Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / จริยาปิฎก-อฎฺฐกถา • Cariyāpiṭaka-aṭṭhakathā |
ฯ นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺสฯ
Namo tassa bhagavato arahato sammāsambuddhassa
ขุทฺทกนิกาเย
Khuddakanikāye
จริยาปิฎก-อฎฺฐกถา
Cariyāpiṭaka-aṭṭhakathā
คนฺถารมฺภกถา
Ganthārambhakathā
จริยา สพฺพโลกสฺส, หิตา ยสฺส มเหสิโน;
Cariyā sabbalokassa, hitā yassa mahesino;
อจิเนฺตยฺยานุภาวํ ตํ, วเนฺท โลกคฺคนายกํฯ
Acinteyyānubhāvaṃ taṃ, vande lokagganāyakaṃ.
วิชฺชาจรณสมฺปนฺนา, เยน นียนฺติ โลกโต;
Vijjācaraṇasampannā, yena nīyanti lokato;
วเนฺท ตมุตฺตมํ ธมฺมํ, สมฺมาสมฺพุทฺธปูชิตํฯ
Vande tamuttamaṃ dhammaṃ, sammāsambuddhapūjitaṃ.
สีลาทิคุณสมฺปโนฺน, ฐิโต มคฺคผเลสุ โย;
Sīlādiguṇasampanno, ṭhito maggaphalesu yo;
วเนฺท อริยสงฺฆํ ตํ, ปุญฺญเกฺขตฺตํ อนุตฺตรํฯ
Vande ariyasaṅghaṃ taṃ, puññakkhettaṃ anuttaraṃ.
วนฺทนาชนิตํ ปุญฺญํ, อิติ ยํ รตนตฺตเย;
Vandanājanitaṃ puññaṃ, iti yaṃ ratanattaye;
หตนฺตราโย สพฺพตฺถ, หุตฺวาหํ ตสฺส เตชสาฯ
Hatantarāyo sabbattha, hutvāhaṃ tassa tejasā.
อิมสฺมิํ ภทฺทกปฺปสฺมิํ, สมฺภตา ยา สุทุกฺกรา;
Imasmiṃ bhaddakappasmiṃ, sambhatā yā sudukkarā;
อุกฺกํสปารมิปฺปตฺตา, ทานปารมิตาทโยฯ
Ukkaṃsapāramippattā, dānapāramitādayo.
ตาสํ สโมฺพธิจริยานํ, อานุภาววิภาวนํ;
Tāsaṃ sambodhicariyānaṃ, ānubhāvavibhāvanaṃ;
สเกฺกสุ นิโคฺรธาราเม, วสเนฺตน มเหสินาฯ
Sakkesu nigrodhārāme, vasantena mahesinā.
ยํ ธมฺมเสนาปติโน, สพฺพสาวกเกตุโน;
Yaṃ dhammasenāpatino, sabbasāvakaketuno;
โลกนาเถน จริยา-ปิฎกํ นาม เทสิตํฯ
Lokanāthena cariyā-piṭakaṃ nāma desitaṃ.
ยํ ขุทฺทกนิกายสฺมิํ, สงฺคายิํสุ มเหสโย;
Yaṃ khuddakanikāyasmiṃ, saṅgāyiṃsu mahesayo;
ธมฺมสงฺคาหกา สตฺถุ, เหตุสมฺปตฺติทีปนํฯ
Dhammasaṅgāhakā satthu, hetusampattidīpanaṃ.
ตสฺส สโมฺพธิสมฺภาร-วิภาคนยโยคโต;
Tassa sambodhisambhāra-vibhāganayayogato;
กิญฺจาปิ ทุกฺกรา กาตุํ, อตฺถสํวณฺณนา มยาฯ
Kiñcāpi dukkarā kātuṃ, atthasaṃvaṇṇanā mayā.
สห สํวณฺณนํ ยสฺมา, ธรเต สตฺถุ สาสนํ;
Saha saṃvaṇṇanaṃ yasmā, dharate satthu sāsanaṃ;
ปุพฺพาจริยสีหานํ, ติฎฺฐเตว วินิจฺฉโยฯ
Pubbācariyasīhānaṃ, tiṭṭhateva vinicchayo.
ตสฺมา ตํ อวลมฺพิตฺวา, โอคาหิตฺวา จ สพฺพโส;
Tasmā taṃ avalambitvā, ogāhitvā ca sabbaso;
ชาตกานุปนิสฺสาย, โปราณฎฺฐกถานยํฯ
Jātakānupanissāya, porāṇaṭṭhakathānayaṃ.
นิสฺสิตํ วาจนามคฺคํ, สุวิสุทฺธมนากุลํ;
Nissitaṃ vācanāmaggaṃ, suvisuddhamanākulaṃ;
มหาวิหารวาสีนํ, นิปุณตฺถวินิจฺฉยํฯ
Mahāvihāravāsīnaṃ, nipuṇatthavinicchayaṃ.
นีตเนยฺยตฺถเภทา จ, ปารมี ปริทีปยํ;
Nītaneyyatthabhedā ca, pāramī paridīpayaṃ;
กริสฺสามิ ตํ จริยา-ปิฎกสฺสตฺถวณฺณนํฯ
Karissāmi taṃ cariyā-piṭakassatthavaṇṇanaṃ.
อิติ อากงฺขมานสฺส, สทฺธมฺมสฺส จิรฎฺฐิติํ;
Iti ākaṅkhamānassa, saddhammassa ciraṭṭhitiṃ;
วิภชนฺตสฺส ตสฺสตฺถํ, นิสามยถ สาธโวติฯ
Vibhajantassa tassatthaṃ, nisāmayatha sādhavoti.
ตตฺถ จริยาปิฎกนฺติ เกนเฎฺฐน จริยาปิฎกํ? อตีตาสุ ชาตีสุ สตฺถุ จริยานุภาวปฺปกาสินี ปริยตฺตีติ กตฺวา, ปริยตฺติอโตฺถ หิ อยํ ปิฎกสโทฺท, ‘‘มา ปิฎกสมฺปทาเนนา’’ติอาทีสุ (อ. นิ. ๓.๖๖) วิยฯ อถ วา ยสฺมา สา ปริยตฺติ ตเสฺสว สตฺถุ ปุริมชาตีสุ จริยานํ อานุภาวปฺปกาสเนน ภาชนภูตา, ตสฺมาปิ ‘‘จริยาปิฎก’’นฺติ วุจฺจติ, ภาชนโตฺถปิ หิ ปิฎกสโทฺท นิทฺทิโฎฺฐ ‘‘อถ ปุริโส อาคเจฺฉยฺย, กุทาลปิฎกํ อาทายา’’ติอาทีสุ (ม. นิ. ๑.๒๒๘; อ. นิ. ๓.๗๐) วิยฯ ตํ ปเนตํ จริยาปิฎกํ วินยปิฎกํ, สุตฺตนฺตปิฎกํ, อภิธมฺมปิฎกนฺติ ตีสุ ปิฎเกสุ สุตฺตนฺตปิฎกปริยาปนฺนํฯ ทีฆนิกาโย, มชฺฌิมนิกาโย, สํยุตฺตนิกาโย, องฺคุตฺตรนิกาโย, ขุทฺทกนิกาโยติ ปญฺจสุ นิกาเยสุ ขุทฺทกนิกายปริยาปนฺนํฯ สุตฺตํ, เคยฺยํ, เวยฺยากรณํ, คาถา, อุทานํ, อิติวุตฺตกํ, ชาตกํ, อพฺภุตธมฺมํ, เวทลฺลนฺติ นวสุ สาสนเงฺคสุ คาถาสงฺคหํฯ
Tattha cariyāpiṭakanti kenaṭṭhena cariyāpiṭakaṃ? Atītāsu jātīsu satthu cariyānubhāvappakāsinī pariyattīti katvā, pariyattiattho hi ayaṃ piṭakasaddo, ‘‘mā piṭakasampadānenā’’tiādīsu (a. ni. 3.66) viya. Atha vā yasmā sā pariyatti tasseva satthu purimajātīsu cariyānaṃ ānubhāvappakāsanena bhājanabhūtā, tasmāpi ‘‘cariyāpiṭaka’’nti vuccati, bhājanatthopi hi piṭakasaddo niddiṭṭho ‘‘atha puriso āgaccheyya, kudālapiṭakaṃ ādāyā’’tiādīsu (ma. ni. 1.228; a. ni. 3.70) viya. Taṃ panetaṃ cariyāpiṭakaṃ vinayapiṭakaṃ, suttantapiṭakaṃ, abhidhammapiṭakanti tīsu piṭakesu suttantapiṭakapariyāpannaṃ. Dīghanikāyo, majjhimanikāyo, saṃyuttanikāyo, aṅguttaranikāyo, khuddakanikāyoti pañcasu nikāyesu khuddakanikāyapariyāpannaṃ. Suttaṃ, geyyaṃ, veyyākaraṇaṃ, gāthā, udānaṃ, itivuttakaṃ, jātakaṃ, abbhutadhammaṃ, vedallanti navasu sāsanaṅgesu gāthāsaṅgahaṃ.
‘‘ทฺวาสีติ พุทฺธโต คณฺหิํ, เทฺวสหสฺสานิ ภิกฺขุโต;
‘‘Dvāsīti buddhato gaṇhiṃ, dvesahassāni bhikkhuto;
จตุราสีติ สหสฺสานิ, เย เม ธมฺมา ปวตฺติโน’’ติฯ (เถรคา. ๑๐๒๗) –
Caturāsīti sahassāni, ye me dhammā pavattino’’ti. (theragā. 1027) –
เอวํ ธมฺมภณฺฑาคาริเกน ปฎิญฺญาเตสุ จตุราสีติยา ธมฺมกฺขนฺธสหเสฺสสุ กติปยธมฺมกฺขนฺธสงฺคหํฯ วคฺคโต อกิตฺติวโคฺค, หตฺถินาควโคฺค, ยุธญฺชยวโคฺคติ วคฺคตฺตยสงฺคหํฯ จริยโต อกิตฺติวเคฺค ทส, หตฺถินาควเคฺค ทส, ยุธญฺชยวเคฺค ปญฺจทสาติ ปญฺจติํสจริยาสงฺคหํฯ ตีสุ วเคฺคสุ อกิตฺติวโคฺค อาทิ, จริยาสุ อกิตฺติจริยาฯ ตสฺสาปิ –
Evaṃ dhammabhaṇḍāgārikena paṭiññātesu caturāsītiyā dhammakkhandhasahassesu katipayadhammakkhandhasaṅgahaṃ. Vaggato akittivaggo, hatthināgavaggo, yudhañjayavaggoti vaggattayasaṅgahaṃ. Cariyato akittivagge dasa, hatthināgavagge dasa, yudhañjayavagge pañcadasāti pañcatiṃsacariyāsaṅgahaṃ. Tīsu vaggesu akittivaggo ādi, cariyāsu akitticariyā. Tassāpi –
‘‘กเปฺป จ สตสหเสฺส, จตุโร จ อสงฺขิเย;
‘‘Kappe ca satasahasse, caturo ca asaṅkhiye;
เอตฺถนฺตเร ยํ จริตํ, สพฺพํ ตํ โพธิปาจน’’นฺติฯ –
Etthantare yaṃ caritaṃ, sabbaṃ taṃ bodhipācana’’nti. –
อยํ คาถา อาทิฯ ตสฺส อิโต ปภุติ อนุกฺกเมน อตฺถสํวณฺณนา โหติฯ
Ayaṃ gāthā ādi. Tassa ito pabhuti anukkamena atthasaṃvaṇṇanā hoti.
คนฺถารมฺภกถา นิฎฺฐิตาฯ
Ganthārambhakathā niṭṭhitā.
นิทานกถา
Nidānakathā
สา ปนายํ อตฺถสํวณฺณนา ยสฺมา ทูเรนิทานํ, อวิทูเรนิทานํ, สนฺติเกนิทานนฺติ อิมานิ ตีณิ นิทานานิ ทเสฺสตฺวา วุจฺจมานา สุณเนฺตหิ สมุทาคมโต ปฎฺฐาย สุฎฺฐุ วิญฺญาตา นาม โหติฯ ตสฺมา เตสํ นิทานานํ อยํ วิภาโค เวทิตโพฺพฯ
Sā panāyaṃ atthasaṃvaṇṇanā yasmā dūrenidānaṃ, avidūrenidānaṃ, santikenidānanti imāni tīṇi nidānāni dassetvā vuccamānā suṇantehi samudāgamato paṭṭhāya suṭṭhu viññātā nāma hoti. Tasmā tesaṃ nidānānaṃ ayaṃ vibhāgo veditabbo.
ทีปงฺกรทสพลสฺส ปาทมูลสฺมิญฺหิ กตาภินีหารสฺส มหาโพธิสตฺตสฺส ยาว ตุสิตภวเน นิพฺพตฺติ, ตาว ปวโตฺต กถามโคฺค ทูเรนิทานํ นามฯ ตุสิตภวนโต ปฎฺฐาย ยาว โพธิมเณฺฑ สพฺพญฺญุตญฺญาณปฺปตฺติ, ตาว ปวโตฺต กถามโคฺค อวิทูเรนิทานํ นามฯ มหาโพธิมณฺฑโต ปน ปฎฺฐาย ยาว ปจฺจุปฺปนฺนวตฺถุ, ตาว ปวโตฺต กถามโคฺค สนฺติเกนิทานํ นามฯ อิเมสุ ตีสุ นิทาเนสุ ยสฺมา ทูเรนิทานอวิทูเรนิทานานิ สพฺพสาธารณานิ, ตสฺมา ตานิ ชาตกฎฺฐกถายํ (ชา. อฎฺฐ. ๑.ทูเรนิทานกถา) วิตฺถาริตนเยเนว วิตฺถารโต เวทิตพฺพานิฯ สนฺติเกนิทาเน ปน อตฺถิ วิเสโสติ ติณฺณมฺปิ นิทานานํ อยมาทิโต ปฎฺฐาย สเงฺขปกถาฯ
Dīpaṅkaradasabalassa pādamūlasmiñhi katābhinīhārassa mahābodhisattassa yāva tusitabhavane nibbatti, tāva pavatto kathāmaggo dūrenidānaṃ nāma. Tusitabhavanato paṭṭhāya yāva bodhimaṇḍe sabbaññutaññāṇappatti, tāva pavatto kathāmaggo avidūrenidānaṃ nāma. Mahābodhimaṇḍato pana paṭṭhāya yāva paccuppannavatthu, tāva pavatto kathāmaggo santikenidānaṃ nāma. Imesu tīsu nidānesu yasmā dūrenidānaavidūrenidānāni sabbasādhāraṇāni, tasmā tāni jātakaṭṭhakathāyaṃ (jā. aṭṭha. 1.dūrenidānakathā) vitthāritanayeneva vitthārato veditabbāni. Santikenidāne pana atthi visesoti tiṇṇampi nidānānaṃ ayamādito paṭṭhāya saṅkhepakathā.
ทีปงฺกรสฺส ภควโต ปาทมูเล กตาภินีหาโร โพธิสตฺตภูโต โลกนาโถ อตฺตโน อภินีหารานุรูปํ สมตฺติํสปารมิโย ปูเรตฺวา, สพฺพญฺญุตญฺญาณสมฺภารํ มตฺถกํ ปาเปตฺวา, ตุสิตภวเน นิพฺพโตฺต พุทฺธภาวาย อุปฺปตฺติกาลํ อาคมยมาโน, ตตฺถ ยาวตายุกํ ฐตฺวา ตโต จุโต สกฺยราชกุเล ปฎิสนฺธิํ คเหตฺวา อนเนฺตน ปริหาเรน มหเนฺตน สิริโสภเคฺคน วฑฺฒมาโน อนุกฺกเมน โยพฺพนํ ปตฺวา เอกูนติํเส วยสฺมิํ กตมหาภินิกฺขมโน, ฉพฺพสฺสานิ มหาปธานํ ปทหิตฺวา, เวสาขปุณฺณมายํ โพธิรุกฺขมูเล นิสิโนฺน สูริเย อนตฺถงฺคมิเตเยว มารพลํ วิธมิตฺวา ปุริมยาเม ปุเพฺพนิวาสํ อนุสฺสริตฺวา, มชฺฌิมยาเม ทิพฺพจกฺขุํ วิโสเธตฺวา, ปจฺฉิมยาเม ทิยฑฺฒกิเลสสหสฺสํ เขเปตฺวา, อนุตฺตรํ สมฺมาสโมฺพธิมภิสมฺพุชฺฌิฯ
Dīpaṅkarassa bhagavato pādamūle katābhinīhāro bodhisattabhūto lokanātho attano abhinīhārānurūpaṃ samattiṃsapāramiyo pūretvā, sabbaññutaññāṇasambhāraṃ matthakaṃ pāpetvā, tusitabhavane nibbatto buddhabhāvāya uppattikālaṃ āgamayamāno, tattha yāvatāyukaṃ ṭhatvā tato cuto sakyarājakule paṭisandhiṃ gahetvā anantena parihārena mahantena sirisobhaggena vaḍḍhamāno anukkamena yobbanaṃ patvā ekūnatiṃse vayasmiṃ katamahābhinikkhamano, chabbassāni mahāpadhānaṃ padahitvā, vesākhapuṇṇamāyaṃ bodhirukkhamūle nisinno sūriye anatthaṅgamiteyeva mārabalaṃ vidhamitvā purimayāme pubbenivāsaṃ anussaritvā, majjhimayāme dibbacakkhuṃ visodhetvā, pacchimayāme diyaḍḍhakilesasahassaṃ khepetvā, anuttaraṃ sammāsambodhimabhisambujjhi.
ตโต ตเตฺถว สตฺตสตฺตาเห วีตินาเมตฺวา, อาสาฬฺหิปุณฺณมายํ พาราณสิํ คนฺตฺวา อิสิปตเน มิคทาเย อญฺญาสิโกณฺฑญฺญปฺปมุขา อฎฺฐารส พฺรหฺมโกฎิโย ธมฺมามตํ ปาเยโนฺต, ธมฺมจกฺกํ (สํ. นิ. ๕.๑๐๘๑; มหาว. ๑๓ อาทโย; ปฎิ. ม. ๒.๓๐) ปวเตฺตตฺวา, ยสาทิเก เวเนเยฺย อรหเตฺต ปติฎฺฐาเปตฺวา, เต สเพฺพว สฎฺฐิ อรหเนฺต โลกานุคฺคหาย วิสฺสเชฺชตฺวา, อุรุเวลํ คจฺฉโนฺต กปฺปาสิกวนสเณฺฑ ติํส ภทฺทวคฺคิเย โสตาปตฺติผลาทีสุ ปติฎฺฐาเปตฺวา, อุรุเวลํ คนฺตฺวา อฑฺฒุฑฺฒานิ ปาฎิหาริยสหสฺสานิ ทเสฺสตฺวา อุรุเวลกสฺสปาทโย สหสฺสชฎิลปริวาเร เตภาติกชฎิเล วิเนตฺวา, เตหิ ปริวุโต ราชคหนครูปจาเร ลฎฺฐิวนุยฺยาเน นิสิโนฺน พิมฺพิสารปฺปมุเข ทฺวาทสนหุเต พฺราหฺมณคหปติเก สาสเน โอตาเรตฺวา, มคธราเชน การิเต เวฬุวนวิหาเร วิหรติฯ
Tato tattheva sattasattāhe vītināmetvā, āsāḷhipuṇṇamāyaṃ bārāṇasiṃ gantvā isipatane migadāye aññāsikoṇḍaññappamukhā aṭṭhārasa brahmakoṭiyo dhammāmataṃ pāyento, dhammacakkaṃ (saṃ. ni. 5.1081; mahāva. 13 ādayo; paṭi. ma. 2.30) pavattetvā, yasādike veneyye arahatte patiṭṭhāpetvā, te sabbeva saṭṭhi arahante lokānuggahāya vissajjetvā, uruvelaṃ gacchanto kappāsikavanasaṇḍe tiṃsa bhaddavaggiye sotāpattiphalādīsu patiṭṭhāpetvā, uruvelaṃ gantvā aḍḍhuḍḍhāni pāṭihāriyasahassāni dassetvā uruvelakassapādayo sahassajaṭilaparivāre tebhātikajaṭile vinetvā, tehi parivuto rājagahanagarūpacāre laṭṭhivanuyyāne nisinno bimbisārappamukhe dvādasanahute brāhmaṇagahapatike sāsane otāretvā, magadharājena kārite veḷuvanavihāre viharati.
อเถวํ ภควติ เวฬุวเน วิหรเนฺต สาริปุตฺตโมคฺคลฺลาเนสุ อคฺคสาวกฎฺฐาเน ฐปิเตสุ สาวกสนฺนิปาเต ชาเต, สุโทฺธทนมหาราชา ‘‘ปุโตฺต กิร เม ฉพฺพสฺสานิ ทุกฺกรการิกํ จริตฺวา ปรมาภิสโมฺพธิํ ปตฺวา ปวตฺติตวรธมฺมจโกฺก ราชคหํ นิสฺสาย เวฬุวเน วิหรตี’’ติ สุตฺวา ทสปุริสสหสฺสปริวาเร, อนุกฺกเมน ทส อมเจฺจ เปเสสิ ‘‘ปุตฺตํ เม อิธาเนตฺวา ทเสฺสถา’’ติฯ เตสุ ราชคหํ คนฺตฺวา สตฺถุ ธมฺมเทสนาย อรหเตฺต ปติฎฺฐิเตสุ กาฬุทายิเตฺถเรน รโญฺญ อธิปฺปาเย อาโรจิเต ภควา วีสติสหสฺสขีณาสวปริวุโต ราชคหโต นิกฺขมิตฺวา สฎฺฐิโยชนํ กปิลวตฺถุํ ทฺวีหิ มาเสหิ สมฺปาปุณิฯ สกฺยราชาโน ‘‘อมฺหากํ ญาติเสฎฺฐํ ปสฺสิสฺสามา’’ติ สนฺนิปติตฺวา นิโคฺรธารามํ ภควโต จ ภิกฺขุสงฺฆสฺส จ วสนโยคฺคํ กาเรตฺวา, คนฺธปุปฺผาทิหตฺถา ปจฺจุคฺคมนํ กตฺวา, สตฺถารํ นิโคฺรธารามํ ปเวเสสุํฯ ตตฺร ภควา วีสติสหสฺสขีณาสวปริวุโต ปญฺญตฺตวรพุทฺธาสเน นิสีทิฯ สากิยา มานตฺถทฺธา สตฺถุ ปณิปาตํ นากํสุฯ ภควา เตสํ อชฺฌาสยํ โอโลเกตฺวา มานํ ภญฺชิตฺวา เต ธมฺมเทสนาย ภาชเน กาตุํ อภิญฺญาปาทกํ จตุตฺถชฺฌานํ สมาปชฺชิตฺวา วุฎฺฐาย อากาสํ อพฺภุคฺคนฺตฺวา เตสํ สีเส ปาทปํสุํ โอกิรมาโน วิย, กณฺฑมฺพรุกฺขมูเล กตปาฎิหาริยสทิสํ ยมกปาฎิหาริยํ อกาสิฯ ราชา ตํ อจฺฉริยํ ทิสฺวา ‘‘อยํ โลเก อคฺคปุคฺคโล’’ติ วนฺทิฯ รญฺญา ปน วนฺทิเต เต ฐาตุํ นาม น สโกฺกนฺติ, สเพฺพปิ สากิยา วนฺทิํสุฯ
Athevaṃ bhagavati veḷuvane viharante sāriputtamoggallānesu aggasāvakaṭṭhāne ṭhapitesu sāvakasannipāte jāte, suddhodanamahārājā ‘‘putto kira me chabbassāni dukkarakārikaṃ caritvā paramābhisambodhiṃ patvā pavattitavaradhammacakko rājagahaṃ nissāya veḷuvane viharatī’’ti sutvā dasapurisasahassaparivāre, anukkamena dasa amacce pesesi ‘‘puttaṃ me idhānetvā dassethā’’ti. Tesu rājagahaṃ gantvā satthu dhammadesanāya arahatte patiṭṭhitesu kāḷudāyittherena rañño adhippāye ārocite bhagavā vīsatisahassakhīṇāsavaparivuto rājagahato nikkhamitvā saṭṭhiyojanaṃ kapilavatthuṃ dvīhi māsehi sampāpuṇi. Sakyarājāno ‘‘amhākaṃ ñātiseṭṭhaṃ passissāmā’’ti sannipatitvā nigrodhārāmaṃ bhagavato ca bhikkhusaṅghassa ca vasanayoggaṃ kāretvā, gandhapupphādihatthā paccuggamanaṃ katvā, satthāraṃ nigrodhārāmaṃ pavesesuṃ. Tatra bhagavā vīsatisahassakhīṇāsavaparivuto paññattavarabuddhāsane nisīdi. Sākiyā mānatthaddhā satthu paṇipātaṃ nākaṃsu. Bhagavā tesaṃ ajjhāsayaṃ oloketvā mānaṃ bhañjitvā te dhammadesanāya bhājane kātuṃ abhiññāpādakaṃ catutthajjhānaṃ samāpajjitvā vuṭṭhāya ākāsaṃ abbhuggantvā tesaṃ sīse pādapaṃsuṃ okiramāno viya, kaṇḍambarukkhamūle katapāṭihāriyasadisaṃ yamakapāṭihāriyaṃ akāsi. Rājā taṃ acchariyaṃ disvā ‘‘ayaṃ loke aggapuggalo’’ti vandi. Raññā pana vandite te ṭhātuṃ nāma na sakkonti, sabbepi sākiyā vandiṃsu.
ตทา กิร ภควา ยมกปาฎิหาริยํ กโรโนฺต โลกวิวรณปาฎิหาริยมฺปิ อกาสิ – ยสฺมิํ วตฺตมาเน มนุสฺสา มนุสฺสโลเก ยถาฐิตา ยถานิสินฺนาว จาตุมหาราชิกโต ปฎฺฐาย ยาว อกนิฎฺฐภวนา สเพฺพ เทเว ตตฺถ ตตฺถ อตฺตโน ภวเน กีฬเนฺต ทิพฺพานุภาเวน โชตเนฺต มหติํ ทิพฺพสมฺปตฺติํ อนุภวเนฺต สนฺตานิ สมาปตฺติสุขานิ อนุภวเนฺต อญฺญมญฺญํ ธมฺมํ สากจฺฉเนฺต จ พุทฺธานุภาเวน อตฺตโน มํสจกฺขุนาว ปสฺสนฺติฯ ตถา เหฎฺฐาปถวิยํ อฎฺฐสุ มหานิรเยสุ, โสฬสสุ จ อุสฺสทนิรเยสุ, โลกนฺตรนิรเย จาติ ตตฺถ ตตฺถ มหาทุกฺขํ อนุภวมาเน สเตฺต ปสฺสนฺติฯ ทสสหสฺสิโลกธาตุยํ เทวา มหจฺจเทวานุภาเวน ตถาคตํ อุปสงฺกมิตฺวา อจฺฉริยพฺภุตจิตฺตชาตา ปญฺชลิกา นมสฺสมานา ปยิรุปาสนฺติ, พุทฺธคุณปฎิสํยุตฺตา คาถาโย อุทาหรนฺตา โถเมนฺติ อโปฺผเฎนฺติ หสนฺติ ปีติโสมนสฺสํ ปเวเทนฺติฯ ยํ สนฺธาย วุตฺตํ –
Tadā kira bhagavā yamakapāṭihāriyaṃ karonto lokavivaraṇapāṭihāriyampi akāsi – yasmiṃ vattamāne manussā manussaloke yathāṭhitā yathānisinnāva cātumahārājikato paṭṭhāya yāva akaniṭṭhabhavanā sabbe deve tattha tattha attano bhavane kīḷante dibbānubhāvena jotante mahatiṃ dibbasampattiṃ anubhavante santāni samāpattisukhāni anubhavante aññamaññaṃ dhammaṃ sākacchante ca buddhānubhāvena attano maṃsacakkhunāva passanti. Tathā heṭṭhāpathaviyaṃ aṭṭhasu mahānirayesu, soḷasasu ca ussadanirayesu, lokantaraniraye cāti tattha tattha mahādukkhaṃ anubhavamāne satte passanti. Dasasahassilokadhātuyaṃ devā mahaccadevānubhāvena tathāgataṃ upasaṅkamitvā acchariyabbhutacittajātā pañjalikā namassamānā payirupāsanti, buddhaguṇapaṭisaṃyuttā gāthāyo udāharantā thomenti apphoṭenti hasanti pītisomanassaṃ pavedenti. Yaṃ sandhāya vuttaṃ –
‘‘ภุมฺมา มหาราชิกา ตาวติํสา, ยามา จ เทวา ตุสิตา จ นิมฺมิตา;
‘‘Bhummā mahārājikā tāvatiṃsā, yāmā ca devā tusitā ca nimmitā;
ปรนิมฺมิตา เยปิ จ พฺรหฺมกายิกา, อานนฺทิตา วิปุลมกํสุ โฆส’’นฺติฯ (พุ. วํ. ๑.๖)
Paranimmitā yepi ca brahmakāyikā, ānanditā vipulamakaṃsu ghosa’’nti. (bu. vaṃ. 1.6)
ตทา หิ ทสพโล ‘‘อตุลํ อตฺตโน พุทฺธพลํ ทเสฺสสฺสามี’’ติ มหากรุณาย สมุสฺสาหิโต อากาเส ทสสหสฺสจกฺกวาฬสมาคเม จงฺกมํ มาเปตฺวา, ทฺวาทสโยชนวิตฺถเต สพฺพรตนมเย จงฺกเม ฐิโต ยถาวุตฺตํ เทวมนุสฺสนยนวิหงฺคานํ เอกนิปาตภูตมจฺฉริยํ อนญฺญสาธารณํ พุทฺธานํ สมาธิญาณานุภาวทีปนํ ปาฎิหาริยํ ทเสฺสตฺวา, ปุน ตสฺมิํ จงฺกเม จงฺกมโนฺต เวเนยฺยานํ อชฺฌาสยานุรูปํ อจิเนฺตยฺยานุภาวาย อโนปมาย พุทฺธลีฬาย ธมฺมํ เทเสสิฯ เตน วุตฺตํ –
Tadā hi dasabalo ‘‘atulaṃ attano buddhabalaṃ dassessāmī’’ti mahākaruṇāya samussāhito ākāse dasasahassacakkavāḷasamāgame caṅkamaṃ māpetvā, dvādasayojanavitthate sabbaratanamaye caṅkame ṭhito yathāvuttaṃ devamanussanayanavihaṅgānaṃ ekanipātabhūtamacchariyaṃ anaññasādhāraṇaṃ buddhānaṃ samādhiñāṇānubhāvadīpanaṃ pāṭihāriyaṃ dassetvā, puna tasmiṃ caṅkame caṅkamanto veneyyānaṃ ajjhāsayānurūpaṃ acinteyyānubhāvāya anopamāya buddhalīḷāya dhammaṃ desesi. Tena vuttaṃ –
‘‘น เหเต ชานนฺติ สเทวมานุสา, พุโทฺธ อยํ กีทิสโก นรุตฺตโม;
‘‘Na hete jānanti sadevamānusā, buddho ayaṃ kīdisako naruttamo;
อิทฺธิพลํ ปญฺญาพลญฺจ กีทิสํ, พุทฺธพลํ โลกหิตสฺส กีทิสํฯ
Iddhibalaṃ paññābalañca kīdisaṃ, buddhabalaṃ lokahitassa kīdisaṃ.
‘‘น เหเต ชานนฺติ สเทวมานุสา, พุโทฺธ อยํ เอทิสโก นรุตฺตโม;
‘‘Na hete jānanti sadevamānusā, buddho ayaṃ edisako naruttamo;
อิทฺธิพลํ ปญฺญาพลญฺจ เอทิสํ, พุทฺธพลํ โลกหิตสฺส เอทิสํฯ
Iddhibalaṃ paññābalañca edisaṃ, buddhabalaṃ lokahitassa edisaṃ.
‘‘หนฺทาหํ ทสฺสยิสฺสามิ, พุทฺธพลมนุตฺตรํ;
‘‘Handāhaṃ dassayissāmi, buddhabalamanuttaraṃ;
จงฺกมํ มาปยิสฺสามิ, นเภ รตนมณฺฑิต’’นฺติฯ (พุ. วํ. ๑.๓-๕);
Caṅkamaṃ māpayissāmi, nabhe ratanamaṇḍita’’nti. (bu. vaṃ. 1.3-5);
เอวํ ตถาคเต อตฺตโน พุทฺธานุภาวทีปนํ ปาฎิหาริยํ ทเสฺสตฺวา ธมฺมํ เทเสเนฺต อายสฺมา ธมฺมเสนาปติ สาริปุโตฺต ราชคเห คิชฺฌกูฎปพฺพเต ฐิโต ทิพฺพจกฺขุนา ปสฺสิตฺวา, เตน พุทฺธานุภาวสนฺทสฺสเนน อจฺฉริยพฺภุตจิตฺตชาโต ‘‘หนฺทาหํ ภิโยฺยโสมตฺตาย พุทฺธานุภาวํ โลกสฺส ปากฎํ กริสฺสามี’’ติ สญฺชาตปริวิตโกฺก อตฺตโน ปริวารภูตานํ ปญฺจนฺนํ ภิกฺขุสตานํ ตมตฺถํ อาโรเจตฺวา อิทฺธิยา อากาเสน ตาวเทว อาคนฺตฺวา สปริวาโร ภควนฺตํ อุปสงฺกมิตฺวา ปญฺจปติฎฺฐิเตน วนฺทิตฺวา ทสนขสโมธานสมุชฺชลมญฺชลิํ สิรสิ ปคฺคยฺห ตถาคตสฺส มหาภินีหารํ ปารมิปริปูรณญฺจ ปุจฺฉิฯ ภควา ตํ กายสกฺขิํ กตฺวา ตตฺถ สนฺนิปติตมนุสฺสานเญฺจว ทสสหสฺสจกฺกวาฬเทวพฺรหฺมานญฺจ อตฺตโน พุทฺธานุภาวํ ปริทีปยโนฺต พุทฺธวํสํ เทเสสิฯ เตน วุตฺตํ –
Evaṃ tathāgate attano buddhānubhāvadīpanaṃ pāṭihāriyaṃ dassetvā dhammaṃ desente āyasmā dhammasenāpati sāriputto rājagahe gijjhakūṭapabbate ṭhito dibbacakkhunā passitvā, tena buddhānubhāvasandassanena acchariyabbhutacittajāto ‘‘handāhaṃ bhiyyosomattāya buddhānubhāvaṃ lokassa pākaṭaṃ karissāmī’’ti sañjātaparivitakko attano parivārabhūtānaṃ pañcannaṃ bhikkhusatānaṃ tamatthaṃ ārocetvā iddhiyā ākāsena tāvadeva āgantvā saparivāro bhagavantaṃ upasaṅkamitvā pañcapatiṭṭhitena vanditvā dasanakhasamodhānasamujjalamañjaliṃ sirasi paggayha tathāgatassa mahābhinīhāraṃ pāramiparipūraṇañca pucchi. Bhagavā taṃ kāyasakkhiṃ katvā tattha sannipatitamanussānañceva dasasahassacakkavāḷadevabrahmānañca attano buddhānubhāvaṃ paridīpayanto buddhavaṃsaṃ desesi. Tena vuttaṃ –
‘‘สาริปุโตฺต มหาปโญฺญ, สมาธิชฺฌานโกวิโท;
‘‘Sāriputto mahāpañño, samādhijjhānakovido;
ปญฺญาย ปารมิปฺปโตฺต, ปุจฺฉติ โลกนายกํฯ
Paññāya pāramippatto, pucchati lokanāyakaṃ.
‘‘กีทิโส เต มหาวีร, อภินีหาโร นรุตฺตม;
‘‘Kīdiso te mahāvīra, abhinīhāro naruttama;
กมฺหิ กาเล ตยา ธีร, ปตฺถิตา โพธิมุตฺตมาฯ
Kamhi kāle tayā dhīra, patthitā bodhimuttamā.
‘‘ทานํ สีลญฺจ เนกฺขมฺมํ, ปญฺญา วีริยญฺจ กีทิสํ;
‘‘Dānaṃ sīlañca nekkhammaṃ, paññā vīriyañca kīdisaṃ;
ขนฺติ สจฺจมธิฎฺฐานํ, เมตฺตุเปกฺขา จ กีทิสาฯ
Khanti saccamadhiṭṭhānaṃ, mettupekkhā ca kīdisā.
‘‘ทส ปารมี ตยา ธีร, กีทิสี โลกนายก;
‘‘Dasa pāramī tayā dhīra, kīdisī lokanāyaka;
กถํ อุปปารมี ปุณฺณา, ปรมตฺถปารมี กถํฯ
Kathaṃ upapāramī puṇṇā, paramatthapāramī kathaṃ.
‘‘ตสฺส ปุโฎฺฐ วิยากาสิ, กรวีกมธุรคิโร;
‘‘Tassa puṭṭho viyākāsi, karavīkamadhuragiro;
นิพฺพาปยโนฺต หทยํ, หาสยโนฺต สเทวก’’นฺติฯ (พุ. วํ. ๑.๗๔-๗๘);
Nibbāpayanto hadayaṃ, hāsayanto sadevaka’’nti. (bu. vaṃ. 1.74-78);
เอวํ ภควตา พุทฺธวํเส เทสิเต อายสฺมา ธมฺมเสนาปติ ‘‘อโห พุทฺธานํ เหตุสมฺปทา, อโห สมุทาคมสมฺปตฺติ, อโห มหาภินีหารสมิชฺฌนา, ทุกฺกรํ วต ภควตา กตํ เอตฺตกํ กาลํ เอวํ ปารมิโย ปูเรเนฺตน, เอวํวิธสฺส โพธิสมฺภารสมฺภรณสฺส อนุจฺฉวิกเมว เจตํ ผลํ, ยทิทํ สพฺพญฺญุตา พเลสุ จ วสีภาโว เอวํมหิทฺธิกตา เอวํมหานุภาวตา’’ติ พุทฺธคุณารมฺมณํ ญาณํ เปเสสิฯ โส อนญฺญสาธารณํ ภควโต สีลํ สมาธิ ปญฺญา วิมุตฺติ วิมุตฺติญาณทสฺสนํ หิริโอตฺตปฺปํ สทฺธาวีริยํ สติสมฺปชญฺญํ สีลวิสุทฺธิ ทิฎฺฐิวิสุทฺธิ สมถวิปสฺสนา ตีณิ กุสลมูลานิ ตีณิ สุจริตานิ ตโย สมฺมาวิตกฺกา ติโสฺส อนวชฺชสญฺญาโย ติโสฺส ธาตุโย จตฺตาโร สติปฎฺฐานา จตฺตาโร สมฺมปฺปธานา จตฺตาโร อิทฺธิปาทา จตฺตาโร อริยมคฺคา จตฺตาริ อริยผลานิ จตโสฺส ปฎิสมฺภิทา จตุโยนิปริเจฺฉทกญาณานิ จตฺตาโร อริยวํสา จตฺตาริ เวสารชฺชญาณานิ ปญฺจ ปธานิยงฺคานิ ปญฺจงฺคิโก สมฺมาสมาธิ ปญฺจินฺทฺริยานิ ปญฺจ พลานิ ปญฺจ นิสฺสรณิยา ธาตุโย ปญฺจ วิมุตฺตายตนญาณานิ ปญฺจ วิมุตฺติปริปาจนียา ธมฺมา ฉ สารณียา ธมฺมา ฉ อนุสฺสติฎฺฐานานิ ฉ คารวา ฉ นิสฺสรณิยา ธาตุโย ฉ สตตวิหารา ฉ อนุตฺตริยานิ ฉ นิเพฺพธภาคิยา สญฺญา ฉ อภิญฺญา ฉ อสาธารณญาณานิ สตฺต อปริหานิยา ธมฺมา สตฺต อริยธนานิ สตฺต โพชฺฌงฺคา สตฺต สปฺปุริสธมฺมา สตฺต นิทฺทสวตฺถูนิ สตฺต สญฺญา สตฺต ทกฺขิเณยฺยปุคฺคลเทสนา สตฺต ขีณาสวพลเทสนา อฎฺฐ ปญฺญาปฎิลาภเหตุเทสนา อฎฺฐ สมฺมตฺตานิ อฎฺฐ โลกธมฺมาติกฺกมา อฎฺฐ อารมฺภวตฺถูนิ อฎฺฐ อกฺขณเทสนา อฎฺฐ มหาปุริสวิตกฺกา อฎฺฐ อภิภายตนเทสนา อฎฺฐ วิโมกฺขา นว โยนิโสมนสิการมูลกา ธมฺมา นว ปาริสุทฺธิปธานิยงฺคานิ นว สตฺตาวาสเทสนา นว อาฆาตปฺปฎิวินยา นว ปญฺญา นว นานตฺตเทสนา นว อนุปุพฺพวิหารา ทส นาถกรณา ธมฺมา ทส กสิณายตนานิ ทส กุสลกมฺมปถา ทส สมฺมตฺตานิ ทส อริยวาสา ทส อเสกฺขา ธมฺมา ทส รตนานิ ทส ตถาคตพลานิ เอกาทส เมตฺตานิสํสา ทฺวาทส ธมฺมจกฺกาการา เตรส ธุตงฺคคุณา จุทฺทส พุทฺธญาณานิ ปญฺจทส วิมุตฺติปริปาจนียา ธมฺมา โสฬสวิธา อานาปานสฺสตี โสฬส อปรมฺปริยา ธมฺมา อฎฺฐารส พุทฺธธมฺมา เอกูนวีสติ ปจฺจเวกฺขณญาณานิ จตุจตฺตาลีส ญาณวตฺถูนิ ปญฺญาส อุทยพฺพยญาณานิ ปโรปณฺณาส กุสลธมฺมา สตฺตสตฺตติ ญาณวตฺถูนิ จตุวีสติโกฎิสตสหสฺสสมาปตฺติสญฺจาริตมหาวชิรญาณํ อนนฺตนยสมนฺตปฎฺฐานปวิจยปจฺจเวกฺขณเทสนาญาณานิ ตถา อนนฺตาสุ โลกธาตูสุ อนนฺตานํ สตฺตานํ อาสยาทิวิภาวนญาณานิ จาติ เอวมาทิเก อจิเนฺตยฺยานุภาเว พุทฺธคุเณ ธมฺมนฺวยโต อนุคจฺฉโนฺต อนุสฺสรโนฺต เนว อนฺตํ, น ปมาณํ ปสฺสิฯ เถโร หิ อตฺตโนปิ นาม คุณานํ อนฺตํ วา ปมาณํ วา อาวเชฺชโนฺต น ปสฺสติ, โส ภควโต คุณานํ ปมาณํ กิํ ปสฺสิสฺสติ? ยสฺส ยสฺส หิ ปญฺญา มหตี ญาณํ วิสทํ, โส โส พุทฺธคุเณ มหนฺตโต สทฺทหติ, อิติ เถโร ภควโต คุณานํ ปมาณํ วา ปริเจฺฉทํ วา อปสฺสโนฺต ‘‘มาทิสสฺส นาม สาวกปารมิญาเณ ฐิตสฺส พุทฺธคุณา ญาเณน ปริจฺฉินฺทิตุํ น สกฺกา, ปเคว อิตเรสํฯ อโห อจิเนฺตยฺยา อปริเมยฺยเภทา มหานุภาวา สพฺพญฺญุคุณา, เกวลํ ปเนเต เอกสฺส พุทฺธญาณเสฺสว สพฺพโส โคจรา, นาเญฺญสํฯ กเถตุํ ปน สมฺมาสมฺพุเทฺธหิปิ วิตฺถารโต น สกฺกาเยวา’’ติ นิฎฺฐมคมาสิฯ วุตฺตเญฺหตํ –
Evaṃ bhagavatā buddhavaṃse desite āyasmā dhammasenāpati ‘‘aho buddhānaṃ hetusampadā, aho samudāgamasampatti, aho mahābhinīhārasamijjhanā, dukkaraṃ vata bhagavatā kataṃ ettakaṃ kālaṃ evaṃ pāramiyo pūrentena, evaṃvidhassa bodhisambhārasambharaṇassa anucchavikameva cetaṃ phalaṃ, yadidaṃ sabbaññutā balesu ca vasībhāvo evaṃmahiddhikatā evaṃmahānubhāvatā’’ti buddhaguṇārammaṇaṃ ñāṇaṃ pesesi. So anaññasādhāraṇaṃ bhagavato sīlaṃ samādhi paññā vimutti vimuttiñāṇadassanaṃ hiriottappaṃ saddhāvīriyaṃ satisampajaññaṃ sīlavisuddhi diṭṭhivisuddhi samathavipassanā tīṇi kusalamūlāni tīṇi sucaritāni tayo sammāvitakkā tisso anavajjasaññāyo tisso dhātuyo cattāro satipaṭṭhānā cattāro sammappadhānā cattāro iddhipādā cattāro ariyamaggā cattāri ariyaphalāni catasso paṭisambhidā catuyoniparicchedakañāṇāni cattāro ariyavaṃsā cattāri vesārajjañāṇāni pañca padhāniyaṅgāni pañcaṅgiko sammāsamādhi pañcindriyāni pañca balāni pañca nissaraṇiyā dhātuyo pañca vimuttāyatanañāṇāni pañca vimuttiparipācanīyā dhammā cha sāraṇīyā dhammā cha anussatiṭṭhānāni cha gāravā cha nissaraṇiyā dhātuyo cha satatavihārā cha anuttariyāni cha nibbedhabhāgiyā saññā cha abhiññā cha asādhāraṇañāṇāni satta aparihāniyā dhammā satta ariyadhanāni satta bojjhaṅgā satta sappurisadhammā satta niddasavatthūni satta saññā satta dakkhiṇeyyapuggaladesanā satta khīṇāsavabaladesanā aṭṭha paññāpaṭilābhahetudesanā aṭṭha sammattāni aṭṭha lokadhammātikkamā aṭṭha ārambhavatthūni aṭṭha akkhaṇadesanā aṭṭha mahāpurisavitakkā aṭṭha abhibhāyatanadesanā aṭṭha vimokkhā nava yonisomanasikāramūlakā dhammā nava pārisuddhipadhāniyaṅgāni nava sattāvāsadesanā nava āghātappaṭivinayā nava paññā nava nānattadesanā nava anupubbavihārā dasa nāthakaraṇā dhammā dasa kasiṇāyatanāni dasa kusalakammapathā dasa sammattāni dasa ariyavāsā dasa asekkhā dhammā dasa ratanāni dasa tathāgatabalāni ekādasa mettānisaṃsā dvādasa dhammacakkākārā terasa dhutaṅgaguṇā cuddasa buddhañāṇāni pañcadasa vimuttiparipācanīyā dhammā soḷasavidhā ānāpānassatī soḷasa aparampariyā dhammā aṭṭhārasa buddhadhammā ekūnavīsati paccavekkhaṇañāṇāni catucattālīsa ñāṇavatthūni paññāsa udayabbayañāṇāni paropaṇṇāsa kusaladhammā sattasattati ñāṇavatthūni catuvīsatikoṭisatasahassasamāpattisañcāritamahāvajirañāṇaṃ anantanayasamantapaṭṭhānapavicayapaccavekkhaṇadesanāñāṇāni tathā anantāsu lokadhātūsu anantānaṃ sattānaṃ āsayādivibhāvanañāṇāni cāti evamādike acinteyyānubhāve buddhaguṇe dhammanvayato anugacchanto anussaranto neva antaṃ, na pamāṇaṃ passi. Thero hi attanopi nāma guṇānaṃ antaṃ vā pamāṇaṃ vā āvajjento na passati, so bhagavato guṇānaṃ pamāṇaṃ kiṃ passissati? Yassa yassa hi paññā mahatī ñāṇaṃ visadaṃ, so so buddhaguṇe mahantato saddahati, iti thero bhagavato guṇānaṃ pamāṇaṃ vā paricchedaṃ vā apassanto ‘‘mādisassa nāma sāvakapāramiñāṇe ṭhitassa buddhaguṇā ñāṇena paricchindituṃ na sakkā, pageva itaresaṃ. Aho acinteyyā aparimeyyabhedā mahānubhāvā sabbaññuguṇā, kevalaṃ panete ekassa buddhañāṇasseva sabbaso gocarā, nāññesaṃ. Kathetuṃ pana sammāsambuddhehipi vitthārato na sakkāyevā’’ti niṭṭhamagamāsi. Vuttañhetaṃ –
‘‘พุโทฺธปิ พุทฺธสฺส ภเณยฺย วณฺณํ, กปฺปมฺปิ เจ อญฺญมภาสมาโน;
‘‘Buddhopi buddhassa bhaṇeyya vaṇṇaṃ, kappampi ce aññamabhāsamāno;
ขีเยถ กโปฺป จิรทีฆมนฺตเร, วโณฺณ น ขีเยถ ตถาคตสฺสา’’ติฯ (ที. นิ. อฎฺฐ. ๑.๓๐๔; ๓.๑๔๑; อุทา. อฎฺฐ. ๕๓);
Khīyetha kappo ciradīghamantare, vaṇṇo na khīyetha tathāgatassā’’ti. (dī. ni. aṭṭha. 1.304; 3.141; udā. aṭṭha. 53);
เอวํ พุทฺธานํ คุณมหนฺตตํ นิสฺสาย อุปฺปนฺนพลวปีติโสมนโสฺส ปุน จิเนฺตสิ – ‘‘เอวรูปานํ นาม พุทฺธคุณานํ เหตุภูตา พุทฺธการกา ธมฺมา ปารมิโย อโห มหานุภาวาฯ กตมาสุ นุ โข ชาตีสุ ปารมิตา ปริปาจิตา, กถํ วา ปริปากํ คตา, หนฺทาหํ อิมมตฺถํ ปุจฺฉโนฺต เอวมฺปิ สมุทาคมโต ปฎฺฐาย พุทฺธานุภาวํ อิมสฺส สเทวกสฺส โลกสฺส ปากฎตรํ กริสฺสามี’’ติฯ โส เอวํ จิเนฺตตฺวา ภควนฺตํ อิมํ ปญฺหํ อปุจฺฉิ – ‘‘กตมาสุ นุ โข, ภเนฺต , ชาตีสุ อิเม พุทฺธการกา ธมฺมา ปริปาจิตา, กถํ วา ปริปากํ คตา’’ติ? อถสฺส ภควา ตสฺมิํ รตนจงฺกเม ติสนฺธิปลฺลงฺกํ อาภุชิตฺวา ยุคนฺธรปพฺพเต พาลสูริโย วิย วิโรจมาโน นิสิโนฺน ‘‘สาริปุตฺต, มยฺหํ พุทฺธการกา ธมฺมา สมาทานโต ปฎฺฐาย นิรนฺตรํ สกฺกจฺจการิตาย วีริยูปตฺถเมฺภน จ สเพฺพสุ กเปฺปสุ ภวโต ภวํ ชาติโต ชาติํ ปริปจฺจนฺตาเยว อเหสุํ, อิมสฺมิํ ปน ภทฺทกเปฺป อิมาสุ ชาตีสุ เต ปริปกฺกา ชาตา’’ติ ทเสฺสโนฺต ‘‘กเปฺป จ สตสหเสฺส’’ติอาทินา จริยาปิฎกํ พุทฺธาปทานิยนฺติ ทุติยาภิธานํ ธมฺมปริยายํ อภาสิฯ อปเร ปน ‘‘รตนจงฺกเม จงฺกมโนฺต เทวาติเทโว เทวพฺรหฺมาทีหิ ปูชิยมาโน นิโคฺรธาราเม โอตริตฺวา วีสติสหสฺสขีณาสวปริวุโต ปญฺญตฺตวรพุทฺธาสเน นิสิโนฺน ภควา วุตฺตนเยเนว อายสฺมตา สาริปุเตฺตน ปุจฺฉิโต จริยาปิฎกํ เทเสสี’’ติ วทนฺติฯ เอตฺตาวตา ทูเรนิทานอวิทูเรนิทานานิ สเงฺขปโต ทเสฺสตฺวา จริยาปิฎกสฺส สนฺติเกนิทานํ วิตฺถารโต นิทฺทิฎฺฐนฺติ เวทิตพฺพํฯ ทูเรนิทานํ ปน อสเงฺขฺยยฺยวิภาวนายํ อาวิ ภวิสฺสตีติฯ
Evaṃ buddhānaṃ guṇamahantataṃ nissāya uppannabalavapītisomanasso puna cintesi – ‘‘evarūpānaṃ nāma buddhaguṇānaṃ hetubhūtā buddhakārakā dhammā pāramiyo aho mahānubhāvā. Katamāsu nu kho jātīsu pāramitā paripācitā, kathaṃ vā paripākaṃ gatā, handāhaṃ imamatthaṃ pucchanto evampi samudāgamato paṭṭhāya buddhānubhāvaṃ imassa sadevakassa lokassa pākaṭataraṃ karissāmī’’ti. So evaṃ cintetvā bhagavantaṃ imaṃ pañhaṃ apucchi – ‘‘katamāsu nu kho, bhante , jātīsu ime buddhakārakā dhammā paripācitā, kathaṃ vā paripākaṃ gatā’’ti? Athassa bhagavā tasmiṃ ratanacaṅkame tisandhipallaṅkaṃ ābhujitvā yugandharapabbate bālasūriyo viya virocamāno nisinno ‘‘sāriputta, mayhaṃ buddhakārakā dhammā samādānato paṭṭhāya nirantaraṃ sakkaccakāritāya vīriyūpatthambhena ca sabbesu kappesu bhavato bhavaṃ jātito jātiṃ paripaccantāyeva ahesuṃ, imasmiṃ pana bhaddakappe imāsu jātīsu te paripakkā jātā’’ti dassento ‘‘kappe ca satasahasse’’tiādinā cariyāpiṭakaṃ buddhāpadāniyanti dutiyābhidhānaṃ dhammapariyāyaṃ abhāsi. Apare pana ‘‘ratanacaṅkame caṅkamanto devātidevo devabrahmādīhi pūjiyamāno nigrodhārāme otaritvā vīsatisahassakhīṇāsavaparivuto paññattavarabuddhāsane nisinno bhagavā vuttanayeneva āyasmatā sāriputtena pucchito cariyāpiṭakaṃ desesī’’ti vadanti. Ettāvatā dūrenidānaavidūrenidānāni saṅkhepato dassetvā cariyāpiṭakassa santikenidānaṃ vitthārato niddiṭṭhanti veditabbaṃ. Dūrenidānaṃ pana asaṅkhyeyyavibhāvanāyaṃ āvi bhavissatīti.
๑. อิทานิ ‘‘กเปฺป จ สตสหเสฺส’’ติอาทินยปฺปวตฺตาย จริยาปิฎกปาฬิยา อตฺถสํวณฺณนา โหติฯ ตตฺรายํ กปฺป-สโทฺท สอุปสโคฺค อนุปสโคฺค จ วิตกฺกวิธานปฎิภาคปญฺญตฺติกาลปรมายุสมณโวหารสมนฺตภาวาภิสทฺทหน- เฉทนวินิโยควินยกิริยาเลสนฺตรกปฺปตณฺหาทิฎฺฐิอสเงฺขฺยยฺยกปฺปมหากปฺปาทีสุ ทิสฺสติฯ ตถา เหส ‘‘เนกฺขมฺมสงฺกโปฺป อพฺยาปาทสงฺกโปฺป’’ติอาทีสุ (ม. นิ. ๓.๑๓๗) วิตเกฺก อาคโตฯ ‘‘จีวเร วิกปฺปํ อาปเชฺชยฺยา’’ติอาทีสุ (ปารา. ๖๔๒) วิธาเน, อธิกวิธานํ อาปเชฺชยฺยาติ อโตฺถฯ ‘‘สตฺถุกเปฺปน วต กิร, โภ, สาวเกน สทฺธิํ มนฺตยมานา น ชานิมฺหา’’ติอาทีสุ (ม. นิ. ๑.๒๖๐) ปฎิภาเคฯ สตฺถุสทิเสนาติ อยญฺหิ ตตฺถ อโตฺถฯ ‘‘อิธายสฺมา, กโปฺป’’ติอาทีสุ (สุ. นิ. ๑๐๙๘) ปญฺญตฺติยํฯ ‘‘เยน สุทํ นิจฺจกปฺปํ วิหรามี’’ติอาทีสุ (ม. นิ. ๑.๓๘๗) กาเลฯ ‘‘อากงฺขมาโน, อานนฺท, ตถาคโต กปฺปํ วา ติเฎฺฐยฺย กปฺปาวเสสํ วา’’ติอาทีสุ (ที. นิ. ๒.๑๗๘; อุทา. ๕๑) ปรมายุมฺหิฯ อายุกโปฺป หิ อิธ กโปฺปติ อธิเปฺปโตฯ ‘‘อนุชานามิ, ภิกฺขเว, ปญฺจหิ สมณกเปฺปหิ ผลํ ปริภุญฺชิตุ’’นฺติอาทีสุ (จูฬว. ๒๕๐) สมณโวหาเรฯ ‘‘เกวลกปฺปํ เชตวนํ โอภาเสตฺวา’’ติอาทีสุ (ขุ. ปา. ๕.๑; สุ. นิ. มงฺคลสุตฺต) สมนฺตภาเวฯ ‘‘สทฺธา สทฺทหนา โอกปฺปนา อภิปฺปสาโท’’ติอาทีสุ (ธ. ส. ๑๒) อภิสทฺทหเน, สทฺธายนฺติ อโตฺถฯ ‘‘อลงฺกโต กปฺปิตเกสมสฺสู’’ติอาทีสุ (วิ. ว. ๑๐๙๔; ชา. ๒.๒๒.๑๓๖๘) เฉทเนฯ ‘‘เอวเมว อิโต ทินฺนํ, เปตานํ อุปกปฺปตี’’ติอาทีสุ (ขุ. ปา. ๗.๗; เป. ว. ๒๐) วินิโยเคฯ ‘‘กปฺปกเตน อกปฺปกตํ สํสิพฺพิตํ โหตี’’ติอาทีสุ (ปาจิ. ๓๗๑) วินยกิริยายํฯ ‘‘อตฺถิ กโปฺป นิปชฺชิตุํ, หนฺทาหํ นิปชฺชามี’’ติอาทีสุ เลเสฯ ‘‘อาปายิโก เนรยิโก กปฺปโฎฺฐ สงฺฆเภทโก…เป.… กปฺปํ นิรยมฺหิ ปจฺจตี’’ติ (อิติวุ. ๑๘; จูฬว. ๓๕๔; กถา. ๖๕๗, ๘๖๒) จ อาทีสุ อนฺตรกเปฺปฯ
1. Idāni ‘‘kappe ca satasahasse’’tiādinayappavattāya cariyāpiṭakapāḷiyā atthasaṃvaṇṇanā hoti. Tatrāyaṃ kappa-saddo saupasaggo anupasaggo ca vitakkavidhānapaṭibhāgapaññattikālaparamāyusamaṇavohārasamantabhāvābhisaddahana- chedanaviniyogavinayakiriyālesantarakappataṇhādiṭṭhiasaṅkhyeyyakappamahākappādīsu dissati. Tathā hesa ‘‘nekkhammasaṅkappo abyāpādasaṅkappo’’tiādīsu (ma. ni. 3.137) vitakke āgato. ‘‘Cīvare vikappaṃ āpajjeyyā’’tiādīsu (pārā. 642) vidhāne, adhikavidhānaṃ āpajjeyyāti attho. ‘‘Satthukappena vata kira, bho, sāvakena saddhiṃ mantayamānā na jānimhā’’tiādīsu (ma. ni. 1.260) paṭibhāge. Satthusadisenāti ayañhi tattha attho. ‘‘Idhāyasmā, kappo’’tiādīsu (su. ni. 1098) paññattiyaṃ. ‘‘Yena sudaṃ niccakappaṃ viharāmī’’tiādīsu (ma. ni. 1.387) kāle. ‘‘Ākaṅkhamāno, ānanda, tathāgato kappaṃ vā tiṭṭheyya kappāvasesaṃ vā’’tiādīsu (dī. ni. 2.178; udā. 51) paramāyumhi. Āyukappo hi idha kappoti adhippeto. ‘‘Anujānāmi, bhikkhave, pañcahi samaṇakappehi phalaṃ paribhuñjitu’’ntiādīsu (cūḷava. 250) samaṇavohāre. ‘‘Kevalakappaṃ jetavanaṃ obhāsetvā’’tiādīsu (khu. pā. 5.1; su. ni. maṅgalasutta) samantabhāve. ‘‘Saddhā saddahanā okappanā abhippasādo’’tiādīsu (dha. sa. 12) abhisaddahane, saddhāyanti attho. ‘‘Alaṅkato kappitakesamassū’’tiādīsu (vi. va. 1094; jā. 2.22.1368) chedane. ‘‘Evameva ito dinnaṃ, petānaṃ upakappatī’’tiādīsu (khu. pā. 7.7; pe. va. 20) viniyoge. ‘‘Kappakatena akappakataṃ saṃsibbitaṃ hotī’’tiādīsu (pāci. 371) vinayakiriyāyaṃ. ‘‘Atthi kappo nipajjituṃ, handāhaṃ nipajjāmī’’tiādīsu lese. ‘‘Āpāyiko nerayiko kappaṭṭho saṅghabhedako…pe… kappaṃ nirayamhi paccatī’’ti (itivu. 18; cūḷava. 354; kathā. 657, 862) ca ādīsu antarakappe.
‘‘น กปฺปยนฺติ น ปุเรกฺขโรนฺติ, ธมฺมาปิ เตสํ น ปฎิจฺฉิตาเส;
‘‘Na kappayanti na purekkharonti, dhammāpi tesaṃ na paṭicchitāse;
น พฺราหฺมโณ สีลวเตน เนโยฺย, ปารงฺคโต น ปเจฺจติ ตาที’’ติฯ –
Na brāhmaṇo sīlavatena neyyo, pāraṅgato na pacceti tādī’’ti. –
อาทีสุ (สุ. นิ. ๘๐๙) ตณฺหาทิฎฺฐีสุฯ ตถา หิ วุตฺตํ นิเทฺทเส ‘‘กปฺปาติ อุทฺทานโต เทฺว กปฺปา ตณฺหากโปฺป ทิฎฺฐิกโปฺป’’ติ (มหานิ. ๒๘)ฯ ‘‘อเนเกปิ สํวฎฺฎกเปฺป อเนเกปิ วิวฎฺฎกเปฺป’’ติอาทีสุ (ที. นิ. ๑.๒๔๔; ม. นิ. ๑.๖๘) อสเงฺขฺยยฺยกเปฺปฯ ‘‘จตฺตาริมานิ, ภิกฺขเว, กปฺปสฺส อสเงฺขฺยยฺยานี’’ติอาทีสุ (อ. นิ. ๔.๑๕๖) มหากเปฺปฯ อิธาปิ มหากเปฺปเยว ทฎฺฐโพฺพ (ที. นิ. อฎฺฐ. ๑.๒๙; ๓.๒๗๕; สํ. นิ. อฎฺฐ. ๑.๑.๑; อ. นิ. อฎฺฐ. ๒.๓.๑๒๘; ขุ. ปา. อฎฺฐ. ๕.เอวมิจฺจาทิปาฐวณฺณนา)ฯ
Ādīsu (su. ni. 809) taṇhādiṭṭhīsu. Tathā hi vuttaṃ niddese ‘‘kappāti uddānato dve kappā taṇhākappo diṭṭhikappo’’ti (mahāni. 28). ‘‘Anekepi saṃvaṭṭakappe anekepi vivaṭṭakappe’’tiādīsu (dī. ni. 1.244; ma. ni. 1.68) asaṅkhyeyyakappe. ‘‘Cattārimāni, bhikkhave, kappassa asaṅkhyeyyānī’’tiādīsu (a. ni. 4.156) mahākappe. Idhāpi mahākappeyeva daṭṭhabbo (dī. ni. aṭṭha. 1.29; 3.275; saṃ. ni. aṭṭha. 1.1.1; a. ni. aṭṭha. 2.3.128; khu. pā. aṭṭha. 5.evamiccādipāṭhavaṇṇanā).
ตตฺรายํ ปทสิทฺธิ – กปฺปียตีติ กโปฺป, เอตฺตกานิ วสฺสานีติ วา เอตฺตกานิ วสฺสสตานีติ วา เอตฺตกานิ วสฺสสหสฺสานีติ วา เอตฺตกานิ วสฺสสตสหสฺสานีติ วา สํวจฺฉรวเสน คเณตุํ อสกฺกุเณยฺยตฺตา เกวลํ สาสปราสิอุปมาทีหิ กเปฺปตโพฺพ ปริกเปฺปตพฺพปริมาโณติ อโตฺถฯ วุตฺตเญฺหตํ –
Tatrāyaṃ padasiddhi – kappīyatīti kappo, ettakāni vassānīti vā ettakāni vassasatānīti vā ettakāni vassasahassānīti vā ettakāni vassasatasahassānīti vā saṃvaccharavasena gaṇetuṃ asakkuṇeyyattā kevalaṃ sāsaparāsiupamādīhi kappetabbo parikappetabbaparimāṇoti attho. Vuttañhetaṃ –
‘‘กีว ทีโฆ นุ โข, ภเนฺต, กโปฺปติ? ทีโฆ โข, ภิกฺขุ, กโปฺป, โส น สุกโร สงฺขาตุํ ‘เอตฺตกานิ วสฺสานี’ติ วา ‘เอตฺตกานิ วสฺสสตานี’ติ วา ‘เอตฺตกานิ วสฺสสหสฺสานี’ติ วา ‘เอตฺตกานิ วสฺสสตสหสฺสานี’ติ วาฯ สกฺกา ปน, ภเนฺต, อุปมํ กาตุนฺติ? ‘สกฺกา, ภิกฺขู’ติ ภควา อโวจฯ เสยฺยถาปิ, ภิกฺขุ, โยชนํ อายาเมน โยชนํ วิตฺถาเรน โยชนํ อุเพฺพเธน มหาสาสปราสิฯ ตโต วสฺสสตสฺส วสฺสสหสฺสสฺส อจฺจเยน เอกเมกํ สาสปํ อุทฺธเรยฺย, ขิปฺปตรํ โข โส, ภิกฺขุ, มหาสาสปราสิ อิมินา อุปกฺกเมน ปริกฺขยํ ปริยาทานํ คเจฺฉยฺย, น เตฺวว กโปฺป, เอวํ ทีโฆ โข, ภิกฺขุ, กโปฺป’’ติ (สํ. นิ. ๒.๑๒๘)ฯ
‘‘Kīva dīgho nu kho, bhante, kappoti? Dīgho kho, bhikkhu, kappo, so na sukaro saṅkhātuṃ ‘ettakāni vassānī’ti vā ‘ettakāni vassasatānī’ti vā ‘ettakāni vassasahassānī’ti vā ‘ettakāni vassasatasahassānī’ti vā. Sakkā pana, bhante, upamaṃ kātunti? ‘Sakkā, bhikkhū’ti bhagavā avoca. Seyyathāpi, bhikkhu, yojanaṃ āyāmena yojanaṃ vitthārena yojanaṃ ubbedhena mahāsāsaparāsi. Tato vassasatassa vassasahassassa accayena ekamekaṃ sāsapaṃ uddhareyya, khippataraṃ kho so, bhikkhu, mahāsāsaparāsi iminā upakkamena parikkhayaṃ pariyādānaṃ gaccheyya, na tveva kappo, evaṃ dīgho kho, bhikkhu, kappo’’ti (saṃ. ni. 2.128).
สฺวายํ มหากโปฺป สํวฎฺฎาทิวเสน จตุอสเงฺขฺยยฺยกปฺปสงฺคโหฯ วุตฺตมฺปิ เจตํ –
Svāyaṃ mahākappo saṃvaṭṭādivasena catuasaṅkhyeyyakappasaṅgaho. Vuttampi cetaṃ –
‘‘จตฺตาริมานิ, ภิกฺขเว, กปฺปสฺส อสเงฺขฺยยฺยานิฯ กตมานิ จตฺตาริ? สํวโฎฺฎ, สํวฎฺฎฎฺฐายี, วิวโฎฺฎ, วิวฎฺฎฎฺฐายี’’ติ (อ. นิ. ๔.๑๕๖)ฯ
‘‘Cattārimāni, bhikkhave, kappassa asaṅkhyeyyāni. Katamāni cattāri? Saṃvaṭṭo, saṃvaṭṭaṭṭhāyī, vivaṭṭo, vivaṭṭaṭṭhāyī’’ti (a. ni. 4.156).
ตตฺถ ตโย สํวฎฺฎา – เตโชสํวโฎฺฎ, อาโปสํวโฎฺฎ, วาโยสํวโฎฺฎติฯ ติโสฺส สํวฎฺฎสีมา – อาภสฺสรา, สุภกิณฺหา, เวหปฺผลาติฯ ยทา หิ กโปฺป เตเชน สํวฎฺฎติ, อาภสฺสรโต เหฎฺฐา อคฺคินา ฑยฺหติฯ ยทา อาเปน สํวฎฺฎติ, สุภกิณฺหโต เหฎฺฐา อุทเกน วิลียติฯ ยทา วายุนา สํวฎฺฎติ, เวหปฺผลโต เหฎฺฐา วาเตน วิทฺธํสติฯ วิตฺถารโต ปน โกฎิสตสหสฺสจกฺกวาฬํ วินสฺสติ, ยํ พุทฺธานํ อาณาเกฺขตฺตนฺติ วุจฺจติฯ เตสุ ตีสุ สํวเฎฺฎสุ ยถากฺกมํ กปฺปวินาสกมหาเมฆโต ยาว ชาลาย วา อุทกสฺส วา วาตสฺส วา อุปเจฺฉโท อิทํ เอกํ อสเงฺขฺยยฺยํ สํวโฎฺฎ นามฯ กปฺปวินาสกชาลาทิปเจฺฉทโต ยาว โกฎิสตสหสฺสจกฺกวาฬปริปูรโก สมฺปตฺติมหาเมโฆ อุฎฺฐหติ, อิทํ ทุติยํ อสเงฺขฺยยฺยํ สํวฎฺฎฎฺฐายี นามฯ
Tattha tayo saṃvaṭṭā – tejosaṃvaṭṭo, āposaṃvaṭṭo, vāyosaṃvaṭṭoti. Tisso saṃvaṭṭasīmā – ābhassarā, subhakiṇhā, vehapphalāti. Yadā hi kappo tejena saṃvaṭṭati, ābhassarato heṭṭhā agginā ḍayhati. Yadā āpena saṃvaṭṭati, subhakiṇhato heṭṭhā udakena vilīyati. Yadā vāyunā saṃvaṭṭati, vehapphalato heṭṭhā vātena viddhaṃsati. Vitthārato pana koṭisatasahassacakkavāḷaṃ vinassati, yaṃ buddhānaṃ āṇākkhettanti vuccati. Tesu tīsu saṃvaṭṭesu yathākkamaṃ kappavināsakamahāmeghato yāva jālāya vā udakassa vā vātassa vā upacchedo idaṃ ekaṃ asaṅkhyeyyaṃ saṃvaṭṭo nāma. Kappavināsakajālādipacchedato yāva koṭisatasahassacakkavāḷaparipūrako sampattimahāmegho uṭṭhahati, idaṃ dutiyaṃ asaṅkhyeyyaṃ saṃvaṭṭaṭṭhāyī nāma.
สมฺปตฺติมหาเมฆโต ยาว จนฺทิมสูริยปาตุภาโว, อิทํ ตติยํ อสเงฺขฺยยฺยํ วิวโฎฺฎ นามฯ จนฺทิมสูริยปาตุภาวโต ยาว ปุน กปฺปวินาสกมหาเมโฆ, อิทํ จตุตฺถํ อสเงฺขฺยยฺยํ วิวฎฺฎฎฺฐายี นามฯ อิเมสุ จตุสฎฺฐิอนฺตรกปฺปสงฺคหํ วิวฎฺฎฎฺฐายีฯ เตน สมานกาลปริเจฺฉทา วิวฎฺฎาทโย เวทิตพฺพาฯ ‘‘วีสติอนฺตรกปฺปสงฺคห’’นฺติ เอเกฯ อิติ อิมานิ จตฺตาริ อสเงฺขฺยยฺยานิ เอโก มหากโปฺป โหติฯ เตน วุตฺตํ ‘‘สฺวายํ มหากโปฺป สํวฎฺฎาทิวเสน จตุอสเงฺขฺยยฺยกปฺปสงฺคโห’’ติฯ
Sampattimahāmeghato yāva candimasūriyapātubhāvo, idaṃ tatiyaṃ asaṅkhyeyyaṃ vivaṭṭo nāma. Candimasūriyapātubhāvato yāva puna kappavināsakamahāmegho, idaṃ catutthaṃ asaṅkhyeyyaṃ vivaṭṭaṭṭhāyī nāma. Imesu catusaṭṭhiantarakappasaṅgahaṃ vivaṭṭaṭṭhāyī. Tena samānakālaparicchedā vivaṭṭādayo veditabbā. ‘‘Vīsatiantarakappasaṅgaha’’nti eke. Iti imāni cattāri asaṅkhyeyyāni eko mahākappo hoti. Tena vuttaṃ ‘‘svāyaṃ mahākappo saṃvaṭṭādivasena catuasaṅkhyeyyakappasaṅgaho’’ti.
กเปฺปติ จ อจฺจนฺตสํโยควเสน อุปโยคพหุวจนํฯ สตสหเสฺสติ กปฺปสทฺทสมฺพเนฺธน จายํ ปุลฺลิงฺคนิเทฺทโส, อิธาปิ อจฺจนฺตสํโยควเสเนว พหุวจนํฯ สมานาธิกรณเญฺหตํ ปททฺวยํฯ จตุโร จ อสงฺขิเยติ เอตฺถาปิ เอเสว นโยฯ กสฺส ปน อสงฺขิเยติ อญฺญสฺส อวุตฺตตฺตา กปฺปสฺส จ วุตฺตตฺตา ปกรณโต กปฺปานนฺติ อยมโตฺถ วิญฺญายเตวฯ น หิ วุตฺตํ วเชฺชตฺวา อวุตฺตสฺส กสฺสจิ คหณํ ยุตฺตนฺติฯ จ-สโทฺท สมฺปิณฺฑนโตฺถ, มหากปฺปานํ จตุโร อสเงฺขฺยเยฺย สตสหเสฺส จ มหากเปฺปติ อยเญฺหตฺถ อโตฺถฯ อสงฺขิเยติ เอตฺถ สงฺขาตุํ น สกฺกาติ อสงฺขิยา, คณนํ อติกฺกนฺตาติ อโตฺถฯ ‘‘อสเงฺขฺยยฺยนฺติ เอโก คณนวิเสโส’’ติ เอเกฯ เต หิ เอกโต ปฎฺฐาย มหาพลกฺขปริโยสานานิ เอกูนสฎฺฐิฎฺฐานานิ วเชฺชตฺวา ทสมหาพลกฺขานิ อสเงฺขฺยยฺยํ นาม, สฎฺฐิมฎฺฐานนฺตรนฺติ วทนฺติฯ ตํ น ยุชฺชติ, สงฺขฺยาฐานนฺตรํ นาม คณนวิเสโส, ตสฺส อสเงฺขฺยยฺยภาวาภาวโต เอกํ ฐานนฺตรํ อสเงฺขฺยยฺยญฺจาติ วิรุทฺธเมตํฯ นนุ จ อสงฺขฺยภาเวน อสเงฺขฺยยฺยเตฺตปิ ตสฺส จตุพฺพิธภาโว น ยุชฺชตีติ? โน น ยุชฺชติฯ จตูสุ ฐาเนสุ อสเงฺขฺยยฺยภาวสฺส อิจฺฉิตตฺตาฯ ตตฺรายมาทิโต ปฎฺฐาย วิภาวนา –
Kappeti ca accantasaṃyogavasena upayogabahuvacanaṃ. Satasahasseti kappasaddasambandhena cāyaṃ pulliṅganiddeso, idhāpi accantasaṃyogavaseneva bahuvacanaṃ. Samānādhikaraṇañhetaṃ padadvayaṃ. Caturo ca asaṅkhiyeti etthāpi eseva nayo. Kassa pana asaṅkhiyeti aññassa avuttattā kappassa ca vuttattā pakaraṇato kappānanti ayamattho viññāyateva. Na hi vuttaṃ vajjetvā avuttassa kassaci gahaṇaṃ yuttanti. Ca-saddo sampiṇḍanattho, mahākappānaṃ caturo asaṅkhyeyye satasahasse ca mahākappeti ayañhettha attho. Asaṅkhiyeti ettha saṅkhātuṃ na sakkāti asaṅkhiyā, gaṇanaṃ atikkantāti attho. ‘‘Asaṅkhyeyyanti eko gaṇanaviseso’’ti eke. Te hi ekato paṭṭhāya mahābalakkhapariyosānāni ekūnasaṭṭhiṭṭhānāni vajjetvā dasamahābalakkhāni asaṅkhyeyyaṃ nāma, saṭṭhimaṭṭhānantaranti vadanti. Taṃ na yujjati, saṅkhyāṭhānantaraṃ nāma gaṇanaviseso, tassa asaṅkhyeyyabhāvābhāvato ekaṃ ṭhānantaraṃ asaṅkhyeyyañcāti viruddhametaṃ. Nanu ca asaṅkhyabhāvena asaṅkhyeyyattepi tassa catubbidhabhāvo na yujjatīti? No na yujjati. Catūsu ṭhānesu asaṅkhyeyyabhāvassa icchitattā. Tatrāyamādito paṭṭhāya vibhāvanā –
อตีเต กิร เอกสฺมิํ กเปฺป ตณฺหงฺกโร เมธงฺกโร สรณงฺกโร ทีปงฺกโรติ จตฺตาโร สมฺมาสมฺพุทฺธา อนุกฺกเมน โลเก อุปฺปชฺชิํสุฯ เตสุ ทีปงฺกรสฺส ภควโต กาเล อมรวตี นาม นครํ อโหสิฯ ตตฺถ สุเมโธ นาม พฺราหฺมโณ ปฎิวสติ อุภโต สุชาโต มาติโต จ ปิติโต จ, สํสุทฺธคหณิโก ยาว สตฺตมา กุลปริวฎฺฎา อกฺขิโตฺต อนุปกฺกุโฎฺฐ ชาติวาเทน, อภิรูโป ทสฺสนีโย ปาสาทิโก ปรมาย วณฺณโปกฺขรตาย สมนฺนาคโตฯ โส อญฺญํ กมฺมํ อกตฺวา พฺราหฺมณสิปฺปเมว อุคฺคณฺหิฯ ตสฺส ทหรกาเลเยว มาตาปิตโร กาลมกํสุฯ อถสฺส ราสิวฑฺฒโก อมโจฺจ อายโปตฺถกํ อาหริตฺวา สุวณฺณรชตมณิมุตฺตาทิภริเต สารคเพฺภ วิวริตฺวา ‘‘เอตฺตกํ เต, กุมาร, มาตุสนฺตกํ, เอตฺตกํ เต ปิตุสนฺตกํ, เอตฺตกํ เต อยฺยกปยฺยกาน’’นฺติ ยาว สตฺตมา กุลปริวฎฺฎา ธนํ อาจิกฺขิตฺวา ‘‘เอตํ ธนํ ปฎิปชฺชาหี’’ติ อาหฯ สุเมธปณฺฑิโต จิเนฺตสิ – ‘‘อิมํ เอวํ พหุํ ธนํ สํหริตฺวา มยฺหํ มาตาปิตาทโย ปรโลกํ คจฺฉนฺตา เอกกหาปณมฺปิ คเหตฺวา น คตา, มยา ปน คเหตฺวา คมนการณํ กาตุํ วฎฺฎตี’’ติฯ โส รโญฺญ อาโรเจตฺวา นคเร เภริํ จราเปตฺวา มหาชนสฺส ทานํ ทตฺวา หิมวนฺตปฺปเทสํ คนฺตฺวา ตาปสปพฺพชฺชํ ปพฺพชิตฺวา สตฺตาเหเนว อฎฺฐ สมาปตฺติโย ปญฺจ จ อภิญฺญาโย นิพฺพเตฺตตฺวา สมาปตฺติวิหาเรหิ วิหรติฯ
Atīte kira ekasmiṃ kappe taṇhaṅkaro medhaṅkaro saraṇaṅkaro dīpaṅkaroti cattāro sammāsambuddhā anukkamena loke uppajjiṃsu. Tesu dīpaṅkarassa bhagavato kāle amaravatī nāma nagaraṃ ahosi. Tattha sumedho nāma brāhmaṇo paṭivasati ubhato sujāto mātito ca pitito ca, saṃsuddhagahaṇiko yāva sattamā kulaparivaṭṭā akkhitto anupakkuṭṭho jātivādena, abhirūpo dassanīyo pāsādiko paramāya vaṇṇapokkharatāya samannāgato. So aññaṃ kammaṃ akatvā brāhmaṇasippameva uggaṇhi. Tassa daharakāleyeva mātāpitaro kālamakaṃsu. Athassa rāsivaḍḍhako amacco āyapotthakaṃ āharitvā suvaṇṇarajatamaṇimuttādibharite sāragabbhe vivaritvā ‘‘ettakaṃ te, kumāra, mātusantakaṃ, ettakaṃ te pitusantakaṃ, ettakaṃ te ayyakapayyakāna’’nti yāva sattamā kulaparivaṭṭā dhanaṃ ācikkhitvā ‘‘etaṃ dhanaṃ paṭipajjāhī’’ti āha. Sumedhapaṇḍito cintesi – ‘‘imaṃ evaṃ bahuṃ dhanaṃ saṃharitvā mayhaṃ mātāpitādayo paralokaṃ gacchantā ekakahāpaṇampi gahetvā na gatā, mayā pana gahetvā gamanakāraṇaṃ kātuṃ vaṭṭatī’’ti. So rañño ārocetvā nagare bheriṃ carāpetvā mahājanassa dānaṃ datvā himavantappadesaṃ gantvā tāpasapabbajjaṃ pabbajitvā sattāheneva aṭṭha samāpattiyo pañca ca abhiññāyo nibbattetvā samāpattivihārehi viharati.
ตสฺมิญฺจ กาเล ทีปงฺกรทสพโล ปรมาภิสโมฺพธิํ ปตฺวา ปวตฺติตวรธมฺมจโกฺก จตูหิ ขีณาสวสตสหเสฺสหิ ปริวุโต อนุปุเพฺพน จาริกํ จรมาโน รมฺมวตีนครํ นาม ปตฺวา ตสฺส อวิทูเร สุทสฺสนมหาวิหาเร ปฎิวสติฯ รมฺมวตีนครวาสิโน ‘‘สตฺถา กิร อมฺหากํ นครํ ปตฺวา สุทสฺสนมหาวิหาเร ปฎิวสตี’’ติ สุตฺวา คนฺธมาลาทิหตฺถา สตฺถารํ อุปสงฺกมิตฺวา วนฺทิตฺวา คนฺธมาลาทีหิ ปูเชตฺวา เอกมนฺตํ นิสินฺนา ธมฺมเทสนํ สุตฺวา สฺวาตนาย นิมเนฺตตฺวา อุฎฺฐายาสนา ปกฺกมิํสุฯ เต ปุนทิวเส มหาทานํ สเชฺชตฺวา นครํ อลงฺกริตฺวา ทสพลสฺส อาคมนมคฺคํ หฎฺฐตุฎฺฐา โสเธนฺติฯ
Tasmiñca kāle dīpaṅkaradasabalo paramābhisambodhiṃ patvā pavattitavaradhammacakko catūhi khīṇāsavasatasahassehi parivuto anupubbena cārikaṃ caramāno rammavatīnagaraṃ nāma patvā tassa avidūre sudassanamahāvihāre paṭivasati. Rammavatīnagaravāsino ‘‘satthā kira amhākaṃ nagaraṃ patvā sudassanamahāvihāre paṭivasatī’’ti sutvā gandhamālādihatthā satthāraṃ upasaṅkamitvā vanditvā gandhamālādīhi pūjetvā ekamantaṃ nisinnā dhammadesanaṃ sutvā svātanāya nimantetvā uṭṭhāyāsanā pakkamiṃsu. Te punadivase mahādānaṃ sajjetvā nagaraṃ alaṅkaritvā dasabalassa āgamanamaggaṃ haṭṭhatuṭṭhā sodhenti.
ตสฺมิญฺจ กาเล สุเมธตาปโส อากาเสน คจฺฉโนฺต เต หฎฺฐตุเฎฺฐ มนุเสฺส ทิสฺวา ‘‘อโมฺภ, กสฺส ตุเมฺห อิมํ มคฺคํ โสเธถา’’ติ ปุจฺฉิ? เตหิ ‘‘สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส อาคมนมคฺคํ โสเธมา’’ติ วุเตฺต อตีเตสุ พุเทฺธสุ กตาธิการตฺตา ‘‘พุโทฺธ’’ติ วจนํ สุตฺวา อุปฺปนฺนปีติโสมนโสฺส ตาวเทว อากาสโต โอรุยฺห ‘‘มยฺหมฺปิ โอกาสํ เทถ, อหมฺปิ โสเธสฺสามี’’ติ เตหิ ทสฺสิตํ โอกาสํ ‘‘กิญฺจาปิ อหํ อิมํ อิทฺธิยา สตฺตรตนวิจิตฺตํ กตฺวา อลงฺกริตุํ ปโหมิ, อชฺช ปน มยา กายเวยฺยาวจฺจํ กาตุํ วฎฺฎติ, กายารหํ ปุญฺญํ คณฺหิสฺสามี’’ติ จิเนฺตตฺวา ติณกจวราทโย นีหริตฺวา ปํสุํ อาหริตฺวา สมํ กโรโนฺต โสเธติฯ อนิฎฺฐิเตเยว ปน ตสฺส ปเทสสฺส โสธเน ทีปงฺกโร ภควา มหานุภาวานํ ฉฬภิญฺญานํ ขีณาสวานํ จตูหิ สตสหเสฺสหิ ปริวุโต ตํ มคฺคํ ปฎิปชฺชิฯ สุเมธปณฺฑิโต ‘‘สมฺมาสมฺพุโทฺธ พุทฺธสาวกา จ มา จิกฺขลฺลํ อกฺกมนฺตู’’ติ อตฺตโน วากจีรญฺจ จมฺมขณฺฑญฺจ ชฎากลาปญฺจ ปสาเรตฺวา สยญฺจ เยน ภควา เตน สีสํ กตฺวา อวกุโชฺช นิปชฺชิฯ เอวญฺจ จิเนฺตสิ – ‘‘สจาหํ อิจฺฉิสฺสามิ, อิมสฺส ภควโต สาวโก หุตฺวา อเชฺชว กิเลเส ฆาเตสฺสามิฯ กิํ มยฺหํ เอกเกเนว สํสารมโหฆโต นิตฺถรเณน? ยํนูนาหมฺปิ เอวรูโป สมฺมาสมฺพุโทฺธ หุตฺวา สเทวกํ โลกํ สํสารมหณฺณวโต ตาเรยฺย’’นฺติฯ อิติ โส อฎฺฐงฺคสมนฺนาคตมหาภินีหารวเสน จิตฺตํ ปณิเธสิฯ อถ ภควา อาคนฺตฺวา ตสฺส อุสฺสีสเก ฐตฺวา จิตฺตาจารํ สมิชฺฌนภาวญฺจสฺส ญตฺวา ‘‘อยํ อิโต กปฺปสตสหสฺสาธิกานํ จตุนฺนํ อสเงฺขฺยยฺยานํ มตฺถเก โคตโม นาม สมฺมาสมฺพุโทฺธ ภวิสฺสตี’’ติ สพฺพํ อิมํ ภควโต ปวตฺติํ พฺยากริตฺวา ปกฺกามิฯ
Tasmiñca kāle sumedhatāpaso ākāsena gacchanto te haṭṭhatuṭṭhe manusse disvā ‘‘ambho, kassa tumhe imaṃ maggaṃ sodhethā’’ti pucchi? Tehi ‘‘sammāsambuddhassa āgamanamaggaṃ sodhemā’’ti vutte atītesu buddhesu katādhikārattā ‘‘buddho’’ti vacanaṃ sutvā uppannapītisomanasso tāvadeva ākāsato oruyha ‘‘mayhampi okāsaṃ detha, ahampi sodhessāmī’’ti tehi dassitaṃ okāsaṃ ‘‘kiñcāpi ahaṃ imaṃ iddhiyā sattaratanavicittaṃ katvā alaṅkarituṃ pahomi, ajja pana mayā kāyaveyyāvaccaṃ kātuṃ vaṭṭati, kāyārahaṃ puññaṃ gaṇhissāmī’’ti cintetvā tiṇakacavarādayo nīharitvā paṃsuṃ āharitvā samaṃ karonto sodheti. Aniṭṭhiteyeva pana tassa padesassa sodhane dīpaṅkaro bhagavā mahānubhāvānaṃ chaḷabhiññānaṃ khīṇāsavānaṃ catūhi satasahassehi parivuto taṃ maggaṃ paṭipajji. Sumedhapaṇḍito ‘‘sammāsambuddho buddhasāvakā ca mā cikkhallaṃ akkamantū’’ti attano vākacīrañca cammakhaṇḍañca jaṭākalāpañca pasāretvā sayañca yena bhagavā tena sīsaṃ katvā avakujjo nipajji. Evañca cintesi – ‘‘sacāhaṃ icchissāmi, imassa bhagavato sāvako hutvā ajjeva kilese ghātessāmi. Kiṃ mayhaṃ ekakeneva saṃsāramahoghato nittharaṇena? Yaṃnūnāhampi evarūpo sammāsambuddho hutvā sadevakaṃ lokaṃ saṃsāramahaṇṇavato tāreyya’’nti. Iti so aṭṭhaṅgasamannāgatamahābhinīhāravasena cittaṃ paṇidhesi. Atha bhagavā āgantvā tassa ussīsake ṭhatvā cittācāraṃ samijjhanabhāvañcassa ñatvā ‘‘ayaṃ ito kappasatasahassādhikānaṃ catunnaṃ asaṅkhyeyyānaṃ matthake gotamo nāma sammāsambuddho bhavissatī’’ti sabbaṃ imaṃ bhagavato pavattiṃ byākaritvā pakkāmi.
ตโต อปเรปิ โกณฺฑญฺญภควนฺตํ อาทิํ กตฺวา อนุกฺกเมน อุปฺปนฺนา ยาว กสฺสปทสพลปริโยสานา สมฺมาสมฺพุทฺธา มหาสตฺตํ ‘‘พุโทฺธ ภวิสฺสตี’’ติ พฺยากริํสุฯ อิติ อมฺหากํ โพธิสตฺตสฺส ปารมิโย ปูเรนฺตเสฺสว จตุวีสติ สมฺมาสมฺพุทฺธา อุปฺปนฺนาฯ ยสฺมิํ ปน กเปฺป ทีปงฺกรทสพโล อุทปาทิ, ตสฺมิํ อเญฺญปิ ตโย พุทฺธา อเหสุํฯ เตสํ สนฺติเก โพธิสตฺตสฺส พฺยากรณํ นาโหสิ, ตสฺมา เต อิธ น คหิตาฯ โปราณฎฺฐกถายํ ปน ตมฺหา กปฺปา ปฎฺฐาย สพฺพพุเทฺธ ทเสฺสตุํ อิทํ วุตฺตํ –
Tato aparepi koṇḍaññabhagavantaṃ ādiṃ katvā anukkamena uppannā yāva kassapadasabalapariyosānā sammāsambuddhā mahāsattaṃ ‘‘buddho bhavissatī’’ti byākariṃsu. Iti amhākaṃ bodhisattassa pāramiyo pūrentasseva catuvīsati sammāsambuddhā uppannā. Yasmiṃ pana kappe dīpaṅkaradasabalo udapādi, tasmiṃ aññepi tayo buddhā ahesuṃ. Tesaṃ santike bodhisattassa byākaraṇaṃ nāhosi, tasmā te idha na gahitā. Porāṇaṭṭhakathāyaṃ pana tamhā kappā paṭṭhāya sabbabuddhe dassetuṃ idaṃ vuttaṃ –
‘‘ตณฺหงฺกโร เมธงฺกโร, อโถปิ สรณงฺกโร;
‘‘Taṇhaṅkaro medhaṅkaro, athopi saraṇaṅkaro;
ทีปงฺกโร จ สมฺพุโทฺธ, โกณฺฑโญฺญ ทฺวิปทุตฺตโมฯ
Dīpaṅkaro ca sambuddho, koṇḍañño dvipaduttamo.
‘‘มงฺคโล จ สุมโน จ, เรวโต โสภิโต มุนิ;
‘‘Maṅgalo ca sumano ca, revato sobhito muni;
อโนมทสฺสี ปทุโม, นารโท ปทุมุตฺตโรฯ
Anomadassī padumo, nārado padumuttaro.
‘‘สุเมโธ จ สุชาโต จ, ปิยทสฺสี มหายโส;
‘‘Sumedho ca sujāto ca, piyadassī mahāyaso;
อตฺถทสฺสี ธมฺมทสฺสี, สิทฺธโตฺถ โลกนายโกฯ
Atthadassī dhammadassī, siddhattho lokanāyako.
‘‘ติโสฺส ผุโสฺส จ สมฺพุโทฺธ, วิปสฺสี สิขิ เวสฺสภู;
‘‘Tisso phusso ca sambuddho, vipassī sikhi vessabhū;
กกุสโนฺธ โกณาคมโน, กสฺสโป จาปิ นายโกฯ
Kakusandho koṇāgamano, kassapo cāpi nāyako.
‘‘เอเต อเหสุํ สมฺพุทฺธา, วีตราคา สมาหิตา;
‘‘Ete ahesuṃ sambuddhā, vītarāgā samāhitā;
สตรํสีว อุปฺปนฺนา, มหาตมวิโนทนา;
Sataraṃsīva uppannā, mahātamavinodanā;
ชลิตฺวา อคฺคิกฺขนฺธาว, นิพฺพุตา เต สสาวกา’’ติฯ (ชา. อฎฺฐ. ๑.ทูเรนิทานกถา; อป. อฎฺฐ. ๑.ทูเรนิทานกถา);
Jalitvā aggikkhandhāva, nibbutā te sasāvakā’’ti. (jā. aṭṭha. 1.dūrenidānakathā; apa. aṭṭha. 1.dūrenidānakathā);
ตตฺถ ทีปงฺกรทสพลสฺส จ โกณฺฑญฺญทสพลสฺส จ อนฺตเร มหากปฺปานํ เอกํ อสเงฺขฺยยฺยํ พุทฺธสุโญฺญ โลโก อโหสิ, ตถา ภควโต โกณฺฑญฺญสฺส จ ภควโต มงฺคลสฺส จ อนฺตเร, ตถา ภควโต โสภิตสฺส จ ภควโต อโนมทสฺสิสฺส จ อนฺตเร, ตถา ภควโต นารทสฺส จ ภควโต ปทุมุตฺตรสฺส จ อนฺตเรฯ วุตฺตเญฺหตํ พุทฺธวํเส (พุ. วํ. ๒๘.๓, ๔, ๖, ๙) –
Tattha dīpaṅkaradasabalassa ca koṇḍaññadasabalassa ca antare mahākappānaṃ ekaṃ asaṅkhyeyyaṃ buddhasuñño loko ahosi, tathā bhagavato koṇḍaññassa ca bhagavato maṅgalassa ca antare, tathā bhagavato sobhitassa ca bhagavato anomadassissa ca antare, tathā bhagavato nāradassa ca bhagavato padumuttarassa ca antare. Vuttañhetaṃ buddhavaṃse (bu. vaṃ. 28.3, 4, 6, 9) –
‘‘ทีปงฺกรสฺส ภควโต, โกณฺฑญฺญสฺส จ สตฺถุโน;
‘‘Dīpaṅkarassa bhagavato, koṇḍaññassa ca satthuno;
เอเตสํ อนฺตรา กปฺปา, คณนาโต อสงฺขิยาฯ
Etesaṃ antarā kappā, gaṇanāto asaṅkhiyā.
‘‘โกณฺฑญฺญสฺส อปเรน, มงฺคโล นาม นายโก;
‘‘Koṇḍaññassa aparena, maṅgalo nāma nāyako;
เตสมฺปิ อนฺตรา กปฺปา, คณนาโต อสงฺขิยาฯ
Tesampi antarā kappā, gaṇanāto asaṅkhiyā.
‘‘โสภิตสฺส อปเรน, อโนมทสฺสี มหายโส;
‘‘Sobhitassa aparena, anomadassī mahāyaso;
เตสมฺปิ อนฺตรา กปฺปา, คณนาโต อสงฺขิยาฯ
Tesampi antarā kappā, gaṇanāto asaṅkhiyā.
‘‘นารทสฺส ภควโต, ปทุมุตฺตรสฺส สตฺถุโน;
‘‘Nāradassa bhagavato, padumuttarassa satthuno;
เตสมฺปิ อนฺตรา กปฺปา, คณนาโต อสงฺขิยา’’ติฯ
Tesampi antarā kappā, gaṇanāto asaṅkhiyā’’ti.
เอวํ คณนาตีตตาย อสเงฺขฺยยฺยเตฺตปิ จตูสุ ฐาเนสุ มหากปฺปานํ คณนาติกฺกเมน ‘‘จตุโร จ อสงฺขิเย’’ติ วุตฺตํ, น สงฺขฺยาวิเสเสนาติ เวทิตพฺพํฯ ยสฺมา ปน ปทุมุตฺตรทสพลสฺส จ สุเมธทสพลสฺส จ อนฺตเร ติํสกปฺปสหสฺสานิ, สุชาตทสพลสฺส จ ปิยทสฺสีทสพลสฺส จ อนฺตเร นวสหสฺสาธิกานํ กปฺปานํ สฎฺฐิสหสฺสานิ ทฺวาสีตุตฺตรานิ อฎฺฐ จ สตานิ, ธมฺมทสฺสีทสพลสฺส จ สิทฺธตฺถทสพลสฺส จ อนฺตเร วีสติ กปฺปา, สิทฺธตฺถทสพลสฺส จ ติสฺสทสพลสฺส จ อนฺตเร เอโก กโปฺป , ภควโต วิปสฺสิสฺส จ ภควโต สิขิสฺส จ อนฺตเร สฎฺฐิ กปฺปา, ภควโต จ เวสฺสภุสฺส ภควโต จ กกุสนฺธสฺส อนฺตเร ติํส กปฺปา, อิติ ปทุมุตฺตรทสพลสฺส อุปฺปนฺนกปฺปโต ปฎฺฐาย เหฎฺฐา เตสํ เตสํ พุทฺธานํ อุปฺปนฺนกเปฺปหิ อิมินา จ ภทฺทกเปฺปน สทฺธิํ สตสหสฺสมหากปฺปาฯ เต สนฺธาย วุตฺตํ ‘‘กเปฺป จ สตสหเสฺส’’ติฯ อิมสฺมิํ ปนเตฺถ วิตฺถาริยมาเน สพฺพํ พุทฺธวํสปาฬิํ อาหริตฺวา สํวเณฺณตพฺพํ โหตีติ อติวิตฺถารภีรุกสฺส มหาชนสฺส จิตฺตํ อนุรกฺขนฺตา น วิตฺถารยิมฺหฯ อตฺถิเกหิ พุทฺธวํสโต (พุ. วํ. ๑.๑ อาทโย) คเหตโพฺพฯ โยปิ เจตฺถ วตฺตโพฺพ กถามโคฺค, โสปิ อฎฺฐสาลินิยา (ธ. ส. อฎฺฐ. สุเมธกถา) ธมฺมสงฺคหวณฺณนาย ชาตกฎฺฐกถาย (ชา. อฎฺฐ. ๑.ทูเรนิทานกถา) จ วุตฺตนเยเนว เวทิตโพฺพฯ
Evaṃ gaṇanātītatāya asaṅkhyeyyattepi catūsu ṭhānesu mahākappānaṃ gaṇanātikkamena ‘‘caturo ca asaṅkhiye’’ti vuttaṃ, na saṅkhyāvisesenāti veditabbaṃ. Yasmā pana padumuttaradasabalassa ca sumedhadasabalassa ca antare tiṃsakappasahassāni, sujātadasabalassa ca piyadassīdasabalassa ca antare navasahassādhikānaṃ kappānaṃ saṭṭhisahassāni dvāsītuttarāni aṭṭha ca satāni, dhammadassīdasabalassa ca siddhatthadasabalassa ca antare vīsati kappā, siddhatthadasabalassa ca tissadasabalassa ca antare eko kappo , bhagavato vipassissa ca bhagavato sikhissa ca antare saṭṭhi kappā, bhagavato ca vessabhussa bhagavato ca kakusandhassa antare tiṃsa kappā, iti padumuttaradasabalassa uppannakappato paṭṭhāya heṭṭhā tesaṃ tesaṃ buddhānaṃ uppannakappehi iminā ca bhaddakappena saddhiṃ satasahassamahākappā. Te sandhāya vuttaṃ ‘‘kappe ca satasahasse’’ti. Imasmiṃ panatthe vitthāriyamāne sabbaṃ buddhavaṃsapāḷiṃ āharitvā saṃvaṇṇetabbaṃ hotīti ativitthārabhīrukassa mahājanassa cittaṃ anurakkhantā na vitthārayimha. Atthikehi buddhavaṃsato (bu. vaṃ. 1.1 ādayo) gahetabbo. Yopi cettha vattabbo kathāmaggo, sopi aṭṭhasāliniyā (dha. sa. aṭṭha. sumedhakathā) dhammasaṅgahavaṇṇanāya jātakaṭṭhakathāya (jā. aṭṭha. 1.dūrenidānakathā) ca vuttanayeneva veditabbo.
เอตฺถนฺตเรติ เอตฺถ อนฺตรสโทฺท –
Etthantareti ettha antarasaddo –
‘‘นทีตีเรสุ สณฺฐาเน, สภาสุ รถิยาสุ จ;
‘‘Nadītīresu saṇṭhāne, sabhāsu rathiyāsu ca;
ชนา สงฺคมฺม มเนฺตนฺติ, มญฺจ ตญฺจ กิมนฺตร’’นฺติฯ (สํ. นิ. ๑.๒๒๘) –
Janā saṅgamma mantenti, mañca tañca kimantara’’nti. (saṃ. ni. 1.228) –
อาทีสุ การเณ อาคโตฯ ‘‘อทฺทสา โข มํ, ภเนฺต, อญฺญตรา อิตฺถี วิชฺชนฺตริกาย ภาชนํ โธวนฺตี’’ติอาทีสุ (ม. นิ. ๒.๑๔๙) ขเณ, วิชฺชุนิจฺฉรณกฺขเณติ อโตฺถฯ ‘‘ยสฺสนฺตรโต น สนฺติ โกปา’’ติอาทีสุ (อุทา. ๒๐) จิเตฺตฯ ‘‘อนฺตรา จ คยํ อนฺตรา จ โพธิ’’นฺติอาทีสุ (ม. นิ. ๑.๒๘๕; มหาว. ๑๑) วิวเรฯ ‘‘น อุปชฺฌายสฺส ภณมานสฺส อนฺตรนฺตรา กถา โอปาเตตพฺพา’’ติอาทีสุ (มหาว. ๖๖) เวมเชฺฌฯ อิธาปิ เวมเชฺฌเยว ทฎฺฐโพฺพ (ที. นิ. อฎฺฐ. ๑.๑; อ. นิ. อฎฺฐ. ๒.๔.๓๖), ตสฺมา เอตสฺมิํ อนฺตเร เวมเชฺฌติ อโตฺถฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – ยสฺมิํ มหากเปฺป อมฺหากํ ภควา สุเมธปณฺฑิโต หุตฺวา ทีปงฺกรสฺส ภควโต ปาทมูเล –
Ādīsu kāraṇe āgato. ‘‘Addasā kho maṃ, bhante, aññatarā itthī vijjantarikāya bhājanaṃ dhovantī’’tiādīsu (ma. ni. 2.149) khaṇe, vijjuniccharaṇakkhaṇeti attho. ‘‘Yassantarato na santi kopā’’tiādīsu (udā. 20) citte. ‘‘Antarā ca gayaṃ antarā ca bodhi’’ntiādīsu (ma. ni. 1.285; mahāva. 11) vivare. ‘‘Na upajjhāyassa bhaṇamānassa antarantarā kathā opātetabbā’’tiādīsu (mahāva. 66) vemajjhe. Idhāpi vemajjheyeva daṭṭhabbo (dī. ni. aṭṭha. 1.1; a. ni. aṭṭha. 2.4.36), tasmā etasmiṃ antare vemajjheti attho. Idaṃ vuttaṃ hoti – yasmiṃ mahākappe amhākaṃ bhagavā sumedhapaṇḍito hutvā dīpaṅkarassa bhagavato pādamūle –
‘‘มนุสฺสตฺตํ ลิงฺคสมฺปตฺติ, เหตุ สตฺถารทสฺสนํ;
‘‘Manussattaṃ liṅgasampatti, hetu satthāradassanaṃ;
ปพฺพชฺชา คุณสมฺปตฺติ, อธิกาโร จ ฉนฺทตา’’ติฯ (พุ. วํ. ๒.๕๙) –
Pabbajjā guṇasampatti, adhikāro ca chandatā’’ti. (bu. vaṃ. 2.59) –
เอวํ วุเตฺตหิ อฎฺฐหิ อเงฺคหิ สมนฺนาคตํ มหาภินีหารํ อกาสิ, สมตฺติํส ปารมิโย ปวิจินิ สมาทิยิ, สเพฺพปิ พุทฺธการเก ธเมฺม สมฺปาเทตุํ อารภิ, ยมฺหิ เจตสฺมิํ ภทฺทกเปฺป สพฺพโส ปูริตปารมี หุตฺวา อนุตฺตรํ สมฺมาสโมฺพธิํ อภิสมฺพุชฺฌิฯ อิเมสํ ทฺวินฺนํ มหากปฺปานํ อนฺตเร ยถาวุตฺตปริเจฺฉเท กาลวิเสเสติฯ กถํ ปเนตํ วิญฺญายตีติ? ‘‘กเปฺป จ สตสหเสฺส, จตุโร จ อสงฺขิเย’’ติ อิทญฺหิ มหากปฺปานํ ปริเจฺฉทโต อปริเจฺฉทโต จ สงฺขฺยาทสฺสนํฯ สา โข ปนายํ สงฺขฺยา สเงฺขฺยยฺยสฺส อาทิปริโยสานคฺคหณํ วินา น สมฺภวตีติ ยตฺถ โพธิสมฺภารานมารโมฺภ ยตฺถ จ เต ปริโยสิตา ตทุภยมฺปิ อวธิภาเวน ‘‘เอตฺถนฺตเร’’ติ เอตฺถ อตฺถโต ทสฺสิตนฺติ วิญฺญายติฯ อวธิ จ ปนายํ อภิวิธิวเสน เวทิตโพฺพ, น มริยาทาวเสน, อารโมฺภสานกปฺปานํ เอกเทเสน อโนฺตคธตฺตาฯ นนุ จ นิปฺปเทเสน เตสํ อปริยาทานโต อภิวิธิ จ อิธ น สมฺภวตีติ? น อิทเมวํ ตเทกเทเสปิ ตโพฺพหารโตฯ โย หิ ตเทกเทสภูโต กโปฺป, โส นิปฺปเทสโต ปริยาทิโนฺนติฯ
Evaṃ vuttehi aṭṭhahi aṅgehi samannāgataṃ mahābhinīhāraṃ akāsi, samattiṃsa pāramiyo pavicini samādiyi, sabbepi buddhakārake dhamme sampādetuṃ ārabhi, yamhi cetasmiṃ bhaddakappe sabbaso pūritapāramī hutvā anuttaraṃ sammāsambodhiṃ abhisambujjhi. Imesaṃ dvinnaṃ mahākappānaṃ antare yathāvuttaparicchede kālaviseseti. Kathaṃ panetaṃ viññāyatīti? ‘‘Kappe ca satasahasse, caturo ca asaṅkhiye’’ti idañhi mahākappānaṃ paricchedato aparicchedato ca saṅkhyādassanaṃ. Sā kho panāyaṃ saṅkhyā saṅkhyeyyassa ādipariyosānaggahaṇaṃ vinā na sambhavatīti yattha bodhisambhārānamārambho yattha ca te pariyositā tadubhayampi avadhibhāvena ‘‘etthantare’’ti ettha atthato dassitanti viññāyati. Avadhi ca panāyaṃ abhividhivasena veditabbo, na mariyādāvasena, ārambhosānakappānaṃ ekadesena antogadhattā. Nanu ca nippadesena tesaṃ apariyādānato abhividhi ca idha na sambhavatīti? Na idamevaṃ tadekadesepi tabbohārato. Yo hi tadekadesabhūto kappo, so nippadesato pariyādinnoti.
ยํ จริตํ, สพฺพํ ตํ โพธิปาจนนฺติ เอตฺถ จริตนฺติ จริยา, สมตฺติํสปารมิสงฺคหา ทานสีลาทิปฎิปตฺติ, ญาตตฺถจริยาโลกตฺถจริยาพุทฺธตฺถจริยานํ ตทโนฺตคธตฺตาฯ ตถา ยา จิมา อฎฺฐ จริยา, เสยฺยถิทํ – ปณิธิสมฺปนฺนานํ จตูสุ อิริยาปเถสุ อิริยาปถจริยา, อินฺทฺริเยสุ คุตฺตทฺวารานํ อชฺฌตฺติกายตเนสุ อายตนจริยา, อปฺปมาทวิหารีนํ จตูสุ สติปฎฺฐาเนสุ สติจริยา, อธิจิตฺตมนุยุตฺตานํ จตูสุ ฌาเนสุ สมาธิจริยา, พุทฺธิสมฺปนฺนานํ จตูสุ อริยสเจฺจสุ ญาณจริยา, สมฺมา ปฎิปนฺนานํ จตูสุ อริยมเคฺคสุ มคฺคจริยา, อธิคตผลานํ จตูสุ สามญฺญผเลสุ ปตฺติจริยา, ติณฺณํ พุทฺธานํ สพฺพสเตฺตสุ โลกตฺถจริยาติฯ ตตฺถ ปเทสโต ทฺวินฺนํ โพธิสตฺตานํ ปเจฺจกพุทฺธพุทฺธสาวกานญฺจ โลกตฺถจริยา, มหาโพธิสตฺตานํ ปน สมฺมาสมฺพุทฺธานญฺจ นิปฺปเทสโตฯ วุตฺตเญฺหตํ นิเทฺทเส (จูฬนิ. ขคฺควิสาณสุตฺตนิเทฺทส ๑๒๑; ปฎิ. ม. ๑.๑๙๗) ‘‘จริยาติ อฎฺฐ จริยาโย อิริยาปถจริยา อายตนจริยา’’ติ วิตฺถาโรฯ ‘‘อธิมุจฺจโนฺต สทฺธาย จรติ, ปคฺคณฺหโนฺต วีริเยน จรติ, อุปฎฺฐหโนฺต สติยา จรติ, อวิกฺขิปโนฺต สมาธินา จรติ, ปชานโนฺต ปญฺญาย จรติ, วิชานโนฺต วิญฺญาเณน จรติ, เอวมฺปิ ปฎิปนฺนสฺส กุสลา ธมฺมา อายตนฺตีติ อายตนจริยาย จรติ, เอวมฺปิ ปฎิปโนฺน วิเสสมธิคจฺฉตีติ วิเสสจริยาย จรตี’’ติ ยา อิมา อปราปิ อฎฺฐ จริยา วุตฺตา, ตาสํ สพฺพาสํ ปารมิตาเสฺวว สโมโรโธ เวทิตโพฺพฯ เตน วุตฺตํ ‘‘จริตนฺติ จริยา, สมตฺติํสปารมิสงฺคหา ทานสีลาทิปฎิปตฺตี’’ติฯ เหตุจริยาย เอว ปน อิธาธิเปฺปตตฺตา มคฺคจริยาปตฺติจริยานํ อิธ อนวโรโธ เวทิตโพฺพฯ เตน วุตฺตํ ‘‘สพฺพํ ตํ โพธิปาจน’’นฺติฯ
Yaṃ caritaṃ, sabbaṃ taṃ bodhipācananti ettha caritanti cariyā, samattiṃsapāramisaṅgahā dānasīlādipaṭipatti, ñātatthacariyālokatthacariyābuddhatthacariyānaṃ tadantogadhattā. Tathā yā cimā aṭṭha cariyā, seyyathidaṃ – paṇidhisampannānaṃ catūsu iriyāpathesu iriyāpathacariyā, indriyesu guttadvārānaṃ ajjhattikāyatanesu āyatanacariyā, appamādavihārīnaṃ catūsu satipaṭṭhānesu saticariyā, adhicittamanuyuttānaṃ catūsu jhānesu samādhicariyā, buddhisampannānaṃ catūsu ariyasaccesu ñāṇacariyā, sammā paṭipannānaṃ catūsu ariyamaggesu maggacariyā, adhigataphalānaṃ catūsu sāmaññaphalesu patticariyā, tiṇṇaṃ buddhānaṃ sabbasattesu lokatthacariyāti. Tattha padesato dvinnaṃ bodhisattānaṃ paccekabuddhabuddhasāvakānañca lokatthacariyā, mahābodhisattānaṃ pana sammāsambuddhānañca nippadesato. Vuttañhetaṃ niddese (cūḷani. khaggavisāṇasuttaniddesa 121; paṭi. ma. 1.197) ‘‘cariyāti aṭṭha cariyāyo iriyāpathacariyā āyatanacariyā’’ti vitthāro. ‘‘Adhimuccanto saddhāya carati, paggaṇhanto vīriyena carati, upaṭṭhahanto satiyā carati, avikkhipanto samādhinā carati, pajānanto paññāya carati, vijānanto viññāṇena carati, evampi paṭipannassa kusalā dhammā āyatantīti āyatanacariyāya carati, evampi paṭipanno visesamadhigacchatīti visesacariyāya caratī’’ti yā imā aparāpi aṭṭha cariyā vuttā, tāsaṃ sabbāsaṃ pāramitāsveva samorodho veditabbo. Tena vuttaṃ ‘‘caritanti cariyā, samattiṃsapāramisaṅgahā dānasīlādipaṭipattī’’ti. Hetucariyāya eva pana idhādhippetattā maggacariyāpatticariyānaṃ idha anavarodho veditabbo. Tena vuttaṃ ‘‘sabbaṃ taṃ bodhipācana’’nti.
ตตฺถ สพฺพ-สโทฺท สพฺพสพฺพํ อายตนสพฺพํ สกฺกายสพฺพํ ปเทสสพฺพนฺติ จตูสุ อเตฺถสุ ทิสฺสติฯ ตถา หิ ‘‘สเพฺพ ธมฺมา สพฺพากาเรน พุทฺธสฺส ภควโต ญาณมุเข อาปาถมาคจฺฉนฺตี’’ติอาทีสุ (มหานิ. ๑๕๖; จูฬนิ. โมฆราชมาณวปุจฺฉานิเทฺทส ๘๕) สพฺพสพฺพสฺมิํฯ ‘‘สพฺพํ โว, ภิกฺขเว, เทเสสฺสามิ ตํ สุณาถ, กิญฺจ, ภิกฺขเว, สพฺพํ จกฺขุเญฺจว รูปา จ…เป.… มโน เจว ธมฺมา จา’’ติ (สํ. นิ. ๔.๒๓) เอตฺถ อายตนสพฺพสฺมิํฯ ‘‘สพฺพํ สพฺพโต สญฺชานาตี’’ติอาทีสุ (ม. นิ. ๑.๖) สกฺกายสพฺพสฺมิํฯ ‘‘สเพฺพสมฺปิ โว, สาริปุตฺต, สุภาสิตํ ปริยาเยนา’’ติอาทีสุ (ม. นิ. ๑.๓๔๕) ปเทสสพฺพสฺมิํฯ อิธาปิ ปเทสสพฺพสฺมิํ เอว เวทิตโพฺพ, โพธิสมฺภารภูตสฺส จริตสฺส อธิเปฺปตตฺตาฯ
Tattha sabba-saddo sabbasabbaṃ āyatanasabbaṃ sakkāyasabbaṃ padesasabbanti catūsu atthesu dissati. Tathā hi ‘‘sabbe dhammā sabbākārena buddhassa bhagavato ñāṇamukhe āpāthamāgacchantī’’tiādīsu (mahāni. 156; cūḷani. mogharājamāṇavapucchāniddesa 85) sabbasabbasmiṃ. ‘‘Sabbaṃ vo, bhikkhave, desessāmi taṃ suṇātha, kiñca, bhikkhave, sabbaṃ cakkhuñceva rūpā ca…pe… mano ceva dhammā cā’’ti (saṃ. ni. 4.23) ettha āyatanasabbasmiṃ. ‘‘Sabbaṃ sabbato sañjānātī’’tiādīsu (ma. ni. 1.6) sakkāyasabbasmiṃ. ‘‘Sabbesampi vo, sāriputta, subhāsitaṃ pariyāyenā’’tiādīsu (ma. ni. 1.345) padesasabbasmiṃ. Idhāpi padesasabbasmiṃ eva veditabbo, bodhisambhārabhūtassa caritassa adhippetattā.
โพธีติ รุโกฺขปิ อริยมโคฺคปิ นิพฺพานมฺปิ สพฺพญฺญุตญฺญาณมฺปิฯ ‘‘โพธิรุกฺขมูเล ปฐมาภิสมฺพุโทฺธ’’ติ (มหาว. ๑; อุทา. ๑) จ ‘‘อนฺตรา จ คยํ อนฺตรา จ โพธิ’’นฺติ (ม. นิ. ๑.๒๘๕; มหาว. ๑๑) จ อาคตฎฺฐาเน พุชฺฌติ เอตฺถาติ รุโกฺข โพธิฯ ‘‘โพธิ วุจฺจติ จตูสุ มเคฺคสุ ญาณ’’นฺติ (จูฬนิ. ขคฺควิสาณสุตฺตนิเทฺทส ๑๒๑) อาคตฎฺฐาเน จตฺตาริ อริยสจฺจานิ พุชฺฌติ เอเตนาติ อริยมโคฺค โพธิฯ ‘‘ปตฺวาน โพธิํ อมตํ อสงฺขต’’นฺติ อาคตฎฺฐาเน พุชฺฌติ เอตสฺมิํ นิมิตฺตภูเตติ นิพฺพานํ โพธิฯ ‘‘ปโปฺปติ โพธิํ วรภูริเมธโส’’ติ (ที. นิ. ๓.๒๑๗) อาคตฎฺฐาเน สเพฺพ ธเมฺม สพฺพากาเรน พุชฺฌติ เอเตนาติ สพฺพญฺญุตญฺญาณํ โพธิฯ อิธาปิ สพฺพญฺญุตญฺญาณํ อธิเปฺปตํฯ อรหตฺตมคฺคสพฺพญฺญุตญฺญาณานิ วา อิธ โพธีติ เวทิตพฺพานิ (ปารา. อฎฺฐ. ๑.๑๑), มหาโพธิยา อธิเปฺปตตฺตา ภควโตฯ อาสวกฺขยญาณปทฎฺฐานญฺหิ สพฺพญฺญุตญฺญาณํ สพฺพญฺญุตญฺญาณปทฎฺฐานญฺจ อาสวกฺขยญาณํ ‘‘มหาโพธี’’ติ วุจฺจติฯ เอตฺถายํ สเงฺขปโตฺถ – ยถาวุตฺตกาลปริเจฺฉเท ยํ มม ทานาสีลาทิปฎิปตฺติสงฺขาตํ จริตํ, ตํ สพฺพํ อนวเสสํ มหาโพธิยา ปาจนํ สาธกํ นิพฺพตฺตกนฺติฯ เอเตน โพธิสมฺภารานํ นิรนฺตรภาวนํ ทเสฺสติฯ อถ วา สพฺพนฺติ เอตฺถนฺตเร ยถาวุตฺตกาลปริเจฺฉเท ยํ จริตํ, ตํ สพฺพํ สกลเมว อนวเสสํ โพธิสมฺภารภูตเมวฯ เอเตน สพฺพสมฺภารภาวนํ ทเสฺสติฯ
Bodhīti rukkhopi ariyamaggopi nibbānampi sabbaññutaññāṇampi. ‘‘Bodhirukkhamūle paṭhamābhisambuddho’’ti (mahāva. 1; udā. 1) ca ‘‘antarā ca gayaṃ antarā ca bodhi’’nti (ma. ni. 1.285; mahāva. 11) ca āgataṭṭhāne bujjhati etthāti rukkho bodhi. ‘‘Bodhi vuccati catūsu maggesu ñāṇa’’nti (cūḷani. khaggavisāṇasuttaniddesa 121) āgataṭṭhāne cattāri ariyasaccāni bujjhati etenāti ariyamaggo bodhi. ‘‘Patvāna bodhiṃ amataṃ asaṅkhata’’nti āgataṭṭhāne bujjhati etasmiṃ nimittabhūteti nibbānaṃ bodhi. ‘‘Pappoti bodhiṃ varabhūrimedhaso’’ti (dī. ni. 3.217) āgataṭṭhāne sabbe dhamme sabbākārena bujjhati etenāti sabbaññutaññāṇaṃ bodhi. Idhāpi sabbaññutaññāṇaṃ adhippetaṃ. Arahattamaggasabbaññutaññāṇāni vā idha bodhīti veditabbāni (pārā. aṭṭha. 1.11), mahābodhiyā adhippetattā bhagavato. Āsavakkhayañāṇapadaṭṭhānañhi sabbaññutaññāṇaṃ sabbaññutaññāṇapadaṭṭhānañca āsavakkhayañāṇaṃ ‘‘mahābodhī’’ti vuccati. Etthāyaṃ saṅkhepattho – yathāvuttakālaparicchede yaṃ mama dānāsīlādipaṭipattisaṅkhātaṃ caritaṃ, taṃ sabbaṃ anavasesaṃ mahābodhiyā pācanaṃ sādhakaṃ nibbattakanti. Etena bodhisambhārānaṃ nirantarabhāvanaṃ dasseti. Atha vā sabbanti etthantare yathāvuttakālaparicchede yaṃ caritaṃ, taṃ sabbaṃ sakalameva anavasesaṃ bodhisambhārabhūtameva. Etena sabbasambhārabhāvanaṃ dasseti.
ตโสฺส หิ โพธิสมฺภาเรสุ ภาวนา สพฺพสมฺภารภาวนา นิรนฺตรภาวนา จิรกาลภาวนา สกฺกจฺจภาวนา จาติฯ ตาสุ ‘‘กเปฺป จ สตสหเสฺส, จตุโร จ อสงฺขิเย’’ติ อิมินา จิรกาลภาวนา วุตฺตาฯ โย เจตฺถ อจฺจนฺตสํโยโค, เตน ปฐเม อตฺถวิกเปฺป สพฺพคฺคหเณน จ นิรนฺตรภาวนา, ทุติเย อตฺถวิกเปฺป สพฺพํ จริต’’นฺติ อิมินา สพฺพสมฺภารภาวนา, โพธิปาจน’’นฺติ อิมินา สกฺกจฺจภาวนา วุตฺตา โหติ, ยถา ตํ จริตํ สมฺมาสโมฺพธิํ ปาเจติ เอวํภูตภาวทีปนโตฯ ตถา หิ ตํ ‘‘โพธิปาจน’’นฺติ วตฺตพฺพตํ อรหติ, น อญฺญถาติฯ กถํ ปเนตฺถ โพธิจริยาย นิรนฺตรภาโว เวทิตโพฺพ? ยทิ จิตฺตนิรนฺตรตาย ตํ น ยุชฺชติ, น หิ มหาโพธิสตฺตานํ มหาภินีหารโต อุทฺธํ โพธิสมฺภารสมฺภรณจิตฺตโต อญฺญํ จิตฺตํ นปฺปวตฺตตีติ สกฺกา วตฺตุํฯ อถ กิริยมยจิตฺตปฺปวตฺติํ สนฺธาย วุเจฺจยฺย, เอวมฺปิ น ยุชฺชติ, น หิ สพฺพานิ เตสํ กิริยมยจิตฺตานิ โพธิสมฺภารสมฺภรณวเสเนว ปวตฺตนฺติฯ เอเตเนว ปโยคนิรนฺตรตาปิ ปฎิกฺขิตฺตาติ ทฎฺฐพฺพาฯ ชาตินิรนฺตรตาย ปน นิรนฺตรภาวนา เวทิตพฺพาฯ ยสฺสญฺหิ ชาติยํ มหาโพธิสเตฺตน มหาปณิธานํ นิพฺพตฺติตํ, ตโต ปฎฺฐาย ยาว จริมตฺตภาวา น สา นาม ชาติ อุปลพฺภติ, ยา สเพฺพน สพฺพํ โพธิสมฺภารสมฺภตา น สิยา อนฺตมโส ทานปารมิมตฺตํ อุปาทายฯ อยญฺหิ นิยติปตฺถิตานํ โพธิสตฺตานํ ธมฺมตาฯ ยาว จ เต กมฺมาทีสุ วสีภาวํ น ปาปุณนฺติ, ตาว สปฺปเทสมฺปิ สมฺภาเรสุ ปโยคมาปชฺชนฺติฯ ยทา ปน สพฺพโส กมฺมาทีสุ วสีภาวปฺปตฺตา โหนฺติ, อถ ตโต ปฎฺฐาย นิปฺปเทสโต เอว โพธิสมฺภาเรสุ สมีหนํ สาตจฺจกิริยา จ สมฺปชฺชติฯ สกฺกจฺจการิตา ปน สพฺพกาลํ โหติ, เอวํ เยน เยน โพธิสตฺตานํ ตตฺถ ตตฺถ ยถาธิปฺปายํ สมิชฺฌนํ สมฺปชฺชตีติฯ เอวเมตาย คาถาย โพธิสมฺภาเรสุ สพฺพสมฺภารภาวนา จิรกาลภาวนา นิรนฺตรภาวนา สกฺกจฺจภาวนา จาติ จตโสฺสปิ ภาวนา ปกาสิตาติ เวทิตพฺพาฯ
Tasso hi bodhisambhāresubhāvanā sabbasambhārabhāvanā nirantarabhāvanā cirakālabhāvanā sakkaccabhāvanā cāti. Tāsu ‘‘kappe ca satasahasse, caturo ca asaṅkhiye’’ti iminā cirakālabhāvanā vuttā. Yo cettha accantasaṃyogo, tena paṭhame atthavikappe sabbaggahaṇena ca nirantarabhāvanā, dutiye atthavikappe sabbaṃ carita’’nti iminā sabbasambhārabhāvanā, bodhipācana’’nti iminā sakkaccabhāvanā vuttā hoti, yathā taṃ caritaṃ sammāsambodhiṃ pāceti evaṃbhūtabhāvadīpanato. Tathā hi taṃ ‘‘bodhipācana’’nti vattabbataṃ arahati, na aññathāti. Kathaṃ panettha bodhicariyāya nirantarabhāvo veditabbo? Yadi cittanirantaratāya taṃ na yujjati, na hi mahābodhisattānaṃ mahābhinīhārato uddhaṃ bodhisambhārasambharaṇacittato aññaṃ cittaṃ nappavattatīti sakkā vattuṃ. Atha kiriyamayacittappavattiṃ sandhāya vucceyya, evampi na yujjati, na hi sabbāni tesaṃ kiriyamayacittāni bodhisambhārasambharaṇavaseneva pavattanti. Eteneva payoganirantaratāpi paṭikkhittāti daṭṭhabbā. Jātinirantaratāya pana nirantarabhāvanā veditabbā. Yassañhi jātiyaṃ mahābodhisattena mahāpaṇidhānaṃ nibbattitaṃ, tato paṭṭhāya yāva carimattabhāvā na sā nāma jāti upalabbhati, yā sabbena sabbaṃ bodhisambhārasambhatā na siyā antamaso dānapāramimattaṃ upādāya. Ayañhi niyatipatthitānaṃ bodhisattānaṃ dhammatā. Yāva ca te kammādīsu vasībhāvaṃ na pāpuṇanti, tāva sappadesampi sambhāresu payogamāpajjanti. Yadā pana sabbaso kammādīsu vasībhāvappattā honti, atha tato paṭṭhāya nippadesato eva bodhisambhāresu samīhanaṃ sātaccakiriyā ca sampajjati. Sakkaccakāritā pana sabbakālaṃ hoti, evaṃ yena yena bodhisattānaṃ tattha tattha yathādhippāyaṃ samijjhanaṃ sampajjatīti. Evametāya gāthāya bodhisambhāresu sabbasambhārabhāvanā cirakālabhāvanā nirantarabhāvanā sakkaccabhāvanā cāti catassopi bhāvanā pakāsitāti veditabbā.
ตตฺร ยสฺมา โพธิสตฺตจริตํ โพธิสมฺภารา โพธิจริยา อคฺคยานํ ปารมิโยติ อตฺถโต เอกํ, พฺยญฺชนเมว นานํ, ยสฺมา จ ปรโต วิภาเคน วกฺขมานานํ ทานปารมิอาทีนํ จริตนฺติ อิทํ อวิเสสวจนํ, ตสฺมา สพฺพโพธิสมฺภาเรสุ โกสลฺลชนนตฺถํ ปารมิโย อิธ สํวเณฺณตพฺพาฯ ตา ปรโต ปกิณฺณกกถายํ สพฺพากาเรน สํวณฺณยิสฺสามฯ
Tatra yasmā bodhisattacaritaṃ bodhisambhārā bodhicariyā aggayānaṃ pāramiyoti atthato ekaṃ, byañjanameva nānaṃ, yasmā ca parato vibhāgena vakkhamānānaṃ dānapāramiādīnaṃ caritanti idaṃ avisesavacanaṃ, tasmā sabbabodhisambhāresu kosallajananatthaṃ pāramiyo idha saṃvaṇṇetabbā. Tā parato pakiṇṇakakathāyaṃ sabbākārena saṃvaṇṇayissāma.
๒. อิติ ภควา อตฺตโน โพธิสตฺตภูมิยํ จริตํ อารมฺภโต ปฎฺฐาย ยาว ปริโยสานา มหาโพธิยา ปริปาจนเมวาติ อวิเสสโต ทเสฺสตฺวา อิทานิ ตสฺส ปรมุกฺกํสคมเนน อติสยโต โพธิปริปาจนภาวํ ทเสฺสตุํ อิมสฺมิํ ภทฺทกเปฺป กติปยา ปุพฺพจริยา วิภาคโต วิภาเวโนฺต ‘‘อตีตกเปฺป’’ติอาทิมาหฯ
2. Iti bhagavā attano bodhisattabhūmiyaṃ caritaṃ ārambhato paṭṭhāya yāva pariyosānā mahābodhiyā paripācanamevāti avisesato dassetvā idāni tassa paramukkaṃsagamanena atisayato bodhiparipācanabhāvaṃ dassetuṃ imasmiṃ bhaddakappe katipayā pubbacariyā vibhāgato vibhāvento ‘‘atītakappe’’tiādimāha.
ตตฺถ อตีตกเปฺปติ อิโต ปุริเม ปุริมตเร วา สพฺพสฺมิํ อติกฺกเนฺต ยถาวุตฺตปริเจฺฉเท มหากเปฺป, กปฺปานํ สตสหสฺสาธิเกสุ จตูสุ อสเงฺขฺยเยฺยสูติ อโตฺถฯ จริตนฺติ จิณฺณํ ทานาทิปฎิปตฺติํฯ ฐปยิตฺวาติ มุญฺจิตฺวา อคฺคเหตฺวา, อวตฺวาติ อโตฺถฯ ภวาภเวติ ภเว จ อภเว จ, ‘‘อิติภวาภวกถ’’นฺติ (ที. นิ. ๑.๑๗) เอตฺถ หิ วุทฺธิหานิโย ภวาภวาติ วุตฺตาฯ ‘‘อิติภวาภวตญฺจ วีติวโตฺต’’ติ (อุทา. ๒๐) เอตฺถ สมฺปตฺติวิปตฺติวุทฺธิหานิสสฺสตุเจฺฉทปุญฺญปาปานิภวาภวาติ อธิเปฺปตานิฯ ‘‘อิติภวาภวเหตุ วา, ภิกฺขเว, ภิกฺขุโน ตณฺหา อุปฺปชฺชมานา อุปฺปชฺชตี’’ติ (อ. นิ. ๔.๙; อิติวุ. ๑๐๕) เอตฺถ ปน ปณีตปณีตตรานิ สปฺปินวนีตาทิเภสชฺชานิ ภวาภวาติ อธิเปฺปตานิฯ สมฺปตฺติภเวสุ ปณีตตรา ปณีตตมา ภวาภวาติปิ วทนฺติ เอว, ตสฺมา อิธาปิ โส เอว อโตฺถ เวทิตโพฺพ, ขุทฺทเก เจว มหเนฺต จ ภวสฺมินฺติ วุตฺตํ โหติฯ อิมมฺหิ กเปฺปติ อิมสฺมิํ ภทฺทกเปฺปฯ ปวกฺขิสฺสนฺติ กถยิสฺสํฯ สุโณหีติ ธมฺมเสนาปติํ สวเน นิโยเชติฯ เมติ มม สนฺติเก, มม ภาสโตติ อโตฺถฯ
Tattha atītakappeti ito purime purimatare vā sabbasmiṃ atikkante yathāvuttaparicchede mahākappe, kappānaṃ satasahassādhikesu catūsu asaṅkhyeyyesūti attho. Caritanti ciṇṇaṃ dānādipaṭipattiṃ. Ṭhapayitvāti muñcitvā aggahetvā, avatvāti attho. Bhavābhaveti bhave ca abhave ca, ‘‘itibhavābhavakatha’’nti (dī. ni. 1.17) ettha hi vuddhihāniyo bhavābhavāti vuttā. ‘‘Itibhavābhavatañca vītivatto’’ti (udā. 20) ettha sampattivipattivuddhihānisassatucchedapuññapāpānibhavābhavāti adhippetāni. ‘‘Itibhavābhavahetu vā, bhikkhave, bhikkhuno taṇhā uppajjamānā uppajjatī’’ti (a. ni. 4.9; itivu. 105) ettha pana paṇītapaṇītatarāni sappinavanītādibhesajjāni bhavābhavāti adhippetāni. Sampattibhavesu paṇītatarā paṇītatamā bhavābhavātipi vadanti eva, tasmā idhāpi so eva attho veditabbo, khuddake ceva mahante ca bhavasminti vuttaṃ hoti. Imamhi kappeti imasmiṃ bhaddakappe. Pavakkhissanti kathayissaṃ. Suṇohīti dhammasenāpatiṃ savane niyojeti. Meti mama santike, mama bhāsatoti attho.
นิทานกถา นิฎฺฐิตาฯ
Nidānakathā niṭṭhitā.
๑. อกิตฺติวโคฺค
1. Akittivaggo
๑. อกิตฺติจริยาวณฺณนา
1. Akitticariyāvaṇṇanā
๓. เอวํ ภควา อายสฺมโต สาริปุตฺตเตฺถรสฺส สเทวมนุสฺสาย จ ปริสาย อตฺตโน ปุพฺพจริยาย สวเน อุสฺสาหํ ชเนตฺวา อิทานิ ตํ ปุพฺพจริตํ ภวนฺตรปฎิจฺฉนฺนํ หตฺถตเล อามลกํ วิย ปจฺจกฺขํ กโรโนฺต ‘‘ยทา อหํ พฺรหารเญฺญ’’ติอาทิมาหฯ
3. Evaṃ bhagavā āyasmato sāriputtattherassa sadevamanussāya ca parisāya attano pubbacariyāya savane ussāhaṃ janetvā idāni taṃ pubbacaritaṃ bhavantarapaṭicchannaṃ hatthatale āmalakaṃ viya paccakkhaṃ karonto ‘‘yadā ahaṃ brahāraññe’’tiādimāha.
ตตฺถ ยทาติ ยสฺมิํ กาเลฯ พฺรหารเญฺญติ มหาอรเญฺญ, อรญฺญานิยํ, มหเนฺต วเนติ อโตฺถฯ สุเญฺญติ ชนวิวิเตฺตฯ วิปินกานเนติ วิปินภูเต กานเน, ปททฺวเยนาปิ ตสฺส อรญฺญสฺส คหนภาวเมว ทีเปติ, สพฺพเมตํ การทีปํ สนฺธาย วุตฺตํฯ อโชฺฌคาเหตฺวาติ อนุปวิสิตฺวาฯ วิหรามีติ ทิพฺพพฺรหฺมอริยอาเนญฺชวิหาเรหิ สมุปฺปาทิตสุขวิเสเสน อิริยาปถวิหาเรน สรีรทุกฺขํ วิจฺฉินฺทิตฺวา หรามิ อตฺตภาวํ ปวเตฺตมิฯ อกิตฺติ นาม ตาปโสติ เอวํนามโก ตาปโส หุตฺวา ยทา อหํ ตสฺมิํ อรเญฺญ วิหรามีติ อโตฺถฯ สตฺถา ตทา อตฺตโน อกิตฺติตาปสภาวํ ธมฺมเสนาปติสฺส วทติฯ ตตฺรายํ อนุปุพฺพิกถา –
Tattha yadāti yasmiṃ kāle. Brahāraññeti mahāaraññe, araññāniyaṃ, mahante vaneti attho. Suññeti janavivitte. Vipinakānaneti vipinabhūte kānane, padadvayenāpi tassa araññassa gahanabhāvameva dīpeti, sabbametaṃ kāradīpaṃ sandhāya vuttaṃ. Ajjhogāhetvāti anupavisitvā. Viharāmīti dibbabrahmaariyaāneñjavihārehi samuppāditasukhavisesena iriyāpathavihārena sarīradukkhaṃ vicchinditvā harāmi attabhāvaṃ pavattemi. Akitti nāma tāpasoti evaṃnāmako tāpaso hutvā yadā ahaṃ tasmiṃ araññe viharāmīti attho. Satthā tadā attano akittitāpasabhāvaṃ dhammasenāpatissa vadati. Tatrāyaṃ anupubbikathā –
อตีเต กิร อิมสฺมิํเยว ภทฺทกเปฺป พาราณสิยํ พฺรหฺมทเตฺต นาม ราชินิ รชฺชํ กาเรเนฺต โพธิสโตฺต อสีติโกฎิวิภวสฺส พฺราหฺมณมหาสาลสฺส กุเล นิพฺพตฺติ, ‘‘อกิตฺตี’’ติสฺส นามํ กริํสุฯ ตสฺส ปทสา คมนกาเล ภคินีปิ ชายิฯ ‘‘ยสวตี’’ติสฺสา นามํ กริํสุฯ โส โสฬสวสฺสกาเล ตกฺกสิลํ คนฺตฺวา สพฺพสิปฺปานิ อุคฺคเหตฺวา ปจฺจาคมาสิฯ อถสฺส มาตาปิตโร กาลมกํสุฯ โส เตสํ เปตกิจฺจานิ กาเรตฺวา กติปยทิวสาติกฺกเมน รตนาวโลกนํ อายุตฺตกปุริเสหิ การยมาโน ‘‘เอตฺตกํ มตฺติกํ, เอตฺตกํ เปตฺติกํ, เอตฺตกํ ปิตามห’’นฺติ สุตฺวา สํวิคฺคมานโส หุตฺวา ‘‘อิทํ ธนเมว ปญฺญายติ, น ธนสฺส สํหารกา, สเพฺพ อิมํ ธนํ ปหาเยว คตา, อหํ ปน นํ อาทาย คมิสฺสามี’’ติ ราชานํ อาปุจฺฉิตฺวา เภริํ จราเปสิ – ‘‘ธเนน อตฺถิกา อกิตฺติปณฺฑิตสฺส เคหํ อาคจฺฉนฺตู’’ติฯ
Atīte kira imasmiṃyeva bhaddakappe bārāṇasiyaṃ brahmadatte nāma rājini rajjaṃ kārente bodhisatto asītikoṭivibhavassa brāhmaṇamahāsālassa kule nibbatti, ‘‘akittī’’tissa nāmaṃ kariṃsu. Tassa padasā gamanakāle bhaginīpi jāyi. ‘‘Yasavatī’’tissā nāmaṃ kariṃsu. So soḷasavassakāle takkasilaṃ gantvā sabbasippāni uggahetvā paccāgamāsi. Athassa mātāpitaro kālamakaṃsu. So tesaṃ petakiccāni kāretvā katipayadivasātikkamena ratanāvalokanaṃ āyuttakapurisehi kārayamāno ‘‘ettakaṃ mattikaṃ, ettakaṃ pettikaṃ, ettakaṃ pitāmaha’’nti sutvā saṃviggamānaso hutvā ‘‘idaṃ dhanameva paññāyati, na dhanassa saṃhārakā, sabbe imaṃ dhanaṃ pahāyeva gatā, ahaṃ pana naṃ ādāya gamissāmī’’ti rājānaṃ āpucchitvā bheriṃ carāpesi – ‘‘dhanena atthikā akittipaṇḍitassa gehaṃ āgacchantū’’ti.
โส สตฺตาหํ มหาทานํ ปวเตฺตตฺวา ธเน อขียมาเน ‘‘กิํ เม อิมาย ธนกีฬาย, อตฺถิกา คณฺหิสฺสนฺตี’’ติ นิเวสนทฺวารํ วิวริตฺวา หิรญฺญสุวณฺณาทิภริเต สารคเพฺภ วิวราเปตฺวา ‘‘ทินฺนํเยว หรนฺตู’’ติ เคหํ ปหาย ญาติปริวฎฺฎสฺส ปริเทวนฺตสฺส ภคินิํ คเหตฺวา พาราณสิโต นิกฺขมิตฺวา นทิํ อุตฺตริตฺวา เทฺว ตีณิ โยชนานิ คนฺตฺวา ปพฺพชิตฺวา รมณีเย ภูมิภาเค ปณฺณสาลํ กริตฺวา วสติฯ เยน ปน ทฺวาเรน ตทา นิกฺขมิ, ตํ อกิตฺติทฺวารํ นาม ชาตํฯ เยน ติเตฺถน นทิํ โอติโณฺณ, ตํ อกิตฺติติตฺถํ นาม ชาตํฯ ตสฺส ปพฺพชิตภาวํ สุตฺวา พหู มนุสฺสา คามนิคมราชธานิวาสิโน ตสฺส คุเณหิ อากฑฺฒิยมานหทยา อนุปพฺพชิํสุฯ มหาปริวาโร อโหสิ, มหาลาภสกฺกาโร นิพฺพตฺติ, พุทฺธุปฺปาโท วิย อโหสิฯ อถ มหาสโตฺต ‘‘อยํ ลาภสกฺกาโร มหา, ปริวาโรปิ มหโนฺต, กายวิเวกมตฺตมฺปิ อิธ น ลภติ, มยา เอกากินา วิหริตุํ วฎฺฎตี’’ติ จิเนฺตตฺวา ปรมปฺปิจฺฉภาวโต วิเวกนินฺนตาย จ กสฺสจิ อชานาเปตฺวา เอกโกว นิกฺขมิตฺวา อนุปุเพฺพน ทมิฬรฎฺฐํ ปตฺวา กาวีรปฎฺฎนสมีเป อุยฺยาเน วิหรโนฺต ฌานาภิญฺญาโย นิพฺพเตฺตสิฯ ตตฺราปิสฺส มหาลาภสกฺกาโร อุปฺปชฺชิฯ โส ตํ ชิคุจฺฉโนฺต ฉเฑฺฑตฺวา อากาเสน คนฺตฺวา การทีเป โอตริฯ ตทา การทีโป อหิทีโป นามฯ โส ตตฺถ มหนฺตํ การรุกฺขํ อุปนิสฺสาย ปณฺณสาลํ มาเปตฺวา วาสํ กเปฺปสิฯ อปฺปิจฺฉตาย ปน กตฺถจิ อคนฺตฺวา ตสฺส รุกฺขสฺส ผลกาเล ผลานิ ขาทโนฺต ผเล อสติ ปตฺตานิ อุทกสิตฺตานิ ขาทโนฺต ฌานสมาปตฺตีหิ วีตินาเมสิฯ
So sattāhaṃ mahādānaṃ pavattetvā dhane akhīyamāne ‘‘kiṃ me imāya dhanakīḷāya, atthikā gaṇhissantī’’ti nivesanadvāraṃ vivaritvā hiraññasuvaṇṇādibharite sāragabbhe vivarāpetvā ‘‘dinnaṃyeva harantū’’ti gehaṃ pahāya ñātiparivaṭṭassa paridevantassa bhaginiṃ gahetvā bārāṇasito nikkhamitvā nadiṃ uttaritvā dve tīṇi yojanāni gantvā pabbajitvā ramaṇīye bhūmibhāge paṇṇasālaṃ karitvā vasati. Yena pana dvārena tadā nikkhami, taṃ akittidvāraṃ nāma jātaṃ. Yena titthena nadiṃ otiṇṇo, taṃ akittititthaṃ nāma jātaṃ. Tassa pabbajitabhāvaṃ sutvā bahū manussā gāmanigamarājadhānivāsino tassa guṇehi ākaḍḍhiyamānahadayā anupabbajiṃsu. Mahāparivāro ahosi, mahālābhasakkāro nibbatti, buddhuppādo viya ahosi. Atha mahāsatto ‘‘ayaṃ lābhasakkāro mahā, parivāropi mahanto, kāyavivekamattampi idha na labhati, mayā ekākinā viharituṃ vaṭṭatī’’ti cintetvā paramappicchabhāvato vivekaninnatāya ca kassaci ajānāpetvā ekakova nikkhamitvā anupubbena damiḷaraṭṭhaṃ patvā kāvīrapaṭṭanasamīpe uyyāne viharanto jhānābhiññāyo nibbattesi. Tatrāpissa mahālābhasakkāro uppajji. So taṃ jigucchanto chaḍḍetvā ākāsena gantvā kāradīpe otari. Tadā kāradīpo ahidīpo nāma. So tattha mahantaṃ kārarukkhaṃ upanissāya paṇṇasālaṃ māpetvā vāsaṃ kappesi. Appicchatāya pana katthaci agantvā tassa rukkhassa phalakāle phalāni khādanto phale asati pattāni udakasittāni khādanto jhānasamāpattīhi vītināmesi.
ตสฺส สีลเตเชน สกฺกสฺส ปณฺฑุกมฺพลสิลาสนํ อุณฺหาการํ ทเสฺสสิฯ สโกฺก ‘‘โก นุ โข มํ อิมมฺหา ฐานา จาเวตุกาโม’’ติ อาวเชฺชโนฺต ปณฺฑิตํ ทิสฺวา ‘‘กิมตฺถํ นุ โข อยํ ตาปโส เอวํ ทุกฺกรํ ตปํ จรติ, สกฺกตฺตํ นุ โข ปเตฺถติ, อุทาหุ อญฺญํ, วีมํสิสฺสามิ นํฯ อยญฺหิ สุวิสุทฺธกายวจีมโนสมาจาโร ชีวิเต นิรเปโกฺข อุทกสิตฺตานิ การปตฺตานิ ขาทติ, สเจ สกฺกตฺตํ ปเตฺถติ อตฺตโน สิตฺตานิ การปตฺตานิ มยฺหํ ทสฺสติ, โน เจ, น ทสฺสตี’’ติ พฺราหฺมณวเณฺณน ตสฺส สนฺติกํ อคมาสิ ฯ โพธิสโตฺตปิ การปตฺตานิ เสเทตฺวา ‘‘สีตลีภูตานิ ขาทิสฺสามี’’ติ ปณฺณสาลทฺวาเร นิสีทิฯ อถสฺส ปุรโต สโกฺก พฺราหฺมณรูเปน ภิกฺขาย อตฺถิโก หุตฺวา อฎฺฐาสิฯ มหาสโตฺต ตํ ทิสฺวา ‘‘ลาภา วต เม, สุลทฺธํ วต เม, จิรสฺสํ วต เม ยาจโก ทิโฎฺฐ’’ติ โสมนสฺสปฺปโตฺต หุตฺวา ‘‘อชฺช มม มโนรถํ มตฺถกํ ปาเปตฺวา ทานํ ทสฺสามี’’ติ ปกฺกภาชเนเนว อาทาย คนฺตฺวา ทานปารมิํ อาวเชฺชตฺวา อตฺตโน อเสเสตฺวาว ตสฺส ภิกฺขาภาชเน ปกฺขิปิฯ สโกฺก ตํ คเหตฺวา โถกํ คนฺตฺวา อนฺตรธายิฯ มหาสโตฺตปิ ตสฺส ทตฺวา ปุน ปริเยฎฺฐิํ อนาปชฺชิตฺวา เตเนว ปีติสุเขน วีตินาเมสิฯ
Tassa sīlatejena sakkassa paṇḍukambalasilāsanaṃ uṇhākāraṃ dassesi. Sakko ‘‘ko nu kho maṃ imamhā ṭhānā cāvetukāmo’’ti āvajjento paṇḍitaṃ disvā ‘‘kimatthaṃ nu kho ayaṃ tāpaso evaṃ dukkaraṃ tapaṃ carati, sakkattaṃ nu kho pattheti, udāhu aññaṃ, vīmaṃsissāmi naṃ. Ayañhi suvisuddhakāyavacīmanosamācāro jīvite nirapekkho udakasittāni kārapattāni khādati, sace sakkattaṃ pattheti attano sittāni kārapattāni mayhaṃ dassati, no ce, na dassatī’’ti brāhmaṇavaṇṇena tassa santikaṃ agamāsi . Bodhisattopi kārapattāni sedetvā ‘‘sītalībhūtāni khādissāmī’’ti paṇṇasāladvāre nisīdi. Athassa purato sakko brāhmaṇarūpena bhikkhāya atthiko hutvā aṭṭhāsi. Mahāsatto taṃ disvā ‘‘lābhā vata me, suladdhaṃ vata me, cirassaṃ vata me yācako diṭṭho’’ti somanassappatto hutvā ‘‘ajja mama manorathaṃ matthakaṃ pāpetvā dānaṃ dassāmī’’ti pakkabhājaneneva ādāya gantvā dānapāramiṃ āvajjetvā attano asesetvāva tassa bhikkhābhājane pakkhipi. Sakko taṃ gahetvā thokaṃ gantvā antaradhāyi. Mahāsattopi tassa datvā puna pariyeṭṭhiṃ anāpajjitvā teneva pītisukhena vītināmesi.
ทุติยทิวเส ปน การปตฺตานิ ปจิตฺวา ‘‘หิโยฺย ทกฺขิเณยฺยํ อลภิํ, อชฺช นุ โข กถ’’นฺติ ปณฺณสาลทฺวาเร นิสีทิฯ สโกฺกปิ ตเถว อาคมิฯ มหาสโตฺต ปุนปิ ตเถว ทตฺวา วีตินาเมสิฯ ตติยทิวเส จ ตเถว ทตฺวา ‘‘อโห วต เม ลาภา, พหุํ วต ปุญฺญํ ปสวามิ, สจาหํ ทกฺขิเณยฺยํ ลเภยฺยํ, เอวเมว มาสมฺปิ เทฺวมาสมฺปิ ทานํ ทเทยฺย’’นฺติ จิเนฺตสิฯ ตีสุปิ ทิวเสสุ ‘‘เตน ทาเนน น ลาภสกฺการสิโลกํ น จกฺกวตฺติสมฺปตฺติํ น สกฺกสมฺปตฺติํ น พฺรหฺมสมฺปตฺติํ น สาวกโพธิํ น ปเจฺจกโพธิํ ปเตฺถมิ, อปิ จ อิทํ เม ทานํ สพฺพญฺญุตญฺญาณสฺส ปจฺจโย โหตู’’ติ ยถาธิการํ จิตฺตํ ฐเปสิฯ เตน วุตฺตํ –
Dutiyadivase pana kārapattāni pacitvā ‘‘hiyyo dakkhiṇeyyaṃ alabhiṃ, ajja nu kho katha’’nti paṇṇasāladvāre nisīdi. Sakkopi tatheva āgami. Mahāsatto punapi tatheva datvā vītināmesi. Tatiyadivase ca tatheva datvā ‘‘aho vata me lābhā, bahuṃ vata puññaṃ pasavāmi, sacāhaṃ dakkhiṇeyyaṃ labheyyaṃ, evameva māsampi dvemāsampi dānaṃ dadeyya’’nti cintesi. Tīsupi divasesu ‘‘tena dānena na lābhasakkārasilokaṃ na cakkavattisampattiṃ na sakkasampattiṃ na brahmasampattiṃ na sāvakabodhiṃ na paccekabodhiṃ patthemi, api ca idaṃ me dānaṃ sabbaññutaññāṇassa paccayo hotū’’ti yathādhikāraṃ cittaṃ ṭhapesi. Tena vuttaṃ –
๔.
4.
‘‘ตทา มํ ตปเตเชน, สนฺตโตฺต ติทิวาภิภู;
‘‘Tadā maṃ tapatejena, santatto tidivābhibhū;
ธาเรโนฺต พฺราหฺมณวณฺณํ, ภิกฺขาย มํ อุปาคมิฯ
Dhārento brāhmaṇavaṇṇaṃ, bhikkhāya maṃ upāgami.
๕.
5.
‘‘ปวนา อาภตํ ปณฺณํ, อเตลญฺจ อโลณิกํ;
‘‘Pavanā ābhataṃ paṇṇaṃ, atelañca aloṇikaṃ;
มม ทฺวาเร ฐิตํ ทิสฺวา, สกฎาเหน อากิริํฯ
Mama dvāre ṭhitaṃ disvā, sakaṭāhena ākiriṃ.
๖.
6.
‘‘ตสฺส ทตฺวานหํ ปณฺณํ, นิกุชฺชิตฺวาน ภาชนํ;
‘‘Tassa datvānahaṃ paṇṇaṃ, nikujjitvāna bhājanaṃ;
ปุเนสนํ ชหิตฺวาน, ปาวิสิํ ปณฺณสาลกํฯ
Punesanaṃ jahitvāna, pāvisiṃ paṇṇasālakaṃ.
๗.
7.
‘‘ทุติยมฺปิ ตติยมฺปิ, อุปคญฺฉิ มมนฺติกํ;
‘‘Dutiyampi tatiyampi, upagañchi mamantikaṃ;
อกมฺปิโต อโนลโคฺค, เอวเมวมทาสหํฯ
Akampito anolaggo, evamevamadāsahaṃ.
๘.
8.
‘‘น เม ตปฺปจฺจยา อตฺถิ, สรีรสฺมิํ วิวณฺณิยํ;
‘‘Na me tappaccayā atthi, sarīrasmiṃ vivaṇṇiyaṃ;
ปีติสุเขน รติยา, วีตินาเมมิ ตํ ทิวํฯ
Pītisukhena ratiyā, vītināmemi taṃ divaṃ.
๙.
9.
‘‘ยทิ มาสมฺปิ เทฺวมาสํ, ทกฺขิเณยฺยํ วรํ ลเภ;
‘‘Yadi māsampi dvemāsaṃ, dakkhiṇeyyaṃ varaṃ labhe;
อกมฺปิโต อโนลีโน, ทเทยฺยํ ทานมุตฺตมํฯ
Akampito anolīno, dadeyyaṃ dānamuttamaṃ.
๑๐.
10.
‘‘น ตสฺส ทานํ ททมาโน, ยสํ ลาภญฺจ ปตฺถยิํ;
‘‘Na tassa dānaṃ dadamāno, yasaṃ lābhañca patthayiṃ;
สพฺพญฺญุตํ ปตฺถยาโน, ตานิ กมฺมานิ อาจริ’’นฺติฯ
Sabbaññutaṃ patthayāno, tāni kammāni ācari’’nti.
ตตฺถ ตทาติ ยทา อหํ อกิตฺตินามโก ตาปโส หุตฺวา ตสฺมิํ ทีเป การารเญฺญ วิหรามิ, ตทา ฯ มนฺติ มมฯ ตปเตเชนาติ สีลปารมิตานุภาเวนฯ สีลญฺหิ ทุจฺจริตสํกิเลสสฺส ตปนโต ‘‘ตโป’’ติ วุจฺจติ, เนกฺขมฺมวีริยปารมิตานุภาเวน วาฯ ตาปิ หิ ตณฺหาสํกิเลสสฺส โกสชฺชสฺส จ ตปนโต ‘‘ตโป’’ติ วุจฺจติ, อุกฺกํสคตา จ ตา โพธิสตฺตสฺส อิมสฺมิํ อตฺตภาเวติฯ ขนฺติสํวรสฺส จาปิ ปรมุกฺกํสคมนโต ‘‘ขนฺติปารมิตานุภาเวนา’’ติปิ วตฺตุํ วฎฺฎเตวฯ ‘‘ขนฺตี ปรมํ ตโป’’ติ (ที. นิ. ๒.๙๐; ธ. ป. ๑๘๔) หิ วุตฺตํฯ สนฺตโตฺตติ ยถาวุตฺตคุณานุภาวชนิเตน ธมฺมตาสิเทฺธน ปณฺฑุกมฺพลสิลาสนสฺส อุณฺหากาเรน สนฺตาปิโตฯ ติทิวาภิภูติ เทวโลกาธิปติ, สโกฺกติ อโตฺถฯ ปณฺณสาลาย สมีเป คหิตมฺปิ การปณฺณํ ปณฺณสาลาย อรญฺญมชฺฌคตตฺตา ‘‘ปวนา อาภต’’นฺติ วุตฺตํฯ
Tattha tadāti yadā ahaṃ akittināmako tāpaso hutvā tasmiṃ dīpe kārāraññe viharāmi, tadā . Manti mama. Tapatejenāti sīlapāramitānubhāvena. Sīlañhi duccaritasaṃkilesassa tapanato ‘‘tapo’’ti vuccati, nekkhammavīriyapāramitānubhāvena vā. Tāpi hi taṇhāsaṃkilesassa kosajjassa ca tapanato ‘‘tapo’’ti vuccati, ukkaṃsagatā ca tā bodhisattassa imasmiṃ attabhāveti. Khantisaṃvarassa cāpi paramukkaṃsagamanato ‘‘khantipāramitānubhāvenā’’tipi vattuṃ vaṭṭateva. ‘‘Khantī paramaṃ tapo’’ti (dī. ni. 2.90; dha. pa. 184) hi vuttaṃ. Santattoti yathāvuttaguṇānubhāvajanitena dhammatāsiddhena paṇḍukambalasilāsanassa uṇhākārena santāpito. Tidivābhibhūti devalokādhipati, sakkoti attho. Paṇṇasālāya samīpe gahitampi kārapaṇṇaṃ paṇṇasālāya araññamajjhagatattā ‘‘pavanā ābhata’’nti vuttaṃ.
อเตลญฺจ อโลณิกนฺติ เทยฺยธมฺมสฺส อนุฬารภาเวปิ อชฺฌาสยสมฺปตฺติยา ทานธมฺมสฺส มหาชุติกภาวํ ทเสฺสตุํ วุตฺตํฯ มม ทฺวาเรติ มยฺหํ ปณฺณสาลาย ทฺวาเรฯ สกฎาเหน อากิรินฺติ อิมินา อตฺตโน กิญฺจิปิ อเสเสตฺวา ทินฺนภาวํ ทเสฺสติฯ
Atelañca aloṇikanti deyyadhammassa anuḷārabhāvepi ajjhāsayasampattiyā dānadhammassa mahājutikabhāvaṃ dassetuṃ vuttaṃ. Mama dvāreti mayhaṃ paṇṇasālāya dvāre. Sakaṭāhena ākirinti iminā attano kiñcipi asesetvā dinnabhāvaṃ dasseti.
ปุเนสนํ ชหิตฺวานาติ ‘‘เอกทิวสํ ทฺวิกฺขตฺตุํ ฆาเสสนํ น สเลฺลข’’นฺติ จิเนฺตตฺวา ทานปีติยา ติโตฺต วิย หุตฺวา ตสฺมิํ ทิวเส ปุน อาหารปริเยฎฺฐิํ อกตฺวาฯ
Punesanaṃ jahitvānāti ‘‘ekadivasaṃ dvikkhattuṃ ghāsesanaṃ na sallekha’’nti cintetvā dānapītiyā titto viya hutvā tasmiṃ divase puna āhārapariyeṭṭhiṃ akatvā.
อกมฺปิโตติ สุทูรวิกฺขมฺภิตตฺตา มจฺฉริเยน อจลิโต ทานชฺฌาสยโต จลนมตฺตมฺปิ อการิโตฯ อโนลโคฺคติ โลภวเสน อีสกมฺปิ อลโคฺคฯ ตติยมฺปีติ ปิ-สเทฺทน ทุติยมฺปีติ อิมํ สมฺปิเณฺฑติฯ เอวเมวมทาสหนฺติ ยถา ปฐมํ, เอวเมวํ ทุติยมฺปิ, ตติยมฺปิ อทาสิํ อหํฯ
Akampitoti sudūravikkhambhitattā macchariyena acalito dānajjhāsayato calanamattampi akārito. Anolaggoti lobhavasena īsakampi alaggo. Tatiyampīti pi-saddena dutiyampīti imaṃ sampiṇḍeti. Evamevamadāsahanti yathā paṭhamaṃ, evamevaṃ dutiyampi, tatiyampi adāsiṃ ahaṃ.
น เม ตปฺปจฺจยาติ คาถาย วุตฺตเมวตฺถํ ปากฎํ กโรติฯ ตตฺถ ตปฺปจฺจยาติ ทานปจฺจยา ตีสุ ทิวเสสุ ฉินฺนาหารตาย สรีรสฺมิํ เยน เววณฺณิเยน ภวิตพฺพํ, ตมฺปิ เม สรีรสฺมิํ วิวณฺณิยํ ทานปจฺจยาเยว นตฺถิ ฯ กสฺมา? ทานวิสเยน ปีติสุเขน ทานวิสยาย เอว จ รติยาฯ วีตินาเมมิ ตํ ทิวนฺติ ตํ สกลํ ติมตฺตทิวสํ วีตินาเมมิ, น เกวลญฺจ ตีณิ เอว ทิวสานิ, อถ โข มาสทฺวิมาสมตฺตมฺปิ กาลํ, เอวเมว ทาตุํ ปโหมีติ ทเสฺสตุํ ‘‘ยทิ มาสมฺปี’’ติอาทิ วุตฺตํฯ อโนลีโนติ อลีนจิโตฺต, ทาเน อสงฺกุจิตจิโตฺตติ อโตฺถฯ
Na me tappaccayāti gāthāya vuttamevatthaṃ pākaṭaṃ karoti. Tattha tappaccayāti dānapaccayā tīsu divasesu chinnāhāratāya sarīrasmiṃ yena vevaṇṇiyena bhavitabbaṃ, tampi me sarīrasmiṃ vivaṇṇiyaṃ dānapaccayāyeva natthi . Kasmā? Dānavisayena pītisukhena dānavisayāya eva ca ratiyā. Vītināmemi taṃ divanti taṃ sakalaṃ timattadivasaṃ vītināmemi, na kevalañca tīṇi eva divasāni, atha kho māsadvimāsamattampi kālaṃ, evameva dātuṃ pahomīti dassetuṃ ‘‘yadi māsampī’’tiādi vuttaṃ. Anolīnoti alīnacitto, dāne asaṅkucitacittoti attho.
ตสฺสาติ พฺราหฺมณรูเปน อาคตสฺส สกฺกสฺสฯ ยสนฺติ กิตฺติํ, ปริวารสมฺปตฺติํ วาฯ ลาภญฺจาติ เทวมนุเสฺสสุ จกฺกวตฺติอาทิภาเวน ลทฺธพฺพํ ลาภํ วา น ปตฺถยิํฯ อถ โข สพฺพญฺญุตํ สมฺมาสโมฺพธิํ ปตฺถยาโน อากงฺขมาโน ตานิ ตีสุ ทิวเสสุ อเนกวารํ อุปฺปนฺนานิ ทานมยานิ ปุญฺญกมฺมานิ ทานสฺส วา ปริวารภูตานิ กายสุจริตาทีนิ ปุญฺญกมฺมานิ อาจริํ อกาสินฺติฯ
Tassāti brāhmaṇarūpena āgatassa sakkassa. Yasanti kittiṃ, parivārasampattiṃ vā. Lābhañcāti devamanussesu cakkavattiādibhāvena laddhabbaṃ lābhaṃ vā na patthayiṃ. Atha kho sabbaññutaṃ sammāsambodhiṃ patthayāno ākaṅkhamāno tāni tīsu divasesu anekavāraṃ uppannāni dānamayāni puññakammāni dānassa vā parivārabhūtāni kāyasucaritādīni puññakammāni ācariṃ akāsinti.
อิติ ภควา ตสฺมิํ อตฺตภาเว อตฺตโน สุทุกฺกรํ ปุญฺญจริตมตฺตเมว อิธ มหาเถรสฺส ปกาเสสิฯ ชาตกเทสนายํ ปน จตุตฺถทิวเส สกฺกสฺส อุปสงฺกมิตฺวา โพธิสตฺตสฺส อชฺฌาสยชานนํ วเรน อุปนิมนฺตนา โพธิสตฺตสฺส วรสมฺปฎิจฺฉนสีเสน ธมฺมเทสนา เทยฺยธมฺมทกฺขิเณยฺยานํ ปุน สกฺกสฺส อนาคมนสฺส จ อากงฺขมานตา จ ปกาสิตาฯ วุตฺตเญฺหตํ –
Iti bhagavā tasmiṃ attabhāve attano sudukkaraṃ puññacaritamattameva idha mahātherassa pakāsesi. Jātakadesanāyaṃ pana catutthadivase sakkassa upasaṅkamitvā bodhisattassa ajjhāsayajānanaṃ varena upanimantanā bodhisattassa varasampaṭicchanasīsena dhammadesanā deyyadhammadakkhiṇeyyānaṃ puna sakkassa anāgamanassa ca ākaṅkhamānatā ca pakāsitā. Vuttañhetaṃ –
‘‘อกิตฺติํ ทิสฺวาน สมฺมนฺตํ, สโกฺก ภูตปตี พฺรวิ;
‘‘Akittiṃ disvāna sammantaṃ, sakko bhūtapatī bravi;
กิํ ปตฺถยํ มหาพฺรเหฺม, เอโก สมฺมสิ ฆมฺมนิฯ
Kiṃ patthayaṃ mahābrahme, eko sammasi ghammani.
‘‘ทุโกฺข ปุนพฺภโว สกฺก, สรีรสฺส จ เภทนํ;
‘‘Dukkho punabbhavo sakka, sarīrassa ca bhedanaṃ;
สโมฺมหมรณํ ทุกฺขํ, ตสฺมา สมฺมามิ, วาสวฯ
Sammohamaraṇaṃ dukkhaṃ, tasmā sammāmi, vāsava.
‘‘เอตสฺมิํ เต สุลปิเต, ปติรูเป สุภาสิเต;
‘‘Etasmiṃ te sulapite, patirūpe subhāsite;
วรํ กสฺสป เต ทมฺมิ, ยํ กิญฺจิ มนสิจฺฉสิฯ
Varaṃ kassapa te dammi, yaṃ kiñci manasicchasi.
‘‘วรเญฺจ เม อโท สกฺก, สพฺพภูตานมิสฺสร;
‘‘Varañce me ado sakka, sabbabhūtānamissara;
เยน ปุเตฺต จ ทาเร จ, ธนธญฺญํ ปิยานิ จ;
Yena putte ca dāre ca, dhanadhaññaṃ piyāni ca;
ลทฺธา นรา น ตปฺปนฺติ, โส โลโภ น มยี วเสฯ
Laddhā narā na tappanti, so lobho na mayī vase.
เอตสฺมิํ เต สุลปิเต…เป.… มนสิจฺฉสิฯ
Etasmiṃ te sulapite…pe… manasicchasi.
‘‘วรเญฺจ เม อโท สกฺก, สพฺพภูตานมิสฺสร;
‘‘Varañce me ado sakka, sabbabhūtānamissara;
เขตฺตํ วตฺถุํ หิรญฺญญฺจ, ควาสฺสํ ทาสโปริสํ;
Khettaṃ vatthuṃ hiraññañca, gavāssaṃ dāsaporisaṃ;
เยน ชาเตน ชียนฺติ, โส โทโส น มยี วเสฯ
Yena jātena jīyanti, so doso na mayī vase.
‘‘เอตสฺมิํ เต สุลปิเต…เป.… มนสิจฺฉสิฯ
‘‘Etasmiṃ te sulapite…pe… manasicchasi.
‘‘วรเญฺจ เม อโท สกฺก, สพฺพภูตานมิสฺสร;
‘‘Varañce me ado sakka, sabbabhūtānamissara;
พาลํ น ปเสฺส น สุเณ, น จ พาเลน สํวเส;
Bālaṃ na passe na suṇe, na ca bālena saṃvase;
พาเลนลฺลาปสลฺลาปํ, น กเร น จ โรจเยฯ
Bālenallāpasallāpaṃ, na kare na ca rocaye.
‘‘กิํ นุ เต อกรํ พาโล, วท กสฺสป การณํ;
‘‘Kiṃ nu te akaraṃ bālo, vada kassapa kāraṇaṃ;
เกน กสฺสป พาลสฺส, ทสฺสนํ นาภิกงฺขสิฯ
Kena kassapa bālassa, dassanaṃ nābhikaṅkhasi.
‘‘อนยํ นยติ ทุเมฺมโธ, อธุรายํ นิยุญฺชติ;
‘‘Anayaṃ nayati dummedho, adhurāyaṃ niyuñjati;
ทุนฺนโย เสยฺยโส โหติ, สมฺมา วุโตฺต ปกุปฺปติ;
Dunnayo seyyaso hoti, sammā vutto pakuppati;
วินยํ โส น ชานาติ, สาธุ ตสฺส อทสฺสนํฯ
Vinayaṃ so na jānāti, sādhu tassa adassanaṃ.
‘‘เอตสฺมิํ เต สุลปิเต…เป.… มนสิจฺฉสิฯ
‘‘Etasmiṃ te sulapite…pe… manasicchasi.
‘‘วรเญฺจ เม อโท สกฺก, สพฺพภูตานมิสฺสร;
‘‘Varañce me ado sakka, sabbabhūtānamissara;
ธีรํ ปเสฺส สุเณ ธีรํ, ธีเรน สห สํวเส;
Dhīraṃ passe suṇe dhīraṃ, dhīrena saha saṃvase;
ธีเรนลฺลาปสลฺลาปํ, ตํ กเร ตญฺจ โรจเยฯ
Dhīrenallāpasallāpaṃ, taṃ kare tañca rocaye.
‘‘กิํ นุ เต อกรํ ธีโร, วท กสฺสป การณํ;
‘‘Kiṃ nu te akaraṃ dhīro, vada kassapa kāraṇaṃ;
เกน กสฺสป ธีรสฺส, ทสฺสนํ อภิกงฺขสิฯ
Kena kassapa dhīrassa, dassanaṃ abhikaṅkhasi.
‘‘นยํ นยติ เมธาวี, อธุรายํ น ยุญฺชติ;
‘‘Nayaṃ nayati medhāvī, adhurāyaṃ na yuñjati;
สุนโย เสยฺยโส โหติ, สมฺมา วุโตฺต น กุปฺปติ;
Sunayo seyyaso hoti, sammā vutto na kuppati;
วินยํ โส ปชานาติ, สาธุ เตน สมาคโมฯ
Vinayaṃ so pajānāti, sādhu tena samāgamo.
‘‘เอตสฺมิํ เต สุลปิเต…เป.… มนสิจฺฉสิฯ
‘‘Etasmiṃ te sulapite…pe… manasicchasi.
‘‘วรเญฺจ เม อโท สกฺก, สพฺพภูตานมิสฺสร;
‘‘Varañce me ado sakka, sabbabhūtānamissara;
ตโต รตฺยา วิวสาเน, สูริยุคฺคมนํ ปติ;
Tato ratyā vivasāne, sūriyuggamanaṃ pati;
ทิพฺพา ภกฺขา ปาตุภเวยฺยุํ, สีลวโนฺต จ ยาจกาฯ
Dibbā bhakkhā pātubhaveyyuṃ, sīlavanto ca yācakā.
‘‘ททโต เม น ขีเยถ, ทตฺวา นานุตเปยฺยหํ;
‘‘Dadato me na khīyetha, datvā nānutapeyyahaṃ;
ททํ จิตฺตํ ปสาเทยฺยํ, เอตํ สกฺก วรํ วเรฯ
Dadaṃ cittaṃ pasādeyyaṃ, etaṃ sakka varaṃ vare.
‘‘เอตสฺมิํ เต สุลปิเต…เป.… มนสิจฺฉสิฯ
‘‘Etasmiṃ te sulapite…pe… manasicchasi.
‘‘วรเญฺจ เม อโท สกฺก, สพฺพภูตานมิสฺสร;
‘‘Varañce me ado sakka, sabbabhūtānamissara;
น มํ ปุน อุเปยฺยาสิ, เอตํ สกฺก วรํ วเรฯ
Na maṃ puna upeyyāsi, etaṃ sakka varaṃ vare.
‘‘พหูหิ วตจริยาหิ, นรา จ อถ นาริโย;
‘‘Bahūhi vatacariyāhi, narā ca atha nāriyo;
ทสฺสนํ อภิกงฺขนฺติ, กิํ นุ เม ทสฺสเน ภยํฯ
Dassanaṃ abhikaṅkhanti, kiṃ nu me dassane bhayaṃ.
‘‘ตํ ตาทิสํ เทววณฺณํ, สพฺพกามสมิทฺธินํ;
‘‘Taṃ tādisaṃ devavaṇṇaṃ, sabbakāmasamiddhinaṃ;
ทิสฺวา ตโป ปมเชฺชยฺยํ, เอตํ เต ทสฺสเน ภย’’นฺติฯ (ชา. ๑.๑๓.๘๓-๑๐๓);
Disvā tapo pamajjeyyaṃ, etaṃ te dassane bhaya’’nti. (jā. 1.13.83-103);
อถ สโกฺก ‘‘สาธุ, ภเนฺต, น เต อิโต ปฎฺฐาย สนฺติกํ อาคมิสฺสามี’’ติ ตํ อภิวาเทตฺวา ปกฺกามิฯ มหาสโตฺต ยาวชีวํ ตเตฺถว วสโนฺต อายุปริโยสาเน พฺรหฺมโลเก นิพฺพตฺติฯ
Atha sakko ‘‘sādhu, bhante, na te ito paṭṭhāya santikaṃ āgamissāmī’’ti taṃ abhivādetvā pakkāmi. Mahāsatto yāvajīvaṃ tattheva vasanto āyupariyosāne brahmaloke nibbatti.
อนุรุทฺธเตฺถโร ตทา สโกฺก อโหสิ, โลกนาโถ อกิตฺติปณฺฑิโตฯ
Anuruddhatthero tadā sakko ahosi, lokanātho akittipaṇḍito.
ตสฺส มหาภินิกฺขมนสทิสํ นิกฺขนฺตตฺตา เนกฺขมฺมปารมีฯ สุวิสุทฺธสีลาจารตาย สีลปารมีฯ กามวิตกฺกาทีนํ สุฎฺฐุ วิกฺขมฺภิตตฺตา วีริยปารมีฯ ขนฺติสํวรสฺส ปรมุกฺกํสคมนโต ขนฺติปารมีฯ ปฎิญฺญานุรูปํ ปฎิปตฺติยา สจฺจปารมีฯ สพฺพตฺถ อจลสมาทานาธิฎฺฐาเนน อธิฎฺฐานปารมีฯ สพฺพสเตฺตสุ หิตชฺฌาสเยน เมตฺตาปารมีฯ สตฺตสงฺขารกตวิปฺปกาเรสุ มชฺฌตฺตภาวปฺปตฺติยา อุเปกฺขาปารมีฯ ตาสํ อุปการานุปกาเร ธเมฺม ชานิตฺวา อนุปกาเร ธเมฺม ปหาย อุปการธเมฺมสุ ปวตฺตาปนปุเรจรา สหชาตา จ อุปายโกสลฺลภูตา อติสเลฺลขวุตฺติสาธนี จ ปญฺญา ปญฺญาปารมีติ อิมาปิ ทส ปารมิโย ลพฺภนฺติฯ
Tassa mahābhinikkhamanasadisaṃ nikkhantattā nekkhammapāramī. Suvisuddhasīlācāratāya sīlapāramī. Kāmavitakkādīnaṃ suṭṭhu vikkhambhitattā vīriyapāramī. Khantisaṃvarassa paramukkaṃsagamanato khantipāramī. Paṭiññānurūpaṃ paṭipattiyā saccapāramī. Sabbattha acalasamādānādhiṭṭhānena adhiṭṭhānapāramī. Sabbasattesu hitajjhāsayena mettāpāramī. Sattasaṅkhārakatavippakāresu majjhattabhāvappattiyā upekkhāpāramī. Tāsaṃ upakārānupakāre dhamme jānitvā anupakāre dhamme pahāya upakāradhammesu pavattāpanapurecarā sahajātā ca upāyakosallabhūtā atisallekhavuttisādhanī ca paññā paññāpāramīti imāpi dasa pāramiyo labbhanti.
ทานชฺฌาสยสฺส ปน อติอุฬารภาเวน ทานมุเขน เทสนา ปวตฺตาฯ ตสฺมา สพฺพตฺถ สมกา มหากรุณา, เทฺวปิ ปุญฺญญาณสมฺภารา, กายสุจริตาทีนิ ตีณิ โพธิสตฺตสุจริตานิ, สจฺจาธิฎฺฐานาทีนิ จตฺตาริ อธิฎฺฐานานิ, อุสฺสาหาทโย จตโสฺส พุทฺธภูมิโย, สทฺธาทโย ปญฺจ มหาโพธิปริปาจนียา ธมฺมา, อโลภชฺฌาสยาทโย ฉ โพธิสตฺตานํ อชฺฌาสยา, ติโณฺณ ตาเรสฺสามีติอาทโย สตฺต ปฎิญฺญา ธมฺมา, อปฺปิจฺฉสฺสายํ ธโมฺม, นายํ ธโมฺม มหิจฺฉสฺสาติอาทโย (ที. นิ. ๓.๓๕๘; อ. นิ. ๘.๓๐) อฎฺฐ มหาปุริสวิตกฺกา (ที. นิ. ๓.๓๕๘), นว โยนิโสมนสิการมูลกา ธมฺมา, ทานชฺฌาสยาทโย ทส มหาปุริสชฺฌาสยา, ทานสีลาทโย ทส ปุญฺญกิริยวตฺถูนีติ เอวมาทโย เย อเนกสตอเนกสหสฺสปฺปเภทา โพธิสมฺภารภูตา มหาโพธิสตฺตคุณาฯ เต สเพฺพปิ ยถารหํ อิธ นิทฺธาเรตฺวา วตฺตพฺพาฯ
Dānajjhāsayassa pana atiuḷārabhāvena dānamukhena desanā pavattā. Tasmā sabbattha samakā mahākaruṇā, dvepi puññañāṇasambhārā, kāyasucaritādīni tīṇi bodhisattasucaritāni, saccādhiṭṭhānādīni cattāri adhiṭṭhānāni, ussāhādayo catasso buddhabhūmiyo, saddhādayo pañca mahābodhiparipācanīyā dhammā, alobhajjhāsayādayo cha bodhisattānaṃ ajjhāsayā, tiṇṇo tāressāmītiādayo satta paṭiññā dhammā, appicchassāyaṃ dhammo, nāyaṃ dhammo mahicchassātiādayo (dī. ni. 3.358; a. ni. 8.30) aṭṭha mahāpurisavitakkā (dī. ni. 3.358), nava yonisomanasikāramūlakā dhammā, dānajjhāsayādayo dasa mahāpurisajjhāsayā, dānasīlādayo dasa puññakiriyavatthūnīti evamādayo ye anekasataanekasahassappabhedā bodhisambhārabhūtā mahābodhisattaguṇā. Te sabbepi yathārahaṃ idha niddhāretvā vattabbā.
อปิ เจตฺถ มหนฺตํ โภคกฺขนฺธํ มหนฺตญฺจ ญาติปริวฎฺฎํ ปหาย มหาภินิกฺขมนสทิสํ เคหโต นิกฺขมนํ, นิกฺขมิตฺวา ปพฺพชิตสฺส พหุชนสมฺมตสฺส สโต ปรมปฺปิจฺฉภาเวน กุเลสุ คเณสุ จ อลคฺคตา, อจฺจนฺตเมว ลาภสกฺการสิโลกชิคุจฺฉา, ปวิเวกาภิรติ, กายชีวิตนิรเปโกฺข ปริจฺจาโค, อนาหารเสฺสว สโต ทิวสตฺตยมฺปิ ทานปีติยา ปริตุฎฺฐสฺส นิพฺพิการสรีรยาปนํ, มาสทฺวิมาสมตฺตมฺปิ กาลํ ยาจเก สติ อาหารํ ตเถว ทตฺวา ‘‘ทานคเตเนว ปีติสุเขน สรีรํ ยาเปสฺสามี’’ติ ปริจฺจาเค อโนลีนวุตฺติสาธโก อุฬาโร ทานชฺฌาสโย, ทานํ ทตฺวา ปุน อาหารปริเยฎฺฐิยา อกรณเหตุภูตา ปรมสเลฺลขวุตฺตีติ เอวมาทโย มหาสตฺตสฺส คุณานุภาวา เวทิตพฺพาฯ เตเนตํ วุจฺจติ –
Api cettha mahantaṃ bhogakkhandhaṃ mahantañca ñātiparivaṭṭaṃ pahāya mahābhinikkhamanasadisaṃ gehato nikkhamanaṃ, nikkhamitvā pabbajitassa bahujanasammatassa sato paramappicchabhāvena kulesu gaṇesu ca alaggatā, accantameva lābhasakkārasilokajigucchā, pavivekābhirati, kāyajīvitanirapekkho pariccāgo, anāhārasseva sato divasattayampi dānapītiyā parituṭṭhassa nibbikārasarīrayāpanaṃ, māsadvimāsamattampi kālaṃ yācake sati āhāraṃ tatheva datvā ‘‘dānagateneva pītisukhena sarīraṃ yāpessāmī’’ti pariccāge anolīnavuttisādhako uḷāro dānajjhāsayo, dānaṃ datvā puna āhārapariyeṭṭhiyā akaraṇahetubhūtā paramasallekhavuttīti evamādayo mahāsattassa guṇānubhāvā veditabbā. Tenetaṃ vuccati –
‘‘เอวํ อจฺฉริยา เหเต, อพฺภุตา จ มเหสิโน;
‘‘Evaṃ acchariyā hete, abbhutā ca mahesino;
มหาการุณิกา ธีรา, สพฺพโลเกกพนฺธวาฯ
Mahākāruṇikā dhīrā, sabbalokekabandhavā.
‘‘อจิเนฺตยฺยานุภาวา จ, สทา สทฺธมฺมโคจรา;
‘‘Acinteyyānubhāvā ca, sadā saddhammagocarā;
โพธิสตฺตา มหาสตฺตา, สุจิสเลฺลขวุตฺติโนฯ
Bodhisattā mahāsattā, sucisallekhavuttino.
‘‘มหาวาตสมุทฺธต-วีจิมาโล มโหทธิ;
‘‘Mahāvātasamuddhata-vīcimālo mahodadhi;
อปิ ลเงฺฆยฺย เวลนฺตํ, โพธิสตฺตา น ธมฺมตํฯ
Api laṅgheyya velantaṃ, bodhisattā na dhammataṃ.
‘‘โลเก สญฺชาตวทฺธาปิ, น เต ภาวิตภาวิโน;
‘‘Loke sañjātavaddhāpi, na te bhāvitabhāvino;
ลิมฺปนฺติ โลกธเมฺมหิ, โตเยน ปทุมํ ยถาฯ
Limpanti lokadhammehi, toyena padumaṃ yathā.
‘‘เยสํ เว อตฺตนิ เสฺนโห, นิหียติ ยถา ยถา;
‘‘Yesaṃ ve attani sneho, nihīyati yathā yathā;
สเตฺตสุ กรุณาเสฺนโห, วฑฺฒเตว ตถา ตถาฯ
Sattesu karuṇāsneho, vaḍḍhateva tathā tathā.
‘‘ยถา จิตฺตํ วเส โหติ, น จ จิตฺตวสานุคา;
‘‘Yathā cittaṃ vase hoti, na ca cittavasānugā;
ตถา กมฺมํ วเส โหติ, น จ กมฺมวสานุคาฯ
Tathā kammaṃ vase hoti, na ca kammavasānugā.
‘‘โทเสหิ นาภิภูยนฺติ, สมุคฺฆาเตนฺติ วา น เต;
‘‘Dosehi nābhibhūyanti, samugghātenti vā na te;
จรนฺตา โพธิปริเยฎฺฐิํ, ปุริสาชานิยา พุธาฯ
Carantā bodhipariyeṭṭhiṃ, purisājāniyā budhā.
‘‘เตสุ จิตฺตปฺปสาโทปิ, ทุกฺขโต ปริโมจเย;
‘‘Tesu cittappasādopi, dukkhato parimocaye;
ปเควานุกิริยา เตสํ, ธมฺมสฺส อนุธมฺมโต’’ติฯ
Pagevānukiriyā tesaṃ, dhammassa anudhammato’’ti.
ปรมตฺถทีปนิยา จริยาปิฎกสํวณฺณนาย
Paramatthadīpaniyā cariyāpiṭakasaṃvaṇṇanāya
อกิตฺติจริยาวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Akitticariyāvaṇṇanā niṭṭhitā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / จริยาปิฎกปาฬิ • Cariyāpiṭakapāḷi / ๑. อกิตฺติจริยา • 1. Akitticariyā