Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / องฺคุตฺตรนิกาย (อฎฺฐกถา) • Aṅguttaranikāya (aṭṭhakathā)

    (๘) ๓. อากงฺขวโคฺค

    (8) 3. Ākaṅkhavaggo

    ๑. อากงฺขสุตฺตวณฺณนา

    1. Ākaṅkhasuttavaṇṇanā

    ๗๑. ตติยสฺส ปฐเม สมฺปนฺนสีลาติ ปริปุณฺณสีลา, สีลสมงฺคิโน วา หุตฺวาติ อโตฺถฯ ตตฺถ ทฺวีหิ การเณหิ สมฺปนฺนสีลตา โหติ สีลวิปตฺติยา จ อาทีนวทสฺสเนน, สีลสมฺปตฺติยา จ อานิสํสทสฺสเนนฯ ตทุภยมฺปิ วิสุทฺธิมเคฺค (วิสุทฺธิ. ๑.๙, ๒๑) วิตฺถาริตํฯ ตตฺถ ‘‘สมฺปนฺนสีลา’’ติ เอตฺตาวตา กิร ภควา จตุปาริสุทฺธิสีลํ อุทฺทิสิตฺวา ‘‘ปาติโมกฺขสํวรสํวุตา’’ติ อิมินา ตตฺถ เชฎฺฐกสีลํ วิตฺถาเรตฺวา ทเสฺสสีติ ทีปวิหารวาสี สุมนเตฺถโร อาหฯ อเนฺตวาสิโก ปนสฺส เตปิฎกจูฬนาคเตฺถโร อาห – อุภยตฺถปิ ปาติโมกฺขสํวโรว ภควตา วุโตฺตฯ ปาติโมกฺขสํวโรเยว หิ สีลํ, อิตรานิ ปน ตีณิ สีลนฺติ วุตฺตฎฺฐานํ อตฺถีติ อนนุชานโนฺต วตฺวา อาห – อินฺทฺริยสํวโร นาม ฉทฺวารารกฺขามตฺตกเมว, อาชีวปาริสุทฺธิ ธเมฺมน สเมน ปจฺจยุปฺปตฺติมตฺตกํ, ปจฺจยสนฺนิสฺสิตํ ปฎิลทฺธปจฺจเย อิทมตฺถนฺติ ปจฺจเวกฺขิตฺวา ปริภุญฺชนมตฺตกํฯ นิปฺปริยาเยน ปาติโมกฺขสํวโรว สีลํฯ ยสฺส โส ภิโนฺน, อยํ สีสจฺฉิโนฺน วิย ปุริโส หตฺถปาเท เสสานิ รกฺขิสฺสตีติ น วตฺตโพฺพฯ ยสฺส ปน โส อโรโค, อยํ อจฺฉินฺนสีโส วิย ปุริโส ชีวิตํ เสสานิ ปุน ปากติกานิ กาตุํ สโกฺกติฯ ตสฺมา ‘‘สมฺปนฺนสีลา’’ติ อิมินา ปาติโมกฺขสํวรํ อุทฺทิสิตฺวา ‘‘สมฺปนฺนปาติโมกฺขา’’ติ ตเสฺสว เววจนํ วตฺวา ตํ วิตฺถาเรตฺวา ทเสฺสโนฺต ปาติโมกฺขสํวรสํวุตาติอาทิมาหฯ ตตฺถ ปาติโมกฺขสํวรสํวุตฺตาติอาทีนิ วุตฺตตฺถาเนวฯ อากเงฺขยฺย เจติ อิทํ กสฺมา อารทฺธนฺติ? สีลานิสํสทสฺสนตฺถํ ฯ สเจปิ อจิรปพฺพชิตานํ วา ทุปฺปญฺญานํ วา เอวมสฺส ‘‘ภควา ‘สีลํ ปูเรถ สีลํ ปูเรถา’ติ วทติ, โก นุ โข สีลปูรเณ อานิสํโส, โก วิเสโส, กา วฑฺฒี’’ติ เตสํ ทส อานิสํเส ทเสฺสตุํ เอวมาห – ‘‘อเปฺปว นาม เอตํ สพฺรหฺมจารีนํ ปิยมนาปตาทิอาสวกฺขยปริโยสานํ อานิสํสํ สุตฺวาปิ สีลํ ปริปูเรยฺยุ’’นฺติฯ

    71. Tatiyassa paṭhame sampannasīlāti paripuṇṇasīlā, sīlasamaṅgino vā hutvāti attho. Tattha dvīhi kāraṇehi sampannasīlatā hoti sīlavipattiyā ca ādīnavadassanena, sīlasampattiyā ca ānisaṃsadassanena. Tadubhayampi visuddhimagge (visuddhi. 1.9, 21) vitthāritaṃ. Tattha ‘‘sampannasīlā’’ti ettāvatā kira bhagavā catupārisuddhisīlaṃ uddisitvā ‘‘pātimokkhasaṃvarasaṃvutā’’ti iminā tattha jeṭṭhakasīlaṃ vitthāretvā dassesīti dīpavihāravāsī sumanatthero āha. Antevāsiko panassa tepiṭakacūḷanāgatthero āha – ubhayatthapi pātimokkhasaṃvarova bhagavatā vutto. Pātimokkhasaṃvaroyeva hi sīlaṃ, itarāni pana tīṇi sīlanti vuttaṭṭhānaṃ atthīti ananujānanto vatvā āha – indriyasaṃvaro nāma chadvārārakkhāmattakameva, ājīvapārisuddhi dhammena samena paccayuppattimattakaṃ, paccayasannissitaṃ paṭiladdhapaccaye idamatthanti paccavekkhitvā paribhuñjanamattakaṃ. Nippariyāyena pātimokkhasaṃvarova sīlaṃ. Yassa so bhinno, ayaṃ sīsacchinno viya puriso hatthapāde sesāni rakkhissatīti na vattabbo. Yassa pana so arogo, ayaṃ acchinnasīso viya puriso jīvitaṃ sesāni puna pākatikāni kātuṃ sakkoti. Tasmā ‘‘sampannasīlā’’ti iminā pātimokkhasaṃvaraṃ uddisitvā ‘‘sampannapātimokkhā’’ti tasseva vevacanaṃ vatvā taṃ vitthāretvā dassento pātimokkhasaṃvarasaṃvutātiādimāha. Tattha pātimokkhasaṃvarasaṃvuttātiādīni vuttatthāneva. Ākaṅkheyya ceti idaṃ kasmā āraddhanti? Sīlānisaṃsadassanatthaṃ . Sacepi acirapabbajitānaṃ vā duppaññānaṃ vā evamassa ‘‘bhagavā ‘sīlaṃ pūretha sīlaṃ pūrethā’ti vadati, ko nu kho sīlapūraṇe ānisaṃso, ko viseso, kā vaḍḍhī’’ti tesaṃ dasa ānisaṃse dassetuṃ evamāha – ‘‘appeva nāma etaṃ sabrahmacārīnaṃ piyamanāpatādiāsavakkhayapariyosānaṃ ānisaṃsaṃ sutvāpi sīlaṃ paripūreyyu’’nti.

    ตตฺถ อากเงฺขยฺย เจติ ยทิ อิเจฺฉยฺยฯ ปิโย จสฺสนฺติ ปิยจกฺขูหิ สมฺปสฺสิตโพฺพ, สิเนหุปฺปตฺติยา ปทฎฺฐานภูโต ภเวยฺยํฯ มนาโปติ เตสํ มนวฑฺฒนโก, เตสํ วา มเนน ปตฺตโพฺพ, เมตฺตจิเตฺตน ผริตโพฺพติ อโตฺถฯ ครูติ เตสํ ครุฎฺฐานิโย ปาสาณจฺฉตฺตสทิโสฯ ภาวนีโยติ ‘‘อทฺธายมายสฺมา ชานํ ชานาติ ปสฺสํ ปสฺสตี’’ติ เอวํ สมฺภาวนีโยฯ สีเลเสฺววสฺส ปริปูรการีติ จตุปาริสุทฺธิสีเลสุเยว ปริปูรการี อสฺส, อนูเนน อากาเรน สมนฺนาคโต ภเวยฺยาติ วุตฺตํ โหติฯ อชฺฌตฺตํ เจโตสมถมนุยุโตฺตติ อตฺตโน จิตฺตสมเถ ยุโตฺตฯ อนิรากตชฺฌาโนติ พหิ อนีหฎชฺฌาโน, อวินาสิตชฺฌาโน วาฯ วิปสฺสนายาติ สตฺตวิธาย อนุปสฺสนายฯ พฺรูเหตา สุญฺญาคารานนฺติ วเฑฺฒตา สุญฺญาคารานํฯ เอตฺถ จ สมถวิปสฺสนาวเสน กมฺมฎฺฐานํ คเหตฺวา รตฺตินฺทิวํ สุญฺญาคารํ ปวิสิตฺวา นิสีทมาโน ภิกฺขุ ‘‘พฺรูเหตา สุญฺญาคาราน’’นฺติ เวทิตโพฺพฯ อยเมตฺถ สเงฺขโป , วิตฺถาโร ปน อิจฺฉเนฺตน มชฺฌิมนิกายฎฺฐกถาย (ม. นิ. อฎฺฐ. ๑.๖๔ อาทโย) อากเงฺขยฺยสุตฺตวณฺณนาย โอโลเกตโพฺพฯ

    Tattha ākaṅkheyya ceti yadi iccheyya. Piyo cassanti piyacakkhūhi sampassitabbo, sinehuppattiyā padaṭṭhānabhūto bhaveyyaṃ. Manāpoti tesaṃ manavaḍḍhanako, tesaṃ vā manena pattabbo, mettacittena pharitabboti attho. Garūti tesaṃ garuṭṭhāniyo pāsāṇacchattasadiso. Bhāvanīyoti ‘‘addhāyamāyasmā jānaṃ jānāti passaṃ passatī’’ti evaṃ sambhāvanīyo. Sīlesvevassa paripūrakārīti catupārisuddhisīlesuyeva paripūrakārī assa, anūnena ākārena samannāgato bhaveyyāti vuttaṃ hoti. Ajjhattaṃ cetosamathamanuyuttoti attano cittasamathe yutto. Anirākatajjhānoti bahi anīhaṭajjhāno, avināsitajjhāno vā. Vipassanāyāti sattavidhāya anupassanāya. Brūhetā suññāgārānanti vaḍḍhetā suññāgārānaṃ. Ettha ca samathavipassanāvasena kammaṭṭhānaṃ gahetvā rattindivaṃ suññāgāraṃ pavisitvā nisīdamāno bhikkhu ‘‘brūhetā suññāgārāna’’nti veditabbo. Ayamettha saṅkhepo , vitthāro pana icchantena majjhimanikāyaṭṭhakathāya (ma. ni. aṭṭha. 1.64 ādayo) ākaṅkheyyasuttavaṇṇanāya oloketabbo.

    ลาภีติ เอตฺถ น ภควา ลาภนิมิตฺตํ สีลาทิปริปูรณํ กเถติฯ ภควา หิ ‘‘ฆาเสสนํ ฉินฺนกโถ, น วาจํ ปยุตํ ภเณ’’ติ (สุ. นิ. ๗๑๖) เอวํ สาวเก โอวทติฯ โส กถํ ลาภนิมิตฺตํ สีลาทิปริปูรณํ กเถยฺยฯ ปุคฺคลชฺฌาสยวเสน ปเนตํ วุตฺตํฯ เยสญฺหิ เอวํ อชฺฌาสโย ภเวยฺย ‘‘สเจ มยํ จตูหิ ปจฺจเยหิ น กิลเมยฺยาม, สีลานิ ปริปูเรตุํ สกฺกุเณยฺยามา’’ติ, เตสํ อชฺฌาสยวเสเนวมาหฯ อปิจ สรสานิสํโส เอส สีลสฺส ยทิทํ จตฺตาโร ปจฺจยา นามฯ ตถา หิ ปณฺฑิตมนุสฺสา โกฎฺฐาทีสุ ฐปิตํ นีหริตฺวา อตฺตนาปิ อปริภุญฺชิตฺวา สีลวนฺตานํ เทนฺตีติ สีลสฺส สรสานิสํสทสฺสนตฺถเมฺปตํ วุตฺตํฯ

    Lābhīti ettha na bhagavā lābhanimittaṃ sīlādiparipūraṇaṃ katheti. Bhagavā hi ‘‘ghāsesanaṃ chinnakatho, na vācaṃ payutaṃ bhaṇe’’ti (su. ni. 716) evaṃ sāvake ovadati. So kathaṃ lābhanimittaṃ sīlādiparipūraṇaṃ katheyya. Puggalajjhāsayavasena panetaṃ vuttaṃ. Yesañhi evaṃ ajjhāsayo bhaveyya ‘‘sace mayaṃ catūhi paccayehi na kilameyyāma, sīlāni paripūretuṃ sakkuṇeyyāmā’’ti, tesaṃ ajjhāsayavasenevamāha. Apica sarasānisaṃso esa sīlassa yadidaṃ cattāro paccayā nāma. Tathā hi paṇḍitamanussā koṭṭhādīsu ṭhapitaṃ nīharitvā attanāpi aparibhuñjitvā sīlavantānaṃ dentīti sīlassa sarasānisaṃsadassanatthampetaṃ vuttaṃ.

    ตติยวาเร เยสาหนฺติ เยสํ อหํฯ เตสํ เต การาติ เตสํ เทวานํ วา มนุสฺสานํ วา เต มยิ กตา ปจฺจยทานการาฯ มหปฺผลา โหนฺตุ มหานิสํสาติ โลกิยสุเขน ผลภูเตน มหปฺผลา, โลกุตฺตเรน มหานิสํสาฯ อุภยํ วา เอตํ เอกตฺถเมวฯ สีลาทิคุณยุตฺตสฺส หิ กฎจฺฉุภิกฺขาปิ ปญฺจรตนมตฺตาย ภูมิยา ปณฺณสาลาปิ กตฺวา ทินฺนา อเนกานิ กปฺปสหสฺสานิ ทุคฺคติวินิปาตโต รกฺขติ, ปริโยสาเน จ อมตาย ธาตุยา ปรินิพฺพานสฺส ปจฺจโย โหติฯ ‘‘ขีโรทนํ อหมทาสิ’’นฺติอาทีนิ (วิ. ว. ๔๑๓) เจตฺถ วตฺถูนิฯ สกลเมว วา เปตวตฺถุ วิมานวตฺถุ จ สาธกํฯ

    Tatiyavāre yesāhanti yesaṃ ahaṃ. Tesaṃ te kārāti tesaṃ devānaṃ vā manussānaṃ vā te mayi katā paccayadānakārā. Mahapphalā hontu mahānisaṃsāti lokiyasukhena phalabhūtena mahapphalā, lokuttarena mahānisaṃsā. Ubhayaṃ vā etaṃ ekatthameva. Sīlādiguṇayuttassa hi kaṭacchubhikkhāpi pañcaratanamattāya bhūmiyā paṇṇasālāpi katvā dinnā anekāni kappasahassāni duggativinipātato rakkhati, pariyosāne ca amatāya dhātuyā parinibbānassa paccayo hoti. ‘‘Khīrodanaṃ ahamadāsi’’ntiādīni (vi. va. 413) cettha vatthūni. Sakalameva vā petavatthu vimānavatthu ca sādhakaṃ.

    จตุตฺถวาเร เปตาติ เปจฺจภวํ คตาฯ ญาตีติ สสฺสุสสุรปกฺขิกาฯ สาโลหิตาติ เอกโลหิตพทฺธา ปิติปิตามหาทโยฯ กาลงฺกตาติ มตาฯ เตสํ ตนฺติ เตสํ ตํ มยิ ปสนฺนจิตฺตํ, ตํ วา ปสเนฺนน จิเตฺตน อนุสฺสรณํฯ ยสฺส หิ ภิกฺขุโน กาลกโต ปิตา วา มาตา วา ‘‘อมฺหากํ ญาตกเตฺถโร สีลวา กลฺยาณธโมฺม’’ติ ปสนฺนจิโตฺต หุตฺวา ตํ ภิกฺขุํ อนุสฺสรติ, ตสฺส โส จิตฺตปฺปสาโทปิ ตํ อนุสฺสรณมตฺตมฺปิ มหปฺผลํ มหานิสํสเมว โหติฯ

    Catutthavāre petāti peccabhavaṃ gatā. Ñātīti sassusasurapakkhikā. Sālohitāti ekalohitabaddhā pitipitāmahādayo. Kālaṅkatāti matā. Tesaṃ tanti tesaṃ taṃ mayi pasannacittaṃ, taṃ vā pasannena cittena anussaraṇaṃ. Yassa hi bhikkhuno kālakato pitā vā mātā vā ‘‘amhākaṃ ñātakatthero sīlavā kalyāṇadhammo’’ti pasannacitto hutvā taṃ bhikkhuṃ anussarati, tassa so cittappasādopi taṃ anussaraṇamattampi mahapphalaṃ mahānisaṃsameva hoti.

    อรติรติสโหติ เนกฺขมฺมปฎิปตฺติยา อรติยา กามคุเณสุ รติยา จ สโห อภิภวิตา อโชฺฌตฺถริตาฯ ภยเภรวสโหติ เอตฺถ ภยํ จิตฺตุตฺราโสปิ อารมฺมณมฺปิ, เภรวํ อารมฺมณเมวฯ

    Aratiratisahoti nekkhammapaṭipattiyā aratiyā kāmaguṇesu ratiyā ca saho abhibhavitā ajjhottharitā. Bhayabheravasahoti ettha bhayaṃ cittutrāsopi ārammaṇampi, bheravaṃ ārammaṇameva.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / องฺคุตฺตรนิกาย • Aṅguttaranikāya / ๑. อากงฺขสุตฺตํ • 1. Ākaṅkhasuttaṃ

    ฎีกา • Tīkā / สุตฺตปิฎก (ฎีกา) • Suttapiṭaka (ṭīkā) / องฺคุตฺตรนิกาย (ฎีกา) • Aṅguttaranikāya (ṭīkā) / ๑-๔. อากงฺขสุตฺตาทิวณฺณนา • 1-4. Ākaṅkhasuttādivaṇṇanā


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact