Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / สํยุตฺตนิกาย (อฎฺฐกถา) • Saṃyuttanikāya (aṭṭhakathā)

    ๑๒. อาฬวกสุตฺตวณฺณนา

    12. Āḷavakasuttavaṇṇanā

    ๒๔๖. ทฺวาทสเม อาฬวิยนฺติ อาฬวีติ ตํ รฎฺฐมฺปิ นครมฺปิฯ ตญฺจ ภวนํ นครสฺส อวิทูเร คาวุตมเตฺต ฐิตํฯ ภควา ตตฺถ วิหรโนฺต ตํ นครํ อุปนิสฺสาย อาฬวิยํ วิหรตีติ วุโตฺตฯ อาฬวกสฺส ยกฺขสฺส ภวเนติ เอตฺถ ปน อยมนุปุพฺพิกถา – อาฬวโก กิร ราชา วิวิธนาฎกูปโภคํ ฉเฑฺฑตฺวา โจรปฎิพาหนตฺถํ ปฎิราชนิเสธนตฺถํ พฺยายามกรณตฺถญฺจ สตฺตเม สตฺตเม ทิวเส มิควํ คจฺฉโนฺต เอกทิวสํ พลกาเยน สทฺธิํ กติกํ อกาสิ – ‘‘ยสฺส ปเสฺสน มิโค ปลายติ, ตเสฺสว โส ภาโร’’ติฯ อถ ตเสฺสว ปเสฺสน มิโค ปลายิ, ชวสมฺปโนฺน ราชา ธนุํ คเหตฺวา ปตฺติโกว ติโยชนํ ตํ มิคํ อนุพนฺธิฯ เอณิมิคา จ ติโยชนเวคา เอว โหนฺติฯ อถ ปริกฺขีณชวํ ตํ อุทกํ วิย ปวิสิตฺวา ฐิตํ วธิตฺวา ทฺวิธา เฉตฺวา อนตฺถิโกปิ มํเสน ‘‘นาสกฺขิ มิคํ คเหตุ’’นฺติ อปวาทโมจนตฺถํ กาเชนาทาย อาคจฺฉโนฺต นครสฺสาวิทูเร พหลปตฺตปลาสํ มหานิโคฺรธํ ทิสฺวา ปริสฺสมวิโนทนตฺถํ ตสฺส มูลมุปคโตฯ ตสฺมิญฺจ นิโคฺรเธ อาฬวโก ยโกฺข มหาราชสนฺติกา ภวนํ ลภิตฺวา มชฺฌนฺหิกสมเย ตสฺส รุกฺขสฺส ฉายาย ผุโฎฺฐกาสํ ปวิเฎฺฐ ปาณิโน ขาทโนฺต ปฎิวสติฯ โส ตํ ทิสฺวา ขาทิตุํ อุปคโตฯ ราชา เตน สทฺธิํ กติกํ อกาสิ – ‘‘มุญฺจ มํ, อหํ เต ทิวเส ทิวเส มนุสฺสญฺจ ถาลิปากญฺจ เปเสสฺสามี’’ติฯ ยโกฺข – ‘‘ตฺวํ ราชูปโภเคน ปมโตฺต น สริสฺสสิ, อหํ ปน ภวนํ อนุปคตญฺจ อนนุญฺญาตญฺจ ขาทิตุํ น ลภามิ, สฺวาหํ ภวนฺตมฺปิ ชีเยยฺย’’นฺติ น มุญฺจิฯ ราชา ‘‘ยํ ทิวสํ น เปเสมิ, ตํ ทิวสํ มํ คเหตฺวา ขาทา’’ติ อตฺตานํ อนุชานิตฺวา เตน มุโตฺต นคราภิมุโข อคมาสิฯ

    246. Dvādasame āḷaviyanti āḷavīti taṃ raṭṭhampi nagarampi. Tañca bhavanaṃ nagarassa avidūre gāvutamatte ṭhitaṃ. Bhagavā tattha viharanto taṃ nagaraṃ upanissāya āḷaviyaṃ viharatīti vutto. Āḷavakassa yakkhassa bhavaneti ettha pana ayamanupubbikathā – āḷavako kira rājā vividhanāṭakūpabhogaṃ chaḍḍetvā corapaṭibāhanatthaṃ paṭirājanisedhanatthaṃ byāyāmakaraṇatthañca sattame sattame divase migavaṃ gacchanto ekadivasaṃ balakāyena saddhiṃ katikaṃ akāsi – ‘‘yassa passena migo palāyati, tasseva so bhāro’’ti. Atha tasseva passena migo palāyi, javasampanno rājā dhanuṃ gahetvā pattikova tiyojanaṃ taṃ migaṃ anubandhi. Eṇimigā ca tiyojanavegā eva honti. Atha parikkhīṇajavaṃ taṃ udakaṃ viya pavisitvā ṭhitaṃ vadhitvā dvidhā chetvā anatthikopi maṃsena ‘‘nāsakkhi migaṃ gahetu’’nti apavādamocanatthaṃ kājenādāya āgacchanto nagarassāvidūre bahalapattapalāsaṃ mahānigrodhaṃ disvā parissamavinodanatthaṃ tassa mūlamupagato. Tasmiñca nigrodhe āḷavako yakkho mahārājasantikā bhavanaṃ labhitvā majjhanhikasamaye tassa rukkhassa chāyāya phuṭṭhokāsaṃ paviṭṭhe pāṇino khādanto paṭivasati. So taṃ disvā khādituṃ upagato. Rājā tena saddhiṃ katikaṃ akāsi – ‘‘muñca maṃ, ahaṃ te divase divase manussañca thālipākañca pesessāmī’’ti. Yakkho – ‘‘tvaṃ rājūpabhogena pamatto na sarissasi, ahaṃ pana bhavanaṃ anupagatañca ananuññātañca khādituṃ na labhāmi, svāhaṃ bhavantampi jīyeyya’’nti na muñci. Rājā ‘‘yaṃ divasaṃ na pesemi, taṃ divasaṃ maṃ gahetvā khādā’’ti attānaṃ anujānitvā tena mutto nagarābhimukho agamāsi.

    พลกาโย มเคฺค ขนฺธาวารํ พนฺธิตฺวา ฐิโต ราชานํ ทิสฺวา, ‘‘กิํ, มหาราช, อยสมตฺตภยา เอวํ กิลโนฺตสี’’ติ? วทโนฺต ปจฺจุคฺคนฺตฺวา ปฎิคฺคเหสิฯ ราชา ตํ ปวตฺติํ อนาโรเจตฺวา นครํ คนฺตฺวา กตปาตราโส นครคุตฺติกํ อามเนฺตตฺวา เอตมตฺถํ อาโรเจสิฯ นครคุตฺติโก – ‘‘กิํ, เทว , กาลปริเจฺฉโท กโต’’ติ อาห? น กโต ภเณติฯ ทุฎฺฐุ กตํ, เทว, อมนุสฺสา หิ ปริจฺฉินฺนมตฺตเมว ลภนฺติ, อปริจฺฉิเนฺน ปน ชนปทสฺสาพาโธ ภวิสฺสติ, โหตุ เทว, กิญฺจาปิ เอวมกาสิ, อโปฺปสฺสุโกฺก ตฺวํ รชฺชสุขมนุโภหิ, อหเมตฺถ กาตพฺพํ กริสฺสามีติฯ โส กาลเสฺสว วุฎฺฐาย พนฺธนาคารทฺวาเร ฐตฺวา เย เย วชฺฌา โหนฺติ, เต เต สนฺธาย ‘‘โย ชีวิตตฺถิโก, โส นิกฺขมตู’’ติ ภณติฯ โย ปฐมํ นิกฺขมติ, ตํ เคหํ เนตฺวา นฺหาเปตฺวา โภเชตฺวา จ ‘‘อิมํ ถาลิปากํ ยกฺขสฺส เทหี’’ติ เปเสติฯ ตํ รุกฺขมูลํ ปวิฎฺฐมตฺตํเยว ยโกฺข เภรวํ อตฺตภาวํ นิมฺมินิตฺวา มูลกนฺทํ วิย ขาทิฯ ยกฺขานุภาเวน กิร มนุสฺสานํ เกสาทีนิ อุปาทาย สกลสรีรํ นวนีตปิณฺฑํ วิย โหติ, ยกฺขสฺส ภตฺตํ คาหาเปตุํ คตปุริสา ตํ ทิสฺวา ภีตา ยถามิตฺตํ อาโรเจสุํฯ ตโต ปภุติ ‘‘ราชา โจเร คเหตฺวา ยกฺขสฺส เทตี’’ติ มนุสฺสา โจรกมฺมโต ปฎิวิรตาฯ ตโต อปเรน สมเยน นวโจรานํ อภาเวน ปุราณโจรานญฺจ ปริกฺขเยน พนฺธนาคารานิ สุญฺญานิ อเหสุํฯ

    Balakāyo magge khandhāvāraṃ bandhitvā ṭhito rājānaṃ disvā, ‘‘kiṃ, mahārāja, ayasamattabhayā evaṃ kilantosī’’ti? Vadanto paccuggantvā paṭiggahesi. Rājā taṃ pavattiṃ anārocetvā nagaraṃ gantvā katapātarāso nagaraguttikaṃ āmantetvā etamatthaṃ ārocesi. Nagaraguttiko – ‘‘kiṃ, deva , kālaparicchedo kato’’ti āha? Na kato bhaṇeti. Duṭṭhu kataṃ, deva, amanussā hi paricchinnamattameva labhanti, aparicchinne pana janapadassābādho bhavissati, hotu deva, kiñcāpi evamakāsi, appossukko tvaṃ rajjasukhamanubhohi, ahamettha kātabbaṃ karissāmīti. So kālasseva vuṭṭhāya bandhanāgāradvāre ṭhatvā ye ye vajjhā honti, te te sandhāya ‘‘yo jīvitatthiko, so nikkhamatū’’ti bhaṇati. Yo paṭhamaṃ nikkhamati, taṃ gehaṃ netvā nhāpetvā bhojetvā ca ‘‘imaṃ thālipākaṃ yakkhassa dehī’’ti peseti. Taṃ rukkhamūlaṃ paviṭṭhamattaṃyeva yakkho bheravaṃ attabhāvaṃ nimminitvā mūlakandaṃ viya khādi. Yakkhānubhāvena kira manussānaṃ kesādīni upādāya sakalasarīraṃ navanītapiṇḍaṃ viya hoti, yakkhassa bhattaṃ gāhāpetuṃ gatapurisā taṃ disvā bhītā yathāmittaṃ ārocesuṃ. Tato pabhuti ‘‘rājā core gahetvā yakkhassa detī’’ti manussā corakammato paṭiviratā. Tato aparena samayena navacorānaṃ abhāvena purāṇacorānañca parikkhayena bandhanāgārāni suññāni ahesuṃ.

    อถ นครคุตฺติโก รโญฺญ อาโรเจสิฯ ราชา อตฺตโน ธนํ นครรจฺฉาสุ ฉฑฺฑาเปสิ ‘‘อเปฺปว นาม โกจิ โลเภน คเณฺหยฺยา’’ติฯ ตํ ปาเทนปิ โกจิ นจฺฉุปิฯ โส โจเร อลภโนฺต อมจฺจานํ อาโรเจสิฯ อมจฺจา ‘‘กุลปฎิปาฎิยา เอกเมกํ ชิณฺณกํ เปเสม, โส ปกติยาปิ มจฺจุปเถ วตฺตตี’’ติ อาหํสุฯ ราชา ‘‘อมฺหากํ ปิตรํ อมฺหากํ ปิตามหํ เปเสตีติ มนุสฺสา โขภํ กริสฺสนฺติ, มา โว เอตํ รุจฺจี’’ติ วาเรสิฯ ‘‘เตน หิ, เทว, ทารกํ เปเสม อุตฺตานเสยฺยกํ, ตถาวิธสฺส หิ ‘มาตา เม’ติ ‘ปิตา เม’ติ สิเนโห นตฺถี’’ติ อาหํสุฯ ราชา อนุชานิฯ เต ตถา อกํสุฯ นคเร ทารกมาตโร จ ทารเก คเหตฺวา คพฺภินิโย จ ปลายิตฺวา ปรชนปเท ทารเก สํวเฑฺฒตฺวา อาเนนฺติฯ เอวํ ทฺวาทส วสฺสานิ คตานิฯ

    Atha nagaraguttiko rañño ārocesi. Rājā attano dhanaṃ nagararacchāsu chaḍḍāpesi ‘‘appeva nāma koci lobhena gaṇheyyā’’ti. Taṃ pādenapi koci nacchupi. So core alabhanto amaccānaṃ ārocesi. Amaccā ‘‘kulapaṭipāṭiyā ekamekaṃ jiṇṇakaṃ pesema, so pakatiyāpi maccupathe vattatī’’ti āhaṃsu. Rājā ‘‘amhākaṃ pitaraṃ amhākaṃ pitāmahaṃ pesetīti manussā khobhaṃ karissanti, mā vo etaṃ ruccī’’ti vāresi. ‘‘Tena hi, deva, dārakaṃ pesema uttānaseyyakaṃ, tathāvidhassa hi ‘mātā me’ti ‘pitā me’ti sineho natthī’’ti āhaṃsu. Rājā anujāni. Te tathā akaṃsu. Nagare dārakamātaro ca dārake gahetvā gabbhiniyo ca palāyitvā parajanapade dārake saṃvaḍḍhetvā ānenti. Evaṃ dvādasa vassāni gatāni.

    ตโต เอกทิวสํ สกลนครํ วิจินิตฺวา เอกมฺปิ ทารกํ อลภิตฺวา อมจฺจา รโญฺญ อาโรเจสุํ – ‘‘นตฺถิ, เทว, นคเร ทารโก ฐเปตฺวา อเนฺตปุเร ตว ปุตฺตํ อาฬวกกุมาร’’นฺติฯ ราชา ‘‘ยถา มม ปุโตฺต ปิโย, เอวํ สพฺพโลกสฺส, อตฺตนา ปน ปิยตรํ นตฺถิ, คจฺฉถ ตมฺปิ ทตฺวา มม ชีวิตํ รกฺขถา’’ติฯ เตน จ สมเยน อาฬวกสฺส มาตา ปุตฺตํ นฺหาเปตฺวา มเณฺฑตฺวา ทุกูลจุมฺพฎเก กตฺวา อเงฺก สยาเปตฺวา นิสินฺนา โหติฯ ราชปุริสา รโญฺญ อาณาย ตตฺถ คนฺตฺวา วิปฺปลปนฺติยา ตสฺสา โสฬสนฺนญฺจ เทวิสหสฺสานํ สทฺธิํ ธาติยา ตํ อาทาย ปกฺกมิํสุ, ‘‘เสฺว ยกฺขภโกฺข ภวิสฺสตี’’ติฯ ตํทิวสญฺจ ภควา ปจฺจูสสมยํ ปจฺจุฎฺฐาย เชตวนวิหาเร คนฺธกุฎิยํ มหากรุณาสมาปตฺติํ สมาปชฺชิตฺวา พุทฺธจกฺขุนา โลกํ โอโลเกโนฺต อทฺทส อาฬวกสฺส กุมารสฺส อนาคามิผลุปฺปตฺติยา อุปนิสฺสยํ ยกฺขสฺส จ โสตาปตฺติผลุปฺปตฺติยา, เทสนาปริโยสาเน จ จตุราสีติปาณสหสฺสานํ ธมฺมจกฺขุปฎิลาภสฺสาติฯ โส วิภาตาย รตฺติยา ปุริมภตฺตกิจฺจํ กตฺวา สุนิฎฺฐิตปจฺฉาภตฺตกิโจฺจ กาฬปกฺขูโปสถทิวเส วตฺตมาเน โอคฺคเต สูริเย เอโก อทุติโย ปตฺตจีวรมาทาย ปาทมเคฺคเนว สาวตฺถิโต ติํส โยชนานิ คนฺตฺวา ตสฺส ยกฺขสฺส ภวนํ ปาวิสิฯ เตน วุตฺตํ ‘‘อาฬวกสฺส ยกฺขสฺส ภวเน’’ติฯ

    Tato ekadivasaṃ sakalanagaraṃ vicinitvā ekampi dārakaṃ alabhitvā amaccā rañño ārocesuṃ – ‘‘natthi, deva, nagare dārako ṭhapetvā antepure tava puttaṃ āḷavakakumāra’’nti. Rājā ‘‘yathā mama putto piyo, evaṃ sabbalokassa, attanā pana piyataraṃ natthi, gacchatha tampi datvā mama jīvitaṃ rakkhathā’’ti. Tena ca samayena āḷavakassa mātā puttaṃ nhāpetvā maṇḍetvā dukūlacumbaṭake katvā aṅke sayāpetvā nisinnā hoti. Rājapurisā rañño āṇāya tattha gantvā vippalapantiyā tassā soḷasannañca devisahassānaṃ saddhiṃ dhātiyā taṃ ādāya pakkamiṃsu, ‘‘sve yakkhabhakkho bhavissatī’’ti. Taṃdivasañca bhagavā paccūsasamayaṃ paccuṭṭhāya jetavanavihāre gandhakuṭiyaṃ mahākaruṇāsamāpattiṃ samāpajjitvā buddhacakkhunā lokaṃ olokento addasa āḷavakassa kumārassa anāgāmiphaluppattiyā upanissayaṃ yakkhassa ca sotāpattiphaluppattiyā, desanāpariyosāne ca caturāsītipāṇasahassānaṃ dhammacakkhupaṭilābhassāti. So vibhātāya rattiyā purimabhattakiccaṃ katvā suniṭṭhitapacchābhattakicco kāḷapakkhūposathadivase vattamāne oggate sūriye eko adutiyo pattacīvaramādāya pādamaggeneva sāvatthito tiṃsa yojanāni gantvā tassa yakkhassa bhavanaṃ pāvisi. Tena vuttaṃ ‘‘āḷavakassa yakkhassa bhavane’’ti.

    กิํ ปน ภควา ยสฺมิํ นิโคฺรเธ อาฬวกสฺส ภวนํ, ตสฺส มูเล วิหาสิ, อุทาหุ ภวเนเยวาติ? ภวเนเยวฯ ยเถว หิ ยกฺขา อตฺตโน ภวนํ ปสฺสนฺติ, ตถา ภควาปิฯ โส ตตฺถ คนฺตฺวา ภวนทฺวาเร อฎฺฐาสิฯ ตทา อาฬวโก หิมวเนฺต ยกฺขสมาคมํ คโต โหติฯ ตโต อาฬวกสฺส ทฺวารปาโล คทฺรโภ นาม ยโกฺข ภควนฺตํ อุปสงฺกมิตฺวา วนฺทิตฺวา, ‘‘กิํ, ภเนฺต, ภควา วิกาเล อาคโต’’ติ อาหฯ อาม, คทฺรภ, อาคโตมฺหิ, สเจ เต อครุ, วิหเรยฺยาเมกรตฺตํ อาฬวกสฺส ภวเนติ ฯ น เม, ภเนฺต, ครุ, อปิจ โข โส ยโกฺข กกฺขโฬ ผรุโส, มาตาปิตูนมฺปิ อภิวาทนาทีนิ น กโรติ, มา รุจฺจิ ภควโต อิธ วาโสติฯ ชานามิ, คทฺรภ, ตสฺส สภาวํ, น โกจิ มมนฺตราโย ภวิสฺสติฯ สเจ เต อครุ, วิหเรยฺยาเมกรตฺตนฺติฯ

    Kiṃ pana bhagavā yasmiṃ nigrodhe āḷavakassa bhavanaṃ, tassa mūle vihāsi, udāhu bhavaneyevāti? Bhavaneyeva. Yatheva hi yakkhā attano bhavanaṃ passanti, tathā bhagavāpi. So tattha gantvā bhavanadvāre aṭṭhāsi. Tadā āḷavako himavante yakkhasamāgamaṃ gato hoti. Tato āḷavakassa dvārapālo gadrabho nāma yakkho bhagavantaṃ upasaṅkamitvā vanditvā, ‘‘kiṃ, bhante, bhagavā vikāle āgato’’ti āha. Āma, gadrabha, āgatomhi, sace te agaru, vihareyyāmekarattaṃ āḷavakassa bhavaneti . Na me, bhante, garu, apica kho so yakkho kakkhaḷo pharuso, mātāpitūnampi abhivādanādīni na karoti, mā rucci bhagavato idha vāsoti. Jānāmi, gadrabha, tassa sabhāvaṃ, na koci mamantarāyo bhavissati. Sace te agaru, vihareyyāmekarattanti.

    ทุติยมฺปิ คทฺรโภ ยโกฺข ภควนฺตํ เอตทโวจ – ‘‘อคฺคิตตฺตกปาลสทิโส, ภเนฺต, อาฬวโก, มาตาปิตโรติ วา สมณพฺราหฺมณาติ วา ธโมฺมติ วา น ชานาติ, อิธาคตานํ ปน จิตฺตเกฺขปมฺปิ กโรติ, หทยมฺปิ ผาเลติ, ปาเทปิ คเหตฺวา ปรสมุทฺทํ วา ปรจกฺกวาฬํ วา ขิปตี’’ติฯ ทุติยมฺปิ ภควา อาห – ‘‘ชานามิ, คทฺรภ, สเจปิ เต อครุ, วิหเรยฺยาเมกรตฺต’’นฺติฯ น เม, ภเนฺต, ครุ, อปิจ โข โส ยโกฺข อตฺตโน อนาโรเจตฺวา อนุชานนฺตํ มํ ชีวิตาปิ โวโรเปยฺย, อาโรเจมิ, ภเนฺต, ตสฺสาติฯ ยถาสุขํ , คทฺรภ, อาโรเจหีติฯ ‘‘เตน หิ, ภเนฺต, ตฺวเมว ชานาหี’’ติ ภควนฺตํ อภิวาเทตฺวา หิมวนฺตาภิมุโข ปกฺกามิฯ ภวนทฺวารมฺปิ สยเมว ภควโต วิวรมทาสิฯ ภควา อโนฺตภวนํ ปวิสิตฺวา ยตฺถ อภิลกฺขิเตสุ มงฺคลทิวสาทีสุ นิสีทิตฺวา อาฬวโก สิริํ อนุโภติ, ตสฺมิํเยว ทิพฺพรตนมเย ปลฺลเงฺก นิสีทิตฺวา สุวณฺณาภํ มุญฺจิฯ ตํ ทิสฺวา ยกฺขสฺส อิตฺถิโย อาคนฺตฺวา ภควนฺตํ วนฺทิตฺวา สมฺปริวาเรตฺวา นิสีทิํสุฯ ภควา ‘‘ปุเพฺพ ตุเมฺห ทานํ ทตฺวา สีลํ สมาทิยิตฺวา ปูชเนยฺยํ ปูเชตฺวา อิมํ สมฺปตฺติํ ปตฺตา, อิทานิปิ ตเถว กโรถ, มา อญฺญมญฺญํ อิสฺสามจฺฉริยาภิภูตา วิหรถา’’ติอาทินา นเยน ตาสํ ปกิณฺณกธมฺมกถํ กเถสิฯ ตา ภควโต มธุรนิโคฺฆสํ สุตฺวา สาธุการสหสฺสานิ ทตฺวา ภควนฺตํ สมฺปริวาเรตฺวา นิสีทิํสุเยวฯ คทฺรโภปิ หิมวนฺตํ คนฺตฺวา อาฬวกสฺสาโรเจสิ – ‘‘ยเคฺฆ , มาริส, ชาเนยฺยาสิ วิมาเน เต ภควา นิสิโนฺน’’ติฯ โส คทฺรภสฺส สญฺญํ อกาสิ ‘‘ตุณฺหี โหหิ, คนฺตฺวา กตฺตพฺพํ กริสฺสามี’’ติฯ ปุริสมาเนน กิร ลชฺชิโต อโหสิ, ตสฺมา ‘‘มา โกจิ ปริสมเชฺฌ สุเณยฺยา’’ติ เอวมกาสิฯ

    Dutiyampi gadrabho yakkho bhagavantaṃ etadavoca – ‘‘aggitattakapālasadiso, bhante, āḷavako, mātāpitaroti vā samaṇabrāhmaṇāti vā dhammoti vā na jānāti, idhāgatānaṃ pana cittakkhepampi karoti, hadayampi phāleti, pādepi gahetvā parasamuddaṃ vā paracakkavāḷaṃ vā khipatī’’ti. Dutiyampi bhagavā āha – ‘‘jānāmi, gadrabha, sacepi te agaru, vihareyyāmekaratta’’nti. Na me, bhante, garu, apica kho so yakkho attano anārocetvā anujānantaṃ maṃ jīvitāpi voropeyya, ārocemi, bhante, tassāti. Yathāsukhaṃ , gadrabha, ārocehīti. ‘‘Tena hi, bhante, tvameva jānāhī’’ti bhagavantaṃ abhivādetvā himavantābhimukho pakkāmi. Bhavanadvārampi sayameva bhagavato vivaramadāsi. Bhagavā antobhavanaṃ pavisitvā yattha abhilakkhitesu maṅgaladivasādīsu nisīditvā āḷavako siriṃ anubhoti, tasmiṃyeva dibbaratanamaye pallaṅke nisīditvā suvaṇṇābhaṃ muñci. Taṃ disvā yakkhassa itthiyo āgantvā bhagavantaṃ vanditvā samparivāretvā nisīdiṃsu. Bhagavā ‘‘pubbe tumhe dānaṃ datvā sīlaṃ samādiyitvā pūjaneyyaṃ pūjetvā imaṃ sampattiṃ pattā, idānipi tatheva karotha, mā aññamaññaṃ issāmacchariyābhibhūtā viharathā’’tiādinā nayena tāsaṃ pakiṇṇakadhammakathaṃ kathesi. Tā bhagavato madhuranigghosaṃ sutvā sādhukārasahassāni datvā bhagavantaṃ samparivāretvā nisīdiṃsuyeva. Gadrabhopi himavantaṃ gantvā āḷavakassārocesi – ‘‘yagghe , mārisa, jāneyyāsi vimāne te bhagavā nisinno’’ti. So gadrabhassa saññaṃ akāsi ‘‘tuṇhī hohi, gantvā kattabbaṃ karissāmī’’ti. Purisamānena kira lajjito ahosi, tasmā ‘‘mā koci parisamajjhe suṇeyyā’’ti evamakāsi.

    ตทา สาตาคิรเหมวตา ภควนฺตํ เชตวเนเยว วนฺทิตฺวา ‘‘ยกฺขสมาคมํ คมิสฺสามา’’ติ สปริวารา นานายาเนหิ อากาเสน คจฺฉนฺติฯ อากาเส จ ยกฺขานํ สพฺพตฺถ มโคฺค นตฺถิ, อากาสฎฺฐานิ วิมานานิ ปริหริตฺวา มคฺคฎฺฐาเนเนว มโคฺค โหติฯ อาฬวกสฺส ปน วิมานํ ภูมฎฺฐํ สุคุตฺตํ ปาการปริกฺขิตฺตํ สุสํวิหิตทฺวารอฎฺฎาลกโคปุรํ อุปริ กํสชาลสญฺฉนฺนํ มญฺชูสสทิสํ ติโยชนํ อุเพฺพเธน, ตสฺส อุปริ มโคฺค โหติฯ เต ตํ ปเทสมาคมฺม คนฺตุํ นาสกฺขิํสุฯ พุทฺธานํ หิ นิสิโนฺนกาสสฺส อุปริภาเคน ยาว ภวคฺคา โกจิ คนฺตุํ น สโกฺกติฯ เต ‘‘กิมิท’’นฺติ? อาวเชฺชตฺวา ภควนฺตํ ทิสฺวา อากาเส ขิตฺตเลฑฺฑุ วิย โอรุยฺห วนฺทิตฺวา ธมฺมํ สุตฺวา ปทกฺขิณํ กตฺวา, ‘‘ยกฺขสมาคมํ คจฺฉาม ภควา’’ติ ตีณิ วตฺถูนิ ปสํสนฺตา ยกฺขสมาคมํ อคมํสุฯ อาฬวโก เต ทิสฺวา, ‘‘อิธ นิสีทถา’’ติ ปฎิกฺกมฺม โอกาสมทาสิฯ เต อาฬวกสฺส นิเวเทสุํ – ‘‘ลาภา เต, อาฬวก, ยสฺส เต ภวเน ภควา วิหรติ, คจฺฉาวุโส, ภควนฺตํ ปยิรุปาสสฺสู’’ติฯ เอวํ ภควา ภวเนเยว วิหาสิ, น ยสฺมิํ นิโคฺรเธ อาฬวกสฺส ภวนํ, ตสฺส มูเลติฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘เอกํ สมยํ ภควา อาฬวิยํ วิหรติ อาฬวกสฺส ยกฺขสฺส ภวเน’’ติฯ

    Tadā sātāgirahemavatā bhagavantaṃ jetavaneyeva vanditvā ‘‘yakkhasamāgamaṃ gamissāmā’’ti saparivārā nānāyānehi ākāsena gacchanti. Ākāse ca yakkhānaṃ sabbattha maggo natthi, ākāsaṭṭhāni vimānāni pariharitvā maggaṭṭhāneneva maggo hoti. Āḷavakassa pana vimānaṃ bhūmaṭṭhaṃ suguttaṃ pākāraparikkhittaṃ susaṃvihitadvāraaṭṭālakagopuraṃ upari kaṃsajālasañchannaṃ mañjūsasadisaṃ tiyojanaṃ ubbedhena, tassa upari maggo hoti. Te taṃ padesamāgamma gantuṃ nāsakkhiṃsu. Buddhānaṃ hi nisinnokāsassa uparibhāgena yāva bhavaggā koci gantuṃ na sakkoti. Te ‘‘kimida’’nti? Āvajjetvā bhagavantaṃ disvā ākāse khittaleḍḍu viya oruyha vanditvā dhammaṃ sutvā padakkhiṇaṃ katvā, ‘‘yakkhasamāgamaṃ gacchāma bhagavā’’ti tīṇi vatthūni pasaṃsantā yakkhasamāgamaṃ agamaṃsu. Āḷavako te disvā, ‘‘idha nisīdathā’’ti paṭikkamma okāsamadāsi. Te āḷavakassa nivedesuṃ – ‘‘lābhā te, āḷavaka, yassa te bhavane bhagavā viharati, gacchāvuso, bhagavantaṃ payirupāsassū’’ti. Evaṃ bhagavā bhavaneyeva vihāsi, na yasmiṃ nigrodhe āḷavakassa bhavanaṃ, tassa mūleti. Tena vuttaṃ – ‘‘ekaṃ samayaṃ bhagavā āḷaviyaṃ viharati āḷavakassa yakkhassa bhavane’’ti.

    อถ โข อาฬวโก…เป.… เอตทโวจ – ‘‘นิกฺขม, สมณา’’ติ กสฺมา ปนายํ เอตทโวจ? โรเสตุกามตายฯ ตเตฺรวํ อาทิโต ปภุติ สมฺพโนฺธ เวทิตโพฺพ – อยํ หิ ยสฺมา อสฺสทฺธสฺส สทฺธากถา ทุกฺกถา โหติ ทุสฺสีลาทีนํ สีลาทิกถา วิย, ตสฺมา เตสํ ยกฺขานํ สนฺติกา ภควโต ปสํสํ สุตฺวาเยว อคฺคิมฺหิ ปกฺขิตฺตโลณสกฺขรา วิย อพฺภนฺตเร โกเปน ตฎตฎายมานหทโย หุตฺวา ‘‘โก โส ภควา นาม, โย มม ภวนํ ปวิโฎฺฐ’’ติ อาหฯ เต อหํสุ – ‘‘น ตฺวํ, อาวุโส, ชานาสิ ภควนฺตํ อมฺหากํ สตฺถารํ, โย ตุสิตภวเน ฐิโต ปญฺจมหาวิโลกิตํ วิโลเกตฺวา’’ติอาทินา นเยน ยาว ธมฺมจกฺกปวตฺตนา กเถนฺตา ปฎิสนฺธิอาทีสุ ทฺวตฺติํส ปุพฺพนิมิตฺตานิ วตฺวา, ‘‘อิมานิปิ ตฺวํ, อาวุโส, อจฺฉริยานิ นาทฺทสา’’ติ? โจเทสุํฯ โส ทิสฺวาปิ โกธวเสน ‘‘นาทฺทส’’นฺติ อาหฯ อาวุโส อาฬวก, ปเสฺสยฺยาสิ วา ตฺวํ, น วา, โก ตยา อโตฺถ ปสฺสตา วา อปสฺสตา วา? กิํ ตฺวํ กริสฺสสิ อมฺหากํ สตฺถุโน, โย ตฺวํ ตํ อุปนิธาย จลกฺกกุธ-มหาอุสภสมีเป ตทหุชาตวจฺฉโก วิย, ติธา ปภินฺนมตฺตวารณสมีเป ภิงฺกโปตโก วิย, ภาสุรวิลมฺพิตเกสรโสภิตกฺขนฺธสฺส มิครโญฺญ สมีเป ชรสิงฺคาโล วิย, ทิยฑฺฒโยชนสตปวฑฺฒกายสุปณฺณราชสมีเป ฉินฺนปกฺขกากโปตโก วิย ขายสิ, คจฺฉ ยํ เต กรณียํ, ตํ กโรหีติฯ เอวํ วุเตฺต ทุโฎฺฐ อาฬวโก อุฎฺฐหิตฺวา มโนสิลาตเล วามปาเทน ฐตฺวา – ‘‘ปสฺสถ ทานิ ตุมฺหากํ วา สตฺถา มหานุภาโว, อหํ วา’’ติ ทกฺขิณปาเทน สฎฺฐิโยชนมตฺตํ เกลาสปพฺพตกูฎํ อกฺกมิฯ ตํ อโยกูฎปหโฎ วิย นิทฺธนฺตอโยปิโณฺฑ ปปฎิกาโย มุญฺจิ, โส ตตฺร ฐตฺวา, ‘‘อหํ อาฬวโก’’ติ อุโคฺฆเสสิฯ สกลชมฺพุทีปํ สโทฺท ผริฯ

    Atha kho āḷavako…pe… etadavoca – ‘‘nikkhama, samaṇā’’ti kasmā panāyaṃ etadavoca? Rosetukāmatāya. Tatrevaṃ ādito pabhuti sambandho veditabbo – ayaṃ hi yasmā assaddhassa saddhākathā dukkathā hoti dussīlādīnaṃ sīlādikathā viya, tasmā tesaṃ yakkhānaṃ santikā bhagavato pasaṃsaṃ sutvāyeva aggimhi pakkhittaloṇasakkharā viya abbhantare kopena taṭataṭāyamānahadayo hutvā ‘‘ko so bhagavā nāma, yo mama bhavanaṃ paviṭṭho’’ti āha. Te ahaṃsu – ‘‘na tvaṃ, āvuso, jānāsi bhagavantaṃ amhākaṃ satthāraṃ, yo tusitabhavane ṭhito pañcamahāvilokitaṃ viloketvā’’tiādinā nayena yāva dhammacakkapavattanā kathentā paṭisandhiādīsu dvattiṃsa pubbanimittāni vatvā, ‘‘imānipi tvaṃ, āvuso, acchariyāni nāddasā’’ti? Codesuṃ. So disvāpi kodhavasena ‘‘nāddasa’’nti āha. Āvuso āḷavaka, passeyyāsi vā tvaṃ, na vā, ko tayā attho passatā vā apassatā vā? Kiṃ tvaṃ karissasi amhākaṃ satthuno, yo tvaṃ taṃ upanidhāya calakkakudha-mahāusabhasamīpe tadahujātavacchako viya, tidhā pabhinnamattavāraṇasamīpe bhiṅkapotako viya, bhāsuravilambitakesarasobhitakkhandhassa migarañño samīpe jarasiṅgālo viya, diyaḍḍhayojanasatapavaḍḍhakāyasupaṇṇarājasamīpe chinnapakkhakākapotako viya khāyasi, gaccha yaṃ te karaṇīyaṃ, taṃ karohīti. Evaṃ vutte duṭṭho āḷavako uṭṭhahitvā manosilātale vāmapādena ṭhatvā – ‘‘passatha dāni tumhākaṃ vā satthā mahānubhāvo, ahaṃ vā’’ti dakkhiṇapādena saṭṭhiyojanamattaṃ kelāsapabbatakūṭaṃ akkami. Taṃ ayokūṭapahaṭo viya niddhantaayopiṇḍo papaṭikāyo muñci, so tatra ṭhatvā, ‘‘ahaṃ āḷavako’’ti ugghosesi. Sakalajambudīpaṃ saddo phari.

    จตฺตาโร กิร สทฺทา สกลชมฺพุทีเป สูยิํสุ – ยญฺจ ปุณฺณโก ยกฺขเสนาปติ ธนญฺชยโกรพฺยราชานํ ชูตํ ชินิตฺวา อโปฺผเฎตฺวา ‘‘อหํ ชินิ’’นฺติ อุโคฺฆเสสิ; ยญฺจ สโกฺก เทวานมิโนฺท กสฺสปภควโต สาสเน โอสกฺกเนฺต วิสฺสกมฺมเทวปุตฺตํ สุนขํ กริตฺวา – ‘‘อหํ ปาปภิกฺขู จ ปาปภิกฺขุนิโย จ อุปาสเก จ อุปาสิกาโย จ สเพฺพว จ อธมฺมวาทิโน ขาทามี’’ติ อุโคฺฆสาเปสิ; ยญฺจ กุสชาตเก ปภาวติเหตุ สตฺตหิ ราชูหิ นคเร อุปรุเทฺธ ปภาวติํ อตฺตนา สห หตฺถิกฺขเนฺธ อาโรเปตฺวา นครา นิกฺขมฺม – ‘‘อหํ สีหสฺสรมหากุสราชา’’ติ มหาปุริโส อุโคฺฆเสสิ; ยญฺจ เกลาสมุทฺธนิ ฐตฺวา อาฬวโกติฯ ตทา หิ สกลชมฺพุทีเป ทฺวาเร ฐตฺวา อุโคฺฆสิตสทิสํ อโหสิฯ ติโยชนสหสฺสวิตฺถโต จ หิมวาปิ สงฺกมฺปิ ยกฺขสฺสานุภาเวนฯ

    Cattāro kira saddā sakalajambudīpe sūyiṃsu – yañca puṇṇako yakkhasenāpati dhanañjayakorabyarājānaṃ jūtaṃ jinitvā apphoṭetvā ‘‘ahaṃ jini’’nti ugghosesi; yañca sakko devānamindo kassapabhagavato sāsane osakkante vissakammadevaputtaṃ sunakhaṃ karitvā – ‘‘ahaṃ pāpabhikkhū ca pāpabhikkhuniyo ca upāsake ca upāsikāyo ca sabbeva ca adhammavādino khādāmī’’ti ugghosāpesi; yañca kusajātake pabhāvatihetu sattahi rājūhi nagare uparuddhe pabhāvatiṃ attanā saha hatthikkhandhe āropetvā nagarā nikkhamma – ‘‘ahaṃ sīhassaramahākusarājā’’ti mahāpuriso ugghosesi; yañca kelāsamuddhani ṭhatvā āḷavakoti. Tadā hi sakalajambudīpe dvāre ṭhatvā ugghositasadisaṃ ahosi. Tiyojanasahassavitthato ca himavāpi saṅkampi yakkhassānubhāvena.

    โส วาตมณฺฑลํ สมุฎฺฐาเปสิ – ‘‘เอเตเนว สมณํ ปลาเปสฺสามี’’ติ ฯ เต ปุรตฺถิมาทิเภทา วาตา สมุฎฺฐหิตฺวา อฑฺฒโยชนโยชนทฺวิโยชนติโยชนปฺปมาณานิ ปพฺพตกูฎานิ ปทาเลตฺวา วนคจฺฉรุกฺขาทีนิ อุมฺมูลํ กตฺวา, อาฬวินครํ ปกฺขนฺตา ชิณฺณหตฺถิสาลาทีนิ จุเณฺณนฺตา ฉทนิฎฺฐกา อากาเส วิธเมนฺตาฯ ภควา ‘‘มา กสฺสจิ อุปโรโธ โหตู’’ติ อธิฎฺฐาสิฯ เต วาตา ทสพลํ ปตฺวา จีวรกณฺณมตฺตมฺปิ จาเลตุํ นาสกฺขิํสุฯ ตโต มหาวสฺสํ สมุฎฺฐาเปสิฯ ‘‘อุทเกน อโชฺฌตฺถริตฺวา สมณํ มาเรสฺสามี’’ติฯ ตสฺสานุภาเวน อุปรูปริ สตปฎลสหสฺสปฎลาทิเภทา วลาหกา อุฎฺฐหิตฺวา ปวสฺสิํสุฯ วุฎฺฐิธาราเวเคน ปถวี ฉิทฺทา อโหสิฯ วนรุกฺขาทีนํ อุปริ มโหโฆ อาคนฺตฺวา ทสพลสฺส จีวเร อุสฺสาวพินฺทุมตฺตมฺปิ เตเมตุํ นาสกฺขิฯ ตโต ปาสาณวสฺสํ สมุฎฺฐาเปสิฯ มหนฺตานิ มหนฺตานิ ปพฺพตกูฎานิ ธูมายนฺตานิ ปชฺชลนฺตานิ อากาเสนาคนฺตฺวา ทสพลํ ปตฺวา ทิพฺพมาลาคุฬานิ สมฺปชฺชิํสุฯ ตโต ปหรณวสฺสํ สมุฎฺฐาเปสิฯ เอกโตธาราอุภโตธาราอสิสตฺติขุรปฺปาทโย ธูมายนฺตา ปชฺชลนฺตา อากาเสนาคนฺตฺวา ทสพลํ ปตฺวา ทิพฺพปุปฺผานิ อเหสุํฯ ตโต องฺคารวสฺสํ สมุฎฺฐาเปสิฯ กิํสุก วณฺณา องฺคารา อากาเสนาคนฺตฺวา ทสพลสฺส ปาทมูเล ทิพฺพปุปฺผานิ หุตฺวา วิกีรยิํสุฯ ตโต กุกฺกุลวสฺสํ สมุฎฺฐาเปสิฯ อจฺจุณฺหา กุกฺกุลา อากาเสนาคนฺตฺวา ทสพลสฺส ปาทมูเล จนฺทนจุณฺณํ หุตฺวา นิปติํสุฯ ตโต วาลิกวสฺสํ สมุฎฺฐาเปสิฯ อติสุขุมวาลิกา ธูมายนฺตา ปชฺชลนฺตา อากาเสนาคนฺตฺวา ทสพลสฺส ปาทมูเล ทิพฺพปุปฺผานิ หุตฺวา นิปติํสุฯ ตโต กลลวสฺสํ สมุฎฺฐาเปสิฯ ตํ กลลวสฺสํ ธูมายนฺตํ ปชฺชลนฺตํ อากาเสนาคนฺตฺวา ทสพลสฺส ปาทมูเล ทิพฺพคนฺธํ หุตฺวา นิปติฯ ตโต อนฺธการํ สมุฎฺฐาเปสิ ‘‘ภิํเสตฺวา สมณํ ปลาเปสฺสามี’’ติฯ ตํ จตุรงฺคสมนฺนาคตํ อนฺธการสทิสํ หุตฺวา ทสพลํ ปตฺวา สูริยปฺปภาวิหตมิว อนฺธการํ อนฺตรธายิฯ

    So vātamaṇḍalaṃ samuṭṭhāpesi – ‘‘eteneva samaṇaṃ palāpessāmī’’ti . Te puratthimādibhedā vātā samuṭṭhahitvā aḍḍhayojanayojanadviyojanatiyojanappamāṇāni pabbatakūṭāni padāletvā vanagaccharukkhādīni ummūlaṃ katvā, āḷavinagaraṃ pakkhantā jiṇṇahatthisālādīni cuṇṇentā chadaniṭṭhakā ākāse vidhamentā. Bhagavā ‘‘mā kassaci uparodho hotū’’ti adhiṭṭhāsi. Te vātā dasabalaṃ patvā cīvarakaṇṇamattampi cāletuṃ nāsakkhiṃsu. Tato mahāvassaṃ samuṭṭhāpesi. ‘‘Udakena ajjhottharitvā samaṇaṃ māressāmī’’ti. Tassānubhāvena uparūpari satapaṭalasahassapaṭalādibhedā valāhakā uṭṭhahitvā pavassiṃsu. Vuṭṭhidhārāvegena pathavī chiddā ahosi. Vanarukkhādīnaṃ upari mahogho āgantvā dasabalassa cīvare ussāvabindumattampi temetuṃ nāsakkhi. Tato pāsāṇavassaṃ samuṭṭhāpesi. Mahantāni mahantāni pabbatakūṭāni dhūmāyantāni pajjalantāni ākāsenāgantvā dasabalaṃ patvā dibbamālāguḷāni sampajjiṃsu. Tato paharaṇavassaṃ samuṭṭhāpesi. Ekatodhārāubhatodhārāasisattikhurappādayo dhūmāyantā pajjalantā ākāsenāgantvā dasabalaṃ patvā dibbapupphāni ahesuṃ. Tato aṅgāravassaṃ samuṭṭhāpesi. Kiṃsuka vaṇṇā aṅgārā ākāsenāgantvā dasabalassa pādamūle dibbapupphāni hutvā vikīrayiṃsu. Tato kukkulavassaṃ samuṭṭhāpesi. Accuṇhā kukkulā ākāsenāgantvā dasabalassa pādamūle candanacuṇṇaṃ hutvā nipatiṃsu. Tato vālikavassaṃ samuṭṭhāpesi. Atisukhumavālikā dhūmāyantā pajjalantā ākāsenāgantvā dasabalassa pādamūle dibbapupphāni hutvā nipatiṃsu. Tato kalalavassaṃ samuṭṭhāpesi. Taṃ kalalavassaṃ dhūmāyantaṃ pajjalantaṃ ākāsenāgantvā dasabalassa pādamūle dibbagandhaṃ hutvā nipati. Tato andhakāraṃ samuṭṭhāpesi ‘‘bhiṃsetvā samaṇaṃ palāpessāmī’’ti. Taṃ caturaṅgasamannāgataṃ andhakārasadisaṃ hutvā dasabalaṃ patvā sūriyappabhāvihatamiva andhakāraṃ antaradhāyi.

    เอวํ ยโกฺข อิมาหิ นวหิ วาตวสฺสปาสาณปหรณงฺคารกุกฺกุลวาลิกกลลนฺธการวุฎฺฐีหิ ภควนฺตํ ปลาเปตุํ อสโกฺกโนฺต นานาวิธปหรณหตฺถาย อเนกปฺปการรูปภูตคณสมากุลาย จตุรงฺคินิยา เสนาย สยเมว ภควนฺตํ อภิคโตฯ เต ภูตคณา อเนกปฺปกาเร วิกาเร กตฺวา ‘‘คณฺหถ หนถา’’ติ ภควโต อุปริ อาคจฺฉนฺตา วิย โหนฺติฯ อปิจ โข นิทฺธนฺตโลหปิณฺฑํ วิย มกฺขิกา, ภควนฺตํ อลฺลียิตุํ อสมตฺถาว อเหสุํฯ เอวํ สเนฺตปิ ยถา โพธิมเณฺฑ มาโร อาคตเวลายเมว นิวโตฺต, ตถา อนิวเตฺตตฺวา อุปฑฺฒรตฺติมตฺตํ พฺยากุลมกํสุฯ เอวํ อุปฑฺฒรตฺติมตฺตํ อเนกปฺปการวิภิํสนกทสฺสเนนปิ ภควนฺตํ จาเลตุํ อสโกฺกโนฺต อาฬวโก จิเนฺตสิ – ‘‘ยํนูนาหํ เกนจิ อเชยฺยํ ทุสฺสาวุธํ มุเญฺจยฺย’’นฺติฯ

    Evaṃ yakkho imāhi navahi vātavassapāsāṇapaharaṇaṅgārakukkulavālikakalalandhakāravuṭṭhīhi bhagavantaṃ palāpetuṃ asakkonto nānāvidhapaharaṇahatthāya anekappakārarūpabhūtagaṇasamākulāya caturaṅginiyā senāya sayameva bhagavantaṃ abhigato. Te bhūtagaṇā anekappakāre vikāre katvā ‘‘gaṇhatha hanathā’’ti bhagavato upari āgacchantā viya honti. Apica kho niddhantalohapiṇḍaṃ viya makkhikā, bhagavantaṃ allīyituṃ asamatthāva ahesuṃ. Evaṃ santepi yathā bodhimaṇḍe māro āgatavelāyameva nivatto, tathā anivattetvā upaḍḍharattimattaṃ byākulamakaṃsu. Evaṃ upaḍḍharattimattaṃ anekappakāravibhiṃsanakadassanenapi bhagavantaṃ cāletuṃ asakkonto āḷavako cintesi – ‘‘yaṃnūnāhaṃ kenaci ajeyyaṃ dussāvudhaṃ muñceyya’’nti.

    จตฺตาริ กิร อาวุธานิ โลเก เสฎฺฐานิ – สกฺกสฺส วชิราวุธํ, เวสฺสวณสฺส คทาวุธํ, ยมสฺส นยนาวุธํ, อาฬวกสฺส ทุสฺสาวุธนฺติฯ ยทิ หิ สโกฺก ทุโฎฺฐ วชิราวุธํ สิเนรุมตฺถเก ปหเรยฺย, อฎฺฐสฎฺฐิสหสฺสาธิกโยชนสตสหสฺสํ วินิวิชฺฌิตฺวา เหฎฺฐโต คเจฺฉยฺยฯ เวสฺสวเณน กุชฺฌนกาเล วิสฺสชฺชิตํ คทาวุธํ พหูนํ ยกฺขสหสฺสานํ สีสํ ปาเตตฺวา ปุน หตฺถปาสํ อาคนฺตฺวา ติฎฺฐติฯ ยเมน ทุเฎฺฐน นยนาวุเธน โอโลกิตมเตฺต อเนกานิ กุมฺภณฺฑสหสฺสานิ ตตฺตกปาเล ติลา วิย ผรนฺตานิ วินสฺสนฺติฯ อาฬวโก ทุโฎฺฐ สเจ อากาเส ทุสฺสาวุธํ มุเญฺจยฺย, ทฺวาทส วสฺสานิ เทโว น วเสฺสยฺยฯ สเจ ปถวิยํ มุเญฺจยฺยฯ สพฺพรุกฺขติณาทีนิ สุสฺสิตฺวา ทฺวาทสวสฺสนฺตเร น ปุน วิรุเหยฺยุํฯ สเจ สมุเทฺท มุเญฺจยฺย, ตตฺตกปาเล อุทกพินฺทุ วิย สพฺพมุทกํ สุเสฺสยฺยฯ สเจ สิเนรุสทิเสปิ ปพฺพเต มุเญฺจยฺย, ขณฺฑาขณฺฑํ หุตฺวา วิกิเรยฺยฯ โส เอวํ มหานุภาวํ ทุสฺสาวุธํ อุตฺตริสาฎกํ มุญฺจิตฺวา อคฺคเหสิฯ เยภุเยฺยน ทสสหสฺสีโลกธาตุเทวตา เวเคน สนฺนิปติํสุ ‘‘อชฺช ภควา อาฬวกํ ทเมสฺสติ, ตตฺถ ธมฺมํ โสสฺสามา’’ติ ยุทฺธทสฺสนกามาปิ เทวตา สนฺนิปติํสุฯ เอวํ สกลมฺปิ อากาสํ เทวตาหิ ปริปุณฺณมโหสิฯ

    Cattāri kira āvudhāni loke seṭṭhāni – sakkassa vajirāvudhaṃ, vessavaṇassa gadāvudhaṃ, yamassa nayanāvudhaṃ, āḷavakassa dussāvudhanti. Yadi hi sakko duṭṭho vajirāvudhaṃ sinerumatthake pahareyya, aṭṭhasaṭṭhisahassādhikayojanasatasahassaṃ vinivijjhitvā heṭṭhato gaccheyya. Vessavaṇena kujjhanakāle vissajjitaṃ gadāvudhaṃ bahūnaṃ yakkhasahassānaṃ sīsaṃ pātetvā puna hatthapāsaṃ āgantvā tiṭṭhati. Yamena duṭṭhena nayanāvudhena olokitamatte anekāni kumbhaṇḍasahassāni tattakapāle tilā viya pharantāni vinassanti. Āḷavako duṭṭho sace ākāse dussāvudhaṃ muñceyya, dvādasa vassāni devo na vasseyya. Sace pathaviyaṃ muñceyya. Sabbarukkhatiṇādīni sussitvā dvādasavassantare na puna viruheyyuṃ. Sace samudde muñceyya, tattakapāle udakabindu viya sabbamudakaṃ susseyya. Sace sinerusadisepi pabbate muñceyya, khaṇḍākhaṇḍaṃ hutvā vikireyya. So evaṃ mahānubhāvaṃ dussāvudhaṃ uttarisāṭakaṃ muñcitvā aggahesi. Yebhuyyena dasasahassīlokadhātudevatā vegena sannipatiṃsu ‘‘ajja bhagavā āḷavakaṃ damessati, tattha dhammaṃ sossāmā’’ti yuddhadassanakāmāpi devatā sannipatiṃsu. Evaṃ sakalampi ākāsaṃ devatāhi paripuṇṇamahosi.

    อถ อาฬวโก ภควโต สมีเป อุปรูปริ วิจริตฺวา วตฺถาวุธํ มุญฺจิฯ ตํ อสนิวิจกฺกํ วิย อากาเส เภรวสทฺทํ กโรนฺตํ ธูมายนฺตํ ปชฺชลนฺตํ ภควนฺตํ ปตฺวา ยกฺขมานมทฺทนตฺถํ ปาทปุญฺฉนโจฬํ หุตฺวา ปาทมูเล นิปติฯ อาฬวโก ตํ ทิสฺวา ฉินฺนวิสาโณ วิย อุสโภ อุทฺธตทาโฐ วิย สโปฺป นิเตฺตโช นิมฺมโท นิปติตมานทฺธโช หุตฺวา จิเนฺตสิ – ‘‘ทุสฺสาวุธมฺปิ เม สมณํ นาภิโภสิฯ กิํ นุ โข การณ’’นฺติ? ‘‘อิทํ การณํ, เมตฺตาวิหารยุโตฺต สมโณ, หนฺท นํ โรเสตฺวา เมตฺตาย วิโยเชมี’’ติ อิมินา สมฺพเนฺธเนตํ วุตฺตํ – อถ โข อาฬวโก ยโกฺข เยน ภควา…เป.… นิกฺขม สมณาติฯ ตตฺถายมธิปฺปาโย – กสฺมา มยา อนนุญฺญาโต มม ภวนํ ปวิสิตฺวา ฆรสามิโก วิย อิตฺถาคารสฺส มเชฺฌ นิสิโนฺนสิ? อนนุยุตฺตเมตํ สมณสฺส ยทิทํ อทินฺนปริโภโค อิตฺถิสํสโคฺค จ? ตสฺมา ยทิ ตฺวํ สมณธเมฺม ฐิโต, นิกฺขม สมณาติฯ เอเก ปน – ‘‘เอตานิ อญฺญานิ จ ผรุสวจนานิ วตฺวา เอวายํ เอตทโวจา’’ติ ภณนฺติฯ

    Atha āḷavako bhagavato samīpe uparūpari vicaritvā vatthāvudhaṃ muñci. Taṃ asanivicakkaṃ viya ākāse bheravasaddaṃ karontaṃ dhūmāyantaṃ pajjalantaṃ bhagavantaṃ patvā yakkhamānamaddanatthaṃ pādapuñchanacoḷaṃ hutvā pādamūle nipati. Āḷavako taṃ disvā chinnavisāṇo viya usabho uddhatadāṭho viya sappo nittejo nimmado nipatitamānaddhajo hutvā cintesi – ‘‘dussāvudhampi me samaṇaṃ nābhibhosi. Kiṃ nu kho kāraṇa’’nti? ‘‘Idaṃ kāraṇaṃ, mettāvihārayutto samaṇo, handa naṃ rosetvā mettāya viyojemī’’ti iminā sambandhenetaṃ vuttaṃ – atha kho āḷavako yakkho yena bhagavā…pe… nikkhama samaṇāti. Tatthāyamadhippāyo – kasmā mayā ananuññāto mama bhavanaṃ pavisitvā gharasāmiko viya itthāgārassa majjhe nisinnosi? Ananuyuttametaṃ samaṇassa yadidaṃ adinnaparibhogo itthisaṃsaggo ca? Tasmā yadi tvaṃ samaṇadhamme ṭhito, nikkhama samaṇāti. Eke pana – ‘‘etāni aññāni ca pharusavacanāni vatvā evāyaṃ etadavocā’’ti bhaṇanti.

    อถ ภควา – ‘‘ยสฺมา ถโทฺธ ปฎิถทฺธภาเวน วิเนตุํ น สกฺกา, โส หิ ปฎิถทฺธภาเว กยิรมาเน, เสยฺยถาปิ จณฺฑสฺส กุกฺกุรสฺส นาสาย ปิตฺตํ ภิเนฺทยฺย, โส ภิโยฺยโสมตฺตาย จณฺฑตโร อสฺส, เอวํ ถทฺธตโร โหติ, มุทุนา ปน โส สกฺกา วิเนตุ’’นฺติ ญตฺวา, สาธาวุโสติ ปิยวจเนน ตสฺส วจนํ สมฺปฎิจฺฉิตฺวา นิกฺขมิฯ เตน วุตฺตํ สาธาวุโสติ ภควา นิกฺขมีติฯ

    Atha bhagavā – ‘‘yasmā thaddho paṭithaddhabhāvena vinetuṃ na sakkā, so hi paṭithaddhabhāve kayiramāne, seyyathāpi caṇḍassa kukkurassa nāsāya pittaṃ bhindeyya, so bhiyyosomattāya caṇḍataro assa, evaṃ thaddhataro hoti, mudunā pana so sakkā vinetu’’nti ñatvā, sādhāvusoti piyavacanena tassa vacanaṃ sampaṭicchitvā nikkhami. Tena vuttaṃ sādhāvusoti bhagavā nikkhamīti.

    ตโต อาฬวโก – ‘‘สุพฺพโจ วตายํ สมโณ เอกวจเนเนว นิกฺขโนฺต, เอวํ นาม นิกฺขเมตุํ สุขํ สมณํ อการเณเนวาหํ สกลรตฺติํ ยุเทฺธน อพฺภุยฺยาสิ’’นฺติ มุทุจิโตฺต หุตฺวา ปุน จิเนฺตสิ – ‘‘อิทานิปิ น สกฺกา ชานิตุํ, กิํ นุ โข สุพฺพจตาย นิกฺขโนฺต อุทาหุ โกธโน ฯ หนฺทาหํ วีมํสามี’’ติฯ ตโต ปวิส, สมณาติ อาหฯ อถ สุพฺพโจติ มุทุภูตจิตฺตววตฺถานกรณตฺถํ ปุน ปิยวจนํ วทโนฺต สาธาวุโสติ ภควา ปาวิสิฯ อาฬวโก ปุนปฺปุนํ ตเมว สุพฺพจภาวํ วีมํสโนฺต ทุติยมฺปิ ตติยมฺปิ นิกฺขม ปวิสาติ อาหฯ ภควาปิ ตถา อกาสิฯ ยทิ น กเรยฺย, ปกติยาปิ ถทฺธยกฺขสฺส จิตฺตํ ถทฺธตรํ หุตฺวา ธมฺมกถาย ภาชนํ น ภเวยฺยฯ ตสฺมา ยถา นาม มาตา โรทนฺตํ ปุตฺตกํ ยํ โส อิจฺฉติ, ตํ ทตฺวา วา กตฺวา วา สญฺญาเปสิ ตถา ภควา กิเลสโรทเนน โรทนฺตํ ยกฺขํ สญฺญาเปตุํ ยํ โส ภณติ, ตํ อกาสิฯ ยถา จ ธาตี ถญฺญํ อปิวนฺตํ ทารกํ กิญฺจิ ทตฺวา อุปลาเฬตฺวา ปาเยติ, ตถา ภควา ยกฺขํ โลกุตฺตรธมฺมขีรํ ปาเยตุํ ตสฺส ปตฺถิตวจนกรเณน อุปลาเฬโนฺต เอวมกาสิฯ ยถา จ ปุริโส ลาพุมฺหิ จตุมธุรํ ปูเรตุกาโม ตสฺสพฺภนฺตรํ โสเธติ, เอวํ ภควา ยกฺขสฺส จิเตฺต โลกุตฺตรจตุมธุรํ ปูเรตุกาโม ตสฺสพฺภนฺตเร โกธมลํ โสเธตุํ ยาว ตติยํ นิกฺขมนปวิสนํ อกาสิฯ

    Tato āḷavako – ‘‘subbaco vatāyaṃ samaṇo ekavacaneneva nikkhanto, evaṃ nāma nikkhametuṃ sukhaṃ samaṇaṃ akāraṇenevāhaṃ sakalarattiṃ yuddhena abbhuyyāsi’’nti muducitto hutvā puna cintesi – ‘‘idānipi na sakkā jānituṃ, kiṃ nu kho subbacatāya nikkhanto udāhu kodhano . Handāhaṃ vīmaṃsāmī’’ti. Tato pavisa, samaṇāti āha. Atha subbacoti mudubhūtacittavavatthānakaraṇatthaṃ puna piyavacanaṃ vadanto sādhāvusoti bhagavā pāvisi. Āḷavako punappunaṃ tameva subbacabhāvaṃ vīmaṃsanto dutiyampi tatiyampi nikkhama pavisāti āha. Bhagavāpi tathā akāsi. Yadi na kareyya, pakatiyāpi thaddhayakkhassa cittaṃ thaddhataraṃ hutvā dhammakathāya bhājanaṃ na bhaveyya. Tasmā yathā nāma mātā rodantaṃ puttakaṃ yaṃ so icchati, taṃ datvā vā katvā vā saññāpesi tathā bhagavā kilesarodanena rodantaṃ yakkhaṃ saññāpetuṃ yaṃ so bhaṇati, taṃ akāsi. Yathā ca dhātī thaññaṃ apivantaṃ dārakaṃ kiñci datvā upalāḷetvā pāyeti, tathā bhagavā yakkhaṃ lokuttaradhammakhīraṃ pāyetuṃ tassa patthitavacanakaraṇena upalāḷento evamakāsi. Yathā ca puriso lābumhi catumadhuraṃ pūretukāmo tassabbhantaraṃ sodheti, evaṃ bhagavā yakkhassa citte lokuttaracatumadhuraṃ pūretukāmo tassabbhantare kodhamalaṃ sodhetuṃ yāva tatiyaṃ nikkhamanapavisanaṃ akāsi.

    อถ อาฬวโก ‘‘สุพฺพโจ อยํ สมโณ ‘นิกฺขมา’ติ วุโตฺต นิกฺขมติ, ‘ปวิสา’ติ วุโตฺต ปวิสติฯ ยํนูนาหํ อิมํ สมณํ เอวเมว สกลรตฺติํ กิลเมตฺวา ปาเท คเหตฺวา ปารคงฺคาย ขิเปยฺย’’นฺติ? ปาปกํ จิตฺตํ อุปฺปาเทตฺวา จตุตฺถวารํ อาห นิกฺขม, สมณาติฯ ตํ ญตฺวา ภควา น ขฺวาหํ ตนฺติ อาหฯ เอวํ วา วุเตฺต ตทุตฺตริกรณียํ ปริเยสมาโน ปญฺหํ ปุจฺฉิตพฺพํ มญฺญิสฺสติฯ ตํ ธมฺมกถาย มุขํ ภวิสฺสตีติ ญตฺวา, น ขฺวาหํ ตนฺติ อาหฯ ตตฺถ -อิติ ปฎิเกฺขเปฯ โขติ อวธารเณฯ อหนฺติ อตฺตนิทสฺสนํฯ นฺติ เหตุวจนํฯ เตเนเวตฺถ ‘‘ยสฺมา ตฺวํ เอวํ จิเนฺตสิ, ตสฺมา อหํ, อาวุโส, เนว นิกฺขมิสฺสามิ, ยํ เต กรณียํ, ตํ กโรหี’’ติ เอวมโตฺถ ทฎฺฐโพฺพฯ

    Atha āḷavako ‘‘subbaco ayaṃ samaṇo ‘nikkhamā’ti vutto nikkhamati, ‘pavisā’ti vutto pavisati. Yaṃnūnāhaṃ imaṃ samaṇaṃ evameva sakalarattiṃ kilametvā pāde gahetvā pāragaṅgāya khipeyya’’nti? Pāpakaṃ cittaṃ uppādetvā catutthavāraṃ āha nikkhama, samaṇāti. Taṃ ñatvā bhagavā na khvāhaṃ tanti āha. Evaṃ vā vutte taduttarikaraṇīyaṃ pariyesamāno pañhaṃ pucchitabbaṃ maññissati. Taṃ dhammakathāya mukhaṃ bhavissatīti ñatvā, na khvāhaṃ tanti āha. Tattha na-iti paṭikkhepe. Khoti avadhāraṇe. Ahanti attanidassanaṃ. Tanti hetuvacanaṃ. Tenevettha ‘‘yasmā tvaṃ evaṃ cintesi, tasmā ahaṃ, āvuso, neva nikkhamissāmi, yaṃ te karaṇīyaṃ, taṃ karohī’’ti evamattho daṭṭhabbo.

    ตโต อาฬวโก ยสฺมา ปุเพฺพปิ อากาเสน คมนเวลาย – ‘‘กิํ นุ โข เอตํ สุวณฺณวิมานํ, อุทาหุ รชตมณิวิมานานํ อญฺญตรํ, หนฺท นํ ปสฺสามา’’ติ เอวํ อตฺตโน วิมานํ อาคเต อิทฺธิมเนฺต ตาปสปริพฺพาชเก ปญฺหํ ปุจฺฉิตฺวา วิสฺสเชฺชตุํ อสโกฺกเนฺต จิตฺตเกฺขปาทีหิ วิเหเฐติ, ตสฺมา ภควนฺตมฺปิ ตถา วิเหเฐสฺสามีติ มญฺญมาโน ปญฺหํ ตนฺติอาทิมาหฯ

    Tato āḷavako yasmā pubbepi ākāsena gamanavelāya – ‘‘kiṃ nu kho etaṃ suvaṇṇavimānaṃ, udāhu rajatamaṇivimānānaṃ aññataraṃ, handa naṃ passāmā’’ti evaṃ attano vimānaṃ āgate iddhimante tāpasaparibbājake pañhaṃ pucchitvā vissajjetuṃ asakkonte cittakkhepādīhi viheṭheti, tasmā bhagavantampi tathā viheṭhessāmīti maññamāno pañhaṃ tantiādimāha.

    กุโต ปนสฺส ปญฺหาติ ? ตสฺส กิร มาตาปิตโร กสฺสปํ ภควนฺตํ ปยิรุปาสิตฺวา อฎฺฐ ปเญฺห สห วิสฺสชฺชเนน อุคฺคเหสุํฯ เต ทหรกาเล อาฬวกํ ปริยาปุณาเปสุํ; โส กาลจฺจเยน วิสฺสชฺชนํ สมฺมุสฺสิฯ ตโต ‘‘อิเม ปญฺหาปิ มา วินสฺสนฺตู’’ติ สุวณฺณปเฎฺฐ ชาติหิงฺคุลเกน เลขาเปตฺวา วิมาเน นิกฺขิปิฯ เอวเมเต ปุฎฺฐปญฺหา พุทฺธวิสยาว โหนฺติฯ ภควา ตํ สุตฺวา ยสฺมา พุทฺธานํ ปริจฺจตฺตลาภนฺตราโย วา ชีวิตนฺตราโย วา สพฺพญฺญุตญฺญาณพฺยามปฺปภาทิปฎิฆาโต วา น สกฺกา เกนจิ กาตุํ, ตสฺมา นํ โลเก อสาธารณํ พุทฺธานุภาวํ ทเสฺสโนฺต น ขฺวาหํ ตํ, อาวุโส, ปสฺสามิ สเทวเก โลเกติอาทิมาหฯ

    Kuto panassa pañhāti ? Tassa kira mātāpitaro kassapaṃ bhagavantaṃ payirupāsitvā aṭṭha pañhe saha vissajjanena uggahesuṃ. Te daharakāle āḷavakaṃ pariyāpuṇāpesuṃ; so kālaccayena vissajjanaṃ sammussi. Tato ‘‘ime pañhāpi mā vinassantū’’ti suvaṇṇapaṭṭhe jātihiṅgulakena lekhāpetvā vimāne nikkhipi. Evamete puṭṭhapañhā buddhavisayāva honti. Bhagavā taṃ sutvā yasmā buddhānaṃ pariccattalābhantarāyo vā jīvitantarāyo vā sabbaññutaññāṇabyāmappabhādipaṭighāto vā na sakkā kenaci kātuṃ, tasmā naṃ loke asādhāraṇaṃ buddhānubhāvaṃ dassento na khvāhaṃ taṃ, āvuso, passāmi sadevake loketiādimāha.

    เอวํ ภควา ตสฺส พาธนจิตฺตํ ปฎิเสเธตฺวา ปญฺหาปุจฺฉเน อุสฺสาหํ ชเนโนฺต อาห อปิจ ตฺวํ, อาวุโส, ปุจฺฉ, ยทากงฺขสีติฯ ตสฺสโตฺถ – ปุจฺฉ, ยทิ อากางฺขสิ, น เม ปญฺหาวิสฺสชฺชเน ภาโร อตฺถิฯ อถ วา ปุจฺฉ, ยํ อากงฺขสิฯ สพฺพํ เต วิสฺสเชฺชสฺสามีติ สพฺพญฺญุปวารณํ ปวาเรสิ อสาธารณํ ปเจฺจกพุทฺธอคฺคสาวกมหาสาวเกหิฯ เอวํ ภควโต สพฺพญฺญุปวารณาย ปวาริตาย อถ โข อาฬวโก ยโกฺข ภควนฺตํ คาถาย อชฺฌภาสิ

    Evaṃ bhagavā tassa bādhanacittaṃ paṭisedhetvā pañhāpucchane ussāhaṃ janento āha apica tvaṃ, āvuso, puccha, yadākaṅkhasīti. Tassattho – puccha, yadi ākāṅkhasi, na me pañhāvissajjane bhāro atthi. Atha vā puccha, yaṃ ākaṅkhasi. Sabbaṃ te vissajjessāmīti sabbaññupavāraṇaṃ pavāresi asādhāraṇaṃ paccekabuddhaaggasāvakamahāsāvakehi. Evaṃ bhagavato sabbaññupavāraṇāya pavāritāya atha kho āḷavako yakkho bhagavantaṃ gāthāya ajjhabhāsi.

    ตตฺถ กิํ สูธ วิตฺตนฺติ, กิํ สุ อิธ วิตฺตํฯ วิตฺตนฺติ ธนํฯ ตํ หิ ปีติสงฺขาตํ วิตฺติํ กโรติ, ตสฺมา ‘‘วิตฺต’’นฺติ วุจฺจติฯ สุจิณฺณนฺติ สุกตํฯ สุขนฺติ กายิกเจตสิกํ สาตํฯ อาวหาตีติ อาวหติ อาเนติ เทติ อเปฺปติฯ หเว-อิติ ทฬฺหเตฺถ นิปาโตฯ สาทุตรนฺติ อติสเยน สาทุฯ ‘‘สาธุตร’’นฺติปิ ปาโฐฯ รสานนฺติ รสสญฺญิตานํ ธมฺมานํฯ กถนฺติ เกน ปกาเรนฯ กถํชีวิโน ชีวิตํ กถํชีวิํชีวิตํฯ คาถาพนฺธสุขตฺถํ ปน สานุนาสิกํ วุจฺจติฯ กถํชีวิํ ชีวตนฺติ วา ปาโฐ, ตสฺส ‘‘ชีวนฺตานํ กถํชีวิ’’นฺติ อโตฺถฯ เอวํ อิมาย คาถาย ‘‘กิํ สุ อิธ โลเก ปุริสสฺส วิตฺตํ เสฎฺฐํ? กิํ สุ สุจิณฺณํ สุขมาวหาติ? กิํ รสานํ สาทุตรํ? กถํชีวิํ ชีวิตํ เสฎฺฐมาหู’’ติ? อิเม จตฺตาโร ปเญฺห ปุจฺฉิฯ

    Tattha kiṃ sūdha vittanti, kiṃ su idha vittaṃ. Vittanti dhanaṃ. Taṃ hi pītisaṅkhātaṃ vittiṃ karoti, tasmā ‘‘vitta’’nti vuccati. Suciṇṇanti sukataṃ. Sukhanti kāyikacetasikaṃ sātaṃ. Āvahātīti āvahati āneti deti appeti. Have-iti daḷhatthe nipāto. Sādutaranti atisayena sādu. ‘‘Sādhutara’’ntipi pāṭho. Rasānanti rasasaññitānaṃ dhammānaṃ. Kathanti kena pakārena. Kathaṃjīvino jīvitaṃ kathaṃjīviṃjīvitaṃ. Gāthābandhasukhatthaṃ pana sānunāsikaṃ vuccati. Kathaṃjīviṃ jīvatanti vā pāṭho, tassa ‘‘jīvantānaṃ kathaṃjīvi’’nti attho. Evaṃ imāya gāthāya ‘‘kiṃ su idha loke purisassa vittaṃ seṭṭhaṃ? Kiṃ su suciṇṇaṃ sukhamāvahāti? Kiṃ rasānaṃ sādutaraṃ? Kathaṃjīviṃ jīvitaṃ seṭṭhamāhū’’ti? Ime cattāro pañhe pucchi.

    อถสฺส ภควา กสฺสปทสพเลน วิสฺสชฺชิตนเยเนว วิสฺสเชฺชโนฺต อิมํ คาถมาห สทฺธีธ วิตฺตนฺติฯ ตตฺถ ยถา หิรญฺญสุวณฺณาทิ วิตฺตํ อุปโภคสุขํ อาวหติ, ขุปฺปิปาสาทิทุกฺขํ ปฎิพาหติ, ทาลิทฺทิยํ วูปสเมติ, มุตฺตาทิรตนปฎิลาภเหตุ โหติ, โลกสนฺตติญฺจ อาวหติ, เอวํ โลกิยโลกุตฺตรา สทฺธาปิ ยถาสมฺภวํ โลกิยโลกุตฺตรํ วิปากํ สุขมาวหติ, สทฺธาธุเรน ปฎิปนฺนานํ ชาติชราทิทุกฺขํ ปฎิพาหติ, คุณทาลิทฺทิยํ วูปสเมติ, สติสโมฺพชฺฌงฺคาทิรตนปฎิลาภเหตุ โหติฯ

    Athassa bhagavā kassapadasabalena vissajjitanayeneva vissajjento imaṃ gāthamāha saddhīdha vittanti. Tattha yathā hiraññasuvaṇṇādi vittaṃ upabhogasukhaṃ āvahati, khuppipāsādidukkhaṃ paṭibāhati, dāliddiyaṃ vūpasameti, muttādiratanapaṭilābhahetu hoti, lokasantatiñca āvahati, evaṃ lokiyalokuttarā saddhāpi yathāsambhavaṃ lokiyalokuttaraṃ vipākaṃ sukhamāvahati, saddhādhurena paṭipannānaṃ jātijarādidukkhaṃ paṭibāhati, guṇadāliddiyaṃ vūpasameti, satisambojjhaṅgādiratanapaṭilābhahetu hoti.

    ‘‘สโทฺธ สีเลน สมฺปโนฺน, ยโส โภคสมปฺปิโต;

    ‘‘Saddho sīlena sampanno, yaso bhogasamappito;

    ยํ ยํ ปเทสํ ภชติ, ตตฺถ ตเตฺถว ปูชิโต’’ติฯ (ธ. ป. ๓๐๓) –

    Yaṃ yaṃ padesaṃ bhajati, tattha tattheva pūjito’’ti. (dha. pa. 303) –

    วจนโต โลกสนฺตติญฺจ อาวหตีติ กตฺวา ‘‘วิตฺต’’นฺติ วุตฺตํฯ ยสฺมา ปน เตสํ สทฺธาวิตฺตํ อนุคามิกํ อนญฺญสาธารณํ สพฺพสมฺปตฺติเหตุ, โลกิยสฺส หิรญฺญสุวณฺณาทิวิตฺตสฺสาปิ นิทานํฯ สโทฺธเยว หิ ทานาทีนิ ปุญฺญานิ กตฺวา วิตฺตํ อธิคจฺฉติ, อสฺสทฺธสฺส ปน วิตฺตํ ยาวเทว อนตฺถาย โหติ, ตสฺมา เสฎฺฐนฺติ วุตฺตํฯ ปุริสสฺสาติ อุกฺกฎฺฐปริเจฺฉทเทสนาฯ ตสฺมา น เกวลํ ปุริสสฺส, อิตฺถิอาทีนมฺปิ สทฺธาวิตฺตเมว เสฎฺฐนฺติ เวทิตพฺพํฯ

    Vacanato lokasantatiñca āvahatīti katvā ‘‘vitta’’nti vuttaṃ. Yasmā pana tesaṃ saddhāvittaṃ anugāmikaṃ anaññasādhāraṇaṃ sabbasampattihetu, lokiyassa hiraññasuvaṇṇādivittassāpi nidānaṃ. Saddhoyeva hi dānādīni puññāni katvā vittaṃ adhigacchati, assaddhassa pana vittaṃ yāvadeva anatthāya hoti, tasmā seṭṭhanti vuttaṃ. Purisassāti ukkaṭṭhaparicchedadesanā. Tasmā na kevalaṃ purisassa, itthiādīnampi saddhāvittameva seṭṭhanti veditabbaṃ.

    ธโมฺมติ ทสกุสลธโมฺม, ทานสีลภาวนาธโมฺม วาฯ สุจิโณฺณติ สุกโต สุจริโตฯ สุขมาวหตีติ โสณเสฎฺฐิปุตฺตรฎฺฐปาลาทีนํ วิย มนุสฺสสุขํ, สกฺกาทีนํ วิย ทิพฺพสุขํ, ปริโยสาเน มหาปทุมาทีนํ วิย นิพฺพานสุขญฺจ อาวหติฯ

    Dhammoti dasakusaladhammo, dānasīlabhāvanādhammo vā. Suciṇṇoti sukato sucarito. Sukhamāvahatīti soṇaseṭṭhiputtaraṭṭhapālādīnaṃ viya manussasukhaṃ, sakkādīnaṃ viya dibbasukhaṃ, pariyosāne mahāpadumādīnaṃ viya nibbānasukhañca āvahati.

    สจฺจนฺติ อยํ สจฺจสโทฺท อเนเกสุ อเตฺถสุ ทิสฺสติฯ เสยฺยถิทํ – ‘‘สจฺจํ ภเณ น กุเชฺฌยฺยา ’’ ติอาทีสุ (ธ. ป. ๒๒๔) วาจาสเจฺจฯ ‘‘สเจฺจ ฐิตา สมณพฺราหฺมณา จา’’ติอาทีสุ (ชา. ๒.๒๑.๔๓๓) วิรติสเจฺจฯ ‘‘กสฺมา นุ สจฺจานิ วทนฺติ นานา, ปวาทิยาเส กุสลา วทานา’’ติอาทีสุ (สุ. นิ. ๘๙๑) ทิฎฺฐิสเจฺจฯ ‘‘จตฺตาริมานิ, ภิกฺขเว, พฺราหฺมณสจฺจานี’’ติอาทีสุ (อ. นิ. ๔.๑๘๕) พฺราหฺมณสเจฺจฯ ‘‘เอกํ หิ สจฺจํ น ทุติยมตฺถี’’ติอาทีสุ (สุ. นิ. ๘๙๐; มหานิ. ๑๑๙) ปรมตฺถสเจฺจฯ ‘‘จตุนฺนํ สจฺจานํ กติ กุสลา’’ติอาทีสุ (วิภ. ๒๑๖) อริยสเจฺจฯ อิธ ปน ปรมตฺถสจฺจํ นิพฺพานํ วิรติสจฺจญฺจ อพฺภนฺตรํ กตฺวา วาจาสจฺจํ อธิเปฺปตํ, ยสฺสานุภาเวน อุทกาทีนิ วเส วเตฺตนฺติ, ชาติชรามรณปารํ ตรนฺติฯ ยถาห –

    Saccanti ayaṃ saccasaddo anekesu atthesu dissati. Seyyathidaṃ – ‘‘saccaṃ bhaṇe na kujjheyyā ’’ tiādīsu (dha. pa. 224) vācāsacce. ‘‘Sacce ṭhitā samaṇabrāhmaṇā cā’’tiādīsu (jā. 2.21.433) viratisacce. ‘‘Kasmā nu saccāni vadanti nānā, pavādiyāse kusalā vadānā’’tiādīsu (su. ni. 891) diṭṭhisacce. ‘‘Cattārimāni, bhikkhave, brāhmaṇasaccānī’’tiādīsu (a. ni. 4.185) brāhmaṇasacce. ‘‘Ekaṃ hi saccaṃ na dutiyamatthī’’tiādīsu (su. ni. 890; mahāni. 119) paramatthasacce. ‘‘Catunnaṃ saccānaṃ kati kusalā’’tiādīsu (vibha. 216) ariyasacce. Idha pana paramatthasaccaṃ nibbānaṃ viratisaccañca abbhantaraṃ katvā vācāsaccaṃ adhippetaṃ, yassānubhāvena udakādīni vase vattenti, jātijarāmaraṇapāraṃ taranti. Yathāha –

    ‘‘สเจฺจน วาเจนุทกมฺหิ ธาวติ,

    ‘‘Saccena vācenudakamhi dhāvati,

    วิสมฺปิ สเจฺจน หนนฺติ ปณฺฑิตา;

    Visampi saccena hananti paṇḍitā;

    สเจฺจน เทโว ถนยํ ปวสฺสติ,

    Saccena devo thanayaṃ pavassati,

    สเจ ฐิตา นิพฺพุติํ ปตฺถยนฺติฯ

    Sace ṭhitā nibbutiṃ patthayanti.

    ‘‘เย เกจิเม อตฺถิ รสา ปถพฺยา,

    ‘‘Ye kecime atthi rasā pathabyā,

    สจฺจํ เตสํ สาทุตรํ รสานํ;

    Saccaṃ tesaṃ sādutaraṃ rasānaṃ;

    สเจฺจ ฐิตา สมณพฺราหฺมณา จ,

    Sacce ṭhitā samaṇabrāhmaṇā ca,

    ตรนฺติ ชาติมรณสฺส ปาร’’นฺติฯ (ชา. ๒.๒๑.๔๓๓);

    Taranti jātimaraṇassa pāra’’nti. (jā. 2.21.433);

    สาทุตรนฺติ มธุรตรํ ปณีตตรํฯ รสานนฺติ เย อิเม ‘‘มูลรโส ขนฺธรโส’’ติอาทินา (ธ. ส. ๖๒๘-๖๓๐) นเยน สายนียธมฺมา, เยจิเม ‘‘อนุชานามิ, ภิกฺขเว, สพฺพํ ผลรสํ (มหาว. ๓๐๐), อรสรูโป ภวํ โคตโม, เย เต, พฺราหฺมณ, รูปรสา สทฺทรสา (ปารา. ๓; อ. นิ. ๘.๑๑), อนาปตฺติ รสรเส (ปาจิ. ๖๐๕-๖๑๑), อยํ ธมฺมวินโย เอกรโส วิมุตฺติรโส (จูฬว. ๓๘๕; อ. นิ. ๘.๑๙), ภาคี วา ภควา อตฺถรสสฺส ธมฺมรสสฺสา’’ติอาทินา (มหานิ. ๑๔๙) นเยน รูปาจารรสุปวชฺชา อวเสสา พฺยญฺชนาทโย ‘‘ธมฺมรสา’’ติ วุจฺจนฺติ ฯ เตสํ รสานํ สจฺจํ หเว สาทุตรํ สจฺจเมว สาทุตรํฯ สาธุตรํ วา, เสฎฺฐตรํ, อุตฺตมตรํฯ มูลรสาทโย หิ สรีรมุปพฺรูเหนฺติ, สํกิเลสิกญฺจ สุขมาวหนฺติฯ สจฺจรเส วิรติสจฺจวาจาสจฺจรสา สมถวิปสฺสนาทีหิ จิตฺตํ อุปพฺรูเหติ, อสํกิเลสิกญฺจ สุขมาวหติฯ วิมุตฺติรโส ปรมตฺถสจฺจรสปริภาวิตตฺตา สาทุ, อตฺถรสธมฺมรสา จ ตทธิคมูปายภูตํ อตฺถญฺจ ธมฺมญฺจ นิสฺสาย ปวตฺติโตติฯ

    Sādutaranti madhurataraṃ paṇītataraṃ. Rasānanti ye ime ‘‘mūlaraso khandharaso’’tiādinā (dha. sa. 628-630) nayena sāyanīyadhammā, yecime ‘‘anujānāmi, bhikkhave, sabbaṃ phalarasaṃ (mahāva. 300), arasarūpo bhavaṃ gotamo, ye te, brāhmaṇa, rūparasā saddarasā (pārā. 3; a. ni. 8.11), anāpatti rasarase (pāci. 605-611), ayaṃ dhammavinayo ekaraso vimuttiraso (cūḷava. 385; a. ni. 8.19), bhāgī vā bhagavā attharasassa dhammarasassā’’tiādinā (mahāni. 149) nayena rūpācārarasupavajjā avasesā byañjanādayo ‘‘dhammarasā’’ti vuccanti . Tesaṃ rasānaṃ saccaṃ have sādutaraṃ saccameva sādutaraṃ. Sādhutaraṃ vā, seṭṭhataraṃ, uttamataraṃ. Mūlarasādayo hi sarīramupabrūhenti, saṃkilesikañca sukhamāvahanti. Saccarase viratisaccavācāsaccarasā samathavipassanādīhi cittaṃ upabrūheti, asaṃkilesikañca sukhamāvahati. Vimuttiraso paramatthasaccarasaparibhāvitattā sādu, attharasadhammarasā ca tadadhigamūpāyabhūtaṃ atthañca dhammañca nissāya pavattitoti.

    ปญฺญาชีวิํชีวิตนฺติ เอตฺถ ปน ยฺวายํ อเนฺธกจกฺขุทฺวิจกฺขุเกสุ ทฺวิจกฺขุปุคฺคโล คหโฎฺฐ วา กมฺมนฺตานุฎฺฐาน-สรณคมนทาน-สํวิภาค-สีลสมาทานุโปสถกมฺมาทิ คหฎฺฐปฎิปทํ, ปพฺพชิโต วา อวิปฺปฎิสารกรสีลสงฺขาตํ ตทุตฺตริจิตฺตวิสุทฺธิอาทิเภทมฺปิ ปพฺพชิตปฎิปทํ ปญฺญาย อาราเธตฺวา ชีวติ, ตสฺส ปญฺญาย ชีวิโน ชีวิตํ, ตํ วา ปญฺญาชีวิตํ เสฎฺฐมาหูติ เอวมโตฺถ ทฎฺฐโพฺพฯ

    Paññājīviṃjīvitanti ettha pana yvāyaṃ andhekacakkhudvicakkhukesu dvicakkhupuggalo gahaṭṭho vā kammantānuṭṭhāna-saraṇagamanadāna-saṃvibhāga-sīlasamādānuposathakammādi gahaṭṭhapaṭipadaṃ, pabbajito vā avippaṭisārakarasīlasaṅkhātaṃ taduttaricittavisuddhiādibhedampi pabbajitapaṭipadaṃ paññāya ārādhetvā jīvati, tassa paññāya jīvino jīvitaṃ, taṃ vā paññājīvitaṃ seṭṭhamāhūti evamattho daṭṭhabbo.

    เอวํ ภควตา วิสฺสชฺชิเต จตฺตาโรปิ ปเญฺห สุตฺวา อตฺตมโน ยโกฺข อวเสเสปิ จตฺตาโร ปเญฺห ปุจฺฉโนฺต กถํสุ ตรติ โอฆนฺติ คาถมาหฯ อถสฺส ภควา ปุริมนเยเนว วิสฺสเชฺชโนฺต สทฺธาย ตรตีติ คาถมาหฯ ตตฺถ กิญฺจาปิ โย จตุพฺพิธโมฆํ ตรติ, โส สํสารณฺณวมฺปิ ตรติ, วฎฺฎทุกฺขมฺปิ อเจฺจติ, กิเลสมลาปิ ปริสุชฺฌติ, เอวํ สเนฺตปิ ปน ยสฺมา อสฺสโทฺธ โอฆตรณํ อสทฺทหโนฺต น ปกฺขนฺทติ, ปญฺจสุ กามคุเณสุ จิตฺตโวสฺสเคฺคน ปมโตฺต ตเตฺถว วิสตฺตตฺตา สํสารณฺณวํ น ตรติ, กุสีโต ทุกฺขํ วิหรติ โวกิโณฺณ อกุสเลหิ ธเมฺมหิ, อปฺปโญฺญ สุทฺธิมคฺคํ อชานโนฺต น ปริสุชฺฌติ, ตสฺมา ตปฺปฎิปกฺขํ ทเสฺสเนฺตน ภควตา อยํ คาถา วุตฺตาฯ

    Evaṃ bhagavatā vissajjite cattāropi pañhe sutvā attamano yakkho avasesepi cattāro pañhe pucchanto kathaṃsu tarati oghanti gāthamāha. Athassa bhagavā purimanayeneva vissajjento saddhāya taratīti gāthamāha. Tattha kiñcāpi yo catubbidhamoghaṃ tarati, so saṃsāraṇṇavampi tarati, vaṭṭadukkhampi acceti, kilesamalāpi parisujjhati, evaṃ santepi pana yasmā assaddho oghataraṇaṃ asaddahanto na pakkhandati, pañcasu kāmaguṇesu cittavossaggena pamatto tattheva visattattā saṃsāraṇṇavaṃ na tarati, kusīto dukkhaṃ viharati vokiṇṇo akusalehi dhammehi, appañño suddhimaggaṃ ajānanto na parisujjhati, tasmā tappaṭipakkhaṃ dassentena bhagavatā ayaṃ gāthā vuttā.

    เอวํ วุตฺตาย เจตาย ยสฺมา โสตาปตฺติยงฺคปทฎฺฐานํ สทฺธินฺทฺริยํ, ตสฺมา สทฺธาย ตรติ โอฆนฺติ อิมินา ปเทน ทิโฎฺฐฆตรณํ โสตาปตฺติมคฺคํ โสตาปนฺนญฺจ ปกาเสติฯ ยสฺมา ปน โสตาปโนฺน กุสลานํ ธมฺมานํ ภาวนาย สาตจฺจกิริยสงฺขเตน อปฺปมาเทน สมนฺนาคโต ทุติยมคฺคํ อาราเธตฺวา ฐเปตฺวา สกิเทวิมํ โลกํ อาคมนมคฺคํ อวเสสํ โสตาปตฺติมเคฺคน อติณฺณํ ภโวฆวตฺถุํ สํสารณฺณวํ ตรติ, ตสฺมา อปฺปมาเทน อณฺณวนฺติ อิมินา ปเทน ภโวฆตรณํ สกทาคามิมคฺคํ สกทาคามิญฺจ ปกาเสติฯ ยสฺมา จ สกทาคามี วีริเยน ตติยมคฺคํ อาราเธตฺวา สกทาคามิมเคฺคน อนตีตํ กาโมฆวตฺถุํ กาโมฆสญฺญิตญฺจ กามทุกฺขมเจฺจติ, ตสฺมา วีริเยน ทุกฺขมเจฺจตีติ อิมินา ปเทน กาโมฆตรณํ อนาคามิมคฺคํ อนาคามิญฺจ ปกาเสติฯ ยสฺมา ปน อนาคามี วิคตกามสญฺญาย ปริสุทฺธาย ปญฺญาย เอกนฺตปริสุทฺธํ จตุตฺถมคฺคปญฺญํ อาราเธตฺวา อนาคามิมเคฺคน อปฺปหีนํ อวิชฺชาสงฺขาตํ ปรมมลํ ปชหติ, ตสฺมา ปญฺญาย ปริสุชฺฌตีติ, อิมินา ปเทน อวิโชฺชฆตรณํ อรหตฺตมคฺคญฺจ อรหตฺตญฺจ ปกาเสติฯ อิมาย จ อรหตฺตนิกูเฎน กถิตาย คาถาย ปริโยสาเน ยโกฺข โสตาปตฺติผเล ปติฎฺฐาสิฯ

    Evaṃ vuttāya cetāya yasmā sotāpattiyaṅgapadaṭṭhānaṃ saddhindriyaṃ, tasmā saddhāya tarati oghanti iminā padena diṭṭhoghataraṇaṃ sotāpattimaggaṃ sotāpannañca pakāseti. Yasmā pana sotāpanno kusalānaṃ dhammānaṃ bhāvanāya sātaccakiriyasaṅkhatena appamādena samannāgato dutiyamaggaṃ ārādhetvā ṭhapetvā sakidevimaṃ lokaṃ āgamanamaggaṃ avasesaṃ sotāpattimaggena atiṇṇaṃ bhavoghavatthuṃ saṃsāraṇṇavaṃ tarati, tasmā appamādena aṇṇavanti iminā padena bhavoghataraṇaṃ sakadāgāmimaggaṃ sakadāgāmiñca pakāseti. Yasmā ca sakadāgāmī vīriyena tatiyamaggaṃ ārādhetvā sakadāgāmimaggena anatītaṃ kāmoghavatthuṃ kāmoghasaññitañca kāmadukkhamacceti, tasmā vīriyena dukkhamaccetīti iminā padena kāmoghataraṇaṃ anāgāmimaggaṃ anāgāmiñca pakāseti. Yasmā pana anāgāmī vigatakāmasaññāya parisuddhāya paññāya ekantaparisuddhaṃ catutthamaggapaññaṃ ārādhetvā anāgāmimaggena appahīnaṃ avijjāsaṅkhātaṃ paramamalaṃ pajahati, tasmā paññāya parisujjhatīti, iminā padena avijjoghataraṇaṃ arahattamaggañca arahattañca pakāseti. Imāya ca arahattanikūṭena kathitāya gāthāya pariyosāne yakkho sotāpattiphale patiṭṭhāsi.

    อิทานิ ตเมว ‘‘ปญฺญาย ปริสุชฺฌตี’’ติ เอตฺถ วุตฺตํ ปญฺญาปทํ คเหตฺวา อตฺตโน ปฎิภาเนน โลกิยโลกุตฺตรมิสฺสกํ ปญฺหํ ปุจฺฉโนฺต กถํสุ ลภเต ปญฺญนฺติ อิมํ ฉปฺปทํ คาถมาหฯ ตตฺถ กถํสูติ สพฺพเตฺถว อตฺถยุตฺติปุจฺฉา โหนฺติฯ อยํ หิ ปญฺญาทิอตฺถํ ญตฺวา ตสฺส ยุตฺติํ ปุจฺฉติ – ‘‘กถํ, กาย ยุตฺติยา, เกน การเณน ปญฺญํ ลภตี’’ติ? เอส นโย ธนาทีสุฯ

    Idāni tameva ‘‘paññāya parisujjhatī’’ti ettha vuttaṃ paññāpadaṃ gahetvā attano paṭibhānena lokiyalokuttaramissakaṃ pañhaṃ pucchanto kathaṃsu labhate paññanti imaṃ chappadaṃ gāthamāha. Tattha kathaṃsūti sabbattheva atthayuttipucchā honti. Ayaṃ hi paññādiatthaṃ ñatvā tassa yuttiṃ pucchati – ‘‘kathaṃ, kāya yuttiyā, kena kāraṇena paññaṃ labhatī’’ti? Esa nayo dhanādīsu.

    อถสฺส ภควา จตูหิ การเณหิ ปญฺญาลาภํ ทเสฺสโนฺต สทฺทหาโนติอาทิมาหฯ ตสฺสโตฺถ – เยน ปุพฺพภาเค กายสุจริตาทิเภเทน อปรภาเค จ สตฺตติํสโพธิปกฺขิยเภเทน ธเมฺมน อรหโนฺต พุทฺธปเจฺจกพุทฺธสาวกา นิพฺพานํ ปตฺตา, ตํ สทฺทหาโน อรหตํ ธมฺมํ นิพฺพานปตฺติยา โลกิยโลกุตฺตรปญฺญํ ลภติ, ตญฺจ โข น สทฺธามตฺตเกเนวฯ ยสฺมา ปน สทฺธาชาโต อุปสงฺกมติ , อุปสงฺกมโนฺต ปยิรุปาสติ, ปยิรุปาสโนฺต โสตํ โอทหติ, โอหิตโสโต ธมฺมํ สุณาติ, ตสฺมา อุปสงฺกมนโต ปภุติ ยาว ธมฺมสฺสวเนน สุสฺสูสํ ลภติฯ กิํ วุตฺตํ โหติ – ตํ ธมฺมํ สทฺทหิตฺวาปิ อาจริยุปชฺฌาเย กาเลน อุปสงฺกมิตฺวา วตฺตกรเณน ปยิรุปาสิตฺวา ยทา ปยิรุปาสนาย อาราธิตจิตฺตา กิญฺจิ วตฺตุกามา โหนฺติฯ อถ อธิคตาย โสตุกามตาย โสตํ โอทหิตฺวา สุณโนฺต ลภตีติฯ เอวํ สุสฺสูสมฺปิ จ สติอวิปฺปวาเสน อปฺปมโตฺต สุภาสิตทุพฺภาสิตญฺญุตาย วิจกฺขโณ เอว ลภติ, น อิตโรฯ เตนาห ‘‘อปฺปมโตฺต วิจกฺขโณ’’ติฯ

    Athassa bhagavā catūhi kāraṇehi paññālābhaṃ dassento saddahānotiādimāha. Tassattho – yena pubbabhāge kāyasucaritādibhedena aparabhāge ca sattatiṃsabodhipakkhiyabhedena dhammena arahanto buddhapaccekabuddhasāvakā nibbānaṃ pattā, taṃ saddahāno arahataṃ dhammaṃ nibbānapattiyā lokiyalokuttarapaññaṃ labhati, tañca kho na saddhāmattakeneva. Yasmā pana saddhājāto upasaṅkamati , upasaṅkamanto payirupāsati, payirupāsanto sotaṃ odahati, ohitasoto dhammaṃ suṇāti, tasmā upasaṅkamanato pabhuti yāva dhammassavanena sussūsaṃ labhati. Kiṃ vuttaṃ hoti – taṃ dhammaṃ saddahitvāpi ācariyupajjhāye kālena upasaṅkamitvā vattakaraṇena payirupāsitvā yadā payirupāsanāya ārādhitacittā kiñci vattukāmā honti. Atha adhigatāya sotukāmatāya sotaṃ odahitvā suṇanto labhatīti. Evaṃ sussūsampi ca satiavippavāsena appamatto subhāsitadubbhāsitaññutāya vicakkhaṇo eva labhati, na itaro. Tenāha ‘‘appamatto vicakkhaṇo’’ti.

    เอวํ ยสฺมา สทฺธาย ปญฺญลาภสํวตฺตนิกํ ปฎิปทํ ปฎิปชฺชติ, สุสฺสูสาย สกฺกจฺจํ ปญฺญาธิคมูปายํ สุณาติ, อปฺปมาเทน คหิตํ น ปมุสฺสติฯ วิจกฺขณตาย อนูนาธิกํ อวิปรีตญฺจ คเหตฺวา วิตฺถาริกํ กโรติฯ สุสฺสูสาย วา โอหิตโสโต ปญฺญาปฎิลาภเหตุํ ธมฺมํ สุณาติ, อปฺปมาเทน สุตธมฺมํ ธาเรติ, วิจกฺขณตาย ธตานํ ธมฺมานํ อตฺถมุปปริกฺขติ, อถานุปุเพฺพน ปรมตฺถสจฺจํ สจฺฉิกโรติ, ตสฺมาสฺส ภควา ‘‘กถํสุ ลภเต ปญฺญ’’นฺติ ปุโฎฺฐ อิมานิ จตฺตาริ การณานิ ทเสฺสโนฺต อิมํ คาถมาหฯ

    Evaṃ yasmā saddhāya paññalābhasaṃvattanikaṃ paṭipadaṃ paṭipajjati, sussūsāya sakkaccaṃ paññādhigamūpāyaṃ suṇāti, appamādena gahitaṃ na pamussati. Vicakkhaṇatāya anūnādhikaṃ aviparītañca gahetvā vitthārikaṃ karoti. Sussūsāya vā ohitasoto paññāpaṭilābhahetuṃ dhammaṃ suṇāti, appamādena sutadhammaṃ dhāreti, vicakkhaṇatāya dhatānaṃ dhammānaṃ atthamupaparikkhati, athānupubbena paramatthasaccaṃ sacchikaroti, tasmāssa bhagavā ‘‘kathaṃsu labhate pañña’’nti puṭṭho imāni cattāri kāraṇāni dassento imaṃ gāthamāha.

    อิทานิ ตโต ปเร ตโย ปเญฺห วิสฺสเชฺชโนฺต ปติรูปการีติ อิมํ คาถมาหฯ ตตฺถ เทสกาลาทีนิ อหาเปตฺวา โลกิยสฺส โลกุตฺตรสฺส วา ธนสฺส ปติรูปํ อธิคมูปายํ กโรตีติ ปติรูปการีฯ ธุรวาติ เจตสิกวีริยวเสน อนิกฺขิตฺตธุโรฯ อุฎฺฐาตาติ, ‘‘โย จ สีตญฺจ อุณฺหญฺจ, ติณา ภิโยฺย น มญฺญตี’’ติอาทินา (เถรคา. ๒๓๒) นเยน กายิกวีรียวเสน อุฎฺฐานสมฺปโนฺน อสิถิลปรกฺกโมฯ วินฺทเต ธนนฺติ เอกมูสิกาย นจิรเสฺสว จตุสตสหสฺสสงฺขํ จูฬเนฺตวาสี วิย โลกิยธนญฺจ, มหลฺลกมหาติสฺสเตฺถโร วิย โลกุตฺตรธนญฺจ ลภติฯ โส ‘‘ตีหิเยว อิริยาปเถหิ วิหริสฺสามี’’ติ วตฺตํ กตฺวา ถินมิทฺธาคมนเวลาย ปลาลจุมฺพฎกํ เตเมตฺวา สีเส กตฺวา คลปฺปมาณํ อุทกํ ปวิสิตฺวา ถินมิทฺธํ ปฎิพาหโนฺต ทสหิ วเสฺสหิ อรหตฺตํ ปาปุณิฯ สเจฺจนาติ วจีสเจฺจนาปิ ‘‘สจฺจวาที ภูตวาที’’ติ, ปรมตฺถสเจฺจนาปิ ‘‘พุโทฺธ ปเจฺจกพุโทฺธ อริยสาวโก’’ติ เอวํ กิตฺติํ ปโปฺปติฯ ททนฺติ ยํกิญฺจิ อิจฺฉิตปตฺถิตํ ททโนฺต มิตฺตานิ คนฺถติ, สมฺปาเทติ กโรตีติ อโตฺถฯ ทุทฺททํ วา ททํ ตํ คนฺถติฯ ทานมุเขน วา จตฺตาริปิ สงฺคหวตฺถูนิ คหิตานีติ เวทิตพฺพานิ, เตหิ มิตฺตานิ กโรตีติ วุตฺตํ โหติฯ

    Idāni tato pare tayo pañhe vissajjento patirūpakārīti imaṃ gāthamāha. Tattha desakālādīni ahāpetvā lokiyassa lokuttarassa vā dhanassa patirūpaṃ adhigamūpāyaṃ karotīti patirūpakārī. Dhuravāti cetasikavīriyavasena anikkhittadhuro. Uṭṭhātāti, ‘‘yo ca sītañca uṇhañca, tiṇā bhiyyo na maññatī’’tiādinā (theragā. 232) nayena kāyikavīrīyavasena uṭṭhānasampanno asithilaparakkamo. Vindate dhananti ekamūsikāya nacirasseva catusatasahassasaṅkhaṃ cūḷantevāsī viya lokiyadhanañca, mahallakamahātissatthero viya lokuttaradhanañca labhati. So ‘‘tīhiyeva iriyāpathehi viharissāmī’’ti vattaṃ katvā thinamiddhāgamanavelāya palālacumbaṭakaṃ temetvā sīse katvā galappamāṇaṃ udakaṃ pavisitvā thinamiddhaṃ paṭibāhanto dasahi vassehi arahattaṃ pāpuṇi. Saccenāti vacīsaccenāpi ‘‘saccavādī bhūtavādī’’ti, paramatthasaccenāpi ‘‘buddho paccekabuddho ariyasāvako’’ti evaṃ kittiṃ pappoti. Dadanti yaṃkiñci icchitapatthitaṃ dadanto mittāni ganthati, sampādeti karotīti attho. Duddadaṃ vā dadaṃ taṃ ganthati. Dānamukhena vā cattāripi saṅgahavatthūni gahitānīti veditabbāni, tehi mittāni karotīti vuttaṃ hoti.

    เอวํ คหฎฺฐปพฺพชิตานํ สาธารเณน โลกิยโลกุตฺตรมิสฺสเกน นเยน จตฺตาโร ปเญฺห วิสฺสเชฺชตฺวา อิทานิ ‘‘กถํ เปจฺจ น โสจตี’’ติ อิมํ ปญฺจมํ ปญฺหํ คหฎฺฐวเสน วิสฺสเชฺชโนฺต ยเสฺสเตติอาทีมาหฯ ตสฺสโตฺถ – ยสฺส ‘‘สทฺทหาโน อรหต’’นฺติ เอตฺถ วุตฺตาย สพฺพกลฺยาณธมฺมุปฺปาทิกาย สทฺธาย สมนฺนาคตตฺตา สทฺธสฺส, ฆรเมสิโนติ ฆราวาสํ ปญฺจ วา กามคุเณ เอสนฺตสฺส คเวสนฺตสฺส กามโภคิโน คหฎฺฐสฺส ‘‘สเจฺจน กิตฺติํ ปโปฺปตี’’ติ เอตฺถ วุตฺตปฺปการํ สจฺจํฯ ‘‘สุสฺสูสํ ลภเต ปญฺญ’’นฺติ เอตฺถ สุสฺสูสปญฺญานาเมน วุโตฺตว ทโมฯ ‘‘ธุรวา อุฎฺฐาตา’’ติ เอตฺถ ธุรนาเมน อุฎฺฐานนาเมน จ วุตฺตา ธิติฯ ‘‘ททํ มิตฺตานิ คนฺถตี’’ติ เอตฺถ วุตฺตปฺปกาโร จาโค จาติ เอเต จตุโร ธมฺมา สนฺติฯ ส เว เปจฺจ น โสจตีติ อิธโลกา ปรโลกํ คนฺตฺวา ส เว น โสจตีติฯ

    Evaṃ gahaṭṭhapabbajitānaṃ sādhāraṇena lokiyalokuttaramissakena nayena cattāro pañhe vissajjetvā idāni ‘‘kathaṃ pecca na socatī’’ti imaṃ pañcamaṃ pañhaṃ gahaṭṭhavasena vissajjento yassetetiādīmāha. Tassattho – yassa ‘‘saddahāno arahata’’nti ettha vuttāya sabbakalyāṇadhammuppādikāya saddhāya samannāgatattā saddhassa, gharamesinoti gharāvāsaṃ pañca vā kāmaguṇe esantassa gavesantassa kāmabhogino gahaṭṭhassa ‘‘saccena kittiṃ pappotī’’ti ettha vuttappakāraṃ saccaṃ. ‘‘Sussūsaṃ labhate pañña’’nti ettha sussūsapaññānāmena vuttova damo. ‘‘Dhuravā uṭṭhātā’’ti ettha dhuranāmena uṭṭhānanāmena ca vuttā dhiti. ‘‘Dadaṃ mittāni ganthatī’’ti ettha vuttappakāro cāgo cāti ete caturo dhammā santi. Sa ve pecca na socatīti idhalokā paralokaṃ gantvā sa ve na socatīti.

    เอวํ ภควา ปญฺจมมฺปิ ปญฺหํ วิสฺสเชฺชตฺวา ตํ ยกฺขํ โจเทโนฺต อิงฺฆ อเญฺญปีติอาทิมาหฯ ตตฺถ อิงฺฆาติ โจทนเตฺถ นิปาโตฯ อเญฺญปีติ อเญฺญปิ ธเมฺม ปุถู สมณพฺราหฺมเณ ปุจฺฉสฺสุฯ อเญฺญปิ วา ปูรณาทโย สพฺพญฺญุปฎิเญฺญ ปุถู สมณพฺราหฺมเณ ปุจฺฉสฺสุฯ ยทิ อเมฺหหิ ‘‘สเจฺจน กิตฺติํ ปโปฺปตี’’ติ เอตฺถ วุตฺตปฺปการา สจฺจา ภิโยฺย กิตฺติปฺปตฺติการณํ วา, ‘‘สุสฺสูสํ ลภเต ปญฺญ’’นฺติ เอตฺถ สุสฺสูสาติ ปญฺญาปเทเสน วุตฺตา ทมฺมา ภิโยฺย โลกิยโลกุตฺตรปญฺญาปฎิลาภการณํ วา, ‘‘ททํ มิตฺตานิ คนฺถตี’’ติ เอตฺถ วุตฺตปฺปการา จาคา ภิโยฺย มิตฺตคนฺถนการณํ วา, ‘‘ธุรวา อุฎฺฐาตา’’ติ เอตฺถ ตํ ตํ อตฺถวสํ ปฎิจฺจ ธุรนาเมน อุฎฺฐานนาเมน จ วุตฺตาย มหาภารสหนเตฺถน อุโสฺสฬฺหิภาวปฺปตฺตาย วีริยสงฺขาตาย ขนฺตฺยา ภิโยฺย โลกิยโลกุตฺตรธนวินฺทนการณํ วา, ‘‘สจฺจํ ทโมฺม ธิติ จาโค’’ติ เอวํ วุเตฺตหิ อิเมเหว จตูหิ ธเมฺมหิ ภิโยฺย อสฺมา โลกา ปรํ โลกํ เปจฺจ อโสจนการณํ วา อิธ วิชฺชตีติ อยเมตฺถ สทฺธิํ สเงฺขปโยชนาย อตฺถวณฺณนาฯ วิตฺถารโต ปน เอกเมกํ ปทํ อตฺถุทฺธารปทุทฺธารปทวณฺณนานเยหิ วิภชิตฺวา เวทิตพฺพาฯ

    Evaṃ bhagavā pañcamampi pañhaṃ vissajjetvā taṃ yakkhaṃ codento iṅgha aññepītiādimāha. Tattha iṅghāti codanatthe nipāto. Aññepīti aññepi dhamme puthū samaṇabrāhmaṇe pucchassu. Aññepi vā pūraṇādayo sabbaññupaṭiññe puthū samaṇabrāhmaṇe pucchassu. Yadi amhehi ‘‘saccena kittiṃ pappotī’’ti ettha vuttappakārā saccā bhiyyo kittippattikāraṇaṃ vā, ‘‘sussūsaṃ labhate pañña’’nti ettha sussūsāti paññāpadesena vuttā dammā bhiyyo lokiyalokuttarapaññāpaṭilābhakāraṇaṃ vā, ‘‘dadaṃ mittāni ganthatī’’ti ettha vuttappakārā cāgā bhiyyo mittaganthanakāraṇaṃ vā, ‘‘dhuravā uṭṭhātā’’ti ettha taṃ taṃ atthavasaṃ paṭicca dhuranāmena uṭṭhānanāmena ca vuttāya mahābhārasahanatthena ussoḷhibhāvappattāya vīriyasaṅkhātāya khantyā bhiyyo lokiyalokuttaradhanavindanakāraṇaṃ vā, ‘‘saccaṃ dammo dhiti cāgo’’ti evaṃ vuttehi imeheva catūhi dhammehi bhiyyo asmā lokā paraṃ lokaṃ pecca asocanakāraṇaṃ vā idha vijjatīti ayamettha saddhiṃ saṅkhepayojanāya atthavaṇṇanā. Vitthārato pana ekamekaṃ padaṃ atthuddhārapaduddhārapadavaṇṇanānayehi vibhajitvā veditabbā.

    เอวํ วุเตฺต ยโกฺข เยน สํสเยน อเญฺญ ปุเจฺฉยฺย, ตสฺส ปหีนตฺตา กถํ นุ ทานิ ปุเจฺฉยฺยํ, ปุถู สมณพฺราหฺมเณติ วตฺวา เยปิสฺส อปุจฺฉนการณํ น ชานนฺติ, เตปิ ชานาเปโนฺต โยหํ อชฺชปชานามิ, โย อโตฺถ สมฺปรายิโกติ อาหฯ ตตฺถ อชฺชาติ อชฺชาทิํ กตฺวาติ อธิปฺปาโยฯ ปชานามีติ ยถาวุเตฺตน ปกาเรน ชานามิฯ โย อโตฺถติ เอตฺตาวตา ‘‘สุสฺสูสํ ลภเต ปญฺญ’’นฺติอาทินา นเยน วุตฺตํ ทิฎฺฐธมฺมิกํ ทเสฺสติฯ สมฺปรายิโกติ อิมินา ‘‘ยเสฺสเต จตุโร ธมฺมา’’ติ วุตฺตํ เปจฺจ โสกาภาวการณํ สมฺปรายิกํฯ อโตฺถติ จ การณเสฺสตํ อธิวจนํฯ อยํ หิ อตฺถสโทฺท ‘‘สาตฺถํ สพฺยญฺชน’’นฺติ เอวมาทีสุ (ปารา. ๑; ที. นิ. ๑.๒๕๕) ปาฐเตฺถ วตฺตติฯ ‘‘อโตฺถ เม, คหปติ, หิรญฺญสุวเณฺณนา’’ติอาทีสุ (ที. นิ. ๒.๒๕๐; ม. นิ. ๓.๒๕๘) วิจกฺขเณฯ ‘‘โหติ สีลวตํ อโตฺถ’’ติอาทีสุ (ชา. ๑.๑.๑๑) วุฑฺฒิมฺหิฯ ‘‘พหุชโน ภชเต อตฺถเหตู’’ติอาทีสุ ธเนฯ ‘‘อุภินฺนมตฺถํ จรตี’’ติอาทีสุ (ชา. ๑.๗.๖๖; สํ. นิ. ๑.๒๕๐; เถรคา. ๔๔๓) หิเต ฯ ‘‘อเตฺถ ชาเต จ ปณฺฑิต’’นฺติอาทีสุ (ชา. ๑.๑.๙๒) การเณฯ อิธ ปน การเณฯ ตสฺมา ยํ ปญฺญาทิลาภาทีนํ การณํ ทิฎฺฐธมฺมิกํ, ยญฺจ เปจฺจ โสกาภาวสฺส การณํ สมฺปรายิกํ, ตํ โยหํ อชฺช ภควตา วุตฺตนเยน สามํเยว ปชานามิ, โส กถํ นุ ทานิ ปุเจฺฉยฺยํ ปุถู สมณพฺราหฺมเณติ เอวเมตฺถ สเงฺขปโต อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ

    Evaṃ vutte yakkho yena saṃsayena aññe puccheyya, tassa pahīnattā kathaṃ nu dāni puccheyyaṃ, puthū samaṇabrāhmaṇeti vatvā yepissa apucchanakāraṇaṃ na jānanti, tepi jānāpento yohaṃ ajjapajānāmi, yo attho samparāyikoti āha. Tattha ajjāti ajjādiṃ katvāti adhippāyo. Pajānāmīti yathāvuttena pakārena jānāmi. Yo atthoti ettāvatā ‘‘sussūsaṃ labhate pañña’’ntiādinā nayena vuttaṃ diṭṭhadhammikaṃ dasseti. Samparāyikoti iminā ‘‘yassete caturo dhammā’’ti vuttaṃ pecca sokābhāvakāraṇaṃ samparāyikaṃ. Atthoti ca kāraṇassetaṃ adhivacanaṃ. Ayaṃ hi atthasaddo ‘‘sātthaṃ sabyañjana’’nti evamādīsu (pārā. 1; dī. ni. 1.255) pāṭhatthe vattati. ‘‘Attho me, gahapati, hiraññasuvaṇṇenā’’tiādīsu (dī. ni. 2.250; ma. ni. 3.258) vicakkhaṇe. ‘‘Hoti sīlavataṃ attho’’tiādīsu (jā. 1.1.11) vuḍḍhimhi. ‘‘Bahujano bhajate atthahetū’’tiādīsu dhane. ‘‘Ubhinnamatthaṃ caratī’’tiādīsu (jā. 1.7.66; saṃ. ni. 1.250; theragā. 443) hite . ‘‘Atthe jāte ca paṇḍita’’ntiādīsu (jā. 1.1.92) kāraṇe. Idha pana kāraṇe. Tasmā yaṃ paññādilābhādīnaṃ kāraṇaṃ diṭṭhadhammikaṃ, yañca pecca sokābhāvassa kāraṇaṃ samparāyikaṃ, taṃ yohaṃ ajja bhagavatā vuttanayena sāmaṃyeva pajānāmi, so kathaṃ nu dāni puccheyyaṃ puthū samaṇabrāhmaṇeti evamettha saṅkhepato attho veditabbo.

    เอวํ ยโกฺข ‘‘ปชานามิ โย อโตฺถ สมฺปรายิโก’’ติ วตฺวา ตสฺส ญาณสฺส ภควํมูลกตฺตํ ทเสฺสโนฺต อตฺถาย วต เม พุโทฺธติ อาหฯ ตตฺถ อตฺถายาติ หิตาย วุฑฺฒิยา จฯ ยตฺถ ทินฺนํ มหปฺผลนฺติ ‘‘ยเสฺสเต จตุโร ธมฺมา’’ติ เอตฺถ วุตฺตจาเคน ยตฺถ ทินฺนํ มหปฺผลํ, ตํ อคฺคทกฺขิเณยฺยํ พุทฺธํ ปชานามีติ อโตฺถฯ เกจิ ปน ‘‘สงฺฆํ สนฺธาย เอวมาหา’’ติ ภณนฺติฯ

    Evaṃ yakkho ‘‘pajānāmi yo attho samparāyiko’’ti vatvā tassa ñāṇassa bhagavaṃmūlakattaṃ dassento atthāya vata me buddhoti āha. Tattha atthāyāti hitāya vuḍḍhiyā ca. Yattha dinnaṃ mahapphalanti ‘‘yassete caturo dhammā’’ti ettha vuttacāgena yattha dinnaṃ mahapphalaṃ, taṃ aggadakkhiṇeyyaṃ buddhaṃ pajānāmīti attho. Keci pana ‘‘saṅghaṃ sandhāya evamāhā’’ti bhaṇanti.

    เอวํ อิมาย คาถาย อตฺตโน หิตาธิคมํ ทเสฺสตฺวา อิทานิ สหิตปฎิปตฺติํ ทีเปโนฺต โส อหํ วิจริสฺสามีติอาทิมาหฯ ตตฺถ คามา คามนฺติ เทวคามา เทวคามํฯ ปุรา ปุรนฺติ เทวนครโต เทวนครํฯ นมสฺสมาโน สมฺพุทฺธํ, ธมฺมสฺส จ สุธมฺมตนฺติ ‘‘สมฺมาสมฺพุโทฺธ วต ภควา, สฺวากฺขาโต วต ภควโต ธโมฺม’’ติอาทินา นเยน พุทฺธสุโพธิตญฺจ ธมฺมสุธมฺมตญฺจ จ-สเทฺทน ‘‘สุปฺปฎิปโนฺน วต ภควโต สาวกสโงฺฆ’’ติอาทินา สงฺฆสุปฺปฎิปตฺติญฺจ อภิตฺถวิตฺวา นมสฺสมาโน ธมฺมโฆสโก หุตฺวา วิจริสฺสามีติ วุตฺตํ โหติฯ

    Evaṃ imāya gāthāya attano hitādhigamaṃ dassetvā idāni sahitapaṭipattiṃ dīpento so ahaṃ vicarissāmītiādimāha. Tattha gāmā gāmanti devagāmā devagāmaṃ. Purā puranti devanagarato devanagaraṃ. Namassamāno sambuddhaṃ, dhammassa ca sudhammatanti ‘‘sammāsambuddho vata bhagavā, svākkhāto vata bhagavato dhammo’’tiādinā nayena buddhasubodhitañca dhammasudhammatañca ca-saddena ‘‘suppaṭipanno vata bhagavato sāvakasaṅgho’’tiādinā saṅghasuppaṭipattiñca abhitthavitvā namassamāno dhammaghosako hutvā vicarissāmīti vuttaṃ hoti.

    เอวมิมาย คาถาย ปริโยสานญฺจ รตฺติวิภาวนญฺจ สาธุการสทฺทุฎฺฐานญฺจ อาฬวกกุมารสฺส ยกฺขภวนํ อานยนญฺจ เอกกฺขเณเยว อโหสิฯ ราชปุริสา สาธุการสทฺทํ สุตฺวา – ‘‘เอวรูโป สาธุการสโทฺท ฐเปตฺวา พุเทฺธ น อเญฺญสํ อพฺภุคฺคจฺฉติ, อาคโต นุ โข ภควา’’ติ อาวเชฺชนฺตา ภควโต สรีรปฺปภํ ทิสฺวา ปุเพฺพ วิย พหิ อฎฺฐตฺวา นิพฺพิสงฺกา อโนฺตเยว ปวิสิตฺวา อทฺทสํสุ ภควนฺตํ ยกฺขสฺส ภวเน นิสินฺนํ, ยกฺขญฺจ อญฺชลิํ ปคฺคเหตฺวา ฐิตํฯ ทิสฺวาน ยกฺขํ อาหํสุ – ‘‘อยํ เต, มหายกฺข, ราชกุมาโร พลิกมฺมาย อานีโต, หนฺท นํ ขาท วา ภุญฺช วา, ยถาปจฺจยํ วา กโรหี’’ติฯ โส โสตาปนฺนตฺตา ลชฺชิโต วิเสเสน จ ภควโต ปุรโต เอวํ วุจฺจมาโน อถ ตํ กุมารํ อุโภหิ หเตฺถหิ ปฎิคฺคเหตฺวา ภควโต อุปนาเมสิ ‘‘อยํ, ภเนฺต, กุมาโร มยฺหํ เปสิโต, อิมาหํ ภควโต ทมฺมิ, หิตานุกมฺปกา พุทฺธา, ปฎิคฺคณฺหาตุ, ภเนฺต, ภควา อิมํ ทารกํ อิมสฺส หิตตฺถาย สุขตฺถายา’’ติ อิมญฺจ คาถมาห –

    Evamimāya gāthāya pariyosānañca rattivibhāvanañca sādhukārasadduṭṭhānañca āḷavakakumārassa yakkhabhavanaṃ ānayanañca ekakkhaṇeyeva ahosi. Rājapurisā sādhukārasaddaṃ sutvā – ‘‘evarūpo sādhukārasaddo ṭhapetvā buddhe na aññesaṃ abbhuggacchati, āgato nu kho bhagavā’’ti āvajjentā bhagavato sarīrappabhaṃ disvā pubbe viya bahi aṭṭhatvā nibbisaṅkā antoyeva pavisitvā addasaṃsu bhagavantaṃ yakkhassa bhavane nisinnaṃ, yakkhañca añjaliṃ paggahetvā ṭhitaṃ. Disvāna yakkhaṃ āhaṃsu – ‘‘ayaṃ te, mahāyakkha, rājakumāro balikammāya ānīto, handa naṃ khāda vā bhuñja vā, yathāpaccayaṃ vā karohī’’ti. So sotāpannattā lajjito visesena ca bhagavato purato evaṃ vuccamāno atha taṃ kumāraṃ ubhohi hatthehi paṭiggahetvā bhagavato upanāmesi ‘‘ayaṃ, bhante, kumāro mayhaṃ pesito, imāhaṃ bhagavato dammi, hitānukampakā buddhā, paṭiggaṇhātu, bhante, bhagavā imaṃ dārakaṃ imassa hitatthāya sukhatthāyā’’ti imañca gāthamāha –

    ‘‘อิมํ กุมารํ สตปุญฺญลกฺขณํ,

    ‘‘Imaṃ kumāraṃ satapuññalakkhaṇaṃ,

    สพฺพงฺคุเปตํ ปริปุณฺณพฺยญฺชนํ;

    Sabbaṅgupetaṃ paripuṇṇabyañjanaṃ;

    อุทคฺคจิโตฺต สุมโน ททามิ เต,

    Udaggacitto sumano dadāmi te,

    ปฎิคฺคห โลกหิตาย จกฺขุมา’’ติฯ

    Paṭiggaha lokahitāya cakkhumā’’ti.

    ปฎิคฺคเหสิ ภควา กุมารํฯ ปฎิคฺคณฺหโนฺต จ ยกฺขสฺส จ กุมารสฺส จ มงฺคลกรณตฺถํ ปาทูนคาถํ อภาสิฯ ตํ ยโกฺข กุมารํ สรณํ คเมโนฺต ติกฺขตฺตุํ จตุตฺถปาเทน ปูเรสิฯ เสยฺยถิทํ –

    Paṭiggahesi bhagavā kumāraṃ. Paṭiggaṇhanto ca yakkhassa ca kumārassa ca maṅgalakaraṇatthaṃ pādūnagāthaṃ abhāsi. Taṃ yakkho kumāraṃ saraṇaṃ gamento tikkhattuṃ catutthapādena pūresi. Seyyathidaṃ –

    ‘‘ทีฆายุโก โหตุ อยํ กุมาโร,

    ‘‘Dīghāyuko hotu ayaṃ kumāro,

    ตุวญฺจ ยกฺข สุขิโต ภวาหิ;

    Tuvañca yakkha sukhito bhavāhi;

    อพฺยาธิตา โลกหิตาย ติฎฺฐถ,

    Abyādhitā lokahitāya tiṭṭhatha,

    อยํ กุมาโร สรณมุเปติ พุทฺธํ;

    Ayaṃ kumāro saraṇamupeti buddhaṃ;

    อยํ กุมาโร สรณมุเปติ ธมฺมํ;

    Ayaṃ kumāro saraṇamupeti dhammaṃ;

    อยํ กุมาโร สรณมุเปติ สงฺฆ’’นฺติฯ

    Ayaṃ kumāro saraṇamupeti saṅgha’’nti.

    อถ ภควา กุมารํ ราชปุริสานํ อทาสิ – ‘‘อิมํ วเฑฺฒตฺวา ปุน มเมว เทถา’’ติฯ เอวํ โส กุมาโร ราชปุริสานํ หตฺถโต ยกฺขสฺส หตฺถํ, ยกฺขสฺส หตฺถโต ภควโต หตฺถํ, ภควโต หตฺถโต ปุน ราชปุริสานํ หตฺถํ คตตฺตา นามโต ‘‘หตฺถโก อาฬวโก’’ติ ชาโตฯ ตํ อาทาย ปฎินิวเตฺต ราชปุริเส ทิสฺวา กสฺสกวนกมฺมิกาทโย ‘‘กิํ ยโกฺข กุมารํ อติทหรตฺตา น อิจฺฉี’’ติ? ภีตา ปุจฺฉิํสุฯ ราชปุริสา ‘‘มา ภายถฯ เขมํ กตํ ภควตา’’ติ สพฺพมาโรเจสุํ ฯ ตโต ‘‘สาธุ สาธู’’ติ สกลํ อาฬวินครํ เอกโกลาหเลน ยกฺขาภิมุขํ อโหสิฯ ยโกฺขปิ ภควโต ภิกฺขาจารกาเล อนุปฺปเตฺต ปตฺตจีวรํ คเหตฺวา อุปฑฺฒมคฺคํ อนุคนฺตฺวา นิวตฺติฯ

    Atha bhagavā kumāraṃ rājapurisānaṃ adāsi – ‘‘imaṃ vaḍḍhetvā puna mameva dethā’’ti. Evaṃ so kumāro rājapurisānaṃ hatthato yakkhassa hatthaṃ, yakkhassa hatthato bhagavato hatthaṃ, bhagavato hatthato puna rājapurisānaṃ hatthaṃ gatattā nāmato ‘‘hatthako āḷavako’’ti jāto. Taṃ ādāya paṭinivatte rājapurise disvā kassakavanakammikādayo ‘‘kiṃ yakkho kumāraṃ atidaharattā na icchī’’ti? Bhītā pucchiṃsu. Rājapurisā ‘‘mā bhāyatha. Khemaṃ kataṃ bhagavatā’’ti sabbamārocesuṃ . Tato ‘‘sādhu sādhū’’ti sakalaṃ āḷavinagaraṃ ekakolāhalena yakkhābhimukhaṃ ahosi. Yakkhopi bhagavato bhikkhācārakāle anuppatte pattacīvaraṃ gahetvā upaḍḍhamaggaṃ anugantvā nivatti.

    อถ ภควา นคเร ปิณฺฑาย จริตฺวา กตภตฺตกิโจฺจ นครทฺวาเร อญฺญตรสฺมิํ วิวิเตฺต รุกฺขมูเล ปญฺญตฺตพุทฺธาสเน นิสีทิฯ ตโต มหาชนกาเยน สทฺธิํ ราชา จ นาครา จ เอกโต สมฺปิณฺฑิตฺวา ภควนฺตํ อุปสงฺกมฺม วนฺทิตฺวา ปริวาเรตฺวา นิสินฺนา – ‘‘กถํ, ภเนฺต, เอวํ ทารุณํ ยกฺขํ ทมยิตฺถา’’ติ ปุจฺฉิํสุฯ เตสํ ภควา ยุทฺธมาทิํ กตฺวา ‘‘เอวํ นววิธํ วสฺสํ วเสฺสตฺวา เอวํ วิภิํสนกํ อกาสิ, เอวํ ปญฺหํ ปุจฺฉิฯ ตสฺสาหํ เอวํ วิสฺสเชฺชสิ’’นฺติ ตเมวาฬวกสุตฺตํ กเถสิฯ กถาปริโยสาเน จตุราสีติปาณสหสฺสานํ ธมฺมาภิสมโย อโหสิฯ ตโต ราชา เจว นาครา จ เวสฺสวณมหาราชสฺส ภวนสมีเป ยกฺขสฺส ภวนํ กตฺวา ปุปฺผคนฺธาทิสกฺการุเปตํ นิจฺจพลิํ ปวเตฺตสุํฯ ตญฺจ กุมารํ วิญฺญุตํ ปตฺตํ ‘‘ตฺวํ ภควนฺตํ นิสฺสาย ชีวิตํ ลภิ, คจฺฉ ภควนฺตํเยว ปยิรุปาสสฺสุ ภิกฺขุสงฺฆญฺจา’’ติ วิสฺสเชฺชสุํฯ โส ภควนฺตญฺจ ภิกฺขุสงฺฆญฺจ ปยิรุปาสมาโน นจิรเสฺสว อนาคามิผเล ปติฎฺฐาย สพฺพํ พุทฺธวจนํ อุคฺคเหตฺวา ปญฺจสตอุปาสกปริวาโร อโหสิฯ ภควา จ นํ เอตทเคฺค นิทฺทิสิ – ‘‘เอตทคฺคํ, ภิกฺขเว, มม สาวกานํ อุปาสกานํ จตูหิ สงฺคหวตฺถูหิ ปริสํ สงฺคณฺหนฺตานํ ยทิทํ หตฺถโก อาฬวโก’’ติ (อ. นิ. ๑.๒๕๑)ฯ ทฺวาทสมํฯ

    Atha bhagavā nagare piṇḍāya caritvā katabhattakicco nagaradvāre aññatarasmiṃ vivitte rukkhamūle paññattabuddhāsane nisīdi. Tato mahājanakāyena saddhiṃ rājā ca nāgarā ca ekato sampiṇḍitvā bhagavantaṃ upasaṅkamma vanditvā parivāretvā nisinnā – ‘‘kathaṃ, bhante, evaṃ dāruṇaṃ yakkhaṃ damayitthā’’ti pucchiṃsu. Tesaṃ bhagavā yuddhamādiṃ katvā ‘‘evaṃ navavidhaṃ vassaṃ vassetvā evaṃ vibhiṃsanakaṃ akāsi, evaṃ pañhaṃ pucchi. Tassāhaṃ evaṃ vissajjesi’’nti tamevāḷavakasuttaṃ kathesi. Kathāpariyosāne caturāsītipāṇasahassānaṃ dhammābhisamayo ahosi. Tato rājā ceva nāgarā ca vessavaṇamahārājassa bhavanasamīpe yakkhassa bhavanaṃ katvā pupphagandhādisakkārupetaṃ niccabaliṃ pavattesuṃ. Tañca kumāraṃ viññutaṃ pattaṃ ‘‘tvaṃ bhagavantaṃ nissāya jīvitaṃ labhi, gaccha bhagavantaṃyeva payirupāsassu bhikkhusaṅghañcā’’ti vissajjesuṃ. So bhagavantañca bhikkhusaṅghañca payirupāsamāno nacirasseva anāgāmiphale patiṭṭhāya sabbaṃ buddhavacanaṃ uggahetvā pañcasataupāsakaparivāro ahosi. Bhagavā ca naṃ etadagge niddisi – ‘‘etadaggaṃ, bhikkhave, mama sāvakānaṃ upāsakānaṃ catūhi saṅgahavatthūhi parisaṃ saṅgaṇhantānaṃ yadidaṃ hatthako āḷavako’’ti (a. ni. 1.251). Dvādasamaṃ.

    อิติ สารตฺถปฺปกาสินิยา

    Iti sāratthappakāsiniyā

    สํยุตฺตนิกาย-อฎฺฐกถาย

    Saṃyuttanikāya-aṭṭhakathāya

    ยกฺขสํยุตฺตวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Yakkhasaṃyuttavaṇṇanā niṭṭhitā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / สํยุตฺตนิกาย • Saṃyuttanikāya / ๑๒. อาฬวกสุตฺตํ • 12. Āḷavakasuttaṃ

    ฎีกา • Tīkā / สุตฺตปิฎก (ฎีกา) • Suttapiṭaka (ṭīkā) / สํยุตฺตนิกาย (ฎีกา) • Saṃyuttanikāya (ṭīkā) / ๑๒. อาฬวกสุตฺตวณฺณนา • 12. Āḷavakasuttavaṇṇanā


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact