Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / มชฺฌิมนิกาย (ฎีกา) • Majjhimanikāya (ṭīkā)

    ๒. อลคทฺทูปมสุตฺตวณฺณนา

    2. Alagaddūpamasuttavaṇṇanā

    ๒๓๔. พาธยิํสูติ (สารตฺถ. ฎี. ปาจิตฺติย ๓.๔๑๗) หนิํสุฯ ตํตํสมฺปตฺติยา วิพนฺธนวเสน สตฺตสนฺตานสฺส อนฺตเร เวมเชฺฌ เอติ อาคจฺฉตีติ อนฺตราโย, ทิฎฺฐธมฺมิกาทิอนโตฺถ, อนติกฺกมนเฎฺฐน ตสฺมิํ อนฺตราเย นิยุตฺตา, อนฺตรายํ วา ผลํ อรหนฺติ, อนฺตรายสฺส วา กรณสีลาติ อนฺตรายิกาฯ เตนาห ‘‘อนฺตรายํ กโรนฺตีติ อนฺตรายิกา’’ติฯ อานนฺตริยธมฺมาติ อานนฺตริยสภาวเจตนาธมฺมาฯ ตตฺรายํ วจนโตฺถ – จุติอนนฺตรผลํ อนนฺตรํ นาม, ตสฺมิํ อนนฺตเร นิยุตฺตา, ตนฺนิพฺพตฺตเนน อนนฺตรกรณสีลา, อนนฺตรปโยชนาติ วา อานนฺตริกา, เต เอว อานนฺตริยาติ วุตฺตาฯ กมฺมานิ เอว อนฺตรายิกาติ กมฺมนฺตรายิกาฯ โมกฺขเสฺสว อนฺตรายํ กโรติ, น สคฺคสฺส มิจฺฉาจารลกฺขณาภาวโตฯ น หิ ภิกฺขุนิยา ธมฺมรกฺขิตภาโว อตฺถิฯ ปากติกภิกฺขุนีวเสน เจตํ วุตฺตํ, อริยาย ปน ปวตฺตํ อปายสํวตฺตนิยเมวฯ นนฺทมาณวโก เจตฺถ นิทสฺสนํฯ อุภินฺนํ สมานจฺฉนฺทตาวเสน วา อสคฺคนฺตรายิกตา, โมกฺขนฺตรายิกตา ปน โมกฺขตฺถปฎิปตฺติยา วิทูสนโต, อภิภวิตฺวา ปน ปวตฺติยํ สคฺคนฺตรายิกตาปิ น สกฺกา นิวาเรตุนฺติฯ อเหตุกทิฎฺฐิอกิริยทิฎฺฐินตฺถิกทิฎฺฐิโยว นิยตภาวํ ปตฺตา นิยตมิจฺฉาทิฎฺฐิธมฺมาฯ ปฎิสนฺธิธมฺมาติ ปฎิสนฺธิจิตฺตุปฺปาทมาหฯ ปณฺฑกาทิคฺคหณเญฺจตฺถ นิทสฺสนมตฺตํ สพฺพายปิ อเหตุกปฎิสนฺธิยา วิปากนฺตรายิกภาวโตฯ ยา หิ อริเย อุปวทติ, สา เจตนา อริยูปวาทธมฺมาฯ ตโต ปรนฺติ ขมาปนโต อุปริฯ ยํ ปเนตฺถ วตฺตพฺพํ, ตํ มหาสีหนาทสฺส ลีนตฺถปกาสเน วุตฺตเมวฯ ยาว ภิกฺขุภาวํ ปฎิชานาติ ปาราชิกํ อาปโนฺนฯ น วุฎฺฐาติ เสสํ ครุกาปตฺติํฯ น เทเสติ ลหุกาปตฺติํฯ

    234.Bādhayiṃsūti (sārattha. ṭī. pācittiya 3.417) haniṃsu. Taṃtaṃsampattiyā vibandhanavasena sattasantānassa antare vemajjhe eti āgacchatīti antarāyo, diṭṭhadhammikādianattho, anatikkamanaṭṭhena tasmiṃ antarāye niyuttā, antarāyaṃ vā phalaṃ arahanti, antarāyassa vā karaṇasīlāti antarāyikā. Tenāha ‘‘antarāyaṃ karontīti antarāyikā’’ti. Ānantariyadhammāti ānantariyasabhāvacetanādhammā. Tatrāyaṃ vacanattho – cutianantaraphalaṃ anantaraṃ nāma, tasmiṃ anantare niyuttā, tannibbattanena anantarakaraṇasīlā, anantarapayojanāti vā ānantarikā, te eva ānantariyāti vuttā. Kammāni eva antarāyikāti kammantarāyikā. Mokkhasseva antarāyaṃ karoti, na saggassa micchācāralakkhaṇābhāvato. Na hi bhikkhuniyā dhammarakkhitabhāvo atthi. Pākatikabhikkhunīvasena cetaṃ vuttaṃ, ariyāya pana pavattaṃ apāyasaṃvattaniyameva. Nandamāṇavako cettha nidassanaṃ. Ubhinnaṃ samānacchandatāvasena vā asaggantarāyikatā, mokkhantarāyikatā pana mokkhatthapaṭipattiyā vidūsanato, abhibhavitvā pana pavattiyaṃ saggantarāyikatāpi na sakkā nivāretunti. Ahetukadiṭṭhiakiriyadiṭṭhinatthikadiṭṭhiyova niyatabhāvaṃ pattā niyatamicchādiṭṭhidhammā. Paṭisandhidhammāti paṭisandhicittuppādamāha. Paṇḍakādiggahaṇañcettha nidassanamattaṃ sabbāyapi ahetukapaṭisandhiyā vipākantarāyikabhāvato. Yā hi ariye upavadati, sā cetanā ariyūpavādadhammā. Tato paranti khamāpanato upari. Yaṃ panettha vattabbaṃ, taṃ mahāsīhanādassa līnatthapakāsane vuttameva. Yāva bhikkhubhāvaṃ paṭijānāti pārājikaṃ āpanno. Na vuṭṭhāti sesaṃ garukāpattiṃ. Na deseti lahukāpattiṃ.

    อยํ ภิกฺขุ อริโฎฺฐฯ รเสน รสํ สํสนฺทิตฺวาติ อนวเชฺชน ปจฺจยปริภุญฺชนรเสน สาวชฺชํ กามคุณปริโภครสํ สมาเนตฺวาฯ อุปเนโนฺต วิยาติ พนฺธนํ อุปเนโนฺต วิยฯ ‘‘ฆเฎโนฺต วิยา’’ติปิ ปาโฐฯ อุปสํหรโนฺต วิยาติ สทิสตํ อุปสํหรโนฺต วิย เอกนฺตสาวเชฺช อนวชฺชภาวปเกฺขเปนฯ ปาปกนฺติ ลามกเฎฺฐน ทุคฺคติสมฺปาปนเฎฺฐน จ ปาปกํฯ เสตุกรณวเสน มหาสมุทฺทํ พนฺธเนฺตน วิยฯ สพฺพญฺญุตญฺญาเณน ‘‘สาวชฺช’’นฺติ ทิฎฺฐํ ‘‘อนวชฺช’’นฺติ คหเณน เตน ปฎิวิรุชฺฌโนฺตฯ เอกนฺตโต อนนฺตรายิกนฺติ คหเณน เวสารชฺชญาณํ ปฎิพาหโนฺตฯ กามกณฺฎเกหิ อริยมคฺคสมฺมาปฎิปตฺติ น อุปกฺกิลิสฺสตีติ วทโนฺต ‘‘อริยมเคฺค ขาณุกณฺฎกาทีนิ ปกฺขิปโนฺต’’ติ วุโตฺตฯ ปฐมปาราชิกสิกฺขาปทสงฺขาเต, ‘‘อพฺรหฺมจริยํ ปหายา’’ติ (ที. นิ. ๑.๘, ๑๙๔) อาทิเทสนาสงฺขาเต จ อาณาจเกฺก

    Ayaṃ bhikkhu ariṭṭho. Rasena rasaṃ saṃsanditvāti anavajjena paccayaparibhuñjanarasena sāvajjaṃ kāmaguṇaparibhogarasaṃ samānetvā. Upanento viyāti bandhanaṃ upanento viya. ‘‘Ghaṭento viyā’’tipi pāṭho. Upasaṃharanto viyāti sadisataṃ upasaṃharanto viya ekantasāvajje anavajjabhāvapakkhepena. Pāpakanti lāmakaṭṭhena duggatisampāpanaṭṭhena ca pāpakaṃ. Setukaraṇavasena mahāsamuddaṃ bandhantena viya. Sabbaññutaññāṇena ‘‘sāvajja’’nti diṭṭhaṃ ‘‘anavajja’’nti gahaṇena tena paṭivirujjhanto. Ekantato anantarāyikanti gahaṇena vesārajjañāṇaṃ paṭibāhanto. Kāmakaṇṭakehi ariyamaggasammāpaṭipatti na upakkilissatīti vadanto ‘‘ariyamagge khāṇukaṇṭakādīnipakkhipanto’’ti vutto. Paṭhamapārājikasikkhāpadasaṅkhāte, ‘‘abrahmacariyaṃ pahāyā’’ti (dī. ni. 1.8, 194) ādidesanāsaṅkhāte ca āṇācakke.

    ปุจฺฉมานา สมนุยุญฺชนฺติ นามฯ ปุจฺฉา หิ อนุโยโคติฯ เตนาธิคตาย ลทฺธิยา อนุวชฺชนตฺถํ ปจฺจนุภาสเนน ปุน ปฎิชานาปนํ ปติฎฺฐาปนํ, ตํ ปนสฺส อาทาย สมาทาปนํ วิย โหตีติ อาห ‘‘สมนุคาหนฺติ นามา’’ติฯ ตสฺสา ปน ลทฺธิยา อนุยุญฺชิตาย วุจฺจมานมฺปิ การณํ การณปติรูปกเมวาติ ตสฺส ปุจฺฉนํ สมนุภาสนํฯ อนุทหนเฎฺฐน อนุปายปฎิปตฺติยา สมฺปติ อายติญฺจ อนุทหนเฎฺฐนฯ มหาภิตาปนเฎฺฐน อนวฎฺฐิตสภาวตายฯ อิตฺตรปจฺจุปฎฺฐานเฎฺฐน มุหุตฺตรมณียตายฯ ตาวกาลิกเฎฺฐน ปเรหิ อภิภวนียตายฯ สพฺพงฺคปจฺจงฺคปลิภญฺชนเฎฺฐน เฉทนเภทนาทิอธิกรณภาเวนฯ อุคฺฆาฎสทิสตาย อธิกุฎฺฎนเฎฺฐนฯ อวเณ วณํ อุปฺปาเทตฺวา อโนฺต อนุปวิสนสภาวตาย วินิวิชฺฌนเฎฺฐนฯ ทิฎฺฐธมฺมิกสมฺปรายิกอนตฺถนิมิตฺตตาย สาสงฺกสปฺปฎิภยเฎฺฐนฯ ทิฎฺฐิถาเมนาติ ตสฺสา ทิฎฺฐิยา ถามคตภาเวนฯ ทิฎฺฐิปรามาเสนาติ ทิฎฺฐิสงฺขาตปรามสเนนฯ ทิฎฺฐิเยว หิ ธมฺมสภาวํ อติกฺกมิตฺวา ปรโต อามสเนน ปรามาโสฯ อภินิวิสฺสาติ ตณฺหาภินิเวสปุพฺพงฺคเมน ทิฎฺฐาภินิเวเสน ‘‘อิทเมเวตฺถ ตถ’’นฺติ อภินิวิสิตฺวาฯ ยสฺมา หิ อภินิเวสนํ ตตฺถ อภินิวิฎฺฐํ นาม โหติฯตสฺมา อาห ‘‘อธิฎฺฐหิตฺวา’’ติฯ

    Pucchamānā samanuyuñjanti nāma. Pucchā hi anuyogoti. Tenādhigatāya laddhiyā anuvajjanatthaṃ paccanubhāsanena puna paṭijānāpanaṃ patiṭṭhāpanaṃ, taṃ panassa ādāya samādāpanaṃ viya hotīti āha ‘‘samanugāhanti nāmā’’ti. Tassā pana laddhiyā anuyuñjitāya vuccamānampi kāraṇaṃ kāraṇapatirūpakamevāti tassa pucchanaṃ samanubhāsanaṃ. Anudahanaṭṭhena anupāyapaṭipattiyā sampati āyatiñca anudahanaṭṭhena. Mahābhitāpanaṭṭhena anavaṭṭhitasabhāvatāya. Ittarapaccupaṭṭhānaṭṭhena muhuttaramaṇīyatāya. Tāvakālikaṭṭhena parehi abhibhavanīyatāya. Sabbaṅgapaccaṅgapalibhañjanaṭṭhena chedanabhedanādiadhikaraṇabhāvena. Ugghāṭasadisatāya adhikuṭṭanaṭṭhena. Avaṇe vaṇaṃ uppādetvā anto anupavisanasabhāvatāya vinivijjhanaṭṭhena. Diṭṭhadhammikasamparāyikaanatthanimittatāya sāsaṅkasappaṭibhayaṭṭhena.Diṭṭhithāmenāti tassā diṭṭhiyā thāmagatabhāvena. Diṭṭhiparāmāsenāti diṭṭhisaṅkhātaparāmasanena. Diṭṭhiyeva hi dhammasabhāvaṃ atikkamitvā parato āmasanena parāmāso. Abhinivissāti taṇhābhinivesapubbaṅgamena diṭṭhābhinivesena ‘‘idamevettha tatha’’nti abhinivisitvā. Yasmā hi abhinivesanaṃ tattha abhiniviṭṭhaṃ nāma hoti.Tasmā āha ‘‘adhiṭṭhahitvā’’ti.

    ๒๓๕. นตฺถีติ วตฺตุกาโมปีติ อตฺตโน ลทฺธิํ นิคุเหตุกามตาย อวชานิตุกาโมปิฯ สมฺปฎิจฺฉติ ปฎิชานาติฯ เทฺว กถาติ วิสํวาทนกถํ สนฺธาย วทติฯ อภูตกถา หิ ปุเพฺพ ปวตฺตา ภูตกถาย วเสน เทฺว กถาติ วุจฺจติฯ

    235.Natthīti vattukāmopīti attano laddhiṃ niguhetukāmatāya avajānitukāmopi. Sampaṭicchati paṭijānāti. Dve kathāti visaṃvādanakathaṃ sandhāya vadati. Abhūtakathā hi pubbe pavattā bhūtakathāya vasena dve kathāti vuccati.

    ๒๓๖. กสฺส โข นามาติ อิมินา สตฺถา ‘‘น มม ตุยฺหํ ตาทิสสฺส อตฺถาย ธมฺมเทสนา นาม ภูตปุพฺพา’’ติ ทเสฺสติฯ เตนาห ‘‘ขตฺติยสฺส วา’’ติอาทิฯ

    236.Kassa kho nāmāti iminā satthā ‘‘na mama tuyhaṃ tādisassa atthāya dhammadesanā nāma bhūtapubbā’’ti dasseti. Tenāha ‘‘khattiyassa vā’’tiādi.

    ญาณมยา อุสฺมา เอตสฺส อตฺถีติ อุสฺมี, ตถารูเปหิ ปจฺจเยหิ อนุสฺมีกโต ตสฺมิํ อตฺตภาเว ปฎิเวธคโพฺภอปิ อุสฺมีกโตติ วิกตภาวโต ปญฺญาพีชมสฺส อิมสฺมิํ ธมฺมวินเย อปิ นุ อตฺถีติ ภควา ภิกฺขู ปุจฺฉติฯ เต ปฎิกฺขิปนฺตา วทนฺติ ฐานคเตน ทุจฺจริเตน ญาณุปหตภาวํ สมฺปสฺสนฺตาฯ นิเตฺตชภูโตติ นิเตฺตชํ ภูโต เตโชหานิปฺปโตฺตฯ ตโต เอว ภิกฺขูนมฺปิ สมฺมุขา โอโลเกตุํ อสมตฺถตาย ปตฺตกฺขโนฺธ อโธมุโขฯ สหธมฺมิกํ กิญฺจิ วตฺตุํ อวิสหนโต อปฺปฎิภาโนฯ สมฺปตฺตูปคนฺติ สมฺปตฺติอาวหํฯ ปฎิปฺปสฺสเมฺภโนฺตติ ปฎิเสเธโนฺตฯ

    Ñāṇamayā usmā etassa atthīti usmī, tathārūpehi paccayehi anusmīkato tasmiṃ attabhāve paṭivedhagabbhoapi usmīkatoti vikatabhāvato paññābījamassa imasmiṃ dhammavinaye api nu atthīti bhagavā bhikkhū pucchati. Te paṭikkhipantā vadanti ṭhānagatena duccaritena ñāṇupahatabhāvaṃ sampassantā. Nittejabhūtoti nittejaṃ bhūto tejohānippatto. Tato eva bhikkhūnampi sammukhā oloketuṃ asamatthatāya pattakkhandho adhomukho. Sahadhammikaṃ kiñci vattuṃ avisahanato appaṭibhāno. Sampattūpaganti sampattiāvahaṃ. Paṭippassambhentoti paṭisedhento.

    ๒๓๗. อนฺตรายกรลทฺธิยา สภาววิภาวเนน ปริสํ โสเธติฯ นิสฺสาเรติ นีหรติ อวิสุทฺธทิฎฺฐิตายฯ กสฺสจิ พุทฺธานุภาวํ อชานนฺตสฺสฯ ตสฺส หิ เอวํ ภเวยฺย ‘‘สหสา กถิต’’นฺติฯ น หิ กทาจิ พุทฺธานํ สหสา กิริยา นาม อตฺถิฯ อสฺสาติ ‘‘กสฺสจี’’ติ วุตฺตภิกฺขุสฺสฯ สุตฺวาปิ ตุณฺหีภาวํ อาปเชฺชยฺยาติ อถาปิ สิยาติ สมฺพโนฺธฯ ตํ สพฺพนฺติ ‘‘สเจ หี’’ติอาทินา วุตฺตํ สพฺพํ ปริกปฺปนํฯ น กริสฺสนฺตีติ ปริสาย ลทฺธิํ โสเธตีติ สมฺพโนฺธฯ ลทฺธิํ ปกาเสโนฺตติ มหาสาวชฺชตาวเสน ปกาเสโนฺตฯ สญฺญาวิตเกฺกหีติ สุภนิมิตฺตานุพฺยญฺชนคฺคาหาทิวเสน ปวเตฺตหิ สญฺญาวิตเกฺกหิฯ เตนาห ‘‘กิเลสกามสมฺปยุเตฺตหี’’ติฯ เมถุนสมาจารนฺติ อิทํ อธิการวเสน วุตฺตํฯ ตทญฺญมฺปิ ปน – ‘‘อปิจ โข มาตุคามสฺส อุจฺฉาทนํ ปริมทฺทนํ นหาปนํ สมฺพาหนํ สาทิยตี’’ติอาทินา (อ. นิ. ๗.๕๐) อาคตํ วิสภาควตฺถุวิสยํ อามิสปริโภคํฯ ‘‘อญฺญเตฺรว กาเมหิ อญฺญตฺร กามสญฺญาหิ อญฺญตฺร กามวิตเกฺกหิ สมาจริสฺสตี’’ติ เนตํ ฐานํ วิชฺชติ

    237. Antarāyakaraladdhiyā sabhāvavibhāvanena parisaṃ sodheti. Nissāreti nīharati avisuddhadiṭṭhitāya. Kassaci buddhānubhāvaṃ ajānantassa. Tassa hi evaṃ bhaveyya ‘‘sahasā kathita’’nti. Na hi kadāci buddhānaṃ sahasā kiriyā nāma atthi. Assāti ‘‘kassacī’’ti vuttabhikkhussa. Sutvāpituṇhībhāvaṃ āpajjeyyāti athāpi siyāti sambandho. Taṃ sabbanti ‘‘sace hī’’tiādinā vuttaṃ sabbaṃ parikappanaṃ. Na karissantīti parisāya laddhiṃ sodhetīti sambandho. Laddhiṃ pakāsentoti mahāsāvajjatāvasena pakāsento. Saññāvitakkehīti subhanimittānubyañjanaggāhādivasena pavattehi saññāvitakkehi. Tenāha ‘‘kilesakāmasampayuttehī’’ti. Methunasamācāranti idaṃ adhikāravasena vuttaṃ. Tadaññampi pana – ‘‘apica kho mātugāmassa ucchādanaṃ parimaddanaṃ nahāpanaṃ sambāhanaṃ sādiyatī’’tiādinā (a. ni. 7.50) āgataṃ visabhāgavatthuvisayaṃ āmisaparibhogaṃ. ‘‘Aññatreva kāmehi aññatra kāmasaññāhi aññatra kāmavitakkehi samācarissatī’’ti netaṃ ṭhānaṃ vijjati.

    ๒๓๘. โยนิโส ปจฺจเวกฺขเณน นตฺถิ เอตฺถ ฉนฺทราโคติ นิจฺฉนฺทราโค, ตํ นิจฺฉนฺทราคํฯ กทาจิ อุโปสถิกภาเวน สมาทินฺนสีลาปิ โหนฺติ กทาจิ โนติ อนิพทฺธสีลานํ คหฎฺฐานํฯ สีลสมาทานภาวโต อนฺตรายกรํฯ วตฺถุกามานํ สจฺฉนฺทราคปริโภคญฺจฯ อปจฺจเวกฺขเณน ภิกฺขูนํ อาวรณกรํฯ ปจฺจยานํ สจฺฉนฺทราคปริโภคญฺจฯ อยํ อริโฎฺฐ ทุคฺคหิตาย ปริยตฺติยา วเสน อเมฺห เจว อพฺภาจิกฺขติ, อตฺตานญฺจ ขนติ, พหุญฺจ อปุญฺญํ ปสวตีติ เอวํ สญฺญา มา โหนฺตูติ ทุคฺคหิตาย ปริยตฺติยา โทสํ ทเสฺสโนฺต อาหฯ อุคฺคณฺหนฺตีติ สชฺฌายนฺติ เจว วาจุคฺคตํ กโรนฺตา ธาเรนฺติ จาติ อโตฺถฯ

    238. Yoniso paccavekkhaṇena natthi ettha chandarāgoti nicchandarāgo, taṃ nicchandarāgaṃ. Kadāci uposathikabhāvena samādinnasīlāpi honti kadāci noti anibaddhasīlānaṃ gahaṭṭhānaṃ. Sīlasamādānabhāvato antarāyakaraṃ. Vatthukāmānaṃ sacchandarāgaparibhogañca. Apaccavekkhaṇena bhikkhūnaṃ āvaraṇakaraṃ. Paccayānaṃ sacchandarāgaparibhogañca. Ayaṃ ariṭṭho duggahitāya pariyattiyā vasena amhe ceva abbhācikkhati, attānañca khanati, bahuñca apuññaṃ pasavatīti evaṃ saññā mā hontūti duggahitāya pariyattiyā dosaṃ dassento āha. Uggaṇhantīti sajjhāyanti ceva vācuggataṃ karontā dhārenti cāti attho.

    สุตฺตนฺติอาทินา นวปฺปเภทมฺปิ ปริยตฺติธมฺมํ ปริยาทิยติฯ กถํ สุตฺตํ นวปฺปเภทํ? สคาถกญฺหิ สุตฺตํ เคยฺยํ, นิคฺคาถกํ สุตฺตํ เวยฺยากรณํ, ตทุภยวินิมุตฺตญฺจ สุตฺตํ อุทานาทิวิเสสสญฺญาวิรหิตํ นตฺถิ, ยํ สุตฺตงฺคํ สิยา, มงฺคลสุตฺตาทีนญฺจ สุตฺตงฺคสงฺคโห น สิยา คาถาภาวโต ธมฺมปทาทีนํ วิย, เคยฺยงฺคสงฺคโห วา สิยา สคาถกตฺตา สคาถาวคฺคสฺส วิย, ตถา อุภโตวิภงฺคาทีสุ สคาถกปฺปเทสานนฺติ? วุจฺจเต –

    Suttantiādinā navappabhedampi pariyattidhammaṃ pariyādiyati. Kathaṃ suttaṃ navappabhedaṃ? Sagāthakañhi suttaṃ geyyaṃ, niggāthakaṃ suttaṃ veyyākaraṇaṃ, tadubhayavinimuttañca suttaṃ udānādivisesasaññāvirahitaṃ natthi, yaṃ suttaṅgaṃ siyā, maṅgalasuttādīnañca suttaṅgasaṅgaho na siyā gāthābhāvato dhammapadādīnaṃ viya, geyyaṅgasaṅgaho vā siyā sagāthakattā sagāthāvaggassa viya, tathā ubhatovibhaṅgādīsu sagāthakappadesānanti? Vuccate –

    สุตฺตนฺติ สามญฺญวิธิ, วิเสสวิธโย ปเร;

    Suttanti sāmaññavidhi, visesavidhayo pare;

    สนิมิตฺตา นิรูฬฺหตฺตา, สหตาเญฺญน นญฺญโตฯ (ที. นิ. ฎี. ๑.นิทานกถาวณฺณนา; อ. นิ. ฎี. ๒.๔.๖; สารตฺถ. ฎี. ๑.พาหิรนิทานกถา);

    Sanimittā nirūḷhattā, sahatāññena naññato. (dī. ni. ṭī. 1.nidānakathāvaṇṇanā; a. ni. ṭī. 2.4.6; sārattha. ṭī. 1.bāhiranidānakathā);

    สพฺพสฺสปิ หิ พุทฺธวจนสฺส สุตฺตนฺติ อยํ สามญฺญวิธิฯ เตเนวาห อายสฺมา มหากจฺจาโน เนตฺติยํ (เนตฺติ. ๑.สงฺคหวาร) ‘‘นววิธสุตฺตนฺตปริเยฎฺฐี’’ติฯ ‘‘เอตฺตกํ ตสฺส ภควโต สุตฺตาคตํ สุตฺตปริยาปนฺนํ (ปาจิ. ๖๕๕, ๑๒๔๒), สกวาเท ปญฺจ สุตฺตสตานี’’ติ (ธ. ส. อฎฺฐ. นิทานกถา; กถา. อฎฺฐ. นิทานกถา) เอวมาทิ จ เอตสฺส อตฺถสฺส สาธกํฯ ตเทกเทเสสุ ปน เคยฺยาทโย วิเสสวิธโย เตน เตน นิมิเตฺตน ปติฎฺฐิตาฯ ตถา หิ เคยฺยสฺส สคาถกตฺตํ ตพฺภาวนิมิตฺตํฯ โลเกปิ หิ สสิโลกํ สคาถกํ วา จุณฺณิยคนฺถํ ‘‘เคยฺย’’นฺติ วทนฺติฯ คาถาวิรเห ปน สติ ปุจฺฉํ กตฺวา วิสฺสชฺชนภาโว เวยฺยากรณสฺส ตพฺภาวนิมิตฺตํฯ ปุจฺฉาวิสฺสชฺชนญฺหิ ‘‘พฺยากรณ’’นฺติ วุจฺจติ, พฺยากรณเมว เวยฺยากรณํฯ

    Sabbassapi hi buddhavacanassa suttanti ayaṃ sāmaññavidhi. Tenevāha āyasmā mahākaccāno nettiyaṃ (netti. 1.saṅgahavāra) ‘‘navavidhasuttantapariyeṭṭhī’’ti. ‘‘Ettakaṃ tassa bhagavato suttāgataṃ suttapariyāpannaṃ (pāci. 655, 1242), sakavāde pañca suttasatānī’’ti (dha. sa. aṭṭha. nidānakathā; kathā. aṭṭha. nidānakathā) evamādi ca etassa atthassa sādhakaṃ. Tadekadesesu pana geyyādayo visesavidhayo tena tena nimittena patiṭṭhitā. Tathā hi geyyassa sagāthakattaṃ tabbhāvanimittaṃ. Lokepi hi sasilokaṃ sagāthakaṃ vā cuṇṇiyaganthaṃ ‘‘geyya’’nti vadanti. Gāthāvirahe pana sati pucchaṃ katvā vissajjanabhāvo veyyākaraṇassa tabbhāvanimittaṃ. Pucchāvissajjanañhi ‘‘byākaraṇa’’nti vuccati, byākaraṇameva veyyākaraṇaṃ.

    เอวํ สเนฺต สคาถกาทีนมฺปิ ปุจฺฉํ กตฺวา วิสฺสชฺชนวเสน ปวตฺตานํ เวยฺยากรณภาโว อาปชฺชตีติ? นาปชฺชติ เคยฺยาทิสญฺญานํ อโนกาสภาวโต, ‘‘คาถาวิรเห สตี’’ติ วิเสสิตตฺตา จฯ ตถา หิ ธมฺมปทาทีสุ เกวลํ คาถาพเนฺธสุ, สคาถกเตฺตปิ โสมนสฺสญาณมยิกคาถายุเตฺตสุ, ‘‘วุตฺตเญฺหต’’นฺติ (อิติวุ. ๑) อาทิวจนสมฺพเนฺธสุ, อพฺภุตธมฺมปฎิสํยุเตฺตสุ จ สุตฺตวิเสเสสุ ยถากฺกมํ คาถา-อุทาน-อิติวุตฺตก-อพฺภุตธมฺม-สญฺญา ปติฎฺฐิตา, ตถา สติปิ คาถาพนฺธภาเว ภควโต อตีตาสุ ชาตีสุ จริยานุภาวปฺปกาสเกสุ ชาตกสญฺญา, สติปิ ปญฺหวิสฺสชฺชนภาเว สคาถกเตฺต จ เกสุจิ สุตฺตเนฺตสุ เวทสฺส ลภาปนโต เวทลฺลสญฺญา ปติฎฺฐิตาติ เอวํ เตน เตน สคาถกตฺตาทินา นิมิเตฺตน เตสุ เตสุ สุตฺตวิเสเสสุ เคยฺยาทิสญฺญา ปติฎฺฐิตาติ วิเสสวิธโย สุตฺตงฺคโต ปเร เคยฺยาทโยฯ ยํ ปเนตฺถ เคยฺยงฺคาทินิมิตฺตรหิตํ, ตํ สุตฺตงฺคํ วิเสสสญฺญาปริหาเรน สามญฺญสญฺญาย ปวตฺตนโตติฯ นนุ จ สคาถกํ สุตฺตํ เคยฺยํ, นิคฺคาถกํ สุตฺตํ เวยฺยากรณนฺติ สุตฺตงฺคํ น สมฺภวตีติ โจทนา ตทวตฺถา เอวาติ? น ตทวตฺถา โสธิตตฺตาฯ โสธิตญฺหิ ปุเพฺพ ‘‘คาถาวิรเห สติ ปุจฺฉาวิสฺสชฺชนภาโว เวยฺยากรณสฺส ตพฺภาวนิมิตฺต’’นฺติฯ

    Evaṃ sante sagāthakādīnampi pucchaṃ katvā vissajjanavasena pavattānaṃ veyyākaraṇabhāvo āpajjatīti? Nāpajjati geyyādisaññānaṃ anokāsabhāvato, ‘‘gāthāvirahe satī’’ti visesitattā ca. Tathā hi dhammapadādīsu kevalaṃ gāthābandhesu, sagāthakattepi somanassañāṇamayikagāthāyuttesu, ‘‘vuttañheta’’nti (itivu. 1) ādivacanasambandhesu, abbhutadhammapaṭisaṃyuttesu ca suttavisesesu yathākkamaṃ gāthā-udāna-itivuttaka-abbhutadhamma-saññā patiṭṭhitā, tathā satipi gāthābandhabhāve bhagavato atītāsu jātīsu cariyānubhāvappakāsakesu jātakasaññā, satipi pañhavissajjanabhāve sagāthakatte ca kesuci suttantesu vedassa labhāpanato vedallasaññā patiṭṭhitāti evaṃ tena tena sagāthakattādinā nimittena tesu tesu suttavisesesu geyyādisaññā patiṭṭhitāti visesavidhayo suttaṅgato pare geyyādayo. Yaṃ panettha geyyaṅgādinimittarahitaṃ, taṃ suttaṅgaṃ visesasaññāparihārena sāmaññasaññāya pavattanatoti. Nanu ca sagāthakaṃ suttaṃ geyyaṃ, niggāthakaṃ suttaṃ veyyākaraṇanti suttaṅgaṃ na sambhavatīti codanā tadavatthā evāti? Na tadavatthā sodhitattā. Sodhitañhi pubbe ‘‘gāthāvirahe sati pucchāvissajjanabhāvo veyyākaraṇassa tabbhāvanimitta’’nti.

    ยญฺจ วุตฺตํ ‘‘คาถาภาวโต มงฺคลสุตฺตาทีนํ สุตฺตงฺคสงฺคโห น สิยา’’ติ (ขุ. ปา. ๕.๑; สุ. นิ. ๒๖๑), ตํ น, นิรุฬฺหตฺตาฯ นิรุโฬฺห หิ มงฺคลสุตฺตาทีนํ สุตฺตภาโวฯ น หิ ตานิ ธมฺมปทพุทฺธวํสาทโย วิย คาถาภาเวน ปญฺญาตานิ, กินฺตุ สุตฺตภาเวเนวฯ เตเนว หิ อฎฺฐกถายํ ‘‘สุตฺตนามก’’นฺติ นามคฺคหณํ กตํฯ ยํ ปน วุตฺตํ ‘‘สคาถกตฺตา เคยฺยงฺคสงฺคโห สิยา’’ติ , ตทปิ นตฺถิ, ยสฺมา สหตาเญฺญนฯ สห คาถาหีติ หิ สคาถกํ, สหภาโว จ นาม อตฺถโต อเญฺญน โหติ, น จ มงฺคลสุตฺตาทีสุ คาถาวินิมุโตฺต โกจิ สุตฺตปเทโส อตฺถิ, โย ‘‘สห คาถาหี’’ติ วุเจฺจยฺย, น จ สมุทาโย นาม โกจิ อตฺถิฯ ยทปิ วุตฺตํ ‘‘อุภโตวิภงฺคาทีสุ สคาถกปฺปเทสานํ เคยฺยงฺคสงฺคโห สิยา’’ติ, ตทปิ น อญฺญโตฯ อญฺญา เอว หิ ตา คาถา ชาตกาทิปริยาปนฺนตฺตา, อโต น ตาหิ อุภโตวิภงฺคาทีนํ เคยฺยงฺคภาโวติฯ เอวํ สุตฺตาทีนํ องฺคานํ อญฺญมญฺญสงฺกราภาโว เวทิตโพฺพฯ

    Yañca vuttaṃ ‘‘gāthābhāvato maṅgalasuttādīnaṃ suttaṅgasaṅgaho na siyā’’ti (khu. pā. 5.1; su. ni. 261), taṃ na, niruḷhattā. Niruḷho hi maṅgalasuttādīnaṃ suttabhāvo. Na hi tāni dhammapadabuddhavaṃsādayo viya gāthābhāvena paññātāni, kintu suttabhāveneva. Teneva hi aṭṭhakathāyaṃ ‘‘suttanāmaka’’nti nāmaggahaṇaṃ kataṃ. Yaṃ pana vuttaṃ ‘‘sagāthakattā geyyaṅgasaṅgaho siyā’’ti , tadapi natthi, yasmā sahatāññena. Saha gāthāhīti hi sagāthakaṃ, sahabhāvo ca nāma atthato aññena hoti, na ca maṅgalasuttādīsu gāthāvinimutto koci suttapadeso atthi, yo ‘‘saha gāthāhī’’ti vucceyya, na ca samudāyo nāma koci atthi. Yadapi vuttaṃ ‘‘ubhatovibhaṅgādīsu sagāthakappadesānaṃ geyyaṅgasaṅgaho siyā’’ti, tadapi na aññato. Aññā eva hi tā gāthā jātakādipariyāpannattā, ato na tāhi ubhatovibhaṅgādīnaṃ geyyaṅgabhāvoti. Evaṃ suttādīnaṃ aṅgānaṃ aññamaññasaṅkarābhāvo veditabbo.

    อตฺถตฺถนฺติ อตฺถภูตํ ยถาภูตํ อตฺถํฯ อนตฺถมฺปิ เกจิ วิปลฺลาสวเสน ‘‘อโตฺถ’’ติ คณฺหนฺตีติ ‘‘อตฺถตฺถ’’นฺติ วิเสเสตฺวา วุตฺตํฯ การณตฺถนฺติ การณภูตํ อตฺถํ, สีลํ สมาธิสฺส การณํ, สมาธิ วิปสฺสนายาติ เอวํ ตสฺส ตสฺส การณภูตํ อตฺถํฯ เตนาห ‘‘อิมสฺมิํ ฐาเน สีล’’นฺติอาทิฯ เตเนตํ ทเสฺสติ – อิมสฺมิํ ฐาเน สีลํ กถิตํ, ตญฺจ ยาวเทว สมาธตฺถํ, สมาธิ วิปสฺสนโตฺถ, วิปสฺสนา มคฺคตฺถา, มโคฺค ผลโตฺถ, วฎฺฎํ กถิตํ ยาวเทว วิวฎฺฎาธิคมตฺถนฺติ ชานิตุํ น สโกฺกนฺตีติฯ เอวํ ปาฬิยํ ‘‘อตฺถ’’นฺติ อิมินา ภาสิตตฺถปโยชนตฺถานํ คหิตตา เวทิตพฺพาฯ น ปริคฺคณฺหนฺตีติ น วิจาเรนฺติ, นิชฺฌานปญฺญากฺขมา น โหนฺติ, นิชฺฌายิตฺวา ปญฺญาย โรเจตฺวา คเหตพฺพา น โหนฺตีติ อธิปฺปาโยฯ อิติ เอวํ เอตาย ปริยตฺติยา วาทปฺปโมกฺขานิสํสา อตฺตโน อุปริ ปเรหิ อาโรปิตวาทสฺส นิคฺคหสฺส โมกฺขปโยชนา หุตฺวา ธมฺมํ ปริยาปุณนฺติฯ วาทปฺปโมโกฺข วา นินฺทาปโมโกฺขฯ ยสฺส จาติ ยสฺส จ สีลาทิปูรเณน ปตฺตพฺพสฺส, มคฺคสฺส วา ตทธิคเมน ปตฺตพฺพสฺส, ผลสฺส วา ตทธิคเมน ปตฺตพฺพสฺส, อนุปาทาวิโมกฺขสฺส วา อตฺถายฯ ธมฺมํ ปริยาปุณนฺติ, ญาเยน ปริยาปุณนฺตีติ อธิปฺปาโยฯ นานุโภนฺติ น วินฺทนฺติฯ เตสํ เต ธมฺมา ทุคฺคหิตา อุปารมฺภมานทปฺปมกฺขปฬาสาทิเหตุภาเวน ทีฆรตฺตํ อหิตาย ทุกฺขาย สํวตฺตนฺติ

    Atthatthanti atthabhūtaṃ yathābhūtaṃ atthaṃ. Anatthampi keci vipallāsavasena ‘‘attho’’ti gaṇhantīti ‘‘atthattha’’nti visesetvā vuttaṃ. Kāraṇatthanti kāraṇabhūtaṃ atthaṃ, sīlaṃ samādhissa kāraṇaṃ, samādhi vipassanāyāti evaṃ tassa tassa kāraṇabhūtaṃ atthaṃ. Tenāha ‘‘imasmiṃ ṭhāne sīla’’ntiādi. Tenetaṃ dasseti – imasmiṃ ṭhāne sīlaṃ kathitaṃ, tañca yāvadeva samādhatthaṃ, samādhi vipassanattho, vipassanā maggatthā, maggo phalattho, vaṭṭaṃ kathitaṃ yāvadeva vivaṭṭādhigamatthanti jānituṃ na sakkontīti. Evaṃ pāḷiyaṃ ‘‘attha’’nti iminā bhāsitatthapayojanatthānaṃ gahitatā veditabbā. Na pariggaṇhantīti na vicārenti, nijjhānapaññākkhamā na honti, nijjhāyitvā paññāya rocetvā gahetabbā na hontīti adhippāyo. Iti evaṃ etāya pariyattiyā vādappamokkhānisaṃsā attano upari parehi āropitavādassa niggahassa mokkhapayojanā hutvā dhammaṃ pariyāpuṇanti. Vādappamokkho vā nindāpamokkho. Yassa cāti yassa ca sīlādipūraṇena pattabbassa, maggassa vā tadadhigamena pattabbassa, phalassa vā tadadhigamena pattabbassa, anupādāvimokkhassa vā atthāya. Dhammaṃ pariyāpuṇanti, ñāyena pariyāpuṇantīti adhippāyo. Nānubhonti na vindanti. Tesaṃ te dhammā duggahitā upārambhamānadappamakkhapaḷāsādihetubhāvena dīgharattaṃ ahitāya dukkhāya saṃvattanti.

    ๒๓๙. อลํ ปริยโตฺต คโท อสฺสาติ อลคโทฺท อนุนาสิกโลปํ ท-การาคมญฺจ กตฺวาฯ วฎฺฎทุกฺขกนฺตารโต นิตฺถรณตฺถาย ปริยตฺติ นิตฺถรณปริยตฺติฯ ภณฺฑาคาเร นิยุโตฺต ภณฺฑาคาริโก, ภณฺฑาคาริโก วิย ภณฺฑาคาริโก, ธมฺมรตนานุปาลโกฯ อญฺญํ อตฺถํ อนเปกฺขิตฺวา ภณฺฑาคาริกเสฺสว สโต ปริยตฺติ ภณฺฑาคาริกปริยตฺติฯ ‘‘วํสานุรกฺขโกวา’’ติ อวธารณํ สีหาวโลกนญาเยน ตนฺติธารโกว ปเวณิปาลโกวาติ ปุริมปททฺวเยปิ โยเชตพฺพํฯ

    239. Alaṃ pariyatto gado assāti alagaddo anunāsikalopaṃ da-kārāgamañca katvā. Vaṭṭadukkhakantārato nittharaṇatthāya pariyatti nittharaṇapariyatti. Bhaṇḍāgāre niyutto bhaṇḍāgāriko, bhaṇḍāgāriko viya bhaṇḍāgāriko, dhammaratanānupālako. Aññaṃ atthaṃ anapekkhitvā bhaṇḍāgārikasseva sato pariyatti bhaṇḍāgārikapariyatti. ‘‘Vaṃsānurakkhakovā’’ti avadhāraṇaṃ sīhāvalokanañāyena tantidhārakova paveṇipālakovāti purimapadadvayepi yojetabbaṃ.

    ยทิ ตนฺติธารณาทิอตฺถํ พุทฺธวจนสฺส ปริยาปุณนํ ภณฺฑาคาริกปริยตฺติ, กสฺมา ‘‘ขีณาสวสฺสา’’ติ วิเสเสตฺวา วุตฺตํ, นนุ เอกจฺจสฺส ปุถุชฺชนสฺสปิ อยํ นโย ลพฺภตีติ อนุโยคํ สนฺธายาห ‘‘โย ปนา’’ติอาทิฯ อตฺตโน ฐาเนติ นิตฺถรณฎฺฐาเนฯ กามํ ปุถุชฺชโน ‘‘ปเวณิํ ปาเลสฺสามี’’ติ อชฺฌาสเยน ปริยาปุณาติฯ อตฺตโน ปน ภวกนฺตารโต อนิตฺติณฺณตฺตา ตสฺส สา ปริยตฺติ นิตฺถรณปริยตฺติ เอว นาม โหตีติ อธิปฺปาโยฯ เตนาห ‘‘ปุถุชฺชนสฺสา’’ติอาทิฯ

    Yadi tantidhāraṇādiatthaṃ buddhavacanassa pariyāpuṇanaṃ bhaṇḍāgārikapariyatti, kasmā ‘‘khīṇāsavassā’’ti visesetvā vuttaṃ, nanu ekaccassa puthujjanassapi ayaṃ nayo labbhatīti anuyogaṃ sandhāyāha ‘‘yo panā’’tiādi. Attano ṭhāneti nittharaṇaṭṭhāne. Kāmaṃ puthujjano ‘‘paveṇiṃ pālessāmī’’ti ajjhāsayena pariyāpuṇāti. Attano pana bhavakantārato anittiṇṇattā tassa sā pariyatti nittharaṇapariyatti eva nāma hotīti adhippāyo. Tenāha ‘‘puthujjanassā’’tiādi.

    นิชฺฌานํ ขมนฺตีติ นิชฺฌานปญฺญํ ขมนฺติฯ ตตฺถ ตตฺถ อาคเต สีลาทิธเมฺม นิชฺฌายิตฺวา ปญฺญาย โรเจตฺวา ยาถาวโต คเหตพฺพา โหนฺติฯ เตนาห ‘‘อิธ สีล’’นฺติอาทิฯ น เกวลํ สุคฺคหิตํ ปริยตฺติํ นิสฺสาย มคฺคภาวนาผลสจฺฉิกิริยา, ปรวาทนิคฺคหสกวาทปติฎฺฐาปนาทีนิปิ อิชฺฌนฺตีติ ทเสฺสตุํ ‘‘ปรวาเท’’ติอาทิ วุตฺตํฯ เตนาห ‘‘อุปฺปนฺนํ ปรปฺปวาทํ สหธเมฺมน สุนิคฺคหํ นิคฺคหิตฺวา’’ติอาทิ (ที. นิ. ๒.๒๖๘)ฯ อิจฺฉิติจฺฉิตฎฺฐานนฺติ ทิฎฺฐิวินิเวฐนาทิวเสน อิจฺฉิตํ อิจฺฉิตํ ปาฬิปเทสํฯ โมเจตุนฺติ อปเนตุํฯ อหิตาย ทุกฺขาย อสํวตฺตนมฺปิ ตทภาเว อุปฺปชฺชนกหิตสุขสฺส การณเมว ตสฺมิํ สติ ภาวโตติฯ สุคฺคหิตอลคทฺทสฺสปิ หิตาย สุขาย สํวตฺตนตา ทฎฺฐพฺพาฯ

    Nijjhānaṃ khamantīti nijjhānapaññaṃ khamanti. Tattha tattha āgate sīlādidhamme nijjhāyitvā paññāya rocetvā yāthāvato gahetabbā honti. Tenāha ‘‘idha sīla’’ntiādi. Na kevalaṃ suggahitaṃ pariyattiṃ nissāya maggabhāvanāphalasacchikiriyā, paravādaniggahasakavādapatiṭṭhāpanādīnipi ijjhantīti dassetuṃ ‘‘paravāde’’tiādi vuttaṃ. Tenāha ‘‘uppannaṃ parappavādaṃ sahadhammena suniggahaṃ niggahitvā’’tiādi (dī. ni. 2.268). Icchiticchitaṭṭhānanti diṭṭhiviniveṭhanādivasena icchitaṃ icchitaṃ pāḷipadesaṃ. Mocetunti apanetuṃ. Ahitāya dukkhāya asaṃvattanampi tadabhāve uppajjanakahitasukhassa kāraṇameva tasmiṃ sati bhāvatoti. Suggahitaalagaddassapi hitāya sukhāya saṃvattanatā daṭṭhabbā.

    ๒๔๐. อุตฺตรนฺติ เอเตนาติ อุตฺตโร, สินนฺติ พนฺธนฺตีติ เสตุ, อุตฺตโร จ โส เสตุ จาติ อุตฺตรเสตุฯ กูลํ ปรตีรํ วหติ ปาเปตีติ กุลฺลํฯ กลาปํ กตฺวา พโทฺธติ เวฬุนฬาทีหิ กลาปวเสน พโทฺธฯ อณุนฺติ อิทํ อฎฺฐสมาปตฺติอารมฺมณํ สโญฺญชนํ สนฺธาย วทติฯ ถูลนฺติ อิตรํฯ ทิฎฺฐินฺติ ยถาภูตทสฺสนํ, วิปสฺสนนฺติ อโตฺถฯ เอวํ ปริสุทฺธํ เอวํ ปริโยทาตนฺติ เตภูมเกสุ ธเมฺมสุ ญาตํ ‘‘เนตํ มม, เนโสหมสฺมิ, น เมโส อตฺตา’’ติ, เอวํ ตณฺหาทิฎฺฐิสํกิเลสาภาเวน สพฺพโส วิสุทฺธํ, ปริสุทฺธตฺตา เอว ปริโยทาตํฯ น อลฺลีเยถาติ นิกนฺติวเสน น นิสฺสเยถฯ น เกลาเยถาติ น มมาเยถฯ น ธนาเยถาติ ธนํ ทฺรพฺยํ น กยิราถฯ อุภยตฺถาติ สมเถ วิปสฺสนาย จฯ

    240. Uttaranti etenāti uttaro, sinanti bandhantīti setu, uttaro ca so setu cāti uttarasetu. Kūlaṃ paratīraṃ vahati pāpetīti kullaṃ. Kalāpaṃ katvā baddhoti veḷunaḷādīhi kalāpavasena baddho. Aṇunti idaṃ aṭṭhasamāpattiārammaṇaṃ saññojanaṃ sandhāya vadati. Thūlanti itaraṃ. Diṭṭhinti yathābhūtadassanaṃ, vipassananti attho. Evaṃ parisuddhaṃ evaṃ pariyodātanti tebhūmakesu dhammesu ñātaṃ ‘‘netaṃ mama, nesohamasmi, na meso attā’’ti, evaṃ taṇhādiṭṭhisaṃkilesābhāvena sabbaso visuddhaṃ, parisuddhattā eva pariyodātaṃ. Na allīyethāti nikantivasena na nissayetha. Na kelāyethāti na mamāyetha. Na dhanāyethāti dhanaṃ drabyaṃ na kayirātha. Ubhayatthāti samathe vipassanāya ca.

    อสทฺธเมฺมติอาทีสุ อสตํ หีนชฺฌาสยานํ ธโมฺมติ อสทฺธโมฺมฯ คามวาสีนํ ธโมฺมติ คามธโมฺมฯ กิเลสานํ วสฺสนสภาวตาย วสลธโมฺมฯ กิเลเสหิ ทูสิตตฺตา ถูลตฺตา จ ทุฎฺฐุโลฺลฯ อุทกสุทฺธิปริโยสานตาย โอทกนฺติโกฯ ‘‘ธมฺมาปิ โว ปหาตพฺพา’’ติ อิมินาปิ โอวาเทน ภิกฺขู อุทฺทิสฺส กเถโนฺตปิ อริฎฺฐํเยว นิคฺคณฺหาติ

    Asaddhammetiādīsu asataṃ hīnajjhāsayānaṃ dhammoti asaddhammo. Gāmavāsīnaṃ dhammoti gāmadhammo. Kilesānaṃ vassanasabhāvatāya vasaladhammo. Kilesehi dūsitattā thūlattā ca duṭṭhullo. Udakasuddhipariyosānatāya odakantiko. ‘‘Dhammāpi vo pahātabbā’’ti imināpi ovādena bhikkhū uddissa kathentopi ariṭṭhaṃyeva niggaṇhāti.

    ๒๔๑. ติวิธคฺคาหวเสนาติ ตณฺหามานทิฎฺฐิคฺคาหวเสนฯ ยทิ เอวํ ‘‘อหํ มมาติ คณฺหาตี’’ติ คาหทฺวยเมว กสฺมา วุตฺตนฺติ? นยิทเมวํ ตตฺถาปิ คาหตฺตยเสฺสว วุตฺตตฺตาฯ ‘‘อห’’นฺติ หิ อิมินา มานทิฎฺฐิคฺคาหา วุตฺตา ‘‘อหมสฺมี’’ติ คาหสามญฺญโตฯ ทิฎฺฐิปิ ทิฎฺฐิฎฺฐานํ ปุริมุปฺปนฺนาย ทิฎฺฐิยา อุตฺตรทิฎฺฐิยา สกฺกายทิฎฺฐิยา สสฺสตทิฎฺฐิยา จ การณภาวโตฯ อารมฺมณํ ปญฺจ ขนฺธา, รูปารมฺมณาทีนิ จฯ ทิฎฺฐิยา ปจฺจโย อวิชฺชา-ผสฺส-สญฺญา-วิตกฺก-อโยนิโสมนสิการ-ปาปมิตฺตปรโตโฆสาทิโก ทิฎฺฐิยา อุปนิสฺสยาทิปจฺจโยฯ วุตฺตเญฺหตํ ปฎิสมฺภิทายํ (ปฎิ. ม. ๑.๑๒๔)‘‘กตมานิ อฎฺฐ ทิฎฺฐิฎฺฐานานิ อวิชฺชาปิ ผโสฺสปิ สญฺญาปิ วิตโกฺกปิ อโยนิโสมนสิกาโรปิ ปาปมิโตฺตปิ ปรโตโฆโสปิ ทิฎฺฐิฎฺฐาน’’นฺติอาทิฯ รูปารมฺมณาติ รุปฺปนสภาวธมฺมารมฺมณาฯ รูปํ ปน อตฺตาติ น วตฺตพฺพํ อิธ ‘‘รูปํ อตฺตโต สมนุปสฺสตี’’ติ (สํ. นิ. ๓.๘๑, ๓๔๕) อิมสฺส คาหสฺส อนธิเปฺปตตฺตาฯ โส หิ ‘‘ยมฺปิ ตํ ทิฎฺฐิฎฺฐาน’’นฺติอาทินา ปรโต วุจฺจติฯ อิธ ปน ‘‘รูปวนฺตํ อตฺตานํ สมนุปสฺสติ, อตฺตนิ รูปํ, รูปสฺมิํ อตฺตาน’’นฺติ อิเม ตโย คาหา อธิเปฺปตาติ เกจิ, ตทยุตฺตํฯ ยสฺมา รูปํ อตฺตา น โหติ, อตฺตคฺคาหสฺส ปน อาลมฺพนํ โหติ, อตฺตสภาเวเยว วา รูปาทิธเมฺม อารพฺภ อตฺตทิฎฺฐิ อุปฺปชฺชติ, น อตฺตานํ ตสฺส ปรมตฺถโต อนุปลพฺภนโต, ตสฺมา รูปาทิอารมฺมณาว อตฺตทิฎฺฐีติ กตฺวา วุตฺตํ, รูปํ ปน ‘‘อตฺตา’’ติ น วตฺตพฺพนฺติ อยเมตฺถ อโตฺถฯ ‘‘ยมฺปิ ตํ ทิฎฺฐิฎฺฐาน’’นฺติอาทินา ปน วิปสฺสนาปฎิวิปสฺสนา วิย ทิฎฺฐิอนุปสฺสนา นาม ทสฺสิตาฯ

    241.Tividhaggāhavasenāti taṇhāmānadiṭṭhiggāhavasena. Yadi evaṃ ‘‘ahaṃ mamāti gaṇhātī’’ti gāhadvayameva kasmā vuttanti? Nayidamevaṃ tatthāpi gāhattayasseva vuttattā. ‘‘Aha’’nti hi iminā mānadiṭṭhiggāhā vuttā ‘‘ahamasmī’’ti gāhasāmaññato. Diṭṭhipi diṭṭhiṭṭhānaṃ purimuppannāya diṭṭhiyā uttaradiṭṭhiyā sakkāyadiṭṭhiyā sassatadiṭṭhiyā ca kāraṇabhāvato. Ārammaṇaṃ pañca khandhā, rūpārammaṇādīni ca. Diṭṭhiyā paccayo avijjā-phassa-saññā-vitakka-ayonisomanasikāra-pāpamittaparatoghosādiko diṭṭhiyā upanissayādipaccayo. Vuttañhetaṃ paṭisambhidāyaṃ (paṭi. ma. 1.124)‘‘katamāni aṭṭha diṭṭhiṭṭhānāni avijjāpi phassopi saññāpi vitakkopi ayonisomanasikāropi pāpamittopi paratoghosopi diṭṭhiṭṭhāna’’ntiādi. Rūpārammaṇāti ruppanasabhāvadhammārammaṇā. Rūpaṃ pana attāti na vattabbaṃ idha ‘‘rūpaṃ attato samanupassatī’’ti (saṃ. ni. 3.81, 345) imassa gāhassa anadhippetattā. So hi ‘‘yampi taṃ diṭṭhiṭṭhāna’’ntiādinā parato vuccati. Idha pana ‘‘rūpavantaṃ attānaṃ samanupassati, attani rūpaṃ, rūpasmiṃ attāna’’nti ime tayo gāhā adhippetāti keci, tadayuttaṃ. Yasmā rūpaṃ attā na hoti, attaggāhassa pana ālambanaṃ hoti, attasabhāveyeva vā rūpādidhamme ārabbha attadiṭṭhi uppajjati, na attānaṃ tassa paramatthato anupalabbhanato, tasmā rūpādiārammaṇāva attadiṭṭhīti katvā vuttaṃ, rūpaṃ pana ‘‘attā’’ti na vattabbanti ayamettha attho. ‘‘Yampi taṃ diṭṭhiṭṭhāna’’ntiādinā pana vipassanāpaṭivipassanā viya diṭṭhianupassanā nāma dassitā.

    คนฺธรสโผฎฺฐพฺพายตนานํ สมฺปตฺตคาหินฺทฺริยวิสยตาย ปตฺวา คเหตพฺพตาฯ ตญฺหิ ตสฺส อตฺตโน วิสยํ ปริภุตฺวา สมฺพนฺธํ หุตฺวา คณฺหาติฯ อวเสสานิ สตฺตายตนานิ วิญฺญาตํ นาม มนสา วิญฺญาตพฺพโตฯ อญฺญถา อิตเรสมฺปิ วิญฺญาตตา สิยาฯ ปตฺตนฺติ อธิคตํฯ ปริเยสิตนฺติ คเวสิตํฯ อนุวิจริตนฺติ จินฺติตํฯ เตนาห ‘‘มนสา’’ติฯ เอตฺถ จ ปตฺตปริเยสนานํ อปฎิเกฺขปสฺส, วิสุํ, เอกชฺฌํ ปฎิเกฺขปสฺส จ วเสน จตุโกฺกฎิกํ ทเสฺสตฺวา ปตฺตปริเยสิเตหิ อนุวิจริตสฺส เภทํ ทเสฺสตุํ ‘‘โลกสฺมิญฺหี’’ติอาทิ วุตฺตํฯ ปริเยสิตฺวา ปตฺตํ ปฐมํ เจตสา ปจฺฉา กาเยน ปตฺตตฺตา ปตฺตํ นามฯ ปริเยสิตฺวา โนปตฺตํ ปริเยสิตํ นาม เกวลํ ปริเยสิตภาวโตฯ อปริเยสิตฺวา ปตฺตญฺจ โนปตฺตญฺจ มนสา อนุวิจริตพฺพโต มนสานุวิจริตํ นาม

    Gandharasaphoṭṭhabbāyatanānaṃ sampattagāhindriyavisayatāya patvā gahetabbatā. Tañhi tassa attano visayaṃ paribhutvā sambandhaṃ hutvā gaṇhāti. Avasesāni sattāyatanāni viññātaṃ nāma manasā viññātabbato. Aññathā itaresampi viññātatā siyā. Pattanti adhigataṃ. Pariyesitanti gavesitaṃ. Anuvicaritanti cintitaṃ. Tenāha ‘‘manasā’’ti. Ettha ca pattapariyesanānaṃ apaṭikkhepassa, visuṃ, ekajjhaṃ paṭikkhepassa ca vasena catukkoṭikaṃ dassetvā pattapariyesitehi anuvicaritassa bhedaṃ dassetuṃ ‘‘lokasmiñhī’’tiādi vuttaṃ. Pariyesitvā pattaṃ paṭhamaṃ cetasā pacchā kāyena pattattā pattaṃ nāma. Pariyesitvā nopattaṃ pariyesitaṃ nāma kevalaṃ pariyesitabhāvato. Apariyesitvā pattañca nopattañca manasā anuvicaritabbato manasānuvicaritaṃ nāma.

    อยญฺจ วิกโปฺป อากุโล วิยาติ ‘‘อถ วา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ ปตฺตเฎฺฐนาติ ปตฺตภาเวน ปตฺตตาสามเญฺญนฯ อปริเยสิตฺวา โนปตฺตํ มนสานุวิจริตํ นาม ปตฺติยา ปริเยสนาย จ อภาวโตฯ สพฺพํ วา เอตนฺติ ‘‘ปริเยสิตฺวา ปตฺตมฺปี’’ติอาทินา วุตฺตํ จตุพฺพิธมฺปิฯ อิมินาติ ‘‘ยมฺปิ ตํ ทิฎฺฐิฎฺฐานํ’’ติอาทิวจเนนฯ วิญฺญาณารมฺมณา ตณฺหามานทิฎฺฐิโย กถิตา ปาริเสสญาเยน ฯ เอวํ ปาริเสสญายปริคฺคเห กิํ ปโยชนนฺติ อาห ‘‘เทสนาวิลาเสนา’’ติอาทิฯ เยสํ วิเนยฺยานํ เทเสตพฺพธมฺมสฺส สรูปํ อนามสิตฺวา อารมฺมณกิจฺจ-สมฺปยุตฺตธมฺม-ผลวิเสสาทิ-ปการนฺตรวิภาวเนน ปฎิเวโธ โหติ, เตสํ ตปฺปการเภเทหิ ธเมฺมหิ, เยสํ ปน เยน เอเกเนว ปกาเรน สรูเปเนว วา วิภาวเน กเต ปฎิเวโธ โหติ, เตสํ ตํ วตฺวา ธมฺมิสฺสรตฺตา ตทญฺญํ นิรวเสสาการวิภาวนญฺจ เทสนาวิลาโสฯ เตนาห ‘‘ทิฎฺฐาทิอารมฺมณวเสน วิญฺญาณํ ทสฺสิต’’นฺติฯ

    Ayañca vikappo ākulo viyāti ‘‘atha vā’’tiādi vuttaṃ. Pattaṭṭhenāti pattabhāvena pattatāsāmaññena. Apariyesitvā nopattaṃ manasānuvicaritaṃ nāma pattiyā pariyesanāya ca abhāvato. Sabbaṃ vā etanti ‘‘pariyesitvā pattampī’’tiādinā vuttaṃ catubbidhampi. Imināti ‘‘yampi taṃ diṭṭhiṭṭhānaṃ’’tiādivacanena. Viññāṇārammaṇā taṇhāmānadiṭṭhiyo kathitā pārisesañāyena . Evaṃ pārisesañāyapariggahe kiṃ payojananti āha ‘‘desanāvilāsenā’’tiādi. Yesaṃ vineyyānaṃ desetabbadhammassa sarūpaṃ anāmasitvā ārammaṇakicca-sampayuttadhamma-phalavisesādi-pakārantaravibhāvanena paṭivedho hoti, tesaṃ tappakārabhedehi dhammehi, yesaṃ pana yena ekeneva pakārena sarūpeneva vā vibhāvane kate paṭivedho hoti, tesaṃ taṃ vatvā dhammissarattā tadaññaṃ niravasesākāravibhāvanañca desanāvilāso. Tenāha ‘‘diṭṭhādiārammaṇavasena viññāṇaṃ dassita’’nti.

    ทิฎฺฐิฎฺฐานนฺติ ทิฎฺฐิ เอว ทิฎฺฐิฎฺฐานํ, ตํ เหฎฺฐา วุตฺตนยเมวฯ ยํ รูปํ เอสา ทิฎฺฐิ ‘‘โลโก จ อตฺตา จา’’ติ คณฺหาติฯ ตํ รูปํ สนฺธาย ‘‘โส โลโก โส อตฺตา’’ติ วจนํ วุตฺตนฺติ โยชนาฯ โส เปจฺจ ภวิสฺสามีติ อุทฺธมาฆาตนิกวาทวเสนายํ ทิฎฺฐีติ อาห ‘‘โส อหํ ปรโลกํ คนฺตฺวา นิโจฺจ ภวิสฺสามี’’ติอาทิฯ ธุโวติ ถิโรฯ สสฺสโตติ สพฺพทาภาวีฯ อวิปริณามธโมฺมติ ชราย มรเณน จ อวิปริณาเมตพฺพสภาโว, นิพฺพิกาโรติ อโตฺถฯ ตมฺปิ ทสฺสนนฺติ ตมฺปิ ตถาวุตฺตํ ทิฎฺฐิทสฺสนํ อตฺตานํ วิย ตณฺหาทิฎฺฐิคฺคาหวิเสเสน คณฺหาติฯ เตนาห ‘‘เอตํ มมา’’ติอาทิฯ ทิฎฺฐารมฺมณาติ ทิฎฺฐิวิสยาฯ กถํ ปน ทิฎฺฐิ ทิฎฺฐิวิสยา โหตีติ อาห ‘‘วิปสฺสนายา’’ติอาทิฯ ปฎิวิปสฺสนากาเลติ ยมกโต สมฺมสนาทิกาลํ สนฺธายาหฯ ตตฺถ อกฺขรจินฺตกานํ สเทฺท วิย, เวทชฺฌายีนํ เวทสเตฺถ วิย จ ทิฎฺฐิยํ ทิฎฺฐิคติกานํ ทิฎฺฐิคฺคาหปฺปวตฺติ ทฎฺฐพฺพาฯ

    Diṭṭhiṭṭhānanti diṭṭhi eva diṭṭhiṭṭhānaṃ, taṃ heṭṭhā vuttanayameva. Yaṃ rūpaṃ esā diṭṭhi ‘‘loko ca attā cā’’ti gaṇhāti. Taṃ rūpaṃ sandhāya ‘‘so loko so attā’’ti vacanaṃ vuttanti yojanā. So peccabhavissāmīti uddhamāghātanikavādavasenāyaṃ diṭṭhīti āha ‘‘so ahaṃ paralokaṃ gantvā nicco bhavissāmī’’tiādi. Dhuvoti thiro. Sassatoti sabbadābhāvī. Avipariṇāmadhammoti jarāya maraṇena ca avipariṇāmetabbasabhāvo, nibbikāroti attho. Tampi dassananti tampi tathāvuttaṃ diṭṭhidassanaṃ attānaṃ viya taṇhādiṭṭhiggāhavisesena gaṇhāti. Tenāha ‘‘etaṃ mamā’’tiādi. Diṭṭhārammaṇāti diṭṭhivisayā. Kathaṃ pana diṭṭhi diṭṭhivisayā hotīti āha ‘‘vipassanāyā’’tiādi. Paṭivipassanākāleti yamakato sammasanādikālaṃ sandhāyāha. Tattha akkharacintakānaṃ sadde viya, vedajjhāyīnaṃ vedasatthe viya ca diṭṭhiyaṃ diṭṭhigatikānaṃ diṭṭhiggāhappavatti daṭṭhabbā.

    สมนุปสฺสตีติ ปทสฺส จ ตโสฺส สมนุปสฺสนา อโตฺถติ โยชนาฯ เตน สมนุปสฺสนา นาม จตุพฺพิธาติ ทเสฺสติฯ ตตฺถ ญาณํ ตาว สมวิสมํ สมฺมา ยาถาวโต อนุปสฺสตีติ สมนุปสฺสนาฯ อิตรา ปน สํกิเลสวเสน อนุ อนุ ปสฺสนฺตีติ สมนุปสฺสนาฯ ยทิ เอวํ โหตุ ตาว ทิฎฺฐิสมนุปสฺสนา มิจฺฉาทสฺสนภาวโต, กถํ ตณฺหามานาติ? ตณฺหายปิ สตฺตานํ ปาปกรเณ อุปายทสฺสนวเสน ปญฺญาปติรูปิกา ปวตฺติ ลพฺภเตว, ยาย วญฺจนนิกติสาจิโยคา สมฺภวนฺติฯ มาโนปิ เสยฺยาทินา ทสฺสนวเสเนว ตถา อตฺตานํ อูหตีติ ตณฺหามานานํ สมนุปสฺสนาปติรูปิกา ปวตฺติ ลพฺภตีติ ทฎฺฐพฺพํฯ อวิชฺชมาเนติ ‘‘เอตํ มมา’’ติ เอวํ คเหตเพฺพ ตณฺหาวตฺถุสฺมิํ อชฺฌตฺตขนฺธปญฺจเก อนุปลพฺภมาเน วินเฎฺฐฯ น ปริตสฺสติ ภยปริตฺตาสตณฺหาปริตฺตาสานํ มเคฺคน สมุคฺฆาติตตฺตาฯ

    Samanupassatīti padassa ca tasso samanupassanā atthoti yojanā. Tena samanupassanā nāma catubbidhāti dasseti. Tattha ñāṇaṃ tāva samavisamaṃ sammā yāthāvato anupassatīti samanupassanā. Itarā pana saṃkilesavasena anu anu passantīti samanupassanā. Yadi evaṃ hotu tāva diṭṭhisamanupassanā micchādassanabhāvato, kathaṃ taṇhāmānāti? Taṇhāyapi sattānaṃ pāpakaraṇe upāyadassanavasena paññāpatirūpikā pavatti labbhateva, yāya vañcananikatisāciyogā sambhavanti. Mānopi seyyādinā dassanavaseneva tathā attānaṃ ūhatīti taṇhāmānānaṃ samanupassanāpatirūpikā pavatti labbhatīti daṭṭhabbaṃ. Avijjamāneti ‘‘etaṃ mamā’’ti evaṃ gahetabbe taṇhāvatthusmiṃ ajjhattakhandhapañcake anupalabbhamāne vinaṭṭhe. Na paritassati bhayaparittāsataṇhāparittāsānaṃ maggena samugghātitattā.

    ๒๔๒. จตูหิ การเณหีติ ‘‘อสติ น ปริตสฺสตี’’ติ วุตฺตมฺปิ อิตเรหิ ตีหิ สห คเหตฺวา วุตฺตํฯ จตูหิ การเณหีติ จตุโกฺกฎิกสุญฺญตากถนสฺส การเณหิฯ พหิทฺธา อสตีติ พาหิเร วตฺถุสฺมิํ อวิชฺชมาเนฯ สา ปนสฺส อวิชฺชมานตา ลทฺธวินาเสน วา อลทฺธาลาเภน วาติ ปาฬิยํ – ‘‘อหุ วต เม, ตํ วต เม นตฺถิ, สิยา วต เม, ตํ วตาหํ น ลภามี’’ติ วุตฺตนฺติ ตทุภยํ ปริกฺขารวเสน วิภชิตฺวา ตตฺถ ปริตสฺสนํ ทเสฺสตุํ ‘‘พหิทฺธา ปริกฺขารวินาเส’’ติอาทิ วุตฺตํฯ ตตฺถ ยานํ ‘‘รโถ วยฺห’’นฺติ เอวมาทิฯ วาหนํ หตฺถิอสฺสาทิฯ

    242.Catūhi kāraṇehīti ‘‘asati na paritassatī’’ti vuttampi itarehi tīhi saha gahetvā vuttaṃ. Catūhi kāraṇehīti catukkoṭikasuññatākathanassa kāraṇehi. Bahiddhā asatīti bāhire vatthusmiṃ avijjamāne. Sā panassa avijjamānatā laddhavināsena vā aladdhālābhena vāti pāḷiyaṃ – ‘‘ahu vata me, taṃ vata me natthi, siyā vata me, taṃ vatāhaṃ na labhāmī’’ti vuttanti tadubhayaṃ parikkhāravasena vibhajitvā tattha paritassanaṃ dassetuṃ ‘‘bahiddhā parikkhāravināse’’tiādi vuttaṃ. Tattha yānaṃ ‘‘ratho vayha’’nti evamādi. Vāhanaṃ hatthiassādi.

    เยหิ กิเลเสหีติ เยหิ อสนฺตปตฺถนาทีหิ กิเลเสหิฯ เอวํ ภเวยฺยาติ เอวํ ‘‘อหุ วต เม’’ติอาทินา โจทนาทิ ภเวยฺยฯ ทิฎฺฐิฎฺฐานาธิฎฺฐานปริยุฎฺฐานาภินิเวสานุสยานนฺติ เอตฺถ อปราปรํ ปวตฺตาสุ ทิฎฺฐีสุ ยา ปรโต อุปฺปนฺนา ทิฎฺฐิโย, ตาสํ ปุริมุปฺปนฺนา ทิฎฺฐิโย การณเฎฺฐน ทิฎฺฐิฎฺฐานานิฯ อธิกรณเฎฺฐน ทิฎฺฐาธิฎฺฐานานิ, ปริยุฎฺฐานปฺปตฺติยา สพฺพาปิ ทิฎฺฐิปริยุฎฺฐานานิฯ ‘‘อิทเมว สจฺจํ โมฆมญฺญ’’นฺติ (ม. นิ. ๒.๒๐๒, ๔๒๗; ๓.๒๗-๒๙; อุทา. ๕๕; มหานิ. ๒๐; เนตฺติ. ๕๙) ปวตฺติยา อภินิเวสาฯ อปฺปหีนภาเวน สนฺตาเน สยนฺตีติ อนุสยาติ เอวํ ทิฎฺฐิฎฺฐานาทีนํ ปทานํ วิภาโค เวทิตโพฺพฯ ตณฺหาทีหิ กมฺปนิยตาย สพฺพสงฺขาราว อิญฺชิตานีติ สพฺพสงฺขารอิญฺชิตานิฯ เสสปททฺวเยปิ เอเสว นโยฯ อุปธียติ เอตฺถ ทุกฺขนฺติ อุปธิ, ขนฺธาว อุปธิ ขนฺธูปธิฯ เอส นโย เสเสสุปิฯ ตเทว จ อาคมฺม ตณฺหา ขียติ วิรชฺชติ นิรุชฺฌตีติ โยชนาฯ อุจฺฉิชฺชิสฺสามิ นามสฺสูติอาทีสุ นิปาตมตฺตํ, สํสเย วาฯ ตาโสติ อตฺตนิยาภาวํ ปฎิจฺจ ตณฺหาปริตฺตาโส เจว ภยปริตฺตาโส จฯ เตนาห ‘‘ตาโส เหโส’’ติอาทิฯ โน จสฺสํ, โน จ เม สิยาติ ‘‘อห’’นฺติ กิร โกจิ โน จสฺสํ, ‘‘เม’’ติ จ กิญฺจิ โน สิยาติฯ ตาสปฺปตีการทสฺสนเญฺหตํฯ

    Yehikilesehīti yehi asantapatthanādīhi kilesehi. Evaṃ bhaveyyāti evaṃ ‘‘ahu vata me’’tiādinā codanādi bhaveyya. Diṭṭhiṭṭhānādhiṭṭhānapariyuṭṭhānābhinivesānusayānanti ettha aparāparaṃ pavattāsu diṭṭhīsu yā parato uppannā diṭṭhiyo, tāsaṃ purimuppannā diṭṭhiyo kāraṇaṭṭhena diṭṭhiṭṭhānāni. Adhikaraṇaṭṭhena diṭṭhādhiṭṭhānāni, pariyuṭṭhānappattiyā sabbāpi diṭṭhipariyuṭṭhānāni. ‘‘Idameva saccaṃ moghamañña’’nti (ma. ni. 2.202, 427; 3.27-29; udā. 55; mahāni. 20; netti. 59) pavattiyā abhinivesā. Appahīnabhāvena santāne sayantīti anusayāti evaṃ diṭṭhiṭṭhānādīnaṃ padānaṃ vibhāgo veditabbo. Taṇhādīhi kampaniyatāya sabbasaṅkhārāva iñjitānīti sabbasaṅkhāraiñjitāni. Sesapadadvayepi eseva nayo. Upadhīyati ettha dukkhanti upadhi, khandhāva upadhi khandhūpadhi. Esa nayo sesesupi. Tadeva ca āgamma taṇhā khīyati virajjati nirujjhatīti yojanā. Ucchijjissāmi nāmassūtiādīsu nipātamattaṃ, saṃsaye vā. Tāsoti attaniyābhāvaṃ paṭicca taṇhāparittāso ceva bhayaparittāso ca. Tenāha ‘‘tāso heso’’tiādi. No cassaṃ,no ca me siyāti ‘‘aha’’nti kira koci no cassaṃ, ‘‘me’’ti ca kiñci no siyāti. Tāsappatīkāradassanañhetaṃ.

    ๒๔๓. เอตฺตาวตาติ ‘‘เอวํ วุเตฺต’’ติอาทินา, ปุจฺฉานุสนฺธิวเสน ปวตฺตาย ‘‘ฉยิมานิ, ภิกฺขเว, ทิฎฺฐิฎฺฐานานี’’ติอาทินา (ม. นิ. ๑.๒๔๑) วาฯ สาปิ หิ อชฺฌตฺตขนฺธวินาเส ปริตสฺสนกํ ทเสฺสตฺวา อปริตสฺสนกํ ทเสฺสนฺตี ปวตฺตาติ ตสฺสนกสฺส สุญฺญตาทสฺสนํ อกิจฺจสาธกมฺปิ สุญฺญตาทสฺสนเมวาติ อิเมสํ วเสน ‘‘จตุโกฺกฎิกา สุญฺญตา กถิตา’’ติ วุตฺตํฯ พหิทฺธา ปริกฺขารนฺติ พาหิรํ สวิญฺญาณกํ อวิญฺญาณกญฺจ สโตฺตปกรณํฯ ตญฺหิ ชีวิตวุตฺติยา ปริกฺขารกเฎฺฐน ‘‘ปริกฺขาโร’’ติ วุตฺตํฯ ปริคฺคหํ นาม กตฺวาติ ‘‘มม อิท’’นฺติ ปริคฺคเหตพฺพตาย ปริคฺคหิตํ นาม กตฺวาฯ สโพฺพปิ ทิฎฺฐิคฺคาโห ‘‘อตฺตา นิโจฺจ ธุโว สสฺสโต, อตฺตา อุจฺฉิชฺชติ วินสฺสตี’’ติอาทินา อตฺตทิฎฺฐิสนฺนิสฺสโยเยวาติ วุตฺตํ ‘‘สกฺกายทิฎฺฐิปมุขา ทฺวาสฎฺฐิทิฎฺฐิโย’’ติฯ อยาถาวคฺคาหินา อภินิเวสนปญฺญาปนานํ อุปตฺถมฺภภาวโต ทิฎฺฐิ เอว นิสฺสโยติ ทิฎฺฐินิสฺสโยฯ ปริคฺคเณฺหยฺยาติ นิจฺจาทิวิเสสยุตฺตํ กตฺวา ปริคฺคเณฺหยฺยฯ กิเมวํ ปริคฺคเหตุํ สกฺกุเณยฺย ? สพฺพตฺถาติ ‘‘ตํ, ภิกฺขเว, อตฺตวาทุปาทานํ อุปาทิเยถ, ตํ, ภิกฺขเว, ทิฎฺฐินิสฺสยํ นิสฺสเยถา’’ติ เอเตสุปิฯ

    243.Ettāvatāti ‘‘evaṃ vutte’’tiādinā, pucchānusandhivasena pavattāya ‘‘chayimāni, bhikkhave, diṭṭhiṭṭhānānī’’tiādinā (ma. ni. 1.241) vā. Sāpi hi ajjhattakhandhavināse paritassanakaṃ dassetvā aparitassanakaṃ dassentī pavattāti tassanakassa suññatādassanaṃ akiccasādhakampi suññatādassanamevāti imesaṃ vasena ‘‘catukkoṭikā suññatā kathitā’’ti vuttaṃ. Bahiddhā parikkhāranti bāhiraṃ saviññāṇakaṃ aviññāṇakañca sattopakaraṇaṃ. Tañhi jīvitavuttiyā parikkhārakaṭṭhena ‘‘parikkhāro’’ti vuttaṃ. Pariggahaṃ nāma katvāti ‘‘mama ida’’nti pariggahetabbatāya pariggahitaṃ nāma katvā. Sabbopi diṭṭhiggāho ‘‘attā nicco dhuvo sassato, attā ucchijjati vinassatī’’tiādinā attadiṭṭhisannissayoyevāti vuttaṃ ‘‘sakkāyadiṭṭhipamukhā dvāsaṭṭhidiṭṭhiyo’’ti. Ayāthāvaggāhinā abhinivesanapaññāpanānaṃ upatthambhabhāvato diṭṭhi eva nissayoti diṭṭhinissayo. Pariggaṇheyyāti niccādivisesayuttaṃ katvā pariggaṇheyya. Kimevaṃ pariggahetuṃ sakkuṇeyya ? Sabbatthāti ‘‘taṃ, bhikkhave, attavādupādānaṃ upādiyetha, taṃ, bhikkhave, diṭṭhinissayaṃ nissayethā’’ti etesupi.

    ๒๔๔. อตฺตนิ วา สตีติ ยสฺส อตฺตโน สนฺตกภาเวน กิญฺจิ อตฺตนิยนฺติ วุเจฺจยฺย, ตสฺมิํ อตฺตนิ สติ, โส เอว ปน อตฺตา ปรมตฺถโต นตฺถีติ อธิปฺปาโยฯ สกฺกา หิ วตฺตุํ พาหิรกปริกปฺปิโต อตฺตา ‘‘ปรมโตฺถ’’ติ? สิยา ขนฺธปญฺจกํ เญยฺยสภาวตฺตา ยถา ตํ ฆโฎ, ยทิ ปน ตทญฺญํ นาม กิญฺจิ อภวิสฺส, น ตํ นิยมโต วิปรีตํ สิยาติ? น จ โส ปรมตฺถโต อตฺถิ ปมาเณหิ อนุปลพฺภมานตฺตา ตุรงฺคมวิสาณํ วิยาติฯ อตฺตนิเย วา ปริกฺขาเร สตีติ ‘‘อิทํ นาม อตฺตโน สนฺตก’’นฺติ ตสฺส กิญฺจนภาเวน นิจฺฉิเต กิสฺมิญฺจิ วตฺถุสฺมิํ สติฯ อตฺตโน อิทนฺติ หิ อตฺตนิยนฺติฯ อหนฺติ สตีติ ‘‘อหํ นามาย’’นฺติ อหํการวตฺถุภูเต ปรมตฺถโต นิทฺธาริตสรูเป กิสฺมิญฺจิ สติ ตสฺส สนฺตกภาเวน มมาติ กิญฺจิ คเหตุํ ยุตฺตํ ภเวยฺยฯ มมาติ สติ ‘‘อห’’นฺติ เอตฺถาปิ เอเสว นโยฯ อิติ ปรมตฺถโต อตฺตโน อนุปลพฺภมานตฺตา อตฺตนิยํ กิญฺจิ ปรมตฺถโต นเตฺถวาติ สพฺพสงฺขารานํ อนตฺตตาย อนตฺตนิยตํ, อนตฺตนิยตาย จ อนตฺตกตํ ทเสฺสติฯ ภูตโตติ ภูตตฺถโตฯ ตถโตติ ตถสภาวโตฯ ถิรโตติ ฐิตสภาวโต นิพฺพิการโตฯ

    244.Attani vā satīti yassa attano santakabhāvena kiñci attaniyanti vucceyya, tasmiṃ attani sati, so eva pana attā paramatthato natthīti adhippāyo. Sakkā hi vattuṃ bāhirakaparikappito attā ‘‘paramattho’’ti? Siyā khandhapañcakaṃ ñeyyasabhāvattā yathā taṃ ghaṭo, yadi pana tadaññaṃ nāma kiñci abhavissa, na taṃ niyamato viparītaṃ siyāti? Na ca so paramatthato atthi pamāṇehi anupalabbhamānattā turaṅgamavisāṇaṃ viyāti. Attaniye vā parikkhāre satīti ‘‘idaṃ nāma attano santaka’’nti tassa kiñcanabhāvena nicchite kismiñci vatthusmiṃ sati. Attano idanti hi attaniyanti. Ahanti satīti ‘‘ahaṃ nāmāya’’nti ahaṃkāravatthubhūte paramatthato niddhāritasarūpe kismiñci sati tassa santakabhāvena mamāti kiñci gahetuṃ yuttaṃ bhaveyya. Mamāti sati ‘‘aha’’nti etthāpi eseva nayo. Iti paramatthato attano anupalabbhamānattā attaniyaṃ kiñci paramatthato natthevāti sabbasaṅkhārānaṃ anattatāya anattaniyataṃ, anattaniyatāya ca anattakataṃ dasseti. Bhūtatoti bhūtatthato. Tathatoti tathasabhāvato. Thiratoti ṭhitasabhāvato nibbikārato.

    ยสฺมา หุตฺวา น โหตีติ ยสฺมา ปุเพฺพ อสนฺตํ ปจฺจยสมวาเยน หุตฺวา อุปฺปชฺชิตฺวา ปุน ภงฺคุปคเมน น โหติ, ตสฺมา น นิจฺจนฺติ อนิจฺจํ, อธุวนฺติ อโตฺถฯ ตโต เอว อุปฺปาทวยวตฺติโตติ อุปฺปชฺชนวเสน นิรุชฺฌนวเสน จ ปวตฺตนโตฯ สภาววิคโม อิธ วิปริณาโม, ขณิกตา ตาวกาลิกตา, นิจฺจสภาวาภาโว เอว นิจฺจปฎิเกฺขโปฯ อนิจฺจธมฺมา หิ เตเนว อตฺตโน อนิจฺจภาเวน อตฺถโต นิจฺจตํ ปฎิกฺขิปนฺติ นามฯ ตถา หิ วุตฺตํ ‘‘น นิจฺจนฺติ อนิจฺจ’’นฺติฯ อุปฺปาทชราภงฺควเสน รูปสฺส นิรนฺตรพาธตาติ ปฎิปีฬนากาเรนสฺส ทุกฺขตาฯ สนฺตาโป ทุกฺขทุกฺขตาทิวเสน สนฺตาปนํ ปริทหนํ, ตโต เอวสฺส ทุสฺสหตาย ทุกฺขมตาฯ ติสฺสนฺนํ ทุกฺขตานํ สํสารทุกฺขสฺส จ อธิฎฺฐานตาย ทุกฺขวตฺถุกตาฯ สุขสภาวาภาโว เอว สุขปฎิเกฺขโปวิปริณามธมฺมนฺติ ชราย มรเณน จ วิปริณมนสภาวํฯ ยสฺมา อิทํ รูปํ ปจฺจยสมวาเยน อุปฺปาทํ, อุปฺปาทานนฺตรํ ชรํ ปตฺวา อวสฺสเมว ภิชฺชติ, ภินฺนญฺจ ภินฺนเมว, นาสฺส กสฺสจิ สงฺกโมติ ภวนฺตรานุปคมนสงฺขาเตน สงฺกมาภาเวน วิปริณามธมฺมตํ ปากฎํ กาตุํ ‘‘ภวสงฺกนฺติ อุปคมนสภาว’’นฺติ วุตฺตํฯ ปกติภาววิชหนํ สภาววิคโม นิรุชฺฌนเมวฯ นฺติ อนิจฺจํ ทุกฺขํ วิปริณามธมฺมํ รูปํฯ อิมินาติ ‘‘โน เหตํ, ภเนฺต’’ติ รูปสฺส ตณฺหาทิคฺคาหานํ วตฺถุภาวปฎิเกฺขเปนฯ รูปญฺหิ อุปฺปนฺนํ ฐิติํ มา ปาปุณาตุ, ฐิติปฺปตฺตํ มา ชีรตุ, ชรปฺปตฺตํ มา ภิชฺชตุ, อุทยพฺพเยหิ มา กิลมิยตูติ น เอตฺถ กสฺสจิ วสีภาโว อตฺถิ, สฺวายมสฺส อวสวตฺตนโฎฺฐ อนตฺตตาสลฺลกฺขณสฺส การณํ โหตีติ อาห ‘‘อวสวตฺตนากาเรน รูปํ, ภเนฺต, อนตฺตาติ ปฎิชานนฺตี’’ติฯ นิวาสิการกเวทกอธิฎฺฐายกวิรเหน ตโต สุญฺญตา สุญฺญโฎฺฐ, สามิภูตสฺส กสฺสจิ อภาโว อสฺสามิกโฎฺฐ, ยถาวุตฺตวสวตฺติภาวาภาโว อนิสฺสรโฎฺฐ, ปรปริกปฺปิตอตฺตสภาวาภาโว เอว อตฺตปฎิเกฺขปโฎฺฐ

    Yasmā hutvā na hotīti yasmā pubbe asantaṃ paccayasamavāyena hutvā uppajjitvā puna bhaṅgupagamena na hoti, tasmā na niccanti aniccaṃ, adhuvanti attho. Tato eva uppādavayavattitoti uppajjanavasena nirujjhanavasena ca pavattanato. Sabhāvavigamo idha vipariṇāmo, khaṇikatā tāvakālikatā, niccasabhāvābhāvo eva niccapaṭikkhepo. Aniccadhammā hi teneva attano aniccabhāvena atthato niccataṃ paṭikkhipanti nāma. Tathā hi vuttaṃ ‘‘na niccanti anicca’’nti. Uppādajarābhaṅgavasena rūpassa nirantarabādhatāti paṭipīḷanākārenassa dukkhatā. Santāpo dukkhadukkhatādivasena santāpanaṃ paridahanaṃ, tato evassa dussahatāya dukkhamatā. Tissannaṃ dukkhatānaṃ saṃsāradukkhassa ca adhiṭṭhānatāya dukkhavatthukatā. Sukhasabhāvābhāvo eva sukhapaṭikkhepo. Vipariṇāmadhammanti jarāya maraṇena ca vipariṇamanasabhāvaṃ. Yasmā idaṃ rūpaṃ paccayasamavāyena uppādaṃ, uppādānantaraṃ jaraṃ patvā avassameva bhijjati, bhinnañca bhinnameva, nāssa kassaci saṅkamoti bhavantarānupagamanasaṅkhātena saṅkamābhāvena vipariṇāmadhammataṃ pākaṭaṃ kātuṃ ‘‘bhavasaṅkanti upagamanasabhāva’’nti vuttaṃ. Pakatibhāvavijahanaṃ sabhāvavigamo nirujjhanameva. Nti aniccaṃ dukkhaṃ vipariṇāmadhammaṃ rūpaṃ. Imināti ‘‘no hetaṃ, bhante’’ti rūpassa taṇhādiggāhānaṃ vatthubhāvapaṭikkhepena. Rūpañhi uppannaṃ ṭhitiṃ mā pāpuṇātu, ṭhitippattaṃ mā jīratu, jarappattaṃ mā bhijjatu, udayabbayehi mā kilamiyatūti na ettha kassaci vasībhāvo atthi, svāyamassa avasavattanaṭṭho anattatāsallakkhaṇassa kāraṇaṃ hotīti āha ‘‘avasavattanākārena rūpaṃ, bhante, anattāti paṭijānantī’’ti. Nivāsikārakavedakaadhiṭṭhāyakavirahena tato suññatā suññaṭṭho, sāmibhūtassa kassaci abhāvo assāmikaṭṭho, yathāvuttavasavattibhāvābhāvo anissaraṭṭho, paraparikappitaattasabhāvābhāvo eva attapaṭikkhepaṭṭho.

    ยสฺมา อนิจฺจลกฺขเณน วิย ทุกฺขลกฺขณํ, ตทุภเยน อนตฺตลกฺขณํ สุวิญฺญาปยํ, น เกวลํ, ตสฺมา ตทุภเยเนตฺถ อนตฺตลกฺขณวิภาวนํ กตนฺติ ทเสฺสโนฺต ‘‘ภควา หี’’ติอาทิมาหฯ ตตฺถ อนิจฺจวเสนาติ อนิจฺจตาวเสนฯ ทุกฺขวเสนาติ ทุกฺขตาวเสนฯ น อุปปชฺชตีติ น ยุชฺชติฯ ตเมว อยุชฺชมานตํ ทเสฺสตุํ ‘‘จกฺขุสฺส อุปฺปาโทปี’’ติอาทิ วุตฺตํฯ ยสฺมา อตฺตวาที อตฺตานํ นิจฺจํ ปญฺญเปติ, จกฺขุํ ปน อนิจฺจํ, ตสฺมา จกฺขุ วิย อตฺตาปิ อนิโจฺจ อาปโนฺนฯ เตนาห ‘‘ยสฺส โข ปนา’’ติอาทิฯ ตตฺถ เวตีติ วิคจฺฉติ นิรุชฺฌติฯ อิติ จกฺขุ อนตฺตาติ จกฺขุสฺส อุทยพฺพยวนฺตตาย อนิจฺจตา, อตฺตโน จ อตฺตวาทินา อนิจฺจตาย อนิจฺฉิตตฺตา จกฺขุ อนตฺตาฯ

    Yasmā aniccalakkhaṇena viya dukkhalakkhaṇaṃ, tadubhayena anattalakkhaṇaṃ suviññāpayaṃ, na kevalaṃ, tasmā tadubhayenettha anattalakkhaṇavibhāvanaṃ katanti dassento ‘‘bhagavā hī’’tiādimāha. Tattha aniccavasenāti aniccatāvasena. Dukkhavasenāti dukkhatāvasena. Na upapajjatīti na yujjati. Tameva ayujjamānataṃ dassetuṃ ‘‘cakkhussa uppādopī’’tiādi vuttaṃ. Yasmā attavādī attānaṃ niccaṃ paññapeti, cakkhuṃ pana aniccaṃ, tasmā cakkhu viya attāpi anicco āpanno. Tenāha ‘‘yassa kho panā’’tiādi. Tattha vetīti vigacchati nirujjhati. Iti cakkhu anattāti cakkhussa udayabbayavantatāya aniccatā, attano ca attavādinā aniccatāya anicchitattā cakkhu anattā.

    กามํ อนตฺตลกฺขณสุเตฺต (สํ. นิ. ๓.๕๙; มหาว. ๒๐) – ‘‘ยสฺมา จ โข, ภิกฺขเว, รูปํ อนตฺตา, ตสฺมา รูปํ อาพาธาย สํวตฺตตี’’ติ รูปสฺส อนตฺตตาย ทุกฺขตา วิภาวิตา วิย ทิสฺสติ, ตถาปิ ‘‘ยสฺมา รูปํ อาพาธาย สํวตฺตติ, ตสฺมา อนตฺตา’’ติ ปากฎตาย สาพาธตาย รูปสฺส อตฺตสาราภาโว วิภาวิโต, ตโต เอว จ ‘‘น ลพฺภติ รูเป เอวํ เม รูปํ โหตุ, เอวํ เม รูปํ มา อโหสี’’ติ รูเป กสฺสจิ อนิสฺสรตา, ตสฺส จ อวสวตฺตนากาโร ทสฺสิโตติ อาห ‘‘ทุกฺขวเสน อนตฺตตํ ทเสฺสตี’’ติฯ ยทนิจฺจํ ตํ ทุกฺขนฺติ ยํ วตฺถุ อนิจฺจํ, ตํ ทุกฺขํ อุทยพฺพยปฎิปีฬิตตฺตา, ยํ ปน นิจฺจํ ตทภาวโต, ตํ สุขํ ยถา ตํ นิพฺพานนฺติ อธิปฺปาโยฯ ยํ ตนฺติ การณนิเทฺทโสวายํ, ยสฺมา รูปํ อนิจฺจํ, ตํ ตสฺมาติ อโตฺถฯ ยํ ทุกฺขํ ตทนตฺตาติ เอตฺถ วุตฺตนเยเนว อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ อนิจฺจนฺติ อิมินา ฆฎาทิ วิย ปจฺจยุปฺปนฺนตฺตา รูปํ อนิจฺจนฺติ อิมมตฺถํ ทเสฺสติฯ อิมินาว นเยน ‘‘อนตฺตา’’ติ วตฺตุํ ลพฺภมาเนปิ ‘‘อนตฺตา’’ติ วตฺตา นาม นตฺถิฯ เอวํ ทุกฺขนฺติ วทนฺตีติ เอตฺถาปิ ยถารหํ วตฺตพฺพํ ‘‘อกฺขิสูลาทิวิการปฺปตฺตกาเล วิย ปจฺจยุปฺปนฺนตฺตา ทุกฺขํ รูป’’นฺติอาทินาฯ ทุทฺทสํ ทุปฺปญฺญาปนํฯ ตถา หิ สรภงฺคาทโยปิ สตฺถาโร นาทฺทสํสุ, กุโต ปญฺญาปนาฯ ตยิทํ อนตฺตลกฺขณํฯ

    Kāmaṃ anattalakkhaṇasutte (saṃ. ni. 3.59; mahāva. 20) – ‘‘yasmā ca kho, bhikkhave, rūpaṃ anattā, tasmā rūpaṃ ābādhāya saṃvattatī’’ti rūpassa anattatāya dukkhatā vibhāvitā viya dissati, tathāpi ‘‘yasmā rūpaṃ ābādhāya saṃvattati, tasmā anattā’’ti pākaṭatāya sābādhatāya rūpassa attasārābhāvo vibhāvito, tato eva ca ‘‘na labbhati rūpe evaṃ me rūpaṃ hotu, evaṃ me rūpaṃ mā ahosī’’ti rūpe kassaci anissaratā, tassa ca avasavattanākāro dassitoti āha ‘‘dukkhavasena anattataṃdassetī’’ti. Yadaniccaṃ taṃ dukkhanti yaṃ vatthu aniccaṃ, taṃ dukkhaṃ udayabbayapaṭipīḷitattā, yaṃ pana niccaṃ tadabhāvato, taṃ sukhaṃ yathā taṃ nibbānanti adhippāyo. Yaṃ tanti kāraṇaniddesovāyaṃ, yasmā rūpaṃ aniccaṃ, taṃ tasmāti attho. Yaṃ dukkhaṃ tadanattāti ettha vuttanayeneva attho veditabbo. Aniccanti iminā ghaṭādi viya paccayuppannattā rūpaṃ aniccanti imamatthaṃ dasseti. Imināva nayena ‘‘anattā’’ti vattuṃ labbhamānepi ‘‘anattā’’ti vattā nāma natthi. Evaṃ dukkhanti vadantīti etthāpi yathārahaṃ vattabbaṃ ‘‘akkhisūlādivikārappattakāle viya paccayuppannattā dukkhaṃ rūpa’’ntiādinā. Duddasaṃ duppaññāpanaṃ. Tathā hi sarabhaṅgādayopi satthāro nāddasaṃsu, kuto paññāpanā. Tayidaṃ anattalakkhaṇaṃ.

    ตสฺมาติหาติอาทินา ติยทฺธคตรูปํ ลกฺขณตฺตยํ อาโรเปตฺวา วุตฺตนฺติ อาห ‘‘เอตรหิ อญฺญทาปี’’ติฯ ตํ ปน ยาทิสํ ตาทิสมฺปิ ตถา วุตฺตนฺติ อชฺฌตฺตาทิวิเสโสปิ วตฺตโพฺพฯ ปิ-สเทฺทน วา ตสฺสาปิ สงฺคโห ทฎฺฐโพฺพฯ

    Tasmātihātiādinā tiyaddhagatarūpaṃ lakkhaṇattayaṃ āropetvā vuttanti āha ‘‘etarahi aññadāpī’’ti. Taṃ pana yādisaṃ tādisampi tathā vuttanti ajjhattādivisesopi vattabbo. Pi-saddena vā tassāpi saṅgaho daṭṭhabbo.

    ๒๔๕. อุกฺกณฺฐตีติ นาภิรมติฯ อญฺญตฺถ ‘‘นิพฺพิทา’’ติ พลววิปสฺสนา วุจฺจติ, สานุโลมา ปน สงฺขารุเปกฺขา ‘‘วุฎฺฐานคามินี’’ติ, สา อิธ กถํ นิพฺพิทา นาม ชาตาติ อาห ‘‘วุฎฺฐานคามินิวิปสฺสนาย หี’’ติอาทิฯ อิมินา สิขาปตฺตนิเพฺพทตาย วุฎฺฐานคามินี อิธ นิพฺพิทานาเมน วุตฺตาติ ทเสฺสติฯ

    245.Ukkaṇṭhatīti nābhiramati. Aññattha ‘‘nibbidā’’ti balavavipassanā vuccati, sānulomā pana saṅkhārupekkhā ‘‘vuṭṭhānagāminī’’ti, sā idha kathaṃ nibbidā nāma jātāti āha ‘‘vuṭṭhānagāminivipassanāya hī’’tiādi. Iminā sikhāpattanibbedatāya vuṭṭhānagāminī idha nibbidānāmena vuttāti dasseti.

    ‘‘โส อนุปุเพฺพน สญฺญคฺคํ ผุสตี’’ติ (ที. นิ. ๑.๔๑๔, ๔๑๕) วตฺวา ‘‘สญฺญา โข โปฎฺฐปาท ปฐมํ อุปฺปชฺชติ, ปจฺฉา ญาณ’’นฺติ (ที. นิ. ๑.๔๑๖) วุตฺตตฺตา สญฺญคฺคนฺติ วุตฺตา โลกิยาสุ ปหานสญฺญาสุ สิขาปตฺตภาวโตฯ ธมฺมฎฺฐิติญาณนฺติ วุตฺตา อิทปฺปจฺจยตาทสฺสนสฺส มตฺถกปฺปตฺตีติ กตฺวาฯ ตโต ปรญฺหิ อสงฺขตารมฺมณํ ญาณํ โหติฯ เตนาห – ‘‘ปุเพฺพ โข สุสิม ธมฺมฎฺฐิติญาณํ, ปจฺฉา นิพฺพาเน ญาณ’’นฺติ (สํ. นิ. ๒.๗๐)ฯ ปาริสุทฺธิปธานิยงฺคนฺติ วุตฺตา มคฺคาธิคมสฺส ปริปนฺถภูตสพฺพสํกิเลสวิสุทฺธิ ปธานิกสฺส โยคิโน, ปธานภาวนาย วา ชาตํ องฺคนฺติ กตฺวาฯ ปฎิปทาญาณทสฺสนวิสุทฺธีติ วุตฺตา ปรมุกฺกํสคตปฎิปทาญาณทสฺสนวิสุทฺธิภาวโตฯ อตมฺมยตนฺติ เอตฺถ ตมฺมยตา นาม ตณฺหา, กามตณฺหาทีสุ ตาย ตาย นิพฺพตฺตตฺตา ตมฺมยํ นาม เตภูมิกปฺปวตฺตํ, ตสฺส ภาโวติ กตฺวาฯ ตสฺสา ตณฺหาย ปริยาทานโต วุฎฺฐานคามินิวิปสฺสนา อตมฺมยตาติ วุจฺจติฯ นิสฺสายาติ ตํ อตมฺมยตํ ปจฺจยํ กตฺวาฯ อาคมฺมาติ ตเสฺสว เววจนํฯ นานตฺตาติ นานาสภาวา พหู อเนกปฺปการาฯ นานตฺตสิตาติ นานารมฺมณนิสฺสิตา รูปาทิวิสยาฯ เอกตฺตาติ เอกสภาวาฯ เอกตฺตสิตาติ เอกํเยว อารมฺมณํ นิสฺสิตาฯ ตํ นิสฺสายาติ ตํ เอกตฺตสิตํ อุเปกฺขํ ปจฺจยํ กตฺวาฯ เอติสฺสาติ เอติสฺสา อุเปกฺขายฯ ปหานํ โหตีติ อญฺญาณุเปกฺขโต ปภุติ สพฺพํ อุเปกฺขํ ปชหิตฺวา ฐิตสฺส ‘‘อตมฺมยตา’’ติ วุตฺตาย วุฎฺฐานคามินิวิปสฺสนาย อรูปาวจรสมาปตฺติอุเปกฺขาย วิปสฺสนุเปกฺขาย จ ปหานํ โหตีติ ปริยาทานนฺติ วุตฺตาติฯ สพฺพสงฺขารคตสฺส มุญฺจิตุกมฺยตาปฎิสงฺขานสฺส สิขาปตฺตภาวโต วุฎฺฐานคามินี มุญฺจิตุกมฺยตา ปฎิสงฺขานนฺติ จ วุตฺตาฯ มุทุมชฺฌาทิวเสน ปวตฺติอาการมตฺตํ, อตฺถโต เอกตฺถา มุญฺจิตุกมฺยตาทโย, พฺยญฺชนเมว นานํฯ ทฺวีหิ นาเมหีติ โคตฺรภุ, โวทานนฺติ อิเมหิ ทฺวีหิ นาเมหิฯ

    ‘‘So anupubbena saññaggaṃ phusatī’’ti (dī. ni. 1.414, 415) vatvā ‘‘saññā kho poṭṭhapāda paṭhamaṃ uppajjati, pacchā ñāṇa’’nti (dī. ni. 1.416) vuttattā saññagganti vuttā lokiyāsu pahānasaññāsu sikhāpattabhāvato. Dhammaṭṭhitiñāṇanti vuttā idappaccayatādassanassa matthakappattīti katvā. Tato parañhi asaṅkhatārammaṇaṃ ñāṇaṃ hoti. Tenāha – ‘‘pubbe kho susima dhammaṭṭhitiñāṇaṃ, pacchā nibbāne ñāṇa’’nti (saṃ. ni. 2.70). Pārisuddhipadhāniyaṅganti vuttā maggādhigamassa paripanthabhūtasabbasaṃkilesavisuddhi padhānikassa yogino, padhānabhāvanāya vā jātaṃ aṅganti katvā. Paṭipadāñāṇadassanavisuddhīti vuttā paramukkaṃsagatapaṭipadāñāṇadassanavisuddhibhāvato. Atammayatanti ettha tammayatā nāma taṇhā, kāmataṇhādīsu tāya tāya nibbattattā tammayaṃ nāma tebhūmikappavattaṃ, tassa bhāvoti katvā. Tassā taṇhāya pariyādānato vuṭṭhānagāminivipassanā atammayatāti vuccati. Nissāyāti taṃ atammayataṃ paccayaṃ katvā. Āgammāti tasseva vevacanaṃ. Nānattāti nānāsabhāvā bahū anekappakārā. Nānattasitāti nānārammaṇanissitā rūpādivisayā. Ekattāti ekasabhāvā. Ekattasitāti ekaṃyeva ārammaṇaṃ nissitā. Taṃ nissāyāti taṃ ekattasitaṃ upekkhaṃ paccayaṃ katvā. Etissāti etissā upekkhāya. Pahānaṃ hotīti aññāṇupekkhato pabhuti sabbaṃ upekkhaṃ pajahitvā ṭhitassa ‘‘atammayatā’’ti vuttāya vuṭṭhānagāminivipassanāya arūpāvacarasamāpattiupekkhāya vipassanupekkhāya ca pahānaṃ hotīti pariyādānanti vuttāti. Sabbasaṅkhāragatassa muñcitukamyatāpaṭisaṅkhānassa sikhāpattabhāvato vuṭṭhānagāminī muñcitukamyatā paṭisaṅkhānanti ca vuttā. Mudumajjhādivasena pavattiākāramattaṃ, atthato ekatthā muñcitukamyatādayo, byañjanameva nānaṃ. Dvīhi nāmehīti gotrabhu, vodānanti imehi dvīhi nāmehi.

    วิราโคติ มโคฺค, อจฺจนฺตเมว วิรชฺชติ เอเตนาติ วิราโค, เตนฯ มเคฺคน เหตุภูเตนฯ วิมุจฺจตีติ ปฎิปฺปสฺสทฺธิวิมุตฺติวเสน วิมุจฺจติฯ เตนาห ‘‘ผลํ กถิต’’นฺติฯ

    Virāgoti maggo, accantameva virajjati etenāti virāgo, tena. Maggena hetubhūtena. Vimuccatīti paṭippassaddhivimuttivasena vimuccati. Tenāha ‘‘phalaṃ kathita’’nti.

    มหาขีณาสโวติ ปสํสาวจนํ ยถา ‘‘มหาราชา’’ติฯ ตถา หิ ตํ ปสํสโนฺต สตฺถา ‘‘อยํ วุจฺจติ, ภิกฺขเว, ภิกฺขุ อุกฺขิตฺตปลิโฆ อิติปี’’ติอาทิมาหาติฯ ตทตฺถํ วิวริตุํ ‘‘อิทานิ ตสฺสา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ ยถาภูเตหีติ ยาถาวโต ภูเตหิฯ ทุรุกฺขิปนเฎฺฐนาติ ปจุรชเนหิ อุกฺขิปิตุํ อสกฺกุเณยฺยภาเวนฯ นิพฺพานนครปฺปเวเส วิพนฺธเนน ปลิโฆ วิยาติ ปลิโฆติ วุจฺจติฯ มตฺถกจฺฉิโนฺน ตาโล ปตฺตผลาทีนํ อนงฺคโต ตาลาวตฺถุ อสิเว ‘‘สิวา’’ติ สมญฺญา วิยฯ เตนาห ‘‘สีสจฺฉินฺนตาโล วิย กตา’’ติฯ ปุนพฺภวสฺส กรณสีโล, ปุนพฺภวํ วา ผลํ อรหตีติ โปโนภวิโกฯ เอวํภูโต ปน ปุนพฺภวํ เทติ นามาติ อาห ‘‘ปุนพฺภวทายโก’’ติฯ ปุนพฺภวขนฺธานํ ปจฺจโยติ อิมินา ชาติสํสาโรติ ผลูปจาเรน การณํ วุตฺตนฺติ ทเสฺสติฯ ปริกฺขาติ วุจฺจติ สนฺตานสฺส ปริกฺขิปนโตฯ สํกิณฺณตฺตาติ สพฺพโส กิณฺณตฺตา วินาสิตตฺตาฯ คพฺภีรานุคตเฎฺฐนาติ คมฺภีรํ อนุปวิฎฺฐเฎฺฐนฯ ลุญฺจิตฺวาติ อุทฺธริตฺวาฯ เอตานีติ กามราคสโญฺญชนาทีนิฯ อคฺคฬาติ วุจฺจนฺติ อวธารณเฎฺฐนฯ อคฺคมเคฺคน ปติโต มานทฺธโช เอตสฺสาติ ปติตมานทฺธโชฯ อิตรภาโรโรปนสฺส ปุริมปเทหิ ปกาสิตตฺตา ‘‘มานภารเสฺสว โอโรปิตตฺตา ปนฺนภาโรติ อธิเปฺปโต’’ติ วุตฺตํฯ มานสํโยเคเนว วิสํยุตฺตตฺตาติ เอตฺถาปิ เอเสว นโยฯ ปญฺจปิ ขเนฺธ อวิเสสโต อสฺมีติ คเหตฺวา ปวตฺตมาโน ‘‘อสฺมิมาโน’’ติ อธิเปฺปโตติ วุตฺตํ ‘‘รูเป อสฺมีติ มาโน’’ติอาทิฯ

    Mahākhīṇāsavoti pasaṃsāvacanaṃ yathā ‘‘mahārājā’’ti. Tathā hi taṃ pasaṃsanto satthā ‘‘ayaṃ vuccati, bhikkhave, bhikkhu ukkhittapaligho itipī’’tiādimāhāti. Tadatthaṃ vivarituṃ ‘‘idāni tassā’’tiādi vuttaṃ. Yathābhūtehīti yāthāvato bhūtehi. Durukkhipanaṭṭhenāti pacurajanehi ukkhipituṃ asakkuṇeyyabhāvena. Nibbānanagarappavese vibandhanena paligho viyāti palighoti vuccati. Matthakacchinno tālo pattaphalādīnaṃ anaṅgato tālāvatthu asive ‘‘sivā’’ti samaññā viya. Tenāha ‘‘sīsacchinnatālo viya katā’’ti. Punabbhavassa karaṇasīlo, punabbhavaṃ vā phalaṃ arahatīti ponobhaviko. Evaṃbhūto pana punabbhavaṃ deti nāmāti āha ‘‘punabbhavadāyako’’ti. Punabbhavakhandhānaṃ paccayoti iminā jātisaṃsāroti phalūpacārena kāraṇaṃ vuttanti dasseti. Parikkhāti vuccati santānassa parikkhipanato. Saṃkiṇṇattāti sabbaso kiṇṇattā vināsitattā. Gabbhīrānugataṭṭhenāti gambhīraṃ anupaviṭṭhaṭṭhena. Luñcitvāti uddharitvā. Etānīti kāmarāgasaññojanādīni. Aggaḷāti vuccanti avadhāraṇaṭṭhena. Aggamaggena patito mānaddhajo etassāti patitamānaddhajo. Itarabhāroropanassa purimapadehi pakāsitattā ‘‘mānabhārasseva oropitattā pannabhāroti adhippeto’’ti vuttaṃ. Mānasaṃyogeneva visaṃyuttattāti etthāpi eseva nayo. Pañcapi khandhe avisesato asmīti gahetvā pavattamāno ‘‘asmimāno’’ti adhippetoti vuttaṃ ‘‘rūpe asmīti māno’’tiādi.

    นครทฺวารสฺส ปริสฺสยปฎิพาหนตฺถเญฺจว โสภนตฺถญฺจ อุโภสุ ปเสฺสสุ เอสิกตฺถเมฺภ นิขณิตฺวา ฐเปนฺตีติ อาห ‘‘นครทฺวาเร อุสฺสาปิเต เอสิกตฺถเมฺภ’’ติฯ ปาการวิทฺธํสเนเนว ปริกฺขาย ภูมิสมกรณํ โหตีติ อาห ‘‘ปาการํ ภินฺทโนฺต ปริกฺขํ สํกิริตฺวา’’ติฯ เอวนฺติอาทิ อุปมาสํสนฺทนํฯ สโนฺต สํวิชฺชมาโน กาโย ธมฺมสมูโหติ สกฺกาโย, อุปาทานกฺขนฺธปญฺจกํฯ ทฺวตฺติํส กมฺมการณา ทุกฺขกฺขเนฺธ อาคตาฯ อกฺขิโรคสีสโรคาทโย อฎฺฐนวุติ โรคาฯ ราชภยาทีนิ ปญฺจวีสติ มหาภยานิ

    Nagaradvārassa parissayapaṭibāhanatthañceva sobhanatthañca ubhosu passesu esikatthambhe nikhaṇitvā ṭhapentīti āha ‘‘nagaradvāre ussāpite esikatthambhe’’ti. Pākāraviddhaṃsaneneva parikkhāya bhūmisamakaraṇaṃ hotīti āha ‘‘pākāraṃ bhindanto parikkhaṃ saṃkiritvā’’ti. Evantiādi upamāsaṃsandanaṃ. Santo saṃvijjamāno kāyo dhammasamūhoti sakkāyo, upādānakkhandhapañcakaṃ. Dvattiṃsa kammakāraṇā dukkhakkhandhe āgatā. Akkhirogasīsarogādayo aṭṭhanavuti rogā. Rājabhayādīni pañcavīsati mahābhayāni.

    ๒๔๖. อนธิคมนียวิญฺญาณตนฺติ ‘‘อิทํ นาม นิสฺสาย อิมินา นาม อากาเรน ปวตฺตตี’’ติ เอวํ ทุวิเญฺญยฺยจิตฺตตํฯ อเนฺวสนฺติ ปจฺจเตฺต เอกวจนนฺติ อาห ‘‘อเนฺวสโนฺต’’ติฯ สโตฺตปิ ตถาคโตติ วุจฺจติ ‘‘ตถาคโต ปรํ มรณา’’ติอาทีสุ (ที. นิ. ๑.๖๕) วิยฯ สโตฺต หิ ยเถโก กมฺมกิเลเสหิ อิตฺถตฺตํ อาคโต, ตถา อปโรปิ อาคโตติ ‘‘ตถาคโต’’ติ วุจฺจติฯ อุตฺตมปุคฺคโลติ ภควนฺตํ สนฺธาย วทติฯ ขีณาสโวปีติ โย โกจิ ขีณาสโวปิ ‘‘ตถาคโต’’ติ อธิเปฺปโตฯ โสปิ หิ ยเถโก จตูสุ สติปฎฺฐาเนสุ สูปฎฺฐิตจิโตฺต สตฺต โพชฺฌเงฺค ยถาภูตํ ภาเวตฺวา อนุตฺตรํ อรหตฺตํ อาคโต อธิคโต, ตถา อปโรปิ อาคโตติ ‘‘ตถาคโต’’ติ วุจฺจติฯ อสํวิชฺชมาโนติ ปรมตฺถโต อนุปลพฺภนีโยฯ อวิเนฺทโยฺยติ น วินฺทิตโพฺพ, ทุวิเญฺญโยฺยติ อโตฺถฯ

    246.Anadhigamanīyaviññāṇatanti ‘‘idaṃ nāma nissāya iminā nāma ākārena pavattatī’’ti evaṃ duviññeyyacittataṃ. Anvesanti paccatte ekavacananti āha ‘‘anvesanto’’ti. Sattopi tathāgatoti vuccati ‘‘tathāgato paraṃ maraṇā’’tiādīsu (dī. ni. 1.65) viya. Satto hi yatheko kammakilesehi itthattaṃ āgato, tathā aparopi āgatoti ‘‘tathāgato’’ti vuccati. Uttamapuggaloti bhagavantaṃ sandhāya vadati. Khīṇāsavopīti yo koci khīṇāsavopi ‘‘tathāgato’’ti adhippeto. Sopi hi yatheko catūsu satipaṭṭhānesu sūpaṭṭhitacitto satta bojjhaṅge yathābhūtaṃ bhāvetvā anuttaraṃ arahattaṃ āgato adhigato, tathā aparopi āgatoti ‘‘tathāgato’’ti vuccati. Asaṃvijjamānoti paramatthato anupalabbhanīyo. Avindeyyoti na vinditabbo, duviññeyyoti attho.

    ตถาคโต สโตฺต ปุคฺคโลติ น ปญฺญเปมิ ปรมตฺถโต สตฺตเสฺสว อภาวโตติ อธิปฺปาโยฯ กิํ ปญฺญเปสฺสามิ ปญฺญตฺติอุปาทานสฺสปิ ธรมานกสฺส อภาวโตฯ ‘‘อนุปฺปาโท เขมํ, อนุปฺปตฺติ เขม’’นฺติอาทินา อสงฺขตาย ธาตุยา ปกฺขนฺธนวเสน ปวตฺตํ อคฺคผลสมาปตฺติอตฺถํ วิปสฺสนาจิตฺตํ วา

    Tathāgato satto puggaloti na paññapemi paramatthato sattasseva abhāvatoti adhippāyo. Kiṃ paññapessāmi paññattiupādānassapi dharamānakassa abhāvato. ‘‘Anuppādo khemaṃ, anuppatti khema’’ntiādinā asaṅkhatāya dhātuyā pakkhandhanavasena pavattaṃ aggaphalasamāpattiatthaṃ vipassanācittaṃ vā.

    ตุจฺฉาติ กรเณ นิสฺสกฺกวจนนฺติ อาห ‘‘ตุจฺฉเกนา’’ติฯ วินยตีติ วินโย, โส เอว เวนยิโกฯ ตถา มนฺติ ตถาภูตํ มํฯ ปรมตฺถโต วิชฺชมานสฺส หิ สตฺตสฺส อภาวํ วทโนฺต สตฺตวินาสปญฺญาปโก จ นาม สิยา, อหํ ปน ปรมตฺถโต อวิชฺชมานํ ตํ ‘‘นตฺถี’’ติ วทามิฯ ยถา จ โลโก โวหรติ, ตเถว ตํ โวหรามิ, ตถาภูตํ มํ เย สมณพฺราหฺมณา ‘‘เวนยิโก สมโณ โคตโม’’ติ วทนฺตา อสตา ตุจฺฉา มุสา อภูเตน อพฺภาจิกฺขนฺตีติ โยชนาฯ อปฺปฎิสนฺธิกสฺส ขีณาสวสฺส จริมจิตฺตํ นิรุปาทานโต อนุปาทาโน วิย ชาตเวโท ปรินิพฺพุตํ อิทํ นาม นิสฺสิตนฺติ น ปญฺญายตีติ วทโนฺต กิเมตฺตาวตา อุเจฺฉทวาที ภเวยฺย, นาหํ กทาจิปิ อตฺถิ, นาปิ โกจิ อตฺถีติ วทามิฯ เอวํ สเนฺต กิํ นิสฺสาย เต โมฆปุริสา สโต สตฺตสฺส นาม อุเจฺฉทํ วินาสํ วิภวํ ปญฺญเปตีติ วทนฺตา อสตา…เป.… อพฺภาจิกฺขนฺตีติ อยเมตฺถ อธิปฺปาโยฯ

    Tucchāti karaṇe nissakkavacananti āha ‘‘tucchakenā’’ti. Vinayatīti vinayo, so eva venayiko. Tathā manti tathābhūtaṃ maṃ. Paramatthato vijjamānassa hi sattassa abhāvaṃ vadanto sattavināsapaññāpako ca nāma siyā, ahaṃ pana paramatthato avijjamānaṃ taṃ ‘‘natthī’’ti vadāmi. Yathā ca loko voharati, tatheva taṃ voharāmi, tathābhūtaṃ maṃ ye samaṇabrāhmaṇā ‘‘venayiko samaṇo gotamo’’ti vadantā asatā tucchā musā abhūtena abbhācikkhantīti yojanā. Appaṭisandhikassa khīṇāsavassa carimacittaṃ nirupādānato anupādāno viya jātavedo parinibbutaṃ idaṃ nāma nissitanti na paññāyatīti vadanto kimettāvatā ucchedavādī bhaveyya, nāhaṃ kadācipi atthi, nāpi koci atthīti vadāmi. Evaṃ sante kiṃ nissāya te moghapurisā sato sattassa nāma ucchedaṃ vināsaṃ vibhavaṃ paññapetīti vadantā asatā…pe… abbhācikkhantīti ayamettha adhippāyo.

    มหาโพธิมณฺฑมฺหีติ โพธิมณฺฑคฺคหเณน สตฺตสตฺตาหมาหฯ เตน ธมฺมจกฺกปวตฺตนโต (สํ. นิ. ๕.๑๐๘๑; มหาว. ๑๓; ปฎิ. ม. ๒.๓๐) ปุเพฺพ วุตฺตํ ตนฺติเทสนํ วทติ ฯ จตุสจฺจเมว ปญฺญเปมีติ เอเตน สจฺจวิมุตฺตา สตฺถุเทสนา นตฺถีติ ทเสฺสติฯ เอตฺถ จ – ‘‘ปุเพฺพ เจว เอตรหิ จ ทุกฺขเญฺจว ปญฺญเปมิ ทุกฺขสฺส จ นิโรธ’’นฺติ วทโนฺต ภควา นาหํ กทาจิปิ ‘‘อตฺตา อุจฺฉิชฺชติ, วินสฺสตี’’ติ วา, ‘‘อตฺตา นาม โกจิ อตฺถี’’ติ วา วทามิฯ เอวํ สเนฺต กิํ นิสฺสาย เต โมฆปุริสา ‘‘สโต สตฺตสฺส อุเจฺฉทํ วินาสํ วิภวํ ปญฺญเปตี’’ติ อสตา ตุเจฺฉน อพฺภาจิกฺขนฺตีติ ทเสฺสติฯ ปเรติ อมามกา, มม โอวาทสฺส อภาชนภูตาติ อโตฺถติ อาห ‘‘สจฺจานิ…เป.… อสมตฺถปุคฺคลา’’ติฯ อธิปฺปาเยนาติ อิมินา เตสํ อธิปฺปายมตฺตํ, โรสนวิเหสนานิ ปน ตถาคตสฺส อากาสสฺส วิลิขนํ วิย น สมฺภวนฺติเยวาติ ทเสฺสติฯ อาหนติ จิตฺตนฺติ อาฆาโตฯ อปฺปตีตา โหนฺติ เอเตนาติ อปฺปจฺจโยฯ จิตฺตํ น อภิราธยตีติ อนภิรทฺธิฯ อตุฎฺฐีติ ตุฎฺฐิปฎิปโกฺข ตถาปวโตฺต จิตฺตุปฺปาโท, โกโธ เอว วาฯ

    Mahābodhimaṇḍamhīti bodhimaṇḍaggahaṇena sattasattāhamāha. Tena dhammacakkapavattanato (saṃ. ni. 5.1081; mahāva. 13; paṭi. ma. 2.30) pubbe vuttaṃ tantidesanaṃ vadati . Catusaccameva paññapemīti etena saccavimuttā satthudesanā natthīti dasseti. Ettha ca – ‘‘pubbe ceva etarahi ca dukkhañceva paññapemi dukkhassa ca nirodha’’nti vadanto bhagavā nāhaṃ kadācipi ‘‘attā ucchijjati, vinassatī’’ti vā, ‘‘attā nāma koci atthī’’ti vā vadāmi. Evaṃ sante kiṃ nissāya te moghapurisā ‘‘sato sattassa ucchedaṃ vināsaṃ vibhavaṃ paññapetī’’ti asatā tucchena abbhācikkhantīti dasseti. Pareti amāmakā, mama ovādassa abhājanabhūtāti atthoti āha ‘‘saccāni…pe… asamatthapuggalā’’ti. Adhippāyenāti iminā tesaṃ adhippāyamattaṃ, rosanavihesanāni pana tathāgatassa ākāsassa vilikhanaṃ viya na sambhavantiyevāti dasseti. Āhanati cittanti āghāto. Appatītā honti etenāti appaccayo. Cittaṃ na abhirādhayatīti anabhiraddhi. Atuṭṭhīti tuṭṭhipaṭipakkho tathāpavatto cittuppādo, kodho eva vā.

    ปเรติ อเญฺญ เอกเจฺจฯ อานนฺทนฺติ ปโมทนฺติ เอเตนาติ อานโนฺท, ปีติยา เอเวตํ อธิวจนํฯ โสภนมนตา โสมนสฺสํ, เจตสิกสุขเสฺสตํ อธิวจนํฯ อุปฺปิลติ ปุริมาวตฺถาย ภิชฺชติ วิเสสํ อาปชฺชตีติ อุปฺปิลํ, ตเทว อุปฺปิลาวิตํ, ตสฺส ภาโว อุปฺปิลาวิตตฺตํฯ ยาย อุปฺปนฺนาย กายจิตฺตํ วาตปูริตภตฺตา วิย อุทฺธุมายนาการปฺปตฺตํ โหติ, ตสฺสา เคหสฺสิตาย โอทคฺคิยปีติยา เอตํ อธิวจนํฯ สจฺจานิ ปฎิวิชฺฌิตุํ อสมตฺถาติ ทุกฺขเมว อุปฺปชฺชติ นิรุชฺฌติ จ, น อโญฺญ สโตฺต นาม อตฺถีติ เอวํ ชานิตุํ อสมตฺถา ‘‘อตฺตา นาม อตฺถี’’ติ เอวํทิฎฺฐิโน อปฺปหีนวิปลฺลาสาฯ อุตฺตมํ ปสาทนียฎฺฐานํ ตถาคตมฺปิ อโกฺกสนฺติ, กิมงฺคํ ปน ภิกฺขูติ อธิปฺปาโยฯ

    Pareti aññe ekacce. Ānandanti pamodanti etenāti ānando, pītiyā evetaṃ adhivacanaṃ. Sobhanamanatā somanassaṃ, cetasikasukhassetaṃ adhivacanaṃ. Uppilati purimāvatthāya bhijjati visesaṃ āpajjatīti uppilaṃ, tadeva uppilāvitaṃ, tassa bhāvo uppilāvitattaṃ. Yāya uppannāya kāyacittaṃ vātapūritabhattā viya uddhumāyanākārappattaṃ hoti, tassā gehassitāya odaggiyapītiyā etaṃ adhivacanaṃ. Saccāni paṭivijjhituṃ asamatthāti dukkhameva uppajjati nirujjhati ca, na añño satto nāma atthīti evaṃ jānituṃ asamatthā ‘‘attā nāma atthī’’ti evaṃdiṭṭhino appahīnavipallāsā. Uttamaṃ pasādanīyaṭṭhānaṃ tathāgatampi akkosanti, kimaṅgaṃ pana bhikkhūti adhippāyo.

    ๒๔๗. อนตฺตนิเยปิ ขนฺธปญฺจเก มิจฺฉาคาหวเสน อตฺตนิยสญฺญาย ปวตฺตสฺส ฉนฺทราคสฺส ปหานํฯ อมฺหากํ เนว อตฺตาติ ยสฺมา รูปเวทนาทิเยว อตฺตคฺคาหวตฺถุ ตพฺพินิมุตฺตสฺส โลภเนยฺยสฺส อภาวโตฯ เอตํ ติณกฎฺฐสาขาปลาสํ น อมฺหากํ รูปํ, น วิญฺญาณํ, ตสฺมา อมฺหากํ เนว อตฺตาติ โยชนาฯ อชฺฌตฺติกสฺส วตฺถุโน เนว อตฺตาติ ปฎิกฺขิตฺตตฺตา พาหิรวตฺถุ อตฺตนิยภาเวน ปฎิกฺขิตฺตํ โหตีติ อาห ‘‘อมฺหากํ จีวราทิปริกฺขาโรปิ น โหตี’’ติฯ ขนฺธปญฺจกํเยวาติ พาหิรวตฺถุํ นิทสฺสนํ กตฺวา ขนฺธปญฺจกํเยว น ตุมฺหากนฺติ ปชหาเปติฯ น อุปฺปาเฎตฺวา กนฺทํ วิยฯ น ลุญฺจิตฺวา วา เกเส วิยาติฯ อิมินา รูปาทีนํ นามมุเขน ปหานํ อิจฺฉนฺติฯ อุลฺลิงฺคิตมตฺถํ ฉนฺทราควินเยน ปชหาเปตีติ สรูปโต ทเสฺสติฯ

    247. Anattaniyepi khandhapañcake micchāgāhavasena attaniyasaññāya pavattassa chandarāgassa pahānaṃ. Amhākaṃ neva attāti yasmā rūpavedanādiyeva attaggāhavatthu tabbinimuttassa lobhaneyyassa abhāvato. Etaṃ tiṇakaṭṭhasākhāpalāsaṃ na amhākaṃ rūpaṃ, na viññāṇaṃ, tasmā amhākaṃ neva attāti yojanā. Ajjhattikassa vatthuno neva attāti paṭikkhittattā bāhiravatthu attaniyabhāvena paṭikkhittaṃ hotīti āha ‘‘amhākaṃ cīvarādiparikkhāropi na hotī’’ti. Khandhapañcakaṃyevāti bāhiravatthuṃ nidassanaṃ katvā khandhapañcakaṃyeva na tumhākanti pajahāpeti. Na uppāṭetvā kandaṃ viya. Na luñcitvā vā kese viyāti. Iminā rūpādīnaṃ nāmamukhena pahānaṃ icchanti. Ulliṅgitamatthaṃ chandarāgavinayena pajahāpetīti sarūpato dasseti.

    ๒๔๘. ‘‘ตํ กิํ มญฺญถ, ภิกฺขเว, รูปํ นิจฺจํ วา’’ติอาทิ เทสนา ติปริวฎฺฎํฯ ยาว อิมํ ฐานนฺติ ‘‘เอวํ สฺวากฺขาโต’’ติ ยาวายํ ปาฬิปเทโสฯ สุวิเญฺญยฺยภาเวน อกฺขาตตฺตาปิ สฺวากฺขาโตติ อาห ‘‘สุกถิตตฺตา เอว อุตฺตาโน วิวโฎ ปกาสิโต’’ติฯ ติริยํ วิทารเณน ฉินฺนํ, ทีฆโส ผาลเนน ภินฺนํ, ตโต เอว ตตฺถ ตตฺถ สิพฺพิตคณฺฐิกตชิณฺณวตฺถํ ปิโลติกา, ตทภาวโต ฉินฺนปิโลติโก, ปิโลติกรหิโตติ อโตฺถฯ อิริยาปถ-สณฺฐปนอวิชฺชมานฌาน-วิปสฺสนานิ ฉินฺนาย อวิชฺชมานาย ปฎิปตฺติยา สิพฺพนคณฺฐิกรณสทิสานิ, ตาทิสํ อิธ นตฺถีติ อาห ‘‘น เหตฺถ…เป.… อตฺถี’’ติฯ ปติฎฺฐาตุํ น ลภตีติ เปสเลหิ สทฺธิํ สํวาสวเสนปิ ปติฎฺฐาตุํ น ลภติ, วิเสสาธิคมวเสน ปน วตฺตพฺพเมว นตฺถิฯ

    248. ‘‘Taṃ kiṃ maññatha, bhikkhave, rūpaṃ niccaṃ vā’’tiādi desanā tiparivaṭṭaṃ. Yāva imaṃ ṭhānanti ‘‘evaṃ svākkhāto’’ti yāvāyaṃ pāḷipadeso. Suviññeyyabhāvena akkhātattāpi svākkhātoti āha ‘‘sukathitattā eva uttāno vivaṭo pakāsito’’ti. Tiriyaṃ vidāraṇena chinnaṃ, dīghaso phālanena bhinnaṃ, tato eva tattha tattha sibbitagaṇṭhikatajiṇṇavatthaṃ pilotikā, tadabhāvato chinnapilotiko, pilotikarahitoti attho. Iriyāpatha-saṇṭhapanaavijjamānajhāna-vipassanāni chinnāya avijjamānāya paṭipattiyā sibbanagaṇṭhikaraṇasadisāni, tādisaṃ idha natthīti āha ‘‘na hettha…pe… atthī’’ti. Patiṭṭhātuṃ na labhatīti pesalehi saddhiṃ saṃvāsavasenapi patiṭṭhātuṃ na labhati, visesādhigamavasena pana vattabbameva natthi.

    การณฺฑวํ นิทฺธมถาติ วิปนฺนสีลตาย กจวรภูตํ ปุคฺคลํ กจวรมิว นิรเปกฺขา อปเนถฯ กสมฺพุญฺจาปกสฺสถาติ กสฎภูตญฺจ นํ ขตฺติยาทีนํ มชฺฌคตํ สมฺภินฺนํ ปคฺฆริตกุฎฺฐํ จณฺฑาลํ วิย อปกสฺสถ นิกฺกฑฺฒถฯ กิํ การณํ? สงฺฆาราโม นาม สีลวนฺตานํ กโต, น ทุสฺสีลานํ, ยโต เอตเทวฯ ตโต ปลาเป วาเหถ, อสฺสมเณ สมณมานิเนติ ยถา ปลาปา อโนฺตสารรหิตา อตณฺฑุลา พหิ ถุเสน วีหิ วิย ทิสฺสนฺติ, เอวํ ปาปภิกฺขู อโนฺตสีลรหิตาปิ พหิ กาสาวาทิปริกฺขาเรน ภิกฺขู วิย ทิสฺสนฺติ, ตสฺมา ‘‘ปลาปา’’ติ วุจฺจนฺติ, เต ปลาเป วาเหถ โอธุนาถ วิธมถฯ ปรมตฺถโต อสฺสมเณ เวสมเตฺตน สมณมานิเน เอวํ นิทฺธมิตฺวาน…เป.… ปติสฺสตาติฯ ตตฺถ กปฺปยโวฺหติ กเปฺปถ, กโรถาติ วุตฺตํ โหติฯ ปติสฺสตาติ ปติ ปติ สตา สมฺปชานนฺตา สุฎฺฐุ ปชานนฺตาฯ ปติสฺสตา วา สปฺปติสฺสา อญฺญมญฺญํ สคารวาฯ อเถวํ สุทฺธา สุเทฺธหิ สํวาสํ กเปฺปนฺตา ทิฎฺฐิสีลสามเญฺญน สมคฺคาฯ อนุกฺกเมน ปริปากคตปญฺญตาย นิปกาฯ สพฺพเสฺสวิมสฺส ทุกฺขวฎฺฎสฺส อนฺตํ กริสฺสถ, ปรินิพฺพานํ ปาปุณิสฺสถาติ อโตฺถฯ

    Kāraṇḍavaṃ niddhamathāti vipannasīlatāya kacavarabhūtaṃ puggalaṃ kacavaramiva nirapekkhā apanetha. Kasambuñcāpakassathāti kasaṭabhūtañca naṃ khattiyādīnaṃ majjhagataṃ sambhinnaṃ paggharitakuṭṭhaṃ caṇḍālaṃ viya apakassatha nikkaḍḍhatha. Kiṃ kāraṇaṃ? Saṅghārāmo nāma sīlavantānaṃ kato, na dussīlānaṃ, yato etadeva. Tato palāpe vāhetha, assamaṇe samaṇamānineti yathā palāpā antosārarahitā ataṇḍulā bahi thusena vīhi viya dissanti, evaṃ pāpabhikkhū antosīlarahitāpi bahi kāsāvādiparikkhārena bhikkhū viya dissanti, tasmā ‘‘palāpā’’ti vuccanti, te palāpe vāhetha odhunātha vidhamatha. Paramatthato assamaṇe vesamattena samaṇamānine evaṃ niddhamitvāna…pe…patissatāti. Tattha kappayavhoti kappetha, karothāti vuttaṃ hoti. Patissatāti pati pati satā sampajānantā suṭṭhu pajānantā. Patissatā vā sappatissā aññamaññaṃ sagāravā. Athevaṃ suddhā suddhehi saṃvāsaṃ kappentā diṭṭhisīlasāmaññena samaggā. Anukkamena paripākagatapaññatāya nipakā. Sabbassevimassa dukkhavaṭṭassa antaṃ karissatha, parinibbānaṃ pāpuṇissathāti attho.

    วฎฺฎํ เตสํ นตฺถิ ปญฺญาปนาย สพฺพโส สมุจฺฉินฺนวฎฺฎมูลกตฺตาฯ

    Vaṭṭaṃ tesaṃ natthi paññāpanāya sabbaso samucchinnavaṭṭamūlakattā.

    ธมฺมํ อนุสฺสรนฺติ, ธมฺมสฺส วา อนุสฺสรณสีลาติ ธมฺมานุสาริโนฯ เอวํ สทฺธานุสาริโนปิ เวทิตพฺพาฯ ปฎิปนฺนสฺสาติ ปฎิปชฺชมานสฺส, โสตาปตฺติมคฺคโฎฺฐปิ อธิเปฺปโตฯ อธิมตฺตนฺติ พลวํฯ ปญฺญาวาหีติ ปญฺญํ วาเหติ, ปญฺญา วา อิมํ ปุคฺคลํ วหตีติ ปญฺญาวาหีติปิ วทนฺติฯ ปญฺญาปุพฺพงฺคมนฺติ ปญฺญํ ปุเรจาริกํ กตฺวาฯ อยํ วุจฺจตีติ อยํ เอวรูโป ปุคฺคโล ปญฺญาสงฺขาเตน ธเมฺมน สรติ อนุสฺสรตีติ ธมฺมานุสารีสทฺธาวาหีติ สทฺธํ วาเหติ, สทฺธา วา อิมํ ปุคฺคลํ วหตีติ สทฺธาวาหีติปิ วทนฺติฯ สทฺธาปุพฺพงฺคมนฺติ สทฺธํ ปุเรจาริกํ กตฺวาฯ อยํ วุจฺจตีติ อยํ เอวรูโป ปุคฺคโล สทฺธาย สรติ อนุสฺสรตีติ สทฺธานุสารีฯ สทฺธามตฺตนฺติ ‘‘อิติปิ โส ภควา’’ติอาทินา พุทฺธสุพุทฺธตาย สทฺทหนมตฺตํฯ มตฺต-สเทฺทน อเวจฺจปฺปสาทํ นิวเตฺตติฯ เปมมตฺตนฺติ ยถาวุตฺตสทฺธานุสาเรน อุปฺปนฺนํ ตุฎฺฐิมตฺตํฯ สิเนโหติ เกจิฯ เอวํ วิปสฺสนํ ปฎฺฐเปตฺวา นิสินฺนานนฺติ กลาปสมฺมสนาทิวเสน อารทฺธวิปสฺสนานํฯ เอกา สทฺธาติ วิปสฺสนานุสาเรน สฺวากฺขาตธมฺมตา สิทฺธา, ตโต เอว เอกา เสฎฺฐา อุฬารา สทฺธา อุปฺปชฺชติฯ เอกํ เปมนฺติ เอตฺถาปิ เอเสว นโยฯ สเคฺค ฐปิตา วิย โหนฺตีติ เตสํ สทฺธาเปมานํ สคฺคสํวตฺตนิยตาย อพฺยภิจารีภาวมาหฯ จูฬโสตาปโนฺนติ วทนฺติ เอกเทเสน สจฺจานุโพเธ ฐิตตฺตาฯ เสสํ สุวิเญฺญยฺยเมวฯ

    Dhammaṃ anussaranti, dhammassa vā anussaraṇasīlāti dhammānusārino. Evaṃ saddhānusārinopi veditabbā. Paṭipannassāti paṭipajjamānassa, sotāpattimaggaṭṭhopi adhippeto. Adhimattanti balavaṃ. Paññāvāhīti paññaṃ vāheti, paññā vā imaṃ puggalaṃ vahatīti paññāvāhītipi vadanti. Paññāpubbaṅgamanti paññaṃ purecārikaṃ katvā. Ayaṃ vuccatīti ayaṃ evarūpo puggalo paññāsaṅkhātena dhammena sarati anussaratīti dhammānusārī. Saddhāvāhīti saddhaṃ vāheti, saddhā vā imaṃ puggalaṃ vahatīti saddhāvāhītipi vadanti. Saddhāpubbaṅgamanti saddhaṃ purecārikaṃ katvā. Ayaṃ vuccatīti ayaṃ evarūpo puggalo saddhāya sarati anussaratīti saddhānusārī. Saddhāmattanti ‘‘itipi so bhagavā’’tiādinā buddhasubuddhatāya saddahanamattaṃ. Matta-saddena aveccappasādaṃ nivatteti. Pemamattanti yathāvuttasaddhānusārena uppannaṃ tuṭṭhimattaṃ. Sinehoti keci. Evaṃ vipassanaṃ paṭṭhapetvā nisinnānanti kalāpasammasanādivasena āraddhavipassanānaṃ. Ekā saddhāti vipassanānusārena svākkhātadhammatā siddhā, tato eva ekā seṭṭhā uḷārā saddhā uppajjati. Ekaṃ pemanti etthāpi eseva nayo. Sagge ṭhapitā viya hontīti tesaṃ saddhāpemānaṃ saggasaṃvattaniyatāya abyabhicārībhāvamāha. Cūḷasotāpannoti vadanti ekadesena saccānubodhe ṭhitattā. Sesaṃ suviññeyyameva.

    อลคทฺทูปมสุตฺตวณฺณนาย ลีนตฺถปฺปกาสนา สมตฺตาฯ

    Alagaddūpamasuttavaṇṇanāya līnatthappakāsanā samattā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / มชฺฌิมนิกาย • Majjhimanikāya / ๒. อลคทฺทูปมสุตฺตํ • 2. Alagaddūpamasuttaṃ

    อฎฺฐกถา • Aṭṭhakathā / สุตฺตปิฎก (อฎฺฐกถา) • Suttapiṭaka (aṭṭhakathā) / มชฺฌิมนิกาย (อฎฺฐกถา) • Majjhimanikāya (aṭṭhakathā) / ๒. อลคทฺทูปมสุตฺตวณฺณนา • 2. Alagaddūpamasuttavaṇṇanā


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact