฺมรุจี ราชา, สาธุ ปญฺญาณวา นโร;
‘‘Sādhu dhammarucī rājā, sādhu paññāṇavā naro;
สาธุ มิตฺตานมทฺทุโพฺภ, ปาปสฺสากรณํ สุข’’นฺติฯ (ชา. ๒.๑๘.๑๐๑) –
Sādhu mittānamaddubbho, pāpassākaraṇaṃ sukha’’nti. (jā. 2.18.101) –
อาทีสุ สุนฺทเรฯ ‘‘ตํ สุณาถ, สาธุกํ มนสิ กโรถา’’ติอาทีสุ (ม. นิ. ๑.๑) ทฬฺหีกเมฺมฯ อิธ ปน อายาจเนฯ
Ādīsu sundare. ‘‘Taṃ suṇātha, sādhukaṃ manasi karothā’’tiādīsu (ma. ni. 1.1) daḷhīkamme. Idha pana āyācane.
เตน หีติ ตสฺสาธิปฺปายนิทสฺสนํ, สเจ ญาตุกาโมสีติ วุตฺตํ โหติฯ การณวจนํ วา, ตสฺส ยสฺมา ญาตุกาโมสิ, ตสฺมา, พฺราหฺมณ, สุณาหิ, สาธุกํ มนสิ กโรหิ, ตถา เต ภาสิสฺสามิ, ยถา ตฺวํ ชานิสฺสสีติ เอวํ ปรปเทหิ สทฺธิํ สมฺพโนฺธ เวทิตโพฺพฯ ตตฺร จ สุณาหีติ โสตินฺทฺริยวิเกฺขปวารณํ, สาธุกํ มนสิ กโรหีติ มนสิกาเร ทฬฺหีกมฺมนิโยชเนน มนินฺทฺริยวิเกฺขปวารณํฯ ปุริมเญฺจตฺถ พฺยญฺชนวิปลฺลาสคฺคาหวารณํ, ปจฺฉิมํ อตฺถวิปลฺลาสคฺคาหวารณํ ฯ ปุริเมน จ ธมฺมสฺสวเน นิโยเชติ, ปจฺฉิเมน สุตานํ ธมฺมานํ ธารณตฺถูปปริกฺขาทีสุฯ ปุริเมน จ ‘‘สพฺยญฺชโน อยํ ธโมฺม, ตสฺมา สวนีโย’’ติ ทีเปติ, ปจฺฉิเมน ‘‘สาโตฺถ, ตสฺมา มนสิ กาตโพฺพ’’ติฯ สาธุกปทํ วา อุภยปเทหิ โยเชตฺวา ‘‘ยสฺมา อยํ ธโมฺม ธมฺมคมฺภีโร จ เทสนาคมฺภีโร จ, ตสฺมา สุณาหิ สาธุกํฯ ยสฺมา อตฺถคมฺภีโร ปฎิเวธคมฺภีโร จ, ตสฺมา สาธุกํ มนสิ กโรหี’’ติ เอตมตฺถํ ทีเปโนฺต อาห – ‘‘สุณาหิ สาธุกํ มนสิ กโรหี’’ติฯ
Tena hīti tassādhippāyanidassanaṃ, sace ñātukāmosīti vuttaṃ hoti. Kāraṇavacanaṃ vā, tassa yasmā ñātukāmosi, tasmā, brāhmaṇa, suṇāhi, sādhukaṃ manasi karohi, tathā te bhāsissāmi, yathā tvaṃ jānissasīti evaṃ parapadehi saddhiṃ sambandho veditabbo. Tatra ca suṇāhīti sotindriyavikkhepavāraṇaṃ, sādhukaṃ manasi karohīti manasikāre daḷhīkammaniyojanena manindriyavikkhepavāraṇaṃ. Purimañcettha byañjanavipallāsaggāhavāraṇaṃ, pacchimaṃ atthavipallāsaggāhavāraṇaṃ . Purimena ca dhammassavane niyojeti, pacchimena sutānaṃ dhammānaṃ dhāraṇatthūpaparikkhādīsu. Purimena ca ‘‘sabyañjano ayaṃ dhammo, tasmā savanīyo’’ti dīpeti, pacchimena ‘‘sāttho, tasmā manasi kātabbo’’ti. Sādhukapadaṃ vā ubhayapadehi yojetvā ‘‘yasmā ayaṃ dhammo dhammagambhīro ca desanāgambhīro ca, tasmā suṇāhi sādhukaṃ. Yasmā atthagambhīro paṭivedhagambhīro ca, tasmā sādhukaṃ manasi karohī’’ti etamatthaṃ dīpento āha – ‘‘suṇāhi sādhukaṃ manasi karohī’’ti.
ตโต ‘‘เอวํ คมฺภีเร กถมหํ ปติฎฺฐํ ลภิสฺสามี’’ติ วิสีทนฺตมิว ตํ พฺราหฺมณํ สมุสฺสาเหโนฺต อาห – ‘‘ภาสิสฺสามี’’ติฯ ตตฺถ ‘‘ยถา ตฺวํ ญสฺสสิ, ตถา ปริมณฺฑเลหิ ปทพฺยญฺชเนหิ อุตฺตาเนน นเยน ภาสิสฺสามี’’ติ เอวมธิปฺปาโย เวทิตโพฺพฯ ตโต อุสฺสาหชาโต หุตฺวา ‘‘เอวํ โภ’’ติ โข อคฺคิกภารทฺวาโช พฺราหฺมโณ ภควโต ปจฺจโสฺสสิ, สมฺปฎิจฺฉิ ปฎิคฺคเหสีติ วุตฺตํ โหติ, ยถานุสิฎฺฐํ วา ปฎิปชฺชเนน อภิมุโข อโสฺสสีติฯ อถสฺส ‘‘ภควา เอตทโวจา’’ติ อิทานิ วตฺตพฺพํ สนฺธาย วุตฺตํ ‘‘โกธโน อุปนาหี’’ติ เอวมาทิกํฯ
Tato ‘‘evaṃ gambhīre kathamahaṃ patiṭṭhaṃ labhissāmī’’ti visīdantamiva taṃ brāhmaṇaṃ samussāhento āha – ‘‘bhāsissāmī’’ti. Tattha ‘‘yathā tvaṃ ñassasi, tathā parimaṇḍalehi padabyañjanehi uttānena nayena bhāsissāmī’’ti evamadhippāyo veditabbo. Tato ussāhajāto hutvā ‘‘evaṃ bho’’ti kho aggikabhāradvājo brāhmaṇo bhagavato paccassosi, sampaṭicchi paṭiggahesīti vuttaṃ hoti, yathānusiṭṭhaṃ vā paṭipajjanena abhimukho assosīti. Athassa ‘‘bhagavā etadavocā’’ti idāni vattabbaṃ sandhāya vuttaṃ ‘‘kodhano upanāhī’’ti evamādikaṃ.
๑๑๖. ตตฺถ โกธโนติ กุชฺฌนสีโลฯ อุปนาหีติ ตเสฺสว โกธสฺส ทฬฺหีกเมฺมน อุปนาเหน สมนฺนาคโตฯ ปเรสํ คุเณ มเกฺขติ ปุญฺฉตีติ มกฺขี, ปาโป จ โส มกฺขี จาติ ปาปมกฺขีฯ วิปนฺนทิฎฺฐีติ วินฎฺฐสมฺมาทิฎฺฐิ, วิปนฺนาย วา วิรูปํ คตาย ทสวตฺถุกาย มิจฺฉาทิฎฺฐิยา สมนฺนาคโตฯ มายาวีติ อตฺตนิ วิชฺชมานโทสปฎิจฺฉาทนลกฺขณาย มายาย สมนฺนาคโตฯ ตํ ชญฺญา วสโล อิตีติ ตํ เอวรูปํ ปุคฺคลํ เอเตสํ หีนธมฺมานํ วสฺสนโต สิญฺจนโต อนฺวาสฺสวนโต ‘‘วสโล’’ติ ชาเนยฺยาติ, เอเตหิ สเพฺพหิ พฺราหฺมณมตฺถเก ชาโตฯ อยญฺหิ ปรมตฺถโต วสโล เอว, อตฺตโน หทยตุฎฺฐิมตฺตํ, น ปรนฺติฯ เอวเมตฺถ ภควา อาทิปเทเนว ตสฺส พฺราหฺมณสฺส โกธนิคฺคหํ กตฺวา ‘‘โกธาทิธโมฺม หีนปุคฺคโล’’ติ ปุคฺคลาธิฎฺฐานาย จ เทสนาย โกธาทิธเมฺม เทเสโนฺต เอเกน ตาว ปริยาเยน วสลญฺจ วสลกรเณ จ ธเมฺม เทเสสิฯ เอวํ เทเสโนฺต จ ‘‘ตฺวํ อห’’นฺติ ปรวมฺภนํ อตฺตุกฺกํสนญฺจ อกตฺวา ธเมฺมเนว สเมน ญาเยน ตํ พฺราหฺมณํ วสลภาเว, อตฺตานญฺจ พฺราหฺมณภาเว ฐเปสิฯ
116. Tattha kodhanoti kujjhanasīlo. Upanāhīti tasseva kodhassa daḷhīkammena upanāhena samannāgato. Paresaṃ guṇe makkheti puñchatīti makkhī, pāpo ca so makkhī cāti pāpamakkhī. Vipannadiṭṭhīti vinaṭṭhasammādiṭṭhi, vipannāya vā virūpaṃ gatāya dasavatthukāya micchādiṭṭhiyā samannāgato. Māyāvīti attani vijjamānadosapaṭicchādanalakkhaṇāya māyāya samannāgato. Taṃ jaññā vasalo itīti taṃ evarūpaṃ puggalaṃ etesaṃ hīnadhammānaṃ vassanato siñcanato anvāssavanato ‘‘vasalo’’ti jāneyyāti, etehi sabbehi brāhmaṇamatthake jāto. Ayañhi paramatthato vasalo eva, attano hadayatuṭṭhimattaṃ, na paranti. Evamettha bhagavā ādipadeneva tassa brāhmaṇassa kodhaniggahaṃ katvā ‘‘kodhādidhammo hīnapuggalo’’ti puggalādhiṭṭhānāya ca desanāya kodhādidhamme desento ekena tāva pariyāyena vasalañca vasalakaraṇe ca dhamme desesi. Evaṃ desento ca ‘‘tvaṃ aha’’nti paravambhanaṃ attukkaṃsanañca akatvā dhammeneva samena ñāyena taṃ brāhmaṇaṃ vasalabhāve, attānañca brāhmaṇabhāve ṭhapesi.
๑๑๗. อิทานิ ยายํ พฺราหฺมณานํ ทิฎฺฐิ ‘‘กทาจิ ปาณาติปาตอทินฺนาทานาทีนิ กโรโนฺตปิ พฺราหฺมโณ เอวา’’ติฯ ตํ ทิฎฺฐิํ ปฎิเสเธโนฺต, เย จ สตฺตวิหิํสาทีสุ อกุสลธเมฺมสุ เตหิ เตหิ สมนฺนาคตา อาทีนวํ อปสฺสนฺตา เต ธเมฺม อุปฺปาเทนฺติ, เตสํ ‘‘หีนา เอเต ธมฺมา วสลกรณา’’ติ ตตฺถ อาทีนวญฺจ ทเสฺสโนฺต อปเรหิปิ ปริยาเยหิ วสลญฺจ วสลกรเณ จ ธเมฺม เทเสตุํ ‘‘เอกชํ วา ทฺวิชํ วา’’ติ เอวมาทิคาถาโย อภาสิฯ
117. Idāni yāyaṃ brāhmaṇānaṃ diṭṭhi ‘‘kadāci pāṇātipātaadinnādānādīni karontopi brāhmaṇo evā’’ti. Taṃ diṭṭhiṃ paṭisedhento, ye ca sattavihiṃsādīsu akusaladhammesu tehi tehi samannāgatā ādīnavaṃ apassantā te dhamme uppādenti, tesaṃ ‘‘hīnā ete dhammā vasalakaraṇā’’ti tattha ādīnavañca dassento aparehipi pariyāyehi vasalañca vasalakaraṇe ca dhamme desetuṃ ‘‘ekajaṃ vā dvijaṃ vā’’ti evamādigāthāyo abhāsi.
ตตฺถ เอกโชติ ฐเปตฺวา อณฺฑชํ อวเสสโยนิโชฯ โส หิ เอกทา เอว ชายติฯ ทฺวิโชติ อณฺฑโชฯ โส หิ มาตุกุจฺฉิโต อณฺฑโกสโต จาติ ทฺวิกฺขตฺตุํ ชายติฯ ตํ เอกชํ วา ทฺวิชํ วาปิฯ โยธ ปาณนฺติ โย อิธ สตฺตํฯ วิหิํสตีติ กายทฺวาริกเจตนาสมุฎฺฐิเตน วา วจีทฺวาริกเจตนาสมุฎฺฐิเตน วา ปโยเคน ชีวิตา โวโรเปติฯ ‘‘ปาณานิ หิํสตี’’ติปิ ปาโฐฯ ตตฺถ เอกชํ วา ทฺวิชํ วาติ เอวํปเภทานิ โยธ ปาณานิ หิํสตีติ เอวํ สมฺพโนฺธ เวทิตโพฺพฯ ยสฺส ปาเณ ทยา นตฺถีติ เอเตน มนสา อนุกมฺปาย อภาวํ อาหฯ เสสเมตฺถ วุตฺตนยเมวฯ อิโต ปราสุ จ คาถาสุ, ยโต เอตฺตกมฺปิ อวตฺวา อิโต ปรํ อุตฺตานตฺถานิ ปทานิ ปริหรนฺตา อวณฺณิตปทวณฺณนามตฺตเมว กริสฺสามฯ
Tattha ekajoti ṭhapetvā aṇḍajaṃ avasesayonijo. So hi ekadā eva jāyati. Dvijoti aṇḍajo. So hi mātukucchito aṇḍakosato cāti dvikkhattuṃ jāyati. Taṃ ekajaṃ vā dvijaṃ vāpi. Yodha pāṇanti yo idha sattaṃ. Vihiṃsatīti kāyadvārikacetanāsamuṭṭhitena vā vacīdvārikacetanāsamuṭṭhitena vā payogena jīvitā voropeti. ‘‘Pāṇāni hiṃsatī’’tipi pāṭho. Tattha ekajaṃ vā dvijaṃ vāti evaṃpabhedāni yodha pāṇāni hiṃsatīti evaṃ sambandho veditabbo. Yassa pāṇe dayā natthīti etena manasā anukampāya abhāvaṃ āha. Sesamettha vuttanayameva. Ito parāsu ca gāthāsu, yato ettakampi avatvā ito paraṃ uttānatthāni padāni pariharantā avaṇṇitapadavaṇṇanāmattameva karissāma.
๑๑๘. หนฺตีติ หนติ วินาเสติฯ ปริรุนฺธตีติ เสนาย ปริวาเรตฺวา ติฎฺฐติฯ คามานิ นิคมานิ จาติ เอตฺถ จ-สเทฺทน นครานีติปิ วตฺตพฺพํฯ นิคฺคาหโก สมญฺญาโตติ อิมินา หนนปริรุนฺธเนน คามนิคมนครฆาตโกติ โลเก วิทิโตฯ
118.Hantīti hanati vināseti. Parirundhatīti senāya parivāretvā tiṭṭhati. Gāmāni nigamāni cāti ettha ca-saddena nagarānītipi vattabbaṃ. Niggāhako samaññātoti iminā hananaparirundhanena gāmanigamanagaraghātakoti loke vidito.
๑๑๙. คาเม วา ยทิ วารเญฺญติ คาโมปิ นิคโมปิ นครมฺปิ สโพฺพว อิธ คาโม สทฺธิํ อุปจาเรน, ตํ ฐเปตฺวา เสสํ อรญฺญํฯ ตสฺมิํ คาเม วา ยทิ วารเญฺญ ยํ ปเรสํ มมายิตํ, ยํ ปรสตฺตานํ ปริคฺคหิตมปริจฺจตฺตํ สโตฺต วา สงฺขาโร วาฯ เถยฺยา อทินฺนมาเทตีติ เตหิ อทินฺนํ อนนุญฺญาตํ เถยฺยจิเตฺตน อาทิยติ, เยน เกนจิ ปโยเคน เยน เกนจิ อวหาเรน อตฺตโน คหณํ สาเธติฯ
119.Gāme vā yadi vāraññeti gāmopi nigamopi nagarampi sabbova idha gāmo saddhiṃ upacārena, taṃ ṭhapetvā sesaṃ araññaṃ. Tasmiṃ gāme vā yadi vāraññe yaṃ paresaṃ mamāyitaṃ, yaṃ parasattānaṃ pariggahitamapariccattaṃ satto vā saṅkhāro vā. Theyyā adinnamādetīti tehi adinnaṃ ananuññātaṃ theyyacittena ādiyati, yena kenaci payogena yena kenaci avahārena attano gahaṇaṃ sādheti.
๑๒๐. อิณมาทายาติ อตฺตโน สนฺตกํ กิญฺจิ นิกฺขิปิตฺวา นิเกฺขปคฺคหเณน วา, กิญฺจิ อนิกฺขิปิตฺวา ‘‘เอตฺตเกน กาเลน เอตฺตกํ วฑฺฒิํ ทสฺสามี’’ติ วฑฺฒิคฺคหเณน วา, ‘‘ยํ อิโต อุทยํ ภวิสฺสติ, ตํ มยฺหํ มูลํ ตเวว ภวิสฺสตี’’ติ วา ‘‘อุทยํ อุภินฺนมฺปิ สาธารณ’’นฺติ วา เอวํ ตํตํอาโยคคฺคหเณน วา อิณํ คเหตฺวาฯ จุชฺชมาโน ปลายติ น หิ เต อิณมตฺถีติ เตน อิณายิเกน ‘‘เทหิ เม อิณ’’นฺติ โจทิยมาโน ‘‘น หิ เต อิณมตฺถิ, มยา คหิตนฺติ โก สกฺขี’’ติ เอวํ ภณเนน ฆเร วสโนฺตปิ ปลายติฯ
120.Iṇamādāyāti attano santakaṃ kiñci nikkhipitvā nikkhepaggahaṇena vā, kiñci anikkhipitvā ‘‘ettakena kālena ettakaṃ vaḍḍhiṃ dassāmī’’ti vaḍḍhiggahaṇena vā, ‘‘yaṃ ito udayaṃ bhavissati, taṃ mayhaṃ mūlaṃ taveva bhavissatī’’ti vā ‘‘udayaṃ ubhinnampi sādhāraṇa’’nti vā evaṃ taṃtaṃāyogaggahaṇena vā iṇaṃ gahetvā. Cujjamāno palāyati na hi te iṇamatthīti tena iṇāyikena ‘‘dehi me iṇa’’nti codiyamāno ‘‘na hi te iṇamatthi, mayā gahitanti ko sakkhī’’ti evaṃ bhaṇanena ghare vasantopi palāyati.
๑๒๑. กิญฺจิกฺขกมฺยตาติ อปฺปมตฺตเกปิ กิสฺมิญฺจิเทว อิจฺฉายฯ ปนฺถสฺมิํ วชนฺตํ ชนนฺติ มเคฺค คจฺฉนฺตํ ยํกิญฺจิ อิตฺถิํ วา ปุริสํ วาฯ หนฺตฺวา กิญฺจิกฺขมาเทตีติ มาเรตฺวา โกเฎฺฎตฺวา ตํ ภณฺฑกํ คณฺหาติฯ
121.Kiñcikkhakamyatāti appamattakepi kismiñcideva icchāya. Panthasmiṃ vajantaṃ jananti magge gacchantaṃ yaṃkiñci itthiṃ vā purisaṃ vā. Hantvā kiñcikkhamādetīti māretvā koṭṭetvā taṃ bhaṇḍakaṃ gaṇhāti.
๑๒๒. อตฺตเหตูติ อตฺตโน ชีวิตการณา, ตถา ปรเหตุฯ ธนเหตูติ สกธนสฺส วา ปรธนสฺส วา การณาฯ จ-กาโร สพฺพตฺถ วิกปฺปนโตฺถฯ สกฺขิปุโฎฺฐติ ยํ ชานาสิ, ตํ วเทหีติ ปุจฺฉิโตฯ มุสา พฺรูตีติ ชานโนฺต วา ‘‘น ชานามี’’ติ อชานโนฺต วา ‘‘ชานามี’’ติ ภณติ, สามิเก อสามิเก, อสามิเก จ สามิเก กโรติฯ
122.Attahetūti attano jīvitakāraṇā, tathā parahetu. Dhanahetūti sakadhanassa vā paradhanassa vā kāraṇā. Ca-kāro sabbattha vikappanattho. Sakkhipuṭṭhoti yaṃ jānāsi, taṃ vadehīti pucchito. Musā brūtīti jānanto vā ‘‘na jānāmī’’ti ajānanto vā ‘‘jānāmī’’ti bhaṇati, sāmike asāmike, asāmike ca sāmike karoti.
๑๒๓. ญาตีนนฺติ สมฺพนฺธีนํฯ สขีนนฺติ วยสฺสานํ ทาเรสูติ ปรปริคฺคหิเตสุฯ ปฎิทิสฺสตีติ ปฎิกูเลน ทิสฺสติ, อติจรโนฺต ทิสฺสตีติ อโตฺถฯ สาหสาติ พลกฺกาเรน อนิจฺฉํฯ สมฺปิเยนาติ เตหิ เตสํ ทาเรหิ ปตฺถิยมาโน สยญฺจ ปตฺถยมาโน, อุภยสิเนหวเสนาปีติ วุตฺตํ โหติฯ
123.Ñātīnanti sambandhīnaṃ. Sakhīnanti vayassānaṃ dāresūti parapariggahitesu. Paṭidissatīti paṭikūlena dissati, aticaranto dissatīti attho. Sāhasāti balakkārena anicchaṃ. Sampiyenāti tehi tesaṃ dārehi patthiyamāno sayañca patthayamāno, ubhayasinehavasenāpīti vuttaṃ hoti.
๑๒๔. มาตรํ ปิตรํ วาติ เอวํ เมตฺตาย ปทฎฺฐานภูตมฺปิ, ชิณฺณกํ คตโยพฺพนนฺติ เอวํ กรุณาย ปทฎฺฐานภูตมฺปิ ฯ ปหุ สโนฺต น ภรตีติ อตฺถสมฺปโนฺน อุปกรณสมฺปโนฺน หุตฺวาปิ น โปเสติฯ
124.Mātaraṃ pitaraṃ vāti evaṃ mettāya padaṭṭhānabhūtampi, jiṇṇakaṃ gatayobbananti evaṃ karuṇāya padaṭṭhānabhūtampi . Pahu santo na bharatīti atthasampanno upakaraṇasampanno hutvāpi na poseti.
๑๒๕. สสุนฺติ สสฺสุํฯ หนฺตีติ ปาณินา วา เลฑฺฑุนา วา อเญฺญน วา เกนจิ ปหรติฯ โรเสตีติ โกธมสฺส สญฺชเนติ วาจาย ผรุสวจเนนฯ
125.Sasunti sassuṃ. Hantīti pāṇinā vā leḍḍunā vā aññena vā kenaci paharati. Rosetīti kodhamassa sañjaneti vācāya pharusavacanena.
๑๒๖. อตฺถนฺติ สนฺทิฎฺฐิกสมฺปรายิกปรมเตฺถสุ ยํกิญฺจิฯ ปุจฺฉิโต สโนฺตติ ปุโฎฺฐ สมาโนฯ อนตฺถมนุสาสตีติ ตสฺส อหิตเมว อาจิกฺขติฯ ปฎิจฺฉเนฺนน มเนฺตตีติ อตฺถํ อาจิกฺขโนฺตปิ ยถา โส น ชานาติ, ตถา อปากเฎหิ ปทพฺยญฺชเนหิ ปฎิจฺฉเนฺนน วจเนน มเนฺตติ, อาจริยมุฎฺฐิํ วา กตฺวา ทีฆรตฺตํ วสาเปตฺวา สาวเสสเมว มเนฺตติฯ
126.Atthanti sandiṭṭhikasamparāyikaparamatthesu yaṃkiñci. Pucchito santoti puṭṭho samāno. Anatthamanusāsatīti tassa ahitameva ācikkhati. Paṭicchannena mantetīti atthaṃ ācikkhantopi yathā so na jānāti, tathā apākaṭehi padabyañjanehi paṭicchannena vacanena manteti, ācariyamuṭṭhiṃ vā katvā dīgharattaṃ vasāpetvā sāvasesameva manteti.
๑๒๗. โย กตฺวาติ เอตฺถ มยา ปุพฺพภาเค ปาปิจฺฉตา วุตฺตาฯ ยา สา ‘‘อิเธกโจฺจ กาเยน ทุจฺจริตํ จริตฺวา, วาจาย ทุจฺจริตํ จริตฺวา, มนสา ทุจฺจริตํ จริตฺวา, ตสฺส ปฎิจฺฉาทนเหตุ ปาปิกํ อิจฺฉํ ปณิทหติ, มา มํ ชญฺญาติ อิจฺฉตี’’ติ เอวํ อาคตาฯ ยถา อเญฺญ น ชานนฺติ, ตถา กรเณน กตานญฺจ อวิวรเณน ปฎิจฺฉนฺนา อสฺส กมฺมนฺตาติ ปฎิจฺฉนฺนกมฺมโนฺตฯ
127.Yo katvāti ettha mayā pubbabhāge pāpicchatā vuttā. Yā sā ‘‘idhekacco kāyena duccaritaṃ caritvā, vācāya duccaritaṃ caritvā, manasā duccaritaṃ caritvā, tassa paṭicchādanahetu pāpikaṃ icchaṃ paṇidahati, mā maṃ jaññāti icchatī’’ti evaṃ āgatā. Yathā aññe na jānanti, tathā karaṇena katānañca avivaraṇena paṭicchannā assa kammantāti paṭicchannakammanto.
๑๒๘. ปรกุลนฺติ ญาติกุลํ วา มิตฺตกุลํ วาฯ อาคตนฺติ ยสฺส เตน กุเล ภุตฺตํ, ตํ อตฺตโน เคหมาคตํ ปานโภชนาทีหิ นปฺปฎิปูเชติ, น วา เทติ, อวภุตฺตํ วา เทตีติ อธิปฺปาโยฯ
128.Parakulanti ñātikulaṃ vā mittakulaṃ vā. Āgatanti yassa tena kule bhuttaṃ, taṃ attano gehamāgataṃ pānabhojanādīhi nappaṭipūjeti, na vā deti, avabhuttaṃ vā detīti adhippāyo.
๑๒๙. โย พฺราหฺมณํ วาติ ปราภวสุเตฺต วุตฺตนยเมวฯ
129.Yo brāhmaṇaṃ vāti parābhavasutte vuttanayameva.
๑๓๐. ภตฺตกาเล อุปฎฺฐิเตติ โภชนกาเล ชาเตฯ อุปฎฺฐิตนฺติปิ ปาโฐ, ภตฺตกาเล อาคตนฺติ อโตฺถฯ โรเสติ วาจา น จ เทตีติ ‘‘อตฺถกาโม เม อยํ พลกฺกาเรน มํ ปุญฺญํ การาเปตุํ อาคโต’’ติ อจิเนฺตตฺวา อปฺปติรูเปน ผรุสวจเนน โรเสติ, อนฺตมโส สมฺมุขภาวมตฺตมฺปิ จสฺส น เทติ, ปเคว โภชนนฺติ อธิปฺปาโยฯ
130.Bhattakāleupaṭṭhiteti bhojanakāle jāte. Upaṭṭhitantipi pāṭho, bhattakāle āgatanti attho. Roseti vācā na ca detīti ‘‘atthakāmo me ayaṃ balakkārena maṃ puññaṃ kārāpetuṃ āgato’’ti acintetvā appatirūpena pharusavacanena roseti, antamaso sammukhabhāvamattampi cassa na deti, pageva bhojananti adhippāyo.
๑๓๑. อสตํ โยธ ปพฺรูตีติ โย อิธ ยถา นิมิตฺตานิ ทิสฺสนฺติ ‘‘อสุกทิวเส อิทญฺจิทญฺจ เต ภวิสฺสตี’’ติ เอวํ อสชฺชนานํ วจนํ ปพฺรูติฯ ‘‘อสนฺต’’นฺติปิ ปาโฐ, อภูตนฺติ อโตฺถฯ ปพฺรูตีติ ภณติ ‘‘อมุกสฺมิํ นาม คาเม มยฺหํ อีทิโส ฆรวิภโว, เอหิ ตตฺถ คจฺฉาม, ฆรณี เม ภวิสฺสสิ, อิทญฺจิทญฺจ เต ทสฺสามี’’ติ ปรภริยํ ปรทาสิํ วา วเญฺจโนฺต ธุโตฺต วิยฯ นิชิคีสาโนติ นิชิคีสมาโน มคฺคมาโน, ตํ วเญฺจตฺวา ยํกิญฺจิ คเหตฺวา ปลายิตุกาโมติ อธิปฺปาโยฯ
131.Asataṃ yodha pabrūtīti yo idha yathā nimittāni dissanti ‘‘asukadivase idañcidañca te bhavissatī’’ti evaṃ asajjanānaṃ vacanaṃ pabrūti. ‘‘Asanta’’ntipi pāṭho, abhūtanti attho. Pabrūtīti bhaṇati ‘‘amukasmiṃ nāma gāme mayhaṃ īdiso gharavibhavo, ehi tattha gacchāma, gharaṇī me bhavissasi, idañcidañca te dassāmī’’ti parabhariyaṃ paradāsiṃ vā vañcento dhutto viya. Nijigīsānoti nijigīsamāno maggamāno, taṃ vañcetvā yaṃkiñci gahetvā palāyitukāmoti adhippāyo.
๑๓๒. โย จตฺตานนฺติ โย จ อตฺตานํฯ สมุกฺกํเสติ ชาติอาทีหิ สมุกฺกํสติ อุจฺจฎฺฐาเน ฐเปติฯ ปเร จ มวชานาตีติ เตหิเยว ปเร อวชานาติ, นีจํ กโรติฯ ม-กาโร ปทสนฺธิกโร ฯ นิหีโนติ คุณวุฑฺฒิโต ปริหีโน, อธมภาวํ วา คโตฯ เสน มาเนนาติ เตน อุกฺกํสนาวชานนสงฺขาเตน อตฺตโน มาเนนฯ
132.Yo cattānanti yo ca attānaṃ. Samukkaṃseti jātiādīhi samukkaṃsati uccaṭṭhāne ṭhapeti. Pare ca mavajānātīti tehiyeva pare avajānāti, nīcaṃ karoti. Ma-kāro padasandhikaro . Nihīnoti guṇavuḍḍhito parihīno, adhamabhāvaṃ vā gato. Sena mānenāti tena ukkaṃsanāvajānanasaṅkhātena attano mānena.
๑๓๓. โรสโกติ กายวาจาหิ ปเรสํ โรสชนโกฯ กทริโยติ ถทฺธมจฺฉรี, โย ปเร ปเรสํ เทเนฺต อญฺญํ วา ปุญฺญํ กโรเนฺต วาเรติ, ตเสฺสตํ อธิวจนํฯ ปาปิโจฺฉติ อสนฺตคุณสมฺภาวนิจฺฉาย สมนฺนาคโตฯ มจฺฉรีติ อาวาสาทิมจฺฉริยยุโตฺตฯ สโฐติ อสนฺตคุณปฺปกาสนลกฺขเณน สาเฐเยฺยน สมนฺนาคโต, อสมฺมาภาสี วา อกาตุกาโมปิ ‘‘กโรมี’’ติอาทิวจเนนฯ นาสฺส ปาปชิคุจฺฉนลกฺขณา หิรี, นาสฺส อุตฺตาสนโต อุเพฺพคลกฺขณํ โอตฺตปฺปนฺติ อหิริโก อโนตฺตปฺปีฯ
133.Rosakoti kāyavācāhi paresaṃ rosajanako. Kadariyoti thaddhamaccharī, yo pare paresaṃ dente aññaṃ vā puññaṃ karonte vāreti, tassetaṃ adhivacanaṃ. Pāpicchoti asantaguṇasambhāvanicchāya samannāgato. Maccharīti āvāsādimacchariyayutto. Saṭhoti asantaguṇappakāsanalakkhaṇena sāṭheyyena samannāgato, asammābhāsī vā akātukāmopi ‘‘karomī’’tiādivacanena. Nāssa pāpajigucchanalakkhaṇā hirī, nāssa uttāsanato ubbegalakkhaṇaṃ ottappanti ahiriko anottappī.
๑๓๔. พุทฺธนฺติ สมฺมาสมฺพุทฺธํฯ ปริภาสตีติ ‘‘อสพฺพญฺญู’’ติอาทีหิ อปวทติ, สาวกญฺจ ‘‘ทุปฺปฎิปโนฺน’’ติอาทีหิฯ ปริพฺพาชํ คหฎฺฐํ วาติ สาวกวิเสสนเมเวตํ ปพฺพชิตํ วา ตสฺส สาวกํ, คหฎฺฐํ วา ปจฺจยทายกนฺติ อโตฺถฯ พาหิรกํ วา ปริพฺพาชกํ ยํกิญฺจิ คหฎฺฐํ วา อภูเตน โทเสน ปริภาสตีติ เอวเมฺปตฺถ อตฺถํ อิจฺฉนฺติ โปราณาฯ
134.Buddhanti sammāsambuddhaṃ. Paribhāsatīti ‘‘asabbaññū’’tiādīhi apavadati, sāvakañca ‘‘duppaṭipanno’’tiādīhi. Paribbājaṃ gahaṭṭhaṃ vāti sāvakavisesanamevetaṃ pabbajitaṃ vā tassa sāvakaṃ, gahaṭṭhaṃ vā paccayadāyakanti attho. Bāhirakaṃ vā paribbājakaṃ yaṃkiñci gahaṭṭhaṃ vā abhūtena dosena paribhāsatīti evampettha atthaṃ icchanti porāṇā.
๑๓๕. อนรหํ สโนฺตติ อขีณาสโว สมาโนฯ อรหํ ปฎิชานาตีติ ‘‘อหํ อรหา’’ติ ปฎิชานาติ, ยถา นํ ‘‘อรหา อย’’นฺติ ชานนฺติ, ตถา วาจํ นิจฺฉาเรติ, กาเยน ปรกฺกมติ, จิเตฺตน อิจฺฉติ อธิวาเสติฯ โจโรติ เถโนฯ สพฺรหฺมเก โลเกติ อุกฺกฎฺฐวเสน อาห – สพฺพโลเกติ วุตฺตํ โหติ ฯ โลเก หิ สนฺธิเจฺฉทนนิโลฺลปหรณเอกาคาริกกรณปริปนฺถติฎฺฐนาทีหิ ปเรสํ ธนํ วิลุมฺปนฺตา โจราติ วุจฺจนฺติฯ สาสเน ปน ปริสสมฺปตฺติอาทีหิ ปจฺจยาทีนิ วิลุมฺปนฺตาฯ ยถาห –
135.Anarahaṃ santoti akhīṇāsavo samāno. Arahaṃ paṭijānātīti ‘‘ahaṃ arahā’’ti paṭijānāti, yathā naṃ ‘‘arahā aya’’nti jānanti, tathā vācaṃ nicchāreti, kāyena parakkamati, cittena icchati adhivāseti. Coroti theno. Sabrahmake loketi ukkaṭṭhavasena āha – sabbaloketi vuttaṃ hoti . Loke hi sandhicchedananillopaharaṇaekāgārikakaraṇaparipanthatiṭṭhanādīhi paresaṃ dhanaṃ vilumpantā corāti vuccanti. Sāsane pana parisasampattiādīhi paccayādīni vilumpantā. Yathāha –
‘‘ปญฺจิเม, ภิกฺขเว, มหาโจรา สโนฺต สํวิชฺชมานา โลกสฺมิํฯ กตเม ปญฺจ? อิธ, ภิกฺขเว, เอกจฺจสฺส มหาโจรสฺส เอวํ โหติ ‘กุทาสฺสุ นามาหํ สเตน วา สหเสฺสน วา ปริวุโต คามนิคมราชธานีสุ อาหิณฺฑิสฺสามิ หนโนฺต, ฆาเตโนฺต, ฉินฺทโนฺต, เฉทาเปโนฺต, ปจโนฺต ปาเจโนฺตติ, โส อปเรน สมเยน สเตน วา สหเสฺสน วา ปริวุโต คามนิคมราชธานีสุ อาหิณฺฑติ หนโนฺต…เป.… ปาเจโนฺตฯ เอวเมว โข, ภิกฺขเว, อิเธกจฺจสฺส ปาปภิกฺขุโน เอวํ โหติ ‘กุทาสฺสุ นามาหํ สเตน วา…เป.… ราชธานีสุ จาริกํ จริสฺสามิ สกฺกโต, ครุกโต, มานิโต, ปูชิโต, อปจิโต, คหฎฺฐานเญฺจว ปพฺพชิตานญฺจ ลาภี จีวร…เป.… ปริกฺขาราน’นฺติฯ โส อปเรน สมเยน สเตน วา สหเสฺสน วา ปริวุโต คามนิคมราชธานีสุ จาริกํ จรติ สกฺกโต…เป.… ปริกฺขารานํฯ อยํ, ภิกฺขเว, ปฐโม มหาโจโร สโนฺต สํวิชฺชมาโน โลกสฺมิํฯ
‘‘Pañcime, bhikkhave, mahācorā santo saṃvijjamānā lokasmiṃ. Katame pañca? Idha, bhikkhave, ekaccassa mahācorassa evaṃ hoti ‘kudāssu nāmāhaṃ satena vā sahassena vā parivuto gāmanigamarājadhānīsu āhiṇḍissāmi hananto, ghātento, chindanto, chedāpento, pacanto pācentoti, so aparena samayena satena vā sahassena vā parivuto gāmanigamarājadhānīsu āhiṇḍati hananto…pe… pācento. Evameva kho, bhikkhave, idhekaccassa pāpabhikkhuno evaṃ hoti ‘kudāssu nāmāhaṃ satena vā…pe… rājadhānīsu cārikaṃ carissāmi sakkato, garukato, mānito, pūjito, apacito, gahaṭṭhānañceva pabbajitānañca lābhī cīvara…pe… parikkhārāna’nti. So aparena samayena satena vā sahassena vā parivuto gāmanigamarājadhānīsu cārikaṃ carati sakkato…pe… parikkhārānaṃ. Ayaṃ, bhikkhave, paṭhamo mahācoro santo saṃvijjamāno lokasmiṃ.
‘‘ปุน จปรํ, ภิกฺขเว, อิเธกโจฺจ ปาปภิกฺขุ ตถาคตปฺปเวทิตํ ธมฺมวินยํ ปริยาปุณิตฺวา อตฺตโน ทหติ, อยํ, ภิกฺขเว, ทุติโย…เป.… โลกสฺมิํฯ
‘‘Puna caparaṃ, bhikkhave, idhekacco pāpabhikkhu tathāgatappaveditaṃ dhammavinayaṃ pariyāpuṇitvā attano dahati, ayaṃ, bhikkhave, dutiyo…pe… lokasmiṃ.
‘‘ปุน จปรํ, ภิกฺขเว, อิเธกโจฺจ ปาปภิกฺขุ สุทฺธํ พฺรหฺมจาริํ ปริสุทฺธํ พฺรหฺมจริยํ จรนฺตํ อมูลเกน อพฺรหฺมจริเยน อนุทฺธํเสติฯ อยํ, ภิกฺขเว, ตติโย…เป.… โลกสฺมิํฯ
‘‘Puna caparaṃ, bhikkhave, idhekacco pāpabhikkhu suddhaṃ brahmacāriṃ parisuddhaṃ brahmacariyaṃ carantaṃ amūlakena abrahmacariyena anuddhaṃseti. Ayaṃ, bhikkhave, tatiyo…pe… lokasmiṃ.
‘‘ปุน จปรํ, ภิกฺขเว, อิเธกโจฺจ, ปาปภิกฺขุ ยานิ ตานิ สงฺฆสฺส ครุภณฺฑานิ ครุปริกฺขารานิ, เสยฺยถิทํ – อาราโม, อารามวตฺถุ, วิหาโร, วิหารวตฺถุ, มโญฺจ, ปีฐํ, ภิสิ, พิโมฺพหนํ, โลหกุมฺภี, โลหภาณกํ, โลหวารโก, โลหกฎาหํ, วาสิ, ผรสุ, กุฐารี, กุทาโล, นิขาทนํ, วลฺลิ, เวฬุ, มุญฺชํ, ปพฺพชํ, ติณํ, มตฺติกา, ทารุภณฺฑํ, มตฺติกาภณฺฑํ, เตหิ คิหิํ สงฺคณฺหาติ อุปลาเปติฯ อยํ, ภิกฺขเว, จตุโตฺถ…เป.… โลกสฺมิํฯ
‘‘Puna caparaṃ, bhikkhave, idhekacco, pāpabhikkhu yāni tāni saṅghassa garubhaṇḍāni garuparikkhārāni, seyyathidaṃ – ārāmo, ārāmavatthu, vihāro, vihāravatthu, mañco, pīṭhaṃ, bhisi, bimbohanaṃ, lohakumbhī, lohabhāṇakaṃ, lohavārako, lohakaṭāhaṃ, vāsi, pharasu, kuṭhārī, kudālo, nikhādanaṃ, valli, veḷu, muñjaṃ, pabbajaṃ, tiṇaṃ, mattikā, dārubhaṇḍaṃ, mattikābhaṇḍaṃ, tehi gihiṃ saṅgaṇhāti upalāpeti. Ayaṃ, bhikkhave, catuttho…pe… lokasmiṃ.
‘‘สเทวเก, ภิกฺขเว, โลเก…เป.… สเทวมนุสฺสาย อยํ อโคฺค มหาโจโร, โย อสนฺตํ อภูตํ อุตฺตริมนุสฺสธมฺมํ อุลฺลปตี’’ติ (ปารา. ๑๙๕)ฯ
‘‘Sadevake, bhikkhave, loke…pe… sadevamanussāya ayaṃ aggo mahācoro, yo asantaṃ abhūtaṃ uttarimanussadhammaṃ ullapatī’’ti (pārā. 195).
ตตฺถ โลกิยโจรา โลกิยเมว ธนธญฺญาทิํ เถเนนฺติฯ สาสเน วุตฺตโจเรสุ ปฐโม ตถารูปเมว จีวราทิปจฺจยมตฺตํ, ทุติโย ปริยตฺติธมฺมํ, ตติโย ปรสฺส พฺรหฺมจริยํ, จตุโตฺถ สงฺฆิกครุภณฺฑํ, ปญฺจโม ฌานสมาธิสมาปตฺติมคฺคผลปฺปเภทํ โลกิยโลกุตฺตรคุณธนํ, โลกิยญฺจ จีวราทิปจฺจยชาตํฯ ยถาห – ‘‘เถยฺยาย โว, ภิกฺขเว, รฎฺฐปิโณฺฑ ภุโตฺต’’ติฯ ตตฺถ ยฺวายํ ปญฺจโม มหาโจโร, ตํ สนฺธายาห ภควา ‘‘โจโร สพฺรหฺมเก โลเก’’ติฯ โส หิ ‘‘สเทวเก, ภิกฺขเว, โลเก…เป.… สเทวมนุสฺสาย อยํ อโคฺค มหาโจโร, โย อสนฺตํ อภูตํ อุตฺตริมนุสฺสธมฺมํ อุลฺลปตี’’ติ (ปารา. ๑๙๕) เอวํ โลกิยโลกุตฺตรธนเถนนโต อโคฺค มหาโจโรติ วุโตฺต, ตสฺมา ตํ อิธาปิ ‘‘สพฺรหฺมเก โลเก’’ติ อิมินา อุกฺกฎฺฐปริเจฺฉเทน ปกาเสสิฯ
Tattha lokiyacorā lokiyameva dhanadhaññādiṃ thenenti. Sāsane vuttacoresu paṭhamo tathārūpameva cīvarādipaccayamattaṃ, dutiyo pariyattidhammaṃ, tatiyo parassa brahmacariyaṃ, catuttho saṅghikagarubhaṇḍaṃ, pañcamo jhānasamādhisamāpattimaggaphalappabhedaṃ lokiyalokuttaraguṇadhanaṃ, lokiyañca cīvarādipaccayajātaṃ. Yathāha – ‘‘theyyāya vo, bhikkhave, raṭṭhapiṇḍo bhutto’’ti. Tattha yvāyaṃ pañcamo mahācoro, taṃ sandhāyāha bhagavā ‘‘coro sabrahmake loke’’ti. So hi ‘‘sadevake, bhikkhave, loke…pe… sadevamanussāya ayaṃ aggo mahācoro, yo asantaṃ abhūtaṃ uttarimanussadhammaṃ ullapatī’’ti (pārā. 195) evaṃ lokiyalokuttaradhanathenanato aggo mahācoroti vutto, tasmā taṃ idhāpi ‘‘sabrahmake loke’’ti iminā ukkaṭṭhaparicchedena pakāsesi.
เอโส โข วสลาธโมติฯ เอตฺถ โขติ อวธารณโตฺถ, เตน เอโส เอว วสลาธโมฯ วสลานํ หีโน สพฺพปจฺฉิมโกติ อวธาเรติฯ กสฺมา? วิสิฎฺฐวตฺถุมฺหิ เถยฺยธมฺมวสฺสนโต, ยาว ตํ ปฎิญฺญํ น วิสฺสเชฺชติ, ตาว อวิคตวสลกรณธมฺมโต จาติฯ
Eso kho vasalādhamoti. Ettha khoti avadhāraṇattho, tena eso eva vasalādhamo. Vasalānaṃ hīno sabbapacchimakoti avadhāreti. Kasmā? Visiṭṭhavatthumhi theyyadhammavassanato, yāva taṃ paṭiññaṃ na vissajjeti, tāva avigatavasalakaraṇadhammato cāti.
เอเต โข วสลาติฯ อิทานิ เย เต ปฐมคาถาย อาสยวิปตฺติวเสน โกธนาทโย ปญฺจ, ปาปมกฺขิํ วา ทฺวิธา กตฺวา ฉ, ทุติยคาถาย ปโยควิปตฺติวเสน ปาณหิํสโก เอโก, ตติยาย ปโยควิปตฺติวเสเนว คามนิคมนิคฺคาหโก เอโก, จตุตฺถาย เถยฺยาวหารวเสน เอโก, ปญฺจมาย อิณวญฺจนวเสน เอโก, ฉฎฺฐาย ปสยฺหาวหารวเสน ปนฺถทูสโก เอโก, สตฺตมาย กูฎสกฺขิวเสน เอโก, อฎฺฐมาย มิตฺตทุพฺภิวเสน เอโก, นวมาย อกตญฺญุวเสน เอโก, ทสมาย กตนาสนวิเหสนวเสน เอโก, เอกาทสมาย หทยวญฺจนวเสน เอโก, ทฺวาทสมาย ปฎิจฺฉนฺนกมฺมนฺตวเสน เทฺว, เตรสมาย อกตญฺญุวเสน เอโก, จุทฺทสมาย วญฺจนวเสน เอโก, ปนฺนรสมาย วิเหสนวเสน เอโก, โสฬสมาย วญฺจนวเสน เอโก, สตฺตรสมาย อตฺตุกฺกํสนปรวมฺภนวเสน เทฺว, อฎฺฐารสมาย ปโยคาสยวิปตฺติวเสน โรสกาทโย สตฺต, เอกูนวีสติมาย ปริภาสนวเสน เทฺว, วีสติมาย อคฺคมหาโจรวเสน เอโกติ เอวํ เตตฺติํส จตุตฺติํส วา วสลา วุตฺตาฯ เต นิทฺทิสโนฺต อาห ‘‘เอเต โข วสลา วุตฺตา, มยา เย เต ปกาสิตา’’ติฯ ตสฺสโตฺถ – เย เต มยา ปุเพฺพ ‘‘ชานาสิ ปน ตฺวํ, พฺราหฺมณ, วสล’’นฺติ เอวํ สเงฺขปโต วสลา วุตฺตา, เต วิตฺถารโต เอเต โข ปกาสิตาติฯ อถ วา เย เต มยา ปุคฺคลวเสน วุตฺตา, เต ธมฺมวเสนาปิ เอเต โข ปกาสิตาฯ อถ วา เอเต โข วสลา วุตฺตา อริเยหิ กมฺมวเสน, น ชาติวเสน, มยา เย เต ปกาสิตา ‘‘โกธโน อุปนาหี’’ติอาทินา นเยนฯ
Etekho vasalāti. Idāni ye te paṭhamagāthāya āsayavipattivasena kodhanādayo pañca, pāpamakkhiṃ vā dvidhā katvā cha, dutiyagāthāya payogavipattivasena pāṇahiṃsako eko, tatiyāya payogavipattivaseneva gāmanigamaniggāhako eko, catutthāya theyyāvahāravasena eko, pañcamāya iṇavañcanavasena eko, chaṭṭhāya pasayhāvahāravasena panthadūsako eko, sattamāya kūṭasakkhivasena eko, aṭṭhamāya mittadubbhivasena eko, navamāya akataññuvasena eko, dasamāya katanāsanavihesanavasena eko, ekādasamāya hadayavañcanavasena eko, dvādasamāya paṭicchannakammantavasena dve, terasamāya akataññuvasena eko, cuddasamāya vañcanavasena eko, pannarasamāya vihesanavasena eko, soḷasamāya vañcanavasena eko, sattarasamāya attukkaṃsanaparavambhanavasena dve, aṭṭhārasamāya payogāsayavipattivasena rosakādayo satta, ekūnavīsatimāya paribhāsanavasena dve, vīsatimāya aggamahācoravasena ekoti evaṃ tettiṃsa catuttiṃsa vā vasalā vuttā. Te niddisanto āha ‘‘ete kho vasalā vuttā, mayā ye te pakāsitā’’ti. Tassattho – ye te mayā pubbe ‘‘jānāsi pana tvaṃ, brāhmaṇa, vasala’’nti evaṃ saṅkhepato vasalā vuttā, te vitthārato ete kho pakāsitāti. Atha vā ye te mayā puggalavasena vuttā, te dhammavasenāpi ete kho pakāsitā. Atha vā ete kho vasalā vuttā ariyehi kammavasena, na jātivasena, mayā ye te pakāsitā ‘‘kodhano upanāhī’’tiādinā nayena.
๑๓๖. เอวํ ภควา วสลํ ทเสฺสตฺวา อิทานิ ยสฺมา พฺราหฺมโณ สกาย ทิฎฺฐิยา อตีว อภินิวิโฎฺฐ โหติ, ตสฺมา ตํ ทิฎฺฐิํ ปฎิเสเธโนฺต อาห ‘‘น ชจฺจา วสโล โหตี’’ติฯ ตสฺสโตฺถ – ปรมตฺถโต หิ น ชจฺจา วสโล โหติ, น ชจฺจา โหติ พฺราหฺมโณ, อปิจ โข กมฺมุนา วสโล โหติ, กมฺมุนา โหติ พฺราหฺมโณ, อปริสุทฺธกมฺมวสฺสนโต วสโล โหติ, ปริสุเทฺธน กมฺมุนา อปริสุทฺธวาหนโต พฺราหฺมโณ โหติฯ ยสฺมา วา ตุเมฺห หีนํ วสลํ อุกฺกฎฺฐํ พฺราหฺมณํ มญฺญิตฺถ, ตสฺมา หีเนน กมฺมุนา วสโล โหติ, อุกฺกเฎฺฐน กมฺมุนา พฺราหฺมโณ โหตีติ เอวมฺปิ อตฺถํ ญาเปโนฺต เอวมาหฯ
136. Evaṃ bhagavā vasalaṃ dassetvā idāni yasmā brāhmaṇo sakāya diṭṭhiyā atīva abhiniviṭṭho hoti, tasmā taṃ diṭṭhiṃ paṭisedhento āha ‘‘na jaccā vasalo hotī’’ti. Tassattho – paramatthato hi na jaccā vasalo hoti, na jaccā hoti brāhmaṇo, apica kho kammunā vasalo hoti, kammunā hoti brāhmaṇo, aparisuddhakammavassanato vasalo hoti, parisuddhena kammunā aparisuddhavāhanato brāhmaṇo hoti. Yasmā vā tumhe hīnaṃ vasalaṃ ukkaṭṭhaṃ brāhmaṇaṃ maññittha, tasmā hīnena kammunā vasalo hoti, ukkaṭṭhena kammunā brāhmaṇo hotīti evampi atthaṃ ñāpento evamāha.
๑๓๗-๑๓๙. อิทานิ ตเมวตฺถํ นิทสฺสเนน สาเธตุํ ‘‘ตทมินาปิ ชานาถา’’ติอาทิกา ติโสฺส คาถาโย อาหฯ ตาสุ เทฺว จตุปฺปาทา, เอกา ฉปฺปาทา, ตาสํ อโตฺถ – ยํ มยา วุตฺตํ ‘‘น ชจฺจา วสโล โหตี’’ติอาทิ, ตทมินาปิ ชานาถ, ยถา เมทํ นิทสฺสนํ, ตํ อิมินาปิ ปกาเรน ชานาถ, เยน เม ปกาเรน เยน สามเญฺญน อิทํ นิทสฺสนนฺติ วุตฺตํ โหติฯ กตมํ นิทสฺสนนฺติ เจ? จณฺฑาลปุโตฺต โสปาโก…เป.… พฺรหฺมโลกูปปตฺติยาติฯ
137-139. Idāni tamevatthaṃ nidassanena sādhetuṃ ‘‘tadamināpi jānāthā’’tiādikā tisso gāthāyo āha. Tāsu dve catuppādā, ekā chappādā, tāsaṃ attho – yaṃ mayā vuttaṃ ‘‘na jaccā vasalo hotī’’tiādi, tadamināpi jānātha, yathā medaṃ nidassanaṃ, taṃ imināpi pakārena jānātha, yena me pakārena yena sāmaññena idaṃ nidassananti vuttaṃ hoti. Katamaṃ nidassananti ce? Caṇḍālaputto sopāko…pe… brahmalokūpapattiyāti.
จณฺฑาลสฺส ปุโตฺต จณฺฑาลปุโตฺตฯ อตฺตโน ขาทนตฺถาย มเต สุนเข ลภิตฺวา ปจตีติ โสปาโกฯ มาตโงฺคติ เอวํนาโม วิสฺสุโตติ เอวํ หีนาย ชาติยา จ ชีวิกาย จ นาเมน จ ปากโฎฯ
Caṇḍālassa putto caṇḍālaputto. Attano khādanatthāya mate sunakhe labhitvā pacatīti sopāko. Mātaṅgoti evaṃnāmo vissutoti evaṃ hīnāya jātiyā ca jīvikāya ca nāmena ca pākaṭo.
โสติ ปุริมปเทน สมฺพนฺธิตฺวา โส มาตโงฺค ยสํ ปรมํ ปโตฺต, อพฺภุตํ อุตฺตมํ อติวิสิฎฺฐํ ยสํ กิตฺติํ ปสํสํ ปโตฺตฯ ยํ สุทุลฺลภนฺติ ยํ อุฬารกุลูปปเนฺนนาปิ ทุลฺลภํ, หีนกุลูปปเนฺนน สุทุลฺลภํฯ เอวํ ยสปฺปตฺตสฺส จ อาคจฺฉุํ ตสฺสุปฎฺฐานํ, ขตฺติยา พฺราหฺมณา พหู, ตสฺส มาตงฺคสฺส ปาริจริยตฺถํ ขตฺติยา จ พฺราหฺมณา จ อเญฺญ จ พหู เวสฺสสุทฺทาทโย ชมฺพุทีปมนุสฺสา เยภุเยฺยน อุปฎฺฐานํ อาคมิํสูติ อโตฺถฯ
Soti purimapadena sambandhitvā so mātaṅgo yasaṃ paramaṃ patto, abbhutaṃ uttamaṃ ativisiṭṭhaṃ yasaṃ kittiṃ pasaṃsaṃ patto. Yaṃ sudullabhanti yaṃ uḷārakulūpapannenāpi dullabhaṃ, hīnakulūpapannena sudullabhaṃ. Evaṃ yasappattassa ca āgacchuṃ tassupaṭṭhānaṃ, khattiyā brāhmaṇā bahū, tassa mātaṅgassa pāricariyatthaṃ khattiyā ca brāhmaṇā ca aññe ca bahū vessasuddādayo jambudīpamanussā yebhuyyena upaṭṭhānaṃ āgamiṃsūti attho.
เอวํ อุปฎฺฐานสมฺปโนฺน โส มาตโงฺค วิคตกิเลสรชตฺตา วิรชํ, มหเนฺตหิ พุทฺธาทีหิ ปฎิปนฺนตฺตา มหาปถํ, พฺรหฺมโลกสงฺขาตํ เทวโลกํ ยาเปตุํ สมตฺถตฺตา เทวโลกยานสญฺญิตํ อฎฺฐสมาปตฺติยานํ อภิรุยฺห, ตาย ปฎิปตฺติยา กามราคํ วิราเชตฺวา, กายสฺส เภทา พฺรหฺมโลกูปโค อหุ, สา ตถา หีนาปิ น นํ ชาติ นิวาเรสิ พฺรหฺมโลกูปปตฺติยา, พฺรหฺมโลกูปปตฺติโตติ วุตฺตํ โหติฯ
Evaṃ upaṭṭhānasampanno so mātaṅgo vigatakilesarajattā virajaṃ, mahantehi buddhādīhi paṭipannattā mahāpathaṃ, brahmalokasaṅkhātaṃ devalokaṃ yāpetuṃ samatthattā devalokayānasaññitaṃ aṭṭhasamāpattiyānaṃ abhiruyha, tāya paṭipattiyā kāmarāgaṃ virājetvā, kāyassa bhedā brahmalokūpago ahu, sā tathā hīnāpi na naṃ jāti nivāresi brahmalokūpapattiyā, brahmalokūpapattitoti vuttaṃ hoti.
อยํ ปนโตฺถ เอวํ เวทิตโพฺพ – อตีเต กิร มหาปุริโส เตน เตนุปาเยน สตฺตหิตํ กโรโนฺต โสปากชีวิเก จณฺฑาลกุเล อุปฺปชฺชิฯ โส นาเมน มาตโงฺค , รูเปน ทุทฺทสิโก หุตฺวา พหินคเร จมฺมกุฎิกาย วสติ, อโนฺตนคเร ภิกฺขํ จริตฺวา ชีวิกํ กเปฺปติฯ อเถกทิวสํ ตสฺมิํ นคเร สุรานกฺขเตฺต โฆสิเต ธุตฺตา ยถาสเกน ปริวาเรน กีฬนฺติฯ อญฺญตราปิ พฺราหฺมณมหาสาลธีตา ปนฺนรสโสฬสวสฺสุเทฺทสิกา เทวกญฺญา วิย รูเปน ทสฺสนียา ปาสาทิกา ‘‘อตฺตโน กุลวํสานุรูปํ กีฬิสฺสามี’’ติ ปหูตํ ขชฺชโภชฺชาทิกีฬนสมฺภารํ สกเฎสุ อาโรเปตฺวา สพฺพเสตวฬวยุตฺตํ ยานมารุยฺห มหาปริวาเรน อุยฺยานภูมิํ คจฺฉติ ทิฎฺฐมงฺคลิกาติ นาเมนฯ สา กิร ‘‘ทุสฺสณฺฐิตํ รูปํ อวมงฺคล’’นฺติ ทฎฺฐุํ น อิจฺฉติ, เตนสฺสา ทิฎฺฐมงฺคลิกาเตฺวว สงฺขา อุทปาทิฯ
Ayaṃ panattho evaṃ veditabbo – atīte kira mahāpuriso tena tenupāyena sattahitaṃ karonto sopākajīvike caṇḍālakule uppajji. So nāmena mātaṅgo , rūpena duddasiko hutvā bahinagare cammakuṭikāya vasati, antonagare bhikkhaṃ caritvā jīvikaṃ kappeti. Athekadivasaṃ tasmiṃ nagare surānakkhatte ghosite dhuttā yathāsakena parivārena kīḷanti. Aññatarāpi brāhmaṇamahāsāladhītā pannarasasoḷasavassuddesikā devakaññā viya rūpena dassanīyā pāsādikā ‘‘attano kulavaṃsānurūpaṃ kīḷissāmī’’ti pahūtaṃ khajjabhojjādikīḷanasambhāraṃ sakaṭesu āropetvā sabbasetavaḷavayuttaṃ yānamāruyha mahāparivārena uyyānabhūmiṃ gacchati diṭṭhamaṅgalikāti nāmena. Sā kira ‘‘dussaṇṭhitaṃ rūpaṃ avamaṅgala’’nti daṭṭhuṃ na icchati, tenassā diṭṭhamaṅgalikātveva saṅkhā udapādi.
ตทา โส มาตโงฺค กาลเสฺสว วุฎฺฐาย ปฎปิโลติกํ นิวาเสตฺวา, กํสตาฬํ หเตฺถ พนฺธิตฺวา, ภาชนหโตฺถ นครํ ปวิสติ, มนุเสฺส ทิสฺวา ทูรโต เอว กํสตาฬํ อาโกเฎโนฺตฯ อถ ทิฎฺฐมงฺคลิกา ‘‘อุสฺสรถ, อุสฺสรถา’’ติ ปุรโต ปุรโต หีนชนํ อปเนเนฺตหิ ปุริเสหิ นียมานา นครทฺวารมเชฺฌ มาตงฺคํ ทิสฺวา ‘‘โก เอโส’’ติ อาหฯ อหํ มาตงฺคจณฺฑาโลติฯ สา ‘‘อีทิสํ ทิสฺวา คตานํ กุโต วุฑฺฒี’’ติ ยานํ นิวตฺตาเปสิฯ มนุสฺสา ‘‘ยํ มยํ อุยฺยานํ คนฺตฺวา ขชฺชโภชฺชาทิํ ลเภยฺยาม, ตสฺส โน มาตเงฺคน อนฺตราโย กโต’’ติ กุปิตา ‘‘คณฺหถ จณฺฑาล’’นฺติ เลฑฺฑูหิ ปหริตฺวา ‘‘มโต’’ติ ปาเท คเหตฺวา เอกมเนฺต ฉเฑฺฑตฺวา กจวเรน ปฎิจฺฉาเทตฺวา อคมํสุฯ โส สติํ ปฎิลภิตฺวา อุฎฺฐาย มนุเสฺส ปุจฺฉิ – ‘‘กิํ, อยฺยา, ทฺวารํ นาม สพฺพสาธารณํ, อุทาหุ พฺราหฺมณานํเยว กต’’นฺติ? มนุสฺสา อาหํสุ – ‘‘สเพฺพสํ สาธารณ’’นฺติฯ ‘‘เอวํ สพฺพสาธารณทฺวาเรน ปวิสิตฺวา ภิกฺขาหาเรน ยาเปนฺตํ มํ ทิฎฺฐมงฺคลิกาย มนุสฺสา อิมํ อนยพฺยสนํ ปาเปสุ’’นฺติ รถิกาย รถิกํ อาหิณฺฑโนฺต มนุสฺสานํ อาโรเจตฺวา พฺราหฺมณสฺส ฆรทฺวาเร นิปชฺชิ – ‘‘ทิฎฺฐมงฺคลิกํ อลทฺธา น วุฎฺฐหิสฺสามี’’ติฯ
Tadā so mātaṅgo kālasseva vuṭṭhāya paṭapilotikaṃ nivāsetvā, kaṃsatāḷaṃ hatthe bandhitvā, bhājanahattho nagaraṃ pavisati, manusse disvā dūrato eva kaṃsatāḷaṃ ākoṭento. Atha diṭṭhamaṅgalikā ‘‘ussaratha, ussarathā’’ti purato purato hīnajanaṃ apanentehi purisehi nīyamānā nagaradvāramajjhe mātaṅgaṃ disvā ‘‘ko eso’’ti āha. Ahaṃ mātaṅgacaṇḍāloti. Sā ‘‘īdisaṃ disvā gatānaṃ kuto vuḍḍhī’’ti yānaṃ nivattāpesi. Manussā ‘‘yaṃ mayaṃ uyyānaṃ gantvā khajjabhojjādiṃ labheyyāma, tassa no mātaṅgena antarāyo kato’’ti kupitā ‘‘gaṇhatha caṇḍāla’’nti leḍḍūhi paharitvā ‘‘mato’’ti pāde gahetvā ekamante chaḍḍetvā kacavarena paṭicchādetvā agamaṃsu. So satiṃ paṭilabhitvā uṭṭhāya manusse pucchi – ‘‘kiṃ, ayyā, dvāraṃ nāma sabbasādhāraṇaṃ, udāhu brāhmaṇānaṃyeva kata’’nti? Manussā āhaṃsu – ‘‘sabbesaṃ sādhāraṇa’’nti. ‘‘Evaṃ sabbasādhāraṇadvārena pavisitvā bhikkhāhārena yāpentaṃ maṃ diṭṭhamaṅgalikāya manussā imaṃ anayabyasanaṃ pāpesu’’nti rathikāya rathikaṃ āhiṇḍanto manussānaṃ ārocetvā brāhmaṇassa gharadvāre nipajji – ‘‘diṭṭhamaṅgalikaṃ aladdhā na vuṭṭhahissāmī’’ti.
พฺราหฺมโณ ‘‘ฆรทฺวาเร มาตโงฺค นิปโนฺน’’ติ สุตฺวา ‘‘ตสฺส กากณิกํ เทถ, เตเลน องฺคํ มเกฺขตฺวา คจฺฉตู’’ติ อาหฯ โส ตํ น อิจฺฉติ, ‘‘ทิฎฺฐมงฺคลิกํ อลทฺธา น วุฎฺฐหิสฺสามิ’’เจฺจว อาหฯ ตโต พฺราหฺมโณ ‘‘เทฺว กากณิกาโย เทถ, กากณิกาย ปูวํ ขาทตุ, กากณิกาย เตเลน องฺคํ มเกฺขตฺวา คจฺฉตู’’ติ อาหฯ โส ตํ น อิจฺฉติ, ตเถว วทติฯ พฺราหฺมโณ สุตฺวา ‘‘มาสกํ เทถ, ปาทํ, อุปฑฺฒกหาปณํ, กหาปณํ เทฺว ตีณี’’ติ ยาว สตํ อาณาเปสิฯ โส น อิจฺฉติ, ตเถว วทติฯ เอวํ ยาจนฺตานํเยว สูริโย อตฺถงฺคโตฯ อถ พฺราหฺมณี ปาสาทา โอรุยฺห สาณิปาการํ ปริกฺขิปาเปตฺวา ตํ อุปสงฺกมิตฺวา ยาจิ – ‘‘ตาต มาตงฺค, ทิฎฺฐมงฺคลิกาย อปราธํ ขม, สหสฺสํ คณฺหาหิ, เทฺว ตีณี’’ติ ยาว ‘‘สตสหสฺสํ คณฺหาหี’’ติ อาหฯ โส ตุณฺหีภูโต นิปชฺชิเยวฯ
Brāhmaṇo ‘‘gharadvāre mātaṅgo nipanno’’ti sutvā ‘‘tassa kākaṇikaṃ detha, telena aṅgaṃ makkhetvā gacchatū’’ti āha. So taṃ na icchati, ‘‘diṭṭhamaṅgalikaṃ aladdhā na vuṭṭhahissāmi’’cceva āha. Tato brāhmaṇo ‘‘dve kākaṇikāyo detha, kākaṇikāya pūvaṃ khādatu, kākaṇikāya telena aṅgaṃ makkhetvā gacchatū’’ti āha. So taṃ na icchati, tatheva vadati. Brāhmaṇo sutvā ‘‘māsakaṃ detha, pādaṃ, upaḍḍhakahāpaṇaṃ, kahāpaṇaṃ dve tīṇī’’ti yāva sataṃ āṇāpesi. So na icchati, tatheva vadati. Evaṃ yācantānaṃyeva sūriyo atthaṅgato. Atha brāhmaṇī pāsādā oruyha sāṇipākāraṃ parikkhipāpetvā taṃ upasaṅkamitvā yāci – ‘‘tāta mātaṅga, diṭṭhamaṅgalikāya aparādhaṃ khama, sahassaṃ gaṇhāhi, dve tīṇī’’ti yāva ‘‘satasahassaṃ gaṇhāhī’’ti āha. So tuṇhībhūto nipajjiyeva.
เอวํ จตูหปญฺจาเห วีติวเตฺต พหุมฺปิ ปณฺณาการํ ทตฺวา ทิฎฺฐมงฺคลิกํ อลภนฺตา ขตฺติยกุมาราทโย มาตงฺคสฺส อุปกณฺณเก อาโรจาเปสุํ – ‘‘ปุริสา นาม อเนกานิปิ สํวจฺฉรานิ วีริยํ กตฺวา อิจฺฉิตตฺถํ ปาปุณนฺติ, มา โข ตฺวํ นิพฺพิชฺชิ, อทฺธา ทฺวีหตีหจฺจเยน ทิฎฺฐมงฺคลิกํ ลจฺฉสี’’ติฯ โส ตุณฺหีภูโต นิปชฺชิเยวฯ อถ สตฺตเม ทิวเส สมนฺตา ปฎิวิสฺสกา อุฎฺฐหิตฺวา ‘‘ตุเมฺห มาตงฺคํ วา อุฎฺฐาเปถ, ทาริกํ วา เทถ, มา อเมฺห สเพฺพ นาสยิตฺถา’’ติ อาหํสุฯ เตสํ กิร อยํ ทิฎฺฐิ ‘‘ยสฺส ฆรทฺวาเร เอวํ นิปโนฺน จณฺฑาโล มรติ, ตสฺส ฆเรน สห สมนฺตา สตฺตสตฺตฆรวาสิโน จณฺฑาลา โหนฺตี’’ติฯ ตโต ทิฎฺฐมงฺคลิกํ นีลปฎปิโลติกํ นิวาสาเปตฺวา อุฬุงฺกกโฬปิกาทีนิ ทตฺวา ปริเทวมานํ ตสฺส สนฺติกํ เนตฺวา ‘‘คณฺห ทาริกํ, อุฎฺฐาย คจฺฉาหี’’ติ อทํสุฯ สา ปเสฺส ฐตฺวา ‘‘อุฎฺฐาหี’’ติ อาห, โส ‘‘หเตฺถน มํ คเหตฺวา อุฎฺฐาเปหี’’ติ อาหฯ สา นํ อุฎฺฐาเปสิฯ โส นิสีทิตฺวา อาห – ‘‘มยํ อโนฺตนคเร วสิตุํ น ลภาม, เอหิ มํ พหินคเร จมฺมกุฎิํ เนหี’’ติฯ สา นํ หเตฺถ คเหตฺวา ตตฺถ เนสิฯ ‘‘ปิฎฺฐิยํ อาโรเปตฺวา’’ติ ชาตกภาณกาฯ เนตฺวา จสฺส สรีรํ เตเลน มเกฺขตฺวา, อุโณฺหทเกน นฺหาเปตฺวา, ยาคุํ ปจิตฺวา อทาสิฯ โส ‘‘พฺราหฺมณกญฺญา อยํ มา วินสฺสี’’ติ ชาติสเมฺภทํ อกตฺวาว อฑฺฒมาสมตฺตํ พลํ คเหตฺวา ‘‘อหํ วนํ คจฺฉามิ, ‘อติจิรายตี’ติ มา ตฺวํ อุกฺกณฺฐี’’ติ วตฺวา ฆรมานุสกานิ จ ‘‘อิมํ มา ปมชฺชิตฺถา’’ติ อาณาเปตฺวา ฆรา นิกฺขมฺม ตาปสปพฺพชฺชํ ปพฺพชิตฺวา, กสิณปริกมฺมํ กตฺวา, กติปาเหเนว อฎฺฐ สมาปตฺติโย ปญฺจ จ อภิญฺญาโย นิพฺพเตฺตตฺวา ‘‘อิทานาหํ ทิฎฺฐมงฺคลิกาย มนาโป ภวิสฺสามี’’ติ อากาเสนาคนฺตฺวา นครทฺวาเร โอโรหิตฺวา ทิฎฺฐมงฺคลิกาย สนฺติกํ เปเสสิฯ
Evaṃ catūhapañcāhe vītivatte bahumpi paṇṇākāraṃ datvā diṭṭhamaṅgalikaṃ alabhantā khattiyakumārādayo mātaṅgassa upakaṇṇake ārocāpesuṃ – ‘‘purisā nāma anekānipi saṃvaccharāni vīriyaṃ katvā icchitatthaṃ pāpuṇanti, mā kho tvaṃ nibbijji, addhā dvīhatīhaccayena diṭṭhamaṅgalikaṃ lacchasī’’ti. So tuṇhībhūto nipajjiyeva. Atha sattame divase samantā paṭivissakā uṭṭhahitvā ‘‘tumhe mātaṅgaṃ vā uṭṭhāpetha, dārikaṃ vā detha, mā amhe sabbe nāsayitthā’’ti āhaṃsu. Tesaṃ kira ayaṃ diṭṭhi ‘‘yassa gharadvāre evaṃ nipanno caṇḍālo marati, tassa gharena saha samantā sattasattagharavāsino caṇḍālā hontī’’ti. Tato diṭṭhamaṅgalikaṃ nīlapaṭapilotikaṃ nivāsāpetvā uḷuṅkakaḷopikādīni datvā paridevamānaṃ tassa santikaṃ netvā ‘‘gaṇha dārikaṃ, uṭṭhāya gacchāhī’’ti adaṃsu. Sā passe ṭhatvā ‘‘uṭṭhāhī’’ti āha, so ‘‘hatthena maṃ gahetvā uṭṭhāpehī’’ti āha. Sā naṃ uṭṭhāpesi. So nisīditvā āha – ‘‘mayaṃ antonagare vasituṃ na labhāma, ehi maṃ bahinagare cammakuṭiṃ nehī’’ti. Sā naṃ hatthe gahetvā tattha nesi. ‘‘Piṭṭhiyaṃ āropetvā’’ti jātakabhāṇakā. Netvā cassa sarīraṃ telena makkhetvā, uṇhodakena nhāpetvā, yāguṃ pacitvā adāsi. So ‘‘brāhmaṇakaññā ayaṃ mā vinassī’’ti jātisambhedaṃ akatvāva aḍḍhamāsamattaṃ balaṃ gahetvā ‘‘ahaṃ vanaṃ gacchāmi, ‘aticirāyatī’ti mā tvaṃ ukkaṇṭhī’’ti vatvā gharamānusakāni ca ‘‘imaṃ mā pamajjitthā’’ti āṇāpetvā gharā nikkhamma tāpasapabbajjaṃ pabbajitvā, kasiṇaparikammaṃ katvā, katipāheneva aṭṭha samāpattiyo pañca ca abhiññāyo nibbattetvā ‘‘idānāhaṃ diṭṭhamaṅgalikāya manāpo bhavissāmī’’ti ākāsenāgantvā nagaradvāre orohitvā diṭṭhamaṅgalikāya santikaṃ pesesi.
สา สุตฺวา ‘‘โกจิ มเญฺญ มม ญาตโก ปพฺพชิโต มํ ทุกฺขิตํ ญตฺวา ทฎฺฐุํ อาคโต ภวิสฺสตี’’ติ จินฺตยมานา คนฺตฺวา, ตํ ญตฺวา, ปาเทสุ นิปติตฺวา ‘‘กิสฺส มํ อนาถํ ตุเมฺห อกตฺถา’’ติ อาหฯ มหาปุริโส ‘‘มา ตฺวํ ทิฎฺฐมงฺคลิเก ทุกฺขินี อโหสิ, สกลชมฺพุทีปวาสีหิ เต สกฺการํ กาเรสฺสามี’’ติ วตฺวา เอตทโวจ – ‘‘คจฺฉ ตฺวํ โฆสนํ กโรหิ – ‘มหาพฺรหฺมา มม สามิโก น มาตโงฺค, โส จนฺทวิมานํ ภินฺทิตฺวา สตฺตเม ทิวเส มม สนฺติกํ อาคมิสฺสตี’’’ติฯ สา อาห – ‘‘อหํ, ภเนฺต, พฺราหฺมณมหาสาลธีตา หุตฺวา อตฺตโน ปาปกเมฺมน อิมํ จณฺฑาลภาวํ ปตฺตา, น สโกฺกมิ เอวํ วตฺตุ’’นฺติฯ มหาปุริโส ‘‘น ตฺวํ มาตงฺคสฺส อานุภาวํ ชานาสี’’ติ วตฺวา ยถา สา สทฺทหติ, ตถา อเนกานิ ปาฎิหาริยานิ ทเสฺสตฺวา ตเถว ตํ อาณาเปตฺวา อตฺตโน วสติํ อคมาสิฯ สา ตถา อกาสิฯ
Sā sutvā ‘‘koci maññe mama ñātako pabbajito maṃ dukkhitaṃ ñatvā daṭṭhuṃ āgato bhavissatī’’ti cintayamānā gantvā, taṃ ñatvā, pādesu nipatitvā ‘‘kissa maṃ anāthaṃ tumhe akatthā’’ti āha. Mahāpuriso ‘‘mā tvaṃ diṭṭhamaṅgalike dukkhinī ahosi, sakalajambudīpavāsīhi te sakkāraṃ kāressāmī’’ti vatvā etadavoca – ‘‘gaccha tvaṃ ghosanaṃ karohi – ‘mahābrahmā mama sāmiko na mātaṅgo, so candavimānaṃ bhinditvā sattame divase mama santikaṃ āgamissatī’’’ti. Sā āha – ‘‘ahaṃ, bhante, brāhmaṇamahāsāladhītā hutvā attano pāpakammena imaṃ caṇḍālabhāvaṃ pattā, na sakkomi evaṃ vattu’’nti. Mahāpuriso ‘‘na tvaṃ mātaṅgassa ānubhāvaṃ jānāsī’’ti vatvā yathā sā saddahati, tathā anekāni pāṭihāriyāni dassetvā tatheva taṃ āṇāpetvā attano vasatiṃ agamāsi. Sā tathā akāsi.
มนุสฺสา อุชฺฌายนฺติ หสนฺติ – ‘‘กถญฺหิ นามายํ อตฺตโน ปาปกเมฺมน จณฺฑาลภาวํ ปตฺวา ปุน ตํ มหาพฺรหฺมานํ กริสฺสตี’’ติฯ สา อธิมานา เอว หุตฺวา ทิวเส ทิวเส โฆสนฺตี นครํ อาหิณฺฑติ ‘‘อิโต ฉเฎฺฐ ทิวเส, ปญฺจเม, จตุเตฺถ, ตติเย, สุเว, อชฺช อาคมิสฺสตี’’ติฯ มนุสฺสา ตสฺสา วิสฺสตฺถวาจํ สุตฺวา ‘‘กทาจิ เอวมฺปิ สิยา’’ติ อตฺตโน อตฺตโน ฆรทฺวาเรสุ มณฺฑปํ การาเปตฺวา, สาณิปาการํ สเชฺชตฺวา, วยปฺปตฺตา ทาริกาโย อลงฺกริตฺวา ‘‘มหาพฺรหฺมนิ อาคเต กญฺญาทานํ ทสฺสามา’’ติ อากาสํ อุโลฺลเกนฺตา นิสีทิํสุฯ อถ มหาปุริโส ปุณฺณมทิวเส คคนตลํ อุปารูเฬฺห จเนฺท จนฺทวิมานํ ผาเลตฺวา ปสฺสโต มหาชนสฺส มหาพฺรหฺมรูเปน นิคฺคจฺฉิฯ มหาชโน ‘‘เทฺว จนฺทา ชาตา’’ติ อติมญฺญิฯ ตโต อนุกฺกเมน อาคตํ ทิสฺวา ‘‘สจฺจํ ทิฎฺฐมงฺคลิกา อาห, มหาพฺรหฺมาว อยํ ทิฎฺฐมงฺคลิกํ ทเมตุํ ปุเพฺพ มาตงฺคเวเสนาคจฺฉี’’ติ นิฎฺฐํ อคมาสิฯ เอวํ โส มหาชเนน ทิสฺสมาโน ทิฎฺฐมงฺคลิกาย วสนฎฺฐาเน เอว โอตริฯ สา จ ตทา อุตุนี อโหสิฯ โส ตสฺสา นาภิํ องฺคุฎฺฐเกน ปรามสิฯ เตน ผเสฺสน คโพฺภ ปติฎฺฐาสิฯ ตโต นํ ‘‘คโพฺภ เต สณฺฐิโต , ปุตฺตมฺหิ ชาเต ตํ นิสฺสาย ชีวาหี’’ติ วตฺวา ปสฺสโต มหาชนสฺส ปุน จนฺทวิมานํ ปาวิสิฯ
Manussā ujjhāyanti hasanti – ‘‘kathañhi nāmāyaṃ attano pāpakammena caṇḍālabhāvaṃ patvā puna taṃ mahābrahmānaṃ karissatī’’ti. Sā adhimānā eva hutvā divase divase ghosantī nagaraṃ āhiṇḍati ‘‘ito chaṭṭhe divase, pañcame, catutthe, tatiye, suve, ajja āgamissatī’’ti. Manussā tassā vissatthavācaṃ sutvā ‘‘kadāci evampi siyā’’ti attano attano gharadvāresu maṇḍapaṃ kārāpetvā, sāṇipākāraṃ sajjetvā, vayappattā dārikāyo alaṅkaritvā ‘‘mahābrahmani āgate kaññādānaṃ dassāmā’’ti ākāsaṃ ullokentā nisīdiṃsu. Atha mahāpuriso puṇṇamadivase gaganatalaṃ upārūḷhe cande candavimānaṃ phāletvā passato mahājanassa mahābrahmarūpena niggacchi. Mahājano ‘‘dve candā jātā’’ti atimaññi. Tato anukkamena āgataṃ disvā ‘‘saccaṃ diṭṭhamaṅgalikā āha, mahābrahmāva ayaṃ diṭṭhamaṅgalikaṃ dametuṃ pubbe mātaṅgavesenāgacchī’’ti niṭṭhaṃ agamāsi. Evaṃ so mahājanena dissamāno diṭṭhamaṅgalikāya vasanaṭṭhāne eva otari. Sā ca tadā utunī ahosi. So tassā nābhiṃ aṅguṭṭhakena parāmasi. Tena phassena gabbho patiṭṭhāsi. Tato naṃ ‘‘gabbho te saṇṭhito , puttamhi jāte taṃ nissāya jīvāhī’’ti vatvā passato mahājanassa puna candavimānaṃ pāvisi.
พฺราหฺมณา ‘‘ทิฎฺฐมงฺคลิกา มหาพฺรหฺมุโน ปชาปติ อมฺหากํ มาตา ชาตา’’ติ วตฺวา ตโต ตโต อาคจฺฉนฺติฯ ตํ สกฺการํ กาตุกามานํ มนุสฺสานํ สมฺปีฬเนน นครทฺวารานิ อโนกาสานิ อเหสุํฯ เต ทิฎฺฐมงฺคลิกํ หิรญฺญราสิมฺหิ ฐเปตฺวา, นฺหาเปตฺวา, มเณฺฑตฺวา, รถํ อาโรเปตฺวา, มหาสกฺกาเรน นครํ ปทกฺขิณํ การาเปตฺวา, นครมเชฺฌ มณฺฑปํ การาเปตฺวา, ตตฺร นํ ‘‘มหาพฺรหฺมุโน ปชาปตี’’ติ ทิฎฺฐฎฺฐาเน ฐเปตฺวา วสาเปนฺติ ‘‘ยาวสฺสา ปติรูปํ วสโนกาสํ กโรม, ตาว อิเธว วสตู’’ติฯ สา มณฺฑเป เอว ปุตฺตํ วิชายิฯ ตํ วิสุทฺธทิวเส สทฺธิํ ปุเตฺตน สสีสํ นฺหาเปตฺวา มณฺฑเป ชาโตติ ทารกสฺส ‘‘มณฺฑพฺยกุมาโร’’ติ นามํ อกํสุฯ ตโต ปภุติ จ นํ พฺราหฺมณา ‘‘มหาพฺรหฺมุโน ปุโตฺต’’ติ ปริวาเรตฺวา จรนฺติฯ ตโต อเนกสตสหสฺสปฺปการา ปณฺณาการา อาคจฺฉนฺติ, เต พฺราหฺมณา กุมารสฺสารกฺขํ ฐเปสุํ, อาคตา ลหุํ กุมารํ ทฎฺฐุํ น ลภนฺติฯ
Brāhmaṇā ‘‘diṭṭhamaṅgalikā mahābrahmuno pajāpati amhākaṃ mātā jātā’’ti vatvā tato tato āgacchanti. Taṃ sakkāraṃ kātukāmānaṃ manussānaṃ sampīḷanena nagaradvārāni anokāsāni ahesuṃ. Te diṭṭhamaṅgalikaṃ hiraññarāsimhi ṭhapetvā, nhāpetvā, maṇḍetvā, rathaṃ āropetvā, mahāsakkārena nagaraṃ padakkhiṇaṃ kārāpetvā, nagaramajjhe maṇḍapaṃ kārāpetvā, tatra naṃ ‘‘mahābrahmuno pajāpatī’’ti diṭṭhaṭṭhāne ṭhapetvā vasāpenti ‘‘yāvassā patirūpaṃ vasanokāsaṃ karoma, tāva idheva vasatū’’ti. Sā maṇḍape eva puttaṃ vijāyi. Taṃ visuddhadivase saddhiṃ puttena sasīsaṃ nhāpetvā maṇḍape jātoti dārakassa ‘‘maṇḍabyakumāro’’ti nāmaṃ akaṃsu. Tato pabhuti ca naṃ brāhmaṇā ‘‘mahābrahmuno putto’’ti parivāretvā caranti. Tato anekasatasahassappakārā paṇṇākārā āgacchanti, te brāhmaṇā kumārassārakkhaṃ ṭhapesuṃ, āgatā lahuṃ kumāraṃ daṭṭhuṃ na labhanti.
กุมาโร อนุปุเพฺพน วุฑฺฒิมนฺวาย ทานํ ทาตุํ อารโทฺธฯ โส สาลาย สมฺปตฺตานํ กปณทฺธิกานํ อทตฺวา พฺราหฺมณานํเยว เทติฯ มหาปุริโส ‘‘กิํ มม ปุโตฺต ทานํ เทตี’’ติ อาวเชฺชตฺวา พฺราหฺมณานํเยว ทานํ เทนฺตํ ทิสฺวา ‘‘ยถา สเพฺพสํ ทสฺสติ, ตถา กริสฺสามี’’ติ จีวรํ ปารุปิตฺวา ปตฺตํ คเหตฺวา อากาเสน อาคมฺม ปุตฺตสฺส ฆรทฺวาเร อฎฺฐาสิฯ กุมาโร ตํ ทิสฺวา ‘‘กุโต อยํ เอวํ วิรูปเวโส วสโล อาคโต’’ติ กุโทฺธ อิมํ คาถมาห –
Kumāro anupubbena vuḍḍhimanvāya dānaṃ dātuṃ āraddho. So sālāya sampattānaṃ kapaṇaddhikānaṃ adatvā brāhmaṇānaṃyeva deti. Mahāpuriso ‘‘kiṃ mama putto dānaṃ detī’’ti āvajjetvā brāhmaṇānaṃyeva dānaṃ dentaṃ disvā ‘‘yathā sabbesaṃ dassati, tathā karissāmī’’ti cīvaraṃ pārupitvā pattaṃ gahetvā ākāsena āgamma puttassa gharadvāre aṭṭhāsi. Kumāro taṃ disvā ‘‘kuto ayaṃ evaṃ virūpaveso vasalo āgato’’ti kuddho imaṃ gāthamāha –
‘‘กุโต นุ อาคจฺฉสิ ทุมฺมวาสี, โอตลฺลโก ปํสุปิสาจโกว;
‘‘Kuto nu āgacchasi dummavāsī, otallako paṃsupisācakova;
สงฺการโจฬํ ปฎิมุญฺจ กเณฺฐ, โก เร ตุวํ โหสิ อทกฺขิเณโยฺย’’ติฯ
Saṅkāracoḷaṃ paṭimuñca kaṇṭhe, ko re tuvaṃ hosi adakkhiṇeyyo’’ti.
พฺราหฺมณา ‘‘คณฺหถ คณฺหถา’’ติ ตํ คเหตฺวา อาโกเฎตฺวา อนยพฺยสนํ ปาเปสุํฯ โส อากาเสน คนฺตฺวา พหินคเร ปจฺจฎฺฐาสิ ฯ เทวตา กุปิตา กุมารํ คเล คเหตฺวา อุทฺธํปาทํ อโธสิรํ ฐเปสุํฯ โส อกฺขีหิ นิคฺคเตหิ มุเขน เขฬํ ปคฺฆรเนฺตน ฆรุฆรุปสฺสาสี ทุกฺขํ เวทยติฯ ทิฎฺฐมงฺคลิกา สุตฺวา ‘‘โกจิ อาคโต อตฺถี’’ติ ปุจฺฉิฯ ‘‘อาม, ปพฺพชิโต อาคจฺฉี’’ติฯ ‘‘กุหิํ คโต’’ติ? ‘‘เอวํ คโต’’ติฯ สา ตตฺถ คนฺตฺวา ‘‘ขมถ, ภเนฺต, อตฺตโน ทาสสฺสา’’ติ ยาจนฺตี ตสฺส ปาทมูเล ภูมิยา นิปชฺชิฯ เตน จ สมเยน มหาปุริโส ปิณฺฑาย จริตฺวา, ยาคุํ ลภิตฺวา, ตํ ปิวโนฺต ตตฺถ นิสิโนฺน โหติ, โส อวสิฎฺฐํ โถกํ ยาคุํ ทิฎฺฐมงฺคลิกาย อทาสิฯ ‘‘คจฺฉ อิมํ ยาคุํ อุทกกุมฺภิยา อาโลเลตฺวา เยสํ ภูตวิกาโร อตฺถิ, เตสํ อกฺขิมุขกณฺณนาสาพิเลสุ อาสิญฺจ, สรีรญฺจ ปริโปฺผเสหิ, เอวํ นิพฺพิการา ภวิสฺสนฺตี’’ติฯ สา ตถา อกาสิฯ ตโต กุมาเร ปกติสรีเร ชาเต ‘‘เอหิ, ตาต มณฺฑพฺย, ตํ ขมาเปสฺสามา’’ติ ปุตฺตญฺจ สเพฺพ พฺราหฺมเณ จ ตสฺส ปาทมูเล นิกฺกุชฺชิตฺวา นิปชฺชาเปตฺวา ขมาเปสิฯ
Brāhmaṇā ‘‘gaṇhatha gaṇhathā’’ti taṃ gahetvā ākoṭetvā anayabyasanaṃ pāpesuṃ. So ākāsena gantvā bahinagare paccaṭṭhāsi . Devatā kupitā kumāraṃ gale gahetvā uddhaṃpādaṃ adhosiraṃ ṭhapesuṃ. So akkhīhi niggatehi mukhena kheḷaṃ paggharantena gharugharupassāsī dukkhaṃ vedayati. Diṭṭhamaṅgalikā sutvā ‘‘koci āgato atthī’’ti pucchi. ‘‘Āma, pabbajito āgacchī’’ti. ‘‘Kuhiṃ gato’’ti? ‘‘Evaṃ gato’’ti. Sā tattha gantvā ‘‘khamatha, bhante, attano dāsassā’’ti yācantī tassa pādamūle bhūmiyā nipajji. Tena ca samayena mahāpuriso piṇḍāya caritvā, yāguṃ labhitvā, taṃ pivanto tattha nisinno hoti, so avasiṭṭhaṃ thokaṃ yāguṃ diṭṭhamaṅgalikāya adāsi. ‘‘Gaccha imaṃ yāguṃ udakakumbhiyā āloletvā yesaṃ bhūtavikāro atthi, tesaṃ akkhimukhakaṇṇanāsābilesu āsiñca, sarīrañca paripphosehi, evaṃ nibbikārā bhavissantī’’ti. Sā tathā akāsi. Tato kumāre pakatisarīre jāte ‘‘ehi, tāta maṇḍabya, taṃ khamāpessāmā’’ti puttañca sabbe brāhmaṇe ca tassa pādamūle nikkujjitvā nipajjāpetvā khamāpesi.
โส ‘‘สพฺพชนสฺส ทานํ ทาตพฺพ’’นฺติ โอวทิตฺวา, ธมฺมกถํ กตฺวา, อตฺตโน วสนฎฺฐานํเยว คนฺตฺวา, จิเนฺตสิ ‘‘อิตฺถีสุ ปากฎา ทิฎฺฐมงฺคลิกา ทมิตา, ปุริเสสุ ปากโฎ มณฺฑพฺยกุมาโร, อิทานิ โก ทเมตโพฺพ’’ติฯ ตโต ชาติมนฺตตาปสํ อทฺทส พนฺธุมตีนครํ นิสฺสาย กุมฺภวตีนทีตีเร วิหรนฺตํฯ โส ‘‘อหํ ชาติยา วิสิโฎฺฐ, อเญฺญหิ ปริภุโตฺตทกํ น ปริภุญฺชามี’’ติ อุปรินทิยา วสติฯ มหาปุริโส ตสฺส อุปริภาเค วาสํ กเปฺปตฺวา ตสฺส อุทกปริโภคเวลายํ ทนฺตกฎฺฐํ ขาทิตฺวา อุทเก ปกฺขิปิฯ ตาปโส ตํ อุทเกน วุยฺหมานํ ทิสฺวา ‘‘เกนิทํ ขิตฺต’’นฺติ ปฎิโสตํ คนฺตฺวา มหาปุริสํ ทิสฺวา ‘‘โก เอตฺถา’’ติ อาหฯ ‘‘มาตงฺคจณฺฑาโล, อาจริยา’’ติฯ ‘‘อเปหิ, จณฺฑาล, มา อุปรินทิยา วสี’’ติฯ มหาปุริโส ‘‘สาธุ, อาจริยา’’ติ เหฎฺฐานทิยา วสติ, ปฎิโสตมฺปิ ทนฺตกฎฺฐํ ตาปสสฺส สนฺติกํ อาคจฺฉติฯ ตาปโส ปุน คนฺตฺวา ‘‘อเปหิ, จณฺฑาล, มา เหฎฺฐานทิยํ วส, อุปรินทิยาเยว วสา’’ติ อาหฯ มหาปุริโส ‘‘สาธุ, อาจริยา’’ติ ตถา อกาสิ, ปุนปิ ตเถว อโหสิฯ ตาปโส ปุนปิ ‘‘ตถา กโรตี’’ติ ทุโฎฺฐ มหาปุริสํ สปิ ‘‘สูริยสฺส เต อุคฺคมนเวลาย สตฺตธา มุทฺธา ผลตู’’ติฯ มหาปุริโสปิ ‘‘สาธุ, อาจริย, อหํ ปน สูริยุฎฺฐานํ น เทมี’’ติ วตฺวา สูริยุฎฺฐานํ นิวาเรสิ ฯ ตโต รตฺติ น วิภายติ, อนฺธกาโร ชาโต, ภีตา พนฺธุมตีวาสิโน ตาปสสฺส สนฺติกํ คนฺตฺวา ‘‘อตฺถิ นุ โข, อาจริย, อมฺหากํ โสตฺถิภาโว’’ติ ปุจฺฉิํสุฯ เต หิ ตํ ‘‘อรหา’’ติ มญฺญนฺติฯ โส เตสํ สพฺพมาจิกฺขิฯ เต มหาปุริสํ อุปสงฺกมิตฺวา ‘‘สูริยํ, ภเนฺต, มุญฺจถา’’ติ ยาจิํสุฯ มหาปุริโส ‘‘ยทิ ตุมฺหากํ อรหา อาคนฺตฺวา มํ ขมาเปติ, มุญฺจามี’’ติ อาหฯ
So ‘‘sabbajanassa dānaṃ dātabba’’nti ovaditvā, dhammakathaṃ katvā, attano vasanaṭṭhānaṃyeva gantvā, cintesi ‘‘itthīsu pākaṭā diṭṭhamaṅgalikā damitā, purisesu pākaṭo maṇḍabyakumāro, idāni ko dametabbo’’ti. Tato jātimantatāpasaṃ addasa bandhumatīnagaraṃ nissāya kumbhavatīnadītīre viharantaṃ. So ‘‘ahaṃ jātiyā visiṭṭho, aññehi paribhuttodakaṃ na paribhuñjāmī’’ti uparinadiyā vasati. Mahāpuriso tassa uparibhāge vāsaṃ kappetvā tassa udakaparibhogavelāyaṃ dantakaṭṭhaṃ khāditvā udake pakkhipi. Tāpaso taṃ udakena vuyhamānaṃ disvā ‘‘kenidaṃ khitta’’nti paṭisotaṃ gantvā mahāpurisaṃ disvā ‘‘ko etthā’’ti āha. ‘‘Mātaṅgacaṇḍālo, ācariyā’’ti. ‘‘Apehi, caṇḍāla, mā uparinadiyā vasī’’ti. Mahāpuriso ‘‘sādhu, ācariyā’’ti heṭṭhānadiyā vasati, paṭisotampi dantakaṭṭhaṃ tāpasassa santikaṃ āgacchati. Tāpaso puna gantvā ‘‘apehi, caṇḍāla, mā heṭṭhānadiyaṃ vasa, uparinadiyāyeva vasā’’ti āha. Mahāpuriso ‘‘sādhu, ācariyā’’ti tathā akāsi, punapi tatheva ahosi. Tāpaso punapi ‘‘tathā karotī’’ti duṭṭho mahāpurisaṃ sapi ‘‘sūriyassa te uggamanavelāya sattadhā muddhā phalatū’’ti. Mahāpurisopi ‘‘sādhu, ācariya, ahaṃ pana sūriyuṭṭhānaṃ na demī’’ti vatvā sūriyuṭṭhānaṃ nivāresi . Tato ratti na vibhāyati, andhakāro jāto, bhītā bandhumatīvāsino tāpasassa santikaṃ gantvā ‘‘atthi nu kho, ācariya, amhākaṃ sotthibhāvo’’ti pucchiṃsu. Te hi taṃ ‘‘arahā’’ti maññanti. So tesaṃ sabbamācikkhi. Te mahāpurisaṃ upasaṅkamitvā ‘‘sūriyaṃ, bhante, muñcathā’’ti yāciṃsu. Mahāpuriso ‘‘yadi tumhākaṃ arahā āgantvā maṃ khamāpeti, muñcāmī’’ti āha.
มนุสฺสา คนฺตฺวา ตาปสํ อาหํสุ – ‘‘เอหิ, ภเนฺต, มาตงฺคปณฺฑิตํ ขมาเปหิ, มา ตุมฺหากํ กลหการณา มยํ นสฺสิมฺหา’’ติฯ โส ‘‘นาหํ จณฺฑาลํ ขมาเปมี’’ติ อาหฯ มนุสฺสา ‘‘อเมฺห ตฺวํ นาเสสี’’ติ ตํ หตฺถปาเทสุ คเหตฺวา มหาปุริสสฺส สนฺติกํ เนสุํฯ มหาปุริโส ‘‘มม ปาทมูเล กุจฺฉิยา นิปชฺชิตฺวา ขมาเปเนฺต ขมามี’’ติ อาหฯ มนุสฺสา ‘‘เอวํ กโรหี’’ติ อาหํสุฯ ตาปโส ‘‘นาหํ จณฺฑาลํ วนฺทามี’’ติฯ มนุสฺสา ‘‘ตว ฉเนฺทน น วนฺทิสฺสสี’’ติ หตฺถปาทมสฺสุคีวาทีสุ คเหตฺวา มหาปุริสสฺส ปาทมูเล สยาเปสุํฯ โส ‘‘ขมามหํ อิมสฺส, อปิจาหํ ตเสฺสวานุกมฺปาย สูริยํ น มุญฺจามิ, สูริเย หิ อุคฺคตมเตฺต มุทฺธา อสฺส สตฺตธา ผลิสฺสตี’’ติ อาหฯ มนุสฺสา ‘‘อิทานิ, ภเนฺต, กิํ กาตพฺพ’’นฺติ อาหํสุฯ มหาปุริโส ‘‘เตน หิ อิมํ คลปฺปมาเณ อุทเก ฐเปตฺวา มตฺติกาปิเณฺฑนสฺส สีสํ ปฎิจฺฉาเทถ, สูริยรสฺมีหิ ผุโฎฺฐ มตฺติกาปิโณฺฑ สตฺตธา ผลิสฺสติฯ ตสฺมิํ ผลิเต เอส อญฺญตฺร คจฺฉตู’’ติ อาหฯ เต ตาปสํ หตฺถปาทาทีสุ คเหตฺวา ตถา อกํสุฯ สูริเย มุญฺจิตมเตฺต มตฺติกาปิโณฺฑ สตฺตธา ผลิตฺวา ปติ, ตาปโส ภีโต ปลายิฯ มนุสฺสา ทิสฺวา ‘‘ปสฺสถ, โภ, สมณสฺส อานุภาว’’นฺติ ทนฺตกฎฺฐปกฺขิปนมาทิํ กตฺวา สพฺพํ วิตฺถาเรตฺวา ‘‘นตฺถิ อีทิโส สมโณ’’ติ ตสฺมิํ ปสีทิํสุฯ ตโต ปภุติ สกลชมฺพุทีเป ขตฺติยพฺราหฺมณาทโย คหฎฺฐปพฺพชิตา มาตงฺคปณฺฑิตสฺส อุปฎฺฐานํ อคมํสุฯ โส ยาวตายุกํ ฐตฺวา กายสฺส เภทา พฺรหฺมโลเก อุปฺปชฺชิฯ เตนาห ภควา ‘‘ตทมินาปิ ชานาถ…เป.… พฺรหฺมโลกูปปตฺติยา’’ติฯ
Manussā gantvā tāpasaṃ āhaṃsu – ‘‘ehi, bhante, mātaṅgapaṇḍitaṃ khamāpehi, mā tumhākaṃ kalahakāraṇā mayaṃ nassimhā’’ti. So ‘‘nāhaṃ caṇḍālaṃ khamāpemī’’ti āha. Manussā ‘‘amhe tvaṃ nāsesī’’ti taṃ hatthapādesu gahetvā mahāpurisassa santikaṃ nesuṃ. Mahāpuriso ‘‘mama pādamūle kucchiyā nipajjitvā khamāpente khamāmī’’ti āha. Manussā ‘‘evaṃ karohī’’ti āhaṃsu. Tāpaso ‘‘nāhaṃ caṇḍālaṃ vandāmī’’ti. Manussā ‘‘tava chandena na vandissasī’’ti hatthapādamassugīvādīsu gahetvā mahāpurisassa pādamūle sayāpesuṃ. So ‘‘khamāmahaṃ imassa, apicāhaṃ tassevānukampāya sūriyaṃ na muñcāmi, sūriye hi uggatamatte muddhā assa sattadhā phalissatī’’ti āha. Manussā ‘‘idāni, bhante, kiṃ kātabba’’nti āhaṃsu. Mahāpuriso ‘‘tena hi imaṃ galappamāṇe udake ṭhapetvā mattikāpiṇḍenassa sīsaṃ paṭicchādetha, sūriyarasmīhi phuṭṭho mattikāpiṇḍo sattadhā phalissati. Tasmiṃ phalite esa aññatra gacchatū’’ti āha. Te tāpasaṃ hatthapādādīsu gahetvā tathā akaṃsu. Sūriye muñcitamatte mattikāpiṇḍo sattadhā phalitvā pati, tāpaso bhīto palāyi. Manussā disvā ‘‘passatha, bho, samaṇassa ānubhāva’’nti dantakaṭṭhapakkhipanamādiṃ katvā sabbaṃ vitthāretvā ‘‘natthi īdiso samaṇo’’ti tasmiṃ pasīdiṃsu. Tato pabhuti sakalajambudīpe khattiyabrāhmaṇādayo gahaṭṭhapabbajitā mātaṅgapaṇḍitassa upaṭṭhānaṃ agamaṃsu. So yāvatāyukaṃ ṭhatvā kāyassa bhedā brahmaloke uppajji. Tenāha bhagavā ‘‘tadamināpi jānātha…pe… brahmalokūpapattiyā’’ti.
๑๔๐-๑๔๑. เอวํ ‘‘น ชจฺจา วสโล โหติ, กมฺมุนา วสโล โหตี’’ติ สาเธตฺวา อิทานิ ‘‘น ชจฺจา โหติ พฺราหฺมโณ, กมฺมุนา โหติ พฺราหฺมโณ’’ติ เอตํ สาเธตุํ อาห ‘‘อชฺฌายกกุเล ชาตา …เป.… ทุคฺคตฺยา ครหาย วา’’ติฯ ตตฺถ อชฺฌายกกุเล ชาตาติ มนฺตชฺฌายเก พฺราหฺมณกุเล ชาตาฯ ‘‘อชฺฌายกากุเฬ ชาตา’’ติปิ ปาโฐฯ มนฺตานํ อชฺฌายเก อนุปกุเฎฺฐ จ พฺราหฺมณกุเล ชาตาติ อโตฺถฯ มนฺตา พนฺธวา เอเตสนฺติ มนฺตพนฺธวาฯ เวทพนฺธู เวทปฎิสฺสรณาติ วุตฺตํ โหติฯ เต จ ปาเปสุ กเมฺมสุ อภิณฺหมุปทิสฺสเรติ เต เอวํ กุเล ชาตา มนฺตพนฺธวา จ สมานาปิ ยทิ ปาณาติปาตาทีสุ ปาปกเมฺมสุ ปุนปฺปุนํ อุปทิสฺสนฺติ, อถ ทิเฎฺฐว ธเมฺม คารยฺหา สมฺปราเย จ ทุคฺคติ เต เอวมุปทิสฺสมานา อิมสฺมิํเยว อตฺตภาเว มาตาปิตูหิปิ ‘‘นยิเม อมฺหากํ ปุตฺตา, ทุชฺชาตา เอเต กุลสฺส องฺคารภูตา, นิกฺกฑฺฒถ เน’’ติ, พฺราหฺมเณหิปิ ‘‘คหปติกา เอเต, น เอเต พฺราหฺมณา, มา เนสํ สทฺธยญฺญถาลิปากาทีสุ ปเวสํ เทถ, มา เนหิ สทฺธิํ สลฺลปถา’’ติ, อเญฺญหิปิ มนุเสฺสหิ ‘‘ปาปกมฺมนฺตา เอเต, น เอเต พฺราหฺมณา’’ติ เอวํ คารยฺหา โหนฺติฯ สมฺปราเย จ เนสํ ทุคฺคติ นิรยาทิเภทา, ทุคฺคติ เอเตสํ ปรโลเก โหตีติ อโตฺถฯ สมฺปราเย วาติปิ ปาโฐฯ ปรโลเก เอเตสํ ทุกฺขสฺส คติ ทุคฺคติ, ทุกฺขปฺปตฺติเยว โหตีติ อโตฺถฯ น เน ชาติ นิวาเรติ, ทุคฺคตฺยา ครหาย วาติ สา ตถา อุกฺกฎฺฐาปิ ยํ ตฺวํ สารโต ปเจฺจสิ, ชาติ เอเต ปาปกเมฺมสุ ปทิสฺสเนฺต พฺราหฺมเณ ‘‘สมฺปราเย จ ทุคฺคตี’’ติ เอตฺถ วุตฺตปฺปการาย ทุคฺคติยา วา, ‘‘ทิเฎฺฐว ธเมฺม คารยฺหา’’ติ เอตฺถ วุตฺตปฺปการาย ครหาย วา น นิวาเรติฯ
140-141. Evaṃ ‘‘na jaccā vasalo hoti, kammunā vasalo hotī’’ti sādhetvā idāni ‘‘na jaccā hoti brāhmaṇo, kammunā hoti brāhmaṇo’’ti etaṃ sādhetuṃ āha ‘‘ajjhāyakakule jātā …pe… duggatyā garahāyavā’’ti. Tattha ajjhāyakakule jātāti mantajjhāyake brāhmaṇakule jātā. ‘‘Ajjhāyakākuḷe jātā’’tipi pāṭho. Mantānaṃ ajjhāyake anupakuṭṭhe ca brāhmaṇakule jātāti attho. Mantā bandhavā etesanti mantabandhavā. Vedabandhū vedapaṭissaraṇāti vuttaṃ hoti. Te ca pāpesu kammesu abhiṇhamupadissareti te evaṃ kule jātā mantabandhavā ca samānāpi yadi pāṇātipātādīsu pāpakammesu punappunaṃ upadissanti, atha diṭṭheva dhamme gārayhā samparāye ca duggati te evamupadissamānā imasmiṃyeva attabhāve mātāpitūhipi ‘‘nayime amhākaṃ puttā, dujjātā ete kulassa aṅgārabhūtā, nikkaḍḍhatha ne’’ti, brāhmaṇehipi ‘‘gahapatikā ete, na ete brāhmaṇā, mā nesaṃ saddhayaññathālipākādīsu pavesaṃ detha, mā nehi saddhiṃ sallapathā’’ti, aññehipi manussehi ‘‘pāpakammantā ete, na ete brāhmaṇā’’ti evaṃ gārayhā honti. Samparāye ca nesaṃ duggati nirayādibhedā, duggati etesaṃ paraloke hotīti attho. Samparāye vātipi pāṭho. Paraloke etesaṃ dukkhassa gati duggati, dukkhappattiyeva hotīti attho. Na ne jāti nivāreti, duggatyā garahāya vāti sā tathā ukkaṭṭhāpi yaṃ tvaṃ sārato paccesi, jāti ete pāpakammesu padissante brāhmaṇe ‘‘samparāye ca duggatī’’ti ettha vuttappakārāya duggatiyā vā, ‘‘diṭṭheva dhamme gārayhā’’ti ettha vuttappakārāya garahāya vā na nivāreti.
๑๔๒. เอวํ ภควา อชฺฌายกกุเล ชาตานมฺปิ พฺราหฺมณานํ คารยฺหาทิกมฺมวเสน ทิเฎฺฐว ธเมฺม ปติตภาวํ ทีเปโนฺต ทุคฺคติคมเนน จ สมฺปราเย พฺราหฺมณชาติยา อภาวํ ทีเปโนฺต ‘‘น ชจฺจา โหติ พฺราหฺมโณ, กมฺมุนา โหติ พฺราหฺมโณ’’ติ เอตมฺปิ อตฺถํ สาเธตฺวา อิทานิ ทุวิธมฺปิ อตฺถํ นิคเมโนฺต อาห, เอวํ พฺราหฺมณ –
142. Evaṃ bhagavā ajjhāyakakule jātānampi brāhmaṇānaṃ gārayhādikammavasena diṭṭheva dhamme patitabhāvaṃ dīpento duggatigamanena ca samparāye brāhmaṇajātiyā abhāvaṃ dīpento ‘‘na jaccā hoti brāhmaṇo, kammunā hoti brāhmaṇo’’ti etampi atthaṃ sādhetvā idāni duvidhampi atthaṃ nigamento āha, evaṃ brāhmaṇa –
‘‘น ชจฺจา วสโล โหติ, น ชจฺจา โหติ พฺราหฺมโณ;
‘‘Na jaccā vasalo hoti, na jaccā hoti brāhmaṇo;
กมฺมุนา วสโล โหติ, กมฺมุนา โหติ พฺราหฺมโณ’’ติฯ
Kammunā vasalo hoti, kammunā hoti brāhmaṇo’’ti.
เสสํ กสิภารทฺวาชสุเตฺต วุตฺตนยเมวฯ วิเสสโต วา เอตฺถ นิกฺกุชฺชิตํ วาติอาทีนํ เอวํ โยชนา เวทิตพฺพา – ยถา โกจิ นิกฺกุชฺชิตํ วา อุกฺกุเชฺชยฺย, เอวํ มํ กมฺมวิมุขํ ชาติวาเท ปติตํ ‘‘ชาติยา พฺราหฺมณวสลภาโว โหตี’’ติ ทิฎฺฐิโต วุฎฺฐาเปเนฺตน, ยถา ปฎิจฺฉนฺนํ วิวเรยฺย, เอวํ ชาติวาทปฎิจฺฉนฺนํ กมฺมวาทํ วิวรเนฺตน, ยถา มูฬฺหสฺส มคฺคํ อาจิเกฺขยฺย, เอวํ พฺราหฺมณวสลภาวสฺส อสมฺภินฺนอุชุมคฺคํ อาจิกฺขเนฺตน, ยถา อนฺธกาเร วา เตลปโชฺชตํ ธาเรยฺย, เอวํ มาตงฺคาทินิทสฺสนปโชฺชตธารเณน มยฺหํ โภตา โคตเมน เอเตหิ ปริยาเยหิ ปกาสิตตฺตา อเนกปริยาเยน ธโมฺม ปกาสิโตติฯ
Sesaṃ kasibhāradvājasutte vuttanayameva. Visesato vā ettha nikkujjitaṃ vātiādīnaṃ evaṃ yojanā veditabbā – yathā koci nikkujjitaṃ vā ukkujjeyya, evaṃ maṃ kammavimukhaṃ jātivāde patitaṃ ‘‘jātiyā brāhmaṇavasalabhāvo hotī’’ti diṭṭhito vuṭṭhāpentena, yathā paṭicchannaṃ vivareyya, evaṃ jātivādapaṭicchannaṃ kammavādaṃ vivarantena, yathā mūḷhassa maggaṃ ācikkheyya, evaṃ brāhmaṇavasalabhāvassa asambhinnaujumaggaṃ ācikkhantena, yathā andhakāre vā telapajjotaṃ dhāreyya, evaṃ mātaṅgādinidassanapajjotadhāraṇena mayhaṃ bhotā gotamena etehi pariyāyehi pakāsitattā anekapariyāyena dhammo pakāsitoti.
ปรมตฺถโชติกาย ขุทฺทก-อฎฺฐกถาย
Paramatthajotikāya khuddaka-aṭṭhakathāya
สุตฺตนิปาต-อฎฺฐกถาย อคฺคิกภารทฺวาชสุตฺตวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Suttanipāta-aṭṭhakathāya aggikabhāradvājasuttavaṇṇanā niṭṭhitā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / สุตฺตนิปาตปาฬิ • Suttanipātapāḷi / ๗. วสลสุตฺตํ • 7. Vasalasuttaṃ