Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ธมฺมสงฺคณิ-อฎฺฐกถา • Dhammasaṅgaṇi-aṭṭhakathā |
อรูปาวจรกุสลวณฺณนา
Arūpāvacarakusalavaṇṇanā
อากาสานญฺจายตนํ
Ākāsānañcāyatanaṃ
๒๖๕. อิทานิ อรูปาวจรกุสลํ ทเสฺสตุํ ปุน กตเม ธมฺมา กุสลาติอาทิ อารทฺธํฯ ตตฺถ อรูปูปปตฺติยาติ อรูปภโว อรูปํ, อรูเป อุปปตฺติ อรูปูปปตฺติ, ตสฺสา อรูปูปปตฺติยาฯ มคฺคํ ภาเวตีติ อุปายํ เหตุํ การณํ อุปฺปาเทติ วเฑฺฒติฯ สพฺพโสติ สพฺพากาเรนฯ สพฺพาสํ วา อนวเสสานนฺติ อโตฺถฯ รูปสญฺญานนฺติ สญฺญาสีเสน วุตฺตรูปาวจรชฺฌานานเญฺจว ตทารมฺมณานญฺจฯ รูปาวจรชฺฌานมฺปิ หิ รูปนฺติ วุจฺจติ ‘รูปี รูปานิ ปสฺสตี’ติอาทีสุ (ธ. ส. ๒๔๘; ที. นิ. ๒.๑๒๙)ฯ ตสฺส อารมฺมณมฺปิ ‘‘พหิทฺธา รูปานิ ปสฺสติ สุวณฺณทุพฺพณฺณานี’’ติอาทีสุ (ธ. ส. ๒๔๔-๒๔๖; ที. นิ. ๒.๑๗๓); ตสฺมา อิธ รูเป สญฺญา รูปสญฺญาติ เอวํ สญฺญาสีเสน วุตฺตรูปาวจรชฺฌานเสฺสตํ อธิวจนํฯ รูปํ สญฺญา อสฺสาติ รูปสญฺญํ, รูปมสฺส นามนฺติ วุตฺตํ โหติฯ เอวํ ปถวีกสิณาทิเภทสฺส ตทารมฺมณสฺส เจตํ อธิวจนนฺติ เวทิตพฺพํฯ
265. Idāni arūpāvacarakusalaṃ dassetuṃ puna katame dhammā kusalātiādi āraddhaṃ. Tattha arūpūpapattiyāti arūpabhavo arūpaṃ, arūpe upapatti arūpūpapatti, tassā arūpūpapattiyā. Maggaṃ bhāvetīti upāyaṃ hetuṃ kāraṇaṃ uppādeti vaḍḍheti. Sabbasoti sabbākārena. Sabbāsaṃ vā anavasesānanti attho. Rūpasaññānanti saññāsīsena vuttarūpāvacarajjhānānañceva tadārammaṇānañca. Rūpāvacarajjhānampi hi rūpanti vuccati ‘rūpī rūpāni passatī’tiādīsu (dha. sa. 248; dī. ni. 2.129). Tassa ārammaṇampi ‘‘bahiddhā rūpāni passati suvaṇṇadubbaṇṇānī’’tiādīsu (dha. sa. 244-246; dī. ni. 2.173); tasmā idha rūpe saññā rūpasaññāti evaṃ saññāsīsena vuttarūpāvacarajjhānassetaṃ adhivacanaṃ. Rūpaṃ saññā assāti rūpasaññaṃ, rūpamassa nāmanti vuttaṃ hoti. Evaṃ pathavīkasiṇādibhedassa tadārammaṇassa cetaṃ adhivacananti veditabbaṃ.
สมติกฺกมาติ วิราคา นิโรธา จฯ กิํ วุตฺตํ โหติ? เอตาสํ กุสลวิปากกิริยวเสน ปญฺจทสนฺนํ ฌานสงฺขาตานํ รูปสญฺญานํ, เอเตสญฺจ ปถวีกสิณาทิวเสน อฎฺฐนฺนํ อารมฺมณสงฺขาตานํ รูปสญฺญานํ, สพฺพากาเรน อนวเสสานํ วา วิราคา จ นิโรธา จ วิราคเหตุ เจว นิโรธเหตุ จ อากาสานญฺจายตนํ อุปสมฺปชฺช วิหรติฯ น หิ สกฺกา สพฺพโส อนติกฺกนฺตรูปสเญฺญน เอตํ อุปสมฺปชฺช วิหริตุนฺติฯ
Samatikkamāti virāgā nirodhā ca. Kiṃ vuttaṃ hoti? Etāsaṃ kusalavipākakiriyavasena pañcadasannaṃ jhānasaṅkhātānaṃ rūpasaññānaṃ, etesañca pathavīkasiṇādivasena aṭṭhannaṃ ārammaṇasaṅkhātānaṃ rūpasaññānaṃ, sabbākārena anavasesānaṃ vā virāgā ca nirodhā ca virāgahetu ceva nirodhahetu ca ākāsānañcāyatanaṃ upasampajja viharati. Na hi sakkā sabbaso anatikkantarūpasaññena etaṃ upasampajja viharitunti.
ตตฺถ ยสฺมา อารมฺมเณ อวิรตฺตสฺส สญฺญาสมติกฺกโม น โหติ, สมติกฺกนฺตาสุ จ สญฺญาสุ อารมฺมณํ สมติกฺกนฺตเมว โหติ, ตสฺมา อารมฺมณสมติกฺกมํ อวตฺวา ‘‘ตตฺถ กตมา รูปสญฺญา? รูปาวจรสมาปตฺติํ สมาปนฺนสฺส วา อุปปนฺนสฺส วา ทิฎฺฐธมฺมสุขวิหาริสฺส วา สญฺญา สญฺชานนา สญฺชานิตตฺตํ, อิมา วุจฺจนฺติ รูปสญฺญาโยฯ อิมา รูปสญฺญาโย อติกฺกโนฺต โหติ, วีติกฺกโนฺต, สมติกฺกโนฺต, เตน วุจฺจติ สพฺพโส รูปสญฺญานํ สมติกฺกมา’’ติ (วิภ. ๖๐๒) เอวํ วิภเงฺค สญฺญานํเยว สมติกฺกโม วุโตฺตฯ ยสฺมา ปน อารมฺมณสมติกฺกเมน ปตฺตพฺพา เอตา สมาปตฺติโย, น เอกสฺมิํเยว อารมฺมเณ ปฐมชฺฌานาทีนิ วิย, ตสฺมา อยํ อารมฺมณสมติกฺกมวเสนาปิ อตฺถวณฺณนา กตาติ เวทิตพฺพาฯ
Tattha yasmā ārammaṇe avirattassa saññāsamatikkamo na hoti, samatikkantāsu ca saññāsu ārammaṇaṃ samatikkantameva hoti, tasmā ārammaṇasamatikkamaṃ avatvā ‘‘tattha katamā rūpasaññā? Rūpāvacarasamāpattiṃ samāpannassa vā upapannassa vā diṭṭhadhammasukhavihārissa vā saññā sañjānanā sañjānitattaṃ, imā vuccanti rūpasaññāyo. Imā rūpasaññāyo atikkanto hoti, vītikkanto, samatikkanto, tena vuccati sabbaso rūpasaññānaṃ samatikkamā’’ti (vibha. 602) evaṃ vibhaṅge saññānaṃyeva samatikkamo vutto. Yasmā pana ārammaṇasamatikkamena pattabbā etā samāpattiyo, na ekasmiṃyeva ārammaṇe paṭhamajjhānādīni viya, tasmā ayaṃ ārammaṇasamatikkamavasenāpi atthavaṇṇanā katāti veditabbā.
ปฎิฆสญฺญานํ อตฺถงฺคมาติ จกฺขาทีนํ วตฺถูนํ รูปาทีนํ อารมฺมณานญฺจ ปฎิฆาเตน สมุปฺปนฺนา สญฺญา ปฎิฆสญฺญาฯ รูปสญฺญาทีนํ เอตํ อธิวจนํฯ ยถาห – ‘‘ตตฺถ กตมา ปฎิฆสญฺญา? รูปสญฺญา สทฺทสญฺญา คนฺธสญฺญา รสสญฺญา โผฎฺฐพฺพสญฺญา, อิมา วุจฺจนฺติ ปฎิฆสญฺญาโย’’ติ (วิภ. ๖๐๓)ฯ ตาสํ กุสลวิปากานํ ปญฺจนฺนํ อกุสลวิปากานํ ปญฺจนฺนนฺติ สพฺพโส ทสนฺนมฺปิ ปฎิฆสญฺญานํ อตฺถงฺคมา ปหานา อสมุปฺปาทา อปฺปวตฺติํ กตฺวาติ วุตฺตํ โหติฯ
Paṭighasaññānaṃ atthaṅgamāti cakkhādīnaṃ vatthūnaṃ rūpādīnaṃ ārammaṇānañca paṭighātena samuppannā saññā paṭighasaññā. Rūpasaññādīnaṃ etaṃ adhivacanaṃ. Yathāha – ‘‘tattha katamā paṭighasaññā? Rūpasaññā saddasaññā gandhasaññā rasasaññā phoṭṭhabbasaññā, imā vuccanti paṭighasaññāyo’’ti (vibha. 603). Tāsaṃ kusalavipākānaṃ pañcannaṃ akusalavipākānaṃ pañcannanti sabbaso dasannampi paṭighasaññānaṃ atthaṅgamā pahānā asamuppādā appavattiṃ katvāti vuttaṃ hoti.
กามเญฺจตา ปฐมชฺฌานาทีนิ สมาปนฺนสฺสาปิ น สนฺติ – น หิ ตสฺมิํ สมเย ปญฺจทฺวารวเสน จิตฺตํ ปวตฺตติ – เอวํ สเนฺตปิ, อญฺญตฺถ ปหีนานํ สุขทุกฺขานํ จตุตฺถชฺฌาเน วิย, สกฺกายทิฎฺฐาทีนํ ตติยมเคฺค วิย จ, อิมสฺมิํ ฌาเน อุสฺสาหชนนตฺถํ อิมสฺส ฌานสฺส ปสํสาวเสน เอตาสํ เอตฺถ วจนํ เวทิตพฺพํฯ อถ วา กิญฺจาปิ ตา รูปาวจรํ สมาปนฺนสฺส น สนฺติ, อถ โข น ปหีนตฺตา น สนฺติฯ น หิ รูปวิราคาย รูปาวจรภาวนา สํวตฺตติ, รูปายตฺตา จ เอตาสํ ปวตฺติฯ อยํ ปน ภาวนา รูปวิราคาย สํวตฺตติฯ ตสฺมา ตา เอตฺถ ปหีนาติ วตฺตุํ วฎฺฎติฯ น เกวลญฺจ วตฺตุํ, เอกํเสเนว เอวํ ธาเรตุมฺปิ วฎฺฎติฯ ตาสญฺหิ อิโต ปุเพฺพ อปฺปหีนตฺตาเยว ปฐมชฺฌานํ สมาปนฺนสฺส ‘‘สโทฺท กณฺฎโก’’ติ (อ. นิ. ๑๐.๗๒) วุโตฺต ภควตาฯ อิธ จ ปหีนตฺตาเยว อรูปสมาปตฺตีนํ อาเนญฺชตา สนฺตวิโมกฺขตา จ วุตฺตาฯ อาฬาโร จ กาฬาโม อารุปฺปสมาปโนฺน ปญฺจมตฺตานิ สกฎสตานิ นิสฺสาย นิสฺสาย อติกฺกนฺตานิ เนว อทฺทส, น ปน สทฺทํ อโสฺสสีติ (ที. นิ. ๒.๑๙๒)ฯ
Kāmañcetā paṭhamajjhānādīni samāpannassāpi na santi – na hi tasmiṃ samaye pañcadvāravasena cittaṃ pavattati – evaṃ santepi, aññattha pahīnānaṃ sukhadukkhānaṃ catutthajjhāne viya, sakkāyadiṭṭhādīnaṃ tatiyamagge viya ca, imasmiṃ jhāne ussāhajananatthaṃ imassa jhānassa pasaṃsāvasena etāsaṃ ettha vacanaṃ veditabbaṃ. Atha vā kiñcāpi tā rūpāvacaraṃ samāpannassa na santi, atha kho na pahīnattā na santi. Na hi rūpavirāgāya rūpāvacarabhāvanā saṃvattati, rūpāyattā ca etāsaṃ pavatti. Ayaṃ pana bhāvanā rūpavirāgāya saṃvattati. Tasmā tā ettha pahīnāti vattuṃ vaṭṭati. Na kevalañca vattuṃ, ekaṃseneva evaṃ dhāretumpi vaṭṭati. Tāsañhi ito pubbe appahīnattāyeva paṭhamajjhānaṃ samāpannassa ‘‘saddo kaṇṭako’’ti (a. ni. 10.72) vutto bhagavatā. Idha ca pahīnattāyeva arūpasamāpattīnaṃ āneñjatā santavimokkhatā ca vuttā. Āḷāro ca kāḷāmo āruppasamāpanno pañcamattāni sakaṭasatāni nissāya nissāya atikkantāni neva addasa, na pana saddaṃ assosīti (dī. ni. 2.192).
นานตฺตสญฺญานํ อมนสิการาติ นานเตฺต โคจเร ปวตฺตานํ สญฺญานํ นานตฺตานํ วา สญฺญานํฯ ยสฺมา หิ เอตา ‘‘ตตฺถ กตมา นานตฺตสญฺญา? อสมาปนฺนสฺส มโนธาตุสมงฺคิสฺส วา มโนวิญฺญาณธาตุสมงฺคิสฺส วา สญฺญา สญฺชานนา สญฺชานิตตฺตํ, อิมา วุจฺจนฺติ นานตฺตสญฺญาโย’’ติ (วิภ. ๖๐๔) เอวํ วิภเงฺค วิภชิตฺวา วุตฺตา อิธ อธิเปฺปตา; อสมาปนฺนสฺส มโนธาตุมโนวิญฺญาณธาตุสงฺคหิตา สญฺญา รูปสทฺทาทิเภเท นานเตฺต นานาสภาเว โคจเร ปวตฺตนฺติ; ยสฺมา เจตา อฎฺฐ กามาวจรกุสลสญฺญา, ทฺวาทส อกุสลสญฺญา, เอกาทส กามาวจรกุสลวิปากสญฺญา , เทฺว อกุสลวิปากสญฺญา, เอกาทส กามาวจรกิริยสญฺญาติ เอวํ จตุจตฺตาลีสมฺปิ สญฺญา นานตฺตา นานาสภาวา อญฺญมญฺญํ อสทิสา, ตสฺมา นานตฺตสญฺญาติ วุตฺตาฯ ตาสํ สพฺพโส นานตฺตสญฺญานํ อมนสิการา อนาวชฺชนา อสมนฺนาหารา อปจฺจเวกฺขณาฯ ยสฺมา ตา นาวชฺชติ, น มนสิกโรติ, น ปจฺจเวกฺขติ, ตสฺมาติ วุตฺตํ โหติฯ
Nānattasaññānaṃ amanasikārāti nānatte gocare pavattānaṃ saññānaṃ nānattānaṃ vā saññānaṃ. Yasmā hi etā ‘‘tattha katamā nānattasaññā? Asamāpannassa manodhātusamaṅgissa vā manoviññāṇadhātusamaṅgissa vā saññā sañjānanā sañjānitattaṃ, imā vuccanti nānattasaññāyo’’ti (vibha. 604) evaṃ vibhaṅge vibhajitvā vuttā idha adhippetā; asamāpannassa manodhātumanoviññāṇadhātusaṅgahitā saññā rūpasaddādibhede nānatte nānāsabhāve gocare pavattanti; yasmā cetā aṭṭha kāmāvacarakusalasaññā, dvādasa akusalasaññā, ekādasa kāmāvacarakusalavipākasaññā , dve akusalavipākasaññā, ekādasa kāmāvacarakiriyasaññāti evaṃ catucattālīsampi saññā nānattā nānāsabhāvā aññamaññaṃ asadisā, tasmā nānattasaññāti vuttā. Tāsaṃ sabbaso nānattasaññānaṃ amanasikārā anāvajjanā asamannāhārā apaccavekkhaṇā. Yasmā tā nāvajjati, na manasikaroti, na paccavekkhati, tasmāti vuttaṃ hoti.
ยสฺมา เจตฺถ ปุริมา รูปสญฺญา ปฎิฆสญฺญา จ อิมินา ฌาเนน นิพฺพเตฺต ภเวปิ น วิชฺชนฺติ, ปเคว ตสฺมิํ ภเว อิมํ ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหรณกาเล, ตสฺมา ตาสํ ‘สมติกฺกมา อตฺถงฺคมา’ติ เทฺวธาปิ อภาโวเยว วุโตฺตฯ นานตฺตสญฺญาสุ ปน ยสฺมา อฎฺฐ กามาวจรกุสลสญฺญา, นว กิริยาสญฺญา, ทส อกุสลสญฺญาติ อิมา สตฺตวีสติ สญฺญา อิมินา ฌาเนน นิพฺพเตฺต ภเว วิชฺชนฺติ, ตสฺมา ตาสํ อมนสิการาติ วุตฺตนฺติ เวทิตพฺพํฯ ตตฺราปิ หิ อิมํ ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหรโนฺต ตาสํ อมนสิการาเยว อุปสมฺปชฺช วิหรติฯ ตา ปน มนสิกโรโนฺต อสมาปโนฺน โหตีติฯ สเงฺขปโต เจตฺถ ‘รูปสญฺญานํ สมติกฺกมา’ติ อิมินา สพฺพรูปาวจรธมฺมานํ ปหานํ วุตฺตํฯ ‘ปฎิฆสญฺญานํ อตฺถงฺคมา นานตฺตสญฺญานํ อมนสิการา’ติ อิมินา สเพฺพสํ กามาวจรจิตฺตเจตสิกานญฺจ ปหานํ อมนสิกาโร จ วุโตฺตติ เวทิตโพฺพฯ
Yasmā cettha purimā rūpasaññā paṭighasaññā ca iminā jhānena nibbatte bhavepi na vijjanti, pageva tasmiṃ bhave imaṃ jhānaṃ upasampajja viharaṇakāle, tasmā tāsaṃ ‘samatikkamā atthaṅgamā’ti dvedhāpi abhāvoyeva vutto. Nānattasaññāsu pana yasmā aṭṭha kāmāvacarakusalasaññā, nava kiriyāsaññā, dasa akusalasaññāti imā sattavīsati saññā iminā jhānena nibbatte bhave vijjanti, tasmā tāsaṃ amanasikārāti vuttanti veditabbaṃ. Tatrāpi hi imaṃ jhānaṃ upasampajja viharanto tāsaṃ amanasikārāyeva upasampajja viharati. Tā pana manasikaronto asamāpanno hotīti. Saṅkhepato cettha ‘rūpasaññānaṃ samatikkamā’ti iminā sabbarūpāvacaradhammānaṃ pahānaṃ vuttaṃ. ‘Paṭighasaññānaṃ atthaṅgamā nānattasaññānaṃ amanasikārā’ti iminā sabbesaṃ kāmāvacaracittacetasikānañca pahānaṃ amanasikāro ca vuttoti veditabbo.
อิติ ภควา ‘ปนฺนรสนฺนํ รูปสญฺญานํ สมติกฺกเมน, ทสนฺนํ ปฎิฆสญฺญานํ อตฺถงฺคเมน, จตุจตฺตาลีสาย นานตฺตสญฺญานํ อมนสิกาเรนา’ติ ตีหิ ปเทหิ อากาสานญฺจายตนสมาปตฺติยา วณฺณํ กเถสิฯ กิํ การณาติ เจ โสตูนํ อุสฺสาหชนนตฺถเญฺจว ปโลภนตฺถญฺจฯ สเจ หิ เกจิ อปณฺฑิตา วเทยฺยุํ ‘สตฺถา อากาสานญฺจายตนสมาปตฺติํ นิพฺพเตฺตถาติ วทติ, โก นุ โข เอตาย นิพฺพตฺติตาย อโตฺถ? โก อานิสํโส’ติ เต เอวํ วตฺตุํ มา ลภนฺตูติ อิเมหิ อากาเรหิ สมาปตฺติยา วณฺณํ กเถสิฯ ตญฺหิ เนสํ สุตฺวา เอวํ ภวิสฺสติ – ‘เอวํสนฺตา กิร อยํ สมาปตฺติ, เอวํปณีตา, นิพฺพเตฺตสฺสาม น’นฺติฯ อถสฺส นิพฺพตฺตนตฺถาย อุสฺสาหํ กริสฺสนฺตีติฯ
Iti bhagavā ‘pannarasannaṃ rūpasaññānaṃ samatikkamena, dasannaṃ paṭighasaññānaṃ atthaṅgamena, catucattālīsāya nānattasaññānaṃ amanasikārenā’ti tīhi padehi ākāsānañcāyatanasamāpattiyā vaṇṇaṃ kathesi. Kiṃ kāraṇāti ce sotūnaṃ ussāhajananatthañceva palobhanatthañca. Sace hi keci apaṇḍitā vadeyyuṃ ‘satthā ākāsānañcāyatanasamāpattiṃ nibbattethāti vadati, ko nu kho etāya nibbattitāya attho? Ko ānisaṃso’ti te evaṃ vattuṃ mā labhantūti imehi ākārehi samāpattiyā vaṇṇaṃ kathesi. Tañhi nesaṃ sutvā evaṃ bhavissati – ‘evaṃsantā kira ayaṃ samāpatti, evaṃpaṇītā, nibbattessāma na’nti. Athassa nibbattanatthāya ussāhaṃ karissantīti.
ปโลภนตฺถญฺจาปิ เนสํ เอติสฺสา วณฺณํ กเถสิ, วิสกณฺฎกวาณิโช วิยฯ วิสกณฺฎกวาณิโช นาม คุฬวาณิโช วุจฺจติฯ โส กิร คุฬผาณิตขณฺฑสกฺกราทีนิ สกเฎนาทาย ปจฺจนฺตคามํ คนฺตฺวา ‘วิสกณฺฎกํ คณฺหถ วิสกณฺฎกํ คณฺหถา’ติ อุโคฺฆเสสิฯ ตํ สุตฺวา คามิกา ‘วิสํ นาม กกฺขฬํ, โย นํ ขาทติ โส มรติ, กณฺฎโกปิ วิชฺฌิตฺวา มาเรติฯ อุโภเปเต กกฺขฬา, โก เอตฺถ อานิสํโส’ติ เคหทฺวารานิ ถเกสุํ, ทารเก จ ปลาเปสุํฯ ตํ ทิสฺวา วาณิโช ‘อโวหารกุสลา อิเม คามิกา, หนฺท เน อุปาเยน คณฺหาเปมี’ติ ‘อติมธุรํ คณฺหถ อติสาทุํ คณฺหถ, คุฬํ ผาณิตํ สกฺกรํ สมคฺฆํ ลพฺภติ, กูฎมาสกกูฎกหาปณาทีหิปิ ลพฺภตี’ติ อุโคฺฆเสสิฯ ตํ สุตฺวา คามิกา หฎฺฐปหฎฺฐา นิคฺคนฺตฺวา พหุมฺปิ มูลํ ทตฺวา คเหสุํฯ
Palobhanatthañcāpi nesaṃ etissā vaṇṇaṃ kathesi, visakaṇṭakavāṇijo viya. Visakaṇṭakavāṇijo nāma guḷavāṇijo vuccati. So kira guḷaphāṇitakhaṇḍasakkarādīni sakaṭenādāya paccantagāmaṃ gantvā ‘visakaṇṭakaṃ gaṇhatha visakaṇṭakaṃ gaṇhathā’ti ugghosesi. Taṃ sutvā gāmikā ‘visaṃ nāma kakkhaḷaṃ, yo naṃ khādati so marati, kaṇṭakopi vijjhitvā māreti. Ubhopete kakkhaḷā, ko ettha ānisaṃso’ti gehadvārāni thakesuṃ, dārake ca palāpesuṃ. Taṃ disvā vāṇijo ‘avohārakusalā ime gāmikā, handa ne upāyena gaṇhāpemī’ti ‘atimadhuraṃ gaṇhatha atisāduṃ gaṇhatha, guḷaṃ phāṇitaṃ sakkaraṃ samagghaṃ labbhati, kūṭamāsakakūṭakahāpaṇādīhipi labbhatī’ti ugghosesi. Taṃ sutvā gāmikā haṭṭhapahaṭṭhā niggantvā bahumpi mūlaṃ datvā gahesuṃ.
ตตฺถ วาณิชสฺส ‘วิสกณฺฎกํ คณฺหถา’ติ อุโคฺฆสนํ วิย ภควโต ‘อากาสานญฺจายตนสมาปตฺติํ นิพฺพเตฺตถา’ติ วจนํฯ ‘อุโภเปเต กกฺขฬา , โก เอตฺถ อานิสํโส’ติ? คามิกานํ จินฺตนํ วิย ‘ภควา อากาสานญฺจายตนํ นิพฺพเตฺตถาติ อาห, โก เอตฺถ อานิสํโส? นาสฺส คุณํ ชานามา’ติ โสตูนํ จินฺตนํฯ อถสฺส วาณิชสฺส ‘อติมธุรํ คณฺหถา’ติอาทิวจนํ วิย ภควโต รูปสญฺญาสมติกฺกมนาทิกํ อานิสํสปฺปกาสนํฯ อิทญฺหิ สุตฺวา เต พหุมฺปิ มูลํ ทตฺวา, คามิกา วิย คุฬํ, อิมินา อานิสํเสน ปโลภิตจิตฺตา มหนฺตมฺปิ อุสฺสาหํ กตฺวา อิมํ สมาปตฺติํ นิพฺพเตฺตสฺสนฺตีติ อุสฺสาหชนนตฺถํ ปโลภนตฺถญฺจ กเถสิฯ
Tattha vāṇijassa ‘visakaṇṭakaṃ gaṇhathā’ti ugghosanaṃ viya bhagavato ‘ākāsānañcāyatanasamāpattiṃ nibbattethā’ti vacanaṃ. ‘Ubhopete kakkhaḷā , ko ettha ānisaṃso’ti? Gāmikānaṃ cintanaṃ viya ‘bhagavā ākāsānañcāyatanaṃ nibbattethāti āha, ko ettha ānisaṃso? Nāssa guṇaṃ jānāmā’ti sotūnaṃ cintanaṃ. Athassa vāṇijassa ‘atimadhuraṃ gaṇhathā’tiādivacanaṃ viya bhagavato rūpasaññāsamatikkamanādikaṃ ānisaṃsappakāsanaṃ. Idañhi sutvā te bahumpi mūlaṃ datvā, gāmikā viya guḷaṃ, iminā ānisaṃsena palobhitacittā mahantampi ussāhaṃ katvā imaṃ samāpattiṃ nibbattessantīti ussāhajananatthaṃ palobhanatthañca kathesi.
อากาสานญฺจายตนสญฺญาสหคตนฺติ เอตฺถ นาสฺส อโนฺตติ อนนฺตํฯ อากาสํ อนนฺตํ อากาสานนฺตํฯ อากาสานนฺตเมว อากาสานญฺจํฯ ตํ อากาสานญฺจํ อธิฎฺฐานเฎฺฐน อายตนมสฺส สสมฺปยุตฺตธมฺมสฺส ฌานสฺส, เทวานํ เทวายตนมิวาติ อากาสานญฺจายตนํฯ อิติ อากาสานญฺจํ จ ตํ อายตนญฺจาติปิ อากาสานญฺจายตนํฯ กสิณุคฺฆาฎิมากาสเสฺสตํ อธิวจนํฯ ตสฺมิํ อากาสานญฺจายตเน อปฺปนาปฺปตฺตาย สญฺญาย สหคตํ อากาสานญฺจายตนสญฺญาสหคตํฯ
Ākāsānañcāyatanasaññāsahagatanti ettha nāssa antoti anantaṃ. Ākāsaṃ anantaṃ ākāsānantaṃ. Ākāsānantameva ākāsānañcaṃ. Taṃ ākāsānañcaṃ adhiṭṭhānaṭṭhena āyatanamassa sasampayuttadhammassa jhānassa, devānaṃ devāyatanamivāti ākāsānañcāyatanaṃ. Iti ākāsānañcaṃ ca taṃ āyatanañcātipi ākāsānañcāyatanaṃ. Kasiṇugghāṭimākāsassetaṃ adhivacanaṃ. Tasmiṃ ākāsānañcāyatane appanāppattāya saññāya sahagataṃ ākāsānañcāyatanasaññāsahagataṃ.
ยถา ปน อญฺญตฺถ ‘อนโนฺต อากาโส’ติ (วิภ. ๕๐๘; ที. นิ. ๒.๑๒๙) วุตฺตํ, เอวมิธ อนนฺตนฺติ วา ปริตฺตนฺติ วา น คหิตํฯ กสฺมา? อนเนฺต หิ คหิเต ปริตฺตํ น คยฺหติ, ปริเตฺต คหิเต อนนฺตํ น คยฺหติฯ เอวํ สเนฺต อารมฺมณจตุกฺกํ น ปูรติ, เทสนา โสฬสกฺขตฺตุกา น โหติฯ สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส จ อิมสฺมิํ ฐาเน เทสนํ โสฬสกฺขตฺตุกํ กาตุํ อชฺฌาสโย, ตสฺมา อนนฺตนฺติ วา ปริตฺตนฺติ วา อวตฺวา ‘อากาสานญฺจายตนสญฺญาสหคต’นฺติ อาหฯ เอวญฺหิ สติ อุภยมฺปิ คหิตเมว โหติฯ อารมฺมณจตุกฺกํ ปูรติ, เทสนา โสฬสกฺขตฺตุกา สมฺปชฺชติฯ อวเสโส ปาฬิอโตฺถ เหฎฺฐา วุตฺตนเยเนว เวทิตโพฺพฯ รูปาวจรจตุตฺถชฺฌานนิกนฺติปริยาทานทุกฺขตาย เจตฺถ ทุกฺขา ปฎิปทา, ปริยาทินฺนนิกนฺติกสฺส อปฺปนาปริวาสทนฺธตาย ทนฺธาภิญฺญา โหติฯ วิปริยาเยน สุขา ปฎิปทา ขิปฺปาภิญฺญา จ เวทิตพฺพาฯ ปริตฺตกสิณุคฺฆาฎิมากาเส ปน ปวตฺตํ ฌานํ ปริตฺตารมฺมณํ วิปุลกสิณุคฺฆาฎิมากาเส ปวตฺตํ อปฺปมาณารมฺมณนฺติ เวทิตพฺพํฯ อุเปกฺขาพฺรหฺมวิหาเร วิย จ อิธาปิ จตุตฺถชฺฌานวเสน ปญฺจวีสติ เอกกา โหนฺติ ฯ ยถา เจตฺถ เอวํ อิโต ปเรสุปิฯ วิเสสมตฺตเมว ปน เตสุ วณฺณยิสฺสามฯ
Yathā pana aññattha ‘ananto ākāso’ti (vibha. 508; dī. ni. 2.129) vuttaṃ, evamidha anantanti vā parittanti vā na gahitaṃ. Kasmā? Anante hi gahite parittaṃ na gayhati, paritte gahite anantaṃ na gayhati. Evaṃ sante ārammaṇacatukkaṃ na pūrati, desanā soḷasakkhattukā na hoti. Sammāsambuddhassa ca imasmiṃ ṭhāne desanaṃ soḷasakkhattukaṃ kātuṃ ajjhāsayo, tasmā anantanti vā parittanti vā avatvā ‘ākāsānañcāyatanasaññāsahagata’nti āha. Evañhi sati ubhayampi gahitameva hoti. Ārammaṇacatukkaṃ pūrati, desanā soḷasakkhattukā sampajjati. Avaseso pāḷiattho heṭṭhā vuttanayeneva veditabbo. Rūpāvacaracatutthajjhānanikantipariyādānadukkhatāya cettha dukkhā paṭipadā, pariyādinnanikantikassa appanāparivāsadandhatāya dandhābhiññā hoti. Vipariyāyena sukhā paṭipadā khippābhiññā ca veditabbā. Parittakasiṇugghāṭimākāse pana pavattaṃ jhānaṃ parittārammaṇaṃ vipulakasiṇugghāṭimākāse pavattaṃ appamāṇārammaṇanti veditabbaṃ. Upekkhābrahmavihāre viya ca idhāpi catutthajjhānavasena pañcavīsati ekakā honti . Yathā cettha evaṃ ito paresupi. Visesamattameva pana tesu vaṇṇayissāma.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / อภิธมฺมปิฎก • Abhidhammapiṭaka / ธมฺมสงฺคณีปาฬิ • Dhammasaṅgaṇīpāḷi / อรูปาวจรกุสลํ • Arūpāvacarakusalaṃ
ฎีกา • Tīkā / อภิธมฺมปิฎก (ฎีกา) • Abhidhammapiṭaka (ṭīkā) / ธมฺมสงฺคณี-มูลฎีกา • Dhammasaṅgaṇī-mūlaṭīkā / อรูปาวจรกุสลกถาวณฺณนา • Arūpāvacarakusalakathāvaṇṇanā
ฎีกา • Tīkā / อภิธมฺมปิฎก (ฎีกา) • Abhidhammapiṭaka (ṭīkā) / ธมฺมสงฺคณี-อนุฎีกา • Dhammasaṅgaṇī-anuṭīkā / อรูปาวจรกุสลกถาวณฺณนา • Arūpāvacarakusalakathāvaṇṇanā