Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ชาตก-อฎฺฐกถา • Jātaka-aṭṭhakathā |
[๑๕๖] ๖. อลีนจิตฺตชาตกวณฺณนา
[156] 6. Alīnacittajātakavaṇṇanā
อลีนจิตฺตํ นิสฺสายาติ อิทํ สตฺถา เชตวเน วิหรโนฺต เอกํ โอสฺสฎฺฐวีริยํ ภิกฺขุํ อารพฺภ กเถสิฯ วตฺถุ เอกาทสนิปาเต สํวรชาตเก (ชา. ๑.๑๑.๙๗ อาทโย) อาวิภวิสฺสติฯ โส ปน ภิกฺขุ สตฺถารา ‘‘สจฺจํ กิร ตฺวํ, ภิกฺขุ, วีริยํ โอสฺสชี’’ติ วุเตฺต ‘‘สจฺจํ, ภควา’’ติ อาหฯ อถ นํ สตฺถา ‘‘นนุ ตฺวํ, ภิกฺขุ, ปุเพฺพ วีริยํ อวิสฺสเชฺชตฺวา มํสเปสิสทิสสฺส ทหรกุมารสฺส ทฺวาทสโยชนิเก พาราณสินคเร รชฺชํ คเหตฺวา อทาสิ, อิทานิ กสฺมา เอวรูเป สาสเน ปพฺพชิตฺวา วีริยํ โอสฺสชสี’’ติ วตฺวา อตีตํ อาหริฯ
Alīnacittaṃ nissāyāti idaṃ satthā jetavane viharanto ekaṃ ossaṭṭhavīriyaṃ bhikkhuṃ ārabbha kathesi. Vatthu ekādasanipāte saṃvarajātake (jā. 1.11.97 ādayo) āvibhavissati. So pana bhikkhu satthārā ‘‘saccaṃ kira tvaṃ, bhikkhu, vīriyaṃ ossajī’’ti vutte ‘‘saccaṃ, bhagavā’’ti āha. Atha naṃ satthā ‘‘nanu tvaṃ, bhikkhu, pubbe vīriyaṃ avissajjetvā maṃsapesisadisassa daharakumārassa dvādasayojanike bārāṇasinagare rajjaṃ gahetvā adāsi, idāni kasmā evarūpe sāsane pabbajitvā vīriyaṃ ossajasī’’ti vatvā atītaṃ āhari.
อตีเต พาราณสิยํ พฺรหฺมทเตฺต รชฺชํ กาเรเนฺต พาราณสิโต อวิทูเร วฑฺฒกีคาโม อโหสิ, ตตฺถ ปญฺจสตา วฑฺฒกี วสนฺติฯ เต นาวาย อุปริโสตํ คนฺตฺวา อรเญฺญ เคหสมฺภารทารูนิ โกเฎฺฎตฺวา ตเตฺถว เอกภูมิกทฺวิภูมิกาทิเภเท เคหสมฺภาเร สเชฺชตฺวา ถมฺภโต ปฎฺฐาย สพฺพทารูสุ สญฺญํ กตฺวา นทีตีรํ เนตฺวา นาวํ อาโรเปตฺวา อนุโสเตน นครํ อาคนฺตฺวา เย ยาทิสานิ เคหานิ อากงฺขนฺติ, เตสํ ตาทิสานิ กตฺวา กหาปเณ คเหตฺวา ปุน ตเตฺถว คนฺตฺวา เคหสมฺภาเร อาหรนฺติฯ เอวํ เตสํ ชีวิกํ กเปฺปนฺตานํ เอกสฺมิํ กาเล ขนฺธาวารํ พนฺธิตฺวา ทารูนิ โกเฎฺฎนฺตานํ อวิทูเร เอโก หตฺถี ขทิรขาณุกํ อกฺกมิฯ ตสฺส โส ขาณุโก ปาทํ วิชฺฌิ, พลวเวทนา วตฺตนฺติ, ปาโท อุทฺธุมายิตฺวา ปุพฺพํ คณฺหิฯ โส เวทนาปฺปโตฺต เตสํ ทารุโกฎฺฎนสทฺทํ สุตฺวา ‘‘อิเม วฑฺฒกี นิสฺสาย มยฺหํ โสตฺถิ ภวิสฺสตี’’ติ มญฺญมาโน ตีหิ ปาเทหิ เตสํ สนฺติกํ คนฺตฺวา อวิทูเร นิปชฺชิ, วฑฺฒกี ตํ อุทฺธุมาตปาทํ ทิสฺวา อุปสงฺกมิตฺวา ปาเท ขาณุกํ ทิสฺวา ติขิณวาสิยา ขาณุกสฺส สมนฺตโต โอธิํ ทตฺวา รชฺชุยา พนฺธิตฺวา อากฑฺฒนฺตา ขาณุํ นีหริตฺวา ปุพฺพํ โมเจตฺวา อุโณฺหทเกน โธวิตฺวา ตทนุรูเปหิ เภสเชฺชหิ มเกฺขตฺวา นจิรเสฺสว วณํ ผาสุกํ กริํสุฯ
Atīte bārāṇasiyaṃ brahmadatte rajjaṃ kārente bārāṇasito avidūre vaḍḍhakīgāmo ahosi, tattha pañcasatā vaḍḍhakī vasanti. Te nāvāya uparisotaṃ gantvā araññe gehasambhāradārūni koṭṭetvā tattheva ekabhūmikadvibhūmikādibhede gehasambhāre sajjetvā thambhato paṭṭhāya sabbadārūsu saññaṃ katvā nadītīraṃ netvā nāvaṃ āropetvā anusotena nagaraṃ āgantvā ye yādisāni gehāni ākaṅkhanti, tesaṃ tādisāni katvā kahāpaṇe gahetvā puna tattheva gantvā gehasambhāre āharanti. Evaṃ tesaṃ jīvikaṃ kappentānaṃ ekasmiṃ kāle khandhāvāraṃ bandhitvā dārūni koṭṭentānaṃ avidūre eko hatthī khadirakhāṇukaṃ akkami. Tassa so khāṇuko pādaṃ vijjhi, balavavedanā vattanti, pādo uddhumāyitvā pubbaṃ gaṇhi. So vedanāppatto tesaṃ dārukoṭṭanasaddaṃ sutvā ‘‘ime vaḍḍhakī nissāya mayhaṃ sotthi bhavissatī’’ti maññamāno tīhi pādehi tesaṃ santikaṃ gantvā avidūre nipajji, vaḍḍhakī taṃ uddhumātapādaṃ disvā upasaṅkamitvā pāde khāṇukaṃ disvā tikhiṇavāsiyā khāṇukassa samantato odhiṃ datvā rajjuyā bandhitvā ākaḍḍhantā khāṇuṃ nīharitvā pubbaṃ mocetvā uṇhodakena dhovitvā tadanurūpehi bhesajjehi makkhetvā nacirasseva vaṇaṃ phāsukaṃ kariṃsu.
หตฺถี อโรโค หุตฺวา จิเนฺตสิ – ‘‘มยา อิเม วฑฺฒกี นิสฺสาย ชีวิตํ ลทฺธํ, อิทานิ เตสํ มยา อุปการํ กาตุํ วฎฺฎตี’’ติฯ โส ตโต ปฎฺฐาย วฑฺฒกีหิ สทฺธิํ รุเกฺข นีหรติ, ตเจฺฉนฺตานํ ปริวเตฺตตฺวา เทติ, วาสิอาทีนิ อุปสํหรติ, โสณฺฑาย เวเฐตฺวา กาฬสุตฺตโกฎิยํ คณฺหาติฯ วฑฺฒกีปิสฺส โภชนเวลาย เอเกกํ ปิณฺฑํ เทนฺตา ปญฺจ ปิณฺฑสตานิ เทนฺติฯ ตสฺส ปน หตฺถิสฺส ปุโตฺต สพฺพเสโต หตฺถาชานียโปตโก อตฺถิ, เตนสฺส เอตทโหสิ – ‘‘อหํ เอตรหิ มหลฺลโกฯ อิทานิ มยา อิเมสํ วฑฺฒกีนํ กมฺมกรณตฺตาย ปุตฺตํ ทตฺวา คนฺตุํ วฎฺฎตี’’ติฯ โส วฑฺฒกีนํ อนาจิกฺขิตฺวาว อรญฺญํ ปวิสิตฺวา ปุตฺตํ อาเนตฺวา ‘‘อยํ หตฺถิโปตโก มม ปุโตฺต, ตุเมฺหหิ มยฺหํ ชีวิตํ ทินฺนํ, อหํ โว เวชฺชเวตนตฺถาย อิมํ ทมฺมิ, อยํ ตุมฺหากํ อิโต ปฎฺฐาย กมฺมานิ กริสฺสตี’’ติ วตฺวา ‘‘อิโต ปฎฺฐาย, ปุตฺตก, ยํ มยา กตฺตพฺพํ กมฺมํ, ตํ ตฺวํ กโรหี’’ติ ปุตฺตํ โอวทิตฺวา วฑฺฒกีนํ ทตฺวา สยํ อรญฺญํ ปาวิสิฯ
Hatthī arogo hutvā cintesi – ‘‘mayā ime vaḍḍhakī nissāya jīvitaṃ laddhaṃ, idāni tesaṃ mayā upakāraṃ kātuṃ vaṭṭatī’’ti. So tato paṭṭhāya vaḍḍhakīhi saddhiṃ rukkhe nīharati, tacchentānaṃ parivattetvā deti, vāsiādīni upasaṃharati, soṇḍāya veṭhetvā kāḷasuttakoṭiyaṃ gaṇhāti. Vaḍḍhakīpissa bhojanavelāya ekekaṃ piṇḍaṃ dentā pañca piṇḍasatāni denti. Tassa pana hatthissa putto sabbaseto hatthājānīyapotako atthi, tenassa etadahosi – ‘‘ahaṃ etarahi mahallako. Idāni mayā imesaṃ vaḍḍhakīnaṃ kammakaraṇattāya puttaṃ datvā gantuṃ vaṭṭatī’’ti. So vaḍḍhakīnaṃ anācikkhitvāva araññaṃ pavisitvā puttaṃ ānetvā ‘‘ayaṃ hatthipotako mama putto, tumhehi mayhaṃ jīvitaṃ dinnaṃ, ahaṃ vo vejjavetanatthāya imaṃ dammi, ayaṃ tumhākaṃ ito paṭṭhāya kammāni karissatī’’ti vatvā ‘‘ito paṭṭhāya, puttaka, yaṃ mayā kattabbaṃ kammaṃ, taṃ tvaṃ karohī’’ti puttaṃ ovaditvā vaḍḍhakīnaṃ datvā sayaṃ araññaṃ pāvisi.
ตโต ปฎฺฐาย หตฺถิโปตโก วฑฺฒกีนํ วจนกโร โอวาทกฺขโม หุตฺวา สพฺพกิจฺจานิ กโรติฯ เตปิ ตํ ปญฺจหิ ปิณฺฑสเตหิ โปเสนฺติ, โส กมฺมํ กตฺวา นทิํ โอตริตฺวา นฺหตฺวา กีฬิตฺวา อาคจฺฉติ, วฑฺฒกีทารกาปิ ตํ โสณฺฑาทีสุ คเหตฺวา อุทเกปิ ถเลปิ เตน สทฺธิํ กีฬนฺติฯ อาชานียา ปน หตฺถิโนปิ อสฺสาปิ ปุริสาปิ อุทเก อุจฺจารํ วา ปสฺสาวํ วา น กโรนฺติ, ตสฺมา โสปิ อุทเก อุจฺจารปสฺสาวํ อกตฺวา พหินทีตีเรเยว กโรติฯ อเถกสฺมิํ ทิวเส อุปรินทิยา เทโว วสฺสิ, อถ สุกฺขํ หตฺถิลณฺฑํ อุทเกน นทิํ โอตริตฺวา คจฺฉนฺตํ พาราณสีนครติเตฺถ เอกสฺมิํ คุเมฺพ ลเคฺคตฺวา อฎฺฐาสิฯ อถ รโญฺญ หตฺถิโคปกา ‘‘หตฺถี นฺหาเปสฺสามา’’ติ ปญฺจ หตฺถิสตานิ นยิํสุฯ อาชานียลณฺฑสฺส คนฺธํ ฆายิตฺวา เอโกปิ หตฺถี นทิํ โอตริตุํ น อุสฺสหิฯ สเพฺพปิ นงฺคุฎฺฐํ อุกฺขิปิตฺวา ปลายิตุํ อารภิํสุ, หตฺถิโคปกา หตฺถาจริยานํ อาโรเจสุํฯ เต ‘‘อุทเก ปริปเนฺถน ภวิตพฺพ’’นฺติ อุทกํ โสธาเปตฺวา ตสฺมิํ คุเมฺพ ตํ อาชานียลณฺฑํ ทิสฺวา ‘‘อิทเมตฺถ การณ’’นฺติ ญตฺวา จาฎิํ อาหราเปตฺวา อุทกสฺส ปูเรตฺวา ตํ ตตฺถ มทฺทิตฺวา หตฺถีนํ สรีเร สิญฺจาเปสุํ, สรีรานิ สุคนฺธานิ อเหสุํฯ ตสฺมิํ กาเล เต นทิํ โอตริตฺวา นฺหายิํสุฯ
Tato paṭṭhāya hatthipotako vaḍḍhakīnaṃ vacanakaro ovādakkhamo hutvā sabbakiccāni karoti. Tepi taṃ pañcahi piṇḍasatehi posenti, so kammaṃ katvā nadiṃ otaritvā nhatvā kīḷitvā āgacchati, vaḍḍhakīdārakāpi taṃ soṇḍādīsu gahetvā udakepi thalepi tena saddhiṃ kīḷanti. Ājānīyā pana hatthinopi assāpi purisāpi udake uccāraṃ vā passāvaṃ vā na karonti, tasmā sopi udake uccārapassāvaṃ akatvā bahinadītīreyeva karoti. Athekasmiṃ divase uparinadiyā devo vassi, atha sukkhaṃ hatthilaṇḍaṃ udakena nadiṃ otaritvā gacchantaṃ bārāṇasīnagaratitthe ekasmiṃ gumbe laggetvā aṭṭhāsi. Atha rañño hatthigopakā ‘‘hatthī nhāpessāmā’’ti pañca hatthisatāni nayiṃsu. Ājānīyalaṇḍassa gandhaṃ ghāyitvā ekopi hatthī nadiṃ otarituṃ na ussahi. Sabbepi naṅguṭṭhaṃ ukkhipitvā palāyituṃ ārabhiṃsu, hatthigopakā hatthācariyānaṃ ārocesuṃ. Te ‘‘udake paripanthena bhavitabba’’nti udakaṃ sodhāpetvā tasmiṃ gumbe taṃ ājānīyalaṇḍaṃ disvā ‘‘idamettha kāraṇa’’nti ñatvā cāṭiṃ āharāpetvā udakassa pūretvā taṃ tattha madditvā hatthīnaṃ sarīre siñcāpesuṃ, sarīrāni sugandhāni ahesuṃ. Tasmiṃ kāle te nadiṃ otaritvā nhāyiṃsu.
หตฺถาจริยา รโญฺญ ตํ ปวตฺติํ อาโรเจตฺวา ‘‘ตํ หตฺถาชานียํ ปริเยสิตฺวา อาเนตุํ วฎฺฎติ, เทวา’’ติ อาหํสุฯ ราชา นาวาสงฺฆาเฎหิ นทิํ ปกฺขนฺทิตฺวา อุทฺธํคามีหิ นาวาสงฺฆาเฎหิ วฑฺฒกีนํ วสนฎฺฐานํ สมฺปาปุณิฯ หตฺถิโปตโก นทิยํ กีฬโนฺต เภริสทฺทํ สุตฺวา คนฺตฺวา วฑฺฒกีนํ สนฺติเก อฎฺฐาสิฯ วฑฺฒกี รโญฺญ ปจฺจุคฺคมนํ กตฺวา ‘‘เทว, สเจ ทารูหิ อโตฺถ, กิํ การณา อาคตตฺถ, กิํ เปเสตฺวา อาหราเปตุํ น วฎฺฎตี’’ติ อาหํสุฯ ‘‘นาหํ, ภเณ, ทารูนํ อตฺถาย อาคโต, อิมสฺส ปน หตฺถิสฺส อตฺถาย อาคโตมฺหี’’ติฯ ‘‘คาหาเปตฺวา คจฺฉถ, เทวา’’ติฯ หตฺถิโปตโก คนฺตุํ น อิจฺฉิฯ ‘‘กิํ การาเปติ, ภเณ, หตฺถี’’ติ? ‘‘วฑฺฒกีนํ โปสาวนิกํ อาหราเปติ, เทวา’’ติฯ ‘‘สาธุ, ภเณ’’ติ ราชา หตฺถิสฺส จตุนฺนํ ปาทานํ โสณฺฑาย นงฺคุฎฺฐสฺส จ สนฺติเก สตสหสฺสสตสหสฺสกหาปเณ ฐปาเปสิฯ หตฺถี เอตฺตเกนาปิ อคนฺตฺวา สพฺพวฑฺฒกีนํ ทุสฺสยุเคสุ วฑฺฒกีภริยานํ นิวาสนสาฎเกสุ ทิเนฺนสุ สทฺธิํกีฬิตานํ ทารกานญฺจ ทารกปริหาเร กเต นิวตฺติตฺวา วฑฺฒกี จ อิตฺถิโย จ ทารเก จ โอโลเกตฺวา รญฺญา สทฺธิํ อคมาสิฯ
Hatthācariyā rañño taṃ pavattiṃ ārocetvā ‘‘taṃ hatthājānīyaṃ pariyesitvā ānetuṃ vaṭṭati, devā’’ti āhaṃsu. Rājā nāvāsaṅghāṭehi nadiṃ pakkhanditvā uddhaṃgāmīhi nāvāsaṅghāṭehi vaḍḍhakīnaṃ vasanaṭṭhānaṃ sampāpuṇi. Hatthipotako nadiyaṃ kīḷanto bherisaddaṃ sutvā gantvā vaḍḍhakīnaṃ santike aṭṭhāsi. Vaḍḍhakī rañño paccuggamanaṃ katvā ‘‘deva, sace dārūhi attho, kiṃ kāraṇā āgatattha, kiṃ pesetvā āharāpetuṃ na vaṭṭatī’’ti āhaṃsu. ‘‘Nāhaṃ, bhaṇe, dārūnaṃ atthāya āgato, imassa pana hatthissa atthāya āgatomhī’’ti. ‘‘Gāhāpetvā gacchatha, devā’’ti. Hatthipotako gantuṃ na icchi. ‘‘Kiṃ kārāpeti, bhaṇe, hatthī’’ti? ‘‘Vaḍḍhakīnaṃ posāvanikaṃ āharāpeti, devā’’ti. ‘‘Sādhu, bhaṇe’’ti rājā hatthissa catunnaṃ pādānaṃ soṇḍāya naṅguṭṭhassa ca santike satasahassasatasahassakahāpaṇe ṭhapāpesi. Hatthī ettakenāpi agantvā sabbavaḍḍhakīnaṃ dussayugesu vaḍḍhakībhariyānaṃ nivāsanasāṭakesu dinnesu saddhiṃkīḷitānaṃ dārakānañca dārakaparihāre kate nivattitvā vaḍḍhakī ca itthiyo ca dārake ca oloketvā raññā saddhiṃ agamāsi.
ราชา ตํ อาทาย นครํ คนฺตฺวา นครญฺจ หตฺถิสาลญฺจ อลงฺการาเปตฺวา หตฺถิํ นครํ ปทกฺขิณํ กาเรตฺวา หตฺถิสาลํ ปเวเสตฺวา สพฺพาลงฺกาเรหิ อลงฺกริตฺวา อภิเสกํ ทตฺวา โอปวยฺหํ กตฺวา อตฺตโน สหายฎฺฐาเน ฐเปตฺวา อุปฑฺฒรชฺชํ หตฺถิสฺส ทตฺวา อตฺตนา สมานปริหารํ อกาสิฯ หตฺถิสฺส อาคตกาลโต ปฎฺฐาย รโญฺญ สกลชมฺพุทีเป รชฺชํ หตฺถคตเมว อโหสิฯ เอวํ กาเล คจฺฉเนฺต โพธิสโตฺต ตสฺส รโญฺญ อคฺคมเหสิยา กุจฺฉิมฺหิ ปฎิสนฺธิํ คณฺหิฯ ตสฺสา คพฺภปริปากกาเล ราชา กาลมกาสิฯ หตฺถี ปน สเจ รโญฺญ กาลกตภาวํ ชาเนยฺย, ตเตฺถวสฺส หทยํ ผเลยฺย, ตสฺมา หตฺถิํ รโญฺญ กาลกตภาวํ อชานาเปตฺวาว อุปฎฺฐหิํสุฯ รโญฺญ ปน กาลกตภาวํ สุตฺวา ‘‘ตุจฺฉํ กิร รชฺช’’นฺติ อนนฺตรสามนฺตโกสลราชา มหติยา เสนาย อาคนฺตฺวา นครํ ปริวาเรสิฯ นครวาสิโน ทฺวารานิ ปิทหิตฺวา โกสลรโญฺญ สาสนํ ปหิณิํสุ – ‘‘อมฺหากํ รโญฺญ อคฺคมเหสี ปริปุณฺณคพฺภา ‘อิโต กิร สตฺตเม ทิวเส ปุตฺตํ วิชายิสฺสตี’ติ องฺควิชฺชาปาฐกา อาหํสุฯ สเจ สา ปุตฺตํ วิชายิสฺสติ, มยํ สตฺตเม ทิวเส ยุทฺธํ ทสฺสาม, น รชฺชํ, เอตฺตกํ กาลํ อาคเมถา’’ติฯ ราชา ‘‘สาธู’’ติ สมฺปฎิจฺฉิฯ
Rājā taṃ ādāya nagaraṃ gantvā nagarañca hatthisālañca alaṅkārāpetvā hatthiṃ nagaraṃ padakkhiṇaṃ kāretvā hatthisālaṃ pavesetvā sabbālaṅkārehi alaṅkaritvā abhisekaṃ datvā opavayhaṃ katvā attano sahāyaṭṭhāne ṭhapetvā upaḍḍharajjaṃ hatthissa datvā attanā samānaparihāraṃ akāsi. Hatthissa āgatakālato paṭṭhāya rañño sakalajambudīpe rajjaṃ hatthagatameva ahosi. Evaṃ kāle gacchante bodhisatto tassa rañño aggamahesiyā kucchimhi paṭisandhiṃ gaṇhi. Tassā gabbhaparipākakāle rājā kālamakāsi. Hatthī pana sace rañño kālakatabhāvaṃ jāneyya, tatthevassa hadayaṃ phaleyya, tasmā hatthiṃ rañño kālakatabhāvaṃ ajānāpetvāva upaṭṭhahiṃsu. Rañño pana kālakatabhāvaṃ sutvā ‘‘tucchaṃ kira rajja’’nti anantarasāmantakosalarājā mahatiyā senāya āgantvā nagaraṃ parivāresi. Nagaravāsino dvārāni pidahitvā kosalarañño sāsanaṃ pahiṇiṃsu – ‘‘amhākaṃ rañño aggamahesī paripuṇṇagabbhā ‘ito kira sattame divase puttaṃ vijāyissatī’ti aṅgavijjāpāṭhakā āhaṃsu. Sace sā puttaṃ vijāyissati, mayaṃ sattame divase yuddhaṃ dassāma, na rajjaṃ, ettakaṃ kālaṃ āgamethā’’ti. Rājā ‘‘sādhū’’ti sampaṭicchi.
เทวี สตฺตเม ทิวเส ปุตฺตํ วิชายิฯ ตสฺส นามคฺคหณทิวเส ปน มหาชนสฺส อลีนจิตฺตํ ปคฺคณฺหโนฺต ชาโตติ ‘‘อลีนจิตฺตกุมาโร’’เตฺววสฺส นามํ อกํสุฯ ชาตทิวสโตเยว ปนสฺส ปฎฺฐาย นาครา โกสลรญฺญา สทฺธิํ ยุชฺฌิํสุฯ นินฺนายกตฺตา สงฺคามสฺส มหนฺตมฺปิ พลํ ยุชฺฌมานํ โถกํ โถกํ โอสกฺกติฯ อมจฺจา เทวิยา ตมตฺถํ อาโรเจตฺวา ‘‘มยํ เอวํ โอสกฺกมาเน พเล ปราชยภาวสฺส ภายาม, อมฺหากํ ปน รโญฺญ กาลกตภาวํ, ปุตฺตสฺส ชาตภาวํ, โกสลรโญฺญ อาคนฺตฺวา ยุชฺฌานภาวญฺจ รโญฺญ สหายโก มงฺคลหตฺถี น ชานาติ, ชานาเปม น’’นฺติ ปุจฺฉิํสุฯ สา ‘‘สาธู’’ติ สมฺปฎิจฺฉิตฺวา ปุตฺตํ อลงฺกริตฺวา ทุกูลจุมฺพฎเก นิปชฺชาเปตฺวา ปาสาทา โอรุยฺห อมจฺจคณปริวุตา หตฺถิสาลํ คนฺตฺวา โพธิสตฺตํ หตฺถิสฺส ปาทมูเล นิปชฺชาเปตฺวา ‘‘สามิ, สหาโย เต กาลกโต, มยํ ตุยฺหํ หทยผาลนภเยน นาโรจยิมฺห, อยํ เต สหายสฺส ปุโตฺต, โกสลราชา อาคนฺตฺวา นคร ํ ปริวาเรตฺวา ตว ปุเตฺตน สทฺธิํ ยุชฺฌติ, พลํ โอสกฺกติ, ตว ปุตฺตํ ตฺวเญฺญว วา มาเรหิ, รชฺชํ วาสฺส คณฺหิตฺวา เทหี’’ติ อาหฯ
Devī sattame divase puttaṃ vijāyi. Tassa nāmaggahaṇadivase pana mahājanassa alīnacittaṃ paggaṇhanto jātoti ‘‘alīnacittakumāro’’tvevassa nāmaṃ akaṃsu. Jātadivasatoyeva panassa paṭṭhāya nāgarā kosalaraññā saddhiṃ yujjhiṃsu. Ninnāyakattā saṅgāmassa mahantampi balaṃ yujjhamānaṃ thokaṃ thokaṃ osakkati. Amaccā deviyā tamatthaṃ ārocetvā ‘‘mayaṃ evaṃ osakkamāne bale parājayabhāvassa bhāyāma, amhākaṃ pana rañño kālakatabhāvaṃ, puttassa jātabhāvaṃ, kosalarañño āgantvā yujjhānabhāvañca rañño sahāyako maṅgalahatthī na jānāti, jānāpema na’’nti pucchiṃsu. Sā ‘‘sādhū’’ti sampaṭicchitvā puttaṃ alaṅkaritvā dukūlacumbaṭake nipajjāpetvā pāsādā oruyha amaccagaṇaparivutā hatthisālaṃ gantvā bodhisattaṃ hatthissa pādamūle nipajjāpetvā ‘‘sāmi, sahāyo te kālakato, mayaṃ tuyhaṃ hadayaphālanabhayena nārocayimha, ayaṃ te sahāyassa putto, kosalarājā āgantvā nagara ṃ parivāretvā tava puttena saddhiṃ yujjhati, balaṃ osakkati, tava puttaṃ tvaññeva vā mārehi, rajjaṃ vāssa gaṇhitvā dehī’’ti āha.
ตสฺมิํ กาเล หตฺถี โพธิสตฺตํ โสณฺฑาย ปรามสิตฺวา อุกฺขิปิตฺวา กุเมฺภ ฐเปตฺวา โรทิตฺวา โพธิสตฺตํ โอตาเรตฺวา เทวิยา หเตฺถ นิปชฺชาเปตฺวา ‘‘โกสลราชํ คณฺหิสฺสามี’’ติ หตฺถิสาลโต นิกฺขมิฯ อถสฺส อมจฺจา วมฺมํ ปฎิมุญฺจิตฺวา อลงฺกริตฺวา นครทฺวารํ อวาปุริตฺวา ตํ ปริวาเรตฺวา นิกฺขมิํสุฯ หตฺถี นครา นิกฺขมิตฺวา โกญฺจนาทํ กตฺวา มหาชนํ สนฺตาเสตฺวา ปลาเปตฺวา พลโกฎฺฐกํ ภินฺทิตฺวา โกสลราชานํ จูฬาย คเหตฺวา อาเนตฺวา โพธิสตฺตสฺส ปาทมูเล นิปชฺชาเปตฺวา มารณตฺถายสฺส อุฎฺฐิเต วาเรตฺวา ‘‘อิโต ปฎฺฐาย อปฺปมโตฺต โหหิ, ‘กุมาโร ทหโร’ติ สญฺญํ มา กรี’’ติ โอวทิตฺวา อุโยฺยเชสิฯ ตโต ปฎฺฐาย สกลชมฺพุทีเป รชฺชํ โพธิสตฺตสฺส หตฺถคตเมว ชาตํ, อโญฺญ ปฎิสตฺตุ นาม อุฎฺฐหิตุํ สมโตฺถ นาโหสิฯ โพธิสโตฺต สตฺตวสฺสิกกาเล อภิเสกํ กตฺวา อลีนจิตฺตราชา นาม หุตฺวา ธเมฺมน รชฺชํ กาเรตฺวา ชีวิตปริโยสาเน สคฺคปุรํ ปูเรสิฯ
Tasmiṃ kāle hatthī bodhisattaṃ soṇḍāya parāmasitvā ukkhipitvā kumbhe ṭhapetvā roditvā bodhisattaṃ otāretvā deviyā hatthe nipajjāpetvā ‘‘kosalarājaṃ gaṇhissāmī’’ti hatthisālato nikkhami. Athassa amaccā vammaṃ paṭimuñcitvā alaṅkaritvā nagaradvāraṃ avāpuritvā taṃ parivāretvā nikkhamiṃsu. Hatthī nagarā nikkhamitvā koñcanādaṃ katvā mahājanaṃ santāsetvā palāpetvā balakoṭṭhakaṃ bhinditvā kosalarājānaṃ cūḷāya gahetvā ānetvā bodhisattassa pādamūle nipajjāpetvā māraṇatthāyassa uṭṭhite vāretvā ‘‘ito paṭṭhāya appamatto hohi, ‘kumāro daharo’ti saññaṃ mā karī’’ti ovaditvā uyyojesi. Tato paṭṭhāya sakalajambudīpe rajjaṃ bodhisattassa hatthagatameva jātaṃ, añño paṭisattu nāma uṭṭhahituṃ samattho nāhosi. Bodhisatto sattavassikakāle abhisekaṃ katvā alīnacittarājā nāma hutvā dhammena rajjaṃ kāretvā jīvitapariyosāne saggapuraṃ pūresi.
สตฺถา อิมํ อตีตํ อาหริตฺวา อภิสมฺพุโทฺธ หุตฺวา อิมํ คาถาทฺวยมาห –
Satthā imaṃ atītaṃ āharitvā abhisambuddho hutvā imaṃ gāthādvayamāha –
๑๑.
11.
‘‘อลีนจิตฺตํ นิสฺสาย, ปหฎฺฐา มหตี จมู;
‘‘Alīnacittaṃ nissāya, pahaṭṭhā mahatī camū;
โกสลํ เสนาสนฺตุฎฺฐํ, ชีวคฺคาหํ อคาหยิฯ
Kosalaṃ senāsantuṭṭhaṃ, jīvaggāhaṃ agāhayi.
๑๒.
12.
‘‘เอวํ นิสฺสยสมฺปโนฺน, ภิกฺขุ อารทฺธวีริโย;
‘‘Evaṃ nissayasampanno, bhikkhu āraddhavīriyo;
ภาวยํ กุสลํ ธมฺมํ, โยคเกฺขมสฺส ปตฺติยา;
Bhāvayaṃ kusalaṃ dhammaṃ, yogakkhemassa pattiyā;
ปาปุเณ อนุปุเพฺพน, สพฺพสํโยชนกฺขย’’นฺติฯ
Pāpuṇe anupubbena, sabbasaṃyojanakkhaya’’nti.
ตตฺถ อลีนจิตฺตํ นิสฺสายาติ อลีนจิตฺตํ ราชกุมารํ นิสฺสายฯ ปหฎฺฐา มหตี จมูติ ‘‘ปเวณีรชฺชํ โน ทิฎฺฐ’’นฺติ หฎฺฐตุฎฺฐา หุตฺวา มหตี เสนาฯ โกสลํ เสนาสนฺตุฎฺฐนฺติ โกสลราชานํ เสน รเชฺชน อสนฺตุฎฺฐํ ปรรชฺชโลเภน อาคตํฯ ชีวคฺคาหํ อคาหยีติ อมาเรตฺวาว สา จมู ตํ ราชานํ หตฺถินา ชีวคฺคาหํ คณฺหาเปสิฯ เอวํ นิสฺสยสมฺปโนฺนติ ยถา สา จมู, เอวํ อโญฺญปิ กุลปุโตฺต นิสฺสยสมฺปโนฺน กลฺยาณมิตฺตํ พุทฺธํ วา พุทฺธสาวกํ วา นิสฺสยํ ลภิตฺวาฯ ภิกฺขูติ ปริสุทฺธาธิวจนเมตํฯ อารทฺธวีริโยติ ปคฺคหิตวีริโย จตุโทสาปคเตน วีริเยน สมนฺนาคโตฯ ภาวยํ กุสลํ ธมฺมนฺติ กุสลํ นิรวชฺชํ สตฺตติํสโพธิปกฺขิยสงฺขาตํ ธมฺมํ ภาเวโนฺตฯ โยคเกฺขมสฺส ปตฺติยาติ จตูหิ โยเคหิ เขมสฺส นิพฺพานสฺส ปาปุณนตฺถาย ตํ ธมฺมํ ภาเวโนฺตฯ ปาปุเณ อนุปุเพฺพน, สพฺพสํโยชนกฺขยนฺติ เอวํ วิปสฺสนโต ปฎฺฐาย อิมํ กุสลํ ธมฺมํ ภาเวโนฺต โส กลฺยาณมิตฺตุปนิสฺสยสมฺปโนฺน ภิกฺขุ อนุปุเพฺพน วิปสฺสนาญาณานิ จ เหฎฺฐิมมคฺคผลานิ จ ปาปุณโนฺต ปริโยสาเน ทสนฺนมฺปิ สํโยชนานํ ขยเนฺต อุปฺปนฺนตฺตา สพฺพสํโยชนกฺขยสงฺขาตํ อรหตฺตํ ปาปุณาติฯ ยสฺมา วา นิพฺพานํ อาคมฺม สพฺพสํโยชนานิ ขียนฺติ, ตสฺมา ตมฺปิ สพฺพสํโยชนกฺขยเมว, เอวํ อนุปุเพฺพน นิพฺพานสงฺขาตํ สพฺพสํโยชนกฺขยํ ปาปุณาตีติ อโตฺถฯ
Tattha alīnacittaṃ nissāyāti alīnacittaṃ rājakumāraṃ nissāya. Pahaṭṭhā mahatī camūti ‘‘paveṇīrajjaṃ no diṭṭha’’nti haṭṭhatuṭṭhā hutvā mahatī senā. Kosalaṃ senāsantuṭṭhanti kosalarājānaṃ sena rajjena asantuṭṭhaṃ pararajjalobhena āgataṃ. Jīvaggāhaṃ agāhayīti amāretvāva sā camū taṃ rājānaṃ hatthinā jīvaggāhaṃ gaṇhāpesi. Evaṃ nissayasampannoti yathā sā camū, evaṃ aññopi kulaputto nissayasampanno kalyāṇamittaṃ buddhaṃ vā buddhasāvakaṃ vā nissayaṃ labhitvā. Bhikkhūti parisuddhādhivacanametaṃ. Āraddhavīriyoti paggahitavīriyo catudosāpagatena vīriyena samannāgato. Bhāvayaṃ kusalaṃ dhammanti kusalaṃ niravajjaṃ sattatiṃsabodhipakkhiyasaṅkhātaṃ dhammaṃ bhāvento. Yogakkhemassa pattiyāti catūhi yogehi khemassa nibbānassa pāpuṇanatthāya taṃ dhammaṃ bhāvento. Pāpuṇe anupubbena, sabbasaṃyojanakkhayanti evaṃ vipassanato paṭṭhāya imaṃ kusalaṃ dhammaṃ bhāvento so kalyāṇamittupanissayasampanno bhikkhu anupubbena vipassanāñāṇāni ca heṭṭhimamaggaphalāni ca pāpuṇanto pariyosāne dasannampi saṃyojanānaṃ khayante uppannattā sabbasaṃyojanakkhayasaṅkhātaṃ arahattaṃ pāpuṇāti. Yasmā vā nibbānaṃ āgamma sabbasaṃyojanāni khīyanti, tasmā tampi sabbasaṃyojanakkhayameva, evaṃ anupubbena nibbānasaṅkhātaṃ sabbasaṃyojanakkhayaṃ pāpuṇātīti attho.
อิติ ภควา อมตมหานิพฺพาเนน ธมฺมเทสนาย กูฎํ คเหตฺวา อุตฺตริปิ สจฺจานิ ปกาเสตฺวา ชาตกํ สโมธาเนสิ, สจฺจปริโยสาเน โอสฺสฎฺฐวีริโย ภิกฺขุ อรหเตฺต ปติฎฺฐหิฯ ‘‘ตทา มาตา มหามายา, ปิตา สุโทฺธทนมหาราชา อโหสิ, รชฺชํ คเหตฺวา ทินฺนหตฺถี อยํ โอสฺสฎฺฐวีริโย ภิกฺขุ, หตฺถิสฺส ปิตา สาริปุโตฺต, สามนฺตโกสลราชา โมคฺคลฺลาโน, อลีนจิตฺตกุมาโร ปน อหเมว อโหสิ’’นฺติฯ
Iti bhagavā amatamahānibbānena dhammadesanāya kūṭaṃ gahetvā uttaripi saccāni pakāsetvā jātakaṃ samodhānesi, saccapariyosāne ossaṭṭhavīriyo bhikkhu arahatte patiṭṭhahi. ‘‘Tadā mātā mahāmāyā, pitā suddhodanamahārājā ahosi, rajjaṃ gahetvā dinnahatthī ayaṃ ossaṭṭhavīriyo bhikkhu, hatthissa pitā sāriputto, sāmantakosalarājā moggallāno, alīnacittakumāro pana ahameva ahosi’’nti.
อลีนจิตฺตชาตกวณฺณนา ฉฎฺฐาฯ
Alīnacittajātakavaṇṇanā chaṭṭhā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / ชาตกปาฬิ • Jātakapāḷi / ๑๕๖. อลีนจิตฺตชาตกํ • 156. Alīnacittajātakaṃ