Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / สุตฺตนิปาต-อฎฺฐกถา • Suttanipāta-aṭṭhakathā |
๑๐. อาฬวกสุตฺตวณฺณนา
10. Āḷavakasuttavaṇṇanā
เอวํ เม สุตนฺติ อาฬวกสุตฺตํฯ กา อุปฺปตฺติ? อตฺถวณฺณนานเยเนวสฺส อุปฺปตฺติ อาวิภวิสฺสติฯ อตฺถวณฺณนาย จ ‘‘เอวํ เม สุตํ, เอกํ สมยํ ภควา’’ติ เอตํ วุตฺตตฺถเมวฯ อาฬวิยํ วิหรติ อาฬวกสฺส ยกฺขสฺส ภวเนติ เอตฺถ ปน กา อาฬวี, กสฺมา จ ภควา ตสฺส ยกฺขสฺส ภวเน วิหรตีติ? วุจฺจเต – อาฬวีติ รฎฺฐมฺปิ นครมฺปิ วุจฺจติ, ตทุภยมฺปิ อิธ วฎฺฎติฯ อาฬวีนครสฺส หิ สมีเป วิหรโนฺตปิ ‘‘อาฬวิยํ วิหรตี’’ติ วุจฺจติฯ ตสฺส จ นครสฺส สมีเป อวิทูเร คาวุตมเตฺต ตํ ภวนํ, อาฬวีรเฎฺฐ วิหรโนฺตปิ ‘‘อาฬวิยํ วิหรตี’’ติ วุจฺจติ, อาฬวีรเฎฺฐ เจตํ ภวนํฯ
Evaṃme sutanti āḷavakasuttaṃ. Kā uppatti? Atthavaṇṇanānayenevassa uppatti āvibhavissati. Atthavaṇṇanāya ca ‘‘evaṃ me sutaṃ, ekaṃ samayaṃ bhagavā’’ti etaṃ vuttatthameva. Āḷaviyaṃ viharati āḷavakassa yakkhassa bhavaneti ettha pana kā āḷavī, kasmā ca bhagavā tassa yakkhassa bhavane viharatīti? Vuccate – āḷavīti raṭṭhampi nagarampi vuccati, tadubhayampi idha vaṭṭati. Āḷavīnagarassa hi samīpe viharantopi ‘‘āḷaviyaṃ viharatī’’ti vuccati. Tassa ca nagarassa samīpe avidūre gāvutamatte taṃ bhavanaṃ, āḷavīraṭṭhe viharantopi ‘‘āḷaviyaṃ viharatī’’ti vuccati, āḷavīraṭṭhe cetaṃ bhavanaṃ.
ยสฺมา ปน อาฬวโก ราชา วิวิธนาฎกูปโภคํ ฉเฑฺฑตฺวา โจรปฎิพาหนตฺถํ ปฎิราชนิเสธนตฺถํ พฺยายามกรณตฺถญฺจ สตฺตเม สตฺตเม ทิวเส มิควํ คจฺฉโนฺต เอกทิวสํ พลกาเยน สทฺธิํ กติกํ อกาสิ – ‘‘ยสฺส ปเสฺสน มิโค ปลายติ, ตเสฺสว โส ภาโร’’ติฯ อถ ตเสฺสว ปเสฺสน มิโค ปลายิ, ชวสมฺปโนฺน ราชา ธนุํ คเหตฺวา ปตฺติโกว ติโยชนํ ตํ มิคํ อนุพนฺธิฯ เอณิมิคา จ ติโยชนเวคา เอว โหนฺติฯ อถ ปริกฺขีณชวํ ตํ มิคํ อุทกํ ปวิสิตฺวา, ฐิตํ วธิตฺวา, ทฺวิธา เฉตฺวา, อนตฺถิโกปิ มํเสน ‘‘นาสกฺขิ มิคํ คเหตุ’’นฺติ อปวาทโมจนตฺถํ กาเชนาทาย อาคจฺฉโนฺต นครสฺสาวิทูเร พหลปตฺตปลาสํ มหานิโคฺรธํ ทิสฺวา ปริสฺสมวิโนทนตฺถํ ตสฺส มูลมุปคโตฯ ตสฺมิญฺจ นิโคฺรเธ อาฬวโก ยโกฺข มหาราชสนฺติกา วรํ ลภิตฺวา มชฺฌนฺหิกสมเย ตสฺส รุกฺขสฺส ฉายาย ผุโฎฺฐกาสํ ปวิเฎฺฐ ปาณิโน ขาทโนฺต ปฎิวสติฯ โส ตํ ทิสฺวา ขาทิตุํ อุปคโตฯ อถ ราชา เตน สทฺธิํ กติกํ อกาสิ – ‘‘มุญฺจ มํ, อหํ เต ทิวเส ทิวเส มนุสฺสญฺจ ถาลิปากญฺจ เปเสสฺสามี’’ติฯ ยโกฺข ‘‘ตฺวํ ราชูปโภเคน ปมโตฺต สมฺมุสฺสสิ, อหํ ปน ภวนํ อนุปคตญฺจ อนนุญฺญาตญฺจ ขาทิตุํ น ลภามิ, สฺวาหํ ภวนฺตมฺปิ ชีเยยฺย’’นฺติ น มุญฺจิฯ ราชา ‘‘ยํ ทิวสํ น เปเสมิ, ตํ ทิวสํ มํ คเหตฺวา ขาทาหี’’ติ อตฺตานํ อนุชานิตฺวา เตน มุโตฺต นคราภิมุโข อคมาสิฯ
Yasmā pana āḷavako rājā vividhanāṭakūpabhogaṃ chaḍḍetvā corapaṭibāhanatthaṃ paṭirājanisedhanatthaṃ byāyāmakaraṇatthañca sattame sattame divase migavaṃ gacchanto ekadivasaṃ balakāyena saddhiṃ katikaṃ akāsi – ‘‘yassa passena migo palāyati, tasseva so bhāro’’ti. Atha tasseva passena migo palāyi, javasampanno rājā dhanuṃ gahetvā pattikova tiyojanaṃ taṃ migaṃ anubandhi. Eṇimigā ca tiyojanavegā eva honti. Atha parikkhīṇajavaṃ taṃ migaṃ udakaṃ pavisitvā, ṭhitaṃ vadhitvā, dvidhā chetvā, anatthikopi maṃsena ‘‘nāsakkhi migaṃ gahetu’’nti apavādamocanatthaṃ kājenādāya āgacchanto nagarassāvidūre bahalapattapalāsaṃ mahānigrodhaṃ disvā parissamavinodanatthaṃ tassa mūlamupagato. Tasmiñca nigrodhe āḷavako yakkho mahārājasantikā varaṃ labhitvā majjhanhikasamaye tassa rukkhassa chāyāya phuṭṭhokāsaṃ paviṭṭhe pāṇino khādanto paṭivasati. So taṃ disvā khādituṃ upagato. Atha rājā tena saddhiṃ katikaṃ akāsi – ‘‘muñca maṃ, ahaṃ te divase divase manussañca thālipākañca pesessāmī’’ti. Yakkho ‘‘tvaṃ rājūpabhogena pamatto sammussasi, ahaṃ pana bhavanaṃ anupagatañca ananuññātañca khādituṃ na labhāmi, svāhaṃ bhavantampi jīyeyya’’nti na muñci. Rājā ‘‘yaṃ divasaṃ na pesemi, taṃ divasaṃ maṃ gahetvā khādāhī’’ti attānaṃ anujānitvā tena mutto nagarābhimukho agamāsi.
พลกาโย มเคฺค ขนฺธาวารํ พนฺธิตฺวา ฐิโต ราชานํ ทิสฺวา – ‘‘กิํ, มหาราช, อยสมตฺตภยา เอวํ กิลโนฺตสี’’ติ วทโนฺต ปจฺจุคฺคนฺตฺวา ปฎิคฺคเหสิฯ ราชา ตํ ปวตฺติํ อนาโรเจตฺวา นครํ คนฺตฺวา, กตปาตราโส นครคุตฺติกํ อามเนฺตตฺวา เอตมตฺถํ อาโรเจสิฯ นครคุตฺติโก – ‘‘กิํ, เทว, กาลปริเจฺฉโท กโต’’ติ อาหฯ ราชา ‘‘น กโต, ภเณ’’ติ อาหฯ ‘‘ทุฎฺฐุ กตํ, เทว, อมนุสฺสา หิ ปริจฺฉินฺนมตฺตเมว ลภนฺติ, อปริจฺฉิเนฺน ปน ชนปทสฺส อาพาโธ ภวิสฺสติฯ โหตุ, เทว, กิญฺจาปิ เอวมกาสิ, อโปฺปสฺสุโกฺก ตฺวํ รชฺชสุขํ อนุโภหิ, อหเมตฺถ กาตพฺพํ กริสฺสามี’’ติฯ โส กาลเสฺสว วุฎฺฐาย พนฺธนาคารํ คนฺตฺวา เย เย วชฺฌา โหนฺติ, เต เต สนฺธาย – ‘‘โย ชีวิตตฺถิโก โหติ, โส นิกฺขมตู’’ติ ภณติฯ โย ปฐมํ นิกฺขมติ ตํ เคหํ เนตฺวา, นฺหาเปตฺวา, โภเชตฺวา จ, ‘‘อิมํ ถาลิปากํ ยกฺขสฺส เทหี’’ติ เปเสติฯ ตํ รุกฺขมูลํ ปวิฎฺฐมตฺตํเยว ยโกฺข เภรวํ อตฺตภาวํ นิมฺมินิตฺวา มูลกนฺทํ วิย ขาทติ ฯ ยกฺขานุภาเวน กิร มนุสฺสานํ เกสาทีนิ อุปาทาย สกลสรีรํ นวนีตปิโณฺฑ วิย โหติฯ ยกฺขสฺส ภตฺตํ คาหาเปตฺตุํ คตปุริสา ตํ ทิสฺวา ภีตา ยถามิตฺตํ อาโรเจสุํฯ ตโต ปภุติ ‘‘ราชา โจเร คเหตฺวา ยกฺขสฺส เทตี’’ติ มนุสฺสา โจรกมฺมโต ปฎิวิรตาฯ ตโต อปเรน สมเยน นวโจรานํ อภาเวน ปุราณโจรานญฺจ ปริกฺขเยน พนฺธนาคารานิ สุญฺญานิ อเหสุํฯ
Balakāyo magge khandhāvāraṃ bandhitvā ṭhito rājānaṃ disvā – ‘‘kiṃ, mahārāja, ayasamattabhayā evaṃ kilantosī’’ti vadanto paccuggantvā paṭiggahesi. Rājā taṃ pavattiṃ anārocetvā nagaraṃ gantvā, katapātarāso nagaraguttikaṃ āmantetvā etamatthaṃ ārocesi. Nagaraguttiko – ‘‘kiṃ, deva, kālaparicchedo kato’’ti āha. Rājā ‘‘na kato, bhaṇe’’ti āha. ‘‘Duṭṭhu kataṃ, deva, amanussā hi paricchinnamattameva labhanti, aparicchinne pana janapadassa ābādho bhavissati. Hotu, deva, kiñcāpi evamakāsi, appossukko tvaṃ rajjasukhaṃ anubhohi, ahamettha kātabbaṃ karissāmī’’ti. So kālasseva vuṭṭhāya bandhanāgāraṃ gantvā ye ye vajjhā honti, te te sandhāya – ‘‘yo jīvitatthiko hoti, so nikkhamatū’’ti bhaṇati. Yo paṭhamaṃ nikkhamati taṃ gehaṃ netvā, nhāpetvā, bhojetvā ca, ‘‘imaṃ thālipākaṃ yakkhassa dehī’’ti peseti. Taṃ rukkhamūlaṃ paviṭṭhamattaṃyeva yakkho bheravaṃ attabhāvaṃ nimminitvā mūlakandaṃ viya khādati . Yakkhānubhāvena kira manussānaṃ kesādīni upādāya sakalasarīraṃ navanītapiṇḍo viya hoti. Yakkhassa bhattaṃ gāhāpettuṃ gatapurisā taṃ disvā bhītā yathāmittaṃ ārocesuṃ. Tato pabhuti ‘‘rājā core gahetvā yakkhassa detī’’ti manussā corakammato paṭiviratā. Tato aparena samayena navacorānaṃ abhāvena purāṇacorānañca parikkhayena bandhanāgārāni suññāni ahesuṃ.
อถ นครคุตฺติโก รโญฺญ อาโรเจสิฯ ราชา อตฺตโน ธนํ นครรจฺฉาสุ ฉฑฺฑาเปสิ – ‘‘อเปฺปว นาม โกจิ โลเภน คเณฺหยฺยา’’ติฯ ตํ ปาเทนปิ น โกจิ ฉุปิฯ โส โจเร อลภโนฺต อมจฺจานํ อาโรเจสิฯ อมจฺจา ‘‘กุลปฎิปาฎิยา เอกเมกํ ชิณฺณกํ เปเสม, โส ปกติยาปิ มจฺจุมุเข วตฺตตี’’ติ อาหํสุฯ ราชา ‘‘‘อมฺหากํ ปิตรํ, อมฺหากํ ปิตามหํ เปเสตี’ติ มนุสฺสา โขภํ กริสฺสนฺติ, มา โว เอตํ รุจฺจี’’ติ นิวาเรสิฯ ‘‘เตน หิ, เทว, ทารกํ เปเสม อุตฺตานเสยฺยกํ, ตถาวิธสฺส หิ ‘มาตา เม ปิตา เม’ติ สิเนโห นตฺถี’’ติ อาหํสุฯ ราชา อนุชานิฯ เต ตถา อกํสุฯ นคเร ทารกมาตโร จ ทารเก คเหตฺวา คพฺภินิโย จ ปลายิตฺวา ปรชนปเท ทารเก สํวเฑฺฒตฺวา อาเนนฺติฯ เอวํ สพฺพานิปิ ทฺวาทส วสฺสานิ คตานิฯ
Atha nagaraguttiko rañño ārocesi. Rājā attano dhanaṃ nagararacchāsu chaḍḍāpesi – ‘‘appeva nāma koci lobhena gaṇheyyā’’ti. Taṃ pādenapi na koci chupi. So core alabhanto amaccānaṃ ārocesi. Amaccā ‘‘kulapaṭipāṭiyā ekamekaṃ jiṇṇakaṃ pesema, so pakatiyāpi maccumukhe vattatī’’ti āhaṃsu. Rājā ‘‘‘amhākaṃ pitaraṃ, amhākaṃ pitāmahaṃ pesetī’ti manussā khobhaṃ karissanti, mā vo etaṃ ruccī’’ti nivāresi. ‘‘Tena hi, deva, dārakaṃ pesema uttānaseyyakaṃ, tathāvidhassa hi ‘mātā me pitā me’ti sineho natthī’’ti āhaṃsu. Rājā anujāni. Te tathā akaṃsu. Nagare dārakamātaro ca dārake gahetvā gabbhiniyo ca palāyitvā parajanapade dārake saṃvaḍḍhetvā ānenti. Evaṃ sabbānipi dvādasa vassāni gatāni.
ตโต เอกทิวสํ สกลนครํ วิจินิตฺวา เอกมฺปิ ทารกํ อลภิตฺวา รโญฺญ อาโรเจสุํ – ‘‘นตฺถิ, เทว, นคเร ทารโก ฐเปตฺวา อเนฺตปุเร ตว ปุตฺตํ อาฬวกกุมาร’’นฺติฯ ราชา ‘‘ยถา มม ปุโตฺต ปิโย, เอวํ สพฺพโลกสฺส, อตฺตนา ปน ปิยตรํ นตฺถิ, คจฺฉถ, ตมฺปิ ทตฺวา มม ชีวิตํ รกฺขถา’’ติ อาหฯ เตน จ สมเยน อาฬวกกุมารสฺส มาตา ปุตฺตํ นฺหาเปตฺวา, มเณฺฑตฺวา, ทุกูลจุมฺพฎเก กตฺวา, อเงฺก สยาเปตฺวา, นิสินฺนา โหติฯ ราชปุริสา รโญฺญ อาณาย ตตฺถ คนฺตฺวา วิปฺปลปนฺติยา ตสฺสา โสฬสนฺนญฺจ อิตฺถิสหสฺสานํ สทฺธิํ ธาติยา ตํ อาทาย ปกฺกมิํสุ ‘‘เสฺว ยกฺขภโกฺข ภวิสฺสตี’’ติฯ ตํ ทิวสญฺจ ภควา ปจฺจูสสมเย ปจฺจุฎฺฐาย เชตวนมหาวิหาเร คนฺธกุฎิยํ มหากรุณาสมาปตฺติํ สมาปชฺชิตฺวา ปุน พุทฺธจกฺขุนา โลกํ โวโลเกโนฺต อทฺทส อาฬวกสฺส กุมารสฺส อนาคามิผลุปฺปตฺติยา อุปนิสฺสยํ, ยกฺขสฺส จ โสตาปตฺติผลุปฺปตฺติยา อุปนิสฺสยํ เทสนาปริโยสาเน จ จตุราสีติยา ปาณสหสฺสานํ ธมฺมจกฺขุปฎิลาภสฺสาติฯ ตสฺมา วิภาตาย รตฺติยา ปุเรภตฺตกิจฺจํ กตฺวา อนิฎฺฐิตปจฺฉาภตฺตกิโจฺจว กาฬปกฺขอุโปสถทิวเส วตฺตมาเน โอคฺคเต สูริเย เอกโกว อทุติโย ปตฺตจีวรมาทาย ปาทคมเนเนว สาวตฺถิโต ติํส โยชนานิ คนฺตฺวา ตสฺส ยกฺขสฺส ภวนํ ปาวิสิฯ เตน วุตฺตํ ‘‘อาฬวกสฺส ยกฺขสฺส ภวเน’’ติฯ
Tato ekadivasaṃ sakalanagaraṃ vicinitvā ekampi dārakaṃ alabhitvā rañño ārocesuṃ – ‘‘natthi, deva, nagare dārako ṭhapetvā antepure tava puttaṃ āḷavakakumāra’’nti. Rājā ‘‘yathā mama putto piyo, evaṃ sabbalokassa, attanā pana piyataraṃ natthi, gacchatha, tampi datvā mama jīvitaṃ rakkhathā’’ti āha. Tena ca samayena āḷavakakumārassa mātā puttaṃ nhāpetvā, maṇḍetvā, dukūlacumbaṭake katvā, aṅke sayāpetvā, nisinnā hoti. Rājapurisā rañño āṇāya tattha gantvā vippalapantiyā tassā soḷasannañca itthisahassānaṃ saddhiṃ dhātiyā taṃ ādāya pakkamiṃsu ‘‘sve yakkhabhakkho bhavissatī’’ti. Taṃ divasañca bhagavā paccūsasamaye paccuṭṭhāya jetavanamahāvihāre gandhakuṭiyaṃ mahākaruṇāsamāpattiṃ samāpajjitvā puna buddhacakkhunā lokaṃ volokento addasa āḷavakassa kumārassa anāgāmiphaluppattiyā upanissayaṃ, yakkhassa ca sotāpattiphaluppattiyā upanissayaṃ desanāpariyosāne ca caturāsītiyā pāṇasahassānaṃ dhammacakkhupaṭilābhassāti. Tasmā vibhātāya rattiyā purebhattakiccaṃ katvā aniṭṭhitapacchābhattakiccova kāḷapakkhauposathadivase vattamāne oggate sūriye ekakova adutiyo pattacīvaramādāya pādagamaneneva sāvatthito tiṃsa yojanāni gantvā tassa yakkhassa bhavanaṃ pāvisi. Tena vuttaṃ ‘‘āḷavakassa yakkhassa bhavane’’ti.
กิํ ปน ภควา ยสฺมิํ นิโคฺรเธ อาฬวกสฺส ภวนํ, ตสฺส มูเล วิหาสิ, อุทาหุ ภวเนเยวาติ? วุจฺจเต – ภวเนเยวฯ ยเถว หิ ยกฺขา อตฺตโน ภวนํ ปสฺสนฺติ, ตถา ภควาปิฯ โส ตตฺถ คนฺตฺวา ภวนทฺวาเร อฎฺฐาสิฯ ตทา อาฬวโก หิมวเนฺต ยกฺขสมาคมํ คโต โหติฯ ตโต อาฬวกสฺส ทฺวารปาโล คทฺรโภ นาม ยโกฺข ภควนฺตํ อุปสงฺกมิตฺวา, วนฺทิตฺวา – ‘‘กิํ, ภเนฺต, ภควา วิกาเล อาคโต’’ติ อาหฯ ‘‘อาม, คทฺรภ, อาคโตมฺหิฯ สเจ เต อครุ, วิหเรยฺยาเมกรตฺติํ อาฬวกสฺส ภวเน’’ติฯ ‘‘น เม, ภเนฺต, ครุ, อปิจ โข โส ยโกฺข กกฺขโฬ ผรุโส, มาตาปิตูนมฺปิ อภิวาทนาทีนิ น กโรติ, มา รุจฺจิ ภควโต อิธ วาโส’’ติฯ ‘‘ชานามิ, คทฺรภ, ตสฺส กกฺขฬตฺตํ, น โกจิ มมนฺตราโย ภวิสฺสติ, สเจ เต อครุ, วิหเรยฺยาเมกรตฺติ’’นฺติ ฯ
Kiṃ pana bhagavā yasmiṃ nigrodhe āḷavakassa bhavanaṃ, tassa mūle vihāsi, udāhu bhavaneyevāti? Vuccate – bhavaneyeva. Yatheva hi yakkhā attano bhavanaṃ passanti, tathā bhagavāpi. So tattha gantvā bhavanadvāre aṭṭhāsi. Tadā āḷavako himavante yakkhasamāgamaṃ gato hoti. Tato āḷavakassa dvārapālo gadrabho nāma yakkho bhagavantaṃ upasaṅkamitvā, vanditvā – ‘‘kiṃ, bhante, bhagavā vikāle āgato’’ti āha. ‘‘Āma, gadrabha, āgatomhi. Sace te agaru, vihareyyāmekarattiṃ āḷavakassa bhavane’’ti. ‘‘Na me, bhante, garu, apica kho so yakkho kakkhaḷo pharuso, mātāpitūnampi abhivādanādīni na karoti, mā rucci bhagavato idha vāso’’ti. ‘‘Jānāmi, gadrabha, tassa kakkhaḷattaṃ, na koci mamantarāyo bhavissati, sace te agaru, vihareyyāmekaratti’’nti .
ทุติยมฺปิ คทฺรโภ ยโกฺข ภควนฺตํ เอตทโวจ – ‘‘อคฺคิตตฺตกปาลสทิโส, ภเนฺต, อาฬวโก, ‘มาตาปิตโร’ติ วา ‘สมณพฺราหฺมณา’ติ วา ‘ธโมฺม’ติ วา น ชานาติ, อิธาคตานํ จิตฺตเกฺขปมฺปิ กโรติ, หทยมฺปิ ผาเลติ, ปาเทปิ คเหตฺวา ปรสมุเทฺท วา ปรจกฺกวาเฬ วา ขิปตี’’ติฯ ทุติยมฺปิ ภควา อาห – ‘‘ชานามิ, คทฺรภ, สเจ เต อครุ, วิหเรยฺยาเมกรตฺติ’’นฺติฯ ตติยมฺปิ คทฺรโภ ยโกฺข ภควนฺตํ เอตทโวจ – ‘‘อคฺคิตตฺตกปาลสทิโส, ภเนฺต, อาฬวโก, ‘มาตาปิตโร’ติ วา ‘สมณพฺราหฺมณา’ติ วา ‘ธโมฺม’ติ วา น ชานาติ, อิธาคตานํ จิตฺตเกฺขปมฺปิ กโรติ, หทยมฺปิ ผาเลติ, ปาเทปิ คเหตฺวา ปรสมุเทฺท วา ปรจกฺกวาเฬ วา ขิปตี’’ติฯ ตติยมฺปิ ภควา อาห – ‘‘ชานามิ, คทฺรภ, สเจ เต อครุ, วิหเรยฺยาเมกรตฺติ’’นฺติฯ ‘‘น เม, ภเนฺต, ครุ, อปิจ โข โส ยโกฺข อตฺตโน อนาโรเจตฺวา อนุชานนฺตํ มํ ชีวิตา โวโรเปยฺย, อาโรเจมิ, ภเนฺต, ตสฺสา’’ติฯ ‘‘ยถาสุขํ, คทฺรภ, อาโรเจหี’’ติฯ ‘‘เตน หิ, ภเนฺต, ตฺวเมว ชานาหี’’ติ ภควนฺตํ อภิวาเทตฺวา หิมวนฺตาภิมุโข ปกฺกามิฯ ภวนทฺวารมฺปิ สยเมว ภควโต วิวรมทาสิฯ ภควา อโนฺตภวนํ ปวิสิตฺวา ยตฺถ อภิลกฺขิเตสุ มงฺคลทิวสาทีสุ นิสีทิตฺวา อาฬวโก สิริํ อนุโภติ, ตสฺมิํเยว ทิพฺพรตนปลฺลเงฺก นิสีทิตฺวา สุวณฺณาภํ มุญฺจิฯ ตํ ทิสฺวา ยกฺขสฺส อิตฺถิโย อาคนฺตฺวา, ภควนฺตํ วนฺทิตฺวา, สมฺปริวาเรตฺวา นิสีทิํสุฯ ภควา ‘‘ปุเพฺพ ตุเมฺห ทานํ ทตฺวา, สีลํ สมาทิยิตฺวา, ปูชเนยฺยํ ปูเชตฺวา, อิมํ สมฺปตฺติํ ปตฺตา, อิทานิปิ ตเถว กโรถ, มา อญฺญมญฺญํ อิสฺสามจฺฉริยาภิภูตา วิหรถา’’ติอาทินา นเยน ตาสํ ปกิณฺณกธมฺมกถํ กเถสิฯ ตา จ ภควโต มธุรนิโคฺฆสํ สุตฺวา, สาธุการสหสฺสานิ ทตฺวา, ภควนฺตํ ปริวาเรตฺวา นิสีทิํสุเยวฯ คทฺรโภปิ หิมวนฺตํ คนฺตฺวา อาฬวกสฺส อาโรเจสิ – ‘‘ยเคฺฆ, มาริส, ชาเนยฺยาสิ, วิมาเน เต ภควา นิสิโนฺน’’ติฯ โส คทฺรภสฺส สญฺญมกาสิ ‘‘ตุณฺหี โหหิ, คนฺตฺวา กตฺตพฺพํ กริสฺสามี’’ติฯ ปุริสมาเนน กิร ลชฺชิโต อโหสิ, ตสฺมา ‘‘มา โกจิ ปริสมเชฺฌ สุเณยฺยา’’ติ วาเรสิฯ
Dutiyampi gadrabho yakkho bhagavantaṃ etadavoca – ‘‘aggitattakapālasadiso, bhante, āḷavako, ‘mātāpitaro’ti vā ‘samaṇabrāhmaṇā’ti vā ‘dhammo’ti vā na jānāti, idhāgatānaṃ cittakkhepampi karoti, hadayampi phāleti, pādepi gahetvā parasamudde vā paracakkavāḷe vā khipatī’’ti. Dutiyampi bhagavā āha – ‘‘jānāmi, gadrabha, sace te agaru, vihareyyāmekaratti’’nti. Tatiyampi gadrabho yakkho bhagavantaṃ etadavoca – ‘‘aggitattakapālasadiso, bhante, āḷavako, ‘mātāpitaro’ti vā ‘samaṇabrāhmaṇā’ti vā ‘dhammo’ti vā na jānāti, idhāgatānaṃ cittakkhepampi karoti, hadayampi phāleti, pādepi gahetvā parasamudde vā paracakkavāḷe vā khipatī’’ti. Tatiyampi bhagavā āha – ‘‘jānāmi, gadrabha, sace te agaru, vihareyyāmekaratti’’nti. ‘‘Na me, bhante, garu, apica kho so yakkho attano anārocetvā anujānantaṃ maṃ jīvitā voropeyya, ārocemi, bhante, tassā’’ti. ‘‘Yathāsukhaṃ, gadrabha, ārocehī’’ti. ‘‘Tena hi, bhante, tvameva jānāhī’’ti bhagavantaṃ abhivādetvā himavantābhimukho pakkāmi. Bhavanadvārampi sayameva bhagavato vivaramadāsi. Bhagavā antobhavanaṃ pavisitvā yattha abhilakkhitesu maṅgaladivasādīsu nisīditvā āḷavako siriṃ anubhoti, tasmiṃyeva dibbaratanapallaṅke nisīditvā suvaṇṇābhaṃ muñci. Taṃ disvā yakkhassa itthiyo āgantvā, bhagavantaṃ vanditvā, samparivāretvā nisīdiṃsu. Bhagavā ‘‘pubbe tumhe dānaṃ datvā, sīlaṃ samādiyitvā, pūjaneyyaṃ pūjetvā, imaṃ sampattiṃ pattā, idānipi tatheva karotha, mā aññamaññaṃ issāmacchariyābhibhūtā viharathā’’tiādinā nayena tāsaṃ pakiṇṇakadhammakathaṃ kathesi. Tā ca bhagavato madhuranigghosaṃ sutvā, sādhukārasahassāni datvā, bhagavantaṃ parivāretvā nisīdiṃsuyeva. Gadrabhopi himavantaṃ gantvā āḷavakassa ārocesi – ‘‘yagghe, mārisa, jāneyyāsi, vimāne te bhagavā nisinno’’ti. So gadrabhassa saññamakāsi ‘‘tuṇhī hohi, gantvā kattabbaṃ karissāmī’’ti. Purisamānena kira lajjito ahosi, tasmā ‘‘mā koci parisamajjhe suṇeyyā’’ti vāresi.
ตทา สาตาคิรเหมวตา ภควนฺตํ เชตวเนเยว วนฺทิตฺวา ‘‘ยกฺขสมาคมํ คมิสฺสามา’’ติ สปริวารา นานายาเนหิ อากาเสน คจฺฉนฺติฯ อากาเส จ ยกฺขานํ น สพฺพตฺถ มโคฺค อตฺถิ, อากาสฎฺฐานิ วิมานานิ ปริหริตฺวา มคฺคฎฺฐาเนเนว มโคฺค โหติฯ อาฬวกสฺส ปน วิมานํ ภูมฎฺฐํ สุคุตฺตํ ปาการปริกฺขิตฺตํ สุสํวิหิตทฺวารฎฺฎาลกโคปุรํ, อุปริ กํสชาลสญฺฉนฺนํ มญฺชูสสทิสํ ติโยชนํ อุเพฺพเธนฯ ตสฺส อุปริ มโคฺค โหติฯ เต ตํ ปเทสมาคมฺม คนฺตุํ อสมตฺถา อเหสุํฯ พุทฺธานญฺหิ นิสิโนฺนกาสสฺส อุปริภาเคน ยาว ภวคฺคา, ตาว โกจิ คนฺตุํ อสมโตฺถฯ เต ‘‘กิมิท’’นฺติ อาวเชฺชตฺวา ภควนฺตํ ทิสฺวา อากาเส ขิตฺตเลฑฺฑุ วิย โอรุยฺห วนฺทิตฺวา, ธมฺมํ สุตฺวา, ปทกฺขิณํ กตฺวา ‘‘ยกฺขสมาคมํ คจฺฉาม ภควา’’ติ ตีณิ วตฺถูนิ ปสํสนฺตา ยกฺขสมาคมํ อคมํสุฯ อาฬวโก เต ทิสฺวา ‘‘อิธ นิสีทถา’’ติ ปฎิกฺกมฺม โอกาสมทาสิฯ เต อาฬวกสฺส นิเวเทสุํ ‘‘ลาภา เต, อาฬวก, ยสฺส เต ภวเน ภควา วิหรติ, คจฺฉาวุโส ภควนฺตํ ปยิรุปาสสฺสู’’ติฯ เอวํ ภควา ภวเนเยว วิหาสิ, น ยสฺมิํ นิโคฺรเธ อาฬวกสฺส ภวนํ, ตสฺส มูเลติฯ เตน วุตฺตํ ‘‘เอกํ สมยํ ภควา อาฬวิยํ วิหรติ อาฬวกสฺส ยกฺขสฺส ภวเน’’ติฯ
Tadā sātāgirahemavatā bhagavantaṃ jetavaneyeva vanditvā ‘‘yakkhasamāgamaṃ gamissāmā’’ti saparivārā nānāyānehi ākāsena gacchanti. Ākāse ca yakkhānaṃ na sabbattha maggo atthi, ākāsaṭṭhāni vimānāni pariharitvā maggaṭṭhāneneva maggo hoti. Āḷavakassa pana vimānaṃ bhūmaṭṭhaṃ suguttaṃ pākāraparikkhittaṃ susaṃvihitadvāraṭṭālakagopuraṃ, upari kaṃsajālasañchannaṃ mañjūsasadisaṃ tiyojanaṃ ubbedhena. Tassa upari maggo hoti. Te taṃ padesamāgamma gantuṃ asamatthā ahesuṃ. Buddhānañhi nisinnokāsassa uparibhāgena yāva bhavaggā, tāva koci gantuṃ asamattho. Te ‘‘kimida’’nti āvajjetvā bhagavantaṃ disvā ākāse khittaleḍḍu viya oruyha vanditvā, dhammaṃ sutvā, padakkhiṇaṃ katvā ‘‘yakkhasamāgamaṃ gacchāma bhagavā’’ti tīṇi vatthūni pasaṃsantā yakkhasamāgamaṃ agamaṃsu. Āḷavako te disvā ‘‘idha nisīdathā’’ti paṭikkamma okāsamadāsi. Te āḷavakassa nivedesuṃ ‘‘lābhā te, āḷavaka, yassa te bhavane bhagavā viharati, gacchāvuso bhagavantaṃ payirupāsassū’’ti. Evaṃ bhagavā bhavaneyeva vihāsi, na yasmiṃ nigrodhe āḷavakassa bhavanaṃ, tassa mūleti. Tena vuttaṃ ‘‘ekaṃ samayaṃ bhagavā āḷaviyaṃ viharati āḷavakassa yakkhassa bhavane’’ti.
อถ โข อาฬวโก…เป.… ภควนฺตํ เอตทโวจ ‘‘นิกฺขม สมณา’’ติฯ ‘‘กสฺมา ปนายํ เอตทโวจา’’ติ? วุจฺจเต – โรเสตุกามตายฯ ตเตฺรวํ อาทิโต ปภุติ สมฺพโนฺธ เวทิตโพฺพ – อยญฺหิ ยสฺมา อสฺสทฺธสฺส สทฺธากถา ทุกฺกถา โหติ ทุสฺสีลาทีนํ สีลาทิกถา วิย, ตสฺมา เตสํ ยกฺขานํ สนฺติกา ภควโต ปสํสํ สุตฺวา เอว อคฺคิมฺหิ ปกฺขิตฺตโลณสกฺขรา วิย อพฺภนฺตรโกเปน ตฎตฎายมานหทโย หุตฺวา ‘‘โก โส ภควา นาม, โย มม ภวนํ ปวิโฎฺฐ’’ติ อาหฯ เต อาหํสุ – ‘‘น ตฺวํ, อาวุโส, ชานาสิ ภควนฺตํ อมฺหากํ สตฺถารํ, โย ตุสิตภวเน ฐิโต ปญฺจ มหาวิโลกนานิ วิโลเกตฺวา’’ติอาทินา นเยน ยาว ธมฺมจกฺกปฺปวตฺตนํ กเถนฺตา ปฎิสนฺธิอาทินา ทฺวตฺติํส ปุพฺพนิมิตฺตานิ วตฺวา ‘‘อิมานิปิ ตฺวํ, อาวุโส , อจฺฉริยานิ นาทฺทสา’’ติ โจเทสุํฯ โส ทิสฺวาปิ โกธวเสน ‘‘นาทฺทส’’นฺติ อาหฯ อาวุโส อาฬวก ปเสฺสยฺยาสิ วา ตฺวํ, น วา, โก ตยา อโตฺถ ปสฺสตา วา อปสฺสตา วา, กิํ ตฺวํ กริสฺสสิ อมฺหากํ สตฺถุโน, โย ตฺวํ ตํ อุปนิธาย จลกฺกกุธมหาอุสภสมีเป ตทหุชาตวจฺฉโก วิย, ติธาปภินฺนมตฺตวารณสมีเป ภิงฺกโปตโก วิย, ภาสุรวิลมฺพเกสรอุปโสภิตกฺขนฺธสฺส มิครโญฺญ สมีเป ชรสิงฺคาโล วิย, ทิยฑฺฒโยชนสตปฺปวฑฺฒกายสุปณฺณราชสมีเป ฉินฺนปกฺขกากโปตโก วิย ขายสิ, คจฺฉ ยํ เต กรณียํ, ตํ กโรหีติฯ เอวํ วุเตฺต กุโทฺธ อาฬวโก อุฎฺฐหิตฺวา มโนสิลาตเล วามปาเทน ฐตฺวา ‘‘ปสฺสถ ทานิ ตุมฺหากํ วา สตฺถา มหานุภาโว, อหํ วา’’ติ ทกฺขิณปาเทน สฎฺฐิโยชนมตฺตํ เกลาสปพฺพตกูฎํ อกฺกมิ, ตํ อโยกูฎปหโฎ นิทฺธนฺตอโยปิโณฺฑ วิย ปปฎิกาโย มุญฺจิฯ โส ตตฺร ฐตฺวา ‘‘อหํ อาฬวโก’’ติ โฆเสสิ, สกลชมฺพุทีปํ สโทฺท ผริฯ
Atha kho āḷavako…pe… bhagavantaṃ etadavoca ‘‘nikkhama samaṇā’’ti. ‘‘Kasmā panāyaṃ etadavocā’’ti? Vuccate – rosetukāmatāya. Tatrevaṃ ādito pabhuti sambandho veditabbo – ayañhi yasmā assaddhassa saddhākathā dukkathā hoti dussīlādīnaṃ sīlādikathā viya, tasmā tesaṃ yakkhānaṃ santikā bhagavato pasaṃsaṃ sutvā eva aggimhi pakkhittaloṇasakkharā viya abbhantarakopena taṭataṭāyamānahadayo hutvā ‘‘ko so bhagavā nāma, yo mama bhavanaṃ paviṭṭho’’ti āha. Te āhaṃsu – ‘‘na tvaṃ, āvuso, jānāsi bhagavantaṃ amhākaṃ satthāraṃ, yo tusitabhavane ṭhito pañca mahāvilokanāni viloketvā’’tiādinā nayena yāva dhammacakkappavattanaṃ kathentā paṭisandhiādinā dvattiṃsa pubbanimittāni vatvā ‘‘imānipi tvaṃ, āvuso , acchariyāni nāddasā’’ti codesuṃ. So disvāpi kodhavasena ‘‘nāddasa’’nti āha. Āvuso āḷavaka passeyyāsi vā tvaṃ, na vā, ko tayā attho passatā vā apassatā vā, kiṃ tvaṃ karissasi amhākaṃ satthuno, yo tvaṃ taṃ upanidhāya calakkakudhamahāusabhasamīpe tadahujātavacchako viya, tidhāpabhinnamattavāraṇasamīpe bhiṅkapotako viya, bhāsuravilambakesaraupasobhitakkhandhassa migarañño samīpe jarasiṅgālo viya, diyaḍḍhayojanasatappavaḍḍhakāyasupaṇṇarājasamīpe chinnapakkhakākapotako viya khāyasi, gaccha yaṃ te karaṇīyaṃ, taṃ karohīti. Evaṃ vutte kuddho āḷavako uṭṭhahitvā manosilātale vāmapādena ṭhatvā ‘‘passatha dāni tumhākaṃ vā satthā mahānubhāvo, ahaṃ vā’’ti dakkhiṇapādena saṭṭhiyojanamattaṃ kelāsapabbatakūṭaṃ akkami, taṃ ayokūṭapahaṭo niddhantaayopiṇḍo viya papaṭikāyo muñci. So tatra ṭhatvā ‘‘ahaṃ āḷavako’’ti ghosesi, sakalajambudīpaṃ saddo phari.
จตฺตาโร กิร สทฺทา สกลชมฺพุทีเป สุยฺยิํสุ – ยญฺจ ปุณฺณโก ยกฺขเสนาปติ ธนญฺจยโกรพฺยราชานํ ชูเต ชินิตฺวา อโปฺผเฎตฺวา ‘‘อหํ ชินิ’’นฺติ อุโคฺฆเสสิ, ยญฺจ สโกฺก เทวานมิโนฺท กสฺสปสฺส ภควโต สาสเน ปริหายมาเน วิสฺสกมฺมํ เทวปุตฺตํ สุนขํ กาเรตฺวา ‘‘อหํ ปาปภิกฺขู จ ปาปภิกฺขุนิโย จ อุปาสเก จ อุปาสิกาโย จ สเพฺพว อธมฺมวาทิโน ขาทามี’’ติ อุโคฺฆสาเปสิ, ยญฺจ กุสชาตเก ปภาวติเหตุ สตฺตหิ ราชูหิ นคเร อุปรุเทฺธ ปภาวติํ อตฺตนา สห หตฺถิกฺขนฺธํ อาโรเปตฺวา นครา นิกฺขมฺม ‘‘อหํ สีหสฺสรกุสมหาราชา’’ติ มหาปุริโส อุโคฺฆเสสิ, ยญฺจ อาฬวโก เกลาสมุทฺธนิ ฐตฺวา ‘‘อหํ อาฬวโก’’ติฯ ตทา หิ สกลชมฺพุทีเป ทฺวาเร ทฺวาเร ฐตฺวา อุโคฺฆสิตสทิสํ อโหสิ, ติโยชนสหสฺสวิตฺถโต จ หิมวาปิ สงฺกมฺปิ ยกฺขสฺส อานุภาเวนฯ
Cattārokira saddā sakalajambudīpe suyyiṃsu – yañca puṇṇako yakkhasenāpati dhanañcayakorabyarājānaṃ jūte jinitvā apphoṭetvā ‘‘ahaṃ jini’’nti ugghosesi, yañca sakko devānamindo kassapassa bhagavato sāsane parihāyamāne vissakammaṃ devaputtaṃ sunakhaṃ kāretvā ‘‘ahaṃ pāpabhikkhū ca pāpabhikkhuniyo ca upāsake ca upāsikāyo ca sabbeva adhammavādino khādāmī’’ti ugghosāpesi, yañca kusajātake pabhāvatihetu sattahi rājūhi nagare uparuddhe pabhāvatiṃ attanā saha hatthikkhandhaṃ āropetvā nagarā nikkhamma ‘‘ahaṃ sīhassarakusamahārājā’’ti mahāpuriso ugghosesi, yañca āḷavako kelāsamuddhani ṭhatvā ‘‘ahaṃ āḷavako’’ti. Tadā hi sakalajambudīpe dvāre dvāre ṭhatvā ugghositasadisaṃ ahosi, tiyojanasahassavitthato ca himavāpi saṅkampi yakkhassa ānubhāvena.
โส วาตมณฺฑลํ สมุฎฺฐาเปสิ – ‘‘เอเตเนว สมณํ ปลาเปสฺสามี’’ติฯ เต ปุรตฺถิมาทิเภทา วาตา สมุฎฺฐหิตฺวา อฑฺฒโยชนโยชนทฺวิโยชนติโยชนปฺปมาณานิ ปพฺพตกูฎานิ ปทาเลตฺวา วนคจฺฉรุกฺขาทีนิ อุมฺมูเลตฺวา อาฬวีนครํ ปกฺขนฺตา ชิณฺณหตฺถิสาลาทีนิ จุเณฺณนฺตา ฉทนิฎฺฐกา อากาเส ภเมนฺตาฯ ภควา ‘‘มา กสฺสจิ อุปโรโธ โหตู’’ติ อธิฎฺฐาสิฯ เต วาตา ทสพลํ ปตฺวา จีวรกณฺณมตฺตมฺปิ จาเลตุํ นาสกฺขิํสุฯ ตโต มหาวสฺสํ สมุฎฺฐาเปสิ ‘‘อุทเกน อโชฺฌตฺถริตฺวา สมณํ มาเรสฺสามี’’ติฯ ตสฺสานุภาเวน อุปรูปริ สตปฎลสหสฺสปฎลาทิเภทา วลาหกา อุฎฺฐหิตฺวา วสฺสิํสุ, วุฎฺฐิธาราเวเคน ปถวี ฉิทฺทา อโหสิ, วนรุกฺขาทีนํ อุปริ มโหโฆ อาคนฺตฺวา ทสพลสฺส จีวเร อุสฺสาวพินฺทุมตฺตมฺปิ เตเมตุํ นาสกฺขิฯ ตโต ปาสาณวสฺสํ สมุฎฺฐาเปสิ, มหนฺตานิ มหนฺตานิ ปพฺพตกูฎานิ ธูมายนฺตานิ ปชฺชลนฺตานิ อากาเสนาคนฺตฺวา ทสพลํ ปตฺวา ทิพฺพมาลาคุฬานิ สมฺปชฺชิํสุฯ ตโต ปหรณวสฺสํ สมุฎฺฐาเปสิ, เอกโตธาราอุภโตธารา อสิสตฺติขุรปฺปาทโย ธูมายนฺตา ปชฺชลนฺตา อากาเสนาคนฺตฺวา ทสพลํ ปตฺวา ทิพฺพปุปฺผานิ อเหสุํฯ ตโต องฺคารวสฺสํ สมุฎฺฐาเปสิ, กิํสุกวณฺณา องฺคารา อากาเสนาคนฺตฺวา ทสพลสฺส ปาทมูเล ทิพฺพปุปฺผานิ หุตฺวา วิกิริํสุฯ ตโต กุกฺกุลวสฺสํ สมุฎฺฐาเปสิ, อจฺจุโณฺห กุกฺกุโล อากาเสนาคนฺตฺวา ทสพลสฺส ปาทมูเล จนฺทนจุณฺณํ หุตฺวา นิปติฯ ตโต วาลุกาวสฺสํ สมุฎฺฐาเปสิ, อติสุขุมา วาลุกา ธูมายนฺตา ปชฺชลนฺตา อากาเสนาคนฺตฺวา ทสพลสฺส ปาทมูเล ทิพฺพปุปฺผานิ หุตฺวา นิปติํสุฯ ตโต กลลวสฺสํ สมุฎฺฐาเปสิ, ตํ กลลวสฺสํ ธูมายนฺตํ ปชฺชลนฺตํ อากาเสนาคนฺตฺวา ทสพลสฺส ปาทมูเล ทิพฺพคนฺธํ หุตฺวา นิปติฯ ตโต อนฺธการํ สมุฎฺฐาเปสิ ‘‘ภิํเสตฺวา สมณํ ปลาเปสฺสามี’’ติฯ ตํ จตุรงฺคสมนฺนาคตนฺธการสทิสํ หุตฺวา ทสพลํ ปตฺวา สูริยปฺปภาวิหตมิวนฺธการํ อนฺตรธายิฯ
So vātamaṇḍalaṃ samuṭṭhāpesi – ‘‘eteneva samaṇaṃ palāpessāmī’’ti. Te puratthimādibhedā vātā samuṭṭhahitvā aḍḍhayojanayojanadviyojanatiyojanappamāṇāni pabbatakūṭāni padāletvā vanagaccharukkhādīni ummūletvā āḷavīnagaraṃ pakkhantā jiṇṇahatthisālādīni cuṇṇentā chadaniṭṭhakā ākāse bhamentā. Bhagavā ‘‘mā kassaci uparodho hotū’’ti adhiṭṭhāsi. Te vātā dasabalaṃ patvā cīvarakaṇṇamattampi cāletuṃ nāsakkhiṃsu. Tato mahāvassaṃ samuṭṭhāpesi ‘‘udakena ajjhottharitvā samaṇaṃ māressāmī’’ti. Tassānubhāvena uparūpari satapaṭalasahassapaṭalādibhedā valāhakā uṭṭhahitvā vassiṃsu, vuṭṭhidhārāvegena pathavī chiddā ahosi, vanarukkhādīnaṃ upari mahogho āgantvā dasabalassa cīvare ussāvabindumattampi temetuṃ nāsakkhi. Tato pāsāṇavassaṃ samuṭṭhāpesi, mahantāni mahantāni pabbatakūṭāni dhūmāyantāni pajjalantāni ākāsenāgantvā dasabalaṃ patvā dibbamālāguḷāni sampajjiṃsu. Tato paharaṇavassaṃ samuṭṭhāpesi, ekatodhārāubhatodhārā asisattikhurappādayo dhūmāyantā pajjalantā ākāsenāgantvā dasabalaṃ patvā dibbapupphāni ahesuṃ. Tato aṅgāravassaṃ samuṭṭhāpesi, kiṃsukavaṇṇā aṅgārā ākāsenāgantvā dasabalassa pādamūle dibbapupphāni hutvā vikiriṃsu. Tato kukkulavassaṃ samuṭṭhāpesi, accuṇho kukkulo ākāsenāgantvā dasabalassa pādamūle candanacuṇṇaṃ hutvā nipati. Tato vālukāvassaṃ samuṭṭhāpesi, atisukhumā vālukā dhūmāyantā pajjalantā ākāsenāgantvā dasabalassa pādamūle dibbapupphāni hutvā nipatiṃsu. Tato kalalavassaṃ samuṭṭhāpesi, taṃ kalalavassaṃ dhūmāyantaṃ pajjalantaṃ ākāsenāgantvā dasabalassa pādamūle dibbagandhaṃ hutvā nipati. Tato andhakāraṃ samuṭṭhāpesi ‘‘bhiṃsetvā samaṇaṃ palāpessāmī’’ti. Taṃ caturaṅgasamannāgatandhakārasadisaṃ hutvā dasabalaṃ patvā sūriyappabhāvihatamivandhakāraṃ antaradhāyi.
เอวํ ยโกฺข อิมาหิ นวหิ วาตวสฺสปาสาณปหรณงฺคารกุกฺกุลวาลุกกลลนฺธการวุฎฺฐีหิ ภควนฺตํ ปลาเปตุํ อสโกฺกโนฺต นานาวิธปหรณหตฺถาย อเนกปฺปการรูปภูตคณสมากุลาย จตุรงฺคินิยา เสนาย สยเมว ภควนฺตํ อภิคโตฯ เต ภูตคณา อเนกปฺปกาเร วิกาเร กตฺวา ‘‘คณฺหถ หนถา’’ติ ภควโต อุปริ อาคจฺฉนฺตา วิย โหนฺติ, อปิจ เต นิทฺธนฺตโลหปิณฺฑํ วิย มกฺขิกา, ภควนฺตํ อลฺลียิตุํ อสมตฺถา เอวํ อเหสุํฯ เอวํ สเนฺตปิ ยถา โพธิมเณฺฑ มาโร อาคตเวลายเมว นิวโตฺต, ตถา อนิวตฺติตฺวา อุปฑฺฒรตฺติมตฺตํ พฺยากุลมกํสุฯ เอวํ อุปฑฺฒรตฺติมตฺตํ อเนกปฺปการวิภิํสนทสฺสเนนปิ ภควนฺตํ จาเลตุมสโกฺกโนฺต อาฬวโก จิเนฺตสิ – ‘‘ยํนูนาหํ เกนจิ อเชยฺยํ ทุสฺสาวุธํ มุเญฺจยฺย’’นฺติฯ
Evaṃ yakkho imāhi navahi vātavassapāsāṇapaharaṇaṅgārakukkulavālukakalalandhakāravuṭṭhīhi bhagavantaṃ palāpetuṃ asakkonto nānāvidhapaharaṇahatthāya anekappakārarūpabhūtagaṇasamākulāya caturaṅginiyā senāya sayameva bhagavantaṃ abhigato. Te bhūtagaṇā anekappakāre vikāre katvā ‘‘gaṇhatha hanathā’’ti bhagavato upari āgacchantā viya honti, apica te niddhantalohapiṇḍaṃ viya makkhikā, bhagavantaṃ allīyituṃ asamatthā evaṃ ahesuṃ. Evaṃ santepi yathā bodhimaṇḍe māro āgatavelāyameva nivatto, tathā anivattitvā upaḍḍharattimattaṃ byākulamakaṃsu. Evaṃ upaḍḍharattimattaṃ anekappakāravibhiṃsanadassanenapi bhagavantaṃ cāletumasakkonto āḷavako cintesi – ‘‘yaṃnūnāhaṃ kenaci ajeyyaṃ dussāvudhaṃ muñceyya’’nti.
จตฺตาริ กิร อาวุธานิ โลเก เสฎฺฐานิ – สกฺกสฺส วชิราวุธํ, เวสฺสวณสฺส คทาวุธํ, ยมสฺส นยนาวุธํ, อาฬวกสฺส ทุสฺสาวุธนฺติฯ ยทิ หิ สโกฺก กุโทฺธ วชิราวุธํ สิเนรุมตฺถเก ปหเรยฺย อฎฺฐสฎฺฐิสหสฺสาธิกโยชนสตสหสฺสํ สิเนรุํ วินิวิชฺฌิตฺวา เหฎฺฐโต คเจฺฉยฺย ฯ เวสฺสวณสฺส ปุถุชฺชนกาเล วิสฺสชฺชิตคทา พหูนํ ยกฺขสหสฺสานํ สีสํ ปาเตตฺวา ปุน หตฺถปาสํ อาคนฺตฺวา ติฎฺฐติฯ ยเมน กุเทฺธน นยนาวุเธน โอโลกิตมเตฺต อเนกานิ กุมฺภณฺฑสหสฺสานิ ตตฺตกปาเล ติลา วิย วิปฺผุรนฺตานิ วินสฺสนฺติฯ อาฬวโก กุโทฺธ สเจ อากาเส ทุสฺสาวุธํ มุเญฺจยฺย, ทฺวาทส วสฺสานิ เทโว น วเสฺสยฺยฯ สเจ ปถวิยํ มุเญฺจยฺย, สพฺพรุกฺขติณาทีนิ สุสฺสิตฺวา ทฺวาทสวสฺสนฺตรํ น ปุน รุเหยฺยุํฯ สเจ สมุเทฺท มุเญฺจยฺย, ตตฺตกปาเล อุทกพินฺทุ วิย สพฺพมุทกํ สุเสฺสยฺยฯ สเจ สิเนรุสทิเสปิ ปพฺพเต มุเญฺจยฺย, ขณฺฑาขณฺฑํ หุตฺวา วิกิเรยฺยฯ โส เอวํ มหานุภาวํ ทุสฺสาวุธํ อุตฺตรียกตํ มุญฺจิตฺวา อคฺคเหสิ ฯ เยภุเยฺยน ทสสหสฺสิโลกธาตุเทวตา เวเคน สนฺนิปติํสุ – ‘‘อชฺช ภควา อาฬวกํ ทเมสฺสติ, ตตฺถ ธมฺมํ โสสฺสามา’’ติฯ ยุทฺธทสฺสนกามาปิ เทวตา สนฺนิปติํสุฯ เอวํ สกลมฺปิ อากาสํ เทวตาหิ ปุริปุณฺณมโหสิฯ
Cattāri kira āvudhāni loke seṭṭhāni – sakkassa vajirāvudhaṃ, vessavaṇassa gadāvudhaṃ, yamassa nayanāvudhaṃ, āḷavakassa dussāvudhanti. Yadi hi sakko kuddho vajirāvudhaṃ sinerumatthake pahareyya aṭṭhasaṭṭhisahassādhikayojanasatasahassaṃ sineruṃ vinivijjhitvā heṭṭhato gaccheyya . Vessavaṇassa puthujjanakāle vissajjitagadā bahūnaṃ yakkhasahassānaṃ sīsaṃ pātetvā puna hatthapāsaṃ āgantvā tiṭṭhati. Yamena kuddhena nayanāvudhena olokitamatte anekāni kumbhaṇḍasahassāni tattakapāle tilā viya vipphurantāni vinassanti. Āḷavako kuddho sace ākāse dussāvudhaṃ muñceyya, dvādasa vassāni devo na vasseyya. Sace pathaviyaṃ muñceyya, sabbarukkhatiṇādīni sussitvā dvādasavassantaraṃ na puna ruheyyuṃ. Sace samudde muñceyya, tattakapāle udakabindu viya sabbamudakaṃ susseyya. Sace sinerusadisepi pabbate muñceyya, khaṇḍākhaṇḍaṃ hutvā vikireyya. So evaṃ mahānubhāvaṃ dussāvudhaṃ uttarīyakataṃ muñcitvā aggahesi . Yebhuyyena dasasahassilokadhātudevatā vegena sannipatiṃsu – ‘‘ajja bhagavā āḷavakaṃ damessati, tattha dhammaṃ sossāmā’’ti. Yuddhadassanakāmāpi devatā sannipatiṃsu. Evaṃ sakalampi ākāsaṃ devatāhi puripuṇṇamahosi.
อถ อาฬวโก ภควโต สมีเป อุปรูปริ วิจริตฺวา วตฺถาวุธํ มุญฺจิฯ ตํ อสนิวิจกฺกํ วิย อากาเส เภรวสทฺทํ กโรนฺตํ ธูมายนฺตํ ปชฺชลนฺตํ ภควนฺตํ ปตฺวา ยกฺขสฺส มานมทฺทนตฺถํ ปาทมุญฺฉนโจฬกํ หุตฺวา ปาทมูเล นิปติฯ อาฬวโก ตํ ทิสฺวา ฉินฺนวิสาโณ วิย อุสโภ, อุทฺธฎทาโฐ วิย สโปฺป, นิเตฺตโช นิมฺมโท นิปติตมานทฺธโช หุตฺวา จิเนฺตสิ – ‘‘ทุสฺสาวุธมฺปิ สมณํ นภิโภสิ, กิํ นุ โข การณ’’นฺติ? อิทํ การณํ, เมตฺตาวิหารยุโตฺต สมโณ, หนฺท นํ โรเสตฺวา เมตฺตาย วิโยเชมีติฯ อิมินา สมฺพเนฺธเนตํ วุตฺตํ – ‘‘อถ โข อาฬวโก ยโกฺข เยน ภควา…เป.… นิกฺขม สมณา’’ติฯ ตตฺรายมธิปฺปาโย – กสฺมา มยา อนนุญฺญาโต มม ภวนํ ปวิสิตฺวา ฆรสามิโก วิย อิตฺถาคารสฺส มเชฺฌ นิสิโนฺนสิ, นนุ อยุตฺตเมตํ สมณสฺส ยทิทํ อทินฺนปฎิโภโค อิตฺถิสํสโคฺค จ, ตสฺมา ยทิ ตฺวํ สมณธเมฺม ฐิโต, นิกฺขม สมณาติฯ เอเก ปน ‘‘เอตานิ อญฺญานิ จ ผรุสวจนานิ วตฺวา เอวายํ เอตทโวจา’’ติ ภณนฺติฯ
Atha āḷavako bhagavato samīpe uparūpari vicaritvā vatthāvudhaṃ muñci. Taṃ asanivicakkaṃ viya ākāse bheravasaddaṃ karontaṃ dhūmāyantaṃ pajjalantaṃ bhagavantaṃ patvā yakkhassa mānamaddanatthaṃ pādamuñchanacoḷakaṃ hutvā pādamūle nipati. Āḷavako taṃ disvā chinnavisāṇo viya usabho, uddhaṭadāṭho viya sappo, nittejo nimmado nipatitamānaddhajo hutvā cintesi – ‘‘dussāvudhampi samaṇaṃ nabhibhosi, kiṃ nu kho kāraṇa’’nti? Idaṃ kāraṇaṃ, mettāvihārayutto samaṇo, handa naṃ rosetvā mettāya viyojemīti. Iminā sambandhenetaṃ vuttaṃ – ‘‘atha kho āḷavako yakkho yena bhagavā…pe… nikkhama samaṇā’’ti. Tatrāyamadhippāyo – kasmā mayā ananuññāto mama bhavanaṃ pavisitvā gharasāmiko viya itthāgārassa majjhe nisinnosi, nanu ayuttametaṃ samaṇassa yadidaṃ adinnapaṭibhogo itthisaṃsaggo ca, tasmā yadi tvaṃ samaṇadhamme ṭhito, nikkhama samaṇāti. Eke pana ‘‘etāni aññāni ca pharusavacanāni vatvā evāyaṃ etadavocā’’ti bhaṇanti.
อถ ภควา ‘‘ยสฺมา ถโทฺธ ปฎิถทฺธภาเวน วิเนตุํ น สกฺกา, โส หิ ปฎิถทฺธภาเว กริยมาเน เสยฺยถาปิ จณฺฑสฺส กุกฺกุรสฺส นาสาย ปิตฺตํ ภิเนฺทยฺย, โส ภิโยฺยโส มตฺตาย จณฺฑตโร อสฺส, เอวํ ถทฺธตโร โหติ, มุทุนา ปน โส สกฺกา วิเนตุ’’นฺติ ญตฺวา ‘‘สาธาวุโส’’ติ ปิยวจเนน ตสฺส วจนํ สมฺปฎิจฺฉิตฺวา นิกฺขมิ ฯ เตน วุตฺตํ ‘‘สาธาวุโสติ ภควา นิกฺขมี’’ติฯ
Atha bhagavā ‘‘yasmā thaddho paṭithaddhabhāvena vinetuṃ na sakkā, so hi paṭithaddhabhāve kariyamāne seyyathāpi caṇḍassa kukkurassa nāsāya pittaṃ bhindeyya, so bhiyyoso mattāya caṇḍataro assa, evaṃ thaddhataro hoti, mudunā pana so sakkā vinetu’’nti ñatvā ‘‘sādhāvuso’’ti piyavacanena tassa vacanaṃ sampaṭicchitvā nikkhami . Tena vuttaṃ ‘‘sādhāvusoti bhagavā nikkhamī’’ti.
ตโต อาฬวโก ‘‘สุวโจ วตายํ สมโณ เอกวจเนเนว นิกฺขโนฺต, เอวํ นาม นิกฺขเมตุํ สุขํ สมณํ อการเณเนวาหํ สกลรตฺติํ ยุเทฺธน อพฺภุยฺยาสิ’’นฺติ มุทุจิโตฺต หุตฺวา ปุน จิเนฺตสิ ‘‘อิทานิปิ น สกฺกา ชานิตุํ, กิํ นุ โข สุวจตาย นิกฺขโนฺต, อุทาหุ โกเธน, หนฺท นํ วีมํสามี’’ติฯ ตโต ‘‘ปวิส สมณา’’ติ อาหฯ อถ ‘‘สุวโจ’’ติ มุทุภูตจิตฺตววตฺถานกรณตฺถํ ปุนปิ ปิยวจนํ วทโนฺต สาธาวุโสติ ภควา ปาวิสิฯ อาฬวโก ปุนปฺปุนํ ตเมว สุวจภาวํ วีมํสโนฺต ทุติยมฺปิ ตติยมฺปิ ‘‘นิกฺขม ปวิสา’’ติ อาหฯ ภควาปิ ตถา อกาสิฯ ยทิ น กเรยฺย, ปกติยาปิ ถทฺธยกฺขสฺส จิตฺตํ ถทฺธตรํ หุตฺวา ธมฺมกถาย ภาชนํ น ภเวยฺยฯ ตสฺมา ยถา นาม มาตา โรทนฺตํ ปุตฺตกํ ยํ โส อิจฺฉติ, ตํ ทตฺวา วา กตฺวา วา สญฺญาเปติ, ตถา ภควา กิเลสโรทเนน โรทนฺตํ ยกฺขํ สญฺญาเปตุํ ยํ โส ภณติ, ตํ อกาสิฯ ยถา จ ธาตี ถญฺญํ อปิวนฺตํ ทารกํ กิญฺจิ ทตฺวา อุปลาเฬตฺวา ปาเยติ, ตถา ภควา ยกฺขํ โลกุตฺตรธมฺมขีรํ ปาเยตุํ ตสฺส ปตฺถิตวจนกรเณน อุปลาเฬโนฺต เอวมกาสิฯ ยถา จ ปุริโส ลาพุมฺหิ จตุมธุรํ ปูเรตุกาโม ตสฺสพฺภนฺตรํ โสเธติ, เอวํ ภควา ยกฺขสฺส จิเตฺต โลกุตฺตรจตุมธุรํ ปูเรตุกาโม ตสฺส อพฺภนฺตเร โกธมลํ โสเธตุํ ยาว ตติยํ นิกฺขมนปเวสนํ อกาสิฯ
Tato āḷavako ‘‘suvaco vatāyaṃ samaṇo ekavacaneneva nikkhanto, evaṃ nāma nikkhametuṃ sukhaṃ samaṇaṃ akāraṇenevāhaṃ sakalarattiṃ yuddhena abbhuyyāsi’’nti muducitto hutvā puna cintesi ‘‘idānipi na sakkā jānituṃ, kiṃ nu kho suvacatāya nikkhanto, udāhu kodhena, handa naṃ vīmaṃsāmī’’ti. Tato ‘‘pavisa samaṇā’’ti āha. Atha ‘‘suvaco’’ti mudubhūtacittavavatthānakaraṇatthaṃ punapi piyavacanaṃ vadanto sādhāvusoti bhagavā pāvisi. Āḷavako punappunaṃ tameva suvacabhāvaṃ vīmaṃsanto dutiyampi tatiyampi ‘‘nikkhama pavisā’’ti āha. Bhagavāpi tathā akāsi. Yadi na kareyya, pakatiyāpi thaddhayakkhassa cittaṃ thaddhataraṃ hutvā dhammakathāya bhājanaṃ na bhaveyya. Tasmā yathā nāma mātā rodantaṃ puttakaṃ yaṃ so icchati, taṃ datvā vā katvā vā saññāpeti, tathā bhagavā kilesarodanena rodantaṃ yakkhaṃ saññāpetuṃ yaṃ so bhaṇati, taṃ akāsi. Yathā ca dhātī thaññaṃ apivantaṃ dārakaṃ kiñci datvā upalāḷetvā pāyeti, tathā bhagavā yakkhaṃ lokuttaradhammakhīraṃ pāyetuṃ tassa patthitavacanakaraṇena upalāḷento evamakāsi. Yathā ca puriso lābumhi catumadhuraṃ pūretukāmo tassabbhantaraṃ sodheti, evaṃ bhagavā yakkhassa citte lokuttaracatumadhuraṃ pūretukāmo tassa abbhantare kodhamalaṃ sodhetuṃ yāva tatiyaṃ nikkhamanapavesanaṃ akāsi.
อถ อาฬวโก ‘‘สุวโจ อยํ สมโณ, ‘นิกฺขมา’ติ วุโตฺต นิกฺขมติ, ‘ปวิสา’ติ วุโตฺต ปวิสติ, ยํนูนาหํ อิมํ สมณํ เอวเมวํ สกลรตฺติํ กิลเมตฺวา, ปาเท คเหตฺวา, ปารคงฺคาย ขิเปยฺย’’นฺติ ปาปกํ จิตํ อุปฺปาเทตฺวา จตุตฺถวารํ อาห – ‘‘นิกฺขม สมณา’’ติฯ ตํ ญตฺวา ภควา ‘‘น ขฺวาหํ ต’’นฺติ อาหฯ ‘‘เอวํ วุเตฺต ตทุตฺตริํ กรณียํ ปริเยสมาโน ปญฺหํ ปุจฺฉิตพฺพํ มญฺญิสฺสติ, ตํ ธมฺมกถาย มุขํ ภวิสฺสตี’’ติ ญตฺวา ‘‘น ขฺวาหํ ต’’นฺติ อาหฯ ตตฺถ นอิติ ปฎิเกฺขเป, โขอิติ อวธารเณฯ อหนฺติ อตฺตนิทสฺสนํ, นฺติ เหตุวจนํฯ เตเนตฺถ ‘‘ยสฺมา ตฺวํ เอวํ จิเนฺตสิ, ตสฺมา อหํ อาวุโส เนว นิกฺขมิสฺสามิ, ยํ เต กรณียํ, ตํ กโรหี’’ติ เอวมโตฺถ ทฎฺฐโพฺพฯ
Atha āḷavako ‘‘suvaco ayaṃ samaṇo, ‘nikkhamā’ti vutto nikkhamati, ‘pavisā’ti vutto pavisati, yaṃnūnāhaṃ imaṃ samaṇaṃ evamevaṃ sakalarattiṃ kilametvā, pāde gahetvā, pāragaṅgāya khipeyya’’nti pāpakaṃ citaṃ uppādetvā catutthavāraṃ āha – ‘‘nikkhama samaṇā’’ti. Taṃ ñatvā bhagavā ‘‘na khvāhaṃ ta’’nti āha. ‘‘Evaṃ vutte taduttariṃ karaṇīyaṃ pariyesamāno pañhaṃ pucchitabbaṃ maññissati, taṃ dhammakathāya mukhaṃ bhavissatī’’ti ñatvā ‘‘na khvāhaṃ ta’’nti āha. Tattha naiti paṭikkhepe, khoiti avadhāraṇe. Ahanti attanidassanaṃ, nti hetuvacanaṃ. Tenettha ‘‘yasmā tvaṃ evaṃ cintesi, tasmā ahaṃ āvuso neva nikkhamissāmi, yaṃ te karaṇīyaṃ, taṃ karohī’’ti evamattho daṭṭhabbo.
ตโต อาฬวโก ยสฺมา ปุเพฺพปิ อากาเสนาคมนเวลายํ ‘‘กิํ นุ โข, เอตํ สุวณฺณวิมานํ, อุทาหุ รชตมณิวิมานานํ อญฺญตรํ, หนฺท นํ ปสฺสามา’’ติ เอวํ อตฺตโน วิมานํ อาคเต อิทฺธิมเนฺต ตาปสปริพฺพาชเก ปญฺหํ ปุจฺฉิตฺวา วิสฺสเชฺชตุมสโกฺกเนฺต จิตฺตเกฺขปาทีหิ วิเหเฐติฯ กถํ? อมนุสฺสา หิ ภิํสนกรูปทสฺสเนน วา หทยวตฺถุปริมทฺทเนน วาติ ทฺวีหากาเรหิ จิตฺตเกฺขปํ กโรนฺติฯ อยํ ปน ยสฺมา ‘‘อิทฺธิมโนฺต ภิํสนกรูปทสฺสเนน น ตสนฺตี’’ติ ญตฺวา อตฺตโน อิทฺธิปฺปภาเวน สุขุมตฺตภาวํ นิมฺมินิตฺวา, เตสํ อโนฺต ปวิสิตฺวา หทยวตฺถุํ ปริมทฺทติ, ตโต จิตฺตสนฺตติ น สณฺฐาติ, ตสฺสา อสณฺฐมานาย อุมฺมตฺตกา โหนฺติ ขิตฺตจิตฺตาฯ เอวํ ขิตฺตจิตฺตานํ เอเตสํ อุรมฺปิ ผาเลติ, ปาเทปิ เน คเหตฺวา ปารคงฺคาย ขิปติ ‘‘มาสฺสุ เม ปุน เอวรูปา ภวนมาคมิํสู’’ติ, ตสฺมา เต ปเญฺห สริตฺวา ‘‘ยํนูนาหํ อิมํ สมณํ อิทานิ เอวํ วิเหเฐยฺย’’นฺติ จิเนฺตตฺวา อาห ‘‘ปญฺหํ ตํ สมณา’’ติอาทิฯ
Tato āḷavako yasmā pubbepi ākāsenāgamanavelāyaṃ ‘‘kiṃ nu kho, etaṃ suvaṇṇavimānaṃ, udāhu rajatamaṇivimānānaṃ aññataraṃ, handa naṃ passāmā’’ti evaṃ attano vimānaṃ āgate iddhimante tāpasaparibbājake pañhaṃ pucchitvā vissajjetumasakkonte cittakkhepādīhi viheṭheti. Kathaṃ? Amanussā hi bhiṃsanakarūpadassanena vā hadayavatthuparimaddanena vāti dvīhākārehi cittakkhepaṃ karonti. Ayaṃ pana yasmā ‘‘iddhimanto bhiṃsanakarūpadassanena na tasantī’’ti ñatvā attano iddhippabhāvena sukhumattabhāvaṃ nimminitvā, tesaṃ anto pavisitvā hadayavatthuṃ parimaddati, tato cittasantati na saṇṭhāti, tassā asaṇṭhamānāya ummattakā honti khittacittā. Evaṃ khittacittānaṃ etesaṃ urampi phāleti, pādepi ne gahetvā pāragaṅgāya khipati ‘‘māssu me puna evarūpā bhavanamāgamiṃsū’’ti, tasmā te pañhe saritvā ‘‘yaṃnūnāhaṃ imaṃ samaṇaṃ idāni evaṃ viheṭheyya’’nti cintetvā āha ‘‘pañhaṃ taṃ samaṇā’’tiādi.
กุโต ปนสฺส เต ปญฺหาติ? ตสฺส กิร มาตาปิตโร กสฺสปํ ภควนฺตํ ปยิรุปาสิตฺวา อฎฺฐ ปเญฺห สวิสฺสชฺชเน อุคฺคเหสุํฯ เต ทหรกาเล อาฬวกํ ปริยาปุณาเปสุํฯ โส กาลจฺจเยน วิสฺสชฺชนํ สมฺมุสฺสิฯ ตโต ‘‘อิเม ปญฺหาปิ มา วินสฺสนฺตู’’ติ สุวณฺณปเฎฺฎ ชาติหิงฺคุลเกน ลิขาเปตฺวา วิมาเน นิกฺขิปิฯ เอวเมเต พุทฺธปญฺหา พุทฺธวิสยา เอว โหนฺติฯ ภควา ตํ สุตฺวา ยสฺมา พุทฺธานํ ปริจฺจตฺตลาภนฺตราโย วา ชีวิตนฺตราโย วา สพฺพญฺญุตญฺญาณพฺยามปฺปภานํ ปฎิฆาโต วา น สกฺกา เกนจิ กาตุํ, ตสฺมา ตํ โลเก อสาธารณํ พุทฺธานุภาวํ ทเสฺสโนฺต อาห ‘‘น ขฺวาหํ ตํ, อาวุโส, ปสฺสามิ สเทวเก โลเก’’ติฯ
Kuto panassa te pañhāti? Tassa kira mātāpitaro kassapaṃ bhagavantaṃ payirupāsitvā aṭṭha pañhe savissajjane uggahesuṃ. Te daharakāle āḷavakaṃ pariyāpuṇāpesuṃ. So kālaccayena vissajjanaṃ sammussi. Tato ‘‘ime pañhāpi mā vinassantū’’ti suvaṇṇapaṭṭe jātihiṅgulakena likhāpetvā vimāne nikkhipi. Evamete buddhapañhā buddhavisayā eva honti. Bhagavā taṃ sutvā yasmā buddhānaṃ pariccattalābhantarāyo vā jīvitantarāyo vā sabbaññutaññāṇabyāmappabhānaṃ paṭighāto vā na sakkā kenaci kātuṃ, tasmā taṃ loke asādhāraṇaṃ buddhānubhāvaṃ dassento āha ‘‘na khvāhaṃ taṃ, āvuso, passāmi sadevake loke’’ti.
ตตฺถ ‘‘สเทวกวจเนน ปญฺจกามาวจรเทวคฺคหณ’’นฺติอาทินา นเยน เอเตสํ ปทานํ อตฺถมตฺตทสฺสเนน สเงฺขโป วุโตฺต, น อนุสนฺธิโยชนากฺกเมน วิตฺถาโรฯ สฺวายํ วุจฺจติ – สเทวกวจเนน หิ อุกฺกฎฺฐปริเจฺฉทโต สพฺพเทเวสุ คหิเตสุปิ เยสํ ตตฺถ สนฺนิปติเต เทวคเณ วิมติ อโหสิ ‘‘มาโร มหานุภาโว ฉกามาวจริสฺสโร วสวตฺตี ปจฺจนีกสาโต ธมฺมเทสฺสี กุรุรกมฺมโนฺต, กิํ นุ โข, โสปิสฺส จิตฺตเกฺขปาทีนิ น กเรยฺยา’’ติ, เตสํ วิมติปฎิพาหนตฺถํ ‘‘สมารเก’’ติ อาหฯ ตโต เยสํ อโหสิ – ‘‘พฺรหฺมา มหานุภาโว เอกงฺคุลิยา เอกจกฺกวาฬสหเสฺส อาโลกํ กโรติ, ทฺวีหิ…เป.… ทสหิ องฺคุลีหิ ทสสุ จกฺกวาฬสหเสฺสสุ, อนุตฺตรญฺจ ฌานสมาปตฺติสุขํ ปฎิสํเวเทติ, กิํ โสปิ น กเรยฺยา’’ติ, เตสํ วิมติปฎิพาหนตฺถํ ‘‘สพฺรหฺมเก’’ติ อาหฯ อถ เยสํ อโหสิ ‘‘ปุถุ สมณพฺราหฺมณา สาสนสฺส ปจฺจตฺถิกา ปจฺจามิตฺตา มนฺตาทิพลสมนฺนาคตา, กิํ เตปิ น กเรยฺยุ’’นฺติ, เตสํ วิมติปฎิพาหนตฺถํ ‘‘สสฺสมณพฺราหฺมณิยา ปชายา’’ติ อาหฯ เอวํ อุกฺกฎฺฐฎฺฐาเนสุ กสฺสจิ อภาวํ ทเสฺสตฺวา อิทานิ สเทวมนุสฺสายาติ วจเนน สมฺมุติเทเว อวเสสมนุเสฺส จ อุปาทาย อุกฺกฎฺฐปริเจฺฉทวเสเนว เสสสตฺตโลเกปิ กสฺสจิ อภาวํ ทเสฺสสีติ เอวเมตฺถ อนุสนฺธิโยชนากฺกโม เวทิตโพฺพฯ
Tattha ‘‘sadevakavacanena pañcakāmāvacaradevaggahaṇa’’ntiādinā nayena etesaṃ padānaṃ atthamattadassanena saṅkhepo vutto, na anusandhiyojanākkamena vitthāro. Svāyaṃ vuccati – sadevakavacanena hi ukkaṭṭhaparicchedato sabbadevesu gahitesupi yesaṃ tattha sannipatite devagaṇe vimati ahosi ‘‘māro mahānubhāvo chakāmāvacarissaro vasavattī paccanīkasāto dhammadessī kururakammanto, kiṃ nu kho, sopissa cittakkhepādīni na kareyyā’’ti, tesaṃ vimatipaṭibāhanatthaṃ ‘‘samārake’’ti āha. Tato yesaṃ ahosi – ‘‘brahmā mahānubhāvo ekaṅguliyā ekacakkavāḷasahasse ālokaṃ karoti, dvīhi…pe… dasahi aṅgulīhi dasasu cakkavāḷasahassesu, anuttarañca jhānasamāpattisukhaṃ paṭisaṃvedeti, kiṃ sopi na kareyyā’’ti, tesaṃ vimatipaṭibāhanatthaṃ ‘‘sabrahmake’’ti āha. Atha yesaṃ ahosi ‘‘puthu samaṇabrāhmaṇā sāsanassa paccatthikā paccāmittā mantādibalasamannāgatā, kiṃ tepi na kareyyu’’nti, tesaṃ vimatipaṭibāhanatthaṃ ‘‘sassamaṇabrāhmaṇiyā pajāyā’’ti āha. Evaṃ ukkaṭṭhaṭṭhānesu kassaci abhāvaṃ dassetvā idāni sadevamanussāyāti vacanena sammutideve avasesamanusse ca upādāya ukkaṭṭhaparicchedavaseneva sesasattalokepi kassaci abhāvaṃ dassesīti evamettha anusandhiyojanākkamo veditabbo.
เอวํ ภควา ตสฺส พาธนจิตฺตํ ปฎิเสเธตฺวา ปญฺหปุจฺฉเน อุสฺสาหํ ชเนโนฺต อาห ‘‘อปิจ ตฺวํ, อาวุโส, ปุจฺฉ ยทากงฺขสี’’ติฯ ตสฺสโตฺถ – ปุจฺฉ, ยทิ อากงฺขสิ, น เม ปญฺหวิสฺสชฺชเน ภาโร อตฺถิฯ อถ วา ‘‘ปุจฺฉ ยํ อากงฺขสิ, เต สพฺพํ วิสฺสเชฺชสฺสามี’’ติ สพฺพญฺญุปวารณํ ปวาเรสิ อสาธารณํ ปเจฺจกพุทฺธอคฺคสาวกมหาสาวเกหิฯ เต หิ ‘‘ปุจฺฉาวุโส สุตฺวา เวทิสฺสามา’’ติ วทนฺติฯ พุทฺธา ปน ‘‘ปุจฺฉาวุโส ยทากงฺขสี’’ติ (สํ. นิ. ๑.๒๓๗, ๒๔๖) วา,
Evaṃ bhagavā tassa bādhanacittaṃ paṭisedhetvā pañhapucchane ussāhaṃ janento āha ‘‘apica tvaṃ, āvuso, puccha yadākaṅkhasī’’ti. Tassattho – puccha, yadi ākaṅkhasi, na me pañhavissajjane bhāro atthi. Atha vā ‘‘puccha yaṃ ākaṅkhasi, te sabbaṃ vissajjessāmī’’ti sabbaññupavāraṇaṃ pavāresi asādhāraṇaṃ paccekabuddhaaggasāvakamahāsāvakehi. Te hi ‘‘pucchāvuso sutvā vedissāmā’’ti vadanti. Buddhā pana ‘‘pucchāvuso yadākaṅkhasī’’ti (saṃ. ni. 1.237, 246) vā,
‘‘ปุจฺฉ วาสว มํ ปญฺหํ, ยํ กิญฺจิ มนสิจฺฉสี’’ติ วาฯ (ที. นิ. ๒.๓๕๖);
‘‘Puccha vāsava maṃ pañhaṃ, yaṃ kiñci manasicchasī’’ti vā. (dī. ni. 2.356);
‘‘พาวริสฺส จ ตุยฺหํ วา, สเพฺพสํ สพฺพสํสยํ;
‘‘Bāvarissa ca tuyhaṃ vā, sabbesaṃ sabbasaṃsayaṃ;
กตาวกาสา ปุจฺฉโวฺห, ยํ กิญฺจิ มนสิจฺฉถา’’ติ วาฯ (สุ. นิ. ๑๐๓๖) –
Katāvakāsā pucchavho, yaṃ kiñci manasicchathā’’ti vā. (su. ni. 1036) –
เอวมาทินา นเยน เทวมนุสฺสานํ สพฺพญฺญุปวารณํ ปวาเรนฺติฯ อนจฺฉริยเญฺจตํ, ยํ ภควา พุทฺธภูมิํ ปตฺวา เอวํ ปวารณํ ปวาเรยฺย, โย โพธิสตฺตภูมิยํ ปเทสญาเณ วตฺตมาโนปิ –
Evamādinā nayena devamanussānaṃ sabbaññupavāraṇaṃ pavārenti. Anacchariyañcetaṃ, yaṃ bhagavā buddhabhūmiṃ patvā evaṃ pavāraṇaṃ pavāreyya, yo bodhisattabhūmiyaṃ padesañāṇe vattamānopi –
‘‘โกณฺฑญฺญ ปญฺหานิ วิยากโรหิ, ยาจนฺติ ตํ อิสโย สาธุรูปา;
‘‘Koṇḍañña pañhāni viyākarohi, yācanti taṃ isayo sādhurūpā;
โกณฺฑญฺญ เอโส มนุเชสุ ธโมฺม, ยํ วุทฺธมาคจฺฉติ เอส ภาโร’’ติฯ (ชา. ๒.๑๗.๖๐) –
Koṇḍañña eso manujesu dhammo, yaṃ vuddhamāgacchati esa bhāro’’ti. (jā. 2.17.60) –
เอวํ อิสีหิ ยาจิโต –
Evaṃ isīhi yācito –
‘‘กตาวกาสา ปุจฺฉนฺตุ โภโนฺต, ยํ กิญฺจิ ปญฺหํ มนสาภิปตฺถิตํ;
‘‘Katāvakāsā pucchantu bhonto, yaṃ kiñci pañhaṃ manasābhipatthitaṃ;
อหญฺหิ ตํ ตํ โว วิยากริสฺสํ, ญตฺวา สยํ โลกมิมํ ปรญฺจา’’ติฯ –
Ahañhi taṃ taṃ vo viyākarissaṃ, ñatvā sayaṃ lokamimaṃ parañcā’’ti. –
เอวํ สรภงฺคกาเล สมฺภวชาตเก จ สกลชมฺพุทีเป ติกฺขตฺตุํ วิจริตฺวา ปญฺหานํ อนฺตกรํ อทิสฺวา ชาติยา สตฺตวสฺสิโก รถิกาย ปํสุกีฬิกํ กีฬโนฺต สุจิรเตน พฺราหฺมเณน ปุโฎฺฐ –
Evaṃ sarabhaṅgakāle sambhavajātake ca sakalajambudīpe tikkhattuṃ vicaritvā pañhānaṃ antakaraṃ adisvā jātiyā sattavassiko rathikāya paṃsukīḷikaṃ kīḷanto suciratena brāhmaṇena puṭṭho –
‘‘ตคฺฆ เต อหมกฺขิสฺสํ, ยถาปิ กุสโล ตถา;
‘‘Taggha te ahamakkhissaṃ, yathāpi kusalo tathā;
ราชา จ โข นํ ชานาติ, ยทิ กาหติ วา น วา’’ติฯ (ชา. ๑.๑๖.๑๗๒) –
Rājā ca kho naṃ jānāti, yadi kāhati vā na vā’’ti. (jā. 1.16.172) –
เอวํ สพฺพญฺญุปวารณํ ปวาเรสิฯ เอวํ ภควตา อาฬวกสฺส สพฺพญฺญุปวารณาย ปวาริตาย อถ โข อาฬวโก ยโกฺข ภควนฺตํ คาถาย อชฺฌภาสิ ‘‘กิํ สูธ วิตฺต’’นฺติฯ
Evaṃ sabbaññupavāraṇaṃ pavāresi. Evaṃ bhagavatā āḷavakassa sabbaññupavāraṇāya pavāritāya atha kho āḷavako yakkho bhagavantaṃ gāthāya ajjhabhāsi ‘‘kiṃ sūdha vitta’’nti.
๑๘๓. ตตฺถ กินฺติ ปุจฺฉาวจนํฯ สูติ ปทปูรณมเตฺต นิปาโตฯ อิธาติ อิมสฺมิํ โลเกฯ วิตฺตนฺติ วิทติ, ปีติํ กโรตีติ วิตฺตํ, ธนเสฺสตํ อธิวจนํฯ สุจิณฺณนฺติ สุกตํฯ สุขนฺติ กายิกเจตสิกํ สาตํฯ อาวหาตีติ อาวหติ, อาเนติ, เทติ, อเปฺปตีติ วุตฺตํ โหติ หเวติ ทฬฺหเตฺถ นิปาโตฯ สาทุตรนฺติ อติสเยน สาทุํฯ ‘‘สาธุตร’’นฺติปิ ปาโฐฯ รสานนฺติ รสสญฺญิตานํ ธมฺมานํฯ กถนฺติ เกน ปกาเรน, กถํชีวิโน ชีวิตํ กถํชีวิชีวิตํ, คาถาพนฺธสุขตฺถํ ปน สานุนาสิกํ วุจฺจติฯ ‘‘กถํชีวิํ ชีวต’’นฺติ วา ปาโฐฯ ตสฺส ชีวนฺตานํ กถํชีวินฺติ อโตฺถฯ เสสเมตฺถ ปากฎเมวฯ เอวมิมาย คาถาย ‘‘กิํ สุ อิธ โลเก ปุริสสฺส วิตฺตํ เสฎฺฐํ, กิํ สุ สุจิณฺณํ สุขมาวหาติ, กิํ รสานํ สาทุตรํ, กถํชีวิโน ชีวิตํ เสฎฺฐมาหู’’ติ อิเม จตฺตาโร ปเญฺห ปุจฺฉิฯ
183. Tattha kinti pucchāvacanaṃ. Sūti padapūraṇamatte nipāto. Idhāti imasmiṃ loke. Vittanti vidati, pītiṃ karotīti vittaṃ, dhanassetaṃ adhivacanaṃ. Suciṇṇanti sukataṃ. Sukhanti kāyikacetasikaṃ sātaṃ. Āvahātīti āvahati, āneti, deti, appetīti vuttaṃ hoti haveti daḷhatthe nipāto. Sādutaranti atisayena sāduṃ. ‘‘Sādhutara’’ntipi pāṭho. Rasānanti rasasaññitānaṃ dhammānaṃ. Kathanti kena pakārena, kathaṃjīvino jīvitaṃ kathaṃjīvijīvitaṃ, gāthābandhasukhatthaṃ pana sānunāsikaṃ vuccati. ‘‘Kathaṃjīviṃ jīvata’’nti vā pāṭho. Tassa jīvantānaṃ kathaṃjīvinti attho. Sesamettha pākaṭameva. Evamimāya gāthāya ‘‘kiṃ su idha loke purisassa vittaṃ seṭṭhaṃ, kiṃ su suciṇṇaṃ sukhamāvahāti, kiṃ rasānaṃ sādutaraṃ, kathaṃjīvino jīvitaṃ seṭṭhamāhū’’ti ime cattāro pañhe pucchi.
๑๘๔. อถสฺส ภควา กสฺสปทสพเลน วิสฺสชฺชิตนเยเนว วิสฺสเชฺชโนฺต อิมํ คาถมาห ‘‘สทฺธีธ วิตฺต’’นฺติฯ ตตฺถ ยถา หิรญฺญสุวณฺณาทิ วิตฺตํ อุปโภคปริโภคสุขํ อาวหติ, ขุปฺปิปาสาทิทุกฺขํ ปฎิพาหติ, ทาลิทฺทิยํ วูปสเมติ, มุตฺตาทิรตนปฎิลาภเหตุ โหติ, โลกสนฺถุติญฺจ อาวหติ, เอวํ โลกิยโลกุตฺตรา สทฺธาปิ ยถาสมฺภวํ โลกิยโลกุตฺตรวิปากสุขมาวหติ, สทฺธาธุเรน ปฎิปนฺนานํ ชาติชราทิทุกฺขํ ปฎิพาหติ, คุณทาลิทฺทิยํ วูปสเมติ, สติสโมฺพชฺฌงฺคาทิรตนปฎิลาภเหตุ โหติฯ
184. Athassa bhagavā kassapadasabalena vissajjitanayeneva vissajjento imaṃ gāthamāha ‘‘saddhīdha vitta’’nti. Tattha yathā hiraññasuvaṇṇādi vittaṃ upabhogaparibhogasukhaṃ āvahati, khuppipāsādidukkhaṃ paṭibāhati, dāliddiyaṃ vūpasameti, muttādiratanapaṭilābhahetu hoti, lokasanthutiñca āvahati, evaṃ lokiyalokuttarā saddhāpi yathāsambhavaṃ lokiyalokuttaravipākasukhamāvahati, saddhādhurena paṭipannānaṃ jātijarādidukkhaṃ paṭibāhati, guṇadāliddiyaṃ vūpasameti, satisambojjhaṅgādiratanapaṭilābhahetu hoti.
‘‘สโทฺธ สีเลน สมฺปโนฺน, ยโส โภคสมปฺปิโต;
‘‘Saddho sīlena sampanno, yaso bhogasamappito;
ยํ ยํ ปเทสํ ภชติ, ตตฺถ ตเตฺถว ปูชิโต’’ติฯ (ธ. ป. ๓๐๓) –
Yaṃ yaṃ padesaṃ bhajati, tattha tattheva pūjito’’ti. (dha. pa. 303) –
วจนโต โลกสนฺถุติญฺจ อาวหตีติ กตฺวา ‘‘วิตฺต’’นฺติ วุตฺตาฯ ยสฺมา ปเนตํ สทฺธาวิตฺตํ อนุคามิกํ อนญฺญสาธารณํ สพฺพสมฺปตฺติเหตุ, โลกิยสฺส หิรญฺญสุวณฺณาทิวิตฺตสฺสาปิ นิทานํฯ สโทฺธเยว หิ ทานาทีนิ ปุญฺญานิ กตฺวา วิตฺตํ อธิคจฺฉติ, อสฺสทฺธสฺส ปน วิตฺตํ ยาวเทว อนตฺถาย โหติ, ตสฺมา ‘‘เสฎฺฐ’’นฺติ วุตฺตํฯ ปุริสสฺสาติ อุกฺกฎฺฐปริเจฺฉทเทสนา; ตสฺมา น เกวลํ ปุริสสฺส , อิตฺถิอาทีนมฺปิ สทฺธาวิตฺตเมว เสฎฺฐนฺติ เวทิตพฺพํฯ
Vacanato lokasanthutiñca āvahatīti katvā ‘‘vitta’’nti vuttā. Yasmā panetaṃ saddhāvittaṃ anugāmikaṃ anaññasādhāraṇaṃ sabbasampattihetu, lokiyassa hiraññasuvaṇṇādivittassāpi nidānaṃ. Saddhoyeva hi dānādīni puññāni katvā vittaṃ adhigacchati, assaddhassa pana vittaṃ yāvadeva anatthāya hoti, tasmā ‘‘seṭṭha’’nti vuttaṃ. Purisassāti ukkaṭṭhaparicchedadesanā; tasmā na kevalaṃ purisassa , itthiādīnampi saddhāvittameva seṭṭhanti veditabbaṃ.
ธโมฺมติ ทสกุสลกมฺมปถธโมฺม, ทานสีลภาวนาธโมฺม วาฯ สุจิโณฺณติ สุกโต สุจริโต ฯ สุขมาวหาตีติ โสณเสฎฺฐิปุตฺตรฎฺฐปาลาทีนํ วิย มนุสฺสสุขํ, สกฺกาทีนํ วิย ทิพฺพสุขํ, ปริโยสาเน จ มหาปทุมาทีนํ วิย นิพฺพานสุขญฺจ อาวหตีติฯ
Dhammoti dasakusalakammapathadhammo, dānasīlabhāvanādhammo vā. Suciṇṇoti sukato sucarito . Sukhamāvahātīti soṇaseṭṭhiputtaraṭṭhapālādīnaṃ viya manussasukhaṃ, sakkādīnaṃ viya dibbasukhaṃ, pariyosāne ca mahāpadumādīnaṃ viya nibbānasukhañca āvahatīti.
สจฺจนฺติ อยํ สจฺจสโทฺท อเนเกสุ อเตฺถสุ ทิสฺสติฯ เสยฺยถิทํ – ‘‘สจฺจํ ภเณ น กุเชฺฌยฺยา’’ติอาทีสุ (ธ. ป. ๒๒๔) วาจาสเจฺจฯ ‘‘สเจฺจ ฐิตา สมณพฺราหฺมณา จา’’ติอาทีสุ (ชา. ๒.๒๑.๔๓๓) วิรติสเจฺจฯ ‘‘กสฺมา นุ สจฺจานิ วทนฺติ นานา, ปวาทิยาเส กุสลาวทานา’’ติอาทีสุ (สุ. นิ. ๘๙๑) ทิฎฺฐิสเจฺจฯ ‘‘จตฺตาริมานิ, ภิกฺขเว, พฺราหฺมณสจฺจานี’’ติอาทีสุ (อ. นิ. ๔.๑๘๕) พฺราหฺมณสเจฺจฯ ‘‘เอกญฺหิ สจฺจํ น ทุตียมตฺถี’’ติอาทีสุ (สุ. นิ. ๘๙๐) ปรมตฺถสเจฺจฯ ‘‘จตุนฺนํ สจฺจานํ กติ กุสลา’’ติอาทีสุ (วิภ. ๒๑๖) อริยสเจฺจฯ อิธ ปน ปรมตฺถสจฺจํ นิพฺพานํ, วิรติสจฺจํ วา อพฺภนฺตรํ กตฺวา วาจาสจฺจํ อธิเปฺปตํ, ยสฺสานุภาเวน อุทกาทีนิ วเส วเตฺตนฺติ ชาติชรามรณปารํ ตรนฺติฯ ยถาห –
Saccanti ayaṃ saccasaddo anekesu atthesu dissati. Seyyathidaṃ – ‘‘saccaṃ bhaṇe na kujjheyyā’’tiādīsu (dha. pa. 224) vācāsacce. ‘‘Sacce ṭhitā samaṇabrāhmaṇā cā’’tiādīsu (jā. 2.21.433) viratisacce. ‘‘Kasmā nu saccāni vadanti nānā, pavādiyāse kusalāvadānā’’tiādīsu (su. ni. 891) diṭṭhisacce. ‘‘Cattārimāni, bhikkhave, brāhmaṇasaccānī’’tiādīsu (a. ni. 4.185) brāhmaṇasacce. ‘‘Ekañhi saccaṃ na dutīyamatthī’’tiādīsu (su. ni. 890) paramatthasacce. ‘‘Catunnaṃ saccānaṃ kati kusalā’’tiādīsu (vibha. 216) ariyasacce. Idha pana paramatthasaccaṃ nibbānaṃ, viratisaccaṃ vā abbhantaraṃ katvā vācāsaccaṃ adhippetaṃ, yassānubhāvena udakādīni vase vattenti jātijarāmaraṇapāraṃ taranti. Yathāha –
‘‘สเจฺจน วาเจนุทกมฺปิ ธาวติ, วิสมฺปิ สเจฺจน หนนฺติ ปณฺฑิตา;
‘‘Saccena vācenudakampi dhāvati, visampi saccena hananti paṇḍitā;
สเจฺจน เทโว ถนยํ ปวสฺสติ, สเจฺจ ฐิตา นิพฺพุติํ ปตฺถยนฺติฯ
Saccena devo thanayaṃ pavassati, sacce ṭhitā nibbutiṃ patthayanti.
‘‘เย เกจิเม อตฺถิ รสา ปถพฺยา, สจฺจํ เตสํ สาทุตรํ รสานํ;
‘‘Ye kecime atthi rasā pathabyā, saccaṃ tesaṃ sādutaraṃ rasānaṃ;
สเจฺจ ฐิตา สมณพฺราหฺมณา จ, ตรนฺติ ชาติมรณสฺส ปาร’’นฺติฯ (ชา. ๒.๒๑.๔๓๓);
Sacce ṭhitā samaṇabrāhmaṇā ca, taranti jātimaraṇassa pāra’’nti. (jā. 2.21.433);
สาทุตรนฺติ มธุรตรํ, ปณีตตรํฯ รสานนฺติ เย อิเม ‘‘มูลรโส, ขนฺธรโส’’ติอาทินา (ธ. ส. ๖๒๘-๖๓๐) นเยน สายนียธมฺมา, เย จิเม ‘‘อนุชานามิ, ภิกฺขเว, สพฺพํ ผลรสํ (มหาว. ๓๐๐) อรสรูโป ภวํ โคตโม, เย เต, พฺราหฺมณ, รูปรสา, สทฺทรสา (อ. นิ. ๘.๑๑; ปารา. ๓), อนาปตฺติ รสรเส (ปาจิ. ๖๐๗-๖๐๙), อยํ ธมฺมวินโย เอกรโส วิมุตฺติรโส (อ. นิ. ๘.๑๙; จูฬว. ๓๘๕), ภาคี วา ภควา อตฺถรสสฺส ธมฺมรสสฺสา’’ติอาทินา (มหานิ. ๑๔๙; จูฬนิ. อชิตมาณวปุจฺฉานิเทฺทส ๒) นเยน วาจารสูปวชฺชา อวเสสพฺยญฺชนาทโย ธมฺมา ‘‘รสา’’ติ วุจฺจนฺติ, เตสํ รสานํ สจฺจํ หเว สาทุตรํ สจฺจเมว สาทุตรํ, สาธุตรํ วา เสฎฺฐตรํ, อุตฺตมตรํฯ มูลรสาทโย หิ สรีรํ อุปพฺรูเหนฺติ, สํกิเลสิกญฺจ สุขมาวหนฺติฯ สจฺจรเส วิรติสจฺจวาจาสจฺจรสา สมถวิปสฺสนาทีหิ จิตฺตมุปพฺรูเหนฺติ, อสํกิเลสิกญฺจ สุขมาวหนฺติ, วิมุตฺติรโส ปรมตฺถสจฺจรสปริภาวิตตฺตา สาทุ, อตฺถรสธมฺมรสา จ ตทธิคมูปายภูตํ อตฺถญฺจ ธมฺมญฺจ นิสฺสาย ปวตฺติโตติฯ
Sādutaranti madhurataraṃ, paṇītataraṃ. Rasānanti ye ime ‘‘mūlaraso, khandharaso’’tiādinā (dha. sa. 628-630) nayena sāyanīyadhammā, ye cime ‘‘anujānāmi, bhikkhave, sabbaṃ phalarasaṃ (mahāva. 300) arasarūpo bhavaṃ gotamo, ye te, brāhmaṇa, rūparasā, saddarasā (a. ni. 8.11; pārā. 3), anāpatti rasarase (pāci. 607-609), ayaṃ dhammavinayo ekaraso vimuttiraso (a. ni. 8.19; cūḷava. 385), bhāgī vā bhagavā attharasassa dhammarasassā’’tiādinā (mahāni. 149; cūḷani. ajitamāṇavapucchāniddesa 2) nayena vācārasūpavajjā avasesabyañjanādayo dhammā ‘‘rasā’’ti vuccanti, tesaṃ rasānaṃ saccaṃ have sādutaraṃ saccameva sādutaraṃ, sādhutaraṃ vā seṭṭhataraṃ, uttamataraṃ. Mūlarasādayo hi sarīraṃ upabrūhenti, saṃkilesikañca sukhamāvahanti. Saccarase viratisaccavācāsaccarasā samathavipassanādīhi cittamupabrūhenti, asaṃkilesikañca sukhamāvahanti, vimuttiraso paramatthasaccarasaparibhāvitattā sādu, attharasadhammarasā ca tadadhigamūpāyabhūtaṃ atthañca dhammañca nissāya pavattitoti.
ปญฺญาชีวินฺติ เอตฺถ ปน ยฺวายํ อเนฺธกจกฺขุทฺวิจกฺขุเกสุ ทฺวิจกฺขุปุคฺคโล คหโฎฺฐ วา กมฺมนฺตานุฎฺฐานสรณคมนทานสํวิภาคสีลสมาทานอุโปสถกมฺมาทิคหฎฺฐปฎิปทํ, ปพฺพชิโต วา อวิปฺปฎิสารกรสีลสงฺขาตํ ตทุตฺตริจิตฺตวิสุทฺธิอาทิเภทํ วา ปพฺพชิตปฎิปทํ ปญฺญาย อาราเธตฺวา ชีวติ, ตสฺส ปญฺญาชีวิโน ชีวิตํ, ตํ วา ปญฺญาชีวิํ ชีวิตํ เสฎฺฐมาหูติ เอวมโตฺถ ทฎฺฐโพฺพฯ
Paññājīvinti ettha pana yvāyaṃ andhekacakkhudvicakkhukesu dvicakkhupuggalo gahaṭṭho vā kammantānuṭṭhānasaraṇagamanadānasaṃvibhāgasīlasamādānauposathakammādigahaṭṭhapaṭipadaṃ, pabbajito vā avippaṭisārakarasīlasaṅkhātaṃ taduttaricittavisuddhiādibhedaṃ vā pabbajitapaṭipadaṃ paññāya ārādhetvā jīvati, tassa paññājīvino jīvitaṃ, taṃ vā paññājīviṃ jīvitaṃ seṭṭhamāhūti evamattho daṭṭhabbo.
๑๘๕-๖. เอวํ ภควตา วิสฺสชฺชิเต จตฺตาโรปิ ปเญฺห สุตฺวา อตฺตมโน ยโกฺข อวเสเสปิ จตฺตาโร ปเญฺห ปุจฺฉโนฺต ‘‘กถํ สุ ตรติ โอฆ’’นฺติ คาถมาหฯ อถสฺส ภควา ปุริมนเยเนว วิสฺสเชฺชโนฺต ‘‘สทฺธาย ตรตี’’ติ คาถมาหฯ ตตฺถ กิญฺจาปิ โย จตุพฺพิธํ โอฆํ ตรติ, โส สํสารณฺณวมฺปิ ตรติ, วฎฺฎทุกฺขมฺปิ อเจฺจติ, กิเลสมลาปิ ปริสุชฺฌติ, เอวํ สเนฺตปิ ปน ยสฺมา อสฺสโทฺธ โอฆตรณํ อสทฺทหโนฺต น ปกฺขนฺทติ, ปญฺจสุ กามคุเณสุ จิตฺตโวสฺสเคฺคน ปมโตฺต ตเตฺถว สตฺตวิสตฺตตาย สํสารณฺณวํ น ตรติ, กุสีโต ทุกฺขํ วิหรติ โวกิโณฺณ อกุสเลหิ ธเมฺมหิ, อปฺปโญฺญ สุทฺธิมคฺคํ อชานโนฺต น ปริสุชฺฌติ, ตสฺมา ตปฺปฎิปกฺขํ ทเสฺสเนฺตน ภควตา อยํ คาถา วุตฺตาฯ
185-6. Evaṃ bhagavatā vissajjite cattāropi pañhe sutvā attamano yakkho avasesepi cattāro pañhe pucchanto ‘‘kathaṃ su tarati ogha’’nti gāthamāha. Athassa bhagavā purimanayeneva vissajjento ‘‘saddhāya taratī’’ti gāthamāha. Tattha kiñcāpi yo catubbidhaṃ oghaṃ tarati, so saṃsāraṇṇavampi tarati, vaṭṭadukkhampi acceti, kilesamalāpi parisujjhati, evaṃ santepi pana yasmā assaddho oghataraṇaṃ asaddahanto na pakkhandati, pañcasu kāmaguṇesu cittavossaggena pamatto tattheva sattavisattatāya saṃsāraṇṇavaṃ na tarati, kusīto dukkhaṃ viharati vokiṇṇo akusalehi dhammehi, appañño suddhimaggaṃ ajānanto na parisujjhati, tasmā tappaṭipakkhaṃ dassentena bhagavatā ayaṃ gāthā vuttā.
เอวํ วุตฺตาย เจตาย ยสฺมา โสตาปตฺติยงฺคปทฎฺฐานํ สทฺธินฺทฺริยํ, ตสฺมา ‘‘สทฺธาย ตรติ โอฆ’’นฺติ อิมินา ปเทน ทิโฎฺฐฆตรณํ โสตาปตฺติมคฺคํ โสตาปนฺนญฺจ ปกาเสติฯ ยสฺมา ปน โสตาปโนฺน กุสลานํ ธมฺมานํ ภาวนาย สาตจฺจกิริยาสงฺขาเตน อปฺปมาเทน สมนฺนาคโต ทุติยมคฺคํ อาราเธตฺวา ฐเปตฺวา สกิเทว อิมํ โลกํ อาคมนมตฺตํ อวเสสํ โสตาปตฺติมเคฺคน อติณฺณํ ภโวฆวตฺถุํ สํสารณฺณวํ ตรติ, ตสฺมา ‘‘อปฺปมาเทน อณฺณว’’นฺติ อิมินา ปเทน ภโวฆตรณํ สกทาคามิมคฺคํ สกทาคามิญฺจ ปกาเสติฯ ยสฺมา สกทาคามี วีริเยน ตติยมคฺคํ อาราเธตฺวา สกทาคามิมเคฺคน อนตีตํ กาโมฆวตฺถุํ; กาโมฆสญฺญิตญฺจ กามทุกฺขมเจฺจติ, ตสฺมา ‘‘วีริเยน ทุกฺขมเจฺจตี’’ติ อิมินา ปเทน กาโมฆตรณํ อนาคามิมคฺคํ อนาคามิญฺจ ปกาเสติฯ ยสฺมา ปน อนาคามี วิคตกามปงฺกตาย ปริสุทฺธาย ปญฺญาย เอกนฺตปริสุทฺธํ จตุตฺถมคฺคปญฺญํ อาราเธตฺวา อนาคามิมเคฺคน อปฺปหีนํ อวิชฺชาสงฺขาตํ ปรมมลํ ปชหติ, ตสฺมา ‘‘ปญฺญาย ปริสุชฺฌตี’’ติ อิมินา ปเทน อวิโชฺชฆตรณํ อรหตฺตมคฺคํ อรหนฺตญฺจ ปกาเสติฯ อิมาย จ อรหตฺตนิกูเฎน กถิตาย คาถาย ปริโยสาเน ยโกฺข โสตาปตฺติผเล ปติฎฺฐาสิฯ
Evaṃ vuttāya cetāya yasmā sotāpattiyaṅgapadaṭṭhānaṃ saddhindriyaṃ, tasmā ‘‘saddhāya tarati ogha’’nti iminā padena diṭṭhoghataraṇaṃ sotāpattimaggaṃ sotāpannañca pakāseti. Yasmā pana sotāpanno kusalānaṃ dhammānaṃ bhāvanāya sātaccakiriyāsaṅkhātena appamādena samannāgato dutiyamaggaṃ ārādhetvā ṭhapetvā sakideva imaṃ lokaṃ āgamanamattaṃ avasesaṃ sotāpattimaggena atiṇṇaṃ bhavoghavatthuṃ saṃsāraṇṇavaṃ tarati, tasmā ‘‘appamādena aṇṇava’’nti iminā padena bhavoghataraṇaṃ sakadāgāmimaggaṃ sakadāgāmiñca pakāseti. Yasmā sakadāgāmī vīriyena tatiyamaggaṃ ārādhetvā sakadāgāmimaggena anatītaṃ kāmoghavatthuṃ; kāmoghasaññitañca kāmadukkhamacceti, tasmā ‘‘vīriyena dukkhamaccetī’’ti iminā padena kāmoghataraṇaṃ anāgāmimaggaṃ anāgāmiñca pakāseti. Yasmā pana anāgāmī vigatakāmapaṅkatāya parisuddhāya paññāya ekantaparisuddhaṃ catutthamaggapaññaṃ ārādhetvā anāgāmimaggena appahīnaṃ avijjāsaṅkhātaṃ paramamalaṃ pajahati, tasmā ‘‘paññāya parisujjhatī’’ti iminā padena avijjoghataraṇaṃ arahattamaggaṃ arahantañca pakāseti. Imāya ca arahattanikūṭena kathitāya gāthāya pariyosāne yakkho sotāpattiphale patiṭṭhāsi.
๑๘๗. อิทานิ ตเมว ‘‘ปญฺญาย ปริสุชฺฌตี’’ติ เอตฺถ วุตฺตํ ปญฺญาปทํ คเหตฺวา อตฺตโน ปฎิภาเนน โลกิยโลกุตฺตรมิสฺสกํ ปญฺหํ ปุจฺฉโนฺต ‘‘กถํ สุ ลภเต ปญฺญ’’นฺติ อิมํ ฉปฺปทคาถมาหฯ ตตฺถ กถํ สูติ สพฺพเตฺถว อตฺถยุตฺติปุจฺฉา โหติฯ อยญฺหิ ปญฺญาทิอตฺถํ ญตฺวา ตสฺส ยุตฺติํ ปุจฺฉติ ‘‘กถํ กาย ยุตฺติยา เกน การเณน ปญฺญํ ลภตี’’ติฯ เอส นโย ธนาทีสุฯ
187. Idāni tameva ‘‘paññāya parisujjhatī’’ti ettha vuttaṃ paññāpadaṃ gahetvā attano paṭibhānena lokiyalokuttaramissakaṃ pañhaṃ pucchanto ‘‘kathaṃ su labhate pañña’’nti imaṃ chappadagāthamāha. Tattha kathaṃ sūti sabbattheva atthayuttipucchā hoti. Ayañhi paññādiatthaṃ ñatvā tassa yuttiṃ pucchati ‘‘kathaṃ kāya yuttiyā kena kāraṇena paññaṃ labhatī’’ti. Esa nayo dhanādīsu.
๑๘๘. อถสฺส ภควา จตูหิ การเณหิ ปญฺญาลาภํ ทเสฺสโนฺต ‘‘สทฺทหาโน’’ติอาทิมาหฯ ตสฺสโตฺถ – เยน ปุพฺพภาเค กายสุจริตาทิเภเทน, อปรภาเค จ สตฺตติํสโพธิปกฺขิยเภเทน ธเมฺมน อรหโนฺต พุทฺธปเจฺจกพุทฺธสาวกา นิพฺพานํ ปตฺตา, ตํ สทฺทหาโน อรหตํ ธมฺมํ นิพฺพานปฺปตฺติยา โลกิยโลกุตฺตรํ ปญฺญํ ลภติฯ ตญฺจ โข น สทฺธามตฺตเกเนว, ยสฺมา ปน สทฺธาชาโต อุปสงฺกมติ, อุปสงฺกมโนฺต ปยิรุปาสติ, ปยิรุปาสโนฺต โสตํ โอทหติ, โอหิตโสโต ธมฺมํ สุณาติ, ตสฺมา อุปสงฺกมนโต ปภุติ ยาว ธมฺมสฺสวเนน สุสฺสูสํ ลภติฯ กิ วุตฺตํ โหติ – ตํ ธมฺมํ สทฺทหิตฺวาปิ อาจริยุปชฺฌาเย กาเลน อุปสงฺกมิตฺวา วตฺตกรเณน ปยิรุปาสิตฺวา ยทา ปยิรุปาสนาย อาราธิตจิตฺตา กิญฺจิ วตฺตุกามา โหนฺติฯ อถ อธิคตาย โสตุกามตาย โสตํ โอทหิตฺวา สุณโนฺต ลภตีติฯ เอวํ สุสูสมฺปิ จ สติอวิปฺปวาเสน อปฺปมโตฺต สุภาสิตทุพฺภาสิตญฺญุตาย วิจกฺขโณ เอว ลภติ, น อิตโรฯ เตนาห ‘‘อปฺปมโตฺต วิจกฺขโณ’’ติฯ
188. Athassa bhagavā catūhi kāraṇehi paññālābhaṃ dassento ‘‘saddahāno’’tiādimāha. Tassattho – yena pubbabhāge kāyasucaritādibhedena, aparabhāge ca sattatiṃsabodhipakkhiyabhedena dhammena arahanto buddhapaccekabuddhasāvakā nibbānaṃ pattā, taṃ saddahāno arahataṃ dhammaṃ nibbānappattiyā lokiyalokuttaraṃ paññaṃ labhati. Tañca kho na saddhāmattakeneva, yasmā pana saddhājāto upasaṅkamati, upasaṅkamanto payirupāsati, payirupāsanto sotaṃ odahati, ohitasoto dhammaṃ suṇāti, tasmā upasaṅkamanato pabhuti yāva dhammassavanena sussūsaṃ labhati. Ki vuttaṃ hoti – taṃ dhammaṃ saddahitvāpi ācariyupajjhāye kālena upasaṅkamitvā vattakaraṇena payirupāsitvā yadā payirupāsanāya ārādhitacittā kiñci vattukāmā honti. Atha adhigatāya sotukāmatāya sotaṃ odahitvā suṇanto labhatīti. Evaṃ susūsampi ca satiavippavāsena appamatto subhāsitadubbhāsitaññutāya vicakkhaṇo eva labhati, na itaro. Tenāha ‘‘appamatto vicakkhaṇo’’ti.
เอวํ ยสฺมา สทฺธาย ปญฺญาลาภสํวตฺตนิกํ ปฎิปทํ ปฎิปชฺชติ, สุสฺสูสาย สกฺกจฺจํ ปญฺญาธิคมูปายํ สุณาติ, อปฺปมาเทน คหิตํ น สมฺมุสฺสติ, วิจกฺขณตาย อนูนาธิกํ อวิปรีตญฺจ คเหตฺวา วิตฺถาริกํ กโรติฯ สุสฺสูสาย วา โอหิตโสโต ปญฺญาปฎิลาภเหตุํ ธมฺมํ สุณาติ, อปฺปมาเทน สุตฺวา ธมฺมํ ธาเรติ , วิจกฺขณตาย ธตานํ ธมฺมานํ อตฺถมุปปริกฺขติ, อถานุปุเพฺพน ปรมตฺถสจฺจํ สจฺฉิกโรติ, ตสฺมาสฺส ภควา ‘‘กถํ สุ ลภเต ปญฺญ’’นฺติ ปุโฎฺฐ อิมานิ จตฺตาริ การณานิ ทเสฺสโนฺต อิมํ คาถมาห – ‘‘สทฺทหาโน…เป.… วิจกฺขโณ’’ติฯ
Evaṃ yasmā saddhāya paññālābhasaṃvattanikaṃ paṭipadaṃ paṭipajjati, sussūsāya sakkaccaṃ paññādhigamūpāyaṃ suṇāti, appamādena gahitaṃ na sammussati, vicakkhaṇatāya anūnādhikaṃ aviparītañca gahetvā vitthārikaṃ karoti. Sussūsāya vā ohitasoto paññāpaṭilābhahetuṃ dhammaṃ suṇāti, appamādena sutvā dhammaṃ dhāreti , vicakkhaṇatāya dhatānaṃ dhammānaṃ atthamupaparikkhati, athānupubbena paramatthasaccaṃ sacchikaroti, tasmāssa bhagavā ‘‘kathaṃ su labhate pañña’’nti puṭṭho imāni cattāri kāraṇāni dassento imaṃ gāthamāha – ‘‘saddahāno…pe… vicakkhaṇo’’ti.
๑๘๙. อิทานิ ตโต ปเร ตโย ปเญฺห วิสฺสเชฺชโนฺต ‘‘ปติรูปการี’’ติ อิมํ คาถมาหฯ ตตฺถ เทสกาลาทีนิ อหาเปตฺวา โลกิยสฺส โลกุตฺตรสฺส วา ธนสฺส ปติรูปํ อธิคมูปายํ กโรตีติ ปติรูปการีฯ ธุรวาติ เจตสิกวีริยวเสน อนิกฺขิตฺตธุโรฯ อุฎฺฐาตาติ ‘‘โย จ สีตญฺจ อุณฺหญฺจ, ติณา ภิโยฺย น มญฺญตี’’ติอาทินา (เถรคา. ๒๓๒; ที. นิ. ๓.๒๕๓) นเยน กายิกวีริยวเสน อุฎฺฐานสมฺปโนฺน อสิถิลปรกฺกโมฯ วินฺทเต ธนนฺติ เอกมูสิกาย น จิรเสฺสว เทฺวสตสหสฺสสงฺขํ จูฬเนฺตวาสี วิย โลกิยธนญฺจ, มหลฺลกมหาติสฺสเตฺถโร วิย โลกุตฺตรธนญฺจ ลภติฯ โส หิ ‘‘ตีหิ อิริยาปเถหิ วิหริสฺสามี’’ติ วตฺตํ กตฺวา ถินมิทฺธาคมนเวลาย ปลาลจุมฺพฎกํ เตเมตฺวา, สีเส กตฺวา, คลปฺปมาณํ อุทกํ ปวิสิตฺวา, ถินมิทฺธํ ปฎิพาเหโนฺต ทฺวาทสหิ วเสฺสหิ อรหตฺตํ ปาปุณิฯ สเจฺจนาติ วจีสเจฺจนาปิ ‘‘สจฺจวาที ภูตวาที’’ติ, ปรมตฺถสเจฺจนาปิ ‘‘พุโทฺธ ปเจฺจกพุโทฺธ อริยสาวโก’’ติ เอวํ กิตฺติํ ปโปฺปติฯ ททนฺติ ยํกิญฺจิ อิจฺฉิตปตฺถิตํ ททโนฺต มิตฺตานิ คนฺถติ, สมฺปาเทติ กโรตีติ อโตฺถฯ ทุทฺททํ วา ททํ คนฺถติ, ทานมุเขน วา จตฺตาริปิ สงฺคหวตฺถูนิ คหิตานีติ เวทิตพฺพานิฯ เตหิ มิตฺตานิ กโรตีติ วุตฺตํ โหติฯ
189. Idāni tato pare tayo pañhe vissajjento ‘‘patirūpakārī’’ti imaṃ gāthamāha. Tattha desakālādīni ahāpetvā lokiyassa lokuttarassa vā dhanassa patirūpaṃ adhigamūpāyaṃ karotīti patirūpakārī. Dhuravāti cetasikavīriyavasena anikkhittadhuro. Uṭṭhātāti ‘‘yo ca sītañca uṇhañca, tiṇā bhiyyo na maññatī’’tiādinā (theragā. 232; dī. ni. 3.253) nayena kāyikavīriyavasena uṭṭhānasampanno asithilaparakkamo. Vindatedhananti ekamūsikāya na cirasseva dvesatasahassasaṅkhaṃ cūḷantevāsī viya lokiyadhanañca, mahallakamahātissatthero viya lokuttaradhanañca labhati. So hi ‘‘tīhi iriyāpathehi viharissāmī’’ti vattaṃ katvā thinamiddhāgamanavelāya palālacumbaṭakaṃ temetvā, sīse katvā, galappamāṇaṃ udakaṃ pavisitvā, thinamiddhaṃ paṭibāhento dvādasahi vassehi arahattaṃ pāpuṇi. Saccenāti vacīsaccenāpi ‘‘saccavādī bhūtavādī’’ti, paramatthasaccenāpi ‘‘buddho paccekabuddho ariyasāvako’’ti evaṃ kittiṃ pappoti. Dadanti yaṃkiñci icchitapatthitaṃ dadanto mittāni ganthati, sampādeti karotīti attho. Duddadaṃ vā dadaṃ ganthati, dānamukhena vā cattāripi saṅgahavatthūni gahitānīti veditabbāni. Tehi mittāni karotīti vuttaṃ hoti.
๑๙๐. เอวํ คหฎฺฐปพฺพชิตานํ สาธารเณน โลกิยโลกุตฺตรมิสฺสเกน นเยน จตฺตาโร ปเญฺห วิสฺสเชฺชตฺวา อิทานิ ‘‘กถํ เปจฺจ น โสจตี’’ติ อิมํ ปญฺจมํ ปญฺหํ คหฎฺฐวเสน วิสฺสเชฺชโนฺต อาห ‘‘ยเสฺสเต’’ติฯ ตสฺสโตฺถ – ยสฺส ‘‘สทฺทหาโน อรหต’’นฺติ เอตฺถ วุตฺตาย สพฺพกลฺยาณธมฺมุปฺปาทิกาย สทฺธาย สมนฺนาคตตฺตา สทฺธสฺส ฆรเมสิโน ฆราวาสํ ปญฺจ วา กามคุเณ เอสนฺตสฺส คเวสนฺตสฺส กามโภคิโน คหฎฺฐสฺส ‘‘สเจฺจน กิตฺติํ ปโปฺปตี’’ติ เอตฺถ วุตฺตปฺปการํ สจฺจํ, ‘‘สุสฺสูสํ ลภเต ปญฺญ’’นฺติ เอตฺถ สุสฺสูสปญฺญานาเมน วุโตฺต ธโมฺม, ‘‘ธุรวา อุฎฺฐาตา’’ติ เอตฺถ ธุรนาเมน อุฎฺฐานนาเมน จ วุตฺตา ธีติ, ‘‘ททํ มิตฺตานิ คนฺถตี’’ติ เอตฺถ วุตฺตปฺปกาโร จาโค จาติ เอเต จตุโร ธมฺมา สนฺติฯ ส เว เปจฺจ น โสจตีติ อิธโลกา ปรโลกํ คนฺตฺวา ส เว น โสจตีติฯ
190. Evaṃ gahaṭṭhapabbajitānaṃ sādhāraṇena lokiyalokuttaramissakena nayena cattāro pañhe vissajjetvā idāni ‘‘kathaṃ pecca na socatī’’ti imaṃ pañcamaṃ pañhaṃ gahaṭṭhavasena vissajjento āha ‘‘yassete’’ti. Tassattho – yassa ‘‘saddahāno arahata’’nti ettha vuttāya sabbakalyāṇadhammuppādikāya saddhāya samannāgatattā saddhassagharamesino gharāvāsaṃ pañca vā kāmaguṇe esantassa gavesantassa kāmabhogino gahaṭṭhassa ‘‘saccena kittiṃ pappotī’’ti ettha vuttappakāraṃ saccaṃ, ‘‘sussūsaṃ labhate pañña’’nti ettha sussūsapaññānāmena vutto dhammo, ‘‘dhuravā uṭṭhātā’’ti ettha dhuranāmena uṭṭhānanāmena ca vuttā dhīti, ‘‘dadaṃ mittāni ganthatī’’ti ettha vuttappakāro cāgo cāti ete caturo dhammā santi. Sa ve pecca na socatīti idhalokā paralokaṃ gantvā sa ve na socatīti.
๑๙๑. เอวํ ภควา ปญฺจมมฺปิ ปญฺหํ วิสฺสเชฺชตฺวา ตํ ยกฺขํ โจเทโนฺต อาห – ‘‘อิงฺฆ อเญฺญปี’’ติฯ ตตฺถ อิงฺฆาติ โจทนเตฺถ นิปาโตฯ อเญฺญปีติ อเญฺญปิ ธเมฺม ปุถู สมณพฺราหฺมเณ ปุจฺฉสฺสุ, อเญฺญปิ วา ปูรณาทโย สพฺพญฺญุปฎิเญฺญ ปุถู สมณพฺราหฺมเณ ปุจฺฉสฺสุฯ ยทิ อเมฺหหิ ‘‘สเจฺจน กิตฺติํ ปโปฺปตี’’ติ เอตฺถ วุตฺตปฺปการา สจฺจา ภิโยฺย กิตฺติปฺปตฺติการณํ วา, ‘‘สุสฺสูสํ ลภเต ปญฺญ’’นฺติ เอตฺถ สุสฺสูสนปญฺญาปเทเสน วุตฺตา ทมา ภิโยฺย โลกิยโลกุตฺตรปญฺญาปฎิลาภการณํ วาฯ ‘‘ททํ มิตฺตานิ คนฺถตี’’ติ เอตฺถ วุตฺตปฺปการา จาคา ภิโยฺย มิตฺตคนฺถนการณํ วา, ‘‘ธุรวา อุฎฺฐาตา’’ติ เอตฺถ ตํ ตํ อตฺถวสํ ปฎิจฺจ ธุรนาเมน อุฎฺฐานนาเมน จ วุตฺตาย มหาภารสหนเฎฺฐน อุโสฺสฬฺหีภาวปฺปตฺตาย วีริยสงฺขาตาย ขนฺตฺยา ภิโยฺย โลกิยโลกุตฺตรธนวินฺทนการณํ วา, ‘‘สจฺจํ ธโมฺม ธิติ จาโค’’ติ เอวํ วุเตฺตหิ อิเมเหว จตูหิ ธเมฺมหิ ภิโยฺย อสฺมา โลกา ปรํ โลกํ เปจฺจ อโสจนการณํ วา อิธ วิชฺชตีติ อยเมตฺถ สทฺธิํ สเงฺขปโยชนาย อตฺถวณฺณนาฯ วิตฺถารโต ปน เอกเมกํ ปทํ อตฺถุทฺธารปทุทฺธารวณฺณนานเยหิ วิภชิตฺวา เวทิตพฺพาฯ
191. Evaṃ bhagavā pañcamampi pañhaṃ vissajjetvā taṃ yakkhaṃ codento āha – ‘‘iṅgha aññepī’’ti. Tattha iṅghāti codanatthe nipāto. Aññepīti aññepi dhamme puthū samaṇabrāhmaṇe pucchassu, aññepi vā pūraṇādayo sabbaññupaṭiññe puthū samaṇabrāhmaṇe pucchassu. Yadi amhehi ‘‘saccena kittiṃ pappotī’’ti ettha vuttappakārā saccā bhiyyo kittippattikāraṇaṃ vā, ‘‘sussūsaṃ labhate pañña’’nti ettha sussūsanapaññāpadesena vuttā damā bhiyyo lokiyalokuttarapaññāpaṭilābhakāraṇaṃ vā. ‘‘Dadaṃ mittāni ganthatī’’ti ettha vuttappakārā cāgā bhiyyo mittaganthanakāraṇaṃ vā, ‘‘dhuravā uṭṭhātā’’ti ettha taṃ taṃ atthavasaṃ paṭicca dhuranāmena uṭṭhānanāmena ca vuttāya mahābhārasahanaṭṭhena ussoḷhībhāvappattāya vīriyasaṅkhātāya khantyā bhiyyo lokiyalokuttaradhanavindanakāraṇaṃ vā, ‘‘saccaṃ dhammo dhiti cāgo’’ti evaṃ vuttehi imeheva catūhi dhammehi bhiyyo asmā lokā paraṃ lokaṃ pecca asocanakāraṇaṃ vā idha vijjatīti ayamettha saddhiṃ saṅkhepayojanāya atthavaṇṇanā. Vitthārato pana ekamekaṃ padaṃ atthuddhārapaduddhāravaṇṇanānayehi vibhajitvā veditabbā.
๑๙๒. เอวํ วุเตฺต ยโกฺข เยน สํสเยน อเญฺญ ปุเจฺฉยฺย, ตสฺส ปหีนตฺตา ‘‘กถํ นุ ทานิ ปุเจฺฉยฺยํ, ปุถู สมณพฺราหฺมเณติ วตฺวา เยปิสฺส อปุจฺฉนการณํ น ชานนฺติ, เตปิ ชานาเปโนฺต ‘‘โยหํ อชฺช ปชานามิ, โย อโตฺถ สมฺปรายิโก’’ติ อาหฯ ตตฺถ อชฺชาติ อชฺชาทิํ กตฺวาติ อธิปฺปาโยฯ ปชานามีติ ยถาวุเตฺตน ปกาเรน ชานามิฯ โย อโตฺถติ เอตฺตาวตา ‘‘สุสฺสูสํ ลภเต ปญฺญ’’นฺติอาทินา นเยน วุตฺตํ ทิฎฺฐธมฺมิกํ ทเสฺสติ สมฺปรายิโกติ อิมินา ‘‘ยเสฺสเต จตุโร ธมฺมา’’ติ วุตฺตํ เปจฺจ โสกาภาวกรํ สมฺปรายิกํฯ อโตฺถติ จ การณเสฺสตํ อธิวจนํฯ อยญฺหิ อตฺถสโทฺท ‘‘สาตฺถํ สพฺยญฺชน’’นฺติ เอวมาทีสุ (ปารา. ๑; ที. นิ. ๑.๒๕๕) ปาฐเตฺถ วตฺตติฯ ‘‘อโตฺถ เม, คหปติ, หิรญฺญสุวเณฺณนา’’ติอาทีสุ (ที. นิ. ๒.๒๕๐; ม. นิ. ๓.๒๕๘) กิจฺจเตฺถ ‘‘โหติ สีลวตํ อโตฺถ’’ติอาทีสุ (ชา. ๑.๑.๑๑) วุฑฺฒิมฺหิฯ ‘‘พหุชโน ภชเต อตฺถเหตู’’ติอาทีสุ (ชา. ๑.๑๕.๘๙) ธเนฯ ‘‘อุภินฺนมตฺถํ จรตี’’ติอาทีสุ (ชา. ๑.๗.๖๖; สํ. นิ. ๑.๒๕๐; เถรคา. ๔๔๓) หิเตฯ ‘‘อเตฺถ ชาเต จ ปณฺฑิต’’นฺติอาทีสุ (ชา. ๑.๑.๙๒) การเณฯ อิธ ปน การเณฯ ตสฺมา ยํ ปญฺญาทิลาภาทีนํ การณํ ทิฎฺฐธมฺมิกํ, ยญฺจ เปจฺจ โสกาภาวสฺส การณํ สมฺปรายิกํ, ตํ โยหํ อชฺช ภควตา วุตฺตนเยน สามํเยว ปชานามิ, โส กถํ นุ ทานิ ปุเจฺฉยฺยํ ปุถู สมณพฺราหฺมเณติ เอวเมตฺถ สเงฺขปโต อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ
192. Evaṃ vutte yakkho yena saṃsayena aññe puccheyya, tassa pahīnattā ‘‘kathaṃ nu dāni puccheyyaṃ, puthū samaṇabrāhmaṇeti vatvā yepissa apucchanakāraṇaṃ na jānanti, tepi jānāpento ‘‘yohaṃ ajja pajānāmi, yo attho samparāyiko’’ti āha. Tattha ajjāti ajjādiṃ katvāti adhippāyo. Pajānāmīti yathāvuttena pakārena jānāmi. Yo atthoti ettāvatā ‘‘sussūsaṃ labhate pañña’’ntiādinā nayena vuttaṃ diṭṭhadhammikaṃ dasseti samparāyikoti iminā ‘‘yassete caturo dhammā’’ti vuttaṃ pecca sokābhāvakaraṃ samparāyikaṃ. Atthoti ca kāraṇassetaṃ adhivacanaṃ. Ayañhi atthasaddo ‘‘sātthaṃ sabyañjana’’nti evamādīsu (pārā. 1; dī. ni. 1.255) pāṭhatthe vattati. ‘‘Attho me, gahapati, hiraññasuvaṇṇenā’’tiādīsu (dī. ni. 2.250; ma. ni. 3.258) kiccatthe ‘‘hoti sīlavataṃ attho’’tiādīsu (jā. 1.1.11) vuḍḍhimhi. ‘‘Bahujano bhajate atthahetū’’tiādīsu (jā. 1.15.89) dhane. ‘‘Ubhinnamatthaṃ caratī’’tiādīsu (jā. 1.7.66; saṃ. ni. 1.250; theragā. 443) hite. ‘‘Atthe jāte ca paṇḍita’’ntiādīsu (jā. 1.1.92) kāraṇe. Idha pana kāraṇe. Tasmā yaṃ paññādilābhādīnaṃ kāraṇaṃ diṭṭhadhammikaṃ, yañca pecca sokābhāvassa kāraṇaṃ samparāyikaṃ, taṃ yohaṃ ajja bhagavatā vuttanayena sāmaṃyeva pajānāmi, so kathaṃ nu dāni puccheyyaṃ puthū samaṇabrāhmaṇeti evamettha saṅkhepato attho veditabbo.
๑๙๓. เอวํ ยโกฺข ‘‘ปชานามิ โย อโตฺถ สมฺปรายิโก’’ติ วตฺวา ตสฺส ญาณสฺส ภควํมูลกตฺตํ ทเสฺสโนฺต ‘‘อตฺถาย วต เม พุโทฺธ’’ติ อาหฯ ตตฺถ อตฺถายาติ หิตาย, วุฑฺฒิยา วาฯ ยตฺถ ทินฺนํ มหปฺผลนฺติ ‘‘ยเสฺสเต จตุโร ธมฺมา’’ติ (ชา. ๑.๑.๙๗) เอตฺถ วุตฺตจาเคน ยตฺถ ทินฺนํ มหปฺผลํ โหติ, ตํ อคฺคทกฺขิเณยฺยํ พุทฺธํ ปชานามีติ อโตฺถฯ เกจิ ปน ‘‘สงฺฆํ สนฺธาย เอวมาหา’’ติ ภณนฺติฯ
193. Evaṃ yakkho ‘‘pajānāmi yo attho samparāyiko’’ti vatvā tassa ñāṇassa bhagavaṃmūlakattaṃ dassento ‘‘atthāya vata me buddho’’ti āha. Tattha atthāyāti hitāya, vuḍḍhiyā vā. Yattha dinnaṃ mahapphalanti ‘‘yassete caturo dhammā’’ti (jā. 1.1.97) ettha vuttacāgena yattha dinnaṃ mahapphalaṃ hoti, taṃ aggadakkhiṇeyyaṃ buddhaṃ pajānāmīti attho. Keci pana ‘‘saṅghaṃ sandhāya evamāhā’’ti bhaṇanti.
๑๙๔. เอวํ อิมาย คาถาย อตฺตโน หิตาธิคมํ ทเสฺสตฺวา อิทานิ ปรหิตาย ปฎิปตฺติํ ทีเปโนฺต อาห ‘‘โส อหํ วิจริสฺสามี’’ติฯ ตสฺสโตฺถ เหมวตสุเตฺต วุตฺตนเยเนว เวทิตโพฺพฯ
194. Evaṃ imāya gāthāya attano hitādhigamaṃ dassetvā idāni parahitāya paṭipattiṃ dīpento āha ‘‘so ahaṃ vicarissāmī’’ti. Tassattho hemavatasutte vuttanayeneva veditabbo.
เอวมิมาย คาถาย ปริโยสานญฺจ รตฺติวิภายนญฺจ สาธุการสทฺทุฎฺฐานญฺจ อาฬวกกุมารสฺส ยกฺขสฺส ภวนํ อานยนญฺจ เอกกฺขเณเยว อโหสิฯ ราชปุริสา สาธุการสทฺทํ สุตฺวา ‘‘เอวรูโป สาธุการสโทฺท ฐเปตฺวา พุเทฺธ น อเญฺญสํ อพฺภุคฺคจฺฉติ, อาคโต นุ โข ภควา’’ติ อาวเชฺชนฺตา ภควโต สรีรปฺปภํ ทิสฺวา, ปุเพฺพ วิย พหิ อฎฺฐตฺวา, นิพฺพิสงฺกา อโนฺตเยว ปวิสิตฺวา, อทฺทสํสุ ภควนฺตํ ยกฺขสฺส ภวเน นิสินฺนํ, ยกฺขญฺจ อญฺชลิํ ปคฺคเหตฺวา ฐิตํฯ ทิสฺวาน ยกฺขํ อาหํสุ – ‘‘อยํ เต, มหายกฺข, ราชกุมาโร พลิกมฺมาย อานีโต, หนฺท นํ ขาท วา ภุญฺช วา, ยถาปจฺจยํ วา กโรหี’’ติฯ โส โสตาปนฺนตฺตา ลชฺชิโต วิเสสโต จ ภควโต ปุรโต เอวํ วุจฺจมาโน, อถ ตํ กุมารํ อุโภหิ หเตฺถหิ ปฎิคฺคเหตฺวา ภควโต อุปนาเมสิ – ‘‘อยํ ภเนฺต กุมาโร มยฺหํ เปสิโต, อิมาหํ ภควโต ทมฺมิ, หิตานุกมฺปกา พุทฺธา, ปฎิคฺคณฺหาตุ, ภเนฺต, ภควา อิมํ ทารกํ อิมสฺส หิตตฺถาย สุขตฺถายา’’ติฯ อิมญฺจ คาถมาห –
Evamimāya gāthāya pariyosānañca rattivibhāyanañca sādhukārasadduṭṭhānañca āḷavakakumārassa yakkhassa bhavanaṃ ānayanañca ekakkhaṇeyeva ahosi. Rājapurisā sādhukārasaddaṃ sutvā ‘‘evarūpo sādhukārasaddo ṭhapetvā buddhe na aññesaṃ abbhuggacchati, āgato nu kho bhagavā’’ti āvajjentā bhagavato sarīrappabhaṃ disvā, pubbe viya bahi aṭṭhatvā, nibbisaṅkā antoyeva pavisitvā, addasaṃsu bhagavantaṃ yakkhassa bhavane nisinnaṃ, yakkhañca añjaliṃ paggahetvā ṭhitaṃ. Disvāna yakkhaṃ āhaṃsu – ‘‘ayaṃ te, mahāyakkha, rājakumāro balikammāya ānīto, handa naṃ khāda vā bhuñja vā, yathāpaccayaṃ vā karohī’’ti. So sotāpannattā lajjito visesato ca bhagavato purato evaṃ vuccamāno, atha taṃ kumāraṃ ubhohi hatthehi paṭiggahetvā bhagavato upanāmesi – ‘‘ayaṃ bhante kumāro mayhaṃ pesito, imāhaṃ bhagavato dammi, hitānukampakā buddhā, paṭiggaṇhātu, bhante, bhagavā imaṃ dārakaṃ imassa hitatthāya sukhatthāyā’’ti. Imañca gāthamāha –
‘‘อิมํ กุมารํ สตปุญฺญลกฺขณํ, สพฺพงฺคุเปตํ ปริปุณฺณพฺยญฺชนํ;
‘‘Imaṃ kumāraṃ satapuññalakkhaṇaṃ, sabbaṅgupetaṃ paripuṇṇabyañjanaṃ;
อุทคฺคจิโตฺต สุมโน ททามิ เต, ปฎิคฺคห โลกหิตาย จกฺขุมา’’ติฯ
Udaggacitto sumano dadāmi te, paṭiggaha lokahitāya cakkhumā’’ti.
ปฎิคฺคเหสิ ภควา กุมารํ, ปฎิคฺคณฺหโนฺต จ ยกฺขสฺส จ กุมารสฺส จ มงฺคลกรณตฺถํ ปาทูนคาถํ อภาสิฯ ตํ ยโกฺข กุมารํ สรณํ คเมโนฺต ติกฺขตฺตุํ จตุตฺถปาเทน ปูเรติฯ เสยฺยถิทํ –
Paṭiggahesi bhagavā kumāraṃ, paṭiggaṇhanto ca yakkhassa ca kumārassa ca maṅgalakaraṇatthaṃ pādūnagāthaṃ abhāsi. Taṃ yakkho kumāraṃ saraṇaṃ gamento tikkhattuṃ catutthapādena pūreti. Seyyathidaṃ –
‘‘ทีฆายุโก โหตุ อยํ กุมาโร,
‘‘Dīghāyuko hotu ayaṃ kumāro,
ตุวญฺจ ยกฺข สุขิโต ภวาหิ;
Tuvañca yakkha sukhito bhavāhi;
อพฺยาธิตา โลกหิตาย ติฎฺฐถ,
Abyādhitā lokahitāya tiṭṭhatha,
อยํ กุมาโร สรณมุเปติ พุทฺธํ…เป.… ธมฺมํ…เป.… สงฺฆ’’นฺติฯ
Ayaṃ kumāro saraṇamupeti buddhaṃ…pe… dhammaṃ…pe… saṅgha’’nti.
ภควา กุมารํ ราชปุริสานํ อทาสิ – ‘‘อิมํ วเฑฺฒตฺวา ปุน มเมว เทถา’’ติฯ เอวํ โส กุมาโร ราชปุริสานํ หตฺถโต ยกฺขสฺส หตฺถํ ยกฺขสฺส หตฺถโต ภควโต หตฺถํ, ภควโต หตฺถโต ปุน ราชปุริสานํ หตฺถํ คตตฺตา นามโต ‘‘หตฺถโก อาฬวโก’’ติ ชาโตฯ ตํ อาทาย ปฎินิวเตฺต ราชปุริเส ทิสฺวา กสฺสกวนกมฺมิกาทโย ‘‘กิํ ยโกฺข กุมารํ อติทหรตฺตา น อิจฺฉตี’’ติ ภีตา ปุจฺฉิํสุฯ ราชปุริสา ‘‘มา ภายถ, เขมํ กตํ ภควตา’’ติ สพฺพมาโรเจสุํฯ ตโต ‘‘สาธุ สาธู’’ติ สกลํ อาฬวีนครํ เอกโกลาหเลน ยกฺขาภิมุขํ อโหสิฯ ยโกฺขปิ ภควโต ภิกฺขาจารกาเล อนุปฺปเตฺต ปตฺตจีวรํ คเหตฺวา อุปฑฺฒมคฺคํ อาคนฺตฺวา นิวตฺติฯ
Bhagavā kumāraṃ rājapurisānaṃ adāsi – ‘‘imaṃ vaḍḍhetvā puna mameva dethā’’ti. Evaṃ so kumāro rājapurisānaṃ hatthato yakkhassa hatthaṃ yakkhassa hatthato bhagavato hatthaṃ, bhagavato hatthato puna rājapurisānaṃ hatthaṃ gatattā nāmato ‘‘hatthako āḷavako’’ti jāto. Taṃ ādāya paṭinivatte rājapurise disvā kassakavanakammikādayo ‘‘kiṃ yakkho kumāraṃ atidaharattā na icchatī’’ti bhītā pucchiṃsu. Rājapurisā ‘‘mā bhāyatha, khemaṃ kataṃ bhagavatā’’ti sabbamārocesuṃ. Tato ‘‘sādhu sādhū’’ti sakalaṃ āḷavīnagaraṃ ekakolāhalena yakkhābhimukhaṃ ahosi. Yakkhopi bhagavato bhikkhācārakāle anuppatte pattacīvaraṃ gahetvā upaḍḍhamaggaṃ āgantvā nivatti.
อถ ภควา นคเร ปิณฺฑาย จริตฺวา กตภตฺตกิโจฺจ นครทฺวาเร อญฺญตรสฺมิํ วิวิเตฺต รุกฺขมูเล ปญฺญตฺตวรพุทฺธาสเน นิสีทิฯ ตโต มหาชนกาเยน สทฺธิํ ราชา จ นาครา จ เอกโต สมฺปิณฺฑิตฺวา ภควนฺตํ อุปสงฺกมฺม วนฺทิตฺวา ปริวาเรตฺวา นิสินฺนา ‘‘กถํ, ภเนฺต, เอวํ ทารุณํ ยกฺขํ ทมยิตฺถา’’ติ ปุจฺฉิํสุฯ เตสํ ภควา ยุทฺธมาทิํ กตฺวา ‘‘เอวํ นววิธวสฺสํ วสฺสิ, เอวํ วิภิํสนกํ อกาสิ, เอวํ ปญฺหํ ปุจฺฉิ, ตสฺสาหํ เอวํ วิสฺสเชฺชสิ’’นฺติ ตเมวาฬวกสุตฺตํ กเถสิฯ กถาปริโยสาเน จตุราสีติปาณสหสฺสานํ ธมฺมาภิสมโย อโหสิฯ ตโต ราชา จ นาครา จ เวสฺสวณมหาราชสฺส ภวนสมีเป ยกฺขสฺส ภวนํ กตฺวา ปุปฺผคนฺธาทิสกฺการูเปตํ นิจฺจํ พลิํ ปวเตฺตสุํฯ ตญฺจ กุมารํ วิญฺญุตํ ปตฺตํ ‘‘ตฺวํ ภควนฺตํ นิสฺสาย ชีวิตํ ลภิ, คจฺฉ, ภควนฺตํเยว ปยิรุปาสสฺสุ ภิกฺขุสงฺฆญฺจา’’ติ วิสฺสเชฺชสุํฯ โส ภควนฺตญฺจ ภิกฺขุสงฺฆญฺจ ปยิรุปาสมาโน น จิรเสฺสว อนาคามิผเล ปติฎฺฐาย สพฺพํ พุทฺธวจนํ อุคฺคเหตฺวา ปญฺจสตอุปาสกปริวาโร อโหสิฯ ภควา จ นํ เอตทเคฺค นิทฺทิสิ ‘‘เอตทคฺคํ, ภิกฺขเว, มม สาวกานํ อุปาสกานํ จตูหิ สงฺคหวตฺถูหิ ปริสํ สงฺคณฺหนฺตานํ ยทิทํ หตฺถโก อาฬวโก’’ติ (อ นิ. ๑.๒๕๑)ฯ
Atha bhagavā nagare piṇḍāya caritvā katabhattakicco nagaradvāre aññatarasmiṃ vivitte rukkhamūle paññattavarabuddhāsane nisīdi. Tato mahājanakāyena saddhiṃ rājā ca nāgarā ca ekato sampiṇḍitvā bhagavantaṃ upasaṅkamma vanditvā parivāretvā nisinnā ‘‘kathaṃ, bhante, evaṃ dāruṇaṃ yakkhaṃ damayitthā’’ti pucchiṃsu. Tesaṃ bhagavā yuddhamādiṃ katvā ‘‘evaṃ navavidhavassaṃ vassi, evaṃ vibhiṃsanakaṃ akāsi, evaṃ pañhaṃ pucchi, tassāhaṃ evaṃ vissajjesi’’nti tamevāḷavakasuttaṃ kathesi. Kathāpariyosāne caturāsītipāṇasahassānaṃ dhammābhisamayo ahosi. Tato rājā ca nāgarā ca vessavaṇamahārājassa bhavanasamīpe yakkhassa bhavanaṃ katvā pupphagandhādisakkārūpetaṃ niccaṃ baliṃ pavattesuṃ. Tañca kumāraṃ viññutaṃ pattaṃ ‘‘tvaṃ bhagavantaṃ nissāya jīvitaṃ labhi, gaccha, bhagavantaṃyeva payirupāsassu bhikkhusaṅghañcā’’ti vissajjesuṃ. So bhagavantañca bhikkhusaṅghañca payirupāsamāno na cirasseva anāgāmiphale patiṭṭhāya sabbaṃ buddhavacanaṃ uggahetvā pañcasataupāsakaparivāro ahosi. Bhagavā ca naṃ etadagge niddisi ‘‘etadaggaṃ, bhikkhave, mama sāvakānaṃ upāsakānaṃ catūhi saṅgahavatthūhi parisaṃ saṅgaṇhantānaṃ yadidaṃ hatthako āḷavako’’ti (a ni. 1.251).
ปรมตฺถโชติกาย ขุทฺทก-อฎฺฐกถาย
Paramatthajotikāya khuddaka-aṭṭhakathāya
สุตฺตนิปาต-อฎฺฐกถาย อาฬวกสุตฺตวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Suttanipāta-aṭṭhakathāya āḷavakasuttavaṇṇanā niṭṭhitā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / สุตฺตนิปาตปาฬิ • Suttanipātapāḷi / ๑๐. อาฬวกสุตฺตํ • 10. Āḷavakasuttaṃ