Tipiṭaka / Tipiṭaka (English) / Majjhima Nikāya, English translation |
มชฺฌิม นิกาย ๒๒
The Middle-Length Suttas Collection 22
อลคทฺทูปมสุตฺต
The Simile of the Snake
เอวํ เม สุตํ—เอกํ สมยํ ภควา สาวตฺถิยํ วิหรติ เชตวเน อนาถปิณฺฑิกสฺส อาราเมฯ
So I have heard. At one time the Buddha was staying near Sāvatthī in Jeta’s Grove, Anāthapiṇḍika’s monastery.
เตน โข ปน สมเยน อริฏฺฐสฺส นาม ภิกฺขุโน คทฺธพาธิปุพฺพสฺส เอวรูปํ ปาปกํ ทิฏฺฐิคตํ อุปฺปนฺนํ โหติ: “ตถาหํ ภควตา ธมฺมํ เทสิตํ อาชานามิ ยถา เยเม อนฺตรายิกา ธมฺมา วุตฺตา ภควตา เต ปฏิเสวโต นาลํ อนฺตรายายา”ติฯ
Now at that time a bhikkhu called Ariṭṭha, who had previously been a vulture trapper, had the following harmful misconception: “As I understand the Buddha’s teachings, the acts that he says are obstructions are not really obstructions for the one who performs them.”
อโสฺสสุํ โข สมฺพหุลา ภิกฺขู: “อริฏฺฐสฺส กิร นาม ภิกฺขุโน คทฺธพาธิปุพฺพสฺส เอวรูปํ ปาปกํ ทิฏฺฐิคตํ อุปฺปนฺนํ: ‘ตถาหํ ภควตา ธมฺมํ เทสิตํ อาชานามิ ยถา เยเม อนฺตรายิกา ธมฺมา วุตฺตา ภควตา เต ปฏิเสวโต นาลํ อนฺตรายายา'”ติฯ อถ โข เต ภิกฺขู เยน อริฏฺโฐ ภิกฺขุ คทฺธพาธิปุพฺโพ เตนุปสงฺกมึสุ; อุปสงฺกมิตฺวา อริฏฺฐํ ภิกฺขุํ คทฺธพาธิปุพฺพํ เอตทโวจุํ: “สจฺจํ กิร เต, อาวุโส อริฏฺฐ, เอวรูปํ ปาปกํ ทิฏฺฐิคตํ อุปฺปนฺนํ: ‘ตถาหํ ภควตา ธมฺมํ เทสิตํ อาชานามิ ยถา เยเม อนฺตรายิกา ธมฺมา วุตฺตา ภควตา เต ปฏิเสวโต นาลํ อนฺตรายายา'”ติฯ
Several bhikkhus heard about this. They went up to Ariṭṭha and said to him, “Is it really true, Friend Ariṭṭha, that you have such a harmful misconception: ‘As I understand the Buddha’s teachings, the acts that he says are obstructions are not really obstructions for the one who performs them’?”
“เอวํ พฺยา โข อหํ, อาวุโส, ภควตา ธมฺมํ เทสิตํ อาชานามิ ยถา เยเม อนฺตรายิกา ธมฺมา วุตฺตา ภควตา เต ปฏิเสวโต นาลํ อนฺตรายายา”ติฯ
“Absolutely, friends. As I understand the Buddha’s teachings, the acts that he says are obstructions are not really obstructions for the one who performs them.”
อถ โข เตปิ ภิกฺขู อริฏฺฐํ ภิกฺขุํ คทฺธพาธิปุพฺพํ เอตสฺมา ปาปกา ทิฏฺฐิคตา วิเวเจตุกามา สมนุยุญฺชนฺติ สมนุคาหนฺติ สมนุภาสนฺติ: “มา เหวํ, อาวุโส อริฏฺฐ, อวจ, มา ภควนฺตํ อพฺภาจิกฺขิ; น หิ สาธุ ภควโต อพฺภกฺขานํ, น หิ ภควา เอวํ วเทยฺยฯ อเนกปริยาเยนาวุโส อริฏฺฐ, อนฺตรายิกา ธมฺมา อนฺตรายิกา วุตฺตา ภควตา, อลญฺจ ปน เต ปฏิเสวโต อนฺตรายายฯ อปฺปสฺสาทา กามา วุตฺตา ภควตา พหุทุกฺขา พหุปายาสา, อาทีนโว เอตฺถ ภิโยฺยฯ อฏฺฐิกงฺกลูปมา กามา วุตฺตา ภควตา … มํสเปสูปมา กามา วุตฺตา ภควตา … ติณุกฺกูปมา กามา วุตฺตา ภควตา … องฺคารกาสูปมา กามา วุตฺตา ภควตา … สุปินกูปมา กามา วุตฺตา ภควตา … ยาจิตกูปมา กามา วุตฺตา ภควตา … รุกฺขผลูปมา กามา วุตฺตา ภควตา … อสิสูนูปมา กามา วุตฺตา ภควตา … สตฺติสูลูปมา กามา วุตฺตา ภควตา … สปฺปสิรูปมา กามา วุตฺตา ภควตา พหุทุกฺขา พหุปายาสา, อาทีนโว เอตฺถ ภิโยฺย”ติฯ
Then, wishing to dissuade Ariṭṭha from his view, the bhikkhus pursued, pressed, and grilled him, “Don’t say that, Ariṭṭha! Don’t misrepresent the Buddha, for misrepresentation of the Buddha is not good. And the Buddha would not say that. In many ways the Buddha has said that obstructive acts are obstructive, and that they really do obstruct the one who performs them. The Buddha says that sensual pleasures give little gratification and much suffering and distress, and they are all the more full of drawbacks. With the similes of a skeleton … a lump of meat … a grass torch … a pit of glowing coals … a dream … borrowed goods … fruit on a tree … a butcher’s knife and chopping block … a staking sword … a snake’s head, the Buddha says that sensual pleasures give little gratification and much suffering and distress, and they are all the more full of drawbacks.”
เอวมฺปิ โข อริฏฺโฐ ภิกฺขุ คทฺธพาธิปุพฺโพ เตหิ ภิกฺขูหิ สมนุยุญฺชิยมาโน สมนุคาหิยมาโน สมนุภาสิยมาโน ตเทว ปาปกํ ทิฏฺฐิคตํ ถามสา ปรามาสา อภินิวิสฺส โวหรติ: “เอวํ พฺยา โข อหํ, อาวุโส, ภควตา ธมฺมํ เทสิตํ อาชานามิ ยถา เยเม อนฺตรายิกา ธมฺมา วุตฺตา ภควตา เต ปฏิเสวโต นาลํ อนฺตรายายา”ติฯ
But even though the bhikkhus pursued, pressed, and grilled him in this way, Ariṭṭha obstinately stuck to his misconception and insisted on stating it.
ยโต โข เต ภิกฺขู นาสกฺขึสุ อริฏฺฐํ ภิกฺขุํ คทฺธพาธิปุพฺพํ เอตสฺมา ปาปกา ทิฏฺฐิคตา วิเวเจตุํ, อถ โข เต ภิกฺขู เยน ภควา เตนุปสงฺกมึสุ; อุปสงฺกมิตฺวา ภควนฺตํ อภิวาเทตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทึสุฯ เอกมนฺตํ นิสินฺนา โข เต ภิกฺขู ภควนฺตํ เอตทโวจุํ: “อริฏฺฐสฺส นาม, ภนฺเต, ภิกฺขุโน คทฺธพาธิปุพฺพสฺส เอวรูปํ ปาปกํ ทิฏฺฐิคตํ อุปฺปนฺนํ: ‘ตถาหํ ภควตา ธมฺมํ เทสิตํ อาชานามิ ยถา เยเม อนฺตรายิกา ธมฺมา วุตฺตา ภควตา เต ปฏิเสวโต นาลํ อนฺตรายายา'ติฯ อสฺสุมฺห โข มยํ, ภนฺเต: ‘อริฏฺฐสฺส กิร นาม ภิกฺขุโน คทฺธพาธิปุพฺพสฺส เอวรูปํ ปาปกํ ทิฏฺฐิคตํ อุปฺปนฺนํ—ตถาหํ ภควตา ธมฺมํ เทสิตํ อาชานามิ ยถา เยเม อนฺตรายิกา ธมฺมา วุตฺตา ภควตา เต ปฏิเสวโต นาลํ อนฺตรายายา'ติฯ
When they weren’t able to dissuade Ariṭṭha from his view, the bhikkhus went to the Buddha, bowed, sat down to one side, and told him what had happened.
อถ โข มยํ, ภนฺเต, เยน อริฏฺโฐ ภิกฺขุ คทฺธพาธิปุพฺโพ เตนุปสงฺกมิมฺห; อุปสงฺกมิตฺวา อริฏฺฐํ ภิกฺขุํ คทฺธพาธิปุพฺพํ เอตทโวจุมฺห: ‘สจฺจํ กิร เต, อาวุโส อริฏฺฐ, เอวรูปํ ปาปกํ ทิฏฺฐิคตํ อุปฺปนฺนํ—ตถาหํ ภควตา ธมฺมํ เทสิตํ อาชานามิ ยถา เยเม อนฺตรายิกา ธมฺมา วุตฺตา ภควตา เต ปฏิเสวโต นาลํ อนฺตรายายา'ติ?
เอวํ วุตฺเต, ภนฺเต, อริฏฺโฐ ภิกฺขุ คทฺธพาธิปุพฺโพ อเมฺห เอตทโวจ: ‘เอวํ พฺยา โข อหํ, อาวุโส, ภควตา ธมฺมํ เทสิตํ อาชานามิ ยถา เยเม อนฺตรายิกา ธมฺมา วุตฺตา ภควตา เต ปฏิเสวโต นาลํ อนฺตรายายา'ติฯ อถ โข มยํ, ภนฺเต, อริฏฺฐํ ภิกฺขุํ คทฺธพาธิปุพฺพํ เอตสฺมา ปาปกา ทิฏฺฐิคตา วิเวเจตุกามา สมนุยุญฺชิมฺห สมนุคาหิมฺห สมนุภาสิมฺห: ‘มา เหวํ, อาวุโส อริฏฺฐ, อวจ, มา ภควนฺตํ อพฺภาจิกฺขิ; น หิ สาธุ ภควโต อพฺภกฺขานํ, น หิ ภควา เอวํ วเทยฺยฯ อเนกปริยาเยนาวุโส อริฏฺฐ, อนฺตรายิกา ธมฺมา อนฺตรายิกา วุตฺตา ภควตา, อลญฺจ ปน เต ปฏิเสวโต อนฺตรายายฯ อปฺปสฺสาทา กามา วุตฺตา ภควตา พหุทุกฺขา พหุปายาสา, อาทีนโว เอตฺถ ภิโยฺยฯ อฏฺฐิกงฺกลูปมา กามา วุตฺตา ภควตา …เป… สปฺปสิรูปมา กามา วุตฺตา ภควตา พหุทุกฺขา พหุปายาสา, อาทีนโว เอตฺถ ภิโยฺย'ติฯ
เอวมฺปิ โข, ภนฺเต, อริฏฺโฐ ภิกฺขุ คทฺธพาธิปุพฺโพ อเมฺหหิ สมนุยุญฺชิยมาโน สมนุคาหิยมาโน สมนุภาสิยมาโน ตเทว ปาปกํ ทิฏฺฐิคตํ ถามสา ปรามาสา อภินิวิสฺส โวหรติ: ‘เอวํ พฺยา โข อหํ, อาวุโส, ภควตา ธมฺมํ เทสิตํ อาชานามิ ยถา เยเม อนฺตรายิกา ธมฺมา วุตฺตา ภควตา เต ปฏิเสวโต นาลํ อนฺตรายายา'ติฯ ยโต โข มยํ, ภนฺเต, นาสกฺขิมฺห อริฏฺฐํ ภิกฺขุํ คทฺธพาธิปุพฺพํ เอตสฺมา ปาปกา ทิฏฺฐิคตา วิเวเจตุํ, อถ มยํ เอตมตฺถํ ภควโต อาโรเจมา”ติฯ
อถ โข ภควา อญฺญตรํ ภิกฺขุํ อามนฺเตสิ: “เอหิ ตฺวํ, ภิกฺขุ, มม วจเนน อริฏฺฐํ ภิกฺขุํ คทฺธพาธิปุพฺพํ อามนฺเตหิ: ‘สตฺถา ตํ, อาวุโส อริฏฺฐ, อามนฺเตตี'”ติฯ
So the Buddha addressed a certain monk, “Please, monk, in my name tell the bhikkhu Ariṭṭha, formerly a vulture trapper, that the teacher summons him.”
“เอวํ, ภนฺเต”ติ โข โส ภิกฺขุ ภควโต ปฏิสฺสุตฺวา, เยน อริฏฺโฐ ภิกฺขุ คทฺธพาธิปุพฺโพ เตนุปสงฺกมิ; อุปสงฺกมิตฺวา อริฏฺฐํ ภิกฺขุํ คทฺธพาธิปุพฺพํ เอตทโวจ: “สตฺถา ตํ, อาวุโส อริฏฺฐ, อามนฺเตตี”ติฯ
“Yes, sir,” that monk replied. He went to Ariṭṭha and said to him, “Friend Ariṭṭha, the teacher summons you.”
“เอวมาวุโส”ติ โข อริฏฺโฐ ภิกฺขุ คทฺธพาธิปุพฺโพ ตสฺส ภิกฺขุโน ปฏิสฺสุตฺวา เยน ภควา เตนุปสงฺกมิ; อุปสงฺกมิตฺวา ภควนฺตํ อภิวาเทตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิฯ เอกมนฺตํ นิสินฺนํ โข อริฏฺฐํ ภิกฺขุํ คทฺธพาธิปุพฺพํ ภควา เอตทโวจ:
“Yes, friend,” Ariṭṭha replied. He went to the Buddha, bowed, and sat down to one side. The Buddha said to him,
“สจฺจํ กิร เต, อริฏฺฐ, เอวรูปํ ปาปกํ ทิฏฺฐิคตํ อุปฺปนฺนํ: ‘ตถาหํ ภควตา ธมฺมํ เทสิตํ อาชานามิ ยถา เยเม อนฺตรายิกา ธมฺมา วุตฺตา ภควตา เต ปฏิเสวโต นาลํ อนฺตรายายา'”ติ?
“Is it really true, Ariṭṭha, that you have such a harmful misconception: ‘As I understand the Buddha’s teachings, the acts that he says are obstructions are not really obstructions for the one who performs them’?”
“เอวํ พฺยา โข อหํ, ภนฺเต, ภควตา ธมฺมํ เทสิตํ อาชานามิ: ‘ยถา เยเม อนฺตรายิกา ธมฺมา วุตฺตา ภควตา เต ปฏิเสวโต นาลํ อนฺตรายายา'”ติฯ
“Absolutely, sir. As I understand the Buddha’s teachings, the acts that he says are obstructions are not really obstructions for the one who performs them.”
“กสฺส โข นาม ตฺวํ, โมฆปุริส, มยา เอวํ ธมฺมํ เทสิตํ อาชานาสิ? นนุ มยา, โมฆปุริส, อเนกปริยาเยน อนฺตรายิกา ธมฺมา อนฺตรายิกา วุตฺตา? อลญฺจ ปน เต ปฏิเสวโต อนฺตรายายฯ อปฺปสฺสาทา กามา วุตฺตา มยา, พหุทุกฺขา พหุปายาสา, อาทีนโว เอตฺถ ภิโยฺยฯ อฏฺฐิกงฺกลูปมา กามา วุตฺตา มยา … มํสเปสูปมา กามา วุตฺตา มยา … ติณุกฺกูปมา กามา วุตฺตา มยา … องฺคารกาสูปมา กามา วุตฺตา มยา … สุปินกูปมา กามา วุตฺตา มยา … ยาจิตกูปมา กามา วุตฺตา มยา … รุกฺขผลูปมา กามา วุตฺตา มยา … อสิสูนูปมา กามา วุตฺตา มยา … สตฺติสูลูปมา กามา วุตฺตา มยา … สปฺปสิรูปมา กามา วุตฺตา มยา, พหุทุกฺขา พหุปายาสา, อาทีนโว เอตฺถ ภิโยฺยฯ อถ จ ปน ตฺวํ, โมฆปุริส, อตฺตนา ทุคฺคหิเตน อเมฺห เจว อพฺภาจิกฺขสิ, อตฺตานญฺจ ขนสิ, พหุญฺจ อปุญฺญํ ปสวสิฯ ตญฺหิ เต, โมฆปุริส, ภวิสฺสติ ทีฆรตฺตํ อหิตาย ทุกฺขายา”ติฯ
“Silly man, who on earth have you ever known me to teach in that way? Haven’t I said in many ways that obstructive acts are obstructive, and that they really do obstruct the one who performs them? I’ve said that sensual pleasures give little gratification and much suffering and distress, and they are all the more full of drawbacks. With the similes of a skeleton … a lump of meat … a grass torch … a pit of glowing coals … a dream … borrowed goods … fruit on a tree … a butcher’s knife and chopping block … a staking sword … a snake’s head, I’ve said that sensual pleasures give little gratification and much suffering and distress, and they are all the more full of drawbacks. But still you misrepresent me by your wrong grasp, harm yourself, and make much bad karma. This will be for your lasting harm and suffering.”
อถ โข ภควา ภิกฺขู อามนฺเตสิ: “ตํ กึ มญฺญถ, ภิกฺขเว, อปิ นายํ อริฏฺโฐ ภิกฺขุ คทฺธพาธิปุพฺโพ อุสฺมีกโตปิ อิมสฺมึ ธมฺมวินเย”ติ?
Then the Buddha said to the bhikkhus, “What do you think, bhikkhus? Has this bhikkhu Ariṭṭha kindled even a spark of wisdom in this teaching and training?”
“กิญฺหิ สิยา, ภนฺเต; โน เหตํ, ภนฺเต”ติฯ เอวํ วุตฺเต, อริฏฺโฐ ภิกฺขุ คทฺธพาธิปุพฺโพ ตุณฺหีภูโต มงฺกุภูโต ปตฺตกฺขนฺโธ อโธมุโข ปชฺฌายนฺโต อปฺปฏิภาโน นิสีทิฯ
“How could that be, sir? No, sir.” When this was said, Ariṭṭha sat silent, dismayed, shoulders drooping, downcast, depressed, with nothing to say.
อถ โข ภควา อริฏฺฐํ ภิกฺขุํ คทฺธพาธิปุพฺพํ ตุณฺหีภูตํ มงฺกุภูตํ ปตฺตกฺขนฺธํ อโธมุขํ ปชฺฌายนฺตํ อปฺปฏิภานํ วิทิตฺวา อริฏฺฐํ ภิกฺขุํ คทฺธพาธิปุพฺพํ เอตทโวจ: “ปญฺญายิสฺสสิ โข ตฺวํ, โมฆปุริส, เอเตน สเกน ปาปเกน ทิฏฺฐิคเตนฯ อิธาหํ ภิกฺขู ปฏิปุจฺฉิสฺสามี”ติฯ
Knowing this, the Buddha said, “Silly man, you will be known by your own harmful misconception. I’ll question the bhikkhus about this.”
อถ โข ภควา ภิกฺขู อามนฺเตสิ: “ตุเมฺหปิ เม, ภิกฺขเว, เอวํ ธมฺมํ เทสิตํ อาชานาถ ยถายํ อริฏฺโฐ ภิกฺขุ คทฺธพาธิปุพฺโพ อตฺตนา ทุคฺคหิเตน อเมฺห เจว อพฺภาจิกฺขติ, อตฺตานญฺจ ขนติ, พหุญฺจ อปุญฺญํ ปสวตี”ติ?
Then the Buddha said to the bhikkhus, “Bhikkhus, do you understand my teachings as Ariṭṭha does, when he misrepresents me by his wrong grasp, harms himself, and makes much bad karma?”
“โน เหตํ, ภนฺเตฯ อเนกปริยาเยน หิ โน, ภนฺเต, อนฺตรายิกา ธมฺมา อนฺตรายิกา วุตฺตา ภควตา; อลญฺจ ปน เต ปฏิเสวโต อนฺตรายายฯ อปฺปสฺสาทา กามา วุตฺตา ภควตา พหุทุกฺขา พหุปายาสา, อาทีนโว เอตฺถ ภิโยฺยฯ อฏฺฐิกงฺกลูปมา กามา วุตฺตา ภควตา …เป… สปฺปสิรูปมา กามา วุตฺตา ภควตา พหุทุกฺขา พหุปายาสา, อาทีนโว เอตฺถ ภิโยฺย”ติฯ
“No, sir. For in many ways the Buddha has said that obstructive acts are obstructive, and that they really do obstruct the one who performs them. The Buddha has said that sensual pleasures give little gratification and much suffering and distress, and they are all the more full of drawbacks. With the similes of a skeleton … a snake’s head, the Buddha has said that sensual pleasures give little gratification and much suffering and distress, and they are all the more full of drawbacks.”
“สาธุ สาธุ, ภิกฺขเว, สาธุ, โข เม ตุเมฺห, ภิกฺขเว, เอวํ ธมฺมํ เทสิตํ อาชานาถฯ อเนกปริยาเยน หิ โข, ภิกฺขเว, อนฺตรายิกา ธมฺมา วุตฺตา มยา, อลญฺจ ปน เต ปฏิเสวโต อนฺตรายายฯ
“Good, good, bhikkhus! It’s good that you understand my teaching like this. For in many ways I have said that obstructive acts are obstructive …
อปฺปสฺสาทา กามา วุตฺตา มยา, พหุทุกฺขา พหุปายาสา, อาทีนโว เอตฺถ ภิโยฺยฯ อฏฺฐิกงฺกลูปมา กามา วุตฺตา มยา …เป… สปฺปสิรูปมา กามา วุตฺตา มยา, พหุทุกฺขา พหุปายาสา, อาทีนโว เอตฺถ ภิโยฺยฯ อถ จ ปนายํ อริฏฺโฐ ภิกฺขุ คทฺธพาธิปุพฺโพ อตฺตนา ทุคฺคหิเตน อเมฺห เจว อพฺภาจิกฺขติ, อตฺตานญฺจ ขนติ, พหุญฺจ อปุญฺญํ ปสวติฯ ตญฺหิ ตสฺส โมฆปุริสสฺส ภวิสฺสติ ทีฆรตฺตํ อหิตาย ทุกฺขายฯ โส วต, ภิกฺขเว, อญฺญเตฺรว กาเมหิ อญฺญตฺร กามสญฺญาย อญฺญตฺร กามวิตกฺเกหิ กาเม ปฏิเสวิสฺสตีติ—เนตํ ฐานํ วิชฺชติฯ
I’ve said that sensual pleasures give little gratification and much suffering and distress, and they are all the more full of drawbacks. But still this Ariṭṭha misrepresents me by his wrong grasp, harms himself, and makes much bad karma. This will be for his lasting harm and suffering. Truly, bhikkhus, it’s quite impossible to perform sensual acts without sensual pleasures, sensual perceptions, and sensual thoughts.
อิธ, ภิกฺขเว, เอกจฺเจ โมฆปุริสา ธมฺมํ ปริยาปุณนฺติ—สุตฺตํ, เคยฺยํ, เวยฺยากรณํ, คาถํ, อุทานํ, อิติวุตฺตกํ, ชาตกํ, อพฺภุตธมฺมํ, เวทลฺลํฯ เต ตํ ธมฺมํ ปริยาปุณิตฺวา เตสํ ธมฺมานํ ปญฺญาย อตฺถํ น อุปปริกฺขนฺติฯ เตสํ เต ธมฺมา ปญฺญาย อตฺถํ อนุปปริกฺขตํ น นิชฺฌานํ ขมนฺติฯ เต อุปารมฺภานิสํสา เจว ธมฺมํ ปริยาปุณนฺติ อิติวาทปฺปโมกฺขานิสํสา จฯ ยสฺส จตฺถาย ธมฺมํ ปริยาปุณนฺติ ตญฺจสฺส อตฺถํ นานุโภนฺติฯ เตสํ เต ธมฺมา ทุคฺคหิตา ทีฆรตฺตํ อหิตาย ทุกฺขาย สํวตฺตนฺติฯ ตํ กิสฺส เหตุ? ทุคฺคหิตตฺตา, ภิกฺขเว, ธมฺมานํฯ
Take a foolish person who memorizes the teaching—statements, songs, discussions, verses, inspired exclamations, legends, stories of past lives, amazing stories, and classifications. But they don’t examine the meaning of those teachings with wisdom, and so don’t come to a considered acceptance of them. They just memorize the teaching for the sake of finding fault and winning debates. They don’t realize the goal for which they memorized them. Because they’re wrongly grasped, those teachings lead to their lasting harm and suffering. Why is that? Because of their wrong grasp of the teachings.
เสยฺยถาปิ, ภิกฺขเว, ปุริโส อลคทฺทตฺถิโก อลคทฺทคเวสี อลคทฺทปริเยสนํ จรมาโนฯ โส ปเสฺสยฺย มหนฺตํ อลคทฺทํฯ ตเมนํ โภเค วา นงฺคุฏฺเฐ วา คเณฺหยฺยฯ ตสฺส โส อลคทฺโท ปฏิปริวตฺติตฺวา หตฺเถ วา พาหาย วา อญฺญตรสฺมึ วา องฺคปจฺจงฺเค ฑํเสยฺยฯ โส ตโตนิทานํ มรณํ วา นิคจฺเฉยฺย มรณมตฺตํ วา ทุกฺขํฯ ตํ กิสฺส เหตุ? ทุคฺคหิตตฺตา, ภิกฺขเว, อลคทฺทสฺสฯ
Suppose there was a person in need of a snake. And while wandering in search of a snake they’d see a big snake, and grasp it by the coil or the tail. But that snake would twist back and bite them on the hand or the arm or limb, resulting in death or deadly pain. Why is that? Because of their wrong grasp of the snake.
เอวเมว โข, ภิกฺขเว, อิเธกจฺเจ โมฆปุริสา ธมฺมํ ปริยาปุณนฺติ—สุตฺตํ, เคยฺยํ, เวยฺยากรณํ, คาถํ, อุทานํ, อิติวุตฺตกํ, ชาตกํ, อพฺภุตธมฺมํ, เวทลฺลํฯ เต ตํ ธมฺมํ ปริยาปุณิตฺวา เตสํ ธมฺมานํ ปญฺญาย อตฺถํ น อุปปริกฺขนฺติฯ เตสํ เต ธมฺมา ปญฺญาย อตฺถํ อนุปปริกฺขตํ น นิชฺฌานํ ขมนฺติฯ เต อุปารมฺภานิสํสา เจว ธมฺมํ ปริยาปุณนฺติ อิติวาทปฺปโมกฺขานิสํสา จฯ ยสฺส จตฺถาย ธมฺมํ ปริยาปุณนฺติ ตญฺจสฺส อตฺถํ นานุโภนฺติฯ เตสํ เต ธมฺมา ทุคฺคหิตา ทีฆรตฺตํ อหิตาย ทุกฺขาย สํวตฺตนฺติฯ ตํ กิสฺส เหตุ? ทุคฺคหิตตฺตา, ภิกฺขเว, ธมฺมานํฯ
In the same way, a foolish person memorizes the teaching … and those teachings lead to their lasting harm and suffering. Why is that? Because of their wrong grasp of the teachings.
อิธ ปน, ภิกฺขเว, เอกจฺเจ กุลปุตฺตา ธมฺมํ ปริยาปุณนฺติ—สุตฺตํ, เคยฺยํ, เวยฺยากรณํ, คาถํ, อุทานํ, อิติวุตฺตกํ, ชาตกํ, อพฺภุตธมฺมํ, เวทลฺลํฯ เต ตํ ธมฺมํ ปริยาปุณิตฺวา เตสํ ธมฺมานํ ปญฺญาย อตฺถํ อุปปริกฺขนฺติฯ เตสํ เต ธมฺมา ปญฺญาย อตฺถํ อุปปริกฺขตํ นิชฺฌานํ ขมนฺติฯ เต น เจว อุปารมฺภานิสํสา ธมฺมํ ปริยาปุณนฺติ น อิติวาทปฺปโมกฺขานิสํสา จฯ ยสฺส จตฺถาย ธมฺมํ ปริยาปุณนฺติ ตญฺจสฺส อตฺถํ อนุโภนฺติฯ เตสํ เต ธมฺมา สุคฺคหิตา ทีฆรตฺตํ หิตาย สุขาย สํวตฺตนฺติฯ ตํ กิสฺส เหตุ? สุคฺคหิตตฺตา ภิกฺขเว ธมฺมานํฯ
Now, take a gentleman who memorizes the teaching—statements, songs, discussions, verses, inspired exclamations, legends, stories of past lives, amazing stories, and classifications. And once he’s memorized them, he examines their meaning with wisdom, and comes to a considered acceptance of them. He doesn’t memorize the teaching for the sake of finding fault and winning debates. He realizes the goal for which he memorized them. Because they’re correctly grasped, those teachings lead to his lasting welfare and happiness. Why is that? Because of his correct grasp of the teachings.
เสยฺยถาปิ, ภิกฺขเว, ปุริโส อลคทฺทตฺถิโก อลคทฺทคเวสี อลคทฺทปริเยสนํ จรมาโนฯ โส ปเสฺสยฺย มหนฺตํ อลคทฺทํฯ ตเมนํ อชปเทน ทณฺเฑน สุนิคฺคหิตํ นิคฺคเณฺหยฺยฯ อชปเทน ทณฺเฑน สุนิคฺคหิตํ นิคฺคหิตฺวา, คีวาย สุคฺคหิตํ คเณฺหยฺยฯ กิญฺจาปิ โส, ภิกฺขเว, อลคทฺโท ตสฺส ปุริสสฺส หตฺถํ วา พาหํ วา อญฺญตรํ วา องฺคปจฺจงฺคํ โภเคหิ ปลิเวเฐยฺย, อถ โข โส เนว ตโตนิทานํ มรณํ วา นิคจฺเฉยฺย มรณมตฺตํ วา ทุกฺขํฯ ตํ กิสฺส เหตุ? สุคฺคหิตตฺตา, ภิกฺขเว, อลคทฺทสฺสฯ
Suppose there was a person in need of a snake. And while wandering in search of a snake they’d see a big snake, and hold it down carefully with a cleft stick. Only then would they correctly grasp it by the neck. And even though that snake might wrap its coils around that person’s hand or arm or some other limb, that wouldn’t result in death or deadly pain. Why is that? Because of their correct grasp of the snake.
เอวเมว โข, ภิกฺขเว, อิเธกจฺเจ กุลปุตฺตา ธมฺมํ ปริยาปุณนฺติ—สุตฺตํ, เคยฺยํ, เวยฺยากรณํ, คาถํ, อุทานํ, อิติวุตฺตกํ, ชาตกํ, อพฺภุตธมฺมํ, เวทลฺลํฯ เต ตํ ธมฺมํ ปริยาปุณิตฺวา เตสํ ธมฺมานํ ปญฺญาย อตฺถํ อุปปริกฺขนฺติฯ เตสํ เต ธมฺมา ปญฺญาย อตฺถํ อุปปริกฺขตํ นิชฺฌานํ ขมนฺติฯ เต น เจว อุปารมฺภานิสํสา ธมฺมํ ปริยาปุณนฺติ, น อิติวาทปฺปโมกฺขานิสํสา จฯ ยสฺส จตฺถาย ธมฺมํ ปริยาปุณนฺติ, ตญฺจสฺส อตฺถํ อนุโภนฺติฯ เตสํ เต ธมฺมา สุคฺคหิตา ทีฆรตฺตํ อตฺถาย หิตาย สุขาย สํวตฺตนฺติฯ ตํ กิสฺส เหตุ? สุคฺคหิตตฺตา, ภิกฺขเว, ธมฺมานํฯ
In the same way, a gentleman memorizes the teaching … and those teachings lead to his lasting welfare and happiness. Why is that? Because of his correct grasp of the teachings.
ตสฺมาติห, ภิกฺขเว, ยสฺส เม ภาสิตสฺส อตฺถํ อาชาเนยฺยาถ, ตถา นํ ธาเรยฺยาถฯ ยสฺส จ ปน เม ภาสิตสฺส อตฺถํ น อาชาเนยฺยาถ, อหํ โว ตตฺถ ปฏิปุจฺฉิตพฺโพ, เย วา ปนาสฺสุ วิยตฺตา ภิกฺขูฯ
So, bhikkhus, when you understand what I’ve said, you should remember it accordingly. But if I’ve said anything that you don’t understand, you should ask me about it, or some competent bhikkhus.
กุลฺลูปมํ โว, ภิกฺขเว, ธมฺมํ เทเสสฺสามิ นิตฺถรณตฺถาย, โน คหณตฺถายฯ ตํ สุณาถ, สาธุกํ มนสิกโรถ, ภาสิสฺสามี”ติฯ
Bhikkhus, I will teach you how the Dhamma is similar to a raft: it’s for crossing over, not for holding on. Listen and apply your mind well, I will speak.”
“เอวํ, ภนฺเต”ติ โข เต ภิกฺขู ภควโต ปจฺจโสฺสสุํฯ ภควา เอตทโวจ:
“Yes, sir,” they replied. The Buddha said this:
“เสยฺยถาปิ, ภิกฺขเว, ปุริโส อทฺธานมคฺคปฺปฏิปนฺโนฯ โส ปเสฺสยฺย มหนฺตํ อุทกณฺณวํ, โอริมํ ตีรํ สาสงฺกํ สปฺปฏิภยํ, ปาริมํ ตีรํ เขมํ อปฺปฏิภยํ; น จสฺส นาวา สนฺตารณี อุตฺตรเสตุ วา อปารา ปารํ คมนายฯ ตสฺส เอวมสฺส: ‘อยํ โข มหาอุทกณฺณโว, โอริมํ ตีรํ สาสงฺกํ สปฺปฏิภยํ, ปาริมํ ตีรํ เขมํ อปฺปฏิภยํ; นตฺถิ จ นาวา สนฺตารณี อุตฺตรเสตุ วา อปารา ปารํ คมนายฯ ยนฺนูนาหํ ติณกฏฺฐสาขาปลาสํ สงฺกฑฺฒิตฺวา, กุลฺลํ พนฺธิตฺวา, ตํ กุลฺลํ นิสฺสาย หตฺเถหิ จ ปาเทหิ จ วายมมาโน โสตฺถินา ปารํ อุตฺตเรยฺยนฺ'ติฯ อถ โข โส, ภิกฺขเว, ปุริโส ติณกฏฺฐสาขาปลาสํ สงฺกฑฺฒิตฺวา, กุลฺลํ พนฺธิตฺวา ตํ กุลฺลํ นิสฺสาย หตฺเถหิ จ ปาเทหิ จ วายมมาโน โสตฺถินา ปารํ อุตฺตเรยฺยฯ ตสฺส ปุริสสฺส อุตฺติณฺณสฺส ปารงฺคตสฺส เอวมสฺส: ‘พหุกาโร โข เม อยํ กุโลฺล; อิมาหํ กุลฺลํ นิสฺสาย หตฺเถหิ จ ปาเทหิ จ วายมมาโน โสตฺถินา ปารํ อุตฺติณฺโณฯ ยนฺนูนาหํ อิมํ กุลฺลํ สีเส วา อาโรเปตฺวา ขนฺเธ วา อุจฺจาเรตฺวา เยน กามํ ปกฺกเมยฺยนฺ'ติฯ
“Suppose there was a person traveling along the road. They’d see a large deluge, whose near shore was dubious and perilous, while the far shore was a sanctuary free of peril. But there was no ferryboat or bridge for crossing over. They’d think, ‘Why don’t I gather grass, sticks, branches, and leaves and make a raft? Riding on the raft, and paddling with my hands and feet, I can safely reach the far shore.’ And so they’d do exactly that. And when they’d crossed over to the far shore, they’d think, ‘This raft has been very helpful to me. Riding on the raft, and paddling with my hands and feet, I have safely crossed over to the far shore. Why don’t I hoist it on my head or pick it up on my shoulder and go wherever I want?’
ตํ กึ มญฺญถ, ภิกฺขเว, อปิ นุ โส ปุริโส เอวงฺการี ตสฺมึ กุเลฺล กิจฺจการี อสฺสา”ติ?
What do you think, bhikkhus? Would that person be doing what should be done with that raft?”
“โน เหตํ, ภนฺเต”ฯ
“No, sir.”
“กถงฺการี จ โส, ภิกฺขเว, ปุริโส ตสฺมึ กุเลฺล กิจฺจการี อสฺส? อิธ, ภิกฺขเว, ตสฺส ปุริสสฺส อุตฺติณฺณสฺส ปารงฺคตสฺส เอวมสฺส: ‘พหุกาโร โข เม อยํ กุโลฺล; อิมาหํ กุลฺลํ นิสฺสาย หตฺเถหิ จ ปาเทหิ จ วายมมาโน โสตฺถินา ปารํ อุตฺติณฺโณฯ ยนฺนูนาหํ อิมํ กุลฺลํ ถเล วา อุสฺสาเทตฺวา อุทเก วา โอปิลาเปตฺวา เยน กามํ ปกฺกเมยฺยนฺ'ติฯ เอวงฺการี โข โส, ภิกฺขเว, ปุริโส ตสฺมึ กุเลฺล กิจฺจการี อสฺสฯ
“And what, bhikkhus, should that person do with the raft? When they’d crossed over they should think, ‘This raft has been very helpful to me. … Why don’t I beach it on dry land or set it adrift on the water and go wherever I want?’ That’s what that person should do with the raft.
เอวเมว โข, ภิกฺขเว, กุลฺลูปโม มยา ธมฺโม เทสิโต นิตฺถรณตฺถาย, โน คหณตฺถายฯ กุลฺลูปมํ โว, ภิกฺขเว, ธมฺมํ เทสิตํ, อาชานนฺเตหิ ธมฺมาปิ โว ปหาตพฺพา ปเคว อธมฺมาฯ
In the same way, I have taught how the teaching is similar to a raft: it’s for crossing over, not for holding on. By understanding the simile of the raft, you will even give up the teachings, let alone what is against the teachings.
ฉยิมานิ, ภิกฺขเว, ทิฏฺฐิฏฺฐานานิฯ กตมานิ ฉ? อิธ, ภิกฺขเว, อสฺสุตวา ปุถุชฺชโน อริยานํ อทสฺสาวี อริยธมฺมสฺส อโกวิโท อริยธมฺเม อวินีโต, สปฺปุริสานํ อทสฺสาวี สปฺปุริสธมฺมสฺส อโกวิโท สปฺปุริสธมฺเม อวินีโต, รูปํ ‘เอตํ มม, เอโสหมสฺมิ, เอโส เม อตฺตา'ติ สมนุปสฺสติ; เวทนํ ‘เอตํ มม, เอโสหมสฺมิ, เอโส เม อตฺตา'ติ สมนุปสฺสติ; สญฺญํ ‘เอตํ มม, เอโสหมสฺมิ, เอโส เม อตฺตา'ติ สมนุปสฺสติ; สงฺขาเร ‘เอตํ มม, เอโสหมสฺมิ, เอโส เม อตฺตา'ติ สมนุปสฺสติ; ยมฺปิ ตํ ทิฏฺฐํ สุตํ มุตํ วิญฺญาตํ ปตฺตํ ปริเยสิตํ, อนุวิจริตํ มนสา ตมฺปิ ‘เอตํ มม, เอโสหมสฺมิ, เอโส เม อตฺตา'ติ สมนุปสฺสติ; ยมฺปิ ตํ ทิฏฺฐิฏฺฐานํ—โส โลโก โส อตฺตา, โส เปจฺจ ภวิสฺสามิ นิจฺโจ ธุโว สสฺสโต อวิปริณามธมฺโม, สสฺสติสมํ ตเถว ฐสฺสามีติ—ตมฺปิ ‘เอตํ มม, เอโสหมสฺมิ, เอโส เม อตฺตา'ติ สมนุปสฺสติฯ
Bhikkhus, there are these six grounds for views. What six? Take an unlearned ordinary person who has not seen the noble ones, and is neither skilled nor trained in the teaching of the noble ones. They’ve not seen good persons, and are neither skilled nor trained in the teaching of the good persons. They regard form like this: ‘This is mine, I am this, this is my self.’ They also regard feeling … perception … choices … whatever is seen, heard, thought, known, attained, sought, and explored by the mind like this: ‘This is mine, I am this, this is my self.’ And the same for this ground for views: ‘The self and the cosmos are one and the same. After death I will be permanent, everlasting, eternal, imperishable, and will last forever and ever.’ They also regard like this: ‘This is mine, I am this, this is my self.’
สุตวา จ โข, ภิกฺขเว, อริยสาวโก อริยานํ ทสฺสาวี อริยธมฺมสฺส โกวิโท อริยธมฺเม สุวินีโต, สปฺปุริสานํ ทสฺสาวี สปฺปุริสธมฺมสฺส โกวิโท สปฺปุริสธมฺเม สุวินีโต, รูปํ ‘เนตํ มม, เนโสหมสฺมิ, น เมโส อตฺตา'ติ สมนุปสฺสติ; เวทนํ ‘เนตํ มม, เนโสหมสฺมิ, น เมโส อตฺตา'ติ สมนุปสฺสติ; สญฺญํ ‘เนตํ มม, เนโสหมสฺมิ, น เมโส อตฺตา'ติ สมนุปสฺสติ; สงฺขาเร ‘เนตํ มม, เนโสหมสฺมิ, น เมโส อตฺตา'ติ สมนุปสฺสติ; ยมฺปิ ตํ ทิฏฺฐํ สุตํ มุตํ วิญฺญาตํ ปตฺตํ ปริเยสิตํ, อนุวิจริตํ มนสา, ตมฺปิ ‘เนตํ มม, เนโสหมสฺมิ, น เมโส อตฺตา'ติ สมนุปสฺสติ; ยมฺปิ ตํ ทิฏฺฐิฏฺฐานํ—โส โลโก โส อตฺตา, โส เปจฺจ ภวิสฺสามิ นิจฺโจ ธุโว สสฺสโต อวิปริณามธมฺโม, สสฺสติสมํ ตเถว ฐสฺสามีติ—ตมฺปิ ‘เนตํ มม, เนโสหมสฺมิ, น เมโส อตฺตา'ติ สมนุปสฺสติฯ
But a learned noble disciple has seen the noble ones, and is skilled and trained in the teaching of the noble ones. They’ve seen good persons, and are skilled and trained in the teaching of the good persons. They regard form like this: ‘This is not mine, I am not this, this is not my self.’ They also regard feeling … perception … choices … whatever is seen, heard, thought, known, attained, sought, and explored by the mind like this: ‘This is not mine, I am not this, this is not my self.’ And the same for this ground for views: ‘The self and the cosmos are one and the same. After death I will be permanent, everlasting, eternal, imperishable, and will last forever and ever.’ They also regard like this: ‘This is not mine, I am not this, this is not my self.’
โส เอวํ สมนุปสฺสนฺโต อสติ น ปริตสฺสตี”ติฯ
Seeing in this way they’re not anxious about what doesn’t exist.”
เอวํ วุตฺเต, อญฺญตโร ภิกฺขุ ภควนฺตํ เอตทโวจ: “สิยา นุ โข, ภนฺเต, พหิทฺธา อสติ ปริตสฺสนา”ติ?
When he said this, one of the bhikkhus asked the Buddha, “Sir, can there be anxiety about what doesn’t exist externally?”
“สิยา, ภิกฺขู”ติ—ภควา อโวจฯ “อิธ ภิกฺขุ เอกจฺจสฺส เอวํ โหติ: ‘อหุ วต เม, ตํ วต เม นตฺถิ; สิยา วต เม, ตํ วตาหํ น ลภามี'ติฯ โส โสจติ กิลมติ ปริเทวติ อุรตฺตาฬึ กนฺทติ สมฺโมหํ อาปชฺชติฯ เอวํ โข, ภิกฺขุ, พหิทฺธา อสติ ปริตสฺสนา โหตี”ติฯ
“There can, bhikkhu,” said the Buddha. “It’s when someone thinks, ‘Oh, but it used to be mine, and it is mine no more. Oh, but it could be mine, and I will get it no more.’ They sorrow and wail and lament, beating their breast and falling into confusion. That’s how there is anxiety about what doesn’t exist externally.”
“สิยา ปน, ภนฺเต, พหิทฺธา อสติ อปริตสฺสนา”ติ?
“But can there be no anxiety about what doesn’t exist externally?”
“สิยา, ภิกฺขู”ติ—ภควา อโวจฯ “อิธ ภิกฺขุ เอกจฺจสฺส น เอวํ โหติ: ‘อหุ วต เม, ตํ วต เม นตฺถิ; สิยา วต เม, ตํ วตาหํ น ลภามี'ติฯ โส น โสจติ น กิลมติ น ปริเทวติ น อุรตฺตาฬึ กนฺทติ น สมฺโมหํ อาปชฺชติฯ เอวํ โข, ภิกฺขุ, พหิทฺธา อสติ อปริตสฺสนา โหตี”ติฯ
“There can, bhikkhu,” said the Buddha. “It’s when someone doesn’t think, ‘Oh, but it used to be mine, and it is mine no more. Oh, but it could be mine, and I will get it no more.’ They don’t sorrow and wail and lament, beating their breast and falling into confusion. That’s how there is no anxiety about what doesn’t exist externally.”
“สิยา นุ โข, ภนฺเต, อชฺฌตฺตํ อสติ ปริตสฺสนา”ติ?
“But can there be anxiety about what doesn’t exist internally?”
“สิยา, ภิกฺขู”ติ—ภควา อโวจฯ “อิธ, ภิกฺขุ, เอกจฺจสฺส เอวํ ทิฏฺฐิ โหติ: ‘โส โลโก โส อตฺตา, โส เปจฺจ ภวิสฺสามิ นิจฺโจ ธุโว สสฺสโต อวิปริณามธมฺโม, สสฺสติสมํ ตเถว ฐสฺสามี'ติฯ โส สุณาติ ตถาคตสฺส วา ตถาคตสาวกสฺส วา สพฺเพสํ ทิฏฺฐิฏฺฐานาธิฏฺฐานปริยุฏฺฐานาภินิเวสานุสยานํ สมุคฺฆาตาย สพฺพสงฺขารสมถาย สพฺพูปธิปฏินิสฺสคฺคาย ตณฺหากฺขยาย วิราคาย นิโรธาย นิพฺพานาย ธมฺมํ เทเสนฺตสฺสฯ ตสฺส เอวํ โหติ: ‘อุจฺฉิชฺชิสฺสามิ นามสฺสุ, วินสฺสิสฺสามิ นามสฺสุ, นสฺสุ นาม ภวิสฺสามี'ติฯ โส โสจติ กิลมติ ปริเทวติ อุรตฺตาฬึ กนฺทติ สมฺโมหํ อาปชฺชติฯ เอวํ โข, ภิกฺขุ, อชฺฌตฺตํ อสติ ปริตสฺสนา โหตี”ติฯ
“There can, bhikkhu,” said the Buddha. “It’s when someone has such a view: ‘The self and the cosmos are one and the same. After death I will be permanent, everlasting, eternal, imperishable, and will last forever and ever.’ They hear the Realized One or their disciple teaching Dhamma for the uprooting of all grounds, fixations, obsessions, insistences, and underlying tendencies regarding views; for the stilling of all activities, the letting go of all attachments, the ending of craving, fading away, cessation, Nibbana. They think, ‘Whoa, I’m going to be annihilated and destroyed! I won’t exist any more!’ They sorrow and wail and lament, beating their breast and falling into confusion. That’s how there is anxiety about what doesn’t exist internally.”
“สิยา ปน, ภนฺเต, อชฺฌตฺตํ อสติ อปริตสฺสนา”ติ?
“But can there be no anxiety about what doesn’t exist internally?”
“สิยา, ภิกฺขู”ติ ภควา อโวจฯ “อิธ, ภิกฺขุ, เอกจฺจสฺส น เอวํ ทิฏฺฐิ โหติ: ‘โส โลโก โส อตฺตา, โส เปจฺจ ภวิสฺสามิ นิจฺโจ ธุโว สสฺสโต อวิปริณามธมฺโม, สสฺสติสมํ ตเถว ฐสฺสามี'ติฯ โส สุณาติ ตถาคตสฺส วา ตถาคตสาวกสฺส วา สพฺเพสํ ทิฏฺฐิฏฺฐานาธิฏฺฐานปริยุฏฺฐานาภินิเวสานุสยานํ สมุคฺฆาตาย สพฺพสงฺขารสมถาย สพฺพูปธิปฏินิสฺสคฺคาย ตณฺหากฺขยาย วิราคาย นิโรธาย นิพฺพานาย ธมฺมํ เทเสนฺตสฺสฯ ตสฺส น เอวํ โหติ: ‘อุจฺฉิชฺชิสฺสามิ นามสฺสุ, วินสฺสิสฺสามิ นามสฺสุ, นสฺสุ นาม ภวิสฺสามี'ติฯ โส น โสจติ น กิลมติ น ปริเทวติ น อุรตฺตาฬึ กนฺทติ น สมฺโมหํ อาปชฺชติฯ เอวํ โข, ภิกฺขุ, อชฺฌตฺตํ อสติ อปริตสฺสนา โหติฯ
“There can,” said the Buddha. “It’s when someone doesn’t have such a view: ‘The self and the cosmos are one and the same. After death I will be permanent, everlasting, eternal, imperishable, and will last forever and ever.’ They hear the Realized One or their disciple teaching Dhamma for the uprooting of all grounds, fixations, obsessions, insistences, and underlying tendencies regarding views; for the stilling of all activities, the letting go of all attachments, the ending of craving, fading away, cessation, Nibbana. It never occurs to them, ‘Whoa, I’m going to be annihilated and destroyed! I won’t exist any more!’ They don’t sorrow and wail and lament, beating their breast and falling into confusion. That’s how there is no anxiety about what doesn’t exist internally.
ตํ, ภิกฺขเว, ปริคฺคหํ ปริคฺคเณฺหยฺยาถ, ยฺวาสฺส ปริคฺคโห นิจฺโจ ธุโว สสฺสโต อวิปริณามธมฺโม, สสฺสติสมํ ตเถว ติฏฺเฐยฺยฯ ปสฺสถ โน ตุเมฺห, ภิกฺขเว, ตํ ปริคฺคหํ ยฺวาสฺส ปริคฺคโห นิจฺโจ ธุโว สสฺสโต อวิปริณามธมฺโม, สสฺสติสมํ ตเถว ติฏฺเฐยฺยา”ติ?
Bhikkhus, it would make sense to be possessive about something that’s permanent, everlasting, eternal, imperishable, and will last forever and ever. But do you see any such possession?”
“โน เหตํ, ภนฺเต”ฯ
“No, sir.”
“สาธุ, ภิกฺขเวฯ อหมฺปิ โข ตํ, ภิกฺขเว, ปริคฺคหํ น สมนุปสฺสามิ ยฺวาสฺส ปริคฺคโห นิจฺโจ ธุโว สสฺสโต อวิปริณามธมฺโม สสฺสติสมํ ตเถว ติฏฺเฐยฺยฯ
“Good, bhikkhus! I also can’t see any such possession.
ตํ, ภิกฺขเว, อตฺตวาทุปาทานํ อุปาทิเยถ, ยํส อตฺตวาทุปาทานํ อุปาทิยโต น อุปฺปชฺเชยฺยุํ โสกปริเทวทุกฺขโทมนสฺสุปายาสาฯ ปสฺสถ โน ตุเมฺห, ภิกฺขเว, ตํ อตฺตวาทุปาทานํ ยํส อตฺตวาทุปาทานํ อุปาทิยโต น อุปฺปชฺเชยฺยุํ โสกปริเทวทุกฺขโทมนสฺสุปายาสา”ติ?
It would make sense to grasp at a doctrine of self that didn’t give rise to sorrow, lamentation, pain, sadness, and distress. But do you see any such doctrine of self?”
“โน เหตํ, ภนฺเต”ฯ
“No, sir.”
“สาธุ, ภิกฺขเวฯ อหมฺปิ โข ตํ, ภิกฺขเว, อตฺตวาทุปาทานํ น สมนุปสฺสามิ ยํส อตฺตวาทุปาทานํ อุปาทิยโต น อุปฺปชฺเชยฺยุํ โสกปริเทวทุกฺขโทมนสฺสุปายาสาฯ
“Good, bhikkhus! I also can’t see any such doctrine of self.
ตํ, ภิกฺขเว, ทิฏฺฐินิสฺสยํ นิสฺสเยถ ยํส ทิฏฺฐินิสฺสยํ นิสฺสยโต น อุปฺปชฺเชยฺยุํ โสกปริเทวทุกฺขโทมนสฺสุปายาสาฯ ปสฺสถ โน ตุเมฺห, ภิกฺขเว, ตํ ทิฏฺฐินิสฺสยํ ยํส ทิฏฺฐินิสฺสยํ นิสฺสยโต น อุปฺปชฺเชยฺยุํ โสกปริเทวทุกฺขโทมนสฺสุปายาสา”ติ?
It would make sense to rely on a view that didn’t give rise to sorrow, lamentation, pain, sadness, and distress. But do you see any such view to rely on?”
“โน เหตํ, ภนฺเต”ฯ
“No, sir.”
“สาธุ, ภิกฺขเวฯ อหมฺปิ โข ตํ, ภิกฺขเว, ทิฏฺฐินิสฺสยํ น สมนุปสฺสามิ ยํส ทิฏฺฐินิสฺสยํ นิสฺสยโต น อุปฺปชฺเชยฺยุํ โสกปริเทวทุกฺขโทมนสฺสุปายาสาฯ
“Good, bhikkhus! I also can’t see any such view to rely on.
อตฺตนิ วา, ภิกฺขเว, สติ ‘อตฺตนิยํ เม'ติ อสฺสา”ติ?
Bhikkhus, were a self to exist, would there be the thought, ‘Belonging to my self’?”
“เอวํ, ภนฺเต”ฯ
“Yes, sir.”
“อตฺตนิเย วา, ภิกฺขเว, สติ ‘อตฺตา เม'ติ อสฺสา”ติ?
“Were what belongs to a self to exist, would there be the thought, ‘My self’?”
“เอวํ, ภนฺเต”ฯ
“Yes, sir.”
“อตฺตนิ จ, ภิกฺขเว, อตฺตนิเย จ สจฺจโต เถตโต อนุปลพฺภมาเน, ยมฺปิ ตํ ทิฏฺฐิฏฺฐานํ: ‘โส โลโก โส อตฺตา, โส เปจฺจ ภวิสฺสามิ นิจฺโจ ธุโว สสฺสโต อวิปริณามธมฺโม, สสฺสติสมํ ตเถว ฐสฺสามี'ติ—นนายํ, ภิกฺขเว, เกวโล ปริปูโร พาลธมฺโม”ติ?
“But self and what belongs to a self are not acknowledged as a genuine fact. This being so, is not the following a totally foolish teaching: ‘The self and the cosmos are one and the same. After death I will be permanent, everlasting, eternal, imperishable, and will last forever and ever’?”
“กิญฺหิ โน สิยา, ภนฺเต, เกวโล หิ, ภนฺเต, ปริปูโร พาลธมฺโม”ติฯ
“What else could it be, sir? It’s a totally foolish teaching.”
“ตํ กึ มญฺญถ, ภิกฺขเว, รูปํ นิจฺจํ วา อนิจฺจํ วา”ติ?
“What do you think, bhikkhus? Is form permanent or impermanent?”
“อนิจฺจํ, ภนฺเต”ฯ
“Impermanent, sir.”
“ยํ ปนานิจฺจํ ทุกฺขํ วา ตํ สุขํ วา”ติ?
“But if it’s impermanent, is it suffering or happiness?”
“ทุกฺขํ, ภนฺเต”ฯ
“Suffering, sir.”
“ยํ ปนานิจฺจํ ทุกฺขํ วิปริณามธมฺมํ, กลฺลํ นุ ตํ สมนุปสฺสิตุํ—เอตํ มม, เอโสหมสฺมิ, เอโส เม อตฺตา”ติ?
“But if it’s impermanent, suffering, and perishable, is it fit to be regarded thus: ‘This is mine, I am this, this is my self’?”
“โน เหตํ, ภนฺเต”ฯ
“No, sir.”
“ตํ กึ มญฺญถ, ภิกฺขเว, เวทนา …เป… สญฺญา … สงฺขารา … วิญฺญาณํ นิจฺจํ วา อนิจฺจํ วา”ติ?
“What do you think, bhikkhus? Is feeling … perception … choices … consciousness permanent or impermanent?”
“อนิจฺจํ, ภนฺเต”ฯ
“Impermanent, sir.”
“ยํ ปนานิจฺจํ ทุกฺขํ วา ตํ สุขํ วา”ติ?
“But if it’s impermanent, is it suffering or happiness?”
“ทุกฺขํ, ภนฺเต”ฯ
“Suffering, sir.”
“ยํ ปนานิจฺจํ ทุกฺขํ วิปริณามธมฺมํ, กลฺลํ นุ ตํ สมนุปสฺสิตุํ—เอตํ มม, เอโสหมสฺมิ, เอโส เม อตฺตา”ติ?
“But if it’s impermanent, suffering, and perishable, is it fit to be regarded thus: ‘This is mine, I am this, this is my self’?”
“โน เหตํ, ภนฺเต”ฯ
“No, sir.”
“ตสฺมาติห, ภิกฺขเว, ยํ กิญฺจิ รูปํ อตีตานาคตปจฺจุปฺปนฺนํ, อชฺฌตฺตํ วา พหิทฺธา วา, โอฬาริกํ วา สุขุมํ วา, หีนํ วา ปณีตํ วา, ยํ ทูเร สนฺติเก วา, สพฺพํ รูปํ ‘เนตํ มม, เนโสหมสฺมิ, น เมโส อตฺตา'ติ—เอวเมตํ ยถาภูตํ สมฺมปฺปญฺญาย ทฏฺฐพฺพํฯ ยา กาจิ เวทนา …เป… ยา กาจิ สญฺญา … เย เกจิ สงฺขารา … ยํ กิญฺจิ วิญฺญาณํ อตีตานาคตปจฺจุปฺปนฺนํ, อชฺฌตฺตํ วา พหิทฺธา วา, โอฬาริกํ วา สุขุมํ วา, หีนํ วา ปณีตํ วา, ยํ ทูเร สนฺติเก วา, สพฺพํ วิญฺญาณํ ‘เนตํ มม, เนโสหมสฺมิ, น เมโส อตฺตา'ติ—เอวเมตํ ยถาภูตํ สมฺมปฺปญฺญาย ทฏฺฐพฺพํฯ
“So, bhikkhus, you should truly see any kind of form at all—past, future, or present; internal or external; coarse or fine; inferior or superior; far or near: all form—with right understanding: ‘This is not mine, I am not this, this is not my self.’ You should truly see any kind of feeling … perception … choices … consciousness at all—past, future, or present; internal or external; coarse or fine; inferior or superior; far or near: all consciousness—with right understanding: ‘This is not mine, I am not this, this is not my self.’
เอวํ ปสฺสํ, ภิกฺขเว, สุตวา อริยสาวโก รูปสฺมึ นิพฺพินฺทติ, เวทนาย นิพฺพินฺทติ, สญฺญาย นิพฺพินฺทติ, สงฺขาเรสุ นิพฺพินฺทติ, วิญฺญาณสฺมึ นิพฺพินฺทติ, นิพฺพิทา วิรชฺชติ, วิราคา วิมุจฺจติ, วิมุตฺตสฺมึ วิมุตฺตมิติ ญาณํ โหติฯ
Seeing this, a learned noble disciple grows disillusioned with form, feeling, perception, choices, and consciousness. Being disillusioned, desire fades away. When desire fades away they’re freed. When they’re freed, they know they’re freed.
‘ขีณา ชาติ, วุสิตํ พฺรหฺมจริยํ, กตํ กรณียํ, นาปรํ อิตฺถตฺตายา'ติ ปชานาติฯ
They understand: ‘Rebirth is ended, the spiritual journey has been completed, what had to be done has been done, there is no return to any state of existence.’
อยํ วุจฺจติ, ภิกฺขเว, ภิกฺขุ อุกฺขิตฺตปลิโฆ อิติปิ, สงฺกิณฺณปริกฺโข อิติปิ, อพฺพูเฬฺหสิโก อิติปิ, นิรคฺคโฬ อิติปิ, อริโย ปนฺนทฺธโช ปนฺนภาโร วิสํยุตฺโต อิติปิฯ
This is called a bhikkhu who has lifted up the cross-bar, filled in the trench, and pulled up the pillar; who is unbarred, a noble one with banner and burden put down, detached.
กถญฺจ, ภิกฺขเว, ภิกฺขุ อุกฺขิตฺตปลิโฆ โหติ? อิธ, ภิกฺขเว, ภิกฺขุโน อวิชฺชา ปหีนา โหติ, อุจฺฉินฺนมูลา ตาลาวตฺถุกตา อนภาวงฺกตา, อายตึ อนุปฺปาทธมฺมาฯ เอวํ โข, ภิกฺขเว, ภิกฺขุ อุกฺขิตฺตปลิโฆ โหติฯ
And how has a bhikkhu lifted the cross-bar? It’s when a bhikkhu has given up ignorance, cut it off at the root, made it like a palm stump, obliterated it, so it’s unable to arise in the future. That’s how a bhikkhu has lifted the cross-bar.
กถญฺจ, ภิกฺขเว, ภิกฺขุ สงฺกิณฺณปริกฺโข โหติ? อิธ, ภิกฺขเว, ภิกฺขุโน โปโนพฺภวิโก ชาติสํสาโร ปหีโน โหติ, อุจฺฉินฺนมูโล ตาลาวตฺถุกโต อนภาวงฺกโต, อายตึ อนุปฺปาทธมฺโมฯ เอวํ โข, ภิกฺขเว, ภิกฺขุ สงฺกิณฺณปริกฺโข โหติฯ
And how has a bhikkhu filled in the trench? It’s when a bhikkhu has given up transmigrating through births in future lives, cut it off at the root, made it like a palm stump, obliterated it, so it’s unable to arise in the future. That’s how a bhikkhu has filled in the trench.
กถญฺจ, ภิกฺขเว, ภิกฺขุ อพฺพูเฬฺหสิโก โหติ? อิธ, ภิกฺขเว, ภิกฺขุโน ตณฺหา ปหีนา โหติ, อุจฺฉินฺนมูลา ตาลาวตฺถุกตา อนภาวงฺกตา, อายตึ อนุปฺปาทธมฺมาฯ เอวํ โข, ภิกฺขเว, ภิกฺขุ อพฺพูเฬฺหสิโก โหติฯ
And how has a bhikkhu pulled up the pillar? It’s when a bhikkhu has given up craving, cut it off at the root, made it like a palm stump, obliterated it, so it’s unable to arise in the future. That’s how a bhikkhu has pulled up the pillar.
กถญฺจ, ภิกฺขเว, ภิกฺขุ นิรคฺคโฬ โหติ? อิธ, ภิกฺขเว, ภิกฺขุโน ปญฺจ โอรมฺภาคิยานิ สํโยชนานิ ปหีนานิ โหนฺติ, อุจฺฉินฺนมูลานิ ตาลาวตฺถุกตานิ อนภาวงฺกตานิ, อายตึ อนุปฺปาทธมฺมานิฯ เอวํ โข, ภิกฺขเว, ภิกฺขุ นิรคฺคโฬ โหติฯ
And how is a bhikkhu unbarred? It’s when a bhikkhu has given up the five lower fetters, cut them off at the root, made them like a palm stump, obliterated them, so they’re unable to arise in the future. That’s how a bhikkhu is unbarred.
กถญฺจ, ภิกฺขเว, ภิกฺขุ อริโย ปนฺนทฺธโช ปนฺนภาโร วิสํยุตฺโต โหติ? อิธ, ภิกฺขเว, ภิกฺขุโน อสฺมิมาโน ปหีโน โหติ, อุจฺฉินฺนมูโล ตาลาวตฺถุกโต อนภาวงฺกโต, อายตึ อนุปฺปาทธมฺโมฯ เอวํ โข, ภิกฺขเว, ภิกฺขุ อริโย ปนฺนทฺธโช ปนฺนภาโร วิสํยุตฺโต โหติฯ
And how is a bhikkhu a noble one with banner and burden put down, detached? It’s when a bhikkhu has given up the conceit ‘I am’, cut it off at the root, made it like a palm stump, obliterated it, so it’s unable to arise in the future. That’s how a bhikkhu is a noble one with banner and burden put down, detached.
เอวํ วิมุตฺตจิตฺตํ โข, ภิกฺขเว, ภิกฺขุํ ไสนฺทา เทวา สพฺรหฺมกา สปชาปติกา อเนฺวสํ นาธิคจฺฉนฺติ: ‘อิทํ นิสฺสิตํ ตถาคตสฺส วิญฺญาณนฺ'ติฯ ตํ กิสฺส เหตุ? ทิฏฺเฐวาหํ, ภิกฺขเว, ธมฺเม ตถาคตํ อนนุวิชฺโชติ วทามิฯ
When a bhikkhu’s mind was freed like this, the gods together with Indra, Brahmā, and the Progenitor, search as they may, will not discover: ‘This is what the Realized One’s consciousness depends on.’ Why is that? Because even in the present life the Realized One is not found, I say.
เอวํวาทึ โข มํ, ภิกฺขเว, เอวมกฺขายึ เอเก สมณพฺราหฺมณา อสตา ตุจฺฉา มุสา อภูเตน อพฺภาจิกฺขนฺติ: ‘เวนยิโก สมโณ โคตโม, สโต สตฺตสฺส อุจฺเฉทํ วินาสํ วิภวํ ปญฺญาเปตี'ติฯ ยถา จาหํ น, ภิกฺขเว, ยถา จาหํ น วทามิ, ตถา มํ เต โภนฺโต สมณพฺราหฺมณา อสตา ตุจฺฉา มุสา อภูเตน อพฺภาจิกฺขนฺติ: ‘เวนยิโก สมโณ โคตโม, สโต สตฺตสฺส อุจฺเฉทํ วินาสํ วิภวํ ปญฺญาเปตี'ติฯ ปุพฺเพ จาหํ, ภิกฺขเว, เอตรหิ จ ทุกฺขญฺเจว ปญฺญาเปมิ, ทุกฺขสฺส จ นิโรธํฯ ตตฺร เจ, ภิกฺขเว, ปเร ตถาคตํ อกฺโกสนฺติ ปริภาสนฺติ โรเสนฺติ วิเหเสนฺติ, ตตฺร, ภิกฺขเว, ตถาคตสฺส น โหติ อาฆาโต น อปฺปจฺจโย น เจตโส อนภิรทฺธิฯ
Though I speak and explain like this, certain ascetics and brahmins misrepresent me with the false, hollow, lying, untruthful claim: ‘The ascetic Gotama is an exterminator. He advocates the annihilation, eradication, and obliteration of an existing being.’ I have been falsely misrepresented as being what I am not, and saying what I do not say. In the past, as today, what I describe is suffering and the cessation of suffering. This being so, if others abuse, attack, harass, and trouble the Realized One, he doesn’t get resentful, bitter, and emotionally exasperated.
ตตฺร เจ, ภิกฺขเว, ปเร ตถาคตํ สกฺกโรนฺติ ครุํ กโรนฺติ มาเนนฺติ ปูเชนฺติ, ตตฺร, ภิกฺขเว, ตถาคตสฺส น โหติ อานนฺโท น โสมนสฺสํ น เจตโส อุปฺปิลาวิตตฺตํฯ ตตฺร เจ, ภิกฺขเว, ปเร วา ตถาคตํ สกฺกโรนฺติ ครุํ กโรนฺติ มาเนนฺติ ปูเชนฺติ, ตตฺร, ภิกฺขเว, ตถาคตสฺส เอวํ โหติ: ‘ยํ โข อิทํ ปุพฺเพ ปริญฺญาตํ ตตฺถ เม เอวรูปา การา กรียนฺตี'ติฯ
Or if others honor, respect, revere, or venerate him, he doesn’t get thrilled, elated, and emotionally excited. He just thinks, ‘They do such things for what has already been completely understood.’
ตสฺมาติห, ภิกฺขเว, ตุเมฺห เจปิ ปเร อกฺโกเสยฺยุํ ปริภาเสยฺยุํ โรเสยฺยุํ วิเหเสยฺยุํ, ตตฺร ตุเมฺห หิ น อาฆาโต น อปฺปจฺจโย น เจตโส อนภิรทฺธิ กรณียาฯ ตสฺมาติห, ภิกฺขเว, ตุเมฺห เจปิ ปเร สกฺกเรยฺยุํ ครุํ กเรยฺยุํ มาเนยฺยุํ ปูเชยฺยุํ, ตตฺร ตุเมฺหหิ น อานนฺโท น โสมนสฺสํ น เจตโส อุปฺปิลาวิตตฺตํ กรณียํฯ ตสฺมาติห, ภิกฺขเว, ตุเมฺห เจปิ ปเร สกฺกเรยฺยุํ ครุํ กเรยฺยุํ มาเนยฺยุํ ปูเชยฺยุํ, ตตฺร ตุมฺหากํ เอวมสฺส: ‘ยํ โข อิทํ ปุพฺเพ ปริญฺญาตํ, ตตฺถ เม เอวรูปา การา กรียนฺตี'ติฯ
So, bhikkhus, if others abuse, attack, harass, and trouble you, don’t make yourselves resentful, bitter, and emotionally exasperated. Or if others honor, respect, revere, or venerate you, don’t make yourselves thrilled, elated, and emotionally excited. Just think, ‘They do such things for what has already been completely understood.’
ตสฺมาติห, ภิกฺขเว, ยํ น ตุมฺหากํ ตํ ปชหถ; ตํ โว ปหีนํ ทีฆรตฺตํ หิตาย สุขาย ภวิสฺสติฯ
So, bhikkhus, give up what isn't yours. Giving it up will be for your lasting welfare and happiness.
กิญฺจ, ภิกฺขเว, น ตุมฺหากํ? รูปํ, ภิกฺขเว, น ตุมฺหากํ, ตํ ปชหถ; ตํ โว ปหีนํ ทีฆรตฺตํ หิตาย สุขาย ภวิสฺสติฯ
And what isn’t yours? Form isn’t yours: give it up. Giving it up will be for your lasting welfare and happiness.
เวทนา, ภิกฺขเว, น ตุมฺหากํ, ตํ ปชหถ; สา โว ปหีนา ทีฆรตฺตํ หิตาย สุขาย ภวิสฺสติฯ สญฺญา, ภิกฺขเว, น ตุมฺหากํ, ตํ ปชหถ; สา โว ปหีนา ทีฆรตฺตํ หิตาย สุขาย ภวิสฺสติฯ สงฺขารา, ภิกฺขเว, น ตุมฺหากํ, เต ปชหถ; เต โว ปหีนา ทีฆรตฺตํ หิตาย สุขาย ภวิสฺสนฺติฯ วิญฺญาณํ, ภิกฺขเว, น ตุมฺหากํ, ตํ ปชหถ; ตํ โว ปหีนํ ทีฆรตฺตํ หิตาย สุขาย ภวิสฺสติฯ
Feeling … perception … choices … consciousness isn’t yours: give it up. Giving it up will be for your lasting welfare and happiness.
ตํ กึ มญฺญถ, ภิกฺขเว, ยํ อิมสฺมึ เชตวเน ติณกฏฺฐสาขาปลาสํ, ตํ ชโน หเรยฺย วา ทเหยฺย วา ยถาปจฺจยํ วา กเรยฺยฯ อปิ นุ ตุมฺหากํ เอวมสฺส: ‘อเมฺห ชโน หรติ วา ทหติ วา ยถาปจฺจยํ วา กโรตี'”ติ?
What do you think, bhikkhus? Suppose a person was to carry off the grass, sticks, branches, and leaves in this Jeta’s Grove, or burn them, or do what they want with them. Would you think, ‘This person is carrying us off, burning us, or doing what they want with us’?”
“โน เหตํ, ภนฺเต”ฯ “ตํ กิสฺส เหตุ”? “น หิ โน เอตํ, ภนฺเต, อตฺตา วา อตฺตนิยํ วา”ติฯ
“No, sir. Why is that? Because that’s neither self nor belonging to self.”
“เอวเมว โข, ภิกฺขเว, ยํ น ตุมฺหากํ ตํ ปชหถ; ตํ โว ปหีนํ ทีฆรตฺตํ หิตาย สุขาย ภวิสฺสติฯ กิญฺจ, ภิกฺขเว, น ตุมฺหากํ? รูปํ, ภิกฺขเว, น ตุมฺหากํ, ตํ ปชหถ; ตํ โว ปหีนํ ทีฆรตฺตํ หิตาย สุขาย ภวิสฺสติฯ เวทนา, ภิกฺขเว …เป… สญฺญา, ภิกฺขเว … สงฺขารา, ภิกฺขเว …เป… วิญฺญาณํ, ภิกฺขเว, น ตุมฺหากํ, ตํ ปชหถ; ตํ โว ปหีนํ ทีฆรตฺตํ หิตาย สุขาย ภวิสฺสติฯ
“In the same way, bhikkhus, give up what isn't yours. Giving it up will be for your lasting welfare and happiness. And what isn’t yours? Form … feeling … perception … choices … consciousness isn’t yours: give it up. Giving it up will be for your lasting welfare and happiness.
เอวํ สฺวากฺขาโต, ภิกฺขเว, มยา ธมฺโม อุตฺตาโน วิวโฏ ปกาสิโต ฉินฺนปิโลติโกฯ เอวํ สฺวากฺขาเต, ภิกฺขเว, มยา ธมฺเม อุตฺตาเน วิวเฏ ปกาสิเต ฉินฺนปิโลติเก เย เต ภิกฺขู อรหนฺโต ขีณาสวา วุสิตวนฺโต กตกรณียา โอหิตภารา อนุปฺปตฺตสทตฺถา ปริกฺขีณภวสํโยชนา สมฺมทญฺญาวิมุตฺตา, วฏฺฏํ เตสํ นตฺถิ ปญฺญาปนายฯ
Thus the teaching has been well explained by me, made clear, opened, illuminated, and stripped of patchwork. In this teaching there are bhikkhus who are perfected, who have ended the defilements, completed the spiritual journey, done what had to be done, laid down the burden, achieved their own goal, utterly ended the fetters of rebirth, and are rightly freed through enlightenment. For them, there is no cycle of rebirths to be found. …
เอวํ สฺวากฺขาโต, ภิกฺขเว, มยา ธมฺโม อุตฺตาโน วิวโฏ ปกาสิโต ฉินฺนปิโลติโกฯ เอวํ สฺวากฺขาเต, ภิกฺขเว, มยา ธมฺเม อุตฺตาเน วิวเฏ ปกาสิเต ฉินฺนปิโลติเก เยสํ ภิกฺขูนํ ปญฺโจรมฺภาคิยานิ สํโยชนานิ ปหีนานิ, สพฺเพ เต โอปปาติกา, ตตฺถ ปรินิพฺพายิโน, อนาวตฺติธมฺมา ตสฺมา โลกาฯ
In this teaching there are bhikkhus who have given up the five lower fetters. All of them are reborn spontaneously. They are extinguished there, and are not liable to return from that world. …
เอวํ สฺวากฺขาโต, ภิกฺขเว, มยา ธมฺโม อุตฺตาโน วิวโฏ ปกาสิโต ฉินฺนปิโลติโกฯ เอวํ สฺวากฺขาเต, ภิกฺขเว, มยา ธมฺเม อุตฺตาเน วิวเฏ ปกาสิเต ฉินฺนปิโลติเก เยสํ ภิกฺขูนํ ตีณิ สํโยชนานิ ปหีนานิ, ราคโทสโมหา ตนุภูตา, สพฺเพ เต สกทาคามิโน, สกิเทว อิมํ โลกํ อาคนฺตฺวา ทุกฺขสฺสนฺตํ กริสฺสนฺติฯ
In this teaching there are bhikkhus who, having given up three fetters, and weakened greed, hate, and delusion, are once-returners. All of them come back to this world once only, then make an end of suffering. …
เอวํ สฺวากฺขาโต, ภิกฺขเว, มยา ธมฺโม อุตฺตาโน วิวโฏ ปกาสิโต ฉินฺนปิโลติโกฯ เอวํ สฺวากฺขาเต, ภิกฺขเว, มยา ธมฺเม อุตฺตาเน วิวเฏ ปกาสิเต ฉินฺนปิโลติเก เยสํ ภิกฺขูนํ ตีณิ สํโยชนานิ ปหีนานิ, สพฺเพ เต โสตาปนฺนา, อวินิปาตธมฺมา, นิยตา สมฺโพธิปรายนาฯ
In this teaching there are bhikkhus who have ended three fetters. All of them are stream-enterers, not liable to be reborn in the underworld, bound for awakening. …
เอวํ สฺวากฺขาโต, ภิกฺขเว, มยา ธมฺโม อุตฺตาโน วิวโฏ ปกาสิโต ฉินฺนปิโลติโกฯ เอวํ สฺวากฺขาเต, ภิกฺขเว, มยา ธมฺเม อุตฺตาเน วิวเฏ ปกาสิเต ฉินฺนปิโลติเก เย เต ภิกฺขู ธมฺมานุสาริโน สทฺธานุสาริโน สพฺเพ เต สมฺโพธิปรายนาฯ
In this teaching there are bhikkhus who are followers of principles, or followers by faith. All of them are bound for awakening.
เอวํ สฺวากฺขาโต, ภิกฺขเว, มยา ธมฺโม อุตฺตาโน วิวโฏ ปกาสิโต ฉินฺนปิโลติโกฯ เอวํ สฺวากฺขาเต, ภิกฺขเว, มยา ธมฺเม อุตฺตาเน วิวเฏ ปกาสิเต ฉินฺนปิโลติเก เยสํ มยิ สทฺธามตฺตํ เปมมตฺตํ สพฺเพ เต สคฺคปรายนา”ติฯ
Thus the teaching has been well explained by me, made clear, opened, illuminated, and stripped of patchwork. In this teaching there are those who have a degree of faith and love for me. All of them are bound for heaven.”
อิทมโวจ ภควาฯ อตฺตมนา เต ภิกฺขู ภควโต ภาสิตํ อภินนฺทุนฺติฯ
That is what the Buddha said. Satisfied, the bhikkhus approved what the Buddha said.
อลคทฺทูปมสุตฺตํ นิฏฺฐิตํ ทุติยํฯ
The authoritative text of the Majjhima Nikāya is the Pāli text. The English translation is provided as an aid to the study of the original Pāli text. [CREDITS »]