Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / อุทาน-อฎฺฐกถา • Udāna-aṭṭhakathā |
๗. อชกลาปกสุตฺตวณฺณนา
7. Ajakalāpakasuttavaṇṇanā
๗. สตฺตเม ปาวายนฺติ เอวํนามเก มลฺลราชูนํ นคเรฯ อชกลาปเก เจติเยติ อชกลาปเกน นาม ยเกฺขน ปริคฺคหิตตฺตา ‘‘อชกลาปก’’นฺติ ลทฺธนาเม มนุสฺสานํ จิตฺตีกตฎฺฐาเน ฯ โส กิร ยโกฺข อเช กลาเป กตฺวา พนฺธเนน อชโกฎฺฐาเสน สทฺธิํ พลิํ ปฎิจฺฉติ, น อญฺญถา, ตสฺมา ‘‘อชกลาปโก’’ติ ปญฺญายิตฺถฯ เกจิ ปนาหุ – อชเก วิย สเตฺต ลาเปตีติ อชกลาปโกติฯ ตสฺส กิร สตฺตา พลิํ อุปเนตฺวา ยทา อชสทฺทํ กตฺวา พลิํ อุปหรนฺติ, ตทา โส ตุสฺสติ, ตสฺมา ‘‘อชกลาปโก’’ติ วุจฺจตีติฯ โส ปน ยโกฺข อานุภาวสมฺปโนฺน กกฺขโฬ ผรุโส ตตฺถ จ สนฺนิหิโต, ตสฺมา ตํ ฐานํ มนุสฺสา จิตฺติํ กโรนฺติ, กาเลน กาลํ พลิํ อุปหรนฺติฯ เตน วุตฺตํ ‘‘อชกลาปเก เจติเย’’ติฯ อชกลาปกสฺส ยกฺขสฺส ภวเนติ ตสฺส ยกฺขสฺส วิมาเนฯ
7. Sattame pāvāyanti evaṃnāmake mallarājūnaṃ nagare. Ajakalāpake cetiyeti ajakalāpakena nāma yakkhena pariggahitattā ‘‘ajakalāpaka’’nti laddhanāme manussānaṃ cittīkataṭṭhāne . So kira yakkho aje kalāpe katvā bandhanena ajakoṭṭhāsena saddhiṃ baliṃ paṭicchati, na aññathā, tasmā ‘‘ajakalāpako’’ti paññāyittha. Keci panāhu – ajake viya satte lāpetīti ajakalāpakoti. Tassa kira sattā baliṃ upanetvā yadā ajasaddaṃ katvā baliṃ upaharanti, tadā so tussati, tasmā ‘‘ajakalāpako’’ti vuccatīti. So pana yakkho ānubhāvasampanno kakkhaḷo pharuso tattha ca sannihito, tasmā taṃ ṭhānaṃ manussā cittiṃ karonti, kālena kālaṃ baliṃ upaharanti. Tena vuttaṃ ‘‘ajakalāpake cetiye’’ti. Ajakalāpakassa yakkhassa bhavaneti tassa yakkhassa vimāne.
ตทา กิร สตฺถา ตํ ยกฺขํ ทเมตุกาโม สายนฺหสมเย เอโก อทุติโย ปตฺตจีวรํ อาทาย อชกลาปกสฺส ยกฺขสฺส ภวนทฺวารํ คนฺตฺวา ตสฺส โทวาริกํ ภวนปวิสนตฺถาย ยาจิฯ โส ‘‘กกฺขโฬ, ภเนฺต, อชกลาปโก ยโกฺข, สมโณติ วา พฺราหฺมโณติ วา คารวํ น กโรติ, ตสฺมา ตุเมฺห เอว ชานาถ, มยฺหํ ปน ตสฺส อนาโรจนํ น ยุตฺต’’นฺติ ตาวเทว ยกฺขสมาคมํ คตสฺส อชกลาปกสฺส สนฺติกํ วาตเวเคน อคมาสิฯ สตฺถา อโนฺตภวนํ ปวิสิตฺวา อชกลาปกสฺส นิสีทนมณฺฑเป ปญฺญตฺตาสเน นิสีทิฯ ยกฺขสฺส โอโรธา สตฺถารํ อุปสงฺกมิตฺวา วนฺทิตฺวา เอกมนฺตํ อฎฺฐํสุฯ สตฺถา ตาสํ กาลยุตฺตํ ธมฺมิํ กถํ กเถสิฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘ปาวายํ วิหรติ อชกลาปเก เจติเย อชกลาปกสฺส ยกฺขสฺส ภวเน’’ติฯ
Tadā kira satthā taṃ yakkhaṃ dametukāmo sāyanhasamaye eko adutiyo pattacīvaraṃ ādāya ajakalāpakassa yakkhassa bhavanadvāraṃ gantvā tassa dovārikaṃ bhavanapavisanatthāya yāci. So ‘‘kakkhaḷo, bhante, ajakalāpako yakkho, samaṇoti vā brāhmaṇoti vā gāravaṃ na karoti, tasmā tumhe eva jānātha, mayhaṃ pana tassa anārocanaṃ na yutta’’nti tāvadeva yakkhasamāgamaṃ gatassa ajakalāpakassa santikaṃ vātavegena agamāsi. Satthā antobhavanaṃ pavisitvā ajakalāpakassa nisīdanamaṇḍape paññattāsane nisīdi. Yakkhassa orodhā satthāraṃ upasaṅkamitvā vanditvā ekamantaṃ aṭṭhaṃsu. Satthā tāsaṃ kālayuttaṃ dhammiṃ kathaṃ kathesi. Tena vuttaṃ – ‘‘pāvāyaṃ viharati ajakalāpake cetiye ajakalāpakassa yakkhassa bhavane’’ti.
ตสฺมิํ สมเย สาตาคิรเหมวตา อชกลาปกสฺส ภวนมตฺถเกน ยกฺขสมาคมํ คจฺฉนฺตา อตฺตโน คมเน อสมฺปชฺชมาเน ‘‘กิํ นุ โข การณ’’นฺติ อาวเชฺชนฺตา สตฺถารํ อชกลาปกสฺส ภวเน นิสินฺนํ ทิสฺวา ตตฺถ คนฺตฺวา ภควนฺตํ วนฺทิตฺวา ‘‘มยํ, ภเนฺต, ยกฺขสมาคมํ คมิสฺสามา’’ติ อาปุจฺฉิตฺวา ปทกฺขิณํ กตฺวา คตา ยกฺขสนฺนิปาเต อชกลาปกํ ทิสฺวา ตุฎฺฐิํ ปเวทยิํสุ ‘‘ลาภา เต, อาวุโส, อชกลาปก, ยสฺส เต ภวเน สเทวเก โลเก อคฺคปุคฺคโล ภควา นิสิโนฺน, อุปสงฺกมิตฺวา ภควนฺตํ ปยิรุปาสสฺสุ, ธมฺมญฺจ สุณาหี’’ติฯ โส เตสํ กถํ สุตฺวา ‘‘อิเม ตสฺส มุณฺฑกสฺส สมณกสฺส มม ภวเน นิสินฺนภาวํ กเถนฺตี’’ติ โกธาภิภูโต หุตฺวา ‘‘อชฺช มยฺหํ เตน สมเณน สทฺธิํ สงฺคาโม ภวิสฺสตี’’ติ จิเนฺตตฺวา ยกฺขสนฺนิปาตโต อุฎฺฐหิตฺวา ทกฺขิณํ ปาทํ อุกฺขิปิตฺวา สฎฺฐิโยชนมตฺตํ ปพฺพตกูฎํ อกฺกมิ, ตํ ภิชฺชิตฺวา ทฺวิธา อโหสิฯ เสสํ เอตฺถ ยํ วตฺตพฺพํ, ตํ อาฬวกสุตฺตวณฺณนายํ (สํ. นิ. อฎฺฐ. ๑.๑.๒๔๖) อาคตนเยเนว เวทิตพฺพํฯ
Tasmiṃ samaye sātāgirahemavatā ajakalāpakassa bhavanamatthakena yakkhasamāgamaṃ gacchantā attano gamane asampajjamāne ‘‘kiṃ nu kho kāraṇa’’nti āvajjentā satthāraṃ ajakalāpakassa bhavane nisinnaṃ disvā tattha gantvā bhagavantaṃ vanditvā ‘‘mayaṃ, bhante, yakkhasamāgamaṃ gamissāmā’’ti āpucchitvā padakkhiṇaṃ katvā gatā yakkhasannipāte ajakalāpakaṃ disvā tuṭṭhiṃ pavedayiṃsu ‘‘lābhā te, āvuso, ajakalāpaka, yassa te bhavane sadevake loke aggapuggalo bhagavā nisinno, upasaṅkamitvā bhagavantaṃ payirupāsassu, dhammañca suṇāhī’’ti. So tesaṃ kathaṃ sutvā ‘‘ime tassa muṇḍakassa samaṇakassa mama bhavane nisinnabhāvaṃ kathentī’’ti kodhābhibhūto hutvā ‘‘ajja mayhaṃ tena samaṇena saddhiṃ saṅgāmo bhavissatī’’ti cintetvā yakkhasannipātato uṭṭhahitvā dakkhiṇaṃ pādaṃ ukkhipitvā saṭṭhiyojanamattaṃ pabbatakūṭaṃ akkami, taṃ bhijjitvā dvidhā ahosi. Sesaṃ ettha yaṃ vattabbaṃ, taṃ āḷavakasuttavaṇṇanāyaṃ (saṃ. ni. aṭṭha. 1.1.246) āgatanayeneva veditabbaṃ.
อชกลาปกสฺส สมาคโม หิ อาฬวกสมาคมสทิโสว ฐเปตฺวา ปญฺหกรณํ วิสฺสชฺชนํ ภวนโต ติกฺขตฺตุํ นิกฺขมนํ ปเวสนญฺจฯ อชกลาปโก หิ อาคจฺฉโนฺตเยว ‘‘เอเตหิเยว ตํ สมณํ ปลาเปสฺสามี’’ติ วาตมณฺฑลาทิเก นววเสฺส สมุฎฺฐาเปตฺวา เตหิ ภควโต จลนมตฺตมฺปิ กาตุํ อสโกฺกโนฺต นานาวิธปฺปหรณหเตฺถ อติวิย ภยานกรูเป ภูตคเณ นิมฺมินิตฺวา เตหิ สทฺธิํ ภควนฺตํ อุปสงฺกมิตฺวา อนฺตเนฺตเนว จรโนฺต สพฺพรตฺติํ นานปฺปการํ วิปฺปการํ กตฺวาปิ ภควโต กิญฺจิ เกสคฺคมตฺตมฺปิ นิสินฺนฎฺฐานโต จลนํ กาตุํ นาสกฺขิฯ เกวลํ ปน ‘‘อยํ สมโณ มํ อนาปุจฺฉา มยฺหํ ภวนํ ปวิสิตฺวา นิสีทตี’’ติ โกธวเสน ปชฺชลิฯ อถสฺส ภควา จิตฺตปฺปวตฺติํ ญตฺวา ‘‘เสยฺยถาปิ นาม จณฺฑสฺส กุกฺกุรสฺส นาสาย ปิตฺตํ ภิเนฺทยฺย, เอวํ โส ภิโยฺยโสมตฺตาย จณฺฑตโร อสฺส, เอวเมวายํ ยโกฺข มยิ อิธ นิสิเนฺน จิตฺตํ ปทูเสติ, ยํนูนาหํ พหิ นิกฺขเมยฺย’’นฺติ สยเมว ภวนโต นิกฺขมิตฺวา อโพฺภกาเส นิสีทิฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘เตน โข ปน สมเยน ภควา รตฺตนฺธการติมิสายํ อโพฺภกาเส นิสิโนฺน โหตี’’ติฯ
Ajakalāpakassa samāgamo hi āḷavakasamāgamasadisova ṭhapetvā pañhakaraṇaṃ vissajjanaṃ bhavanato tikkhattuṃ nikkhamanaṃ pavesanañca. Ajakalāpako hi āgacchantoyeva ‘‘etehiyeva taṃ samaṇaṃ palāpessāmī’’ti vātamaṇḍalādike navavasse samuṭṭhāpetvā tehi bhagavato calanamattampi kātuṃ asakkonto nānāvidhappaharaṇahatthe ativiya bhayānakarūpe bhūtagaṇe nimminitvā tehi saddhiṃ bhagavantaṃ upasaṅkamitvā antanteneva caranto sabbarattiṃ nānappakāraṃ vippakāraṃ katvāpi bhagavato kiñci kesaggamattampi nisinnaṭṭhānato calanaṃ kātuṃ nāsakkhi. Kevalaṃ pana ‘‘ayaṃ samaṇo maṃ anāpucchā mayhaṃ bhavanaṃ pavisitvā nisīdatī’’ti kodhavasena pajjali. Athassa bhagavā cittappavattiṃ ñatvā ‘‘seyyathāpi nāma caṇḍassa kukkurassa nāsāya pittaṃ bhindeyya, evaṃ so bhiyyosomattāya caṇḍataro assa, evamevāyaṃ yakkho mayi idha nisinne cittaṃ padūseti, yaṃnūnāhaṃ bahi nikkhameyya’’nti sayameva bhavanato nikkhamitvā abbhokāse nisīdi. Tena vuttaṃ – ‘‘tena kho pana samayena bhagavā rattandhakāratimisāyaṃ abbhokāse nisinno hotī’’ti.
ตตฺถ รตฺตนฺธการติมิสายนฺติ รตฺติยํ อนฺธกรณตมสิ, จกฺขุวิญฺญาณุปฺปตฺติวิรหิเต พหลนฺธกาเรติ อโตฺถฯ จตุรงฺคสมนฺนาคโต กิร ตทา อนฺธกาโร ปวตฺตีติฯ เทโวติ เมโฆ เอกเมกํ ผุสิตกํ อุทกพินฺทุํ ปาเตติฯ อถ ยโกฺข ‘‘อิมินา สเทฺทน ตาเสตฺวา อิมํ สมณํ ปลาเปสฺสามี’’ติ ภควโต สมีปํ คนฺตฺวา ‘‘อกฺกุโล’’ติอาทินา ตํ ภิํสนํ อกาสิฯ เตน วุตฺตํ ‘‘อถ โข อชกลาปโก’’ติอาทิฯ ตตฺถ ภยนฺติ จิตฺตุตฺราสํ, ฉมฺภิตตฺตนฺติ อูรุตฺถมฺภกสรีรสฺส ฉมฺภิตภาวํฯ โลมหํสนฺติ โลมานํ ปหฎฺฐภาวํ, ตีหิปิ ปเทหิ ภยุปฺปตฺติเมว ทเสฺสติฯ อุปสงฺกมีติ กสฺมา ปนายํ เอวมธิปฺปาโย อุปสงฺกมิ, นนุ ปุเพฺพ อตฺตนา กาตพฺพํ วิปฺปการํ อกาสีติ? สจฺจมกาสิ, ตํ ปเนส ‘‘อโนฺตภวเน เขมฎฺฐาเน ถิรภูมิยํ ฐิตสฺส น กิญฺจิ กาตุํ อสกฺขิ, อิทานิ พหิ ฐิตํ เอวํ ภิํสาเปตฺวา ปลาเปตุํ สกฺกา’’ติ มญฺญมาโน อุปสงฺกมิฯ อยญฺหิ ยโกฺข อตฺตโน ภวนํ ‘‘ถิรภูมี’’ติ มญฺญติ, ‘‘ตตฺถ ฐิตตฺตา อยํ สมโณ น ภายตี’’ติ จฯ
Tattha rattandhakāratimisāyanti rattiyaṃ andhakaraṇatamasi, cakkhuviññāṇuppattivirahite bahalandhakāreti attho. Caturaṅgasamannāgato kira tadā andhakāro pavattīti. Devoti megho ekamekaṃ phusitakaṃ udakabinduṃ pāteti. Atha yakkho ‘‘iminā saddena tāsetvā imaṃ samaṇaṃ palāpessāmī’’ti bhagavato samīpaṃ gantvā ‘‘akkulo’’tiādinā taṃ bhiṃsanaṃ akāsi. Tena vuttaṃ ‘‘atha kho ajakalāpako’’tiādi. Tattha bhayanti cittutrāsaṃ, chambhitattanti ūrutthambhakasarīrassa chambhitabhāvaṃ. Lomahaṃsanti lomānaṃ pahaṭṭhabhāvaṃ, tīhipi padehi bhayuppattimeva dasseti. Upasaṅkamīti kasmā panāyaṃ evamadhippāyo upasaṅkami, nanu pubbe attanā kātabbaṃ vippakāraṃ akāsīti? Saccamakāsi, taṃ panesa ‘‘antobhavane khemaṭṭhāne thirabhūmiyaṃ ṭhitassa na kiñci kātuṃ asakkhi, idāni bahi ṭhitaṃ evaṃ bhiṃsāpetvā palāpetuṃ sakkā’’ti maññamāno upasaṅkami. Ayañhi yakkho attano bhavanaṃ ‘‘thirabhūmī’’ti maññati, ‘‘tattha ṭhitattā ayaṃ samaṇo na bhāyatī’’ti ca.
ติกฺขตฺตุํ ‘‘อกฺกุโล ปกฺกุโล’’ติ อกฺกุลปกฺกุลิกํ อกาสีติ ตโย วาเร ‘‘อกฺกุโล ปกฺกุโล’’ติ ภิํสาเปตุกามตาย เอวรูปํ สทฺทํ อกาสิฯ อนุกรณสโทฺท หิ อยํฯ ตทา หิ โส ยโกฺข สิเนรุํ อุกฺขิปโนฺต วิย มหาปถวิํ ปริวเตฺตโนฺต วิย จ มหตา อุสฺสาเหน อสนิสตสทฺทสงฺฆาฎํ วิย เอกสฺมิํ ฐาเน ปุญฺชีกตํ หุตฺวา วินิจฺฉรนฺตํ ทิสาคชานํ หตฺถิคชฺชิตํ, เกสรสีหานํ สีหนินฺนาทํ , ยกฺขานํ หิํการสทฺทํ, ภูตานํ อฎฺฎหาสํ, อสุรานํ อโปฺผฎนโฆสํ , อินฺทสฺส เทวรโญฺญ วชิรนิคฺฆาตนิโคฺฆสํ, อตฺตโน คมฺภีรตาย วิปฺผาริกตาย ภยานกตาย จ อวเสสสทฺทํ อวหสนฺตมิว อภิภวนฺตมิว จ กปฺปวุฎฺฐานมหาวาตมณฺฑลิกาย วินิโคฺฆสํ ปุถุชฺชนานํ หทยํ ผาเลนฺตํ วิย มหนฺตํ ปฎิภยนิโคฺฆสํ อพฺยตฺตกฺขรํ ติกฺขตฺตุํ อตฺตโน ยกฺขคชฺชิตํ คชฺชิ ‘‘เอเตน อิมํ สมณํ ภิํสาเปตฺวา ปลาเปสฺสามี’’ติฯ ยํ ยํ นิจฺฉรติ, เตน เตน ปพฺพตา ปปฎิกํ มุญฺจิํสุ, วนปฺปติเชฎฺฐเก อุปาทาย สเพฺพสุ รุกฺขลตาคุเมฺพสุ ปตฺตผลปุปฺผานิ สีทยิํสุ, ติโยชนสหสฺสวิตฺถโตปิ หิมวนฺตปพฺพตราชา สงฺกมฺปิ สมฺปกมฺปิ สมฺปเวธิ, ภุมฺมเทวตา อาทิํ กตฺวา เยภุเยฺยน เทวตานมฺปิ อหุเทว ภยํ ฉมฺภิตตฺตํ โลมหํโส, ปเคว มนุสฺสานํฯ อเญฺญสญฺจ อปททฺวิปทจตุปฺปทานํ มหาปถวิยา อุนฺทฺริยนกาโล วิย มหตี วิภิํสนกา อโหสิ, สกลสฺมิํ ชมฺพุทีปตเล มหนฺตํ โกลาหลํ อุทปาทิฯ ภควา ปน ตํ สทฺทํ ‘‘กิมี’’ติ อมญฺญมาโน นิจฺจโล นิสีทิ, ‘‘มา กสฺสจิ อิมินา อนฺตราโย โหตู’’ติ อธิฎฺฐาสิฯ
Tikkhattuṃ ‘‘akkulo pakkulo’’ti akkulapakkulikaṃ akāsīti tayo vāre ‘‘akkulo pakkulo’’ti bhiṃsāpetukāmatāya evarūpaṃ saddaṃ akāsi. Anukaraṇasaddo hi ayaṃ. Tadā hi so yakkho sineruṃ ukkhipanto viya mahāpathaviṃ parivattento viya ca mahatā ussāhena asanisatasaddasaṅghāṭaṃ viya ekasmiṃ ṭhāne puñjīkataṃ hutvā viniccharantaṃ disāgajānaṃ hatthigajjitaṃ, kesarasīhānaṃ sīhaninnādaṃ , yakkhānaṃ hiṃkārasaddaṃ, bhūtānaṃ aṭṭahāsaṃ, asurānaṃ apphoṭanaghosaṃ , indassa devarañño vajiranigghātanigghosaṃ, attano gambhīratāya vipphārikatāya bhayānakatāya ca avasesasaddaṃ avahasantamiva abhibhavantamiva ca kappavuṭṭhānamahāvātamaṇḍalikāya vinigghosaṃ puthujjanānaṃ hadayaṃ phālentaṃ viya mahantaṃ paṭibhayanigghosaṃ abyattakkharaṃ tikkhattuṃ attano yakkhagajjitaṃ gajji ‘‘etena imaṃ samaṇaṃ bhiṃsāpetvā palāpessāmī’’ti. Yaṃ yaṃ niccharati, tena tena pabbatā papaṭikaṃ muñciṃsu, vanappatijeṭṭhake upādāya sabbesu rukkhalatāgumbesu pattaphalapupphāni sīdayiṃsu, tiyojanasahassavitthatopi himavantapabbatarājā saṅkampi sampakampi sampavedhi, bhummadevatā ādiṃ katvā yebhuyyena devatānampi ahudeva bhayaṃ chambhitattaṃ lomahaṃso, pageva manussānaṃ. Aññesañca apadadvipadacatuppadānaṃ mahāpathaviyā undriyanakālo viya mahatī vibhiṃsanakā ahosi, sakalasmiṃ jambudīpatale mahantaṃ kolāhalaṃ udapādi. Bhagavā pana taṃ saddaṃ ‘‘kimī’’ti amaññamāno niccalo nisīdi, ‘‘mā kassaci iminā antarāyo hotū’’ti adhiṭṭhāsi.
ยสฺมา ปน โส สโทฺท ‘‘อกฺกุล ปกฺกุล’’ อิติ อิมินา อากาเรน สตฺตานํ โสตปถํ อคมาสิ, ตสฺมา ตสฺส อนุกรณวเสน ‘‘อกฺกุโล ปกฺกุโล’’ติ, ยกฺขสฺส จ ตสฺสํ นิโคฺฆสนิจฺฉารณายํ อกฺกุลปกฺกุลกรณํ อตฺถีติ กตฺวา ‘‘อกฺกุลปกฺกุลิกํ อกาสี’’ติ สงฺคหํ อาโรปยิํสุฯ เกจิ ปน ‘‘อากุลพฺยากุล อิติ ปททฺวยสฺส ปริยายาภิธานวเสน อกฺกุโล พกฺกุโลติ อยํ สโทฺท วุโตฺต’’ติ วทนฺติ ยถา ‘‘เอกํ เอกก’’นฺติฯ ยสฺมา เอกวารํ ชาโต ปฐมุปฺปตฺติวเสเนว นิพฺพตฺตตฺตา อากุโลติ อาทิอโตฺถ อากาโร, ตสฺส จ กการาคมํ กตฺวา รสฺสตฺตํ กตนฺติฯ เทฺว วาเร ปน ชาโต พกฺกุโล, กุลสโทฺท เจตฺถ ชาติปริยาโย โกลํโกโลติอาทีสุ วิยฯ วุตฺตอธิปฺปายานุวิธายี จ สทฺทปฺปโยโคติ ปฐเมน ปเทน ชลาพุชสีหพฺยคฺฆาทโย, ทุติเยน อณฺฑชอาสีวิสกณฺหสปฺปาทโย วุจฺจนฺติ, ตสฺมา สีหาทิโก วิย อาสีวิสาทิโก วิย จ ‘‘อหํ เต ชีวิตหารโก’’ติ อิมํ อตฺถํ ยโกฺข ปททฺวเยน ทเสฺสตีติ อเญฺญฯ อปเร ปน ‘‘อกฺขุโล ภกฺขุโล’’ติ ปาฬิํ วตฺวา ‘‘อเกฺขตุํ เขเปตุํ วินาเสตุํ อุลติ ปวเตฺตตีติ อกฺขุโล, ภกฺขิตุํ ขาทิตุํ อุลตีติ ภกฺขุโลฯ โก ปเนโส? ยกฺขรกฺขสปิสาจสีหพฺยคฺฆาทีสุ อญฺญตโร โย โกจิ มนุสฺสานํ อนตฺถาวโห’’ติ ตสฺส อตฺถํ วทนฺติฯ อิธาปิ ปุเพฺพ วุตฺตนเยเนว อธิปฺปายโยชนา เวทิตพฺพาฯ
Yasmā pana so saddo ‘‘akkula pakkula’’ iti iminā ākārena sattānaṃ sotapathaṃ agamāsi, tasmā tassa anukaraṇavasena ‘‘akkulo pakkulo’’ti, yakkhassa ca tassaṃ nigghosanicchāraṇāyaṃ akkulapakkulakaraṇaṃ atthīti katvā ‘‘akkulapakkulikaṃ akāsī’’ti saṅgahaṃ āropayiṃsu. Keci pana ‘‘ākulabyākula iti padadvayassa pariyāyābhidhānavasena akkulo bakkuloti ayaṃ saddo vutto’’ti vadanti yathā ‘‘ekaṃ ekaka’’nti. Yasmā ekavāraṃ jāto paṭhamuppattivaseneva nibbattattā ākuloti ādiattho ākāro, tassa ca kakārāgamaṃ katvā rassattaṃ katanti. Dve vāre pana jāto bakkulo, kulasaddo cettha jātipariyāyo kolaṃkolotiādīsu viya. Vuttaadhippāyānuvidhāyī ca saddappayogoti paṭhamena padena jalābujasīhabyagghādayo, dutiyena aṇḍajaāsīvisakaṇhasappādayo vuccanti, tasmā sīhādiko viya āsīvisādiko viya ca ‘‘ahaṃ te jīvitahārako’’ti imaṃ atthaṃ yakkho padadvayena dassetīti aññe. Apare pana ‘‘akkhulo bhakkhulo’’ti pāḷiṃ vatvā ‘‘akkhetuṃ khepetuṃ vināsetuṃ ulati pavattetīti akkhulo, bhakkhituṃ khādituṃ ulatīti bhakkhulo. Ko paneso? Yakkharakkhasapisācasīhabyagghādīsu aññataro yo koci manussānaṃ anatthāvaho’’ti tassa atthaṃ vadanti. Idhāpi pubbe vuttanayeneva adhippāyayojanā veditabbā.
เอโส เต, สมณ, ปิสาโจติ ‘‘อโมฺภ, สมณ, ตว ปิสิตาสโน ปิสาโจ อุปฎฺฐิโต’’ติ มหนฺตํ เภรวรูปํ อภินิมฺมินิตฺวา ภควโต ปุรโต ฐตฺวา อตฺตานํ สนฺธาย ยโกฺข วทติฯ
Esote, samaṇa, pisācoti ‘‘ambho, samaṇa, tava pisitāsano pisāco upaṭṭhito’’ti mahantaṃ bheravarūpaṃ abhinimminitvā bhagavato purato ṭhatvā attānaṃ sandhāya yakkho vadati.
เอตมตฺถํ วิทิตฺวาติ เอตํ เตน ยเกฺขน กายวาจาหิ ปวตฺติยมานํ วิปฺปการํฯ เตน จ อตฺตโน อนภิภวนียสฺส เหตุภูตํ โลกธเมฺมสุ นิรุปกฺกิเลสตํ สพฺพาการโต วิทิตฺวาฯ ตายํ เวลายนฺติ ตสฺสํ วิปฺปการกรณเวลายํฯ อิมํ อุทานนฺติ ตํ วิปฺปการํ อคเณตฺวา อสฺส อคณนเหตุภูตํ ธมฺมานุภาวทีปกํ อิมํ อุทานํ อุทาเนสิฯ
Etamatthaṃviditvāti etaṃ tena yakkhena kāyavācāhi pavattiyamānaṃ vippakāraṃ. Tena ca attano anabhibhavanīyassa hetubhūtaṃ lokadhammesu nirupakkilesataṃ sabbākārato viditvā. Tāyaṃ velāyanti tassaṃ vippakārakaraṇavelāyaṃ. Imaṃ udānanti taṃ vippakāraṃ agaṇetvā assa agaṇanahetubhūtaṃ dhammānubhāvadīpakaṃ imaṃ udānaṃ udānesi.
ตตฺถ ยทา สเกสุ ธเมฺมสูติ ยสฺมิํ กาเล สกอตฺตภาวสงฺขาเตสุ ปญฺจสุ อุปาทานกฺขนฺธธเมฺมสุฯ ปารคูติ ปริญฺญาภิสมยปาริปูริวเสน ปารงฺคโต, ตโตเยว เตสํ เหตุภูเต สมุทเย, ตทปฺปวตฺติลกฺขเณ นิโรเธ, นิโรธคามินิยา ปฎิปทาย จ ปหานสจฺฉิกิริยาภาวนาภิสมยปาริปูริวเสน ปารคโตฯ โหติ พฺราหฺมโณติ เอวํ สพฺพโส พาหิตปาปตฺตา พฺราหฺมโณ นาม โหติ, สพฺพโส สกอตฺตภาวาวโพธเนปิ จตุสจฺจาภิสมโย โหติฯ วุตฺตเญฺจตํ – ‘‘อิมสฺมิํเยว พฺยามมเตฺต กเฬวเร สสญฺญิมฺหิ สมนเก โลกญฺจ โลกสมุทยญฺจ ปญฺญเปมี’’ติอาทิ (สํ. นิ. ๑.๑๐๗; อ. นิ. ๔.๔๕)ฯ อถ วา สเกสุ ธเมฺมสูติ อตฺตโน ธเมฺมสุ, อตฺตโน ธมฺมา นาม อตฺถกามสฺส ปุคฺคลสฺส สีลาทิธมฺมาฯ สีลสมาธิปญฺญาวิมุตฺติอาทโย หิ โวทานธมฺมา เอกนฺตหิตสุขสมฺปาทเนน ปุริสสฺส อตฺตโน ธมฺมา นาม, น อนตฺถาวหา สํกิเลสธมฺมา วิย อสกธมฺมาฯ ปารคูติ เตสํ สีลาทีนํ ปาริปูริยา ปารํ ปริยนฺตํ คโตฯ
Tattha yadā sakesu dhammesūti yasmiṃ kāle sakaattabhāvasaṅkhātesu pañcasu upādānakkhandhadhammesu. Pāragūti pariññābhisamayapāripūrivasena pāraṅgato, tatoyeva tesaṃ hetubhūte samudaye, tadappavattilakkhaṇe nirodhe, nirodhagāminiyā paṭipadāya ca pahānasacchikiriyābhāvanābhisamayapāripūrivasena pāragato. Hoti brāhmaṇoti evaṃ sabbaso bāhitapāpattā brāhmaṇo nāma hoti, sabbaso sakaattabhāvāvabodhanepi catusaccābhisamayo hoti. Vuttañcetaṃ – ‘‘imasmiṃyeva byāmamatte kaḷevare sasaññimhi samanake lokañca lokasamudayañca paññapemī’’tiādi (saṃ. ni. 1.107; a. ni. 4.45). Atha vā sakesu dhammesūti attano dhammesu, attano dhammā nāma atthakāmassa puggalassa sīlādidhammā. Sīlasamādhipaññāvimuttiādayo hi vodānadhammā ekantahitasukhasampādanena purisassa attano dhammā nāma, na anatthāvahā saṃkilesadhammā viya asakadhammā. Pāragūti tesaṃ sīlādīnaṃ pāripūriyā pāraṃ pariyantaṃ gato.
ตตฺถ สีลํ ตาว โลกิยโลกุตฺตรวเสน ทุวิธํฯ เตสุ โลกิยํ ปุพฺพภาคสีลํฯ ตํ สเงฺขปโต ปาติโมกฺขสํวราทิวเสน จตุพฺพิธํ, วิตฺถารโต ปน อเนกปฺปเภทํฯ โลกุตฺตรํ มคฺคผลวเสน ทุวิธํ, อตฺถโต สมฺมาวาจาสมฺมากมฺมนฺตสมฺมาอาชีวาฯ ยถา จ สีลํ, ตถา สมาธิปญฺญา จ โลกิยโลกุตฺตรวเสน ทุวิธาฯ ตตฺถ โลกิยสมาธิ สห อุปจาเรน อฎฺฐ สมาปตฺติโย, โลกุตฺตรสมาธิ มคฺคปริยาปโนฺน ฯ ปญฺญาปิ โลกิยา สุตมยา, จินฺตามยา, ภาวนามยา จ สาสวา, โลกุตฺตรา ปน มคฺคสมฺปยุตฺตา ผลสมฺปยุตฺตา จฯ วิมุตฺติ นาม ผลวิมุตฺติ นิพฺพานญฺจ, ตสฺมา สา โลกุตฺตราวฯ วิมุตฺติญาณทสฺสนํ โลกิยเมว, ตํ เอกูนวีสติวิธํ ปจฺจเวกฺขณญาณภาวโตฯ เอวํ เอเตสํ สีลาทิธมฺมานํ อตฺตโน สนฺตาเน อรหตฺตผลาธิคเมน อนวเสสโต นิพฺพตฺตปาริปูริยา ปารํ ปริยนฺตํ คโตติ สเกสุ ธเมฺมสุ ปารคูฯ
Tattha sīlaṃ tāva lokiyalokuttaravasena duvidhaṃ. Tesu lokiyaṃ pubbabhāgasīlaṃ. Taṃ saṅkhepato pātimokkhasaṃvarādivasena catubbidhaṃ, vitthārato pana anekappabhedaṃ. Lokuttaraṃ maggaphalavasena duvidhaṃ, atthato sammāvācāsammākammantasammāājīvā. Yathā ca sīlaṃ, tathā samādhipaññā ca lokiyalokuttaravasena duvidhā. Tattha lokiyasamādhi saha upacārena aṭṭha samāpattiyo, lokuttarasamādhi maggapariyāpanno . Paññāpi lokiyā sutamayā, cintāmayā, bhāvanāmayā ca sāsavā, lokuttarā pana maggasampayuttā phalasampayuttā ca. Vimutti nāma phalavimutti nibbānañca, tasmā sā lokuttarāva. Vimuttiñāṇadassanaṃ lokiyameva, taṃ ekūnavīsatividhaṃ paccavekkhaṇañāṇabhāvato. Evaṃ etesaṃ sīlādidhammānaṃ attano santāne arahattaphalādhigamena anavasesato nibbattapāripūriyā pāraṃ pariyantaṃ gatoti sakesu dhammesu pāragū.
อถ วา โสตาปตฺติผลาธิคเมน สีลสฺมิํ ปารคูฯ โส หิ ‘‘สีเลสุ ปริปูรการี’’ติ วุโตฺต, โสตาปนฺนคฺคหเณเนว เจตฺถ สกทาคามีปิ คหิโต โหติฯ อนาคามิผลาธิคเมน สมาธิสฺมิํ ปารคูฯ โส หิ ‘‘สมาธิสฺมิํ ปริปูรการี’’ติ วุโตฺตฯ อรหตฺตผลาธิคเมน อิตเรสุ ตีสุ ปารคูฯ อรหา หิ ปญฺญาเวปุลฺลปฺปตฺติยา อคฺคภูตาย อกุปฺปาย เจโตวิมุตฺติยา อธิคตตฺตา ปจฺจเวกฺขณญาณสฺส จ ปริโยสานคมนโต ปญฺญาวิมุตฺติวิมุตฺติญาณทสฺสเนสุ ปารคู นาม โหติฯ เอวํ สพฺพถาปิ จตูสุ อริยสเจฺจสุ จตุมคฺควเสน ปริญฺญาทิโสฬสวิธาย กิจฺจนิปฺผตฺติยา ยถาวุเตฺตสุ ตสฺมิํ ตสฺมิํ กาเล สเกสุ ธเมฺมสุ ปารคโตฯ
Atha vā sotāpattiphalādhigamena sīlasmiṃ pāragū. So hi ‘‘sīlesu paripūrakārī’’ti vutto, sotāpannaggahaṇeneva cettha sakadāgāmīpi gahito hoti. Anāgāmiphalādhigamena samādhismiṃ pāragū. So hi ‘‘samādhismiṃ paripūrakārī’’ti vutto. Arahattaphalādhigamena itaresu tīsu pāragū. Arahā hi paññāvepullappattiyā aggabhūtāya akuppāya cetovimuttiyā adhigatattā paccavekkhaṇañāṇassa ca pariyosānagamanato paññāvimuttivimuttiñāṇadassanesu pāragū nāma hoti. Evaṃ sabbathāpi catūsu ariyasaccesu catumaggavasena pariññādisoḷasavidhāya kiccanipphattiyā yathāvuttesu tasmiṃ tasmiṃ kāle sakesu dhammesu pāragato.
โหติ พฺราหฺมโณติ ตทา โส พาหิตปาปธมฺมตาย ปรมตฺถพฺราหฺมโณ โหติฯ อถ เอตํ ปิสาจญฺจ, ปกฺกุลญฺจาติวตฺตตีติ ตโต ยถาวุตฺตปารคมนโต อถ ปจฺฉา, อชกลาปก, เอตํ ตยา ทสฺสิตํ ปิสิตาสนตฺถมาคตํ ปิสาจํ ภยชนนตฺถํ สมุฎฺฐาปิตํ อกฺกุลปกฺกุลิกญฺจ อติวตฺตติ, อติกฺกมติ, อภิภวติ, ตํ น ภายตีติ อโตฺถฯ
Hoti brāhmaṇoti tadā so bāhitapāpadhammatāya paramatthabrāhmaṇo hoti. Atha etaṃ pisācañca, pakkulañcātivattatīti tato yathāvuttapāragamanato atha pacchā, ajakalāpaka, etaṃ tayā dassitaṃ pisitāsanatthamāgataṃ pisācaṃ bhayajananatthaṃ samuṭṭhāpitaṃ akkulapakkulikañca ativattati, atikkamati, abhibhavati, taṃ na bhāyatīti attho.
อยมฺปิ คาถา อรหตฺตเมว อุลฺลปิตฺวา กถิตาฯ อถ อชกลาปโก อตฺตนา กเตน ตถารูเปนปิ ปฎิภยรูเปน วิภิํสเนน อกมฺปนียสฺส ภควโต ตํ ตาทิภาวํ ทิสฺวา ‘‘อโห อจฺฉริยมนุโสฺสวตาย’’นฺติ ปสนฺนมานโส โปถุชฺชนิกาย สทฺธาย อตฺตนิ นิวิฎฺฐภาวํ วิภาเวโนฺต สตฺถุ สมฺมุขา อุปาสกตฺตํ ปเวเทสิฯ
Ayampi gāthā arahattameva ullapitvā kathitā. Atha ajakalāpako attanā katena tathārūpenapi paṭibhayarūpena vibhiṃsanena akampanīyassa bhagavato taṃ tādibhāvaṃ disvā ‘‘aho acchariyamanussovatāya’’nti pasannamānaso pothujjanikāya saddhāya attani niviṭṭhabhāvaṃ vibhāvento satthu sammukhā upāsakattaṃ pavedesi.
สตฺตมสุตฺตวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Sattamasuttavaṇṇanā niṭṭhitā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / อุทานปาฬิ • Udānapāḷi / ๗. อชกลาปกสุตฺตํ • 7. Ajakalāpakasuttaṃ