Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ชาตก-อฎฺฐกถา • Jātaka-aṭṭhakathā

    ๑๓. เตรสกนิปาโต

    13. Terasakanipāto

    [๔๗๔] ๑. อมฺพชาตกวณฺณนา

    [474] 1. Ambajātakavaṇṇanā

    อหาสิ เม อมฺพผลานิ ปุเพฺพติ อิทํ สตฺถา เชตวเน วิหรโนฺต เทวทตฺตํ อารพฺภ กเถสิฯ เทวทโตฺต หิ ‘‘อหํ พุโทฺธ ภวิสฺสามิ, มยฺหํ สมโณ โคตโม เนว อาจริโย น อุปชฺฌาโย’’ติ อาจริยํ ปจฺจกฺขาย ฌานปริหีโน สงฺฆํ ภินฺทิตฺวา อนุปุเพฺพน สาวตฺถิํ อาคจฺฉโนฺต พหิเชตวเน ปถวิยา วิวเร ทิเนฺน อวีจิํ ปาวิสิฯ ตทา ภิกฺขู ธมฺมสภายํ กถํ สมุฎฺฐาเปสุํ ‘‘อาวุโส, เทวทโตฺต อาจริยํ ปจฺจกฺขาย มหาวินาสํ ปโตฺต, อวีจิมหานิรเย นิพฺพโตฺต’’ติฯ สตฺถา อาคนฺตฺวา ‘‘กาย นุตฺถ, ภิกฺขเว, เอตรหิ กถาย สนฺนิสินฺนา’’ติ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘อิมาย นามา’’ติ วุเตฺต ‘‘น, ภิกฺขเว, อิทาเนว, ปุเพฺพปิ เทวทโตฺต อาจริยํ ปจฺจกฺขาย มหาวินาสํ ปโตฺตเยวา’’ติ วตฺวา อตีตํ อาหริฯ

    Ahāsime ambaphalāni pubbeti idaṃ satthā jetavane viharanto devadattaṃ ārabbha kathesi. Devadatto hi ‘‘ahaṃ buddho bhavissāmi, mayhaṃ samaṇo gotamo neva ācariyo na upajjhāyo’’ti ācariyaṃ paccakkhāya jhānaparihīno saṅghaṃ bhinditvā anupubbena sāvatthiṃ āgacchanto bahijetavane pathaviyā vivare dinne avīciṃ pāvisi. Tadā bhikkhū dhammasabhāyaṃ kathaṃ samuṭṭhāpesuṃ ‘‘āvuso, devadatto ācariyaṃ paccakkhāya mahāvināsaṃ patto, avīcimahāniraye nibbatto’’ti. Satthā āgantvā ‘‘kāya nuttha, bhikkhave, etarahi kathāya sannisinnā’’ti pucchitvā ‘‘imāya nāmā’’ti vutte ‘‘na, bhikkhave, idāneva, pubbepi devadatto ācariyaṃ paccakkhāya mahāvināsaṃ pattoyevā’’ti vatvā atītaṃ āhari.

    อตีเต พาราณสิยํ พฺรหฺมทเตฺต รชฺชํ กาเรเนฺต ตสฺส ปุโรหิตกุลํ อหิวาตโรเคน วินสฺสิฯ เอโกว ปุโตฺต ภิตฺติํ ภินฺทิตฺวา ปลาโตฯ โส ตกฺกสิลํ คนฺตฺวา ทิสาปาโมกฺขสฺสาจริยสฺส สนฺติเก ตโย เวเท จ อวเสสสิปฺปานิ จ อุคฺคเหตฺวา อาจริยํ วนฺทิตฺวา นิกฺขโนฺต ‘‘เทสจาริตฺตํ ชานิสฺสามี’’ติ จรโนฺต เอกํ ปจฺจนฺตนครํ ปาปุณิฯ ตํ นิสฺสาย มหาจณฺฑาลคามโก อโหสิฯ ตทา โพธิสโตฺต ตสฺมิํ คาเม ปฎิวสติ, ปณฺฑิโต พฺยโตฺต อกาเล ผลํ คณฺหาปนมนฺตํ ชานาติฯ โส ปาโตว วุฎฺฐาย กาชํ อาทาย ตโต คามา นิกฺขิมิตฺวา อรเญฺญ เอกํ อมฺพรุกฺขํ อุปสงฺกมิตฺวา สตฺตปทมตฺถเก ฐิโต ตํ มนฺตํ ปริวเตฺตตฺวา อมฺพรุกฺขํ เอเกน อุทกปสเตน ปหรติฯ รุกฺขโต ตงฺขณเญฺญว ปุราณปณฺณานิ ปตนฺติ, นวานิ อุฎฺฐหนฺติ, ปุปฺผานิ ปุปฺผิตฺวา ปตนฺติ, อมฺพผลานิ อุฎฺฐาย มุหุเตฺตเนว ปจฺจิตฺวา มธุรานิ โอชวนฺตานิ ทิพฺพรสสทิสานิ หุตฺวา รุกฺขโต ปตนฺติฯ มหาสโตฺต ตานิ อุจฺจินิตฺวา ยาวทตฺถํ ขาทิตฺวา กาชํ ปูราเปตฺวา เคหํ คนฺตฺวา ตานิ วิกฺกิณิตฺวา ปุตฺตทารํ โปเสสิฯ

    Atīte bārāṇasiyaṃ brahmadatte rajjaṃ kārente tassa purohitakulaṃ ahivātarogena vinassi. Ekova putto bhittiṃ bhinditvā palāto. So takkasilaṃ gantvā disāpāmokkhassācariyassa santike tayo vede ca avasesasippāni ca uggahetvā ācariyaṃ vanditvā nikkhanto ‘‘desacārittaṃ jānissāmī’’ti caranto ekaṃ paccantanagaraṃ pāpuṇi. Taṃ nissāya mahācaṇḍālagāmako ahosi. Tadā bodhisatto tasmiṃ gāme paṭivasati, paṇḍito byatto akāle phalaṃ gaṇhāpanamantaṃ jānāti. So pātova vuṭṭhāya kājaṃ ādāya tato gāmā nikkhimitvā araññe ekaṃ ambarukkhaṃ upasaṅkamitvā sattapadamatthake ṭhito taṃ mantaṃ parivattetvā ambarukkhaṃ ekena udakapasatena paharati. Rukkhato taṅkhaṇaññeva purāṇapaṇṇāni patanti, navāni uṭṭhahanti, pupphāni pupphitvā patanti, ambaphalāni uṭṭhāya muhutteneva paccitvā madhurāni ojavantāni dibbarasasadisāni hutvā rukkhato patanti. Mahāsatto tāni uccinitvā yāvadatthaṃ khāditvā kājaṃ pūrāpetvā gehaṃ gantvā tāni vikkiṇitvā puttadāraṃ posesi.

    โส พฺราหฺมณกุมาโร มหาสตฺตํ อกาเล อมฺพปกฺกานิ อาหริตฺวา วิกฺกิณนฺตํ ทิสฺวา ‘‘นิสฺสํสเยน เตหิ มนฺตพเลน อุปฺปเนฺนหิ ภวิตพฺพํ, อิมํ ปุริสํ นิสฺสาย อิทํ อนคฺฆมนฺตํ ลภิสฺสามี’’ติ จิเนฺตตฺวา มหาสตฺตสฺส อมฺพานิ อาหรณนิยามํ ปริคฺคณฺหโนฺต ตถโต ญตฺวา ตสฺมิํ อรญฺญโต อนาคเตเยว ตสฺส เคหํ คนฺตฺวา อชานโนฺต วิย หุตฺวา ตสฺส ภริยํ ‘‘กุหิํ อโยฺย, อาจริโย’’ติ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘อรญฺญํ คโต’’ติ วุเตฺต ตํ อาคตํ อาคมยมาโนว ฐตฺวา อาคจฺฉนฺตํ ทิสฺวา หตฺถโต ปจฺฉิํ คเหตฺวา อาหริตฺวา เคเห ฐเปสิฯ มหาสโตฺต ตํ โอโลเกตฺวา ภริยํ อาห – ‘‘ภเทฺท, อยํ มาณโว มนฺตตฺถาย อาคโต, ตสฺส หเตฺถ มโนฺต นสฺสติ, อสปฺปุริโส เอโส’’ติฯ มาณโวปิ ‘‘อหํ อิมํ มนฺตํ อาจริยสฺส อุปการโก หุตฺวา ลภิสฺสามี’’ติ จิเนฺตตฺวา ตโต ปฎฺฐาย ตสฺส เคเห สพฺพกิจฺจานิ กโรติฯ ทารูนิ อาหรติ, วีหิํ โกเฎฺฎติ, ภตฺตํ ปจติ, ทนฺตกฎฺฐมุขโธวนาทีนิ เทติ, ปาทํ โธวติฯ

    So brāhmaṇakumāro mahāsattaṃ akāle ambapakkāni āharitvā vikkiṇantaṃ disvā ‘‘nissaṃsayena tehi mantabalena uppannehi bhavitabbaṃ, imaṃ purisaṃ nissāya idaṃ anagghamantaṃ labhissāmī’’ti cintetvā mahāsattassa ambāni āharaṇaniyāmaṃ pariggaṇhanto tathato ñatvā tasmiṃ araññato anāgateyeva tassa gehaṃ gantvā ajānanto viya hutvā tassa bhariyaṃ ‘‘kuhiṃ ayyo, ācariyo’’ti pucchitvā ‘‘araññaṃ gato’’ti vutte taṃ āgataṃ āgamayamānova ṭhatvā āgacchantaṃ disvā hatthato pacchiṃ gahetvā āharitvā gehe ṭhapesi. Mahāsatto taṃ oloketvā bhariyaṃ āha – ‘‘bhadde, ayaṃ māṇavo mantatthāya āgato, tassa hatthe manto nassati, asappuriso eso’’ti. Māṇavopi ‘‘ahaṃ imaṃ mantaṃ ācariyassa upakārako hutvā labhissāmī’’ti cintetvā tato paṭṭhāya tassa gehe sabbakiccāni karoti. Dārūni āharati, vīhiṃ koṭṭeti, bhattaṃ pacati, dantakaṭṭhamukhadhovanādīni deti, pādaṃ dhovati.

    เอกทิวสํ มหาสเตฺตน ‘‘ตาต มาณว, มญฺจปาทานํ เม อุปธานํ เทหี’’ติ วุเตฺต อญฺญํ อปสฺสิตฺวา สพฺพรตฺติํ อูรุมฺหิ ฐเปตฺวา นิสีทิฯ อปรภาเค มหาสตฺตสฺส ภริยา ปุตฺตํ วิชายิฯ ตสฺสา ปสูติกาเล ปริกมฺมํ สพฺพมกาสิฯ สา เอกทิวสํ มหาสตฺตํ อาห ‘‘สามิ, อยํ มาณโว ชาติสมฺปโนฺน หุตฺวา มนฺตตฺถาย อมฺหากํ เวยฺยาวจฺจํ กโรติ, เอตสฺส หเตฺถ มโนฺต ติฎฺฐตุ วา มา วา, เทถ ตสฺส มนฺต’’นฺติฯ โส ‘‘สาธู’’ติ สมฺปฎิจฺฉิตฺวา ตสฺส มนฺตํ ทตฺวา เอวมาห – ‘‘ตาต, อนโคฺฆยํ มโนฺต, ตว อิมํ นิสฺสาย มหาลาภสกฺกาโร ภวิสฺสติ, รญฺญา วา ราชมหามเตฺตน วา ‘โก เต อาจริโย’ติ ปุฎฺฐกาเล มา มํ นิคูหิโตฺถ, สเจ หิ ‘จณฺฑาลสฺส เม สนฺติกา มโนฺต คหิโต’ติ ลชฺชโนฺต ‘พฺราหฺมณมหาสาโล เม อาจริโย’ติ กเถสฺสสิ, อิมสฺส มนฺตสฺส ผลํ น ลภิสฺสสี’’ติฯ โส ‘‘กิํ การณา ตํ นิคูหิสฺสามิ, เกนจิ ปุฎฺฐกาเล ตุเมฺหเยว กเถสฺสามี’’ติ วตฺวา ตํ วนฺทิตฺวา จณฺฑาลคามโต นิกฺขมิตฺวา มนฺตํ วีมํสิตฺวา อนุปุเพฺพน พาราณสิํ ปตฺวา อมฺพานิ วิกฺกิณิตฺวา พหุํ ธนํ ลภิฯ

    Ekadivasaṃ mahāsattena ‘‘tāta māṇava, mañcapādānaṃ me upadhānaṃ dehī’’ti vutte aññaṃ apassitvā sabbarattiṃ ūrumhi ṭhapetvā nisīdi. Aparabhāge mahāsattassa bhariyā puttaṃ vijāyi. Tassā pasūtikāle parikammaṃ sabbamakāsi. Sā ekadivasaṃ mahāsattaṃ āha ‘‘sāmi, ayaṃ māṇavo jātisampanno hutvā mantatthāya amhākaṃ veyyāvaccaṃ karoti, etassa hatthe manto tiṭṭhatu vā mā vā, detha tassa manta’’nti. So ‘‘sādhū’’ti sampaṭicchitvā tassa mantaṃ datvā evamāha – ‘‘tāta, anagghoyaṃ manto, tava imaṃ nissāya mahālābhasakkāro bhavissati, raññā vā rājamahāmattena vā ‘ko te ācariyo’ti puṭṭhakāle mā maṃ nigūhittho, sace hi ‘caṇḍālassa me santikā manto gahito’ti lajjanto ‘brāhmaṇamahāsālo me ācariyo’ti kathessasi, imassa mantassa phalaṃ na labhissasī’’ti. So ‘‘kiṃ kāraṇā taṃ nigūhissāmi, kenaci puṭṭhakāle tumheyeva kathessāmī’’ti vatvā taṃ vanditvā caṇḍālagāmato nikkhamitvā mantaṃ vīmaṃsitvā anupubbena bārāṇasiṃ patvā ambāni vikkiṇitvā bahuṃ dhanaṃ labhi.

    อเถกทิวสํ อุยฺยานปาโล ตสฺส หตฺถโต อมฺพํ กิณิตฺวา รโญฺญ อทาสิฯ ราชา ตํ ปริภุญฺชิตฺวา ‘‘กุโต สมฺม, ตยา เอวรูปํ อมฺพํ ลทฺธ’’นฺติ ปุจฺฉิฯ เทว, เอโก มาณโว อกาลอมฺพผลานิ อาเนตฺวา วิกฺกิณาติ, ตโต เม คหิตนฺติฯ เตน หิ ‘‘อิโต ปฎฺฐาย อิเธว อมฺพานิ อาหรตู’’ติ นํ วเทหีติฯ โส ตถา อกาสิฯ มาณโวปิ ตโต ปฎฺฐาย อมฺพานิ ราชกุลํ หรติฯ อถ รญฺญา ‘‘อุปฎฺฐห ม’’นฺติ วุเตฺต ราชานํ อุปฎฺฐหโนฺต พหุํ ธนํ ลภิตฺวา อนุกฺกเมน วิสฺสาสิโก ชาโตฯ อถ นํ เอกทิวสํ ราชา ปุจฺฉิ ‘‘มาณว, กุโต อกาเล เอวํ วณฺณคนฺธรสสมฺปนฺนานิ อมฺพานิ ลภสิ, กิํ เต นาโค วา สุปโณฺณ วา เทโว วา โกจิ เทติ, อุทาหุ มนฺตพลํ เอต’’นฺติ? ‘‘น เม มหาราช, โกจิ เทติ, อนโคฺฆ ปน เม มโนฺต อตฺถิ, ตเสฺสว พล’’นฺติฯ ‘‘เตน หิ มยมฺปิ เต เอกทิวสํ มนฺตพลํ ทฎฺฐุกามา’’ติฯ ‘‘สาธุ, เทว, ทเสฺสสฺสามี’’ติฯ ราชา ปุนทิวเส เตน สทฺธิํ อุยฺยานํ คนฺตฺวา ‘‘ทเสฺสหี’’ติ อาหฯ โส ‘‘สาธู’’ติ อมฺพรุกฺขํ อุปคนฺตฺวา สตฺตปทมตฺถเก ฐิโต มนฺตํ ปริวเตฺตตฺวา รุกฺขํ อุทเกน ปหริฯ ตงฺขณเญฺญว อมฺพรุโกฺข เหฎฺฐา วุตฺตนิยาเมเนว ผลํ คเหตฺวา มหาเมโฆ วิย อมฺพวสฺสํ วสฺสิฯ มหาชโน สาธุการํ อทาสิ, เจลุเกฺขปา ปวตฺติํสุฯ

    Athekadivasaṃ uyyānapālo tassa hatthato ambaṃ kiṇitvā rañño adāsi. Rājā taṃ paribhuñjitvā ‘‘kuto samma, tayā evarūpaṃ ambaṃ laddha’’nti pucchi. Deva, eko māṇavo akālaambaphalāni ānetvā vikkiṇāti, tato me gahitanti. Tena hi ‘‘ito paṭṭhāya idheva ambāni āharatū’’ti naṃ vadehīti. So tathā akāsi. Māṇavopi tato paṭṭhāya ambāni rājakulaṃ harati. Atha raññā ‘‘upaṭṭhaha ma’’nti vutte rājānaṃ upaṭṭhahanto bahuṃ dhanaṃ labhitvā anukkamena vissāsiko jāto. Atha naṃ ekadivasaṃ rājā pucchi ‘‘māṇava, kuto akāle evaṃ vaṇṇagandharasasampannāni ambāni labhasi, kiṃ te nāgo vā supaṇṇo vā devo vā koci deti, udāhu mantabalaṃ eta’’nti? ‘‘Na me mahārāja, koci deti, anaggho pana me manto atthi, tasseva bala’’nti. ‘‘Tena hi mayampi te ekadivasaṃ mantabalaṃ daṭṭhukāmā’’ti. ‘‘Sādhu, deva, dassessāmī’’ti. Rājā punadivase tena saddhiṃ uyyānaṃ gantvā ‘‘dassehī’’ti āha. So ‘‘sādhū’’ti ambarukkhaṃ upagantvā sattapadamatthake ṭhito mantaṃ parivattetvā rukkhaṃ udakena pahari. Taṅkhaṇaññeva ambarukkho heṭṭhā vuttaniyāmeneva phalaṃ gahetvā mahāmegho viya ambavassaṃ vassi. Mahājano sādhukāraṃ adāsi, celukkhepā pavattiṃsu.

    ราชา อมฺพผลานิ ขาทิตฺวา ตสฺส พหุํ ธนํ ทตฺวา ‘‘มาณวก, เอวรูโป เต อจฺฉริยมโนฺต กสฺส สนฺติเก คหิโต’’ติ ปุจฺฉิฯ มาณโว ‘‘สจาหํ ‘จณฺฑาลสฺส สนฺติเก’ติ วกฺขามิ, ลชฺชิตพฺพกํ ภวิสฺสติ, มญฺจ ครหิสฺสนฺติ, มโนฺต โข ปน เม ปคุโณ, อิทานิ น นสฺสิสฺสติ, ทิสาปาโมกฺขํ อาจริยํ อปทิสามี’’ติ จิเนฺตตฺวา มุสาวาทํ กตฺวา ‘‘ตกฺกสิลายํ ทิสาปาโมกฺขาจริยสฺส สนฺติเก คหิโต เม’’ติ วทโนฺต อาจริยํ ปจฺจกฺขาสิฯ ตงฺขณเญฺญว มโนฺต อนฺตรธายิฯ ราชา โสมนสฺสชาโต ตํ อาทาย นครํ ปวิสิตฺวา ปุนทิวเส ‘‘อมฺพานิ ขาทิสฺสามี’’ติ อุยฺยานํ คนฺตฺวา มงฺคลสิลาปเฎฺฎ นิสีทิตฺวา มาณว, อมฺพานิ อาหราติ อาหฯ โส ‘‘สาธู’’ติ อมฺพํ อุปคนฺตฺวา สตฺตปทมตฺถเก ฐิโต ‘‘มนฺตํ ปริวเตฺตสฺสามี’’ติ มเนฺต อนุปฎฺฐหเนฺต อนฺตรหิตภาวํ ญตฺวา ลชฺชิโต อฎฺฐาสิฯ ราชา ‘‘อยํ ปุเพฺพ ปริสมเชฺฌเยว อมฺพานิ อาหริตฺวา อมฺหากํ เทติ, ฆนเมฆวสฺสํ วิย อมฺพวสฺสํ วสฺสาเปติ, อิทานิ ถโทฺธ วิย ฐิโต, กิํ นุ โข การณ’’นฺติ จิเนฺตตฺวา ตํ ปุจฺฉโนฺต ปฐมํ คาถมาห –

    Rājā ambaphalāni khāditvā tassa bahuṃ dhanaṃ datvā ‘‘māṇavaka, evarūpo te acchariyamanto kassa santike gahito’’ti pucchi. Māṇavo ‘‘sacāhaṃ ‘caṇḍālassa santike’ti vakkhāmi, lajjitabbakaṃ bhavissati, mañca garahissanti, manto kho pana me paguṇo, idāni na nassissati, disāpāmokkhaṃ ācariyaṃ apadisāmī’’ti cintetvā musāvādaṃ katvā ‘‘takkasilāyaṃ disāpāmokkhācariyassa santike gahito me’’ti vadanto ācariyaṃ paccakkhāsi. Taṅkhaṇaññeva manto antaradhāyi. Rājā somanassajāto taṃ ādāya nagaraṃ pavisitvā punadivase ‘‘ambāni khādissāmī’’ti uyyānaṃ gantvā maṅgalasilāpaṭṭe nisīditvā māṇava, ambāni āharāti āha. So ‘‘sādhū’’ti ambaṃ upagantvā sattapadamatthake ṭhito ‘‘mantaṃ parivattessāmī’’ti mante anupaṭṭhahante antarahitabhāvaṃ ñatvā lajjito aṭṭhāsi. Rājā ‘‘ayaṃ pubbe parisamajjheyeva ambāni āharitvā amhākaṃ deti, ghanameghavassaṃ viya ambavassaṃ vassāpeti, idāni thaddho viya ṭhito, kiṃ nu kho kāraṇa’’nti cintetvā taṃ pucchanto paṭhamaṃ gāthamāha –

    .

    1.

    ‘‘อหาสิ เม อมฺพผลานิ ปุเพฺพ, อณูนิ ถูลานิ จ พฺรหฺมจาริ;

    ‘‘Ahāsi me ambaphalāni pubbe, aṇūni thūlāni ca brahmacāri;

    เตเหว มเนฺตหิ น ทานิ ตุยฺหํ, ทุมปฺผลา ปาตุภวนฺติ พฺรเหฺม’’ติฯ

    Teheva mantehi na dāni tuyhaṃ, dumapphalā pātubhavanti brahme’’ti.

    ตตฺถ อหาสีติ อาหริฯ ทุมปฺผลาติ รุกฺขผลานิฯ

    Tattha ahāsīti āhari. Dumapphalāti rukkhaphalāni.

    ตํ สุตฺวา มาณโว ‘‘สเจ ‘อชฺช อมฺพผลํ น คณฺหามี’ติ วกฺขามิ, ราชา เม กุชฺฌิสฺสติ, มุสาวาเทน นํ วเญฺจสฺสามี’’ติ ทุติยํ คาถมาห –

    Taṃ sutvā māṇavo ‘‘sace ‘ajja ambaphalaṃ na gaṇhāmī’ti vakkhāmi, rājā me kujjhissati, musāvādena naṃ vañcessāmī’’ti dutiyaṃ gāthamāha –

    .

    2.

    ‘‘นกฺขตฺตโยคํ ปฎิมานยามิ, ขณํ มุหุตฺตญฺจ มเนฺต น ปสฺสํ;

    ‘‘Nakkhattayogaṃ paṭimānayāmi, khaṇaṃ muhuttañca mante na passaṃ;

    นกฺขตฺตโยคญฺจ ขณญฺจ ลทฺธา, อทฺธา หริสฺสมฺพผลํ ปหูต’’นฺติฯ

    Nakkhattayogañca khaṇañca laddhā, addhā harissambaphalaṃ pahūta’’nti.

    ตตฺถ อทฺธาหริสฺสมฺพผลนฺติ อทฺธา อมฺพผลํ อาหริสฺสามิฯ

    Tattha addhāharissambaphalanti addhā ambaphalaṃ āharissāmi.

    ราชา ‘‘อยํ อญฺญทา นกฺขตฺตโยคํ น วทติ, กิํ นุ โข เอต’’นฺติ ปุจฺฉโนฺต เทฺว คาถา อภาสิ –

    Rājā ‘‘ayaṃ aññadā nakkhattayogaṃ na vadati, kiṃ nu kho eta’’nti pucchanto dve gāthā abhāsi –

    .

    3.

    ‘‘นกฺขตฺตโยคํ น ปุเร อภาณิ, ขณํ มุหุตฺตํ น ปุเร อสํสิ;

    ‘‘Nakkhattayogaṃ na pure abhāṇi, khaṇaṃ muhuttaṃ na pure asaṃsi;

    สยํ หรี อมฺพผลํ ปหูตํ, วเณฺณน คเนฺธน รเสนุเปตํฯ

    Sayaṃ harī ambaphalaṃ pahūtaṃ, vaṇṇena gandhena rasenupetaṃ.

    .

    4.

    ‘‘มนฺตาภิชเปฺปน ปุเร หิ ตุยฺหํ, ทุมปฺผลา ปาตุภวนฺติ พฺรเหฺม;

    ‘‘Mantābhijappena pure hi tuyhaṃ, dumapphalā pātubhavanti brahme;

    สฺวาชฺช น ปาเรสิ ชปฺปมฺปิ มนฺตํ, อยํ โส โก นาม ตวชฺช ธโมฺม’’ติฯ

    Svājja na pāresi jappampi mantaṃ, ayaṃ so ko nāma tavajja dhammo’’ti.

    ตตฺถ น ปาเรสีติ น สโกฺกสิฯ ชปฺปมฺปีติ ชปฺปโนฺตปิ ปริวเตฺตโนฺตปิฯ อยํ โสติ อยเมว โส ตว สภาโว อชฺช โก นาม ชาโตติฯ

    Tattha na pāresīti na sakkosi. Jappampīti jappantopi parivattentopi. Ayaṃ soti ayameva so tava sabhāvo ajja ko nāma jātoti.

    ตํ สุตฺวา มาณโว ‘‘น สกฺกา ราชานํ มุสาวาเทน วเญฺจตุํ, สเจปิ เม สภาเว กถิเต อาณํ กเรยฺย, กโรตุ, สภาวเมว กเถสฺสามี’’ติ จิเนฺตตฺวา เทฺว คาถา อภาสิ –

    Taṃ sutvā māṇavo ‘‘na sakkā rājānaṃ musāvādena vañcetuṃ, sacepi me sabhāve kathite āṇaṃ kareyya, karotu, sabhāvameva kathessāmī’’ti cintetvā dve gāthā abhāsi –

    .

    5.

    ‘‘จณฺฑาลปุโตฺต มม สมฺปทาสิ, ธเมฺมน มเนฺต ปกติญฺจ สํสิ;

    ‘‘Caṇḍālaputto mama sampadāsi, dhammena mante pakatiñca saṃsi;

    มา จสฺสุ เม ปุจฺฉิโต นามโคตฺตํ, คุยฺหิโตฺถ อตฺถํ วิชเหยฺย มโนฺตฯ

    Mā cassu me pucchito nāmagottaṃ, guyhittho atthaṃ vijaheyya manto.

    .

    6.

    ‘‘โสหํ ชนิเนฺทน ชนมฺหิ ปุโฎฺฐ, มกฺขาภิภูโต อลิกํ อภาณิํ;

    ‘‘Sohaṃ janindena janamhi puṭṭho, makkhābhibhūto alikaṃ abhāṇiṃ;

    ‘มนฺตา อิเม พฺราหฺมณสฺสา’ติ มิจฺฉา, ปหีนมโนฺต กปโณ รุทามี’’ติฯ

    ‘Mantā ime brāhmaṇassā’ti micchā, pahīnamanto kapaṇo rudāmī’’ti.

    ตตฺถ ธเมฺมนาติ สเมน การเณน อปฺปฎิจฺฉาเทตฺวาว อทาสิฯ ปกติญฺจ สํสีติ ‘‘มา เม ปุจฺฉิโต นามโคตฺตํ คุยฺหิโตฺถ, สเจ คูหสิ , มนฺตา เต นสฺสิสฺสนฺตี’’ติ เตสํ นสฺสนปกติญฺจ มยฺหํ สํสิฯ พฺราหฺมณสฺสาติ มิจฺฉาติ ‘‘พฺราหฺมณสฺส สนฺติเก มยา อิเม มนฺตา คหิตา’’ติ มิจฺฉาย อภณิํ, เตน เม เต มนฺตา นฎฺฐา, สฺวาหํ ปหีนมโนฺต อิทานิ กปโณ รุทามีติฯ

    Tattha dhammenāti samena kāraṇena appaṭicchādetvāva adāsi. Pakatiñca saṃsīti ‘‘mā me pucchito nāmagottaṃ guyhittho, sace gūhasi , mantā te nassissantī’’ti tesaṃ nassanapakatiñca mayhaṃ saṃsi. Brāhmaṇassāti micchāti ‘‘brāhmaṇassa santike mayā ime mantā gahitā’’ti micchāya abhaṇiṃ, tena me te mantā naṭṭhā, svāhaṃ pahīnamanto idāni kapaṇo rudāmīti.

    ตํ สุตฺวา ราชา ‘‘อยํ ปาปธโมฺม เอวรูปํ รตนมนฺตํ น โอโลเกสิ, เอวรูปสฺมิญฺหิ อุตฺตมรตนมเนฺต ลเทฺธ ชาติ กิํ กริสฺสตี’’ติ กุชฺฌิตฺวา ตสฺส ครหโนฺต –

    Taṃ sutvā rājā ‘‘ayaṃ pāpadhammo evarūpaṃ ratanamantaṃ na olokesi, evarūpasmiñhi uttamaratanamante laddhe jāti kiṃ karissatī’’ti kujjhitvā tassa garahanto –

    .

    7.

    ‘‘เอรณฺฑา ปุจิมนฺทา วา, อถ วา ปาลิภทฺทกา;

    ‘‘Eraṇḍā pucimandā vā, atha vā pālibhaddakā;

    มธุํ มธุตฺถิโก วิเนฺท, โส หิ ตสฺส ทุมุตฺตโมฯ

    Madhuṃ madhutthiko vinde, so hi tassa dumuttamo.

    .

    8.

    ‘‘ขตฺติยา พฺราหฺมณา เวสฺสา, สุทฺทา จณฺฑาลปุกฺกุสา;

    ‘‘Khattiyā brāhmaṇā vessā, suddā caṇḍālapukkusā;

    ยมฺหา ธมฺมํ วิชาเนยฺย, โส หิ ตสฺส นรุตฺตโมฯ

    Yamhā dhammaṃ vijāneyya, so hi tassa naruttamo.

    .

    9.

    ‘‘อิมสฺส ทณฺฑญฺจ วธญฺจ ทตฺวา, คเล คเหตฺวา ขลยาถ ชมฺมํ;

    ‘‘Imassa daṇḍañca vadhañca datvā, gale gahetvā khalayātha jammaṃ;

    โย อุตฺตมตฺถํ กสิเรน ลทฺธํ, มานาติมาเนน วินาสยิตฺถา’’ติฯ –

    Yo uttamatthaṃ kasirena laddhaṃ, mānātimānena vināsayitthā’’ti. –

    อิมา คาถา อาหฯ

    Imā gāthā āha.

    ตตฺถ มธุตฺถิโกติ มธุอตฺถิโก ปุริโส อรเญฺญ มธุํ โอโลเกโนฺต เอเตสํ รุกฺขานํ ยโต มธุํ ลภติ, โสว ทุโม ตสฺส ทุมุตฺตโม นามฯ ตเถว ขตฺติยาทีสุ ยมฺหา ปุริสา ธมฺมํ การณํ ยุตฺตํ อตฺถํ วิชาเนยฺย, โสว ตสฺส อุตฺตโม นโร นามฯ อิมสฺส ทณฺฑญฺจาติ อิมสฺส ปาปธมฺมสฺส สพฺพสฺสหรณทณฺฑญฺจ เวฬุเปสิกาทีหิ ปิฎฺฐิจมฺมํ อุปฺปาเฎตฺวา วธญฺจ ทตฺวา อิมํ ชมฺมํ คเล คเหตฺวา ขลยาถ, ขลิการตฺตํ ปาเปตฺวา นิทฺธมถ นิกฺกฑฺฒถ, กิํ อิมินา อิธ วสเนฺตนาติฯ

    Tattha madhutthikoti madhuatthiko puriso araññe madhuṃ olokento etesaṃ rukkhānaṃ yato madhuṃ labhati, sova dumo tassa dumuttamo nāma. Tatheva khattiyādīsu yamhā purisā dhammaṃ kāraṇaṃ yuttaṃ atthaṃ vijāneyya, sova tassa uttamo naro nāma. Imassa daṇḍañcāti imassa pāpadhammassa sabbassaharaṇadaṇḍañca veḷupesikādīhi piṭṭhicammaṃ uppāṭetvā vadhañca datvā imaṃ jammaṃ gale gahetvā khalayātha, khalikārattaṃ pāpetvā niddhamatha nikkaḍḍhatha, kiṃ iminā idha vasantenāti.

    ราชปุริสา ตถา กตฺวา ‘‘ตวาจริยสฺส สนฺติกํ คนฺตฺวา ตํ อาราเธตฺวาว สเจ ปุน มเนฺต ลภิสฺสสิ, อิธ อาคเจฺฉยฺยาสิ, โน เจ, อิมํ ทิสํ มา โอโลเกยฺยาสี’’ติ ตํ นิพฺพิสยมกํสุฯ โส อนาโถ หุตฺวา ‘‘ฐเปตฺวา อาจริยํ น เม อญฺญํ ปฎิสรณํ อตฺถิ, ตเสฺสว สนฺติกํ คนฺตฺวา ตํ อาราเธตฺวา ปุน มนฺตํ ยาจิสฺสามี’’ติ โรทโนฺต ตํ คามํ อคมาสิฯ อถ นํ อาคจฺฉนฺตํ ทิสฺวา มหาสโตฺต ภริยํ อามเนฺตตฺวา ‘‘ภเทฺท, ปสฺส ตํ ปาปธมฺมํ ปริหีนมนฺตํ ปุน อาคจฺฉนฺต’’นฺติ อาหฯ โส มหาสตฺตํ อุปสงฺกมิตฺวา วนฺทิตฺวา เอกมนฺตํ นิสิโนฺน ‘‘กิํการณา อาคโตสี’’ติ ปุโฎฺฐ ‘‘อาจริย, มุสาวาทํ กตฺวา อาจริยํ ปจฺจกฺขิตฺวา มหาวินาสํ ปโตฺตมฺหี’’ติ วตฺวา อจฺจยํ ทเสฺสตฺวา ปุน มเนฺต ยาจโนฺต –

    Rājapurisā tathā katvā ‘‘tavācariyassa santikaṃ gantvā taṃ ārādhetvāva sace puna mante labhissasi, idha āgaccheyyāsi, no ce, imaṃ disaṃ mā olokeyyāsī’’ti taṃ nibbisayamakaṃsu. So anātho hutvā ‘‘ṭhapetvā ācariyaṃ na me aññaṃ paṭisaraṇaṃ atthi, tasseva santikaṃ gantvā taṃ ārādhetvā puna mantaṃ yācissāmī’’ti rodanto taṃ gāmaṃ agamāsi. Atha naṃ āgacchantaṃ disvā mahāsatto bhariyaṃ āmantetvā ‘‘bhadde, passa taṃ pāpadhammaṃ parihīnamantaṃ puna āgacchanta’’nti āha. So mahāsattaṃ upasaṅkamitvā vanditvā ekamantaṃ nisinno ‘‘kiṃkāraṇā āgatosī’’ti puṭṭho ‘‘ācariya, musāvādaṃ katvā ācariyaṃ paccakkhitvā mahāvināsaṃ pattomhī’’ti vatvā accayaṃ dassetvā puna mante yācanto –

    ๑๐.

    10.

    ‘‘ยถา สมํ มญฺญมาโน ปเตยฺย, โสพฺภํ คุหํ นรกํ ปูติปาทํ;

    ‘‘Yathā samaṃ maññamāno pateyya, sobbhaṃ guhaṃ narakaṃ pūtipādaṃ;

    รชฺชูติ วา อกฺกเม กณฺหสปฺปํ, อโนฺธ ยถา โชติมธิฎฺฐเหยฺย;

    Rajjūti vā akkame kaṇhasappaṃ, andho yathā jotimadhiṭṭhaheyya;

    เอวมฺปิ มํ ตํ ขลิตํ สปญฺญ, ปหีนมนฺตสฺส ปุนปฺปทาหี’’ติฯ – คาถมาห;

    Evampi maṃ taṃ khalitaṃ sapañña, pahīnamantassa punappadāhī’’ti. – gāthamāha;

    ตตฺถ ยถา สมนฺติ ยถา ปุริโส อิทํ สมํ ฐานนฺติ มญฺญมาโน โสพฺภํ วา คุหํ วา ภูมิยา ผลิตฎฺฐานสงฺขาตํ นรกํ วา ปูติปาทํ วา ปเตยฺยฯ ปูติปาโทติ หิมวนฺตปเทเส มหารุเกฺข สุสฺสิตฺวา มเต ตสฺส มูเลสุ ปูติเกสุ ชาเตสุ ตสฺมิํ ฐาเน มหาอาวาโฎ โหติ, ตสฺส นามํฯ โชติมธิฎฺฐเหยฺยาติ อคฺคิํ อกฺกเมยฺยฯ เอวมฺปีติ เอวํ อหมฺปิ ปญฺญาจกฺขุโน อภาวา อโนฺธ ตุมฺหากํ วิเสสํ อชานโนฺต ตุเมฺหสุ ขลิโต, ตํ มํ ขลิตํ วิทิตฺวา สปญฺญ ญาณสมฺปนฺน ปหีนมนฺตสฺส มม ปุนปิ เทถาติฯ

    Tattha yathā samanti yathā puriso idaṃ samaṃ ṭhānanti maññamāno sobbhaṃ vā guhaṃ vā bhūmiyā phalitaṭṭhānasaṅkhātaṃ narakaṃ vā pūtipādaṃ vā pateyya. Pūtipādoti himavantapadese mahārukkhe sussitvā mate tassa mūlesu pūtikesu jātesu tasmiṃ ṭhāne mahāāvāṭo hoti, tassa nāmaṃ. Jotimadhiṭṭhaheyyāti aggiṃ akkameyya. Evampīti evaṃ ahampi paññācakkhuno abhāvā andho tumhākaṃ visesaṃ ajānanto tumhesu khalito, taṃ maṃ khalitaṃ viditvā sapañña ñāṇasampanna pahīnamantassa mama punapi dethāti.

    อถ นํ อาจริโย ‘‘ตาต, กิํ กเถสิ, อโนฺธ หิ สญฺญาย ทินฺนาย โสพฺภาทีนิ ปริหรติ, มยา ปฐมเมว ตว กถิตํ, อิทานิ กิมตฺถํ มม สนฺติกํ อาคโตสี’’ติ วตฺวา –

    Atha naṃ ācariyo ‘‘tāta, kiṃ kathesi, andho hi saññāya dinnāya sobbhādīni pariharati, mayā paṭhamameva tava kathitaṃ, idāni kimatthaṃ mama santikaṃ āgatosī’’ti vatvā –

    ๑๑.

    11.

    ‘‘ธเมฺมน มนฺตํ ตว สมฺปทาสิํ, ตุวมฺปิ ธเมฺมน ปฎิคฺคเหสิ;

    ‘‘Dhammena mantaṃ tava sampadāsiṃ, tuvampi dhammena paṭiggahesi;

    ปกติมฺปิ เต อตฺตมโน อสํสิํ, ธเมฺม ฐิตํ ตํ น ชเหยฺย มโนฺตฯ

    Pakatimpi te attamano asaṃsiṃ, dhamme ṭhitaṃ taṃ na jaheyya manto.

    ๑๒.

    12.

    ‘‘โย พาล-มนฺตํ กสิเรน ลทฺธํ, ยํ ทุลฺลภํ อชฺช มนุสฺสโลเก;

    ‘‘Yo bāla-mantaṃ kasirena laddhaṃ, yaṃ dullabhaṃ ajja manussaloke;

    กิญฺจาปิ ลทฺธา ชีวิตุํ อปฺปปโญฺญ, วินาสยี อลิกํ ภาสมาโนฯ

    Kiñcāpi laddhā jīvituṃ appapañño, vināsayī alikaṃ bhāsamāno.

    ๑๓.

    13.

    ‘‘พาลสฺส มูฬฺหสฺส อกตญฺญุโน จ, มุสา ภณนฺตสฺส อสญฺญตสฺส;

    ‘‘Bālassa mūḷhassa akataññuno ca, musā bhaṇantassa asaññatassa;

    มเนฺต มยํ ตาทิสเก น เทม, กุโต มนฺตา คจฺฉ น มยฺหํ รุจฺจสี’’ติฯ –

    Mante mayaṃ tādisake na dema, kuto mantā gaccha na mayhaṃ ruccasī’’ti. –

    อิมา คาถา อาหฯ

    Imā gāthā āha.

    ตตฺถ ธเมฺมนาติ อหมฺปิ ตว อาจริยภาคํ หิรญฺญํ วา สุวณฺณํ วา อคฺคเหตฺวา ธเมฺมเนว มนฺตํ สมฺปทาสิํ, ตฺวมฺปิ กิญฺจิ อทตฺวา ธเมฺมน สเมเนว ปฎิคฺคเหสิฯ ธเมฺม ฐิตนฺติ อาจริยปูชกธเมฺม ฐิตํฯ ตาทิสเกติ ตถารูเป อกาลผลคณฺหาปเก มเนฺต น เทม, คจฺฉ น เม รุจฺจสีติฯ

    Tattha dhammenāti ahampi tava ācariyabhāgaṃ hiraññaṃ vā suvaṇṇaṃ vā aggahetvā dhammeneva mantaṃ sampadāsiṃ, tvampi kiñci adatvā dhammena sameneva paṭiggahesi. Dhamme ṭhitanti ācariyapūjakadhamme ṭhitaṃ. Tādisaketi tathārūpe akālaphalagaṇhāpake mante na dema, gaccha na me ruccasīti.

    โส เอวํ อาจริเยน อุโยฺยชิโต ‘‘กิํ มยฺหํ ชีวิเตนา’’ติ อรญฺญํ ปวิสิตฺวา อนาถมรณํ มริฯ

    So evaṃ ācariyena uyyojito ‘‘kiṃ mayhaṃ jīvitenā’’ti araññaṃ pavisitvā anāthamaraṇaṃ mari.

    สตฺถา อิมํ ธมฺมเทสนํ อาหริตฺวา ‘‘น, ภิกฺขเว, อิทาเนว, ปุเพฺพปิ เทวทโตฺต อาจริยํ ปจฺจกฺขาย มหาวินาสํ ปโตฺต’’ติ วตฺวา ชาตกํ สโมธาเนสิ – ‘‘ตทา อกตญฺญู มาณโว เทวทโตฺต อโหสิ, ราชา อานโนฺท, จณฺฑาลปุโตฺต ปน อหเมว อโหสิ’’นฺติฯ

    Satthā imaṃ dhammadesanaṃ āharitvā ‘‘na, bhikkhave, idāneva, pubbepi devadatto ācariyaṃ paccakkhāya mahāvināsaṃ patto’’ti vatvā jātakaṃ samodhānesi – ‘‘tadā akataññū māṇavo devadatto ahosi, rājā ānando, caṇḍālaputto pana ahameva ahosi’’nti.

    อมฺพชาตกวณฺณนา ปฐมาฯ

    Ambajātakavaṇṇanā paṭhamā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / ชาตกปาฬิ • Jātakapāḷi / ๔๗๔. อมฺพชาตกํ • 474. Ambajātakaṃ


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact