Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / องฺคุตฺตรนิกาย • Aṅguttaranikāya

    ๘. อลพฺภนียฐานสุตฺตํ

    8. Alabbhanīyaṭhānasuttaṃ

    ๔๘. ‘‘ปญฺจิมานิ, ภิกฺขเว, อลพฺภนียานิ ฐานานิ สมเณน วา พฺราหฺมเณน วา เทเวน วา มาเรน วา พฺรหฺมุนา วา เกนจิ วา โลกสฺมิํฯ กตมานิ ปญฺจ? ‘ชราธมฺมํ มา ชีรี’ติ อลพฺภนียํ ฐานํ สมเณน วา พฺราหฺมเณน วา เทเวน วา มาเรน วา พฺรหฺมุนา วา เกนจิ วา โลกสฺมิํฯ ‘พฺยาธิธมฺมํ มา พฺยาธียี’ติ 1 …เป.… ‘มรณธมฺมํ มา มียี’ติ… ‘ขยธมฺมํ มา ขียี’ติ… ‘นสฺสนธมฺมํ มา นสฺสี’ติ อลพฺภนียํ ฐานํ สมเณน วา พฺราหฺมเณน วา เทเวน วา มาเรน วา พฺรหฺมุนา วา เกนจิ วา โลกสฺมิํฯ

    48. ‘‘Pañcimāni, bhikkhave, alabbhanīyāni ṭhānāni samaṇena vā brāhmaṇena vā devena vā mārena vā brahmunā vā kenaci vā lokasmiṃ. Katamāni pañca? ‘Jarādhammaṃ mā jīrī’ti alabbhanīyaṃ ṭhānaṃ samaṇena vā brāhmaṇena vā devena vā mārena vā brahmunā vā kenaci vā lokasmiṃ. ‘Byādhidhammaṃ mā byādhīyī’ti 2 …pe… ‘maraṇadhammaṃ mā mīyī’ti… ‘khayadhammaṃ mā khīyī’ti… ‘nassanadhammaṃ mā nassī’ti alabbhanīyaṃ ṭhānaṃ samaṇena vā brāhmaṇena vā devena vā mārena vā brahmunā vā kenaci vā lokasmiṃ.

    ‘‘อสฺสุตวโต , ภิกฺขเว, ปุถุชฺชนสฺส ชราธมฺมํ ชีรติฯ โส ชราธเมฺม ชิเณฺณ น อิติ ปฎิสญฺจิกฺขติ – ‘น โข มเยฺหเวกสฺส 3 ชราธมฺมํ ชีรติ, อถ โข ยาวตา สตฺตานํ อาคติ คติ จุติ อุปปตฺติ สเพฺพสํ สตฺตานํ ชราธมฺมํ ชีรติฯ อหเญฺจว 4 โข ปน ชราธเมฺม ชิเณฺณ โสเจยฺยํ กิลเมยฺยํ ปริเทเวยฺยํ, อุรตฺตาฬิํ กเนฺทยฺยํ, สโมฺมหํ อาปเชฺชยฺยํ, ภตฺตมฺปิ เม นจฺฉาเทยฺย, กาเยปิ ทุพฺพณฺณิยํ โอกฺกเมยฺย, กมฺมนฺตาปิ นปฺปวเตฺตยฺยุํ 5, อมิตฺตาปิ อตฺตมนา อสฺสุ, มิตฺตาปิ ทุมฺมนา อสฺสู’ติฯ โส ชราธเมฺม ชิเณฺณ โสจติ กิลมติ ปริเทวติ, อุรตฺตาฬิํ กนฺทติ, สโมฺมหํ อาปชฺชติฯ อยํ วุจฺจติ, ภิกฺขเว – ‘อสฺสุตวา ปุถุชฺชโน วิโทฺธ สวิเสน โสกสเลฺลน อตฺตานํเยว ปริตาเปติ’’’ฯ

    ‘‘Assutavato , bhikkhave, puthujjanassa jarādhammaṃ jīrati. So jarādhamme jiṇṇe na iti paṭisañcikkhati – ‘na kho mayhevekassa 6 jarādhammaṃ jīrati, atha kho yāvatā sattānaṃ āgati gati cuti upapatti sabbesaṃ sattānaṃ jarādhammaṃ jīrati. Ahañceva 7 kho pana jarādhamme jiṇṇe soceyyaṃ kilameyyaṃ parideveyyaṃ, urattāḷiṃ kandeyyaṃ, sammohaṃ āpajjeyyaṃ, bhattampi me nacchādeyya, kāyepi dubbaṇṇiyaṃ okkameyya, kammantāpi nappavatteyyuṃ 8, amittāpi attamanā assu, mittāpi dummanā assū’ti. So jarādhamme jiṇṇe socati kilamati paridevati, urattāḷiṃ kandati, sammohaṃ āpajjati. Ayaṃ vuccati, bhikkhave – ‘assutavā puthujjano viddho savisena sokasallena attānaṃyeva paritāpeti’’’.

    ‘‘ปุน จปรํ, ภิกฺขเว, อสฺสุตวโต ปุถุชฺชนสฺส พฺยาธิธมฺมํ พฺยาธียติ…เป.… มรณธมฺมํ มียติ… ขยธมฺมํ ขียติ… นสฺสนธมฺมํ นสฺสติฯ โส นสฺสนธเมฺม นเฎฺฐ น อิติ ปฎิสญฺจิกฺขติ – ‘น โข มเยฺหเวกสฺส นสฺสนธมฺมํ นสฺสติ, อถ โข ยาวตา สตฺตานํ อาคติ คติ จุติ อุปปตฺติ สเพฺพสํ สตฺตานํ นสฺสนธมฺมํ นสฺสติฯ อหเญฺจว โข ปน นสฺสนธเมฺม นเฎฺฐ โสเจยฺยํ กิลเมยฺยํ ปริเทเวยฺยํ, อุรตฺตาฬิํ กเนฺทยฺยํ , สโมฺมหํ อาปเชฺชยฺยํ, ภตฺตมฺปิ เม นจฺฉาเทยฺย, กาเยปิ ทุพฺพณฺณิยํ โอกฺกเมยฺย, กมฺมนฺตาปิ นปฺปวเตฺตยฺยุํ, อมิตฺตาปิ อตฺตมนา อสฺสุ, มิตฺตาปิ ทุมฺมนา อสฺสู’ติฯ โส นสฺสนธเมฺม นเฎฺฐ โสจติ กิลมติ ปริเทวติ, อุรตฺตาฬิํ กนฺทติ, สโมฺมหํ อาปชฺชติฯ อยํ วุจฺจติ, ภิกฺขเว – ‘อสฺสุตวา ปุถุชฺชโน วิโทฺธ สวิเสน โสกสเลฺลน อตฺตานํเยว ปริตาเปติ’’’ฯ

    ‘‘Puna caparaṃ, bhikkhave, assutavato puthujjanassa byādhidhammaṃ byādhīyati…pe… maraṇadhammaṃ mīyati… khayadhammaṃ khīyati… nassanadhammaṃ nassati. So nassanadhamme naṭṭhe na iti paṭisañcikkhati – ‘na kho mayhevekassa nassanadhammaṃ nassati, atha kho yāvatā sattānaṃ āgati gati cuti upapatti sabbesaṃ sattānaṃ nassanadhammaṃ nassati. Ahañceva kho pana nassanadhamme naṭṭhe soceyyaṃ kilameyyaṃ parideveyyaṃ, urattāḷiṃ kandeyyaṃ , sammohaṃ āpajjeyyaṃ, bhattampi me nacchādeyya, kāyepi dubbaṇṇiyaṃ okkameyya, kammantāpi nappavatteyyuṃ, amittāpi attamanā assu, mittāpi dummanā assū’ti. So nassanadhamme naṭṭhe socati kilamati paridevati, urattāḷiṃ kandati, sammohaṃ āpajjati. Ayaṃ vuccati, bhikkhave – ‘assutavā puthujjano viddho savisena sokasallena attānaṃyeva paritāpeti’’’.

    ‘‘สุตวโต จ โข, ภิกฺขเว, อริยสาวกสฺส ชราธมฺมํ ชีรติฯ โส ชราธเมฺม ชิเณฺณ อิติ ปฎิสญฺจิกฺขติ – ‘น โข มเยฺหเวกสฺส ชราธมฺมํ ชีรติ, อถ โข ยาวตา สตฺตานํ อาคติ คติ จุติ อุปปตฺติ สเพฺพสํ สตฺตานํ ชราธมฺมํ ชีรติฯ อหเญฺจว โข ปน ชราธเมฺม ชิเณฺณ โสเจยฺยํ กิลเมยฺยํ ปริเทเวยฺยํ, อุรตฺตาฬิํ กเนฺทยฺยํ, สโมฺมหํ อาปเชฺชยฺยํ, ภตฺตมฺปิ เม นจฺฉาเทยฺย, กาเยปิ ทุพฺพณฺณิยํ โอกฺกเมยฺย, กมฺมนฺตาปิ นปฺปวเตฺตยฺยุํ, อมิตฺตาปิ อตฺตมนา อสฺสุ, มิตฺตาปิ ทุมฺมนา อสฺสู’ติฯ โส ชราธเมฺม ชิเณฺณ น โสจติ น กิลมติ น ปริเทวติ, น อุรตฺตาฬิํ กนฺทติ, น สโมฺมหํ อาปชฺชติ ฯ อยํ วุจฺจติ, ภิกฺขเว – ‘สุตวา อริยสาวโก อพฺพุหิ 9 สวิสํ โสกสลฺลํ, เยน วิโทฺธ อสฺสุตวา ปุถุชฺชโน อตฺตานํเยว ปริตาเปติฯ อโสโก วิสโลฺล อริยสาวโก อตฺตานํเยว ปรินิพฺพาเปติ’’’ฯ

    ‘‘Sutavato ca kho, bhikkhave, ariyasāvakassa jarādhammaṃ jīrati. So jarādhamme jiṇṇe iti paṭisañcikkhati – ‘na kho mayhevekassa jarādhammaṃ jīrati, atha kho yāvatā sattānaṃ āgati gati cuti upapatti sabbesaṃ sattānaṃ jarādhammaṃ jīrati. Ahañceva kho pana jarādhamme jiṇṇe soceyyaṃ kilameyyaṃ parideveyyaṃ, urattāḷiṃ kandeyyaṃ, sammohaṃ āpajjeyyaṃ, bhattampi me nacchādeyya, kāyepi dubbaṇṇiyaṃ okkameyya, kammantāpi nappavatteyyuṃ, amittāpi attamanā assu, mittāpi dummanā assū’ti. So jarādhamme jiṇṇe na socati na kilamati na paridevati, na urattāḷiṃ kandati, na sammohaṃ āpajjati . Ayaṃ vuccati, bhikkhave – ‘sutavā ariyasāvako abbuhi 10 savisaṃ sokasallaṃ, yena viddho assutavā puthujjano attānaṃyeva paritāpeti. Asoko visallo ariyasāvako attānaṃyeva parinibbāpeti’’’.

    ‘‘ปุน จปรํ, ภิกฺขเว, สุตวโต อริยสาวกสฺส พฺยาธิธมฺมํ พฺยาธียติ…เป.… มรณธมฺมํ มียติ… ขยธมฺมํ ขียติ… นสฺสนธมฺมํ นสฺสติฯ โส นสฺสนธเมฺม นเฎฺฐ อิติ ปฎิสญฺจิกฺขติ – ‘น โข มเยฺหเวกสฺส นสฺสนธมฺมํ นสฺสติ, อถ โข ยาวตา สตฺตานํ อาคติ คติ จุติ อุปปตฺติ สเพฺพสํ สตฺตานํ นสฺสนธมฺมํ นสฺสติฯ อหเญฺจว โข ปน นสฺสนธเมฺม นเฎฺฐ โสเจยฺยํ กิลเมยฺยํ ปริเทเวยฺยํ, อุรตฺตาฬิํ กเนฺทยฺยํ, สโมฺมหํ อาปเชฺชยฺยํ, ภตฺตมฺปิ เม นจฺฉาเทยฺย, กาเยปิ ทุพฺพณฺณิยํ โอกฺกเมยฺย, กมฺมนฺตาปิ นปฺปวเตฺตยฺยุํ, อมิตฺตาปิ อตฺตมนา อสฺสุ, มิตฺตาปิ ทุมฺมนา อสฺสู’ติฯ โส นสฺสนธเมฺม นเฎฺฐ น โสจติ น กิลมติ น ปริเทวติ, น อุรตฺตาฬิํ กนฺทติ, น สโมฺมหํ อาปชฺชติฯ อยํ วุจฺจติ, ภิกฺขเว – ‘สุตวา อริยสาวโก อพฺพุหิ สวิสํ โสกสลฺลํ, เยน วิโทฺธ อสฺสุตวา ปุถุชฺชโน อตฺตานํเยว ปริตาเปติฯ อโสโก วิสโลฺล อริยสาวโก อตฺตานํเยว ปรินิพฺพาเปตี’’’ติฯ

    ‘‘Puna caparaṃ, bhikkhave, sutavato ariyasāvakassa byādhidhammaṃ byādhīyati…pe… maraṇadhammaṃ mīyati… khayadhammaṃ khīyati… nassanadhammaṃ nassati. So nassanadhamme naṭṭhe iti paṭisañcikkhati – ‘na kho mayhevekassa nassanadhammaṃ nassati, atha kho yāvatā sattānaṃ āgati gati cuti upapatti sabbesaṃ sattānaṃ nassanadhammaṃ nassati. Ahañceva kho pana nassanadhamme naṭṭhe soceyyaṃ kilameyyaṃ parideveyyaṃ, urattāḷiṃ kandeyyaṃ, sammohaṃ āpajjeyyaṃ, bhattampi me nacchādeyya, kāyepi dubbaṇṇiyaṃ okkameyya, kammantāpi nappavatteyyuṃ, amittāpi attamanā assu, mittāpi dummanā assū’ti. So nassanadhamme naṭṭhe na socati na kilamati na paridevati, na urattāḷiṃ kandati, na sammohaṃ āpajjati. Ayaṃ vuccati, bhikkhave – ‘sutavā ariyasāvako abbuhi savisaṃ sokasallaṃ, yena viddho assutavā puthujjano attānaṃyeva paritāpeti. Asoko visallo ariyasāvako attānaṃyeva parinibbāpetī’’’ti.

    ‘‘อิมานิ โข, ภิกฺขเว, ปญฺจ อลพฺภนียานิ ฐานานิ สมเณน วา พฺราหฺมเณน วา เทเวน วา มาเรน วา พฺรหฺมุนา วา เกนจิ วา โลกสฺมิ’’นฺติฯ

    ‘‘Imāni kho, bhikkhave, pañca alabbhanīyāni ṭhānāni samaṇena vā brāhmaṇena vā devena vā mārena vā brahmunā vā kenaci vā lokasmi’’nti.

    11 ‘‘น โสจนาย ปริเทวนาย,

    12 ‘‘Na socanāya paridevanāya,

    อโตฺถธ ลพฺภา 13 อปิ อปฺปโกปิ;

    Atthodha labbhā 14 api appakopi;

    โสจนฺตเมนํ ทุขิตํ วิทิตฺวา,

    Socantamenaṃ dukhitaṃ viditvā,

    ปจฺจตฺถิกา อตฺตมนา ภวนฺติฯ

    Paccatthikā attamanā bhavanti.

    ‘‘ยโต จ โข ปณฺฑิโต อาปทาสุ,

    ‘‘Yato ca kho paṇḍito āpadāsu,

    น เวธตี อตฺถวินิจฺฉยญฺญู;

    Na vedhatī atthavinicchayaññū;

    ปจฺจตฺถิกาสฺส ทุขิตา ภวนฺติ,

    Paccatthikāssa dukhitā bhavanti,

    ทิสฺวา มุขํ อวิการํ ปุราณํฯ

    Disvā mukhaṃ avikāraṃ purāṇaṃ.

    ‘‘ชเปฺปน มเนฺตน สุภาสิเตน,

    ‘‘Jappena mantena subhāsitena,

    อนุปฺปทาเนน ปเวณิยา วา;

    Anuppadānena paveṇiyā vā;

    ยถา ยถา ยตฺถ 15 ลเภถ อตฺถํ,

    Yathā yathā yattha 16 labhetha atthaṃ,

    ตถา ตถา ตตฺถ ปรกฺกเมยฺยฯ

    Tathā tathā tattha parakkameyya.

    ‘‘สเจ ปชาเนยฺย อลพฺภเนโยฺย,

    ‘‘Sace pajāneyya alabbhaneyyo,

    มยาว 17 อเญฺญน วา เอส อโตฺถ;

    Mayāva 18 aññena vā esa attho;

    อโสจมาโน อธิวาสเยยฺย,

    Asocamāno adhivāsayeyya,

    กมฺมํ ทฬฺหํ กินฺติ กโรมิ ทานี’’ติฯ อฎฺฐมํ;

    Kammaṃ daḷhaṃ kinti karomi dānī’’ti. aṭṭhamaṃ;







    Footnotes:
    1. วฺยาธิธมฺมํ ‘‘มา วฺยาธียี’’ติ (สี. ปี.)
    2. vyādhidhammaṃ ‘‘mā vyādhīyī’’ti (sī. pī.)
    3. มยฺหเมเวกสฺส (สี.)
    4. อหเญฺจ (?)
    5. กมฺมโนฺตปิ นปฺปวเตฺตยฺย (ก.)
    6. mayhamevekassa (sī.)
    7. ahañce (?)
    8. kammantopi nappavatteyya (ka.)
    9. อพฺพหิ (สี.)
    10. abbahi (sī.)
    11. ชา. ๑.๕.๙๖ ชาตเกปิ
    12. jā. 1.5.96 jātakepi
    13. อโตฺถ อิธ ลพฺภติ (สฺยา.), อโตฺถ อิธ ลพฺภา (ปี.)
    14. attho idha labbhati (syā.), attho idha labbhā (pī.)
    15. ยถา ยถา ยตฺถ ยตฺถ (ก.)
    16. yathā yathā yattha yattha (ka.)
    17. มยา วา (สฺยา. กํ. ปี.)
    18. mayā vā (syā. kaṃ. pī.)



    Related texts:



    อฎฺฐกถา • Aṭṭhakathā / สุตฺตปิฎก (อฎฺฐกถา) • Suttapiṭaka (aṭṭhakathā) / องฺคุตฺตรนิกาย (อฎฺฐกถา) • Aṅguttaranikāya (aṭṭhakathā) / ๘. อลพฺภนียฐานสุตฺตวณฺณนา • 8. Alabbhanīyaṭhānasuttavaṇṇanā

    ฎีกา • Tīkā / สุตฺตปิฎก (ฎีกา) • Suttapiṭaka (ṭīkā) / องฺคุตฺตรนิกาย (ฎีกา) • Aṅguttaranikāya (ṭīkā) / ๗-๘. ธนสุตฺตาทิวณฺณนา • 7-8. Dhanasuttādivaṇṇanā


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact