Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / องฺคุตฺตรนิกาย (ฎีกา) • Aṅguttaranikāya (ṭīkā)

    (๘) ๓. อากงฺขวโคฺค

    (8) 3. Ākaṅkhavaggo

    ๑-๔. อากงฺขสุตฺตาทิวณฺณนา

    1-4. Ākaṅkhasuttādivaṇṇanā

    ๗๑-๗๔. ตติยสฺส ปฐเม สีลสฺส อนวเสสสมาทาเนน อขณฺฑาทิภาวาปตฺติยา จ ปริปุณฺณสีลาฯ สมาทานโต ปฎฺฐาย อวิจฺฉินฺทนโต สีลสมงฺคิโนฯ เอตฺตาวตา กิราติ (อ. นิ. ๒.๓๗) กิร-สโทฺท อรุจิสูจนโตฺถฯ เตเนตฺถ อาจริยวาทสฺส อตฺตโน อรุจฺจนภาวํ ทีเปติฯ สมฺปนฺนสีลาติ อนามฎฺฐวิเสสํ สามญฺญโต สีลสเงฺขเปน คหิตํฯ ตญฺจ จตุพฺพิธนฺติ อาจริยเตฺถโร ‘‘จตุปาริสุทฺธิสีลํ อุทฺทิสิตฺวา’’ติ อาหฯ ตตฺถาติ จตุปาริสุทฺธิสีเลฯ เชฎฺฐกสีลนฺติ (สํ. นิ. ๕.๔๑๒) ปธานสีลํฯ อุภยตฺถาติ อุเทฺทสนิเทฺทเสฯ อิธ นิเทฺทเส วิย อุเทฺทเสปิ ปาติโมกฺขสํวโร ภควตา วุโตฺต ‘‘สมฺปนฺนสีลา’’ติ วุตฺตตฺตาติ อธิปฺปาโยฯ สีลคฺคหณญฺหิ ปาฬิยํ ปาติโมกฺขสํวรวเสน อาคตํฯ เตนาห ‘‘ปาติโมกฺขสํวโรเยวา’’ติอาทิฯ ตตฺถ อวธารเณน อิตเรสํ ติณฺณํ เอกเทเสน ปาติโมกฺขโนฺตคธตํ ทีเปติฯ ตถา หิ อโนโลกิโยโลกเน อาชีวเหตุ ฉสิกฺขาปทวีติกฺกเม คิลานปจฺจยสฺส อปจฺจเวกฺขิตปริโภเค จ อาปตฺติ วิหิตาติฯ ตีณีติ อินฺทฺริยสํวรสีลาทีนิฯ สีลนฺติ วุตฺตฎฺฐานํ นาม อตฺถีติ สีลปริยาเยน เตสํ กตฺถจิ สุเตฺต คหิตฎฺฐานํ นาม กิํ อตฺถิ ยถา ปาติโมกฺขสํวโรติ อาจริยสฺส สมฺมุขตฺตา อปฺปฎิกฺขิปโนฺตว อุปจาเรน ปุจฺฉโนฺต วิย วทติฯ เตนาห ‘‘อนนุชานโนฺต’’ติฯ ฉทฺวารรกฺขามตฺตกเมวาติ ตสฺส สลฺลหุกภาวมาห จิตฺตาธิฎฺฐานมเตฺตน ปฎิปากติกภาวาปตฺติโตฯ อิตเรสุปิ เอเสว นโยฯ ปจฺจยุปฺปตฺติมตฺตกนฺติ ผเลน เหตุํ ทเสฺสติฯ อุปฺปาทนเหตุกา หิ ปจฺจยานํ อุปฺปตฺติฯ อิทมตฺถนฺติ อิทํ ปโยชนํ อิมสฺส ปจฺจยสฺส ปริภุญฺชเนติ อธิปฺปาโยฯ นิปฺปริยาเยนาติ อิมินา อินฺทฺริยสํวราทีนิ ตีณิ ปธานสฺส สีลสฺส ปริวารวเสน ปวตฺติยา ปริยายสีลานิ นามาติ ทเสฺสติฯ

    71-74. Tatiyassa paṭhame sīlassa anavasesasamādānena akhaṇḍādibhāvāpattiyā ca paripuṇṇasīlā. Samādānato paṭṭhāya avicchindanato sīlasamaṅgino. Ettāvatā kirāti (a. ni. 2.37) kira-saddo arucisūcanattho. Tenettha ācariyavādassa attano aruccanabhāvaṃ dīpeti. Sampannasīlāti anāmaṭṭhavisesaṃ sāmaññato sīlasaṅkhepena gahitaṃ. Tañca catubbidhanti ācariyatthero ‘‘catupārisuddhisīlaṃ uddisitvā’’ti āha. Tatthāti catupārisuddhisīle. Jeṭṭhakasīlanti (saṃ. ni. 5.412) padhānasīlaṃ. Ubhayatthāti uddesaniddese. Idha niddese viya uddesepi pātimokkhasaṃvaro bhagavatā vutto ‘‘sampannasīlā’’ti vuttattāti adhippāyo. Sīlaggahaṇañhi pāḷiyaṃ pātimokkhasaṃvaravasena āgataṃ. Tenāha ‘‘pātimokkhasaṃvaroyevā’’tiādi. Tattha avadhāraṇena itaresaṃ tiṇṇaṃ ekadesena pātimokkhantogadhataṃ dīpeti. Tathā hi anolokiyolokane ājīvahetu chasikkhāpadavītikkame gilānapaccayassa apaccavekkhitaparibhoge ca āpatti vihitāti. Tīṇīti indriyasaṃvarasīlādīni. Sīlanti vuttaṭṭhānaṃ nāma atthīti sīlapariyāyena tesaṃ katthaci sutte gahitaṭṭhānaṃ nāma kiṃ atthi yathā pātimokkhasaṃvaroti ācariyassa sammukhattā appaṭikkhipantova upacārena pucchanto viya vadati. Tenāha ‘‘ananujānanto’’ti. Chadvārarakkhāmattakamevāti tassa sallahukabhāvamāha cittādhiṭṭhānamattena paṭipākatikabhāvāpattito. Itaresupi eseva nayo. Paccayuppattimattakanti phalena hetuṃ dasseti. Uppādanahetukā hi paccayānaṃ uppatti. Idamatthanti idaṃ payojanaṃ imassa paccayassa paribhuñjaneti adhippāyo. Nippariyāyenāti iminā indriyasaṃvarādīni tīṇi padhānassa sīlassa parivāravasena pavattiyā pariyāyasīlāni nāmāti dasseti.

    อิทานิ ปาติโมกฺขสํวรเสฺสว ปธานภาวํ พฺยติเรกโต อนฺวยโต จ อุปมาย วิภาเวตุํ ‘‘ยสฺสา’’ติอาทิมาหฯ ตตฺถ โสติ ปาติโมกฺขสํวโรฯ เสสานีติ อินฺทฺริยสํวราทีนิฯ ตเสฺส วาติ ‘‘สมฺปนฺนสีลา’’ติ เอตฺถ ยํ สีลํ วุตฺตํ, ตเสฺสวฯ สมฺปนฺนปาติโมกฺขาติ เอตฺถ ปาติโมกฺขคฺคหเณน เววจนํ วตฺวา ตํ วิตฺถาเรตฺวา…เป.… อาทิมาหฯ ยถา อญฺญตฺถาปิ ‘‘อิธ ภิกฺขุ สีลวา โหตี’’ติ ปุคฺคลาธิฎฺฐานาย เทสนาย อุทฺทิฎฺฐํ สีลํ ‘‘ปาติโมกฺขสํวรสํวุโต วิหรตี’’ติ (วิภ. ๕๐๘) นิทฺทิฎฺฐํฯ กสฺมา อารทฺธนฺติ เทสนาย การณปุจฺฉาฯ สีลานิสํสทสฺสนตฺถนฺติ ปโยชนนิเทฺทโสฯ ‘‘สีลานิสํสทสฺสนตฺถ’’นฺติ หิ เอตฺถ พฺยติเรกโต ยํ สีลานิสํสสฺส อทสฺสนํ, ตํ อิมิสฺสา เทสนาย การณนฺติ กสฺมา อารทฺธนฺติ? เวเนยฺยานํ สีลานิสํสสฺส อทสฺสนโตติ อตฺถโต อาปโนฺน เอว โหติฯ เตนาห ‘‘สเจปี’’ติอาทิฯ สีลานิสํสทสฺสนตฺถนฺติ ปน อิมสฺส อตฺถํ วิวริตุํ ‘‘เตส’’นฺติอาทิ วุตฺตํฯ อานิสํโสติ อุทโยฯ ‘‘สีลวา สีลสมฺปโนฺน กายสฺส เภทา ปรํ มรณา สุคติํ สคฺคํ โลกํ อุปปชฺชตี’’ติอาทีสุ (ที. นิ. ๓.๓๑๖; อ. นิ. ๕.๒๑๓; มหาว. ๒๘๕) ปน วิปากผลมฺปิ ‘‘อานิสํโส’’ติ วุตฺตํฯ โก วิเสโสติ โก ผลวิเสโสฯ กา วฑฺฒีติ โก อพฺภุทโยฯ วิชฺชมาโนปิ คุโณ ยาถาวโต วิภาวิโต เอว อภิรุจิํ อุปฺปาเทติ, น อวิภาวิโต, ตสฺมา เอกนฺตโต อานิสํสกิตฺตนํ อิจฺฉิตพฺพเมวาติ ทเสฺสตุํ ‘‘อเปฺปว นามา’’ติอาทิมาหฯ

    Idāni pātimokkhasaṃvarasseva padhānabhāvaṃ byatirekato anvayato ca upamāya vibhāvetuṃ ‘‘yassā’’tiādimāha. Tattha soti pātimokkhasaṃvaro. Sesānīti indriyasaṃvarādīni. Tasse vāti ‘‘sampannasīlā’’ti ettha yaṃ sīlaṃ vuttaṃ, tasseva. Sampannapātimokkhāti ettha pātimokkhaggahaṇena vevacanaṃ vatvā taṃ vitthāretvā…pe… ādimāha. Yathā aññatthāpi ‘‘idha bhikkhu sīlavā hotī’’ti puggalādhiṭṭhānāya desanāya uddiṭṭhaṃ sīlaṃ ‘‘pātimokkhasaṃvarasaṃvuto viharatī’’ti (vibha. 508) niddiṭṭhaṃ. Kasmā āraddhanti desanāya kāraṇapucchā. Sīlānisaṃsadassanatthanti payojananiddeso. ‘‘Sīlānisaṃsadassanattha’’nti hi ettha byatirekato yaṃ sīlānisaṃsassa adassanaṃ, taṃ imissā desanāya kāraṇanti kasmā āraddhanti? Veneyyānaṃ sīlānisaṃsassa adassanatoti atthato āpanno eva hoti. Tenāha ‘‘sacepī’’tiādi. Sīlānisaṃsadassanatthanti pana imassa atthaṃ vivarituṃ ‘‘tesa’’ntiādi vuttaṃ. Ānisaṃsoti udayo. ‘‘Sīlavā sīlasampanno kāyassa bhedā paraṃ maraṇā sugatiṃ saggaṃ lokaṃ upapajjatī’’tiādīsu (dī. ni. 3.316; a. ni. 5.213; mahāva. 285) pana vipākaphalampi ‘‘ānisaṃso’’ti vuttaṃ. Ko visesoti ko phalaviseso. Kā vaḍḍhīti ko abbhudayo. Vijjamānopi guṇo yāthāvato vibhāvito eva abhiruciṃ uppādeti, na avibhāvito, tasmā ekantato ānisaṃsakittanaṃ icchitabbamevāti dassetuṃ ‘‘appeva nāmā’’tiādimāha.

    ปิโยติ ปิยายิตโพฺพฯ ปิยสฺส นาม ทสฺสนํ เอกนฺตโต อภินนฺทิตพฺพํ โหตีติ อาห ‘‘ปิยจกฺขูหิ สมฺปสฺสิตโพฺพ’’ติฯ ปีติสมุฎฺฐานปฺปสนฺนโสมฺมรูปปริคฺคหญฺหิ จกฺขุ ‘‘ปิยจกฺขู’’ติ วุจฺจติฯ เตสนฺติ สพฺรหฺมจารีนํฯ มนวฑฺฒนโกติ ปีติมนสฺส ปริพฺรูหนโต อุปรูปริ ปีติจิตฺตเสฺสว อุปฺปาทนโกฯ ครุฎฺฐานิโยติ ครุกรณสฺส ฐานภูโตฯ ชานํ ชานาตีติ ญาเณน ชานิตพฺพํ ชานาติฯ ยถา วา อเญฺญ อชานนฺตาปิ ชานนฺตา วิย ปวตฺตนฺติ, น เอวมยํ, อยํ ปน ชานโนฺต เอว ชานาติฯ ปสฺสํ ปสฺสตีติ ทสฺสนภูเตน ปญฺญาจกฺขุนา ปสฺสิตพฺพํ ปสฺสติ, ปสฺสโนฺต เอว วา ปสฺสติฯ เอวํ สมฺภาวนีโยติ เอวํ วิญฺญุตาย ปณฺฑิตภาเวน สมฺภาเวตโพฺพฯ สีเลเสฺววสฺส ปริปูรการีติ สีเลสุ ปริปูรการี เอว ภเวยฺยาติฯ เอวํ อุตฺตรปทาวธารณํ ทฎฺฐพฺพํฯ เอวญฺหิ อิมินา ปเทน อุปริสิกฺขาทฺวยํ อนิวตฺติตเมว โหติฯ ยถา ปน สีเลสุ ปริปูรการี นาม โหติ, ตํ ผเลน ทเสฺสตุํ ‘‘อชฺฌตฺต’’นฺติอาทิ วุตฺตํฯ วิปสฺสนาธิฎฺฐานสมาธิสํวตฺตนิกตาย หิ อิธ สีลสฺส ปาริปูรี, น เกวลํ อขณฺฑาทิภาวมตฺตํฯ วุตฺตเญฺหตํ ‘‘ยานิ โข ปน ตานิ อขณฺฑานิ…เป.… สมาธิสํวตฺตนิกานี’’ติฯ เอวญฺจ กตฺวา อุปริสิกฺขาทฺวยํ สีลสฺส สมฺภารภาเวน คหิตนฺติ สีลเสฺสเวตฺถ ปธานคฺคหณํ สิทฺธํ โหติฯ สีลานุรกฺขกา หิ จิเตฺตกคฺคตาสงฺขารปริคฺคหาฯ อนูเนนาติ อขณฺฑาทิภาเวน, กสฺสจิ วา อหาปเนน อุปปเนฺนนฯ อากาเรนาติ กรเณน สมฺปาทเนนฯ

    Piyoti piyāyitabbo. Piyassa nāma dassanaṃ ekantato abhinanditabbaṃ hotīti āha ‘‘piyacakkhūhi sampassitabbo’’ti. Pītisamuṭṭhānappasannasommarūpapariggahañhi cakkhu ‘‘piyacakkhū’’ti vuccati. Tesanti sabrahmacārīnaṃ. Manavaḍḍhanakoti pītimanassa paribrūhanato uparūpari pīticittasseva uppādanako. Garuṭṭhāniyoti garukaraṇassa ṭhānabhūto. Jānaṃ jānātīti ñāṇena jānitabbaṃ jānāti. Yathā vā aññe ajānantāpi jānantā viya pavattanti, na evamayaṃ, ayaṃ pana jānanto eva jānāti. Passaṃ passatīti dassanabhūtena paññācakkhunā passitabbaṃ passati, passanto eva vā passati. Evaṃ sambhāvanīyoti evaṃ viññutāya paṇḍitabhāvena sambhāvetabbo. Sīlesvevassa paripūrakārīti sīlesu paripūrakārī eva bhaveyyāti. Evaṃ uttarapadāvadhāraṇaṃ daṭṭhabbaṃ. Evañhi iminā padena uparisikkhādvayaṃ anivattitameva hoti. Yathā pana sīlesu paripūrakārī nāma hoti, taṃ phalena dassetuṃ ‘‘ajjhatta’’ntiādi vuttaṃ. Vipassanādhiṭṭhānasamādhisaṃvattanikatāya hi idha sīlassa pāripūrī, na kevalaṃ akhaṇḍādibhāvamattaṃ. Vuttañhetaṃ ‘‘yāni kho pana tāni akhaṇḍāni…pe… samādhisaṃvattanikānī’’ti. Evañca katvā uparisikkhādvayaṃ sīlassa sambhārabhāvena gahitanti sīlassevettha padhānaggahaṇaṃ siddhaṃ hoti. Sīlānurakkhakā hi cittekaggatāsaṅkhārapariggahā. Anūnenāti akhaṇḍādibhāvena, kassaci vā ahāpanena upapannena. Ākārenāti karaṇena sampādanena.

    อชฺฌตฺตนฺติ วา อตฺตโนติ วา เอกํ เอกตฺถํ, พฺยญฺชนเมว นานํฯ ภุมฺมเตฺถ เจตํ, ‘‘สมถ’’นฺติ อุปโยควจนํ ‘‘อนู’’ติ อิมินา อุปสเคฺคน โยเค สิทฺธนฺติ อาห ‘‘อตฺตโน จิตฺตสมเถ ยุโตฺต’’ติฯ ตตฺถ จิตฺตสมเถติ จิตฺตสฺส สมาธาเนฯ ยุโตฺตติ อวิยุโตฺต ปสุโตฯ โย สเพฺพน สพฺพํ ฌานภาวนาย อนนุยุโตฺต, โส ตํ พหิ นีหรติ นามฯ โย อารภิตฺวา อนฺตรา สโงฺกจํ อาปชฺชติ, โส ตํ วินาเสติ นามฯ โย ปน อีทิโส อหุตฺวา ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหรติ, โส อนิรากตชฺฌาโนติ ทเสฺสโนฺต ‘‘พหิ อนีหฎชฺฌาโน’’ติอาทิมาหฯ นีหรณวินาสตฺถญฺหิ อิทํ นิรากรณํ นามฯ ‘‘ถมฺภํ นิรํกตฺวา นิวาตวุตฺตี’’ติอาทีสุ (สุ. นิ. ๓๒๘) จสฺส ปโยโค ทฎฺฐโพฺพฯ

    Ajjhattanti vā attanoti vā ekaṃ ekatthaṃ, byañjanameva nānaṃ. Bhummatthe cetaṃ, ‘‘samatha’’nti upayogavacanaṃ ‘‘anū’’ti iminā upasaggena yoge siddhanti āha ‘‘attano cittasamathe yutto’’ti. Tattha cittasamatheti cittassa samādhāne. Yuttoti aviyutto pasuto. Yo sabbena sabbaṃ jhānabhāvanāya ananuyutto, so taṃ bahi nīharati nāma. Yo ārabhitvā antarā saṅkocaṃ āpajjati, so taṃ vināseti nāma. Yo pana īdiso ahutvā jhānaṃ upasampajja viharati, so anirākatajjhānoti dassento ‘‘bahi anīhaṭajjhāno’’tiādimāha. Nīharaṇavināsatthañhi idaṃ nirākaraṇaṃ nāma. ‘‘Thambhaṃ niraṃkatvā nivātavuttī’’tiādīsu (su. ni. 328) cassa payogo daṭṭhabbo.

    สตฺตวิธาย อนุปสฺสนายาติ เอตฺถ อนิจฺจานุปสฺสนา, ทุกฺขานุปสฺสนา, อนตฺตานุปสฺสนา, นิพฺพิทานุปสฺสนา, วิราคานุปสฺสนา, นิโรธานุปสฺสนา, ปฎินิสฺสคฺคานุปสฺสนาติ อิมา สตฺตวิธา อนุปสฺสนาฯ สุญฺญาคารคโต ภิกฺขุ ตตฺถ ลทฺธกายวิเวกตาย สมถวิปสฺสนาวเสน จิตฺตวิเวกํ ปริพฺรูเหโนฺต ยถานุสิฎฺฐปฎิปตฺติยา โลกํ สาสนญฺจ อตฺตโน วิเสสาธิคมฎฺฐานภูตํ สุญฺญาคารญฺจ อุปโสภยมาโน คุณวิเสสาธิฎฺฐานภาวาปาทเนน วิญฺญูนํ อตฺถโต ตํ พฺรูเหโนฺต นาม โหตีติ วุตฺตํ ‘‘พฺรูเหตา สุญฺญาคาราน’’นฺติฯ เตนาห ‘‘เอตฺถ จา’’ติอาทิฯ เอกภูมกาทิปาสาเท กุรุมาโนปิ ปน เนว สุญฺญาคารานํ พฺรูเหตาติ ทฎฺฐโพฺพฯ สุญฺญาคารคฺคหเณน เจตฺถ อรญฺญรุกฺขมูลาทิ สพฺพํ ปธานานุโยคกฺขมํ เสนาสนํ คหิตนฺติ ทฎฺฐพฺพํฯ

    Sattavidhāya anupassanāyāti ettha aniccānupassanā, dukkhānupassanā, anattānupassanā, nibbidānupassanā, virāgānupassanā, nirodhānupassanā, paṭinissaggānupassanāti imā sattavidhā anupassanā. Suññāgāragato bhikkhu tattha laddhakāyavivekatāya samathavipassanāvasena cittavivekaṃ paribrūhento yathānusiṭṭhapaṭipattiyā lokaṃ sāsanañca attano visesādhigamaṭṭhānabhūtaṃ suññāgārañca upasobhayamāno guṇavisesādhiṭṭhānabhāvāpādanena viññūnaṃ atthato taṃ brūhento nāma hotīti vuttaṃ ‘‘brūhetā suññāgārāna’’nti. Tenāha ‘‘ettha cā’’tiādi. Ekabhūmakādipāsāde kurumānopi pana neva suññāgārānaṃ brūhetāti daṭṭhabbo. Suññāgāraggahaṇena cettha araññarukkhamūlādi sabbaṃ padhānānuyogakkhamaṃ senāsanaṃ gahitanti daṭṭhabbaṃ.

    เอตฺตาวตา ยถา ตณฺหาวิจริตเทสนา ปฐมํ ตณฺหาวเสน อารทฺธาปิ ตณฺหาปทฎฺฐานตฺตา มานทิฎฺฐีนํ มานทิฎฺฐิโย โอสริตฺวา กเมน ปปญฺจตฺตยเทสนา ชาตา, เอวมยํ เทสนา ปฐมํ อธิสีลสิกฺขาวเสน อารทฺธาปิ สีลปทฎฺฐานตฺตา สมถวิปสฺสนานํ สมถวิปสฺสนาโย โอสริตฺวา กเมน สิกฺขาตฺตยเทสนา ชาตาติ เวทิตพฺพาฯ เอตฺถ หิ ‘‘สีเลเสฺววสฺส ปริปูรการี’’ติ เอตฺตาวตา อธิสีลสิกฺขา วุตฺตา, ‘‘อชฺฌตฺตํ เจโตสมถมนุยุโตฺต อนิรากตชฺฌาโน’’ติ เอตฺตาวตา อธิจิตฺตสิกฺขา, ‘‘วิปสฺสนาย สมนฺนาคโต’’ติ เอตฺตาวตา อธิปญฺญาสิกฺขาฯ ‘‘พฺรูเหตา สุญฺญาคาราน’’นฺติ อิมินา ปน สมถวเสน สุญฺญาคารวฑฺฒเน อธิจิตฺตสิกฺขา, วิปสฺสนาวเสน อธิปญฺญาสิกฺขาติ เอวํ เทฺวปิ สิกฺขา สงฺคเหตฺวา วุตฺตาฯ เอตฺถ จ ‘‘อชฺฌตฺตํ เจโตสมถมนุยุโตฺต อนิรากตชฺฌาโน’’ติ อิเมหิ ปเทหิ สีลานุรกฺขิกา เอว จิเตฺตกคฺคตา กถิตา, ‘‘วิปสฺสนายา’’ติ อิมินา ปเทน สีลานุรกฺขิโก สงฺขารปริคฺคโหฯ

    Ettāvatā yathā taṇhāvicaritadesanā paṭhamaṃ taṇhāvasena āraddhāpi taṇhāpadaṭṭhānattā mānadiṭṭhīnaṃ mānadiṭṭhiyo osaritvā kamena papañcattayadesanā jātā, evamayaṃ desanā paṭhamaṃ adhisīlasikkhāvasena āraddhāpi sīlapadaṭṭhānattā samathavipassanānaṃ samathavipassanāyo osaritvā kamena sikkhāttayadesanā jātāti veditabbā. Ettha hi ‘‘sīlesvevassa paripūrakārī’’ti ettāvatā adhisīlasikkhā vuttā, ‘‘ajjhattaṃ cetosamathamanuyutto anirākatajjhāno’’ti ettāvatā adhicittasikkhā, ‘‘vipassanāya samannāgato’’ti ettāvatā adhipaññāsikkhā. ‘‘Brūhetā suññāgārāna’’nti iminā pana samathavasena suññāgāravaḍḍhane adhicittasikkhā, vipassanāvasena adhipaññāsikkhāti evaṃ dvepi sikkhā saṅgahetvā vuttā. Ettha ca ‘‘ajjhattaṃ cetosamathamanuyutto anirākatajjhāno’’ti imehi padehi sīlānurakkhikā eva cittekaggatā kathitā, ‘‘vipassanāyā’’ti iminā padena sīlānurakkhiko saṅkhārapariggaho.

    กถํ จิเตฺตกคฺคตา สีลมนุรกฺขติ? ยสฺส หิ จิเตฺตกคฺคตา นตฺถิ, โส พฺยาธิมฺหิ อุปฺปเนฺน วิหญฺญติ, โส พฺยาธิวิหโต วิกฺขิตฺตจิโตฺต สีลํ วินาเสตฺวาปิ พฺยาธิวูปสมํ กตฺตา โหติฯ ยสฺส ปน จิเตฺตกคฺคตา อตฺถิ, โส ตํ พฺยาธิทุกฺขํ วิกฺขเมฺภตฺวา สมาปตฺติํ สมาปชฺชติ, สมาปนฺนกฺขเณ ทุกฺขํ ทูรคตํ โหติ, พลวตรํ สุขมุปฺปชฺชติฯ เอวํ จิเตฺตกคฺคตา สีลมนุรกฺขติฯ กถํ สงฺขารปริคฺคโห สีลมนุรกฺขติ? ยสฺส หิ สงฺขารปริคฺคโห นตฺถิ, ตสฺส ‘‘มม รูปํ มม วิญฺญาณ’’นฺติ อตฺตภาเว พลวมมตฺตํ โหติ, โส ตถารูเปสุ ทุพฺภิกฺขพฺยาธิภยาทีสุ สมฺปเตฺตสุ สีลํ นาเสตฺวาปิ อตฺตภาวํ โปเสตา โหติฯ ยสฺส ปน สงฺขารปริคฺคโห อตฺถิ, ตสฺส อตฺตภาเว พลวมมตฺตํ วา สิเนโห วา น โหติ, โส ตถารูเปสุ ทุพฺภิกฺขพฺยาธิภยาทีสุ สมฺปเตฺตสุ สเจปิสฺส อนฺตานิ พหิ นิกฺขมนฺติ, สเจปิ อุสฺสุสฺสติ วิสุสฺสติ, ขณฺฑาขณฺฑิโก วา โหติ สตธาปิ สหสฺสธาปิ, เนว สีลํ วินาเสตฺวา อตฺตภาวํ โปเสตา โหติฯ เอวํ สงฺขารปริคฺคโห สีลํ อนุรกฺขติฯ

    Kathaṃ cittekaggatā sīlamanurakkhati? Yassa hi cittekaggatā natthi, so byādhimhi uppanne vihaññati, so byādhivihato vikkhittacitto sīlaṃ vināsetvāpi byādhivūpasamaṃ kattā hoti. Yassa pana cittekaggatā atthi, so taṃ byādhidukkhaṃ vikkhambhetvā samāpattiṃ samāpajjati, samāpannakkhaṇe dukkhaṃ dūragataṃ hoti, balavataraṃ sukhamuppajjati. Evaṃ cittekaggatā sīlamanurakkhati. Kathaṃ saṅkhārapariggaho sīlamanurakkhati? Yassa hi saṅkhārapariggaho natthi, tassa ‘‘mama rūpaṃ mama viññāṇa’’nti attabhāve balavamamattaṃ hoti, so tathārūpesu dubbhikkhabyādhibhayādīsu sampattesu sīlaṃ nāsetvāpi attabhāvaṃ posetā hoti. Yassa pana saṅkhārapariggaho atthi, tassa attabhāve balavamamattaṃ vā sineho vā na hoti, so tathārūpesu dubbhikkhabyādhibhayādīsu sampattesu sacepissa antāni bahi nikkhamanti, sacepi ussussati visussati, khaṇḍākhaṇḍiko vā hoti satadhāpi sahassadhāpi, neva sīlaṃ vināsetvā attabhāvaṃ posetā hoti. Evaṃ saṅkhārapariggaho sīlaṃ anurakkhati.

    ‘‘พฺรูเหตา สุญฺญาคาราน’’นฺติ อิมินา ปน ตเสฺสว อุภยสฺส พฺรูหนา วฑฺฒนา สาตจฺจกิริยา ทสฺสิตาฯ เอวํ ภควา ยสฺมา ‘‘สพฺรหฺมจารีนํ ปิโย จสฺสํ…เป.… ภาวนีโย จา’’ติ อิเม จตฺตาโร ธเมฺม อากงฺขเนฺตน นตฺถญฺญํ กิญฺจิ กาตพฺพํ, อญฺญทตฺถุ สีลาทิคุณสมนฺนาคเตเนว ภวิตพฺพํฯ อีทิโส หิ สพฺรหฺมจารีนํ ปิโย โหติ มนาโป ครุ ภาวนีโยฯ วุตฺตมฺปิ เหตํ –

    ‘‘Brūhetā suññāgārāna’’nti iminā pana tasseva ubhayassa brūhanā vaḍḍhanā sātaccakiriyā dassitā. Evaṃ bhagavā yasmā ‘‘sabrahmacārīnaṃ piyo cassaṃ…pe… bhāvanīyo cā’’ti ime cattāro dhamme ākaṅkhantena natthaññaṃ kiñci kātabbaṃ, aññadatthu sīlādiguṇasamannāgateneva bhavitabbaṃ. Īdiso hi sabrahmacārīnaṃ piyo hoti manāpo garu bhāvanīyo. Vuttampi hetaṃ –

    ‘‘สีลทสฺสนสมฺปนฺนํ , ธมฺมฎฺฐํ สจฺจเวทินํ;

    ‘‘Sīladassanasampannaṃ , dhammaṭṭhaṃ saccavedinaṃ;

    อตฺตโน กมฺม กุพฺพานํ, ตํ ชโน กุรุเต ปิย’’นฺติฯ (ธ. ป. ๒๑๗);

    Attano kamma kubbānaṃ, taṃ jano kurute piya’’nti. (dha. pa. 217);

    ตสฺมา ‘‘อากเงฺขยฺย เจ, ภิกฺขเว, ภิกฺขุ สพฺรหฺมจารีนํ ปิโย จสฺสํ…เป.… สีเลเสฺววสฺส ปริปูรการี…เป.… สุญฺญาคาราน’’นฺติ วตฺวา อิทานิ ยสฺมา ปจฺจยลาภาทิํ ปตฺถยเนฺตนปิ อิทเมว กรณียํ, น อญฺญํ กิญฺจิ, ตสฺมา ‘‘อากเงฺขยฺย เจ, ภิกฺขเว, ภิกฺขุ ลาภี อสฺส’’นฺติอาทิมาหฯ ลาภี อสฺสนฺติ ลาภาสาย สํวรสีลปริปูรณํ ปาฬิยํ อาคตํฯ กิมีทิสํ ภควา อนุชานาตีติ? น ภควา สภาเวน อีทิสํ อนุชานาติ, มหาการุณิกตาย ปน ปุคฺคลชฺฌาสเยน เอวํ วุตฺตนฺติ ทเสฺสโนฺต ‘‘น ภควา’’ติอาทิมาหฯ ตตฺถ ฆาเสสนํ ฉินฺนกโถ, น วาจํ ปยุตฺตํ ภเณติ ฉินฺนกโถ มูโค วิย หุตฺวา โอภาสปริกถานิมิตฺตวิญฺญตฺติปยุตฺตํ ฆาเสสนํ วาจํ น ภเณ, น กเถยฺยาติ อโตฺถฯ ปุคฺคลชฺฌาสยวเสนาติ สเงฺขปโต วุตฺตมตฺถํ วิวรโนฺต ‘‘เยสํ หี’’ติอาทิมาหฯ รโส สภาวภูโต อานิสํโส รสานิสํโส

    Tasmā ‘‘ākaṅkheyya ce, bhikkhave, bhikkhu sabrahmacārīnaṃ piyo cassaṃ…pe… sīlesvevassa paripūrakārī…pe… suññāgārāna’’nti vatvā idāni yasmā paccayalābhādiṃ patthayantenapi idameva karaṇīyaṃ, na aññaṃ kiñci, tasmā ‘‘ākaṅkheyya ce, bhikkhave, bhikkhu lābhī assa’’ntiādimāha. Lābhī assanti lābhāsāya saṃvarasīlaparipūraṇaṃ pāḷiyaṃ āgataṃ. Kimīdisaṃ bhagavā anujānātīti? Na bhagavā sabhāvena īdisaṃ anujānāti, mahākāruṇikatāya pana puggalajjhāsayena evaṃ vuttanti dassento ‘‘na bhagavā’’tiādimāha. Tattha ghāsesanaṃ chinnakatho, na vācaṃ payuttaṃ bhaṇeti chinnakatho mūgo viya hutvā obhāsaparikathānimittaviññattipayuttaṃ ghāsesanaṃ vācaṃ na bhaṇe, na katheyyāti attho. Puggalajjhāsayavasenāti saṅkhepato vuttamatthaṃ vivaranto ‘‘yesaṃ hī’’tiādimāha. Raso sabhāvabhūto ānisaṃso rasānisaṃso.

    ปจฺจยทานการาติ จีวราทิปจฺจยทานวเสน ปวตฺตการาฯ มหปฺผลา มหานิสํสาติ อุภยเมตํ อตฺถโต เอกํ, พฺยญฺชนเมว นานํฯ ‘‘ปญฺจิเม, คหปตโย, อานิสํสา’’ติอาทีสุ (มหาว. ๒๘๕) หิ อานิสํสสโทฺท ผลปริยาโยปิ โหติฯ มหนฺตํ วา โลกิยสุขํ ผลนฺติ ปสวนฺตีติ มหปฺผลา, มหโต โลกุตฺตรสุขสฺส ปจฺจยา โหนฺตีติ มหานิสํสาฯ เตนาห ‘‘โลกิยสุเขน ผลภูเตนา’’ติอาทิฯ

    Paccayadānakārāti cīvarādipaccayadānavasena pavattakārā. Mahapphalā mahānisaṃsāti ubhayametaṃ atthato ekaṃ, byañjanameva nānaṃ. ‘‘Pañcime, gahapatayo, ānisaṃsā’’tiādīsu (mahāva. 285) hi ānisaṃsasaddo phalapariyāyopi hoti. Mahantaṃ vā lokiyasukhaṃ phalanti pasavantīti mahapphalā, mahato lokuttarasukhassa paccayā hontīti mahānisaṃsā. Tenāha ‘‘lokiyasukhena phalabhūtenā’’tiādi.

    เปจฺจภวํ คตาติ เปตูปปตฺติวเสน นิพฺพตฺติํ อุปคตาฯ เต ปน ยสฺมา อิธ กตกาลกิริยา กาเลน กตชีวิตุปเจฺฉทา โหนฺติ, ตสฺมา วุตฺตํ ‘‘กาลกตา’’ติฯ สสฺสุสสุรา จ ตปฺปกฺขิกา จ สสฺสุสสุรปกฺขิกาฯ เต ญาติโยนิสมฺพเนฺธน อาวาหวิวาหสมฺพนฺธวเสน สมฺพทฺธา ญาตีฯ สาโลหิตาติ โยนิสมฺพนฺธวเสนฯ เอกโลหิตพทฺธาติ เอเกน สมาเนน โลหิตสมฺพเนฺธน สมฺพทฺธาฯ ปสนฺนจิโตฺตติ ปสนฺนจิตฺตโกฯ กาลกโต ปิตา วา มาตา วา เปตโยนิยํ อุปฺปโนฺนติ อธิการโต วิญฺญายตีติ วุตฺตํฯ มหานิสํสเมว โหตีติ ตสฺส ตถาสีลสมฺปนฺนตฺตาติ อธิปฺปาโยฯ

    Peccabhavaṃ gatāti petūpapattivasena nibbattiṃ upagatā. Te pana yasmā idha katakālakiriyā kālena katajīvitupacchedā honti, tasmā vuttaṃ ‘‘kālakatā’’ti. Sassusasurā ca tappakkhikā ca sassusasurapakkhikā. Te ñātiyonisambandhena āvāhavivāhasambandhavasena sambaddhā ñātī. Sālohitāti yonisambandhavasena. Ekalohitabaddhāti ekena samānena lohitasambandhena sambaddhā. Pasannacittoti pasannacittako. Kālakato pitā vā mātā vā petayoniyaṃ uppannoti adhikārato viññāyatīti vuttaṃ. Mahānisaṃsameva hotīti tassa tathāsīlasampannattāti adhippāyo.

    อโชฺฌตฺถริตาติ มทฺทิตาฯ น จ มํ อรติ สเหยฺยาติ มํ จ อรติ น อภิภเวยฺย น มเทฺทยฺย น อโชฺฌตฺถเรยฺยฯ อุปฺปนฺนนฺติ ชาตํ นิพฺพตฺตํฯ สีลาทิคุณยุโตฺต หิ อรติญฺจ รติญฺจ สหติ อโชฺฌตฺถรติ, มทฺทิตฺวา ติฎฺฐติ, ตสฺมา อีทิสมตฺตานํ อิจฺฉเนฺตนปิ สีลาทิคุณยุเตฺตเนว ภวิตพฺพนฺติ ทเสฺสติฯ จิตฺตุตฺราโส ภายตีติ ภยํ, อารมฺมณํ ภายติ เอตสฺมาติ ภยํฯ ตํ ทุวิธมฺปิ ภยํ เภรวญฺจ สหติ อภิภวตีติ ภยเภรวสโหฯ สีลาทิคุณยุโตฺต หิ ภยเภรวํ สหติ อโชฺฌตฺถรติ, มทฺทิตฺวา ติฎฺฐติ อริยโกฎิยวาสี มหาทตฺตเตฺถโร วิยฯ

    Ajjhottharitāti madditā. Na ca maṃ arati saheyyāti maṃ ca arati na abhibhaveyya na maddeyya na ajjhotthareyya. Uppannanti jātaṃ nibbattaṃ. Sīlādiguṇayutto hi aratiñca ratiñca sahati ajjhottharati, madditvā tiṭṭhati, tasmā īdisamattānaṃ icchantenapi sīlādiguṇayutteneva bhavitabbanti dasseti. Cittutrāso bhāyatīti bhayaṃ, ārammaṇaṃ bhāyati etasmāti bhayaṃ. Taṃ duvidhampi bhayaṃ bheravañca sahati abhibhavatīti bhayabheravasaho. Sīlādiguṇayutto hi bhayabheravaṃ sahati ajjhottharati, madditvā tiṭṭhati ariyakoṭiyavāsī mahādattatthero viya.

    เถโร กิร มคฺคํ ปฎิปโนฺน อญฺญตรํ ปาสาทิกํ อรญฺญํ ทิสฺวา ‘‘อิเธวชฺช สมณธมฺมํ กตฺวา คมิสฺสามี’’ติ มคฺคา โอกฺกมฺม อญฺญตรสฺมิํ รุกฺขมูเล สงฺฆาฎิํ ปญฺญเปตฺวา ปลฺลงฺกํ อาภุชิตฺวา นิสีทิฯ รุกฺขเทวตาย ทารกา เถรสฺส สีลเตเชน สกภาเวน สณฺฐาตุํ อสโกฺกนฺตา วิสฺสรมกํสุฯ เทวตาปิ สกลรุกฺขํ จาเลสิฯ เถโร อจโลว นิสีทิฯ สา เทวตา ธูมายิ ปชฺชลิฯ เนว สกฺขิ เถรํ จาเลตุํฯ ตโต อุปาสกวเณฺณนาคนฺตฺวา วนฺทิตฺวา อฎฺฐาสิฯ ‘‘โก เอโส’’ติ วุตฺตา ‘‘อหํ, ภเนฺต, ตสฺมิํ รุเกฺข อธิวตฺถา เทวตา’’ติ อโวจฯ ตฺวํ เอเต วิกาเร อกาสีติฯ อาม, ภเนฺตติฯ ‘‘กสฺมา’’ติ จ วุตฺตา อาห ‘‘ตุมฺหากํ, ภเนฺต, สีลเตเชน ทารกา สกภาเวน สณฺฐาตุํ อสโกฺกนฺตา วิสฺสรมกํสุ, สาหํ ตุเมฺห ปลาเปตุํ เอวมกาสิ’’นฺติฯ เถโร อาห ‘‘อถ กสฺมา ‘อิธ, ภเนฺต, มา วสถ, มยฺหํ อผาสุก’นฺติ ปฎิกเจฺจว นาวจาสิ, อิทานิ ปน มา มํ กิญฺจิ อวจ, ‘อริยโกฎิยมหาทโตฺต อมนุสฺสภเยน คโต’ติ วจนโต ลชฺชามิ, เตนาหํ อิเธว วสิสฺสํ, ตฺวํ ปน อเชฺชกทิวสํ ยตฺถ กตฺถจิ วสาหี’’ติฯ เอวํ สีลาทิคุณยุโตฺต ภยเภรวสโห โหติ, ตสฺมา อีทิสมตฺตานํ อิจฺฉเนฺตนปิ สีลาทิคุณยุเตฺตเนว ภวิตพฺพนฺติ ทเสฺสติฯ ทุติยาทีนิ อุตฺตานตฺถานิฯ

    Thero kira maggaṃ paṭipanno aññataraṃ pāsādikaṃ araññaṃ disvā ‘‘idhevajja samaṇadhammaṃ katvā gamissāmī’’ti maggā okkamma aññatarasmiṃ rukkhamūle saṅghāṭiṃ paññapetvā pallaṅkaṃ ābhujitvā nisīdi. Rukkhadevatāya dārakā therassa sīlatejena sakabhāvena saṇṭhātuṃ asakkontā vissaramakaṃsu. Devatāpi sakalarukkhaṃ cālesi. Thero acalova nisīdi. Sā devatā dhūmāyi pajjali. Neva sakkhi theraṃ cāletuṃ. Tato upāsakavaṇṇenāgantvā vanditvā aṭṭhāsi. ‘‘Ko eso’’ti vuttā ‘‘ahaṃ, bhante, tasmiṃ rukkhe adhivatthā devatā’’ti avoca. Tvaṃ ete vikāre akāsīti. Āma, bhanteti. ‘‘Kasmā’’ti ca vuttā āha ‘‘tumhākaṃ, bhante, sīlatejena dārakā sakabhāvena saṇṭhātuṃ asakkontā vissaramakaṃsu, sāhaṃ tumhe palāpetuṃ evamakāsi’’nti. Thero āha ‘‘atha kasmā ‘idha, bhante, mā vasatha, mayhaṃ aphāsuka’nti paṭikacceva nāvacāsi, idāni pana mā maṃ kiñci avaca, ‘ariyakoṭiyamahādatto amanussabhayena gato’ti vacanato lajjāmi, tenāhaṃ idheva vasissaṃ, tvaṃ pana ajjekadivasaṃ yattha katthaci vasāhī’’ti. Evaṃ sīlādiguṇayutto bhayabheravasaho hoti, tasmā īdisamattānaṃ icchantenapi sīlādiguṇayutteneva bhavitabbanti dasseti. Dutiyādīni uttānatthāni.

    อากงฺขสุตฺตาทิวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Ākaṅkhasuttādivaṇṇanā niṭṭhitā.







    Related texts:



    อฎฺฐกถา • Aṭṭhakathā / สุตฺตปิฎก (อฎฺฐกถา) • Suttapiṭaka (aṭṭhakathā) / องฺคุตฺตรนิกาย (อฎฺฐกถา) • Aṅguttaranikāya (aṭṭhakathā)
    ๑. อากงฺขสุตฺตวณฺณนา • 1. Ākaṅkhasuttavaṇṇanā
    ๒. กณฺฎกสุตฺตวณฺณนา • 2. Kaṇṭakasuttavaṇṇanā
    ๓-๔. อิฎฺฐธมฺมสุตฺตาทิวณฺณนา • 3-4. Iṭṭhadhammasuttādivaṇṇanā


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact