Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / มชฺฌิมนิกาย (ฎีกา) • Majjhimanikāya (ṭīkā) |
๖. อากเงฺขยฺยสุตฺตวณฺณนา
6. Ākaṅkheyyasuttavaṇṇanā
๖๔. สมฺปนฺนนฺติ ปริปุณฺณํ, สมนฺตโต ปนฺนํ ปตฺตนฺติ สมฺปนฺนํฯ เตนาห ‘‘อิทํ ปริปุณฺณสมฺปนฺนํ นามา’’ติฯ นนฺติ ‘‘สุวา’’ติ วุตฺตํ สุวคณํฯ สมฺปโนฺนติ สมฺมเทว ปโนฺน คโต อุปคโตฯ เตนาห ‘‘สมนฺนาคโต’’ติฯ สมฺปนฺนนฺติ สมฺปตฺติยุตฺตํฯ สา ปเนตฺถ รสสมฺปตฺติ อธิเปฺปตา สามญฺญโชตนาย วิเสเส อวฎฺฐานโตฯ เตนาห ‘‘เสยฺยถาปิ ขุทฺทมธุํ อเนฬก’’นฺติ, นิโทฺทสนฺติ อโตฺถฯ เตน วุตฺตํ ‘‘อิทํ มธุรสมฺปนฺนํ นามา’’ติฯ สีลสฺส อนวเสสสมาทาเนน อขณฺฑาทิภาวาปตฺติยา จ ปริปุณฺณสีลาฯ สมาทานโต ปฎฺฐาย อจฺฉินฺทนโต สีลสมงฺคิโนฯ สมาทานโต หิ อจฺจนฺตวิโรธิธมฺมานุปฺปตฺติยา สีลสมงฺคิตา เวทิตพฺพา, เจตนาทีนํ ปน สีลนลกฺขณานํ ธมฺมานํ ปวตฺติกฺขเณ วตฺตพฺพเมว นตฺถิฯ วิสุทฺธิมเคฺค (วิสุทฺธิ. ๑.๙) วุตฺตา, ตสฺมา ตตฺถ วุตฺตนเยเนว วิตฺถารกถา เวทิตพฺพาติ อธิปฺปาโยฯ
64.Sampannanti paripuṇṇaṃ, samantato pannaṃ pattanti sampannaṃ. Tenāha ‘‘idaṃ paripuṇṇasampannaṃ nāmā’’ti. Nanti ‘‘suvā’’ti vuttaṃ suvagaṇaṃ. Sampannoti sammadeva panno gato upagato. Tenāha ‘‘samannāgato’’ti. Sampannanti sampattiyuttaṃ. Sā panettha rasasampatti adhippetā sāmaññajotanāya visese avaṭṭhānato. Tenāha ‘‘seyyathāpi khuddamadhuṃ aneḷaka’’nti, niddosanti attho. Tena vuttaṃ ‘‘idaṃ madhurasampannaṃ nāmā’’ti. Sīlassa anavasesasamādānena akhaṇḍādibhāvāpattiyā ca paripuṇṇasīlā. Samādānato paṭṭhāya acchindanato sīlasamaṅgino. Samādānato hi accantavirodhidhammānuppattiyā sīlasamaṅgitā veditabbā, cetanādīnaṃ pana sīlanalakkhaṇānaṃ dhammānaṃ pavattikkhaṇe vattabbameva natthi. Visuddhimagge (visuddhi. 1.9) vuttā, tasmā tattha vuttanayeneva vitthārakathā veditabbāti adhippāyo.
เขตฺตปาริปูรีติ นิสฺสิตปาริปูริยา นิสฺสยปาริปูริมาห นิสฺสิตกมฺมวิปตฺติสมฺปตฺติวิสยตฺตา ยถา ‘‘มญฺจา อุกฺกุฎฺฐิํ กโรนฺตี’’ติฯ ตถา หิ เขเตฺตน ขณฺฑปูติอาทิโทโส วุโตฺตฯ เขตฺตํ ขณฺฑํ โหตีติ อปริปูรํ โหติ สสฺสปาริปูริยา อภาวโตฯ เตเนวาห ‘‘สสฺสํ น อุเฎฺฐตี’’ติฯ ปาทมตฺตสฺสปิ อเนกมฺพณผลนโต มหปฺผลํ โหติฯ กิสลยปลาลาทิพหุตาย มหานิสํสํฯ เอวเมวนฺติ ยถา ขิตฺตํ พีชํ ขณฺฑาทิจตุโทสวเสน อปริปุณฺณํ โหติ, ตทภาเวน จ ปริปุณฺณํ, เอวํ สีลํ ขณฺฑาทิจตุโทสวเสน อปริปุณฺณํ โหติ, ตทภาเวน จ ปริปุณฺณนฺติ, จตุโทสตทภาวสามญฺญเมว นิทสฺสนนิทสฺสิตพฺพวิปตฺติสมฺปตฺตีสุ ทเสฺสติฯ มหปฺผลํ โหติ วิปากผเลนฯ มหานิสํสนฺติ วิปุลานิสํสํฯ สฺวายํ อานิสํโส อิธ ปาฬิยํ นานปฺปกาเรน วิตฺถารียติฯ
Khettapāripūrīti nissitapāripūriyā nissayapāripūrimāha nissitakammavipattisampattivisayattā yathā ‘‘mañcā ukkuṭṭhiṃ karontī’’ti. Tathā hi khettena khaṇḍapūtiādidoso vutto. Khettaṃ khaṇḍaṃ hotīti aparipūraṃ hoti sassapāripūriyā abhāvato. Tenevāha ‘‘sassaṃ na uṭṭhetī’’ti. Pādamattassapi anekambaṇaphalanato mahapphalaṃ hoti. Kisalayapalālādibahutāya mahānisaṃsaṃ. Evamevanti yathā khittaṃ bījaṃ khaṇḍādicatudosavasena aparipuṇṇaṃ hoti, tadabhāvena ca paripuṇṇaṃ, evaṃ sīlaṃ khaṇḍādicatudosavasena aparipuṇṇaṃ hoti, tadabhāvena ca paripuṇṇanti, catudosatadabhāvasāmaññameva nidassananidassitabbavipattisampattīsu dasseti. Mahapphalaṃ hoti vipākaphalena. Mahānisaṃsanti vipulānisaṃsaṃ. Svāyaṃ ānisaṃso idha pāḷiyaṃ nānappakārena vitthārīyati.
เอตฺตาวตา กิราติ (อ. นิ. ฎี. ๒.๒.๓๗; อ. นิ. ฎี. ๓.๑๐.๗๑-๗๔) กิร-สโทฺท อรุจิสูจนโตฺถฯ เตเนตฺถ อาจริยวาทสฺส อตฺตโน อรุจฺจนภาวํ ทีเปติฯ สมฺปนฺนสีลาติ อนามฎฺฐวิเสสํ สามญฺญโต สีลสเงฺขเปน คหิตํฯ ตญฺจ จตุพฺพิธนฺติ อาจริยเตฺถโร ‘‘จตุปาริสุทฺธิสีลํ อุทฺทิสิตฺวา’’ติ อาหฯ ตตฺถาติ จตุปาริสุทฺธิสีเลฯ เชฎฺฐกสีลนฺติ (สํ. นิ. ฎี. ๓.๕.๔๑๒) ปธานสีลํฯ อุภยตฺถาติ อุเทฺทสนิเทฺทเสฯ อิธ นิเทฺทเส วิย อุเทฺทเสปิ ปาติโมกฺขสํวโร ภควตา วุโตฺต ‘‘สมฺปนฺนสีลา’’ติ วุตฺตตฺตาติ อธิปฺปาโย ฯ สีลคฺคหณญฺหิ ปาฬิยํ ปาติโมกฺขสํวรวเสน อาคตํฯ เตนาห ‘‘ปาติโมกฺขสํวโรเยวา’’ติอาทิฯ ตตฺถ อวธารเณน อิตเรสํ ติณฺณํ เอกเทเสน ปาติโมกฺขโนฺตคธภาวํ ทีเปติฯ ตถา หิ อโนโลกิโยโลกเน อาชีวเหตุ ฉสิกฺขาปทวีติกฺกเม คิลานปจฺจยสฺส อปจฺจเวกฺขิตปริโภเค จ อาปตฺติ วิหิตาติฯ ตีณีติ อินฺทฺริยสํวรสีลาทีนิฯ สีลนฺติ วุตฺตฎฺฐานํ นาม อตฺถีติ สีลปริยาเยน เตสํ กตฺถจิ สุเตฺต คหิตฎฺฐานํ นาม กิํ อตฺถิ ยถา ปาติโมกฺขสํวโรติ อาจริยสฺส สมฺมุขตฺตา อปฎิกฺขิปโนฺตว อุปจาเรน ปุจฺฉโนฺต วิย วทติฯ เตนาห ‘‘อนนุชานโนฺต’’ติฯ ฉทฺวารรกฺขามตฺตกเมวาติ ตสฺส สลฺลหุกภาวมาห จิตฺตาธิฎฺฐานมเตฺตน ปฎิปากติกภาวาปตฺติโตฯ อิตรทฺวเยปิ เอเสว นโยฯ ปจฺจยุปฺปตฺติมตฺตกนฺติ ผเลน เหตุํ ทเสฺสติฯ อุปฺปาทนเหตุกา หิ ปจฺจยานํ อุปฺปตฺติฯ อิทมตฺถนฺติ อิทํ ปโยชนํ อิมสฺส ปจฺจยสฺส ปริภุญฺชเนติ อธิปฺปาโยฯ นิปฺปริยาเยนาติ อิมินา อินฺทฺริยสํวราทีนิ ตีณิ ปธานสฺส สีลสฺส ปริวารวเสน ปวตฺติยา ปริยายสีลานิ นามาติ ทเสฺสติฯ
Ettāvatā kirāti (a. ni. ṭī. 2.2.37; a. ni. ṭī. 3.10.71-74) kira-saddo arucisūcanattho. Tenettha ācariyavādassa attano aruccanabhāvaṃ dīpeti. Sampannasīlāti anāmaṭṭhavisesaṃ sāmaññato sīlasaṅkhepena gahitaṃ. Tañca catubbidhanti ācariyatthero ‘‘catupārisuddhisīlaṃ uddisitvā’’ti āha. Tatthāti catupārisuddhisīle. Jeṭṭhakasīlanti (saṃ. ni. ṭī. 3.5.412) padhānasīlaṃ. Ubhayatthāti uddesaniddese. Idha niddese viya uddesepi pātimokkhasaṃvaro bhagavatā vutto ‘‘sampannasīlā’’ti vuttattāti adhippāyo . Sīlaggahaṇañhi pāḷiyaṃ pātimokkhasaṃvaravasena āgataṃ. Tenāha ‘‘pātimokkhasaṃvaroyevā’’tiādi. Tattha avadhāraṇena itaresaṃ tiṇṇaṃ ekadesena pātimokkhantogadhabhāvaṃ dīpeti. Tathā hi anolokiyolokane ājīvahetu chasikkhāpadavītikkame gilānapaccayassa apaccavekkhitaparibhoge ca āpatti vihitāti. Tīṇīti indriyasaṃvarasīlādīni. Sīlanti vuttaṭṭhānaṃ nāma atthīti sīlapariyāyena tesaṃ katthaci sutte gahitaṭṭhānaṃ nāma kiṃ atthi yathā pātimokkhasaṃvaroti ācariyassa sammukhattā apaṭikkhipantova upacārena pucchanto viya vadati. Tenāha ‘‘ananujānanto’’ti. Chadvārarakkhāmattakamevāti tassa sallahukabhāvamāha cittādhiṭṭhānamattena paṭipākatikabhāvāpattito. Itaradvayepi eseva nayo. Paccayuppattimattakanti phalena hetuṃ dasseti. Uppādanahetukā hi paccayānaṃ uppatti. Idamatthanti idaṃ payojanaṃ imassa paccayassa paribhuñjaneti adhippāyo. Nippariyāyenāti iminā indriyasaṃvarādīni tīṇi padhānassa sīlassa parivāravasena pavattiyā pariyāyasīlāni nāmāti dasseti.
อิทานิ ปาติโมกฺขสํวรเสฺสว ปธานภาวํ พฺยติเรกโต อนฺวยโต จ อุปมาย วิภาเวตุํ ‘‘ยสฺสา’’ติอาทิมาหฯ ตตฺถ โสติ ปาติโมกฺขสํวโรฯ เสสานีติ อินฺทฺริยสํวราทีนิฯ ตเสฺสวาติ ‘‘สมฺปนฺนสีลา’’ติ เอตฺถ ยํ สีลํ วุตฺตํ, ตเสฺสวฯ สมฺปนฺนปาติโมกฺขาติ เอตฺถ ปาติโมกฺขคฺคหเณน เววจนํ วตฺวา ตํ วิตฺถาเรตฺวา…เป.… อาทิมาหฯ ยถา อญฺญถาปิ ‘‘อิธ ภิกฺขุ สีลวา โหตี’’ติ (มหานิ. ๑๙๙) ปุคฺคลาธิฎฺฐานาย เทสนาย อุทฺทิฎฺฐํ สีลํ ‘‘ปาติโมกฺขสํวรสํวุโต วิหรตี’’ติ (วิภ. ๕๐๘; มหานิ. ๑๙๙) นิทฺทิฎฺฐํฯ
Idāni pātimokkhasaṃvarasseva padhānabhāvaṃ byatirekato anvayato ca upamāya vibhāvetuṃ ‘‘yassā’’tiādimāha. Tattha soti pātimokkhasaṃvaro. Sesānīti indriyasaṃvarādīni. Tassevāti ‘‘sampannasīlā’’ti ettha yaṃ sīlaṃ vuttaṃ, tasseva. Sampannapātimokkhāti ettha pātimokkhaggahaṇena vevacanaṃ vatvā taṃ vitthāretvā…pe… ādimāha. Yathā aññathāpi ‘‘idha bhikkhu sīlavā hotī’’ti (mahāni. 199) puggalādhiṭṭhānāya desanāya uddiṭṭhaṃ sīlaṃ ‘‘pātimokkhasaṃvarasaṃvuto viharatī’’ti (vibha. 508; mahāni. 199) niddiṭṭhaṃ.
ปาติโมกฺขสํวรสํวุตาติ โย นํ ปาติ รกฺขติ, ตํ โมเกฺขติ โมเจติ อาปายิกาทีหิ ทุเกฺขหีติ ‘‘ปาติโมกฺข’’นฺติ ลทฺธนาเมน สิกฺขาปทสีเลน ปิหิตกายวจีทฺวาราฯ เต ปน ยสฺมา เอวํภูตา เตน สมนฺนาคตา นาม โหนฺติ, ตสฺมา วุตฺตํ ‘‘ปาติโมกฺขสํวเรน สมนฺนาคตา’’ติฯ
Pātimokkhasaṃvarasaṃvutāti yo naṃ pāti rakkhati, taṃ mokkheti moceti āpāyikādīhi dukkhehīti ‘‘pātimokkha’’nti laddhanāmena sikkhāpadasīlena pihitakāyavacīdvārā. Te pana yasmā evaṃbhūtā tena samannāgatā nāma honti, tasmā vuttaṃ ‘‘pātimokkhasaṃvarena samannāgatā’’ti.
อปโร นโย (อุทา. อฎฺฐ. ๓๑; อิติวุ. อฎฺฐ. ๙๗) – กิเลสานํ พลวภาวโต, ปาปกิริยาย สุกรภาวโต, ปุญฺญกิริยาย จ ทุกฺกรภาวโต พหุกฺขตฺตุํ อปาเยสุ ปตนสีโลติ ปาตี, ปุถุชฺชโนฯ อนิจฺจตาย วา ภวาทีสุ กมฺมเวคกฺขิโตฺต ฆฎียนฺตํ วิย อนวฎฺฐาเนน ปริพฺภมนโต คมนสีโลติ ปาตี, มรณวเสน วา ตมฺหิ ตมฺหิ สตฺตนิกาเย อตฺตภาวสฺส ปาตนสีโลติ ปาตี, สตฺตสนฺตาโน, จิตฺตเมว วา, ตํ ปาติํ สํสารทุกฺขโต โมเกฺขตีติ ปาติโมกฺขํฯ จิตฺตสฺส หิ วิโมเกฺขน สโตฺต วิมุโตฺตติ วุจฺจติฯ วุตฺตญฺหิ ‘‘จิตฺตโวทานา วิสุชฺฌนฺตี’’ติ, ‘‘อนุปาทาย อาสเวหิ จิตฺตํ วิมุตฺต’’นฺติ (มหาว. ๒๘) จฯ
Aparo nayo (udā. aṭṭha. 31; itivu. aṭṭha. 97) – kilesānaṃ balavabhāvato, pāpakiriyāya sukarabhāvato, puññakiriyāya ca dukkarabhāvato bahukkhattuṃ apāyesu patanasīloti pātī, puthujjano. Aniccatāya vā bhavādīsu kammavegakkhitto ghaṭīyantaṃ viya anavaṭṭhānena paribbhamanato gamanasīloti pātī, maraṇavasena vā tamhi tamhi sattanikāye attabhāvassa pātanasīloti pātī, sattasantāno, cittameva vā, taṃ pātiṃ saṃsāradukkhato mokkhetīti pātimokkhaṃ. Cittassa hi vimokkhena satto vimuttoti vuccati. Vuttañhi ‘‘cittavodānā visujjhantī’’ti, ‘‘anupādāya āsavehi cittaṃ vimutta’’nti (mahāva. 28) ca.
อถ วา อวิชฺชาทินา เหตุนา สํสาเร ปตติ คจฺฉติ ปวตฺตตีติ ปาตีฯ ‘‘อวิชฺชานีวรณานํ สตฺตานํ ตณฺหาสํโยชนานํ สนฺธาวตํ สํสรต’’นฺติ (สํ. นิ. ๒.๑๒๕) หิ วุตฺตํฯ ตสฺส ปาติโน สตฺตสฺส ตณฺหาทิสํกิเลสตฺตยโต โมโกฺข เอเตนาติ ปาติโมโกฺขฯ ‘‘กเณฺฐกาโล’’ติอาทีนํ วิย สมาสสิทฺธิ เวทิตพฺพาฯ
Atha vā avijjādinā hetunā saṃsāre patati gacchati pavattatīti pātī. ‘‘Avijjānīvaraṇānaṃ sattānaṃ taṇhāsaṃyojanānaṃ sandhāvataṃ saṃsarata’’nti (saṃ. ni. 2.125) hi vuttaṃ. Tassa pātino sattassa taṇhādisaṃkilesattayato mokkho etenāti pātimokkho. ‘‘Kaṇṭhekālo’’tiādīnaṃ viya samāsasiddhi veditabbā.
อถ วา ปาเตติ วินิปาเตติ ทุเกฺขติ ปาติ, จิตฺตํฯ วุตฺตญฺหิ ‘‘จิเตฺตน นียติ โลโก, จิเตฺตน ปริกสฺสตี’’ติ (สํ. นิ. ๑.๖๒)ฯ ตสฺส ปาติโน โมโกฺข เอเตนาติ ปาติโมโกฺขฯ ปตติ วา เอเตน อปายทุเกฺข สํสารทุเกฺข จาติ ปาตี, ตณฺหาทิสํกิเลโสฯ วุตฺตญฺหิ ‘‘ตณฺหา ชเนติ ปุริสํ (สํ. นิ. ๑.๕๗), ตณฺหาทุติโย ปุริโส’’ติ (อิติวุ. ๑๕, ๑๐๕; อ. นิ. ๔.๙) จ อาทิฯ ตโต ปาติโต โมโกฺขติ ปาติโมโกฺขฯ
Atha vā pāteti vinipāteti dukkheti pāti, cittaṃ. Vuttañhi ‘‘cittena nīyati loko, cittena parikassatī’’ti (saṃ. ni. 1.62). Tassa pātino mokkho etenāti pātimokkho. Patati vā etena apāyadukkhe saṃsāradukkhe cāti pātī, taṇhādisaṃkileso. Vuttañhi ‘‘taṇhā janeti purisaṃ (saṃ. ni. 1.57), taṇhādutiyo puriso’’ti (itivu. 15, 105; a. ni. 4.9) ca ādi. Tato pātito mokkhoti pātimokkho.
อถ วา ปตติ เอตฺถาติ ปาตี, ฉ อชฺฌตฺติกพาหิรานิ อายตนานิฯ วุตฺตญฺหิ ‘‘ฉสุ โลโก สมุปฺปโนฺน, ฉสุ กุพฺพติ สนฺถว’’นฺติ (สํ. นิ. ๑.๗๐; สุ. นิ. ๑๗๑)ฯ ตโต อชฺฌตฺติกพาหิรายตนสงฺขาตโต ปาติโต โมโกฺขติ ปาติโมโกฺขฯ อถ วา ปาโต วินิปาโต อสฺส อตฺถีติ ปาตี, สํสาโรฯ ตโต โมโกฺขติ ปาติโมโกฺขฯ อถ วา สพฺพโลกาธิปติภาวโต ธมฺมิสฺสโร ภควา ‘‘ปตี’’ติ วุจฺจติ, มุจฺจติ เอเตนาติ โมโกฺข, ปติโน โมโกฺข เตน ปญฺญตฺตตฺตาติ ปาติโมโกฺข ฯ ปาติโมโกฺข เอว ปาติโมโกฺขฯ สพฺพคุณานํ วา มูลภาวโต อุตฺตมเฎฺฐน ปติ จ โส ยถาวุตฺตเตฺถน โมโกฺข จาติ ปาติโมโกฺขฯ ปาติโมโกฺข เอว ปาติโมโกฺขฯ ตถา หิ วุตฺตํ ‘‘ปาติโมกฺขนฺติอาทิเมตํ มุขเมตํ ปมุขเมต’’นฺติ (มหาว. ๑๓๕) วิตฺถาโรฯ
Atha vā patati etthāti pātī, cha ajjhattikabāhirāni āyatanāni. Vuttañhi ‘‘chasu loko samuppanno, chasu kubbati santhava’’nti (saṃ. ni. 1.70; su. ni. 171). Tato ajjhattikabāhirāyatanasaṅkhātato pātito mokkhoti pātimokkho. Atha vā pāto vinipāto assa atthīti pātī, saṃsāro. Tato mokkhoti pātimokkho. Atha vā sabbalokādhipatibhāvato dhammissaro bhagavā ‘‘patī’’ti vuccati, muccati etenāti mokkho, patino mokkho tena paññattattāti pātimokkho . Pātimokkho eva pātimokkho. Sabbaguṇānaṃ vā mūlabhāvato uttamaṭṭhena pati ca so yathāvuttatthena mokkho cāti pātimokkho. Pātimokkho eva pātimokkho. Tathā hi vuttaṃ ‘‘pātimokkhantiādimetaṃ mukhametaṃ pamukhameta’’nti (mahāva. 135) vitthāro.
อถ วา ป-อิติ ปกาเร, อตีติ อจฺจนฺตเตฺถ นิปาโต, ตสฺมา ปกาเรหิ อจฺจนฺตํ โมเกฺขตีติ ปาติโมโกฺขฯ อิทญฺหิ สีลํ สยํ ตทงฺควเสน, สมาธิสหิตํ ปญฺญาสหิตญฺจ วิกฺขมฺภนวเสน, สมุเจฺฉทวเสน จ อจฺจนฺตํ โมเกฺขติ โมเจตีติ ปาติโมโกฺขฯ ปติ ปติ โมโกฺขติ วา ปาติโมโกฺข, ตมฺหา ตมฺหา วีติกฺกมโทสโต ปเจฺจกํ โมโกฺขติ อโตฺถฯ ปาติโมโกฺข เอว ปาติโมโกฺขฯ โมโกฺข วา นิพฺพานํ, ตสฺส โมกฺขสฺส ปติพิมฺพภูโตติ ปาติโมโกฺข ฯ สีลสํวโร หิ นิเพฺพธภาคิโย สูริยสฺส อรุณุคฺคมนํ วิย นิพฺพานสฺส อุทยภูโต ตปฺปฎิภาโค วิย โหติ ยถารหํ กิเลสนิพฺพาปนโตติ ปาติโมโกฺขฯ ปาติโมโกฺขเยว ปาติโมโกฺขฯ อถ วา โมกฺขํ ปติ วตฺตติ โมกฺขาภิมุขนฺติ วา ปาติโมกฺขํฯ ปาติโมกฺขเมว ปาติโมกฺขนฺติ เอวเมตฺถ ปาติโมกฺขสทฺทสฺส อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ
Atha vā pa-iti pakāre, atīti accantatthe nipāto, tasmā pakārehi accantaṃ mokkhetīti pātimokkho. Idañhi sīlaṃ sayaṃ tadaṅgavasena, samādhisahitaṃ paññāsahitañca vikkhambhanavasena, samucchedavasena ca accantaṃ mokkheti mocetīti pātimokkho. Pati pati mokkhoti vā pātimokkho, tamhā tamhā vītikkamadosato paccekaṃ mokkhoti attho. Pātimokkho eva pātimokkho. Mokkho vā nibbānaṃ, tassa mokkhassa patibimbabhūtoti pātimokkho . Sīlasaṃvaro hi nibbedhabhāgiyo sūriyassa aruṇuggamanaṃ viya nibbānassa udayabhūto tappaṭibhāgo viya hoti yathārahaṃ kilesanibbāpanatoti pātimokkho. Pātimokkhoyeva pātimokkho. Atha vā mokkhaṃ pati vattati mokkhābhimukhanti vā pātimokkhaṃ. Pātimokkhameva pātimokkhanti evamettha pātimokkhasaddassa attho veditabbo.
อาจารโคจรสมฺปนฺนาติ กายิกวาจสิกอวีติกฺกมสงฺขาเตน อาจาเรน เจว นเวสิยโคจรตาทิสงฺขาเตน โคจเรน จ สมฺปนฺนา, สมฺปนฺนอาจารโคจราติ อโตฺถฯ อปฺปมเตฺตสูติ อติปริตฺตเกสุ อนาปตฺติคมนีเยสุ, ทุกฺกฎทุพฺภาสิตมเตฺตสูติ อปเรฯ วเชฺชสูติ คารเยฺหสุฯ เต ปน เอกนฺตโต อกุสลสภาวา โหนฺตีติ อาห ‘‘อกุสลธเมฺมสู’’ติฯ ภยทสฺสิโนติ ภยโต ทสฺสนสีลา, ปรมาณุมตฺตมฺปิ วชฺชํ สิเนรุปฺปมาณํ วิย กตฺวา ภายนสีลาฯ สมฺมา อาทิยิตฺวาติ สมฺมเทว สกฺกจฺจํ สพฺพโส จ อาทิยิตฺวาฯ สิกฺขาปเทสูติ นิทฺธารเณ ภุมฺมนฺติ สมุทายโต อวยวนิทฺธารณํ ทเสฺสโนฺต ‘‘สิกฺขาปเทสุ ตํ ตํ สิกฺขาปทํ สมาทิยิตฺวา สิกฺขถา’’ติ อตฺถมาหฯ สิกฺขาปทเมว หิ สมาทาตพฺพํ สิกฺขิตพฺพญฺจาติ อธิปฺปาโยฯ ยํ กิญฺจิ สิกฺขาโกฎฺฐาเสสูติ สิกฺขาโกฎฺฐาเสสุ มูลปญฺญตฺติอนุปญฺญติสพฺพตฺถปญฺญตฺติปเทสปญฺญตฺติอาทิเภทํ ยํ กิญฺจิ สิกฺขิตพฺพํ ปฎิปชฺชิตพฺพํ ปูเรตพฺพํ สีลํฯ ตํ ปน ทฺวารวเสน ทุวิธเมวาติ อาห ‘‘กายิกํ วาจสิกญฺจา’’ติฯ อิมสฺมิํ อตฺถวิกเปฺป สิกฺขาปเทสูติ อาธาเร ภุมฺมํ สิกฺขาภาเคสุ กสฺสจิ วิสุํ อคฺคหณโตฯ เตนาห ‘‘ตํ สพฺพ’’นฺติฯ
Ācāragocarasampannāti kāyikavācasikaavītikkamasaṅkhātena ācārena ceva navesiyagocaratādisaṅkhātena gocarena ca sampannā, sampannaācāragocarāti attho. Appamattesūti atiparittakesu anāpattigamanīyesu, dukkaṭadubbhāsitamattesūti apare. Vajjesūti gārayhesu. Te pana ekantato akusalasabhāvā hontīti āha ‘‘akusaladhammesū’’ti. Bhayadassinoti bhayato dassanasīlā, paramāṇumattampi vajjaṃ sineruppamāṇaṃ viya katvā bhāyanasīlā. Sammā ādiyitvāti sammadeva sakkaccaṃ sabbaso ca ādiyitvā. Sikkhāpadesūti niddhāraṇe bhummanti samudāyato avayavaniddhāraṇaṃ dassento ‘‘sikkhāpadesu taṃ taṃ sikkhāpadaṃ samādiyitvā sikkhathā’’ti atthamāha. Sikkhāpadameva hi samādātabbaṃ sikkhitabbañcāti adhippāyo. Yaṃ kiñci sikkhākoṭṭhāsesūti sikkhākoṭṭhāsesu mūlapaññattianupaññatisabbatthapaññattipadesapaññattiādibhedaṃ yaṃ kiñci sikkhitabbaṃ paṭipajjitabbaṃ pūretabbaṃ sīlaṃ. Taṃ pana dvāravasena duvidhamevāti āha ‘‘kāyikaṃ vācasikañcā’’ti. Imasmiṃ atthavikappe sikkhāpadesūti ādhāre bhummaṃ sikkhābhāgesu kassaci visuṃ aggahaṇato. Tenāha ‘‘taṃ sabba’’nti.
๖๕. กสฺมา อารทฺธนฺติ (อ. นิ. ฎี. ๓.๑๐.๗๑-๗๔) เทสนาย การณปุจฺฉาฯ สีลานิสํสทสฺสนตฺถนฺติ ปโยชนนิเทฺทโสฯ โก อโตฺถ กฺว อโตฺถ กฺว นิปาติตาติ? นยิทเมวํ ทฎฺฐพฺพํฯ สีลานิสํสทสฺสนตฺถนฺติ หิ เอตฺถ พฺยติเรกโต ยํ สีลานิสํสสฺส อทสฺสนํ, ตํ อิมิสฺสา เทสนาย การณนฺติ กสฺมา อารทฺธนฺติ วิเนยฺยานํ สีลานิสํสสฺส อทสฺสนโตติ อตฺถโต อาปโนฺน เอว โหตีติฯ เตนาห ‘‘สเจปี’’ติอาทิฯ สีลานิสํสทสฺสนตฺถนฺติ ปน อิมสฺส อตฺถํ วิวริตุํ ‘‘เตส’’นฺติอาทิ วุตฺตํฯ อานิสํโสติ อุทโยฯ ‘‘สีลวา สีลสมฺปโนฺน กายสฺส เภทา ปรํ มรณา สุคติํ สคฺคโลกํ อุปปชฺชตี’’ติอาทีสุ (ที. นิ. ๒.๑๕๐; ๓.๓๑๖; อ. นิ. ๕.๒๑๓; มหาว. ๒๘๕) ปน วิปากผลมฺปิ ‘‘อานิสํโส’’ติ วุตฺตํฯ โก วิเสโสติ โก ผลวิเสโสฯ กา วฑฺฒีติ โก อพฺภุทโยฯ วิชฺชมาโนปิ คุโณ ยาถาวโต วิภาวิโต เอว อภิรุจิํ อุปฺปาเทติ, น อวิภาวิโต, ตสฺมา เอกนฺตโต อานิสํสกิตฺตนํ อิจฺฉิตพฺพเมวาติ ทเสฺสตุํ วิสกณฺฎกวาณิโช อุทาหโฎฯ
65.Kasmā āraddhanti (a. ni. ṭī. 3.10.71-74) desanāya kāraṇapucchā. Sīlānisaṃsadassanatthanti payojananiddeso. Ko attho kva attho kva nipātitāti? Nayidamevaṃ daṭṭhabbaṃ. Sīlānisaṃsadassanatthanti hi ettha byatirekato yaṃ sīlānisaṃsassa adassanaṃ, taṃ imissā desanāya kāraṇanti kasmā āraddhanti vineyyānaṃ sīlānisaṃsassa adassanatoti atthato āpanno eva hotīti. Tenāha ‘‘sacepī’’tiādi. Sīlānisaṃsadassanatthanti pana imassa atthaṃ vivarituṃ ‘‘tesa’’ntiādi vuttaṃ. Ānisaṃsoti udayo. ‘‘Sīlavā sīlasampanno kāyassa bhedā paraṃ maraṇā sugatiṃ saggalokaṃ upapajjatī’’tiādīsu (dī. ni. 2.150; 3.316; a. ni. 5.213; mahāva. 285) pana vipākaphalampi ‘‘ānisaṃso’’ti vuttaṃ. Ko visesoti ko phalaviseso. Kā vaḍḍhīti ko abbhudayo. Vijjamānopi guṇo yāthāvato vibhāvito eva abhiruciṃ uppādeti, na avibhāvito, tasmā ekantato ānisaṃsakittanaṃ icchitabbamevāti dassetuṃ visakaṇṭakavāṇijo udāhaṭo.
ตตฺถ คุโฬ นาม อุจฺฉุรสํ ปจิตฺวา จุณฺณาทีหิ มิสฺสิตฺวา สมฺปิณฺฑเน ปิณฺฑีภูตํฯ ผาณิตํ อปิณฺฑิตํ ทฺรวีภูตํฯ ขณฺฑํ ภิชฺชนกฺขมํฯ สกฺขรา นาม ผลิกสทิสาฯ สกฺขราทีนิติ อาทิ-สเทฺทน มจฺฉณฺฑิกานํ สงฺคโหฯ ตสฺมิํ กาเล คุฬาทีสุ วิสกณฺฎกโวหาโร อปจฺจนฺตเทเส ปจุโรติ ‘‘ปจฺจนฺตคามํ คนฺตฺวา’’ติ วุตฺตํฯ ทารเก จ ปลาเปสุํ ‘‘วิสกณฺฎกํ มา คณฺหนฺตู’’ติฯ
Tattha guḷo nāma ucchurasaṃ pacitvā cuṇṇādīhi missitvā sampiṇḍane piṇḍībhūtaṃ. Phāṇitaṃ apiṇḍitaṃ dravībhūtaṃ. Khaṇḍaṃ bhijjanakkhamaṃ. Sakkharā nāma phalikasadisā. Sakkharādīniti ādi-saddena macchaṇḍikānaṃ saṅgaho. Tasmiṃ kāle guḷādīsu visakaṇṭakavohāro apaccantadese pacuroti ‘‘paccantagāmaṃ gantvā’’ti vuttaṃ. Dārake ca palāpesuṃ ‘‘visakaṇṭakaṃ mā gaṇhantū’’ti.
ปิโยติ ปิยายิตโพฺพฯ ปิยสฺส นาม ทสฺสนํ เอกนฺตโต อภินนฺทิตพฺพํ โหตีติ อาห ‘‘วิยจกฺขูหิ สมฺปสฺสิตโพฺพ’’ติฯ ปีติสมุฎฺฐานปสนฺนโสมฺมรูปปริคฺคหญฺหิ จกฺขุ ‘‘ปิยจกฺขู’’ติ วุจฺจติฯ เตสนฺติ สพฺรหฺมจารีนํฯ มนวฑฺฒนโกติ ปีติมนสฺส ปริพฺรูหนโต อุปรูปริ ปีติจิตฺตสฺส อุปฺปาทโกฯ ครุฎฺฐานิโยติ ครุกรณสฺส ฐานภูโตฯ ชานํ ชานาตีติ ญาเณน ชานิตพฺพํ ชานาติฯ ยถา วา อเญฺญ อชานนฺตาปิ ชานนฺตา วิย ปวตฺตนฺติ, น เอวมยํ, อยํ ปน ชานโนฺต เอว ชานาติ ฯ ปสฺสํ ปสฺสตีติ ทสฺสนภูเตน ปญฺญาจกฺขุนา ปสฺสิตพฺพํ ปสฺสติ, ปสฺสโนฺต เอว วา ปสฺสติฯ เอวํ สมฺภาวนีโยติ เอวํ วิญฺญุตาย ปณฺฑิตภาเวน สมฺภาเวตโพฺพฯ
Piyoti piyāyitabbo. Piyassa nāma dassanaṃ ekantato abhinanditabbaṃ hotīti āha ‘‘viyacakkhūhi sampassitabbo’’ti. Pītisamuṭṭhānapasannasommarūpapariggahañhi cakkhu ‘‘piyacakkhū’’ti vuccati. Tesanti sabrahmacārīnaṃ. Manavaḍḍhanakoti pītimanassa paribrūhanato uparūpari pīticittassa uppādako. Garuṭṭhāniyoti garukaraṇassa ṭhānabhūto. Jānaṃ jānātīti ñāṇena jānitabbaṃ jānāti. Yathā vā aññe ajānantāpi jānantā viya pavattanti, na evamayaṃ, ayaṃ pana jānanto eva jānāti . Passaṃ passatīti dassanabhūtena paññācakkhunā passitabbaṃ passati, passanto eva vā passati. Evaṃ sambhāvanīyoti evaṃ viññutāya paṇḍitabhāvena sambhāvetabbo.
สีเลเสฺววสฺส ปริปูรการีติ สีเลสุ ปริปูรการี เอว ภเวยฺยาติ เอวํ อุตฺตรปทาวธารณํ ทฎฺฐพฺพํฯ เอวญฺหิ อิมินา ปเทน อุปริสิกฺขาทฺวยํ อนิวตฺติตเมว โหติฯ ยถา ปน สีเลสุ ปริปูรการี นาม โหติ, ตํ ผเลน ทเสฺสตุํ ‘‘อชฺฌตฺต’’นฺติอาทิ วุตฺตํฯ วิปสฺสนาธิฎฺฐานสมาธิสํวตฺตนิกตาย หิ อิธ สีลสฺส ปาริปูรี, น เกวลํ อขณฺฑาทิภาวมตฺตํฯ เตนาห ‘‘ยานิ โข ปน ตานิ อขณฺฑานิ…เป.… สมาธิสํวตฺตนิกานี’’ติฯ เอวญฺจ กตฺวา อุปริ สิกฺขาทฺวยํ สีลสฺส สมฺภารภาเวน คหิตนฺติ สีลเสฺสเวตฺถ ปธานคฺคหณํ สิทฺธํ โหติฯ ตถา หิ จิเตฺตกคฺคตาสงฺขารปริคฺคหานํ สีลสฺสานุรกฺขณภาวํ วกฺขติฯ ยํ ปน วกฺขติ ‘‘สิกฺขตฺตยเทสนา ชาตา’’ติ (ม. นิ. อฎฺฐ. ๑.๖๕), ตํ อิตราสมฺปิ สิกฺขานํ อิธ คหิตตามตฺตํ สนฺธาย วุตฺตํ, น ปธานภาเวน คหิตตํฯ ยทิ เอวํ กถํ สีลสฺส อปฺปมตฺตกตาวจนํฯ วุตฺตเญฺหตํ ‘‘อปฺปมตฺตกํ โข ปเนตํ, ภิกฺขเว, โอรมตฺตก’’นฺติ (ที. นิ. ๑.๗)ฯ ตํ ปุถุชฺชนโคจรํ สนฺธาย วุตฺตํฯ ตถา หิ ตตฺถ น นิปฺปเทสโต สีลํ วิภตฺตํ, เอวํ กตฺวา ตตฺถ สีลมตฺตกนฺติ มตฺตคฺคหณํ สมตฺถิตนฺติ ทฎฺฐพฺพํฯ อนูเนนาติ อขณฺฑาทิภาเวน, กสฺสจิ วา อหาปเนน อุปปเนฺนนฯ อากาเรนาติ กรเณน สมฺปาทเนนฯ จิตฺตสมเถติ จิตฺตสมาธาเนฯ ยุโตฺตติ อวิยุโตฺต ปสุโตฯ โย สเพฺพน สพฺพํ ฌานภาวนํ อนนุยุโตฺต, โส ตํ พหิ นีหรติ นามฯ โย อารภิตฺวา อนฺตรา สโงฺกจํ อาปชฺชติ , โส ตํ วินาเสติ นามฯ โย ปน อีทิโส อหุตฺวา ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหรติ, โส อนิรากตชฺฌาโนติ ทเสฺสโนฺต ‘‘พหิ อนีหฎชฺฌาโน’’ติอาทิมาหฯ
Sīlesvevassa paripūrakārīti sīlesu paripūrakārī eva bhaveyyāti evaṃ uttarapadāvadhāraṇaṃ daṭṭhabbaṃ. Evañhi iminā padena uparisikkhādvayaṃ anivattitameva hoti. Yathā pana sīlesu paripūrakārī nāma hoti, taṃ phalena dassetuṃ ‘‘ajjhatta’’ntiādi vuttaṃ. Vipassanādhiṭṭhānasamādhisaṃvattanikatāya hi idha sīlassa pāripūrī, na kevalaṃ akhaṇḍādibhāvamattaṃ. Tenāha ‘‘yāni kho pana tāni akhaṇḍāni…pe… samādhisaṃvattanikānī’’ti. Evañca katvā upari sikkhādvayaṃ sīlassa sambhārabhāvena gahitanti sīlassevettha padhānaggahaṇaṃ siddhaṃ hoti. Tathā hi cittekaggatāsaṅkhārapariggahānaṃ sīlassānurakkhaṇabhāvaṃ vakkhati. Yaṃ pana vakkhati ‘‘sikkhattayadesanā jātā’’ti (ma. ni. aṭṭha. 1.65), taṃ itarāsampi sikkhānaṃ idha gahitatāmattaṃ sandhāya vuttaṃ, na padhānabhāvena gahitataṃ. Yadi evaṃ kathaṃ sīlassa appamattakatāvacanaṃ. Vuttañhetaṃ ‘‘appamattakaṃ kho panetaṃ, bhikkhave, oramattaka’’nti (dī. ni. 1.7). Taṃ puthujjanagocaraṃ sandhāya vuttaṃ. Tathā hi tattha na nippadesato sīlaṃ vibhattaṃ, evaṃ katvā tattha sīlamattakanti mattaggahaṇaṃ samatthitanti daṭṭhabbaṃ. Anūnenāti akhaṇḍādibhāvena, kassaci vā ahāpanena upapannena. Ākārenāti karaṇena sampādanena. Cittasamatheti cittasamādhāne. Yuttoti aviyutto pasuto. Yo sabbena sabbaṃ jhānabhāvanaṃ ananuyutto, so taṃ bahi nīharati nāma. Yo ārabhitvā antarā saṅkocaṃ āpajjati , so taṃ vināseti nāma. Yo pana īdiso ahutvā jhānaṃ upasampajja viharati, so anirākatajjhānoti dassento ‘‘bahi anīhaṭajjhāno’’tiādimāha.
อนิจฺจสฺส เตภูมกธมฺมสฺส, อนิจฺจนฺติ วา อนุปสฺสนา อนิจฺจานุปสฺสนาฯ ตถา ทุกฺขานุปสฺสนา อนตฺตานุปสฺสนา จฯ ตเสฺสว นิพฺพินฺทนากาเรน ปวตฺตา อนุปสฺสนา นิพฺพิทานุปสฺสนาฯ วิรชฺชนากาเรน ปวตฺตา อนุปสฺสนา วิราคานุปสฺสนาฯ นิโรธสฺส อนุปสฺสนา นิโรธานุปสฺสนาฯ ปฎินิสฺสชฺชนวเสน ปวตฺตา อนุปสฺสนา ปฎินิสฺสคฺคานุปสฺสนาฯ สุญฺญาคารคโต ภิกฺขุ ตตฺถ ลทฺธกายวิเวกตาย สมถวิปสฺสนาวเสน จิตฺตวิเวกํ ปริพฺรูเหโนฺต ยถานุสิฎฺฐํ ปฎิปตฺติยา โลกํ สาสนญฺจ อตฺตโน วิเสสาธิคมฎฺฐานภูตํ สุญฺญาคารญฺจ อุปโสภยมาโน คุณวิเสสาธิฎฺฐานภาวาปาทเนน วิญฺญูนํ อตฺถโต ตํ พฺรูเหโนฺต นาม โหตีติ วุตฺตํ ‘‘พฺรูเหตา สุญฺญาคาราน’’นฺติฯ เตนาห ‘‘เอตฺถ จา’’ติอาทิฯ อยเมว สุญฺญาคารานุพฺรูหนวิญฺญุปฺปสตฺถานํ ภาชนํ, น เสนาสนปติฎฺฐาปนนฺติ ทเสฺสโนฺต อาห ‘‘เอกภูมกาทิ…เป.… ทฎฺฐโพฺพ’’ติฯ สุญฺญาคารคฺคหเณน เจตฺถ อรญฺญรุกฺขมูลาทิ สพฺพํ ปธานานุโยคกฺขมํ เสนาสนํ คหิตนฺติ ทฎฺฐพฺพํฯ
Aniccassa tebhūmakadhammassa, aniccanti vā anupassanā aniccānupassanā. Tathā dukkhānupassanā anattānupassanā ca. Tasseva nibbindanākārena pavattā anupassanā nibbidānupassanā. Virajjanākārena pavattā anupassanā virāgānupassanā. Nirodhassa anupassanā nirodhānupassanā. Paṭinissajjanavasena pavattā anupassanā paṭinissaggānupassanā. Suññāgāragato bhikkhu tattha laddhakāyavivekatāya samathavipassanāvasena cittavivekaṃ paribrūhento yathānusiṭṭhaṃ paṭipattiyā lokaṃ sāsanañca attano visesādhigamaṭṭhānabhūtaṃ suññāgārañca upasobhayamāno guṇavisesādhiṭṭhānabhāvāpādanena viññūnaṃ atthato taṃ brūhento nāma hotīti vuttaṃ ‘‘brūhetā suññāgārāna’’nti. Tenāha ‘‘ettha cā’’tiādi. Ayameva suññāgārānubrūhanaviññuppasatthānaṃ bhājanaṃ, na senāsanapatiṭṭhāpananti dassento āha ‘‘ekabhūmakādi…pe… daṭṭhabbo’’ti. Suññāgāraggahaṇena cettha araññarukkhamūlādi sabbaṃ padhānānuyogakkhamaṃ senāsanaṃ gahitanti daṭṭhabbaṃ.
ตณฺหาวิจริตเทสนาติ ‘‘อชฺฌตฺติกสฺส อุปาทายา’’ติ (วิภ. ๙๓๗) อาทินยปฺปวตฺตํ ตณฺหาวิจริตสุตฺตํฯ ตณฺหาปทฎฺฐานตฺตาติ ตณฺหาสนฺนิสฺสยตฺตาฯ น หิ ตณฺหาวิรหิตา มานทิฎฺฐิปวตฺติ อตฺถิฯ มานทิฎฺฐิโย โอสริตฺวาติ ทเสฺสตพฺพตาย มานทิฎฺฐิโย โอคาเหตฺวาติ อโตฺถฯ คหณตฺถเมว หิ เทเสตพฺพธมฺมสฺส เทสนาย โอสรณํฯ ตณฺหามานทิฎฺฐิโย ปปญฺจตฺตยํ สตฺตสนฺตานสฺส สํสาเร ปปญฺจนโต อนุปฺปพนฺธนวเสน วิตฺถารณโตฯ สีลปทฎฺฐานตฺตาติ สีลาธิฎฺฐานตฺตาฯ
Taṇhāvicaritadesanāti ‘‘ajjhattikassa upādāyā’’ti (vibha. 937) ādinayappavattaṃ taṇhāvicaritasuttaṃ. Taṇhāpadaṭṭhānattāti taṇhāsannissayattā. Na hi taṇhāvirahitā mānadiṭṭhipavatti atthi. Mānadiṭṭhiyo osaritvāti dassetabbatāya mānadiṭṭhiyo ogāhetvāti attho. Gahaṇatthameva hi desetabbadhammassa desanāya osaraṇaṃ. Taṇhāmānadiṭṭhiyo papañcattayaṃ sattasantānassa saṃsāre papañcanato anuppabandhanavasena vitthāraṇato. Sīlapadaṭṭhānattāti sīlādhiṭṭhānattā.
อธิจิตฺตสิกฺขา วุตฺตาติ อาเนตฺวา สมฺพโนฺธฯ วิปสฺสนาวเสน สุญฺญาคารวฑฺฒเนติ โยชนาฯ เทฺวปิ สิกฺขาติ อธิจิตฺตาธิปญฺญาสิกฺขาฯ สงฺคเหตฺวาติ อธิสีลสิกฺขาย สทฺธิํ สงฺคเหตฺวา วุตฺตาฯ ยทิ เอวมยํ สิกฺขตฺตยเทสนา ชาตาติ สิกฺขตฺตยานิสํสปฺปกาสนี สิยาติ อนุโยคํ สนฺธายาห ‘‘เอตฺถ จา’’ติอาทิฯ ตตฺถ ยํ วตฺตพฺพํ, ตํ เหฎฺฐา วุตฺตเมวฯ อินฺทฺริยสํวโร วิย ปาติโมกฺขสํวรสฺส จตุปาริสุทฺธิสีลสฺส อารกฺขภูตา จิเตฺตกคฺคตา วิปสฺสนา จ อิธ คหิตาติ ตทุภยํ อปฺปธานํ, สีลเมว ปน ปธานภาเวน คหิตนฺติ เวทิตพฺพํฯ เตนาห ‘‘สีลานุรกฺขิกา เอวา’’ติอาทิฯ
Adhicittasikkhā vuttāti ānetvā sambandho. Vipassanāvasena suññāgāravaḍḍhaneti yojanā. Dvepi sikkhāti adhicittādhipaññāsikkhā. Saṅgahetvāti adhisīlasikkhāya saddhiṃ saṅgahetvā vuttā. Yadi evamayaṃ sikkhattayadesanā jātāti sikkhattayānisaṃsappakāsanī siyāti anuyogaṃ sandhāyāha ‘‘ettha cā’’tiādi. Tattha yaṃ vattabbaṃ, taṃ heṭṭhā vuttameva. Indriyasaṃvaro viya pātimokkhasaṃvarassa catupārisuddhisīlassa ārakkhabhūtā cittekaggatā vipassanā ca idha gahitāti tadubhayaṃ appadhānaṃ, sīlameva pana padhānabhāvena gahitanti veditabbaṃ. Tenāha ‘‘sīlānurakkhikā evā’’tiādi.
พลวตรสุขนฺติ สมุปฺปนฺนพฺยาธิทุกฺขโต พลวตรํ, ตํ อภิภวิตุํ สมตฺถํ ฌานสุขํ อุปฺปชฺชติฯ พลวมมตฺตํ โหติ, เตน ทฬฺหอตฺตสิเนเหน วิลุตฺตหทโย กุสลธเมฺม ฉเฑฺฑโนฺต โส ตถารูเปสุ…เป.… โปเสตา โหติฯ พลวมมตฺตํ วา สิเนโห น โหติ ‘‘สุโทฺธ สงฺขารปุโญฺช’’ติ ยาถาวทสฺสเนน อหํการมมํการาภาวโตฯ ทุพฺภิกฺขภเย ขุทาภิภวํ สนฺธายาห ‘‘สเจปิสฺส อนฺตานิ พหิ นิกฺขมนฺตี’’ติฯ พฺยาธิภยํ สนฺธายาห ‘‘อุสฺสุสฺสติ วิสุสฺสนี’’ติฯ อาทิ-สเทฺทน คหิตํ โจรภยํ สนฺธายาห ‘‘ขณฺฑาขณฺฑิโก วา’’ติฯ อุภยสฺสาติ สมถวิปสฺสนาทฺวยสฺสฯ เอตฺถ จ ‘‘อชฺฌตฺตํ เจโต…เป.… สุญฺญาคาราน’’นฺติ อิเมหิ วิเสสนิเพฺพธภาคิยภาวาปาทเนน สีลํ รกฺขิตุํ สมตฺถา เอว จิเตฺตกคฺคตาวิปสฺสนา คหิตาฯ ยสฺมา ปรโต ฌานวิโมกฺขผลาภิญฺญาณอธิฎฺฐานภาโว สีลสฺส อุทฺธโฎ, ตสฺมา ตสฺส ภิโยฺยปิ สมฺภารภูตา เอว จิเตฺตกคฺคตา วิปสฺสนา ตตฺถ ตตฺถ คหิตาติ เวทิตพฺพาฯ
Balavatarasukhanti samuppannabyādhidukkhato balavataraṃ, taṃ abhibhavituṃ samatthaṃ jhānasukhaṃ uppajjati. Balavamamattaṃ hoti, tena daḷhaattasinehena viluttahadayo kusaladhamme chaḍḍento so tathārūpesu…pe… posetā hoti. Balavamamattaṃ vā sineho na hoti ‘‘suddho saṅkhārapuñjo’’ti yāthāvadassanena ahaṃkāramamaṃkārābhāvato. Dubbhikkhabhaye khudābhibhavaṃ sandhāyāha ‘‘sacepissa antāni bahi nikkhamantī’’ti. Byādhibhayaṃ sandhāyāha ‘‘ussussati visussanī’’ti. Ādi-saddena gahitaṃ corabhayaṃ sandhāyāha ‘‘khaṇḍākhaṇḍiko vā’’ti. Ubhayassāti samathavipassanādvayassa. Ettha ca ‘‘ajjhattaṃ ceto…pe… suññāgārāna’’nti imehi visesanibbedhabhāgiyabhāvāpādanena sīlaṃ rakkhituṃ samatthā eva cittekaggatāvipassanā gahitā. Yasmā parato jhānavimokkhaphalābhiññāṇaadhiṭṭhānabhāvo sīlassa uddhaṭo, tasmā tassa bhiyyopi sambhārabhūtā eva cittekaggatā vipassanā tattha tattha gahitāti veditabbā.
สีลาทีติ อาทิ-สเทฺทน ยถาวุตฺตจิเตฺตกคฺคตาวิปสฺสนา สงฺคณฺหาติ, สีลสฺส วา มูลการณภูตํ สพฺพํ กมฺมสฺสกตญาณญฺจ สงฺคณฺหาติ กมฺมปถสมฺมาทิฎฺฐิํ วาฯ สีลญฺหิ ตทญฺญมฺปิ ปุญฺญกิริยาวตฺถุ เตเนว ปริโสธิตํ มหปฺผลํ โหติ มหานิสํสนฺติฯ ลาภี อสฺสนฺติ ลาภา สาย สํวรณสีลปริปูรณํ ปาฬิยํ อาคตํ กิมีทิสํ ภควา อนุชานาตีติ? น ภควา สภาเวน อีทิสํ อนุชานาติ, มหาการุณิกตาย ปน ปุคฺคลชฺฌาสเยน เอวํ วุตฺตนฺติ ทเสฺสโนฺต ‘‘น เจตฺถา’’ติอาทิมาหฯ ตตฺถ ฆาเสสนํ ฉินฺนกโถ น วาจํ ปยุตฺตํ ภเณติ ฉินฺนกโถ มูโค วิย หุตฺวา โอภาสปริกถานิมิตฺตวิญฺญตฺติปยุตฺตํ ฆาเสสนํ วาจํ น ภเณ น กเถยฺยาติ อโตฺถฯ ปุคฺคลชฺฌาสยวเสนาติ สเงฺขปโต วุตฺตมตฺถํ วิวรโนฺต ‘‘เยสญฺหี’’ติอาทิมาหฯ รโส สภาวภูโต อานิสํโส รสานิสํโสฯ
Sīlādīti ādi-saddena yathāvuttacittekaggatāvipassanā saṅgaṇhāti, sīlassa vā mūlakāraṇabhūtaṃ sabbaṃ kammassakatañāṇañca saṅgaṇhāti kammapathasammādiṭṭhiṃ vā. Sīlañhi tadaññampi puññakiriyāvatthu teneva parisodhitaṃ mahapphalaṃ hoti mahānisaṃsanti. Lābhī assanti lābhā sāya saṃvaraṇasīlaparipūraṇaṃ pāḷiyaṃ āgataṃ kimīdisaṃ bhagavā anujānātīti? Na bhagavā sabhāvena īdisaṃ anujānāti, mahākāruṇikatāya pana puggalajjhāsayena evaṃ vuttanti dassento ‘‘na cetthā’’tiādimāha. Tattha ghāsesanaṃ chinnakatho na vācaṃ payuttaṃ bhaṇeti chinnakatho mūgo viya hutvā obhāsaparikathānimittaviññattipayuttaṃ ghāsesanaṃ vācaṃ na bhaṇe na katheyyāti attho. Puggalajjhāsayavasenāti saṅkhepato vuttamatthaṃ vivaranto ‘‘yesañhī’’tiādimāha. Raso sabhāvabhūto ānisaṃso rasānisaṃso.
ปจฺจยทานการาติ จีวราทิปจฺจยวเสน ทานการาฯ ‘‘เทวานํ วา’’ติ วุตฺตวจนํ ปากฎีกาตุมาห ‘‘เทวาปี’’ติอาทิฯ ‘‘ปญฺจิเม คหปตโย อานิสํสา’’ติอาทีสุ (ที. นิ. ๒.๑๕๐) อนิสํสสโทฺท ผลปริยาโยปิ โหตีติ อาห ‘‘อุภยเมตํ อตฺถโต เอก’’นฺติฯ
Paccayadānakārāti cīvarādipaccayavasena dānakārā. ‘‘Devānaṃ vā’’ti vuttavacanaṃ pākaṭīkātumāha ‘‘devāpī’’tiādi. ‘‘Pañcime gahapatayo ānisaṃsā’’tiādīsu (dī. ni. 2.150) anisaṃsasaddo phalapariyāyopi hotīti āha ‘‘ubhayametaṃ atthato eka’’nti.
สสฺสุสสุรา จ ตปฺปกฺขิกา จ สสฺสุสสุรปกฺขิกาฯ เต ญาติโยนิสมฺพเนฺธน อาวาหวิวาหสมฺพนฺธวเสน สมฺพนฺธา ญาตีฯ สาโลหิตาติ โยนิสมฺพนฺธวเสนฯ เอกโลหิตสมฺพทฺธาติ เอเกน สมาเนน โลหิตสมฺพเนฺธน สมฺพทฺธาฯ เปจฺจภาวํ คตาติ เปตูปปตฺติวเสน นิพฺพตฺติํ อุปคตาฯ เต ปน ยสฺมา อิธ กตกาลกิริยา กาเลน กตชีวิตุปเจฺฉทา โหนฺติ, ตสฺมา วุตฺตํ ‘‘กาลกตา’’ติฯ ปสนฺนจิโตฺตติ ปสนฺนจิตฺตโกฯ กาลกโต ปิตา วา มาตา วา เปตโยนิํ อุปปโนฺนติ อธิการโต วิญฺญายตีติ วุตฺตํ ‘‘มหานิสํสเมว โหตี’’ติ, ตสฺส ตถา สีลสมฺปนฺนตฺตาติ อธิปฺปาโยฯ อริยภาเว ปน สติ วตฺตพฺพเมว นตฺถิฯ เตนาห ‘‘อเนกานิ กปฺปสตสหสฺสานี’’ติอาทิฯ พหุการนฺติ พหุปการํฯ อุปสงฺกมนนฺติ อภิวาทนาทิวเสน อุปคมนํฯ ปยิรุปาสนนฺติ อุปฎฺฐานนฺติฯ
Sassusasurā ca tappakkhikā ca sassusasurapakkhikā. Te ñātiyonisambandhena āvāhavivāhasambandhavasena sambandhā ñātī. Sālohitāti yonisambandhavasena. Ekalohitasambaddhāti ekena samānena lohitasambandhena sambaddhā. Peccabhāvaṃ gatāti petūpapattivasena nibbattiṃ upagatā. Te pana yasmā idha katakālakiriyā kālena katajīvitupacchedā honti, tasmā vuttaṃ ‘‘kālakatā’’ti. Pasannacittoti pasannacittako. Kālakato pitā vā mātā vā petayoniṃ upapannoti adhikārato viññāyatīti vuttaṃ ‘‘mahānisaṃsameva hotī’’ti, tassa tathā sīlasampannattāti adhippāyo. Ariyabhāve pana sati vattabbameva natthi. Tenāha ‘‘anekāni kappasatasahassānī’’tiādi. Bahukāranti bahupakāraṃ. Upasaṅkamananti abhivādanādivasena upagamanaṃ. Payirupāsananti upaṭṭhānanti.
๖๖. อโชฺฌตฺถริตาติ มทฺทิตาฯ อุกฺกณฺฐาติ ริญฺจนา อนภิรติ อนนุโยโคฯ สีลวา ภิกฺขุ อตฺตโน สีลขณฺฑภเยน สมาหิโต วิปสฺสโก จ ปจฺจยฆาเตน อรติยา รติยา จ สหิตา อภิภวิตาว โหตีติ อาห ‘‘สีลาทิคุณยุเตฺตเนวา’’ติอาทิฯ
66.Ajjhottharitāti madditā. Ukkaṇṭhāti riñcanā anabhirati ananuyogo. Sīlavā bhikkhu attano sīlakhaṇḍabhayena samāhito vipassako ca paccayaghātena aratiyā ratiyā ca sahitā abhibhavitāva hotīti āha ‘‘sīlādiguṇayuttenevā’’tiādi.
จิตฺตุตฺราโส ภายตีติ ภยํฯ อารมฺมณํ ภายติ เอตสฺมาติ ภยํฯ ปุริมวารสทิสตฺตา วุตฺตนยเมวาติ อติทิสิตฺวาปิ ปุน ตํ ทเสฺสตุํ ‘‘สีลาทิคุณยุโตฺต หี’’ติอาทิ วุตฺตํฯ เถรสฺส เหฎฺฐา นิสินฺนตฺตา เทวตาย ทารกา สกภาเวน สณฺฐาตุํ สุเขน วตฺติตุํ อสโกฺกนฺตา อสมตฺถาฯ
Cittutrāso bhāyatīti bhayaṃ. Ārammaṇaṃ bhāyati etasmāti bhayaṃ. Purimavārasadisattā vuttanayamevāti atidisitvāpi puna taṃ dassetuṃ ‘‘sīlādiguṇayutto hī’’tiādi vuttaṃ. Therassa heṭṭhā nisinnattā devatāya dārakā sakabhāvena saṇṭhātuṃ sukhena vattituṃ asakkontā asamatthā.
อธิกํ เจโตติ อภิเจโต, อุปจารชฺฌานจิตฺตํฯ ตสฺส ปน อธิกตา ปากติกกามาวจรจิเตฺตหิ สุนฺทรตาย สปฎิปกฺขโต วิสุทฺธิยา จาติ อาห ‘‘อภิกฺกนฺตํ วิสุทฺธิจิตฺต’’นฺติฯ อธิจิตฺตนฺติ สมาธิมาห, โส จ อุปจารสมาธิ ทฎฺฐโพฺพฯ วิเวกชํ ปีติสุขํ, สมาธิชํ ปีติสุขํ, อปีติชํ ฌานสุขํ, สติปาริสุทฺธิชํ ฌานสุขนฺติ จตุพฺพิธมฺปิ ฌานสุขํ ปฎิปกฺขโต นิกฺขนฺตตํ อุปาทาย ‘‘เนกฺขมฺมสุข’’นฺติ วุจฺจตีติ อาห ‘‘เนกฺขมฺมสุขํ วินฺทนฺตี’’ติฯ อิจฺฉิติจฺฉิตกฺขเณ สมาปชฺชิตุํ สมโตฺถติ อิมินา เตสุ ฌาเนสุ สมาปชฺชนวสีภาวมาห, ‘‘นิกามลาภี’’ติ ปน วจนโต อาวชฺชนาธิฎฺฐานปจฺจเวกฺขณวสิโยปิ วุตฺตา เอวาติ เวทิตพฺพาฯ สุเขเนว ปจฺจนีกธเมฺม วิกฺขเมฺภตฺวาติ เอเตน เตสํ ฌานสุขขิปฺปาภิญฺญตญฺจ ทเสฺสติฯ วิปุลานนฺติ เวปุลฺลํ ปาปิตานํฯ ฌานานํ วิปุลตา นาม สุภาวิตภาเวน จิรตรปฺปตฺติ, สา จ ปริเจฺฉทานุรูปาว อิจฺฉิตพฺพฺพาติ ‘‘วิปุลาน’’นฺติ วตฺวา ‘‘ยถาปริเจฺฉเทเยว วุฎฺฐาตุํ สมโตฺถติ วุตฺตํ โหตี’’ติ อาหฯ ปริเจฺฉทกาลญฺหิ อปฺปตฺวาว วุฎฺฐหโนฺต อกสิรลาภี น โหติ ยาวทิจฺฉกํ ปวเตฺตตุํ อสมตฺถตฺตาฯ อิทานิ เตเยว ยถาวุเตฺต สมาปชฺชนาทิวสีภาเว พฺยติเรกวเสน วิภาเวตุํ ‘‘เอกโจฺจ หี’’ติอาทิ วุตฺตํฯ ตตฺถ ลาภีเยว โหตีติ อิทํ ปฎิลทฺธมตฺตสฺส ฌานสฺส วเสน วุตฺตํฯ ตถาติ อิจฺฉิติจฺฉิตกฺขเณฯ ปาริพนฺธิเกติ วสีภาวสฺส ปจฺจนีกธเมฺมฯ ฌานาธิคมสฺส ปน ปจฺจนีกธมฺมา ปเคว วิกฺขมฺภิตา, อญฺญถา ฌานาธิคโม เอว น สิยาฯ กิเจฺฉน วิกฺขเมฺภตีติ กิเจฺฉน วิโสเธติฯ กามาทีนวปจฺจเวกฺขณาทีหิ กามจฺฉนฺทาทีนํ วิย อเญฺญสมฺปิ สมาธิปาริพนฺธิกานํ ทูรสมุสฺสารณํ อิธ วิกฺขมฺภนํ วิโสธนญฺจาติ เวทิตพฺพํฯ นาฬิกายนฺตนฺติ กาลมานนาฬิกายนฺตํ อาหฯ
Adhikaṃ cetoti abhiceto, upacārajjhānacittaṃ. Tassa pana adhikatā pākatikakāmāvacaracittehi sundaratāya sapaṭipakkhato visuddhiyā cāti āha ‘‘abhikkantaṃ visuddhicitta’’nti. Adhicittanti samādhimāha, so ca upacārasamādhi daṭṭhabbo. Vivekajaṃ pītisukhaṃ, samādhijaṃ pītisukhaṃ, apītijaṃ jhānasukhaṃ, satipārisuddhijaṃ jhānasukhanti catubbidhampi jhānasukhaṃ paṭipakkhato nikkhantataṃ upādāya ‘‘nekkhammasukha’’nti vuccatīti āha ‘‘nekkhammasukhaṃ vindantī’’ti. Icchiticchitakkhaṇe samāpajjituṃ samatthoti iminā tesu jhānesu samāpajjanavasībhāvamāha, ‘‘nikāmalābhī’’ti pana vacanato āvajjanādhiṭṭhānapaccavekkhaṇavasiyopi vuttā evāti veditabbā. Sukheneva paccanīkadhamme vikkhambhetvāti etena tesaṃ jhānasukhakhippābhiññatañca dasseti. Vipulānanti vepullaṃ pāpitānaṃ. Jhānānaṃ vipulatā nāma subhāvitabhāvena ciratarappatti, sā ca paricchedānurūpāva icchitabbbāti ‘‘vipulāna’’nti vatvā ‘‘yathāparicchedeyeva vuṭṭhātuṃ samatthoti vuttaṃhotī’’ti āha. Paricchedakālañhi appatvāva vuṭṭhahanto akasiralābhī na hoti yāvadicchakaṃ pavattetuṃ asamatthattā. Idāni teyeva yathāvutte samāpajjanādivasībhāve byatirekavasena vibhāvetuṃ ‘‘ekacco hī’’tiādi vuttaṃ. Tattha lābhīyeva hotīti idaṃ paṭiladdhamattassa jhānassa vasena vuttaṃ. Tathāti icchiticchitakkhaṇe. Pāribandhiketi vasībhāvassa paccanīkadhamme. Jhānādhigamassa pana paccanīkadhammā pageva vikkhambhitā, aññathā jhānādhigamo eva na siyā. Kicchena vikkhambhetīti kicchena visodheti. Kāmādīnavapaccavekkhaṇādīhi kāmacchandādīnaṃ viya aññesampi samādhipāribandhikānaṃ dūrasamussāraṇaṃ idha vikkhambhanaṃ visodhanañcāti veditabbaṃ. Nāḷikāyantanti kālamānanāḷikāyantaṃ āha.
วิเสเสน รูปาวจรจตุตฺถชฺฌานํ สพฺพโส วสีภาวาปาทิตํ อภิญฺญาปาทกนฺติ อธิปฺปาเยนาห ‘‘อภิญฺญาปาทเก ฌาเน วุเตฺต’’ติฯ อรูปชฺฌานมฺปิ ปน อธิฎฺฐานตาย ปาทกเมว จุทฺทสธา จิตฺตปริทมเนน วินา ตทภาวโตฯ ‘‘เอวมภิญฺญาปาทเก รูปาวจรชฺฌาเน วุเตฺต รูปาวจรตาย กิญฺจาปิ อภิญฺญานํ โลกิยวาโร อาคโต’’ติ อยเญฺหตฺถ อธิปฺปาโยฯ นนฺติ อภิญฺญาวารํฯ จตฺตาริ…เป.… อริยมคฺคา สีลานํ อานิสํโส สมฺปนฺนสีลเสฺสว ลาภโตฯ ปริยาทิยิตฺวาติ คเหตฺวาฯ
Visesena rūpāvacaracatutthajjhānaṃ sabbaso vasībhāvāpāditaṃ abhiññāpādakanti adhippāyenāha ‘‘abhiññāpādake jhāne vutte’’ti. Arūpajjhānampi pana adhiṭṭhānatāya pādakameva cuddasadhā cittaparidamanena vinā tadabhāvato. ‘‘Evamabhiññāpādake rūpāvacarajjhāne vutte rūpāvacaratāya kiñcāpi abhiññānaṃ lokiyavāro āgato’’ti ayañhettha adhippāyo. Nanti abhiññāvāraṃ. Cattāri…pe… ariyamaggā sīlānaṃ ānisaṃso sampannasīlasseva lābhato. Pariyādiyitvāti gahetvā.
องฺคสนฺตตายาติ นีวรณาทีนํ ปจฺจนีกธมฺมานํ สุทูรตรภาเวน ฌานงฺคานํ วูปสนฺตตาย, นิพฺพุตสพฺพทรถปริฬาหตายาติ อโตฺถ, ยโต เตสํ ฌานานํ ปณีตตราทิภาโวฯ อารมฺมณสนฺตตายาติ รูปปฎิฆาทิวิคมเนน สณฺหสุขุมาทิภาวปฺปตฺตสนฺตภาเวนฯ ยทเคฺคน หิ เนสํ ภาวนาภิสมยสพฺภาวิตสณฺหสุขุมาการานิ อารมฺมณานิ สนฺตานิ, ตทเคฺคน ฌานงฺคานํ สนฺตตา เวทิตพฺพาฯ อารมฺมณสนฺตตาย สนฺตตา โลกุตฺตรธมฺมารมฺมณาหิ ปจฺจเวกฺขณาหิ ทีเปตพฺพาฯ วิมุตฺตา วิเสเสน มุตฺตาฯ เย หิ ฌานธมฺมา ตถาปวตฺตปุพฺพภาคภาวนาหิ ตพฺพิเสสตาย สาติสยํ ปฎิปกฺขธเมฺมหิ วิมุตฺติวเสน ปวตฺตนฺติ, ตโต เอว ตถาวิมุตฺตตาย ปิตุ อเงฺก วิสฺสฎฺฐองฺคปจฺจโงฺค วิย กุมาโร นิราสงฺกภาเวน อารมฺมเณ อธิมุตฺตา จ ปวตฺตนฺติ, เต วิโมกฺขาติ วุจฺจนฺติฯ เตนาห ‘‘วิโมกฺขาติ ปจฺจนีกธเมฺมหิ วิมุตฺตตฺตา อารมฺมเณ จ อธิมุตฺตตฺตา’’ติ ฯ ยทิปิ อารมฺมณสมติกฺกมวเสน ปตฺตพฺพานิ อารุปฺปานิ, น องฺคาติกฺกมวเสน, ตถาปิ ยสฺมา อารมฺมเณ อวิรตฺตสฺส ฌานสมติกฺกโม น โหติ, สมติกฺกเนฺตสุ จ ฌาเนสุ อารมฺมณํ สมติกฺกนฺตเมว โหติ, ตสฺมา อารมฺมณสมติกฺกมํ อวตฺวา ‘‘รูปาวจรชฺฌาเน อติกฺกมิตฺวา’’ติ อิเจฺจว วุตฺตํฯ อติกฺกมฺม รูเปติ ปาฬิยํ ‘‘สมฺปาเทตพฺพา, ปสฺสิตพฺพา’’ติ วา กิญฺจิ ปทํ อิจฺฉิตพฺพํ, อสุตปริกปฺปเนน ปน ปโยชนํ นตฺถีติ ‘‘สนฺตาติ ปทสมฺพโนฺธ’’ติ วุตฺตํฯ เอวญฺจ กตฺวา เตน วิราคภาเวน เตสํ สนฺตตาติ อยมฺปิ อโตฺถ วิภาวิโต โหติฯ รูปชฺฌานาทีนํ วิย นตฺถิ เอเตสํ อารมฺมณภูตํ วา ผลภูตํ วา รูปนฺติ อรูปาฯ อรูปา เอว อารุปฺปาฯ เตนาห ‘‘อารมฺมณโต จ วิปากโต จ รูปวิรหิตา’’ติฯ นามกาเยนาติ สหชาตนามสมูเหนฯ
Aṅgasantatāyāti nīvaraṇādīnaṃ paccanīkadhammānaṃ sudūratarabhāvena jhānaṅgānaṃ vūpasantatāya, nibbutasabbadarathapariḷāhatāyāti attho, yato tesaṃ jhānānaṃ paṇītatarādibhāvo. Ārammaṇasantatāyāti rūpapaṭighādivigamanena saṇhasukhumādibhāvappattasantabhāvena. Yadaggena hi nesaṃ bhāvanābhisamayasabbhāvitasaṇhasukhumākārāni ārammaṇāni santāni, tadaggena jhānaṅgānaṃ santatā veditabbā. Ārammaṇasantatāya santatā lokuttaradhammārammaṇāhi paccavekkhaṇāhi dīpetabbā. Vimuttā visesena muttā. Ye hi jhānadhammā tathāpavattapubbabhāgabhāvanāhi tabbisesatāya sātisayaṃ paṭipakkhadhammehi vimuttivasena pavattanti, tato eva tathāvimuttatāya pitu aṅke vissaṭṭhaaṅgapaccaṅgo viya kumāro nirāsaṅkabhāvena ārammaṇe adhimuttā ca pavattanti, te vimokkhāti vuccanti. Tenāha ‘‘vimokkhāti paccanīkadhammehi vimuttattā ārammaṇe ca adhimuttattā’’ti . Yadipi ārammaṇasamatikkamavasena pattabbāni āruppāni, na aṅgātikkamavasena, tathāpi yasmā ārammaṇe avirattassa jhānasamatikkamo na hoti, samatikkantesu ca jhānesu ārammaṇaṃ samatikkantameva hoti, tasmā ārammaṇasamatikkamaṃ avatvā ‘‘rūpāvacarajjhāne atikkamitvā’’ti icceva vuttaṃ. Atikkamma rūpeti pāḷiyaṃ ‘‘sampādetabbā, passitabbā’’ti vā kiñci padaṃ icchitabbaṃ, asutaparikappanena pana payojanaṃ natthīti ‘‘santāti padasambandho’’ti vuttaṃ. Evañca katvā tena virāgabhāvena tesaṃ santatāti ayampi attho vibhāvito hoti. Rūpajjhānādīnaṃ viya natthi etesaṃ ārammaṇabhūtaṃ vā phalabhūtaṃ vā rūpanti arūpā. Arūpā eva āruppā. Tenāha ‘‘ārammaṇato ca vipākato ca rūpavirahitā’’ti. Nāmakāyenāti sahajātanāmasamūhena.
๖๗. สํโยเชนฺตีติ พนฺธนฺติฯ เกหีติ อาห ‘‘ขนฺธคตี’’ติอาทิฯ อสมุจฺฉินฺนราคาทิกสฺส หิ ขนฺธาทีนํ อายติํ ขนฺธาทีหิ สมฺพโนฺธ, สมุจฺฉินฺนราคาทิกสฺส ปน ตํ นตฺถิ กตานมฺปิ กมฺมานํ อสมตฺถภาวาปตฺติโตติฯ ราคาทีนํ อนฺวยโต จ สํโยชนโฎฺฐ สิโทฺธติ อาห ‘‘ขนฺธคติ…เป.… วุจฺจนฺตี’’ติฯ ปริกฺขเยนาติ สมุเจฺฉเทน สพฺพโส อายติํ อนุปฺปชฺชเนนฯ ปฎิปกฺขธมฺมานํ อนวเสสโต สวนโต ปีฬนโต โสโต, อริยมโคฺคติ อาห ‘‘โสโตติ จ มคฺคเสฺสตํ อธิวจน’’นฺติฯ ตํ โสตํ อาทิโต ปโนฺน อธิคจฺฉีติ โสตาปโนฺน, อฎฺฐมโกฯ เตนาห ‘‘ตํสมงฺคีปุคฺคลสฺสา’’ติ, ปฐมมคฺคกฺขเณ ปุคฺคลสฺสาติ อธิปฺปาโยฯ อิธ ปน ปนฺน-สโทฺท ‘‘ผลสจฺฉิกิริยาย ปฎิปโนฺน’’ติอาทีสุ (อ. นิ. ๘.๕๙) วิย วตฺตมานกาลิโกติ อาห ‘‘มเคฺคน ผลสฺส นามํ ทินฺน’’นฺติฯ อภีตกาลิกเตฺต ปน สรสโตว นามลาโภ สิยาฯ วิรูปํ สทุกฺขํ สอุปายาสํ นิปาเตตีติ วินิปาโต, อปายทุเกฺข ขิปนโกฯ ธโมฺมติ สภาโวฯ เตนาห ‘‘อตฺตาน’’นฺติอาทิฯ กสฺมาติ อวินิปาตธมฺมตาย การณํ ปุจฺฉติฯ อปายํ คเมนฺตีติ อปายคมนียาฯ สมฺพุชฺฌตีติ สโมฺพธิ, อริยมโคฺคฯ โส ปน ปฐมมคฺคสฺส อธิคตตฺตา อวสิโฎฺฐ เอว อธิคนฺธพฺพภาเวน อิจฺฉิตโพฺพติ อาห ‘‘อุปริมคฺคตฺตย’’นฺติฯ
67.Saṃyojentīti bandhanti. Kehīti āha ‘‘khandhagatī’’tiādi. Asamucchinnarāgādikassa hi khandhādīnaṃ āyatiṃ khandhādīhi sambandho, samucchinnarāgādikassa pana taṃ natthi katānampi kammānaṃ asamatthabhāvāpattitoti. Rāgādīnaṃ anvayato ca saṃyojanaṭṭho siddhoti āha ‘‘khandhagati…pe… vuccantī’’ti. Parikkhayenāti samucchedena sabbaso āyatiṃ anuppajjanena. Paṭipakkhadhammānaṃ anavasesato savanato pīḷanato soto, ariyamaggoti āha ‘‘sototi ca maggassetaṃ adhivacana’’nti. Taṃ sotaṃ ādito panno adhigacchīti sotāpanno, aṭṭhamako. Tenāha ‘‘taṃsamaṅgīpuggalassā’’ti, paṭhamamaggakkhaṇe puggalassāti adhippāyo. Idha pana panna-saddo ‘‘phalasacchikiriyāya paṭipanno’’tiādīsu (a. ni. 8.59) viya vattamānakālikoti āha ‘‘maggena phalassa nāmaṃ dinna’’nti. Abhītakālikatte pana sarasatova nāmalābho siyā. Virūpaṃ sadukkhaṃ saupāyāsaṃ nipātetīti vinipāto, apāyadukkhe khipanako. Dhammoti sabhāvo. Tenāha ‘‘attāna’’ntiādi. Kasmāti avinipātadhammatāya kāraṇaṃ pucchati. Apāyaṃ gamentīti apāyagamanīyā. Sambujjhatīti sambodhi, ariyamaggo. So pana paṭhamamaggassa adhigatattā avasiṭṭho eva adhigandhabbabhāvena icchitabboti āha ‘‘uparimaggattaya’’nti.
วณฺณภณนตฺถํ วุตฺตานิ,น ปหาตพฺพานีติ อธิปฺปาโยฯ โอฬาริกานํ ราคาทีนํ สมุจฺฉินฺทนวเสน ปวตฺตมาโน ทุติยมโคฺค อวสิฎฺฐานํ เตสํ ตนุภาวาปตฺติยา อุปฺปโนฺน นาม โหตีติ วุตฺตํ ‘‘ราคโทสโมหานํ ตนุตฺตา’’ติฯ อธิจฺจุปฺปตฺติยาติ กทาจิ กรหจิ อุปฺปชฺชเนนฯ ปริยุฎฺฐานมนฺทตายาติ สมุทาจารมุทุตายฯ อภิณฺหํ น อุปฺปชฺชนฺติ ตชฺชสฺส อโยนิโสมนสิการสฺส อนิพทฺธภาวโตฯ มนฺทมนฺทา อุปฺปชฺชนฺติ วิปลฺลาสานํ ตปฺปจฺจยานญฺจ โมหมานาทีนํ มุทุตรภาวโตฯ พหลาว อุปฺปชฺชนฺติ วตฺถุปฎิเสวนโตติ อธิปฺปาโยฯ เตนาห ‘‘ตถา หี’’ติอาทิฯ
Vaṇṇabhaṇanatthaṃ vuttāni,na pahātabbānīti adhippāyo. Oḷārikānaṃ rāgādīnaṃ samucchindanavasena pavattamāno dutiyamaggo avasiṭṭhānaṃ tesaṃ tanubhāvāpattiyā uppanno nāma hotīti vuttaṃ ‘‘rāgadosamohānaṃ tanuttā’’ti. Adhiccuppattiyāti kadāci karahaci uppajjanena. Pariyuṭṭhānamandatāyāti samudācāramudutāya. Abhiṇhaṃ na uppajjanti tajjassa ayonisomanasikārassa anibaddhabhāvato. Mandamandā uppajjanti vipallāsānaṃ tappaccayānañca mohamānādīnaṃ mudutarabhāvato. Bahalāva uppajjanti vatthupaṭisevanatoti adhippāyo. Tenāha ‘‘tathā hī’’tiādi.
สกิํ อาคมนธโมฺมติ ปฎิสนฺธิวเสน สกิํเยว อาคมนสภาโวฯ เอกวารํเยว…เป.… อาคนฺตฺวาติ อิมินา ปญฺจสุ สกทาคามีสุ จตฺตาโร วเชฺชตฺวา เอโกเยว คหิโตติ ทเสฺสโนฺต ‘‘โยปิ หี’’ติอาทิมาหฯ ตตฺถ ยฺวายํ ปญฺจมโก สกทาคามี ‘‘อิธ มคฺคํ ภาเวตฺวา เทวโลเก นิพฺพโตฺต, ตตฺถ ยาวตายุกํ ฐตฺวา ปุน อิธูปปชฺชิตฺวา ปรินิพฺพายตี’’ติ วุโตฺต, ตสฺส เอกพีชินา สทฺธิํ กิํ นานากรณนฺติ? เอกพีชิสฺส เอกา ปฎิสนฺธิ, สกทาคามิสฺส เทฺว ปฎิสนฺธิโยติ อิทํ เตสํ นานากรณํฯ ยสฺส หิ โสตาปนฺนสฺส เอกํเยว ขนฺธพีชํ, น เอกํ อตฺตภาวคฺคหณํ, โส เอกพีชีติฯ
Sakiṃ āgamanadhammoti paṭisandhivasena sakiṃyeva āgamanasabhāvo. Ekavāraṃyeva…pe… āgantvāti iminā pañcasu sakadāgāmīsu cattāro vajjetvā ekoyeva gahitoti dassento ‘‘yopi hī’’tiādimāha. Tattha yvāyaṃ pañcamako sakadāgāmī ‘‘idha maggaṃ bhāvetvā devaloke nibbatto, tattha yāvatāyukaṃ ṭhatvā puna idhūpapajjitvā parinibbāyatī’’ti vutto, tassa ekabījinā saddhiṃ kiṃ nānākaraṇanti? Ekabījissa ekā paṭisandhi, sakadāgāmissa dve paṭisandhiyoti idaṃ tesaṃ nānākaraṇaṃ. Yassa hi sotāpannassa ekaṃyeva khandhabījaṃ, na ekaṃ attabhāvaggahaṇaṃ, so ekabījīti.
เหฎฺฐาติ ‘‘อมหคฺคตภูมิย’’นฺติ เหฎฺฐา สมฺพนฺธเนนฯ เหฎฺฐาภาคสฺส หิตาติ เหฎฺฐาภาคิยา, เตสํฯ ตานีติ โอรพฺภาคิยสํโยชนานิฯ กามาวจเร นิพฺพตฺตติเยว อชฺฌตฺตํ สํโยชนตฺตาฯ ตถา เหส ทูรโตปิ อาวตฺติธโมฺม เอวาติ ทเสฺสตุํ คิลพฬิสมจฺฉาทโย อุปมาภาเวน วุตฺตาฯ โอปปาติโกติ อิมินา คพฺภวาสทุกฺขาภาวมาหฯ ตตฺถ ปรินิพฺพายีติ อิมินา เสสทุกฺขาภาวํฯ ตตฺถ ปรินิพฺพานตา จสฺส กามโลเก ขนฺธพีชสฺส อปุนาโรหวเสเนวาติ ทเสฺสตุํ ‘‘อนาวตฺติธโมฺม’’ติ วุตฺตํฯ
Heṭṭhāti ‘‘amahaggatabhūmiya’’nti heṭṭhā sambandhanena. Heṭṭhābhāgassa hitāti heṭṭhābhāgiyā, tesaṃ. Tānīti orabbhāgiyasaṃyojanāni. Kāmāvacare nibbattatiyeva ajjhattaṃ saṃyojanattā. Tathā hesa dūratopi āvattidhammo evāti dassetuṃ gilabaḷisamacchādayo upamābhāvena vuttā. Opapātikoti iminā gabbhavāsadukkhābhāvamāha. Tattha parinibbāyīti iminā sesadukkhābhāvaṃ. Tattha parinibbānatā cassa kāmaloke khandhabījassa apunārohavasenevāti dassetuṃ ‘‘anāvattidhammo’’ti vuttaṃ.
๖๘. เกวลาติ โลกิยาภิญฺญาหิ อสมฺมิสฺสาฯ โลกิยปญฺจาภิญฺญาโยปิ สีลานํ อานิสํโส ตทวินาภาวโตฯ ตาปิ ทเสฺสตุํ อากเงฺขยฺย เจ…เป.… เอวมาทิมาหาติ โยชนาฯ อาสวานํ อนวเสสปฺปหานโต อรหตฺตมโคฺคเยว วิเสสโต ‘‘อาสวกฺขโย’’ติ วตฺตพฺพตํ อรหตีติ วุตฺตํ ‘‘อาสวกฺขเย กถิเต’’ติ, อญฺญถา สพฺพาปิ ฉฬภิญฺญา อาสวกฺขโย เอวาติฯ อิเมสํ คุณานนฺติ โลกิยาภิญฺญานํ ฯ ยถา ปุริสสฺส มุณฺฑิตํ สีสํ สิขาวิรหิตตฺตา น โสภติ, เอวํ เทสนาย สีสภูตาปิ อคฺคมคฺคกถา โลกิยาภิญฺญารหิตา น โสภตีติ อาห ‘‘อยํ กถา มุณฺฑาภิญฺญากถา นาม ภเวยฺยา’’ติฯ อิทฺธิวิกุพฺพนาติ อิทฺธิ จ วิกุพฺพนา จฯ วิกุพฺพนคฺคหเณน เจตฺถ วิกุพฺพนิทฺธิมาห, อิทฺธิคฺคหเณน ตทญฺญํ สพฺพญฺจ อภิญฺญากิจฺจํฯ ยุตฺตฎฺฐาเนเยวาติ โลกิยาภิญฺญานํ นิพฺพตฺตนสฺส วิย เทสนาย ยุตฺตฎฺฐาเนเยวฯ เอเตน น เกวลํ เทสนกฺกเมเนวายํ เทสนา, อถ โข ปฎิปตฺติกฺกเมนปีติ ทเสฺสติฯ วิสุทฺธิมเคฺค (วิสุทฺธิ. ๒.๓๖๙) วุตฺตา, ตสฺมา ตตฺถ วุตฺตนเยเนว เวทิตพฺพาติ อธิปฺปาโยฯ
68.Kevalāti lokiyābhiññāhi asammissā. Lokiyapañcābhiññāyopi sīlānaṃ ānisaṃso tadavinābhāvato. Tāpi dassetuṃ ākaṅkheyya ce…pe… evamādimāhāti yojanā. Āsavānaṃ anavasesappahānato arahattamaggoyeva visesato ‘‘āsavakkhayo’’ti vattabbataṃ arahatīti vuttaṃ ‘‘āsavakkhaye kathite’’ti, aññathā sabbāpi chaḷabhiññā āsavakkhayo evāti. Imesaṃ guṇānanti lokiyābhiññānaṃ . Yathā purisassa muṇḍitaṃ sīsaṃ sikhāvirahitattā na sobhati, evaṃ desanāya sīsabhūtāpi aggamaggakathā lokiyābhiññārahitā na sobhatīti āha ‘‘ayaṃ kathā muṇḍābhiññākathā nāma bhaveyyā’’ti. Iddhivikubbanāti iddhi ca vikubbanā ca. Vikubbanaggahaṇena cettha vikubbaniddhimāha, iddhiggahaṇena tadaññaṃ sabbañca abhiññākiccaṃ. Yuttaṭṭhāneyevāti lokiyābhiññānaṃ nibbattanassa viya desanāya yuttaṭṭhāneyeva. Etena na kevalaṃ desanakkamenevāyaṃ desanā, atha kho paṭipattikkamenapīti dasseti. Visuddhimagge (visuddhi. 2.369) vuttā, tasmā tattha vuttanayeneva veditabbāti adhippāyo.
๖๙. อาสวานํ ขยาติ เหฎฺฐิมมเคฺคน เขปิตาวสิฎฺฐานํ อาสวานํ อรหตฺตมเคฺคน สมุจฺฉินฺทนโตฯ ยสฺมา อรหตฺตมโคฺค น เกวลํ อาสเวเยว เขเปติ, อถ โข อวสิเฎฺฐ สพฺพกิเลเสปิ, ตสฺมา อาห ‘‘สพฺพกิเลสานํ ขยา’’ติฯ ลกฺขณมตฺตเญฺหตฺถ อาสวคฺคหณํ, อาสวานํ อารมฺมณภาวสฺสปิ อนุปคมนโต อนาสวํฯ ยสฺมา ปน ตตฺถ อาสวานํ เลโสปิ นตฺถิ, ตสฺมา วุตฺตํ ‘‘อาสววิรหิต’’นฺติฯ สมาธิ วุโตฺต เจโตสีเสน ยถา ‘‘จิตฺตํ ปญฺญญฺจ ภาวย’’นฺติ (สํ. นิ. ๑.๒๓, ๑๙๒; เปฎโก. ๒๒; มิ. ป. ๒.๑.๙) อธิปฺปาโยฯ ราคโต วิมุตฺตตฺตา อวิชฺชาย วิมุตฺตตฺตาติ อิทํ อุชุวิปจฺจนีกปฎิปฺปสฺสทฺธิทสฺสนํ ทฎฺฐพฺพํ, น ตทเญฺญสํ ปาปธมฺมานํ อปฺปฎิปฺปสฺสทฺธตฺตาฯ อิทานิ ตเมว สมาธิปญฺญานํ ราคาวิชฺชาปฎิปกฺขตํ อาคเมน ทเสฺสตุํ ‘‘วุตฺตํ เจต’’นฺติอาทิ วุตฺตํฯ สมถผลนฺติ สมถสฺส ผลํ โลกิยสมถภาวนาย หิ วิปสฺสนาคตาย อาหิตผลสฺส โลกุตฺตรสมถสฺส สริกฺขกผโล เจโตวิมุตฺติฯ วิปสฺสนาผลนฺติ เอตฺถาปิ เอเสว นโยฯ อตฺตโนเยวาติ สุตมยญาณาทินา วิย ปรปจฺจยตํ นยคฺคาหญฺจ มุญฺจิตฺวา ปรโตโฆสานุคตภาวนาธิคมภูตตาย อตฺตโนเยว ปญฺญาย ปจฺจกฺขํ กตฺวา สยมฺภุญาณภูตายาติ อธิปฺปาโยฯ เตนาห ‘‘อปรปฺปจฺจเยน ญตฺวา’’ติฯ
69.Āsavānaṃ khayāti heṭṭhimamaggena khepitāvasiṭṭhānaṃ āsavānaṃ arahattamaggena samucchindanato. Yasmā arahattamaggo na kevalaṃ āsaveyeva khepeti, atha kho avasiṭṭhe sabbakilesepi, tasmā āha ‘‘sabbakilesānaṃ khayā’’ti. Lakkhaṇamattañhettha āsavaggahaṇaṃ, āsavānaṃ ārammaṇabhāvassapi anupagamanato anāsavaṃ. Yasmā pana tattha āsavānaṃ lesopi natthi, tasmā vuttaṃ ‘‘āsavavirahita’’nti. Samādhi vutto cetosīsena yathā ‘‘cittaṃ paññañca bhāvaya’’nti (saṃ. ni. 1.23, 192; peṭako. 22; mi. pa. 2.1.9) adhippāyo. Rāgato vimuttattā avijjāya vimuttattāti idaṃ ujuvipaccanīkapaṭippassaddhidassanaṃ daṭṭhabbaṃ, na tadaññesaṃ pāpadhammānaṃ appaṭippassaddhattā. Idāni tameva samādhipaññānaṃ rāgāvijjāpaṭipakkhataṃ āgamena dassetuṃ ‘‘vuttaṃ ceta’’ntiādi vuttaṃ. Samathaphalanti samathassa phalaṃ lokiyasamathabhāvanāya hi vipassanāgatāya āhitaphalassa lokuttarasamathassa sarikkhakaphalo cetovimutti. Vipassanāphalanti etthāpi eseva nayo. Attanoyevāti sutamayañāṇādinā viya parapaccayataṃ nayaggāhañca muñcitvā paratoghosānugatabhāvanādhigamabhūtatāya attanoyeva paññāya paccakkhaṃ katvā sayambhuñāṇabhūtāyāti adhippāyo. Tenāha ‘‘aparappaccayena ñatvā’’ti.
สพฺพมฺปิ ตนฺติ สพฺพมฺปิ สตฺตรสวิธํ ตํ ยถาวุตฺตํ สีลานิสํสํฯ ยถา อานิสํสวเนฺต สมฺมเทว สมฺปาทิเต ตทานิสํสา ทสฺสิตา เอว โหนฺติ ตทายตฺตภาวโต, เอวํ อานิสํสปธานโยคฺยภาเวน ทสฺสิเต ตทานิสํสา ทสฺสิตา เอว โหนฺตีติ อาห ‘‘สมฺปิเณฺฑตฺวา ทเสฺสโนฺต’’ติฯ วุตฺตเสฺสว อตฺถสฺส ปุนวจนํ นิคมนนฺติ วุตฺตํ ‘‘นิคมนํ อาหา’’ติฯ ปุเพฺพติ เทสนารเมฺภฯ เอวํ วุตฺตนฺติ ‘‘สมฺปนฺนสีลา’’ติ เอวมาทินา อากาเรน วุตฺตํฯ อิทํ สพฺพมฺปีติ อิทํ ‘‘สมฺปนฺนสีลา’’ติอาทิกํ สพฺพมฺปิ วจนํฯ เอตํ ปฎิจฺจาติ เอตํ สมฺปนฺนสีลสฺส ภิกฺขุโน ยถาวุตฺตสตฺตรสวิธานิสํสภาคิตํ สนฺธาย วุตฺตํฯ อิทเมว หิ ‘‘อิติ ยํ ตํ วุตฺตํ, อิทเมตํ ปฎิจฺจ วุตฺต’’นฺติ วจนํ สนฺธาย ‘‘สพฺพมฺปิ ตํ สีลานิสํสํ สมฺปิเณฺฑตฺวา ทเสฺสโนฺต’’ติ วุตฺตํฯ เอตฺถอาทิโต ฉหิ อานิสํเสหิ ปริตฺตภูมิกา สมฺปตฺติ คหิตา, ตทนฺตรํ ปญฺจหิ โลกิยาภิญฺญาหิ จ มหคฺคตภูมิกา, อิตเรหิ โลกุตฺตรภูมิกาติ เอวํ จตุภูมิกสมฺปทานิสํสสีลํ นาเมตํ มหนฺตํ มหานุภาวํ, ตสฺมา ตํสมฺปาทเน สกฺกจฺจการิตา อปฺปมเตฺตน ภวิตพฺพํฯ
Sabbampi tanti sabbampi sattarasavidhaṃ taṃ yathāvuttaṃ sīlānisaṃsaṃ. Yathā ānisaṃsavante sammadeva sampādite tadānisaṃsā dassitā eva honti tadāyattabhāvato, evaṃ ānisaṃsapadhānayogyabhāvena dassite tadānisaṃsā dassitā eva hontīti āha ‘‘sampiṇḍetvā dassento’’ti. Vuttasseva atthassa punavacanaṃ nigamananti vuttaṃ ‘‘nigamanaṃ āhā’’ti. Pubbeti desanārambhe. Evaṃ vuttanti ‘‘sampannasīlā’’ti evamādinā ākārena vuttaṃ. Idaṃ sabbampīti idaṃ ‘‘sampannasīlā’’tiādikaṃ sabbampi vacanaṃ. Etaṃ paṭiccāti etaṃ sampannasīlassa bhikkhuno yathāvuttasattarasavidhānisaṃsabhāgitaṃ sandhāya vuttaṃ. Idameva hi ‘‘iti yaṃ taṃ vuttaṃ, idametaṃ paṭicca vutta’’nti vacanaṃ sandhāya ‘‘sabbampi taṃ sīlānisaṃsaṃ sampiṇḍetvā dassento’’ti vuttaṃ. Etthaādito chahi ānisaṃsehi parittabhūmikā sampatti gahitā, tadantaraṃ pañcahi lokiyābhiññāhi ca mahaggatabhūmikā, itarehi lokuttarabhūmikāti evaṃ catubhūmikasampadānisaṃsasīlaṃ nāmetaṃ mahantaṃ mahānubhāvaṃ, tasmā taṃsampādane sakkaccakāritā appamattena bhavitabbaṃ.
อากเงฺขยฺยสุตฺตวณฺณนาย ลีนตฺถปฺปกาสนา สมตฺตาฯ
Ākaṅkheyyasuttavaṇṇanāya līnatthappakāsanā samattā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / มชฺฌิมนิกาย • Majjhimanikāya / ๖. อากเงฺขยฺยสุตฺตํ • 6. Ākaṅkheyyasuttaṃ
อฎฺฐกถา • Aṭṭhakathā / สุตฺตปิฎก (อฎฺฐกถา) • Suttapiṭaka (aṭṭhakathā) / มชฺฌิมนิกาย (อฎฺฐกถา) • Majjhimanikāya (aṭṭhakathā) / ๖. อากเงฺขยฺยสุตฺตวณฺณนา • 6. Ākaṅkheyyasuttavaṇṇanā