Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / มิลินฺทปญฺหปาฬิ • Milindapañhapāḷi |
๕. อกมฺมชาทิปโญฺห
5. Akammajādipañho
๕. ‘‘ภเนฺต นาคเสน, ทิสฺสนฺติ โลเก กมฺมนิพฺพตฺตา, ทิสฺสนฺติ เหตุนิพฺพตฺตา, ทิสฺสนฺติ อุตุนิพฺพตฺตา, ยํ โลเก อกมฺมชํ อเหตุชํ อนุตุชํ, ตํ เม กเถหี’’ติฯ ‘‘เทฺวเม, มหาราช, โลกสฺมิํ อกมฺมชา อเหตุชา อนุตุชาฯ กตเม เทฺว? อากาโส, มหาราช, อกมฺมโช อเหตุโช อนุตุโช; นิพฺพานํ, มหาราช, อกมฺมชํ อเหตุชํ อนุตุชํฯ อิเม โข, มหาราช, เทฺว อกมฺมชา อเหตุชา อนุตุชา’’ติฯ
5. ‘‘Bhante nāgasena, dissanti loke kammanibbattā, dissanti hetunibbattā, dissanti utunibbattā, yaṃ loke akammajaṃ ahetujaṃ anutujaṃ, taṃ me kathehī’’ti. ‘‘Dveme, mahārāja, lokasmiṃ akammajā ahetujā anutujā. Katame dve? Ākāso, mahārāja, akammajo ahetujo anutujo; nibbānaṃ, mahārāja, akammajaṃ ahetujaṃ anutujaṃ. Ime kho, mahārāja, dve akammajā ahetujā anutujā’’ti.
‘‘มา, ภเนฺต นาคเสน, ชินวจนํ มเกฺขหิ, มา อชานิตฺวา ปญฺหํ พฺยากโรหี’’ติฯ ‘‘กิํ โข, มหาราช, อหํ วทามิ, ยํ มํ ตฺวํ เอวํ วเทสิ ‘มา, ภเนฺต นาคเสน, ชินวจนํ มเกฺขหิ, มา อชานิตฺวา ปญฺหํ พฺยากโรหี’’’ติ? ‘‘ภเนฺต นาคเสน, ยุตฺตมิทํ ตาว วตฺตุํ ‘อากาโส อกมฺมโช อเหตุโช อนุตุโช’ติฯ อเนกสเตหิ ปน, ภเนฺต นาคเสน, การเณหิ ภควตา สาวกานํ นิพฺพานสฺส สจฺฉิกิริยาย มโคฺค อกฺขาโต, อถ จ ปน ตฺวํ เอวํ วเทสิ ‘อเหตุชํ นิพฺพาน’’’นฺติฯ ‘‘สจฺจํ, มหาราช, ภควตา อเนกสเตหิ การเณหิ สาวกานํ นิพฺพานสฺส สจฺฉิกิริยาย มโคฺค อกฺขาโต, น จ ปน นิพฺพานสฺส อุปฺปาทาย เหตุ อกฺขาโต’’ติฯ
‘‘Mā, bhante nāgasena, jinavacanaṃ makkhehi, mā ajānitvā pañhaṃ byākarohī’’ti. ‘‘Kiṃ kho, mahārāja, ahaṃ vadāmi, yaṃ maṃ tvaṃ evaṃ vadesi ‘mā, bhante nāgasena, jinavacanaṃ makkhehi, mā ajānitvā pañhaṃ byākarohī’’’ti? ‘‘Bhante nāgasena, yuttamidaṃ tāva vattuṃ ‘ākāso akammajo ahetujo anutujo’ti. Anekasatehi pana, bhante nāgasena, kāraṇehi bhagavatā sāvakānaṃ nibbānassa sacchikiriyāya maggo akkhāto, atha ca pana tvaṃ evaṃ vadesi ‘ahetujaṃ nibbāna’’’nti. ‘‘Saccaṃ, mahārāja, bhagavatā anekasatehi kāraṇehi sāvakānaṃ nibbānassa sacchikiriyāya maggo akkhāto, na ca pana nibbānassa uppādāya hetu akkhāto’’ti.
‘‘เอตฺถ มยํ, ภเนฺต นาคเสน, อนฺธการโต อนฺธการตรํ ปวิสาม, วนโต วนตรํ ปวิสาม, คหนโต คหนตรํ 1 ปวิสาม, ยตฺร หิ นาม นิพฺพานสฺส สจฺฉิกิริยาย เหตุ อตฺถิ, ตสฺส ปน ธมฺมสฺส อุปฺปาทาย เหตุ นตฺถิฯ ยทิ, ภเนฺต นาคเสน, นิพฺพานสฺส สจฺฉิกิริยาย เหตุ อตฺถิ, เตน หิ นิพฺพานสฺส อุปฺปาทายปิ เหตุ อิจฺฉิตโพฺพฯ
‘‘Ettha mayaṃ, bhante nāgasena, andhakārato andhakārataraṃ pavisāma, vanato vanataraṃ pavisāma, gahanato gahanataraṃ 2 pavisāma, yatra hi nāma nibbānassa sacchikiriyāya hetu atthi, tassa pana dhammassa uppādāya hetu natthi. Yadi, bhante nāgasena, nibbānassa sacchikiriyāya hetu atthi, tena hi nibbānassa uppādāyapi hetu icchitabbo.
‘‘ยถา ปน, ภเนฺต นาคเสน, ปุตฺตสฺส ปิตา อตฺถิ, เตน การเณน ปิตุโนปิ ปิตา อิจฺฉิตโพฺพฯ ยถา อเนฺตวาสิกสฺส อาจริโย อตฺถิ, เตน การเณน อาจริยสฺสปิ อาจริโย อิจฺฉิตโพฺพ ฯ ยถา องฺกุรสฺส พีชํ อตฺถิ, เตน การเณน พีชสฺสปิ พีชํ อิจฺฉิตพฺพํฯ เอวเมว โข, ภเนฺต นาคเสน, ยทิ นิพฺพานสฺส สจฺฉิกิริยาย เหตุ อตฺถิ, เตน การเณน นิพฺพานสฺส อุปฺปาทายปิ เหตุ อิจฺฉิตโพฺพฯ
‘‘Yathā pana, bhante nāgasena, puttassa pitā atthi, tena kāraṇena pitunopi pitā icchitabbo. Yathā antevāsikassa ācariyo atthi, tena kāraṇena ācariyassapi ācariyo icchitabbo . Yathā aṅkurassa bījaṃ atthi, tena kāraṇena bījassapi bījaṃ icchitabbaṃ. Evameva kho, bhante nāgasena, yadi nibbānassa sacchikiriyāya hetu atthi, tena kāraṇena nibbānassa uppādāyapi hetu icchitabbo.
‘‘ยถา รุกฺขสฺส วา ลตาย วา อเคฺค สติ เตน การเณน มชฺฌมฺปิ อตฺถิ, มูลมฺปิ อตฺถิฯ เอวเมว โข, ภเนฺต นาคเสน, ยทิ นิพฺพานสฺส สจฺฉิกิริยาย เหตุ อตฺถิ, เตน การเณน นิพฺพานสฺส อุปฺปาทายปิ เหตุ อิจฺฉิตโพฺพ’’’ติฯ
‘‘Yathā rukkhassa vā latāya vā agge sati tena kāraṇena majjhampi atthi, mūlampi atthi. Evameva kho, bhante nāgasena, yadi nibbānassa sacchikiriyāya hetu atthi, tena kāraṇena nibbānassa uppādāyapi hetu icchitabbo’’’ti.
‘‘อนุปฺปาทนียํ, มหาราช, นิพฺพานํ, ตสฺมา น นิพฺพานสฺส อุปฺปาทาย เหตุ อกฺขาโต’’ติฯ ‘‘อิงฺฆ, ภเนฺต นาคเสน, การณํ ทเสฺสตฺวา การเณน มํ สญฺญาเปหิ, ยถาหํ ชาเนยฺยํ นิพฺพานสฺส สจฺฉิกิริยาย เหตุ อตฺถิ, นิพฺพานสฺส อุปฺปาทาย เหตุ นตฺถี’’ติฯ
‘‘Anuppādanīyaṃ, mahārāja, nibbānaṃ, tasmā na nibbānassa uppādāya hetu akkhāto’’ti. ‘‘Iṅgha, bhante nāgasena, kāraṇaṃ dassetvā kāraṇena maṃ saññāpehi, yathāhaṃ jāneyyaṃ nibbānassa sacchikiriyāya hetu atthi, nibbānassa uppādāya hetu natthī’’ti.
‘‘เตน หิ, มหาราช, สกฺกจฺจํ โสตํ โอทห, สาธุกํ สุโณหิ, วกฺขามิ ตตฺถ การณํ, สกฺกุเณยฺย, มหาราช, ปุริโส ปากติเกน พเลน อิโต หิมวนฺตํ ปพฺพตราชํ อุปคนฺตุ’’นฺติ? ‘‘อาม, ภเนฺต’’ติฯ ‘‘สกฺกุเณยฺย ปน โส, มหาราช, ปุริโส ปากติเกน พเลน หิมวนฺตํ ปพฺพตราชํ อิธ อาหริตุ’’นฺติ? ‘‘น หิ, ภเนฺต’’ติฯ ‘‘เอวเมว โข, มหาราช, สกฺกา นิพฺพานสฺส สจฺฉิกิริยาย มโคฺค อกฺขาตุํ, น สกฺกา นิพฺพานสฺส อุปฺปาทาย เหตุ ทเสฺสตุํฯ
‘‘Tena hi, mahārāja, sakkaccaṃ sotaṃ odaha, sādhukaṃ suṇohi, vakkhāmi tattha kāraṇaṃ, sakkuṇeyya, mahārāja, puriso pākatikena balena ito himavantaṃ pabbatarājaṃ upagantu’’nti? ‘‘Āma, bhante’’ti. ‘‘Sakkuṇeyya pana so, mahārāja, puriso pākatikena balena himavantaṃ pabbatarājaṃ idha āharitu’’nti? ‘‘Na hi, bhante’’ti. ‘‘Evameva kho, mahārāja, sakkā nibbānassa sacchikiriyāya maggo akkhātuṃ, na sakkā nibbānassa uppādāya hetu dassetuṃ.
‘‘สกฺกุเณยฺย, มหาราช, ปุริโส ปากติเกน พเลน มหาสมุทฺทํ นาวาย อุตฺตริตฺวา ปาริมตีรํ คนฺตุ’’นฺติ? ‘‘อาม, ภเนฺต’’ติ? ‘‘สกฺกุเณยฺย ปน โส, มหาราช , ปุริโส ปากติเกน พเลน มหาสมุทฺทสฺส ปาริมตีรํ อิธ อาหริตุ’’นฺติ? ‘‘น หิ ภเนฺต’’ติฯ ‘‘เอวเมว โข, มหาราช, สกฺกา นิพฺพานสฺส สจฺฉิกิริยาย มโคฺค อกฺขาตุํ, น สกฺกา นิพฺพานสฺส อุปฺปาทาย เหตุ ทเสฺสตุํฯ กิํ การณา? อสงฺขตตฺตา ธมฺมสฺสา’’ติฯ
‘‘Sakkuṇeyya, mahārāja, puriso pākatikena balena mahāsamuddaṃ nāvāya uttaritvā pārimatīraṃ gantu’’nti? ‘‘Āma, bhante’’ti? ‘‘Sakkuṇeyya pana so, mahārāja , puriso pākatikena balena mahāsamuddassa pārimatīraṃ idha āharitu’’nti? ‘‘Na hi bhante’’ti. ‘‘Evameva kho, mahārāja, sakkā nibbānassa sacchikiriyāya maggo akkhātuṃ, na sakkā nibbānassa uppādāya hetu dassetuṃ. Kiṃ kāraṇā? Asaṅkhatattā dhammassā’’ti.
‘‘อสงฺขตํ , ภเนฺต นาคเสน, นิพฺพาน’’นฺติ? ‘‘อาม, มหาราช, อสงฺขตํ นิพฺพานํ น เกหิจิ กตํ, นิพฺพานํ, มหาราช, น วตฺตพฺพํ อุปฺปนฺนนฺติ วา อนุปฺปนฺนนฺติ วา อุปฺปาทนียนฺติ วา อตีตนฺติ วา อนาคตนฺติ วา ปจฺจุปฺปนฺนนฺติ วา จกฺขุวิเญฺญยฺยนฺติ วา โสตวิเญฺญยฺยนฺติ วา ฆานวิเญฺญยฺยนฺติ วา ชิวฺหาวิเญฺญยฺยนฺติ วา กายวิเญฺญยฺยนฺติ วา’’ติฯ ‘‘ยทิ, ภเนฺต นาคเสน, นิพฺพานํ น อุปฺปนฺนํ น อนุปฺปนฺนํ น อุปฺปาทนียํ น อตีตํ น อนาคตํ น ปจฺจุปฺปนฺนํ น จกฺขุวิเญฺญยฺยํ น โสตวิเญฺญยฺยํ น ฆานวิเญฺญยฺยํ น ชิวฺหาวิเญฺญยฺยํ น กายวิเญฺญยฺยํ, เตน หิ, ภเนฺต นาคเสน, ตุเมฺห นตฺถิธมฺมํ นิพฺพานํ อปทิสถ ‘นตฺถิ นิพฺพาน’นฺติฯ ‘‘อตฺถิ, มหาราช, นิพฺพานํ, มโนวิเญฺญยฺยํ นิพฺพานํ, วิสุเทฺธน มานเสน ปณีเตน อุชุเกน อนาวรเณน นิรามิเสน สมฺมาปฎิปโนฺน อริยสาวโก นิพฺพานํ ปสฺสตี’’ติฯ
‘‘Asaṅkhataṃ , bhante nāgasena, nibbāna’’nti? ‘‘Āma, mahārāja, asaṅkhataṃ nibbānaṃ na kehici kataṃ, nibbānaṃ, mahārāja, na vattabbaṃ uppannanti vā anuppannanti vā uppādanīyanti vā atītanti vā anāgatanti vā paccuppannanti vā cakkhuviññeyyanti vā sotaviññeyyanti vā ghānaviññeyyanti vā jivhāviññeyyanti vā kāyaviññeyyanti vā’’ti. ‘‘Yadi, bhante nāgasena, nibbānaṃ na uppannaṃ na anuppannaṃ na uppādanīyaṃ na atītaṃ na anāgataṃ na paccuppannaṃ na cakkhuviññeyyaṃ na sotaviññeyyaṃ na ghānaviññeyyaṃ na jivhāviññeyyaṃ na kāyaviññeyyaṃ, tena hi, bhante nāgasena, tumhe natthidhammaṃ nibbānaṃ apadisatha ‘natthi nibbāna’nti. ‘‘Atthi, mahārāja, nibbānaṃ, manoviññeyyaṃ nibbānaṃ, visuddhena mānasena paṇītena ujukena anāvaraṇena nirāmisena sammāpaṭipanno ariyasāvako nibbānaṃ passatī’’ti.
‘‘กีทิสํ ปน ตํ, ภเนฺต, นิพฺพานํ, ยํ ตํ โอปเมฺมหิ อาทีปนียํ การเณหิ มํ สญฺญาเปหิ, ยถา อตฺถิธมฺมํ โอปเมฺมหิ อาทีปนีย’’นฺติฯ ‘‘อตฺถิ, มหาราช, วาโต นามา’’ติ? ‘‘อาม, ภเนฺต’’ติฯ ‘‘อิงฺฆ, มหาราช, วาตํ ทเสฺสหิ วณฺณโต วา สณฺฐานโต วา อณุํ วา ถูลํ วา ทีฆํ วา รสฺสํ วา’’ติฯ ‘‘น สกฺกา, ภเนฺต นาคเสน, วาโต อุปทสฺสยิตุํ, น โส วาโต หตฺถคฺคหณํ วา นิมฺมทฺทนํ วา อุเปติ, อปิ จ อตฺถิ โส วาโต’’ติฯ ‘‘ยทิ, มหาราช, น สกฺกา วาโต อุปทสฺสยิตุํ, เตน หิ นตฺถิ วาโต’’ติ? ‘‘ชานามหํ, ภเนฺต นาคเสน, วาโต อตฺถีติ เม หทเย อนุปวิฎฺฐํ, น จาหํ สโกฺกมิ วาตํ อุปทสฺสยิตุ’’นฺติฯ ‘‘เอวเมว โข, มหาราช, อตฺถิ นิพฺพานํ, น จ สกฺกา นิพฺพานํ อุปทสฺสยิตุํ วเณฺณน วา สณฺฐาเนน วา’’ติฯ ‘‘สาธุ, ภเนฺต นาคเสน, สูปทสฺสิตํ โอปมฺมํ, สุนิทฺทิฎฺฐํ การณํ, เอวเมตํ ตถา สมฺปฎิจฺฉามิ ‘อตฺถิ นิพฺพาน’’’นฺติฯ
‘‘Kīdisaṃ pana taṃ, bhante, nibbānaṃ, yaṃ taṃ opammehi ādīpanīyaṃ kāraṇehi maṃ saññāpehi, yathā atthidhammaṃ opammehi ādīpanīya’’nti. ‘‘Atthi, mahārāja, vāto nāmā’’ti? ‘‘Āma, bhante’’ti. ‘‘Iṅgha, mahārāja, vātaṃ dassehi vaṇṇato vā saṇṭhānato vā aṇuṃ vā thūlaṃ vā dīghaṃ vā rassaṃ vā’’ti. ‘‘Na sakkā, bhante nāgasena, vāto upadassayituṃ, na so vāto hatthaggahaṇaṃ vā nimmaddanaṃ vā upeti, api ca atthi so vāto’’ti. ‘‘Yadi, mahārāja, na sakkā vāto upadassayituṃ, tena hi natthi vāto’’ti? ‘‘Jānāmahaṃ, bhante nāgasena, vāto atthīti me hadaye anupaviṭṭhaṃ, na cāhaṃ sakkomi vātaṃ upadassayitu’’nti. ‘‘Evameva kho, mahārāja, atthi nibbānaṃ, na ca sakkā nibbānaṃ upadassayituṃ vaṇṇena vā saṇṭhānena vā’’ti. ‘‘Sādhu, bhante nāgasena, sūpadassitaṃ opammaṃ, suniddiṭṭhaṃ kāraṇaṃ, evametaṃ tathā sampaṭicchāmi ‘atthi nibbāna’’’nti.
อกมฺมชาทิปโญฺห ปญฺจโมฯ
Akammajādipañho pañcamo.
Footnotes: