Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / มชฺฌิมนิกาย • Majjhimanikāya |
๒. ภิกฺขุวโคฺค
2. Bhikkhuvaggo
๑. อมฺพลฎฺฐิกราหุโลวาทสุตฺตํ
1. Ambalaṭṭhikarāhulovādasuttaṃ
๑๐๗. เอวํ เม สุตํ – เอกํ สมยํ ภควา ราชคเห วิหรติ เวฬุวเน กลนฺทกนิวาเปฯ เตน โข ปน สมเยน อายสฺมา ราหุโล อมฺพลฎฺฐิกายํ วิหรติฯ อถ โข ภควา สายนฺหสมยํ ปฎิสลฺลานา วุฎฺฐิโต เยน อมฺพลฎฺฐิกา เยนายสฺมา ราหุโล เตนุปสงฺกมิฯ อทฺทสา โข อายสฺมา ราหุโล ภควนฺตํ ทูรโตว อาคจฺฉนฺตํฯ ทิสฺวาน อาสนํ ปญฺญาเปสิ, อุทกญฺจ ปาทานํฯ นิสีทิ ภควา ปญฺญเตฺต อาสเนฯ นิสชฺช ปาเท ปกฺขาเลสิฯ อายสฺมาปิ โข ราหุโล ภควนฺตํ อภิวาเทตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิฯ
107. Evaṃ me sutaṃ – ekaṃ samayaṃ bhagavā rājagahe viharati veḷuvane kalandakanivāpe. Tena kho pana samayena āyasmā rāhulo ambalaṭṭhikāyaṃ viharati. Atha kho bhagavā sāyanhasamayaṃ paṭisallānā vuṭṭhito yena ambalaṭṭhikā yenāyasmā rāhulo tenupasaṅkami. Addasā kho āyasmā rāhulo bhagavantaṃ dūratova āgacchantaṃ. Disvāna āsanaṃ paññāpesi, udakañca pādānaṃ. Nisīdi bhagavā paññatte āsane. Nisajja pāde pakkhālesi. Āyasmāpi kho rāhulo bhagavantaṃ abhivādetvā ekamantaṃ nisīdi.
๑๐๘. อถ โข ภควา ปริตฺตํ อุทกาวเสสํ อุทกาธาเน ฐเปตฺวา อายสฺมนฺตํ ราหุลํ อามเนฺตสิ – ‘‘ปสฺสสิ โน ตฺวํ, ราหุล, อิมํ ปริตฺตํ อุทกาวเสสํ อุทกาธาเน ฐปิต’’นฺติ? ‘‘เอวํ, ภเนฺต’’ฯ ‘‘เอวํ ปริตฺตกํ โข, ราหุล, เตสํ สามญฺญํ เยสํ นตฺถิ สมฺปชานมุสาวาเท ลชฺชา’’ติฯ อถ โข ภควา ปริตฺตํ อุทกาวเสสํ ฉเฑฺฑตฺวา อายสฺมนฺตํ ราหุลํ อามเนฺตสิ – ‘‘ปสฺสสิ โน ตฺวํ, ราหุล, ปริตฺตํ อุทกาวเสสํ ฉฑฺฑิต’’นฺติ? ‘‘เอวํ, ภเนฺต’’ฯ ‘‘เอวํ ฉฑฺฑิตํ โข, ราหุล, เตสํ สามญฺญํ เยสํ นตฺถิ สมฺปชานมุสาวาเท ลชฺชา’’ติฯ อถ โข ภควา ตํ อุทกาธานํ นิกฺกุชฺชิตฺวา อายสฺมนฺตํ ราหุลํ อามเนฺตสิ – ‘‘ปสฺสสิ โน ตฺวํ, ราหุล, อิมํ อุทกาธานํ นิกฺกุชฺชิต’’นฺติ? ‘‘เอวํ, ภเนฺต’’ฯ ‘‘เอวํ นิกฺกุชฺชิตํ โข, ราหุล, เตสํ สามญฺญํ เยสํ นตฺถิ สมฺปชานมุสาวาเท ลชฺชา’’ติฯ อถ โข ภควา ตํ อุทกาธานํ อุกฺกุชฺชิตฺวา อายสฺมนฺตํ ราหุลํ อามเนฺตสิ – ‘‘ปสฺสสิ โน ตฺวํ, ราหุล, อิมํ อุทกาธานํ ริตฺตํ ตุจฺฉ’’นฺติ? ‘‘เอวํ, ภเนฺต’’ฯ ‘‘เอวํ ริตฺตํ ตุจฺฉํ โข, ราหุล, เตสํ สามญฺญํ เยสํ นตฺถิ สมฺปชานมุสาวาเท ลชฺชาติฯ เสยฺยถาปิ, ราหุล, รโญฺญ นาโค อีสาทโนฺต อุรูฬฺหวา 1 อภิชาโต สงฺคามาวจโร สงฺคามคโต ปุริเมหิปิ ปาเทหิ กมฺมํ กโรติ, ปจฺฉิเมหิปิ ปาเทหิ กมฺมํ กโรติ, ปุริเมนปิ กาเยน กมฺมํ กโรติ, ปจฺฉิเมนปิ กาเยน กมฺมํ กโรติ, สีเสนปิ กมฺมํ กโรติ, กเณฺณหิปิ กมฺมํ กโรติ, ทเนฺตหิปิ กมฺมํ กโรติ, นงฺคุเฎฺฐนปิ กมฺมํ กโรติ; รกฺขเตว โสณฺฑํฯ ตตฺถ หตฺถาโรหสฺส เอวํ โหติ – ‘อยํ โข รโญฺญ นาโค อีสาทโนฺต อุรูฬฺหวา อภิชาโต สงฺคามาวจโร สงฺคามคโต ปุริเมหิปิ ปาเทหิ กมฺมํ กโรติ, ปจฺฉิเมหิปิ ปาเทหิ กมฺมํ กโรติ…เป.… นงฺคุเฎฺฐนปิ กมฺมํ กโรติ; รกฺขเตว โสณฺฑํ ฯ อปริจฺจตฺตํ โข รโญฺญ นาคสฺส ชีวิต’นฺติฯ ยโต โข, ราหุล, รโญฺญ นาโค อีสาทโนฺต อุรูฬฺหวา อภิชาโต สงฺคามาวจโร สงฺคามคโต ปุริเมหิปิ ปาเทหิ กมฺมํ กโรติ, ปจฺฉิเมหิปิ ปาเทหิ กมฺมํ กโรติ…เป.… นงฺคุเฎฺฐนปิ กมฺมํ กโรติ, โสณฺฑายปิ กมฺมํ กโรติ, ตตฺถ หตฺถาโรหสฺส เอวํ โหติ – ‘อยํ โข รโญฺญ นาโค อีสาทโนฺต อุรูฬฺหวา อภิชาโต สงฺคามาวจโร สงฺคามคโต ปุริเมหิปิ ปาเทหิ กมฺมํ กโรติ, ปจฺฉิเมหิปิ ปาเทหิ กมฺมํ กโรติ, ปุริเมนปิ กาเยน กมฺมํ กโรติ, ปจฺฉิเมนปิ กาเยน กมฺมํ กโรติ, สีเสนปิ กมฺมํ กโรติ, กเณฺณหิปิ กมฺมํ กโรติ, ทเนฺตหิปิ กมฺมํ กโรติ, นงฺคุเฎฺฐนปิ กมฺมํ กโรติ, โสณฺฑายปิ กมฺมํ กโรติฯ ปริจฺจตฺตํ โข รโญฺญ นาคสฺส ชีวิตํฯ นตฺถิ ทานิ กิญฺจิ รโญฺญ นาคสฺส อกรณีย’นฺติฯ เอวเมว โข, ราหุล, ยสฺส กสฺสจิ สมฺปชานมุสาวาเท นตฺถิ ลชฺชา, นาหํ ตสฺส กิญฺจิ ปาปํ อกรณียนฺติ วทามิฯ ตสฺมาติห เต, ราหุล, ‘หสฺสาปิ น มุสา ภณิสฺสามี’ติ – เอวญฺหิ เต, ราหุล, สิกฺขิตพฺพํฯ
108. Atha kho bhagavā parittaṃ udakāvasesaṃ udakādhāne ṭhapetvā āyasmantaṃ rāhulaṃ āmantesi – ‘‘passasi no tvaṃ, rāhula, imaṃ parittaṃ udakāvasesaṃ udakādhāne ṭhapita’’nti? ‘‘Evaṃ, bhante’’. ‘‘Evaṃ parittakaṃ kho, rāhula, tesaṃ sāmaññaṃ yesaṃ natthi sampajānamusāvāde lajjā’’ti. Atha kho bhagavā parittaṃ udakāvasesaṃ chaḍḍetvā āyasmantaṃ rāhulaṃ āmantesi – ‘‘passasi no tvaṃ, rāhula, parittaṃ udakāvasesaṃ chaḍḍita’’nti? ‘‘Evaṃ, bhante’’. ‘‘Evaṃ chaḍḍitaṃ kho, rāhula, tesaṃ sāmaññaṃ yesaṃ natthi sampajānamusāvāde lajjā’’ti. Atha kho bhagavā taṃ udakādhānaṃ nikkujjitvā āyasmantaṃ rāhulaṃ āmantesi – ‘‘passasi no tvaṃ, rāhula, imaṃ udakādhānaṃ nikkujjita’’nti? ‘‘Evaṃ, bhante’’. ‘‘Evaṃ nikkujjitaṃ kho, rāhula, tesaṃ sāmaññaṃ yesaṃ natthi sampajānamusāvāde lajjā’’ti. Atha kho bhagavā taṃ udakādhānaṃ ukkujjitvā āyasmantaṃ rāhulaṃ āmantesi – ‘‘passasi no tvaṃ, rāhula, imaṃ udakādhānaṃ rittaṃ tuccha’’nti? ‘‘Evaṃ, bhante’’. ‘‘Evaṃ rittaṃ tucchaṃ kho, rāhula, tesaṃ sāmaññaṃ yesaṃ natthi sampajānamusāvāde lajjāti. Seyyathāpi, rāhula, rañño nāgo īsādanto urūḷhavā 2 abhijāto saṅgāmāvacaro saṅgāmagato purimehipi pādehi kammaṃ karoti, pacchimehipi pādehi kammaṃ karoti, purimenapi kāyena kammaṃ karoti, pacchimenapi kāyena kammaṃ karoti, sīsenapi kammaṃ karoti, kaṇṇehipi kammaṃ karoti, dantehipi kammaṃ karoti, naṅguṭṭhenapi kammaṃ karoti; rakkhateva soṇḍaṃ. Tattha hatthārohassa evaṃ hoti – ‘ayaṃ kho rañño nāgo īsādanto urūḷhavā abhijāto saṅgāmāvacaro saṅgāmagato purimehipi pādehi kammaṃ karoti, pacchimehipi pādehi kammaṃ karoti…pe… naṅguṭṭhenapi kammaṃ karoti; rakkhateva soṇḍaṃ . Apariccattaṃ kho rañño nāgassa jīvita’nti. Yato kho, rāhula, rañño nāgo īsādanto urūḷhavā abhijāto saṅgāmāvacaro saṅgāmagato purimehipi pādehi kammaṃ karoti, pacchimehipi pādehi kammaṃ karoti…pe… naṅguṭṭhenapi kammaṃ karoti, soṇḍāyapi kammaṃ karoti, tattha hatthārohassa evaṃ hoti – ‘ayaṃ kho rañño nāgo īsādanto urūḷhavā abhijāto saṅgāmāvacaro saṅgāmagato purimehipi pādehi kammaṃ karoti, pacchimehipi pādehi kammaṃ karoti, purimenapi kāyena kammaṃ karoti, pacchimenapi kāyena kammaṃ karoti, sīsenapi kammaṃ karoti, kaṇṇehipi kammaṃ karoti, dantehipi kammaṃ karoti, naṅguṭṭhenapi kammaṃ karoti, soṇḍāyapi kammaṃ karoti. Pariccattaṃ kho rañño nāgassa jīvitaṃ. Natthi dāni kiñci rañño nāgassa akaraṇīya’nti. Evameva kho, rāhula, yassa kassaci sampajānamusāvāde natthi lajjā, nāhaṃ tassa kiñci pāpaṃ akaraṇīyanti vadāmi. Tasmātiha te, rāhula, ‘hassāpi na musā bhaṇissāmī’ti – evañhi te, rāhula, sikkhitabbaṃ.
๑๐๙. ‘‘ตํ กิํ มญฺญสิ, ราหุล, กิมตฺถิโย อาทาโส’’ติ? ‘‘ปจฺจเวกฺขณโตฺถ, ภเนฺต’’ติฯ ‘‘เอวเมว โข, ราหุล, ปจฺจเวกฺขิตฺวา ปจฺจเวกฺขิตฺวา กาเยน กมฺมํ กตฺตพฺพํ, ปจฺจเวกฺขิตฺวา ปจฺจเวกฺขิตฺวา วาจาย กมฺมํ กตฺตพฺพํ, ปจฺจเวกฺขิตฺวา ปจฺจเวกฺขิตฺวา มนสา กมฺมํ กตฺตพฺพํฯ ยเทว ตฺวํ, ราหุล, กาเยน กมฺมํ กตฺตุกาโม อโหสิ, ตเทว เต กายกมฺมํ ปจฺจเวกฺขิตพฺพํ – ‘ยํ นุ โข อหํ อิทํ กาเยน กมฺมํ กตฺตุกาโม อิทํ เม กายกมฺมํ อตฺตพฺยาพาธายปิ สํวเตฺตยฺย, ปรพฺยาพาธายปิ สํวเตฺตยฺย, อุภยพฺยาพาธายปิ สํวเตฺตยฺย – อกุสลํ อิทํ กายกมฺมํ ทุกฺขุทฺรยํ 3 ทุกฺขวิปาก’นฺติ? สเจ ตฺวํ, ราหุล, ปจฺจเวกฺขมาโน เอวํ ชาเนยฺยาสิ – ‘ยํ โข อหํ อิทํ กาเยน กมฺมํ กตฺตุกาโม อิทํ เม กายกมฺมํ อตฺตพฺยาพาธายปิ สํวเตฺตยฺย, ปรพฺยาพาธายปิ สํวเตฺตยฺย, อุภยพฺยาพาธายปิ สํวเตฺตยฺย – อกุสลํ อิทํ กายกมฺมํ ทุกฺขุทฺรยํ ทุกฺขวิปาก’นฺติ, เอวรูปํ เต, ราหุล, กาเยน กมฺมํ สสกฺกํ น กรณียํ 4ฯ สเจ ปน ตฺวํ, ราหุล, ปจฺจเวกฺขมาโน เอวํ ชาเนยฺยาสิ – ‘ยํ โข อหํ อิทํ กาเยน กมฺมํ กตฺตุกาโม อิทํ เม กายกมฺมํ เนวตฺตพฺยาพาธายปิ สํวเตฺตยฺย, น ปรพฺยาพาธายปิ สํวเตฺตยฺย, น อุภยพฺยาพาธายปิ สํวเตฺตยฺย – กุสลํ อิทํ กายกมฺมํ สุขุทฺรยํ สุขวิปาก’นฺติ, เอวรูปํ เต, ราหุล, กาเยน กมฺมํ กรณียํฯ
109. ‘‘Taṃ kiṃ maññasi, rāhula, kimatthiyo ādāso’’ti? ‘‘Paccavekkhaṇattho, bhante’’ti. ‘‘Evameva kho, rāhula, paccavekkhitvā paccavekkhitvā kāyena kammaṃ kattabbaṃ, paccavekkhitvā paccavekkhitvā vācāya kammaṃ kattabbaṃ, paccavekkhitvā paccavekkhitvā manasā kammaṃ kattabbaṃ. Yadeva tvaṃ, rāhula, kāyena kammaṃ kattukāmo ahosi, tadeva te kāyakammaṃ paccavekkhitabbaṃ – ‘yaṃ nu kho ahaṃ idaṃ kāyena kammaṃ kattukāmo idaṃ me kāyakammaṃ attabyābādhāyapi saṃvatteyya, parabyābādhāyapi saṃvatteyya, ubhayabyābādhāyapi saṃvatteyya – akusalaṃ idaṃ kāyakammaṃ dukkhudrayaṃ 5 dukkhavipāka’nti? Sace tvaṃ, rāhula, paccavekkhamāno evaṃ jāneyyāsi – ‘yaṃ kho ahaṃ idaṃ kāyena kammaṃ kattukāmo idaṃ me kāyakammaṃ attabyābādhāyapi saṃvatteyya, parabyābādhāyapi saṃvatteyya, ubhayabyābādhāyapi saṃvatteyya – akusalaṃ idaṃ kāyakammaṃ dukkhudrayaṃ dukkhavipāka’nti, evarūpaṃ te, rāhula, kāyena kammaṃ sasakkaṃ na karaṇīyaṃ 6. Sace pana tvaṃ, rāhula, paccavekkhamāno evaṃ jāneyyāsi – ‘yaṃ kho ahaṃ idaṃ kāyena kammaṃ kattukāmo idaṃ me kāyakammaṃ nevattabyābādhāyapi saṃvatteyya, na parabyābādhāyapi saṃvatteyya, na ubhayabyābādhāyapi saṃvatteyya – kusalaṃ idaṃ kāyakammaṃ sukhudrayaṃ sukhavipāka’nti, evarūpaṃ te, rāhula, kāyena kammaṃ karaṇīyaṃ.
‘‘กโรเนฺตนปิ เต, ราหุล, กาเยน กมฺมํ ตเทว เต กายกมฺมํ ปจฺจเวกฺขิตพฺพํ – ‘ยํ นุ โข อหํ อิทํ กาเยน กมฺมํ กโรมิ อิทํ เม กายกมฺมํ อตฺตพฺยาพาธายปิ สํวตฺตติ, ปรพฺยาพาธายปิ สํวตฺตติ, อุภยพฺยาพาธายปิ สํวตฺตติ – อกุสลํ อิทํ กายกมฺมํ ทุกฺขุทฺรยํ ทุกฺขวิปาก’นฺติ? สเจ ปน ตฺวํ, ราหุล, ปจฺจเวกฺขมาโน เอวํ ชาเนยฺยาสิ – ‘ยํ โข อหํ อิทํ กาเยน กมฺมํ กโรมิ อิทํ เม กายกมฺมํ อตฺตพฺยาพาธายปิ สํวตฺตติ, ปรพฺยาพาธายปิ สํวตฺตติ, อุภยพฺยาพาธายปิ สํวตฺตติ – อกุสลํ อิทํ กายกมฺมํ ทุกฺขุทฺรยํ ทุกฺขวิปาก’นฺติ, ปฎิสํหเรยฺยาสิ ตฺวํ, ราหุล, เอวรูปํ กายกมฺมํฯ สเจ ปน ตฺวํ, ราหุล, ปจฺจเวกฺขมาโน เอวํ ชาเนยฺยาสิ – ‘ยํ โข อหํ อิทํ กาเยน กมฺมํ กโรมิ อิทํ เม กายกมฺมํ เนวตฺตพฺยาพาธายปิ สํวตฺตติ, น ปรพฺยาพาธายปิ สํวตฺตติ, น อุภยพฺยาพาธายปิ สํวตฺตติ – กุสลํ อิทํ กายกมฺมํ สุขุทฺรยํ สุขวิปาก’นฺติ, อนุปทเชฺชยฺยาสิ ตฺวํ, ราหุล, เอวรูปํ กายกมฺมํฯ
‘‘Karontenapi te, rāhula, kāyena kammaṃ tadeva te kāyakammaṃ paccavekkhitabbaṃ – ‘yaṃ nu kho ahaṃ idaṃ kāyena kammaṃ karomi idaṃ me kāyakammaṃ attabyābādhāyapi saṃvattati, parabyābādhāyapi saṃvattati, ubhayabyābādhāyapi saṃvattati – akusalaṃ idaṃ kāyakammaṃ dukkhudrayaṃ dukkhavipāka’nti? Sace pana tvaṃ, rāhula, paccavekkhamāno evaṃ jāneyyāsi – ‘yaṃ kho ahaṃ idaṃ kāyena kammaṃ karomi idaṃ me kāyakammaṃ attabyābādhāyapi saṃvattati, parabyābādhāyapi saṃvattati, ubhayabyābādhāyapi saṃvattati – akusalaṃ idaṃ kāyakammaṃ dukkhudrayaṃ dukkhavipāka’nti, paṭisaṃhareyyāsi tvaṃ, rāhula, evarūpaṃ kāyakammaṃ. Sace pana tvaṃ, rāhula, paccavekkhamāno evaṃ jāneyyāsi – ‘yaṃ kho ahaṃ idaṃ kāyena kammaṃ karomi idaṃ me kāyakammaṃ nevattabyābādhāyapi saṃvattati, na parabyābādhāyapi saṃvattati, na ubhayabyābādhāyapi saṃvattati – kusalaṃ idaṃ kāyakammaṃ sukhudrayaṃ sukhavipāka’nti, anupadajjeyyāsi tvaṃ, rāhula, evarūpaṃ kāyakammaṃ.
‘‘กตฺวาปิ เต, ราหุล, กาเยน กมฺมํ ตเทว เต กายกมฺมํ ปจฺจเวกฺขิตพฺพํ – ‘ยํ นุ โข อหํ อิทํ กาเยน กมฺมํ อกาสิํ อิทํ เม กายกมฺมํ อตฺตพฺยาพาธายปิ สํวตฺตติ 7, ปรพฺยาพาธายปิ สํวตฺตติ, อุภยพฺยาพาธายปิ สํวตฺตติ – อกุสลํ อิทํ กายกมฺมํ ทุกฺขุทฺรยํ ทุกฺขวิปาก’นฺติ? สเจ โข ตฺวํ, ราหุล, ปจฺจเวกฺขมาโน เอวํ ชาเนยฺยาสิ – ‘ยํ โข อหํ อิทํ กาเยน กมฺมํ อกาสิํ, อิทํ เม กายกมฺมํ อตฺตพฺยาพาธายปิ สํวตฺตติ, ปรพฺยาพาธายปิ สํวตฺตติ, อุภยพฺยาพาธายปิ สํวตฺตติ – อกุสลํ อิทํ กายกมฺมํ ทุกฺขุทฺรยํ ทุกฺขวิปาก’นฺติ, เอวรูปํ เต, ราหุล, กายกมฺมํ สตฺถริ วา วิญฺญูสุ วา สพฺรหฺมจารีสุ เทเสตพฺพํ, วิวริตพฺพํ, อุตฺตานีกาตพฺพํ; เทเสตฺวา วิวริตฺวา อุตฺตานีกตฺวา อายติํ สํวรํ อาปชฺชิตพฺพํ ฯ สเจ ปน ตฺวํ, ราหุล, ปจฺจเวกฺขมาโน เอวํ ชาเนยฺยาสิ – ‘ยํ โข อหํ อิทํ กาเยน กมฺมํ อกาสิํ อิทํ เม กายกมฺมํ เนวตฺตพฺยาพาธายปิ สํวตฺตติ, น ปรพฺยาพาธายปิ สํวตฺตติ, น อุภยพฺยาพาธายปิ สํวตฺตติ – กุสลํ อิทํ กายกมฺมํ สุขุทฺรยํ สุขวิปาก’นฺติ, เตเนว ตฺวํ, ราหุล, ปีติปาโมเชฺชน วิหเรยฺยาสิ อโหรตฺตานุสิกฺขี กุสเลสุ ธเมฺมสุฯ
‘‘Katvāpi te, rāhula, kāyena kammaṃ tadeva te kāyakammaṃ paccavekkhitabbaṃ – ‘yaṃ nu kho ahaṃ idaṃ kāyena kammaṃ akāsiṃ idaṃ me kāyakammaṃ attabyābādhāyapi saṃvattati 8, parabyābādhāyapi saṃvattati, ubhayabyābādhāyapi saṃvattati – akusalaṃ idaṃ kāyakammaṃ dukkhudrayaṃ dukkhavipāka’nti? Sace kho tvaṃ, rāhula, paccavekkhamāno evaṃ jāneyyāsi – ‘yaṃ kho ahaṃ idaṃ kāyena kammaṃ akāsiṃ, idaṃ me kāyakammaṃ attabyābādhāyapi saṃvattati, parabyābādhāyapi saṃvattati, ubhayabyābādhāyapi saṃvattati – akusalaṃ idaṃ kāyakammaṃ dukkhudrayaṃ dukkhavipāka’nti, evarūpaṃ te, rāhula, kāyakammaṃ satthari vā viññūsu vā sabrahmacārīsu desetabbaṃ, vivaritabbaṃ, uttānīkātabbaṃ; desetvā vivaritvā uttānīkatvā āyatiṃ saṃvaraṃ āpajjitabbaṃ . Sace pana tvaṃ, rāhula, paccavekkhamāno evaṃ jāneyyāsi – ‘yaṃ kho ahaṃ idaṃ kāyena kammaṃ akāsiṃ idaṃ me kāyakammaṃ nevattabyābādhāyapi saṃvattati, na parabyābādhāyapi saṃvattati, na ubhayabyābādhāyapi saṃvattati – kusalaṃ idaṃ kāyakammaṃ sukhudrayaṃ sukhavipāka’nti, teneva tvaṃ, rāhula, pītipāmojjena vihareyyāsi ahorattānusikkhī kusalesu dhammesu.
๑๑๐. ‘‘ยเทว ตฺวํ, ราหุล, วาจาย กมฺมํ กตฺตุกาโม อโหสิ, ตเทว เต วจีกมฺมํ ปจฺจเวกฺขิตพฺพํ – ‘ยํ นุ โข อหํ อิทํ วาจาย กมฺมํ กตฺตุกาโม อิทํ เม วจีกมฺมํ อตฺตพฺยาพาธายปิ สํวเตฺตยฺย, ปรพฺยาพาธายปิ สํวเตฺตยฺย, อุภยพฺยาพาธายปิ สํวเตฺตยฺย – อกุสลํ อิทํ วจีกมฺมํ ทุกฺขุทฺรยํ ทุกฺขวิปาก’นฺติ? สเจ ตฺวํ, ราหุล, ปจฺจเวกฺขมาโน เอวํ ชาเนยฺยาสิ – ‘ยํ โข อหํ อิทํ วาจาย กมฺมํ กตฺตุกาโม อิทํ เม วจีกมฺมํ อตฺตพฺยาพาธายปิ สํวเตฺตยฺย, ปรพฺยาพาธายปิ สํวเตฺตยฺย, อุภยพฺยาพาธายปิ สํวเตฺตยฺย – อกุสลํ อิทํ วจีกมฺมํ ทุกฺขุทฺรยํ ทุกฺขวิปาก’นฺติ, เอวรูปํ เต, ราหุล, วาจาย กมฺมํ สสกฺกํ น กรณียํฯ สเจ ปน ตฺวํ, ราหุล, ปจฺจเวกฺขมาโน เอวํ ชาเนยฺยาสิ – ‘ยํ โข อหํ อิทํ วาจาย กมฺมํ กตฺตุกาโม อิทํ เม วจีกมฺมํ เนวตฺตพฺยาพาธายปิ สํวเตฺตยฺย, น ปรพฺยาพาธายปิ สํวเตฺตยฺย – กุสลํ อิทํ วจีกมฺมํ สุขุทฺรยํ สุขวิปาก’นฺติ, เอวรูปํ เต, ราหุล, วาจาย กมฺมํ กรณียํฯ
110. ‘‘Yadeva tvaṃ, rāhula, vācāya kammaṃ kattukāmo ahosi, tadeva te vacīkammaṃ paccavekkhitabbaṃ – ‘yaṃ nu kho ahaṃ idaṃ vācāya kammaṃ kattukāmo idaṃ me vacīkammaṃ attabyābādhāyapi saṃvatteyya, parabyābādhāyapi saṃvatteyya, ubhayabyābādhāyapi saṃvatteyya – akusalaṃ idaṃ vacīkammaṃ dukkhudrayaṃ dukkhavipāka’nti? Sace tvaṃ, rāhula, paccavekkhamāno evaṃ jāneyyāsi – ‘yaṃ kho ahaṃ idaṃ vācāya kammaṃ kattukāmo idaṃ me vacīkammaṃ attabyābādhāyapi saṃvatteyya, parabyābādhāyapi saṃvatteyya, ubhayabyābādhāyapi saṃvatteyya – akusalaṃ idaṃ vacīkammaṃ dukkhudrayaṃ dukkhavipāka’nti, evarūpaṃ te, rāhula, vācāya kammaṃ sasakkaṃ na karaṇīyaṃ. Sace pana tvaṃ, rāhula, paccavekkhamāno evaṃ jāneyyāsi – ‘yaṃ kho ahaṃ idaṃ vācāya kammaṃ kattukāmo idaṃ me vacīkammaṃ nevattabyābādhāyapi saṃvatteyya, na parabyābādhāyapi saṃvatteyya – kusalaṃ idaṃ vacīkammaṃ sukhudrayaṃ sukhavipāka’nti, evarūpaṃ te, rāhula, vācāya kammaṃ karaṇīyaṃ.
‘‘กโรเนฺตนปิ, ราหุล, วาจาย กมฺมํ ตเทว เต วจีกมฺมํ ปจฺจเวกฺขิตพฺพํ – ‘ยํ นุ โข อหํ อิทํ วาจาย กมฺมํ กโรมิ อิทํ เม วจีกมฺมํ อตฺตพฺยาพาธายปิ สํวตฺตติ, ปรพฺยาพาธายปิ สํวตฺตติ, อุภยพฺยาพาธายปิ สํวตฺตติ – อกุสลํ อิทํ วจีกมฺมํ ทุกฺขุทฺรยํ ทุกฺขวิปาก’นฺติ? สเจ ปน ตฺวํ, ราหุล, ปจฺจเวกฺขมาโน เอวํ ชาเนยฺยาสิ – ‘ยํ โข อหํ อิทํ วาจาย กมฺมํ กโรมิ อิทํ เม วจีกมฺมํ อตฺตพฺยาพาธายปิ สํวตฺตติ, ปรพฺยาพาธายปิ สํวตฺตติ, อุภยพฺยาพาธายปิ สํวตฺตติ – อกุสลํ อิทํ วจีกมฺมํ ทุกฺขุทฺรยํ ทุกฺขวิปาก’นฺติ, ปฎิสํหเรยฺยาสิ ตฺวํ, ราหุล, เอวรูปํ วจีกมฺมํฯ สเจ ปน ตฺวํ, ราหุล, ปจฺจเวกฺขมาโน เอวํ ชาเนยฺยาสิ – ‘ยํ โข อหํ อิทํ วาจาย กมฺมํ กโรมิ อิทํ เม วจีกมฺมํ เนวตฺตพฺยาพาธายปิ สํวตฺตติ, น ปรพฺยาพาธายปิ สํวตฺตติ, น อุภยพฺยาพาธายปิ สํวตฺตติ – กุสลํ อิทํ วจีกมฺมํ สุขุทฺรยํ สุขวิปาก’นฺติ, อนุปทเชฺชยฺยาสิ, ตฺวํ ราหุล, เอวรูปํ วจีกมฺมํฯ
‘‘Karontenapi, rāhula, vācāya kammaṃ tadeva te vacīkammaṃ paccavekkhitabbaṃ – ‘yaṃ nu kho ahaṃ idaṃ vācāya kammaṃ karomi idaṃ me vacīkammaṃ attabyābādhāyapi saṃvattati, parabyābādhāyapi saṃvattati, ubhayabyābādhāyapi saṃvattati – akusalaṃ idaṃ vacīkammaṃ dukkhudrayaṃ dukkhavipāka’nti? Sace pana tvaṃ, rāhula, paccavekkhamāno evaṃ jāneyyāsi – ‘yaṃ kho ahaṃ idaṃ vācāya kammaṃ karomi idaṃ me vacīkammaṃ attabyābādhāyapi saṃvattati, parabyābādhāyapi saṃvattati, ubhayabyābādhāyapi saṃvattati – akusalaṃ idaṃ vacīkammaṃ dukkhudrayaṃ dukkhavipāka’nti, paṭisaṃhareyyāsi tvaṃ, rāhula, evarūpaṃ vacīkammaṃ. Sace pana tvaṃ, rāhula, paccavekkhamāno evaṃ jāneyyāsi – ‘yaṃ kho ahaṃ idaṃ vācāya kammaṃ karomi idaṃ me vacīkammaṃ nevattabyābādhāyapi saṃvattati, na parabyābādhāyapi saṃvattati, na ubhayabyābādhāyapi saṃvattati – kusalaṃ idaṃ vacīkammaṃ sukhudrayaṃ sukhavipāka’nti, anupadajjeyyāsi, tvaṃ rāhula, evarūpaṃ vacīkammaṃ.
‘‘กตฺวาปิ เต, ราหุล, วาจาย กมฺมํ ตเทว เต วจีกมฺมํ ปจฺจเวกฺขิตพฺพํ – ‘ยํ นุ โข อหํ อิทํ วาจาย กมฺมํ อกาสิํ อิทํ เม วจีกมฺมํ อตฺตพฺยาพาธายปิ สํวตฺตติ 9, ปรพฺยาพาธายปิ สํวตฺตติ, อุภยพฺยาพาธายปิ สํวตฺตติ – อกุสลํ อิทํ วจีกมฺมํ ทุกฺขุทฺรยํ ทุกฺขวิปาก’นฺติ? สเจ โข ตฺวํ, ราหุล, ปจฺจเวกฺขมาโน เอวํ ชาเนยฺยาสิ – ‘ยํ โข อหํ อิทํ วาจาย กมฺมํ อกาสิํ อิทํ เม วจีกมฺมํ อตฺตพฺยาพาธายปิ สํวตฺตติ, ปรพฺยาพาธายปิ สํวตฺตติ, อุภยพฺยาพาธายปิ สํวตฺตติ – อกุสลํ อิทํ วจีกมฺมํ ทุกฺขุทฺรยํ ทุกฺขวิปาก’นฺติ, เอวรูปํ เต, ราหุล, วจีกมฺมํ สตฺถริ วา วิญฺญูสุ วา สพฺรหฺมจารีสุ เทเสตพฺพํ, วิวริตพฺพํ, อุตฺตานีกตฺตพฺพํ ; เทเสตฺวา วิวริตฺวา อุตฺตานีกตฺวา อายติํ สํวรํ อาปชฺชิตพฺพํฯ สเจ ปน ตฺวํ, ราหุล, ปจฺจเวกฺขมาโน เอวํ ชาเนยฺยาสิ – ‘ยํ โข อหํ อิทํ วาจาย กมฺมํ อกาสิํ อิทํ เม วจีกมฺมํ เนวตฺตพฺยาพาธายปิ สํวตฺตติ, น ปรพฺยาพาธายปิ สํวตฺตติ, น อุภยพฺยาพาธายปิ สํวตฺตติ – กุสลํ อิทํ วจีกมฺมํ สุขุทฺรยํ สุขวิปาก’นฺติ, เตเนว ตฺวํ, ราหุล, ปีติปาโมเชฺชน วิหเรยฺยาสิ อโหรตฺตานุสิกฺขี กุสเลสุ ธเมฺมสุฯ
‘‘Katvāpi te, rāhula, vācāya kammaṃ tadeva te vacīkammaṃ paccavekkhitabbaṃ – ‘yaṃ nu kho ahaṃ idaṃ vācāya kammaṃ akāsiṃ idaṃ me vacīkammaṃ attabyābādhāyapi saṃvattati 10, parabyābādhāyapi saṃvattati, ubhayabyābādhāyapi saṃvattati – akusalaṃ idaṃ vacīkammaṃ dukkhudrayaṃ dukkhavipāka’nti? Sace kho tvaṃ, rāhula, paccavekkhamāno evaṃ jāneyyāsi – ‘yaṃ kho ahaṃ idaṃ vācāya kammaṃ akāsiṃ idaṃ me vacīkammaṃ attabyābādhāyapi saṃvattati, parabyābādhāyapi saṃvattati, ubhayabyābādhāyapi saṃvattati – akusalaṃ idaṃ vacīkammaṃ dukkhudrayaṃ dukkhavipāka’nti, evarūpaṃ te, rāhula, vacīkammaṃ satthari vā viññūsu vā sabrahmacārīsu desetabbaṃ, vivaritabbaṃ, uttānīkattabbaṃ ; desetvā vivaritvā uttānīkatvā āyatiṃ saṃvaraṃ āpajjitabbaṃ. Sace pana tvaṃ, rāhula, paccavekkhamāno evaṃ jāneyyāsi – ‘yaṃ kho ahaṃ idaṃ vācāya kammaṃ akāsiṃ idaṃ me vacīkammaṃ nevattabyābādhāyapi saṃvattati, na parabyābādhāyapi saṃvattati, na ubhayabyābādhāyapi saṃvattati – kusalaṃ idaṃ vacīkammaṃ sukhudrayaṃ sukhavipāka’nti, teneva tvaṃ, rāhula, pītipāmojjena vihareyyāsi ahorattānusikkhī kusalesu dhammesu.
๑๑๑. ‘‘ยเทว ตฺวํ, ราหุล, มนสา กมฺมํ กตฺตุกาโม อโหสิ, ตเทว เต มโนกมฺมํ ปจฺจเวกฺขิตพฺพํ – ‘ยํ นุ โข อหํ อิทํ มนสา กมฺมํ กตฺตุกาโม อิทํ เม มโนกมฺมํ อตฺตพฺยาพาธายปิ สํวเตฺตยฺย, ปรพฺยาพาธายปิ สํวเตฺตยฺย, อุภยพฺยาพาธายปิ สํวเตฺตยฺย – อกุสลํ อิทํ มโนกมฺมํ ทุกฺขุทฺรยํ ทุกฺขวิปาก’นฺติ? สเจ ตฺวํ, ราหุล, ปจฺจเวกฺขมาโน เอวํ ชาเนยฺยาสิ – ‘ยํ โข อหํ อิทํ มนสา กมฺมํ กตฺตุกาโม อิทํ เม มโนกมฺมํ อตฺตพฺยาพาธายปิ สํวเตฺตยฺย, ปรพฺยาพาธายปิ สํวเตฺตยฺย, อุภยพฺยาพาธายปิ สํวเตฺตยฺย – อกุสลํ อิทํ มโนกมฺมํ ทุกฺขุทฺรยํ ทุกฺขวิปาก’นฺติ, เอวรูปํ เต, ราหุล, มนสา กมฺมํ สสกฺกํ น กรณียํฯ สเจ ปน ตฺวํ, ราหุล, ปจฺจเวกฺขมาโน เอวํ ชาเนยฺยาสิ – ‘ยํ โข อหํ อิทํ มนสา กมฺมํ กตฺตุกาโม อิทํ เม มโนกมฺมํ เนวตฺตพฺยาพาธายปิ สํวเตฺตยฺย, น ปรพฺยาพาธายปิ สํวเตฺตยฺย, น อุภยพฺยาพาธายปิ สํวเตฺตยฺย – กุสลํ อิทํ มโนกมฺมํ สุขุทฺรยํ สุขวิปาก’นฺติ, เอวรูปํ เต, ราหุล, มนสา กมฺมํ กรณียํฯ
111. ‘‘Yadeva tvaṃ, rāhula, manasā kammaṃ kattukāmo ahosi, tadeva te manokammaṃ paccavekkhitabbaṃ – ‘yaṃ nu kho ahaṃ idaṃ manasā kammaṃ kattukāmo idaṃ me manokammaṃ attabyābādhāyapi saṃvatteyya, parabyābādhāyapi saṃvatteyya, ubhayabyābādhāyapi saṃvatteyya – akusalaṃ idaṃ manokammaṃ dukkhudrayaṃ dukkhavipāka’nti? Sace tvaṃ, rāhula, paccavekkhamāno evaṃ jāneyyāsi – ‘yaṃ kho ahaṃ idaṃ manasā kammaṃ kattukāmo idaṃ me manokammaṃ attabyābādhāyapi saṃvatteyya, parabyābādhāyapi saṃvatteyya, ubhayabyābādhāyapi saṃvatteyya – akusalaṃ idaṃ manokammaṃ dukkhudrayaṃ dukkhavipāka’nti, evarūpaṃ te, rāhula, manasā kammaṃ sasakkaṃ na karaṇīyaṃ. Sace pana tvaṃ, rāhula, paccavekkhamāno evaṃ jāneyyāsi – ‘yaṃ kho ahaṃ idaṃ manasā kammaṃ kattukāmo idaṃ me manokammaṃ nevattabyābādhāyapi saṃvatteyya, na parabyābādhāyapi saṃvatteyya, na ubhayabyābādhāyapi saṃvatteyya – kusalaṃ idaṃ manokammaṃ sukhudrayaṃ sukhavipāka’nti, evarūpaṃ te, rāhula, manasā kammaṃ karaṇīyaṃ.
‘‘กโรเนฺตนปิ เต, ราหุล, มนสา กมฺมํ ตเทว เต มโนกมฺมํ ปจฺจเวกฺขิตพฺพํ – ‘ยํ นุ โข อหํ อิทํ มนสา กมฺมํ กโรมิ อิทํ เม มโนกมฺมํ อตฺตพฺยาพาธายปิ สํวตฺตติ, ปรพฺยาพาธายปิ สํวตฺตติ, อุภยพฺยาพาธายปิ สํวตฺตติ – อกุสลํ อิทํ มโนกมฺมํ ทุกฺขุทฺรยํ ทุกฺขวิปาก’นฺติ? สเจ ปน ตฺวํ, ราหุล, ปจฺจเวกฺขมาโน เอวํ ชาเนยฺยาสิ – ‘ยํ โข อหํ อิทํ มนสา กมฺมํ กโรมิ อิทํ เม มโนกมฺมํ อตฺตพฺยาพาธายปิ สํวตฺตติ, ปรพฺยาพาธายปิ สํวตฺตติ, อุภยพฺยาพาธายปิ สํวตฺตติ – อกุสลํ อิทํ มโนกมฺมํ ทุกฺขุทฺรยํ ทุกฺขวิปาก’นฺติ, ปฎิสํหเรยฺยาสิ ตฺวํ, ราหุล, เอวรูปํ มโนกมฺมํฯ สเจ ปน ตฺวํ, ราหุล, ปจฺจเวกฺขมาโน เอวํ ชาเนยฺยาสิ – ‘ยํ โข อหํ อิทํ มนสา กมฺมํ กโรมิ อิทํ เม มโนกมฺมํ เนวตฺตพฺยาพาธายปิ สํวตฺตติ, น ปรพฺยาพาธายปิ สํวตฺตติ, น อุภยพฺยาพาธายปิ สํวตฺตติ – กุสลํ อิทํ มโนกมฺมํ สุขุทฺรยํ สุขวิปาก’นฺติ, อนุปทเชฺชยฺยาสิ ตฺวํ, ราหุล, เอวรูปํ มโนกมฺมํฯ
‘‘Karontenapi te, rāhula, manasā kammaṃ tadeva te manokammaṃ paccavekkhitabbaṃ – ‘yaṃ nu kho ahaṃ idaṃ manasā kammaṃ karomi idaṃ me manokammaṃ attabyābādhāyapi saṃvattati, parabyābādhāyapi saṃvattati, ubhayabyābādhāyapi saṃvattati – akusalaṃ idaṃ manokammaṃ dukkhudrayaṃ dukkhavipāka’nti? Sace pana tvaṃ, rāhula, paccavekkhamāno evaṃ jāneyyāsi – ‘yaṃ kho ahaṃ idaṃ manasā kammaṃ karomi idaṃ me manokammaṃ attabyābādhāyapi saṃvattati, parabyābādhāyapi saṃvattati, ubhayabyābādhāyapi saṃvattati – akusalaṃ idaṃ manokammaṃ dukkhudrayaṃ dukkhavipāka’nti, paṭisaṃhareyyāsi tvaṃ, rāhula, evarūpaṃ manokammaṃ. Sace pana tvaṃ, rāhula, paccavekkhamāno evaṃ jāneyyāsi – ‘yaṃ kho ahaṃ idaṃ manasā kammaṃ karomi idaṃ me manokammaṃ nevattabyābādhāyapi saṃvattati, na parabyābādhāyapi saṃvattati, na ubhayabyābādhāyapi saṃvattati – kusalaṃ idaṃ manokammaṃ sukhudrayaṃ sukhavipāka’nti, anupadajjeyyāsi tvaṃ, rāhula, evarūpaṃ manokammaṃ.
‘‘กตฺวาปิ เต, ราหุล, มนสา กมฺมํ ตเทว เต มโนกมฺมํ ปจฺจเวกฺขิตพฺพํ – ‘ยํ นุ โข อหํ อิทํ มนสา กมฺมํ อกาสิํ อิทํ เม มโนกมฺมํ อตฺตพฺยาพาธายปิ สํวตฺตติ 11, ปรพฺยาพาธายปิ สํวตฺตติ, อุภยพฺยาพาธายปิ สํวตฺตติ – อกุสลํ อิทํ มโนกมฺมํ ทุกฺขุทฺรยํ ทุกฺขวิปาก’นฺติ? สเจ โข ตฺวํ, ราหุล, ปจฺจเวกฺขมาโน เอวํ ชาเนยฺยาสิ – ‘ยํ โข อหํ อิทํ มนสา กมฺมํ อกาสิํ อิทํ เม มโนกมฺมํ อตฺตพฺยาพาธายปิ สํวตฺตติ, ปรพฺยาพาธายปิ สํวตฺตติ, อุภยพฺยาพาธายปิ สํวตฺตติ – อกุสลํ อิทํ มโนกมฺมํ ทุกฺขุทฺรยํ ทุกฺขวิปาก’นฺติ, เอวรูปํ ปน 12 เต, ราหุล, มโนกมฺมํ 13 อฎฺฎียิตพฺพํ หรายิตพฺพํ ชิคุจฺฉิตพฺพํ; อฎฺฎียิตฺวา หรายิตฺวา ชิคุจฺฉิตฺวา อายติํ สํวรํ อาปชฺชิตพฺพํฯ สเจ ปน ตฺวํ, ราหุล, ปจฺจเวกฺขมาโน เอวํ ชาเนยฺยาสิ – ‘ยํ โข อหํ อิทํ มนสา กมฺมํ อกาสิํ อิทํ เม มโนกมฺมํ เนวตฺตพฺยาพาธายปิ สํวตฺตติ, น ปรพฺยาพาธายปิ สํวตฺตติ, น อุภยพฺยาพาธายปิ สํวตฺตติ – กุสลํ อิทํ มโนกมฺมํ สุขุทฺรยํ สุขวิปาก’นฺติ, เตเนว ตฺวํ, ราหุล, ปีติปาโมเชฺชน วิหเรยฺยาสิ อโหรตฺตานุสิกฺขี กุสเลสุ ธเมฺมสุฯ
‘‘Katvāpi te, rāhula, manasā kammaṃ tadeva te manokammaṃ paccavekkhitabbaṃ – ‘yaṃ nu kho ahaṃ idaṃ manasā kammaṃ akāsiṃ idaṃ me manokammaṃ attabyābādhāyapi saṃvattati 14, parabyābādhāyapi saṃvattati, ubhayabyābādhāyapi saṃvattati – akusalaṃ idaṃ manokammaṃ dukkhudrayaṃ dukkhavipāka’nti? Sace kho tvaṃ, rāhula, paccavekkhamāno evaṃ jāneyyāsi – ‘yaṃ kho ahaṃ idaṃ manasā kammaṃ akāsiṃ idaṃ me manokammaṃ attabyābādhāyapi saṃvattati, parabyābādhāyapi saṃvattati, ubhayabyābādhāyapi saṃvattati – akusalaṃ idaṃ manokammaṃ dukkhudrayaṃ dukkhavipāka’nti, evarūpaṃ pana 15 te, rāhula, manokammaṃ 16 aṭṭīyitabbaṃ harāyitabbaṃ jigucchitabbaṃ; aṭṭīyitvā harāyitvā jigucchitvā āyatiṃ saṃvaraṃ āpajjitabbaṃ. Sace pana tvaṃ, rāhula, paccavekkhamāno evaṃ jāneyyāsi – ‘yaṃ kho ahaṃ idaṃ manasā kammaṃ akāsiṃ idaṃ me manokammaṃ nevattabyābādhāyapi saṃvattati, na parabyābādhāyapi saṃvattati, na ubhayabyābādhāyapi saṃvattati – kusalaṃ idaṃ manokammaṃ sukhudrayaṃ sukhavipāka’nti, teneva tvaṃ, rāhula, pītipāmojjena vihareyyāsi ahorattānusikkhī kusalesu dhammesu.
๑๑๒. ‘‘เย หิ เกจิ, ราหุล, อตีตมทฺธานํ สมณา วา พฺราหฺมณา วา กายกมฺมํ ปริโสเธสุํ, วจีกมฺมํ ปริโสเธสุํ, มโนกมฺมํ ปริโสเธสุํ, สเพฺพ เต เอวเมวํ ปจฺจเวกฺขิตฺวา ปจฺจเวกฺขิตฺวา กายกมฺมํ ปริโสเธสุํ, ปจฺจเวกฺขิตฺวา ปจฺจเวกฺขิตฺวา วจีกมฺมํ ปริโสเธสุํ, ปจฺจเวกฺขิตฺวา ปจฺจเวกฺขิตฺวา มโนกมฺมํ ปริโสเธสุํฯ เยปิ หิ เกจิ, ราหุล, อนาคตมทฺธานํ สมณา วา พฺราหฺมณา วา กายกมฺมํ ปริโสเธสฺสนฺติ, วจีกมฺมํ ปริโสเธสฺสนฺติ, มโนกมฺมํ ปริโสเธสฺสนฺติ, สเพฺพ เต เอวเมวํ ปจฺจเวกฺขิตฺวา ปจฺจเวกฺขิตฺวา กายกมฺมํ ปริโสเธสฺสนฺติ, ปจฺจเวกฺขิตฺวา ปจฺจเวกฺขิตฺวา วจีกมฺมํ ปริโสเธสฺสนฺติ , ปจฺจเวกฺขิตฺวา ปจฺจเวกฺขิตฺวา มโนกมฺมํ ปริโสเธสฺสนฺติฯ เยปิ หิ เกจิ, ราหุล, เอตรหิ สมณา วา พฺราหฺมณา วา กายกมฺมํ ปริโสเธนฺติ, วจีกมฺมํ ปริโสเธนฺติ, มโนกมฺมํ ปริโสเธนฺติ, สเพฺพ เต เอวเมวํ ปจฺจเวกฺขิตฺวา ปจฺจเวกฺขิตฺวา กายกมฺมํ ปริโสเธนฺติ, ปจฺจเวกฺขิตฺวา ปจฺจเวกฺขิตฺวา วจีกมฺมํ ปริโสเธนฺติ, ปจฺจเวกฺขิตฺวา ปจฺจเวกฺขิตฺวา มโนกมฺมํ ปริโสเธนฺติฯ ตสฺมาติห, ราหุล, ‘ปจฺจเวกฺขิตฺวา ปจฺจเวกฺขิตฺวา กายกมฺมํ ปริโสเธสฺสามิ, ปจฺจเวกฺขิตฺวา ปจฺจเวกฺขิตฺวา วจีกมฺมํ ปริโสเธสฺสามิ, ปจฺจเวกฺขิตฺวา ปจฺจเวกฺขิตฺวา มโนกมฺมํ ปริโสเธสฺสามี’ติ – เอวญฺหิ เต, ราหุล, สิกฺขิตพฺพ’’นฺติฯ
112. ‘‘Ye hi keci, rāhula, atītamaddhānaṃ samaṇā vā brāhmaṇā vā kāyakammaṃ parisodhesuṃ, vacīkammaṃ parisodhesuṃ, manokammaṃ parisodhesuṃ, sabbe te evamevaṃ paccavekkhitvā paccavekkhitvā kāyakammaṃ parisodhesuṃ, paccavekkhitvā paccavekkhitvā vacīkammaṃ parisodhesuṃ, paccavekkhitvā paccavekkhitvā manokammaṃ parisodhesuṃ. Yepi hi keci, rāhula, anāgatamaddhānaṃ samaṇā vā brāhmaṇā vā kāyakammaṃ parisodhessanti, vacīkammaṃ parisodhessanti, manokammaṃ parisodhessanti, sabbe te evamevaṃ paccavekkhitvā paccavekkhitvā kāyakammaṃ parisodhessanti, paccavekkhitvā paccavekkhitvā vacīkammaṃ parisodhessanti , paccavekkhitvā paccavekkhitvā manokammaṃ parisodhessanti. Yepi hi keci, rāhula, etarahi samaṇā vā brāhmaṇā vā kāyakammaṃ parisodhenti, vacīkammaṃ parisodhenti, manokammaṃ parisodhenti, sabbe te evamevaṃ paccavekkhitvā paccavekkhitvā kāyakammaṃ parisodhenti, paccavekkhitvā paccavekkhitvā vacīkammaṃ parisodhenti, paccavekkhitvā paccavekkhitvā manokammaṃ parisodhenti. Tasmātiha, rāhula, ‘paccavekkhitvā paccavekkhitvā kāyakammaṃ parisodhessāmi, paccavekkhitvā paccavekkhitvā vacīkammaṃ parisodhessāmi, paccavekkhitvā paccavekkhitvā manokammaṃ parisodhessāmī’ti – evañhi te, rāhula, sikkhitabba’’nti.
อิทมโวจ ภควาฯ อตฺตมโน อายสฺมา ราหุโล ภควโต ภาสิตํ อภินนฺทีติฯ
Idamavoca bhagavā. Attamano āyasmā rāhulo bhagavato bhāsitaṃ abhinandīti.
อมฺพลฎฺฐิกราหุโลวาทสุตฺตํ นิฎฺฐิตํ ปฐมํฯ
Ambalaṭṭhikarāhulovādasuttaṃ niṭṭhitaṃ paṭhamaṃ.
Footnotes:
Related texts:
อฎฺฐกถา • Aṭṭhakathā / สุตฺตปิฎก (อฎฺฐกถา) • Suttapiṭaka (aṭṭhakathā) / มชฺฌิมนิกาย (อฎฺฐกถา) • Majjhimanikāya (aṭṭhakathā) / ๑. อมฺพลฎฺฐิกราหุโลวาทสุตฺตวณฺณนา • 1. Ambalaṭṭhikarāhulovādasuttavaṇṇanā
ฎีกา • Tīkā / สุตฺตปิฎก (ฎีกา) • Suttapiṭaka (ṭīkā) / มชฺฌิมนิกาย (ฎีกา) • Majjhimanikāya (ṭīkā) / ๑. อมฺพลฎฺฐิกราหุโลวาทสุตฺตวณฺณนา • 1. Ambalaṭṭhikarāhulovādasuttavaṇṇanā