Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ทีฆ นิกาย (อฎฺฐกถา) • Dīgha nikāya (aṭṭhakathā)

    ๓. อมฺพฎฺฐสุตฺตวณฺณนา

    3. Ambaṭṭhasuttavaṇṇanā

    อทฺธานคมนวณฺณนา

    Addhānagamanavaṇṇanā

    ๒๕๔. เอวํ เม สุตํ…เป.… โกสเลสูติ อมฺพฎฺฐสุตฺตํฯ ตตฺรายํ อปุพฺพปทวณฺณนาฯ โกสเลสูติ โกสลา นาม ชานปทิโน ราชกุมาราฯ เตสํ นิวาโส เอโกปิ ชนปโท รูฬฺหีสเทฺทน โกสลาติ วุจฺจติ, ตสฺมิํ โกสเลสุ ชนปเทฯ โปราณา ปนาหุ – ยสฺมา ปุเพฺพ มหาปนาทํ ราชกุมารํ นานานาฎกาทีนิ ทิสฺวา สิตมตฺตมฺปิ อกโรนฺตํ สุตฺวา ราชา อาห – ‘‘โย มม ปุตฺตํ หสาเปติ, สพฺพาลงฺกาเรน นํ อลงฺกโรมี’’ติฯ ตโต นงฺคลานิปิ ฉเฑฺฑตฺวา มหาชนกาเย สนฺนิปติเต มนุสฺสา สาติเรกานิ สตฺตวสฺสานิ นานากีฬาโย ทเสฺสตฺวาปิ ตํ หสาเปตุํ นาสกฺขิํสุ, ตโต สโกฺก เทวราชา นาฎกํ เปเสสิ, โส ทิพฺพนาฎกํ ทเสฺสตฺวา หสาเปสิฯ อถ เต มนุสฺสา อตฺตโน อตฺตโน วสโนกาสาภิมุขา ปกฺกมิํสุฯ เต ปฎิปเถ มิตฺตสุหชฺชาทโย ทิสฺวา ปฎิสนฺถารํ กโรนฺตา – ‘‘กจฺจิ โภ กุสลํ, กจฺจิ โภ กุสล’’นฺติ อาหํสุฯ ตสฺมา ตํ ‘‘กุสล’’นฺติ วจนํ อุปาทาย โส ปเทโส โกสลาติ วุจฺจตีติฯ

    254. Evaṃ me sutaṃ…pe… kosalesūti ambaṭṭhasuttaṃ. Tatrāyaṃ apubbapadavaṇṇanā. Kosalesūti kosalā nāma jānapadino rājakumārā. Tesaṃ nivāso ekopi janapado rūḷhīsaddena kosalāti vuccati, tasmiṃ kosalesu janapade. Porāṇā panāhu – yasmā pubbe mahāpanādaṃ rājakumāraṃ nānānāṭakādīni disvā sitamattampi akarontaṃ sutvā rājā āha – ‘‘yo mama puttaṃ hasāpeti, sabbālaṅkārena naṃ alaṅkaromī’’ti. Tato naṅgalānipi chaḍḍetvā mahājanakāye sannipatite manussā sātirekāni sattavassāni nānākīḷāyo dassetvāpi taṃ hasāpetuṃ nāsakkhiṃsu, tato sakko devarājā nāṭakaṃ pesesi, so dibbanāṭakaṃ dassetvā hasāpesi. Atha te manussā attano attano vasanokāsābhimukhā pakkamiṃsu. Te paṭipathe mittasuhajjādayo disvā paṭisanthāraṃ karontā – ‘‘kacci bho kusalaṃ, kacci bho kusala’’nti āhaṃsu. Tasmā taṃ ‘‘kusala’’nti vacanaṃ upādāya so padeso kosalāti vuccatīti.

    จาริกํ จรมาโนติ อทฺธานคมนํ คจฺฉโนฺตฯ จาริกา จ นาเมสา ภควโต ทุวิธา โหติ – ตุริตจาริกา จ, อตุริตจาริกา จฯ ตตฺถ ทูเรปิ โพธเนยฺยปุคฺคลํ ทิสฺวา ตสฺส โพธนตฺถาย สหสา คมนํ ตุริตจาริกา นาม, สา มหากสฺสปสฺส ปจฺจุคฺคมนาทีสุ ทฎฺฐพฺพาฯ ภควา หิ มหากสฺสปเตฺถรํ ปจฺจุคฺคจฺฉโนฺต มุหุเตฺตน ติคาวุตํ มคฺคํ อคมาสิฯ อาฬวกสฺสตฺถาย ติํสโยชนํ, ตถา องฺคุลิมาลสฺสฯ ปกฺกุสาติสฺส ปน ปญฺจจตฺตาลีสโยชนํฯ มหากปฺปินสฺส วีสโยชนสตํฯ ธนิยสฺสตฺถาย สตฺตโยชนสตานิ อคมาสิฯ ธมฺมเสนาปติโน สทฺธิวิหาริกสฺส วนวาสีติสฺสสามเณรสฺส ติคาวุตาธิกํ วีสโยชนสตํฯ

    Cārikaṃ caramānoti addhānagamanaṃ gacchanto. Cārikā ca nāmesā bhagavato duvidhā hoti – turitacārikā ca, aturitacārikā ca. Tattha dūrepi bodhaneyyapuggalaṃ disvā tassa bodhanatthāya sahasā gamanaṃ turitacārikā nāma, sā mahākassapassa paccuggamanādīsu daṭṭhabbā. Bhagavā hi mahākassapattheraṃ paccuggacchanto muhuttena tigāvutaṃ maggaṃ agamāsi. Āḷavakassatthāya tiṃsayojanaṃ, tathā aṅgulimālassa. Pakkusātissa pana pañcacattālīsayojanaṃ. Mahākappinassa vīsayojanasataṃ. Dhaniyassatthāya sattayojanasatāni agamāsi. Dhammasenāpatino saddhivihārikassa vanavāsītissasāmaṇerassa tigāvutādhikaṃ vīsayojanasataṃ.

    เอกทิวสํ กิร เถโร – ‘‘ติสฺสสามเณรสฺส สนฺติกํ, ภเนฺต, คจฺฉามี’’ติ อาหฯ ภควา – ‘‘อหมฺปิ คมิสฺสามี’’ติ วตฺวา อายสฺมนฺตํ อานนฺทํ อามเนฺตสิ – ‘‘อานนฺท, วีสติสหสฺสานํ ฉฬภิญฺญานํ อาโรเจหิ, ภควา กิร วนวาสิสฺส ติสฺสสามเณรสฺส สนฺติกํ คมิสฺสตี’’ติฯ ตโต ทุติยทิวเส วีสติสหสฺสขีณาสวปริวาโร อากาเส อุปฺปติตฺวา วีสติโยชนสตมตฺถเก ตสฺส โคจรคามทฺวาเร โอตริตฺวา จีวรํ ปารุปิฯ ตํ กมฺมนฺตํ คจฺฉมานา มนุสฺสา ทิสฺวา – ‘‘สตฺถา โน อาคโต, มา กมฺมนฺตํ อคมิตฺถา’’ติ วตฺวา อาสนานิ ปญฺญเปตฺวา ยาคุํ ทตฺวา ปาตราสภตฺตํ กโรนฺตา – ‘‘กุหิํ, ภเนฺต, ภควา คจฺฉตี’’ติ ทหรภิกฺขู ปุจฺฉิํสุฯ อุปาสกา น ภควา อญฺญตฺถ คจฺฉติ, อิเธว ติสฺสสามเณรสฺส ทสฺสนตฺถายาคโตติฯ เต – ‘‘อมฺหากํ กุลูปกสฺส กิร เถรสฺส ทสฺสนตฺถาย สตฺถา อาคโต, โน วต โน เถโร โอรมตฺตโก’’ติ โสมนสฺสชาตา อเหสุํฯ

    Ekadivasaṃ kira thero – ‘‘tissasāmaṇerassa santikaṃ, bhante, gacchāmī’’ti āha. Bhagavā – ‘‘ahampi gamissāmī’’ti vatvā āyasmantaṃ ānandaṃ āmantesi – ‘‘ānanda, vīsatisahassānaṃ chaḷabhiññānaṃ ārocehi, bhagavā kira vanavāsissa tissasāmaṇerassa santikaṃ gamissatī’’ti. Tato dutiyadivase vīsatisahassakhīṇāsavaparivāro ākāse uppatitvā vīsatiyojanasatamatthake tassa gocaragāmadvāre otaritvā cīvaraṃ pārupi. Taṃ kammantaṃ gacchamānā manussā disvā – ‘‘satthā no āgato, mā kammantaṃ agamitthā’’ti vatvā āsanāni paññapetvā yāguṃ datvā pātarāsabhattaṃ karontā – ‘‘kuhiṃ, bhante, bhagavā gacchatī’’ti daharabhikkhū pucchiṃsu. Upāsakā na bhagavā aññattha gacchati, idheva tissasāmaṇerassa dassanatthāyāgatoti. Te – ‘‘amhākaṃ kulūpakassa kira therassa dassanatthāya satthā āgato, no vata no thero oramattako’’ti somanassajātā ahesuṃ.

    อถ โข ภควโต ภตฺตกิจฺจปริโยสาเน สามเณโร คาเม ปิณฺฑาย จริตฺวา – ‘‘อุปาสกา, มหาภิกฺขุสโงฺฆ’’ติ ปุจฺฉิฯ อถสฺส เต ‘‘สตฺถา, ภเนฺต, อาคโต’’ติ อาโรเจสุํฯ โส ภควนฺตํ อุปสงฺกมิตฺวา ปิณฺฑปาเตน อาปุจฺฉิฯ สตฺถา ตสฺส ปตฺตํ หเตฺถน คเหตฺวา – ‘‘อลํ, ติสฺส, นิฎฺฐิตํ ภตฺตกิจฺจ’’นฺติ อาหฯ ตโต อุปชฺฌายํ อาปุจฺฉิตฺวา อตฺตโน ปตฺตาสเน นิสีทิตฺวา ภตฺตกิจฺจมกาสิฯ อถสฺส ภตฺตกิจฺจปริโยสาเน สตฺถา มงฺคลํ วตฺวา นิกฺขมิตฺวา คามทฺวาเร ฐตฺวา – ‘‘กตโร เต, ติสฺส, วสนฎฺฐานํ คตมโคฺค’’ติ อาหฯ อยํ ภควาติฯ มคฺคํ เทสยมาโน ปุรโต ยาหิ ติสฺสาติฯ ภควา กิร สเทวกสฺส โลกสฺส มคฺคเทสโกปิ สมาโน สกเล ติคาวุเต มเคฺค ‘สามเณรํ ทฎฺฐุํ ลจฺฉามี’ติ ตํ มคฺคเทสกํ อกาสิฯ

    Atha kho bhagavato bhattakiccapariyosāne sāmaṇero gāme piṇḍāya caritvā – ‘‘upāsakā, mahābhikkhusaṅgho’’ti pucchi. Athassa te ‘‘satthā, bhante, āgato’’ti ārocesuṃ. So bhagavantaṃ upasaṅkamitvā piṇḍapātena āpucchi. Satthā tassa pattaṃ hatthena gahetvā – ‘‘alaṃ, tissa, niṭṭhitaṃ bhattakicca’’nti āha. Tato upajjhāyaṃ āpucchitvā attano pattāsane nisīditvā bhattakiccamakāsi. Athassa bhattakiccapariyosāne satthā maṅgalaṃ vatvā nikkhamitvā gāmadvāre ṭhatvā – ‘‘kataro te, tissa, vasanaṭṭhānaṃ gatamaggo’’ti āha. Ayaṃ bhagavāti. Maggaṃ desayamāno purato yāhi tissāti. Bhagavā kira sadevakassa lokassa maggadesakopi samāno sakale tigāvute magge ‘sāmaṇeraṃ daṭṭhuṃ lacchāmī’ti taṃ maggadesakaṃ akāsi.

    โส อตฺตโน วสนฎฺฐานํ คนฺตฺวา ภควโต วตฺตมกาสิฯ อถ นํ ภควา – ‘‘กตโร เต, ติสฺส, จงฺกโม’’ติ ปุจฺฉิตฺวา ตตฺถ คนฺตฺวา สามเณรสฺส นิสีทนปาสาเณ นิสีทิตฺวา – ‘‘ติสฺส, อิมสฺมิํ ฐาเน สุขํ วสี’’ติ ปุจฺฉิฯ โส อาห – ‘‘อาม, ภเนฺต, อิมสฺมิํ ฐาเน วสนฺตสฺส สีหพฺยคฺฆหตฺถิมิคโมราทีนํ สทฺทํ สุณโต อรญฺญสญฺญา อุปฺปชฺชติ, ตาย สุขํ วสามี’’ติฯ อถ นํ ภควา – ‘‘ติสฺส, ภิกฺขุสงฺฆํ สนฺนิปาเตหิ, พุทฺธทายชฺชํ เต ทสฺสามี’’ติ วตฺวา สนฺนิปติเต ภิกฺขุสเงฺฆ อุปสมฺปาเทตฺวา อตฺตโน วสนฎฺฐานเมว อคมาสีติฯ อยํ ตุริตจาริกา นามฯ ยํ ปน คามนิคมปฎิปาฎิยา เทวสิกํ โยชนทฺวิโยชนวเสน ปิณฺฑปาตจริยาทีหิ โลกํ อนุคฺคณฺหนฺตสฺส คมนํ, อยํ อตุริตจาริกา นามฯ

    So attano vasanaṭṭhānaṃ gantvā bhagavato vattamakāsi. Atha naṃ bhagavā – ‘‘kataro te, tissa, caṅkamo’’ti pucchitvā tattha gantvā sāmaṇerassa nisīdanapāsāṇe nisīditvā – ‘‘tissa, imasmiṃ ṭhāne sukhaṃ vasī’’ti pucchi. So āha – ‘‘āma, bhante, imasmiṃ ṭhāne vasantassa sīhabyagghahatthimigamorādīnaṃ saddaṃ suṇato araññasaññā uppajjati, tāya sukhaṃ vasāmī’’ti. Atha naṃ bhagavā – ‘‘tissa, bhikkhusaṅghaṃ sannipātehi, buddhadāyajjaṃ te dassāmī’’ti vatvā sannipatite bhikkhusaṅghe upasampādetvā attano vasanaṭṭhānameva agamāsīti. Ayaṃ turitacārikā nāma. Yaṃ pana gāmanigamapaṭipāṭiyā devasikaṃ yojanadviyojanavasena piṇḍapātacariyādīhi lokaṃ anuggaṇhantassa gamanaṃ, ayaṃ aturitacārikā nāma.

    อิมํ ปน จาริกํ จรโนฺต ภควา มหามณฺฑลํ, มชฺฌิมมณฺฑลํ, อโนฺตมณฺฑลนฺติ อิเมสํ ติณฺณํ มณฺฑลานํ อญฺญตรสฺมิํ จรติฯ ตตฺถ มหามณฺฑลํ นวโยชนสติกํ, มชฺฌิมมณฺฑลํ ฉโยชนสติกํ , อโนฺตมณฺฑลํ ติโยชนสติกํฯ ยทา มหามณฺฑเล จาริกํ จริตุกาโม โหติ, มหาปวารณาย ปวาเรตฺวา ปาฎิปททิวเส มหาภิกฺขุสงฺฆปริวาโร นิกฺขมติฯ สมนฺตา โยชนสตํ เอกโกลาหลํ โหติฯ ปุริมํ ปุริมํ อาคตา นิมเนฺตตุํ ลภนฺติฯ อิตเรสุ ทฺวีสุ มณฺฑเลสุ สกฺกาโร มหามณฺฑเล โอสรติฯ ตตฺถ ภควา เตสุ เตสุ คามนิคเมสุ เอกาหํ ทฺวีหํ วสโนฺต มหาชนํ อามิสปฺปฎิคฺคเหน อนุคฺคณฺหโนฺต ธมฺมทาเนน จสฺส วิวฎฺฎสนฺนิสฺสิตํ กุสลํ วเฑฺฒโนฺต นวหิ มาเสหิ จาริกํ ปริโยสาเปติฯ สเจ ปน อโนฺตวเสฺส ภิกฺขูนํ สมถวิปสฺสนา ตรุณา โหนฺติ, มหาปวารณาย อปวาเรตฺวา ปวารณาสงฺคหํ ทตฺวา กตฺติกปุณฺณมายํ ปวาเรตฺวา มิคสิรสฺส ปฐมปาฎิปททิวเส มหาภิกฺขุสงฺฆปริวาโร นิกฺขมิตฺวา มชฺฌิมมณฺฑเล โอสรติฯ อเญฺญนปิ การเณน มชฺฌิมมณฺฑเล จาริกํ จริตุกาโม จตุมาสํ วสิตฺวาว นิกฺขมติฯ วุตฺตนเยเนว อิตเรสุ ทฺวีสุ มณฺฑเลสุ สกฺกาโร มชฺฌิมมณฺฑเล โอสรติฯ ภควา ปุริมนเยเนว โลกํ อนุคฺคณฺหโนฺต อฎฺฐหิ มาเสหิ จาริกํ ปริโยสาเปติฯ สเจ ปน จตุมาสํ วุตฺถวสฺสสฺสาปิ ภควโต เวเนยฺยสตฺตา อปริปกฺกินฺทฺริยา โหนฺติ, เตสํ อินฺทฺริยปริปากํ อาคมยมาโน อปรมฺปิ เอกมาสํ วา ทฺวิติจตุมาสํ วา ตเตฺถว วสิตฺวา มหาภิกฺขุสงฺฆปริวาโร นิกฺขมติฯ วุตฺตนเยเนว อิตเรสุ ทฺวีสุ มณฺฑเลสุ สกฺกาโร อโนฺตมณฺฑเล โอสรติฯ ภควา ปุริมนเยเนว โลกํ อนุคฺคณฺหโนฺต สตฺตหิ วา ฉหิ วา ปญฺจหิ วา จตูหิ วา มาเสหิ จาริกํ ปริโยสาเปติฯ อิติ อิเมสุ ตีสุ มณฺฑเลสุ ยตฺถ กตฺถจิ จาริกํ จรโนฺต น จีวราทิเหตุ จรติฯ อถ โข เย ทุคฺคตพาลชิณฺณพฺยาธิตา, เต กทา ตถาคตํ อาคนฺตฺวา ปสฺสิสฺสนฺติฯ มยิ ปน จาริกํ จรเนฺต มหาชโน ตถาคตสฺส ทสฺสนํ ลภิสฺสติฯ ตตฺถ เกจิ จิตฺตานิ ปสาเทสฺสนฺติ , เกจิ มาลาทีหิ ปูเชสฺสนฺติ, เกจิ กฎจฺฉุภิกฺขํ ทสฺสนฺติ, เกจิ มิจฺฉาทสฺสนํ ปหาย สมฺมาทิฎฺฐิกา ภวิสฺสนฺติฯ ตํ เนสํ ภวิสฺสติ ทีฆรตฺตํ หิตาย สุขายาติฯ เอวํ โลกานุกมฺปกาย จาริกํ จรติฯ

    Imaṃ pana cārikaṃ caranto bhagavā mahāmaṇḍalaṃ, majjhimamaṇḍalaṃ, antomaṇḍalanti imesaṃ tiṇṇaṃ maṇḍalānaṃ aññatarasmiṃ carati. Tattha mahāmaṇḍalaṃ navayojanasatikaṃ, majjhimamaṇḍalaṃ chayojanasatikaṃ , antomaṇḍalaṃ tiyojanasatikaṃ. Yadā mahāmaṇḍale cārikaṃ caritukāmo hoti, mahāpavāraṇāya pavāretvā pāṭipadadivase mahābhikkhusaṅghaparivāro nikkhamati. Samantā yojanasataṃ ekakolāhalaṃ hoti. Purimaṃ purimaṃ āgatā nimantetuṃ labhanti. Itaresu dvīsu maṇḍalesu sakkāro mahāmaṇḍale osarati. Tattha bhagavā tesu tesu gāmanigamesu ekāhaṃ dvīhaṃ vasanto mahājanaṃ āmisappaṭiggahena anuggaṇhanto dhammadānena cassa vivaṭṭasannissitaṃ kusalaṃ vaḍḍhento navahi māsehi cārikaṃ pariyosāpeti. Sace pana antovasse bhikkhūnaṃ samathavipassanā taruṇā honti, mahāpavāraṇāya apavāretvā pavāraṇāsaṅgahaṃ datvā kattikapuṇṇamāyaṃ pavāretvā migasirassa paṭhamapāṭipadadivase mahābhikkhusaṅghaparivāro nikkhamitvā majjhimamaṇḍale osarati. Aññenapi kāraṇena majjhimamaṇḍale cārikaṃ caritukāmo catumāsaṃ vasitvāva nikkhamati. Vuttanayeneva itaresu dvīsu maṇḍalesu sakkāro majjhimamaṇḍale osarati. Bhagavā purimanayeneva lokaṃ anuggaṇhanto aṭṭhahi māsehi cārikaṃ pariyosāpeti. Sace pana catumāsaṃ vutthavassassāpi bhagavato veneyyasattā aparipakkindriyā honti, tesaṃ indriyaparipākaṃ āgamayamāno aparampi ekamāsaṃ vā dviticatumāsaṃ vā tattheva vasitvā mahābhikkhusaṅghaparivāro nikkhamati. Vuttanayeneva itaresu dvīsu maṇḍalesu sakkāro antomaṇḍale osarati. Bhagavā purimanayeneva lokaṃ anuggaṇhanto sattahi vā chahi vā pañcahi vā catūhi vā māsehi cārikaṃ pariyosāpeti. Iti imesu tīsu maṇḍalesu yattha katthaci cārikaṃ caranto na cīvarādihetu carati. Atha kho ye duggatabālajiṇṇabyādhitā, te kadā tathāgataṃ āgantvā passissanti. Mayi pana cārikaṃ carante mahājano tathāgatassa dassanaṃ labhissati. Tattha keci cittāni pasādessanti , keci mālādīhi pūjessanti, keci kaṭacchubhikkhaṃ dassanti, keci micchādassanaṃ pahāya sammādiṭṭhikā bhavissanti. Taṃ nesaṃ bhavissati dīgharattaṃ hitāya sukhāyāti. Evaṃ lokānukampakāya cārikaṃ carati.

    อปิ จ จตูหิ การเณหิ พุทฺธา ภควโนฺต จาริกํ จรนฺติ, ชงฺฆวิหารวเสน สรีรผาสุกตฺถาย, อตฺถุปฺปตฺติกาลาภิกงฺขนตฺถาย, ภิกฺขูนํ สิกฺขาปทปญฺญาปนตฺถาย, ตตฺถ ตตฺถ ปริปากคตินฺทฺริเย โพธเนยฺยสเตฺต โพธนตฺถายาติฯ อปเรหิปิ จตูหิ การเณหิ พุทฺธา ภควโนฺต จาริกํ จรนฺติ พุทฺธํ สรณํ คจฺฉิสฺสนฺตีติ วา, ธมฺมํ, สงฺฆํ สรณํ คจฺฉิสฺสนฺตีติ วา, มหตา ธมฺมวเสฺสน จตโสฺส ปริสา สนฺตเปฺปสฺสามีติ วาฯ อปเรหิปิ ปญฺจหิ การเณหิ พุทฺธา ภควโนฺต จาริกํ จรนฺติ ปาณาติปาตา วิรมิสฺสนฺตีติ วา, อทินฺนาทานา , กาเมสุมิจฺฉาจารา, มุสาวาทา, สุราเมรยมชฺชปมาทฎฺฐานา วิรมิสฺสนฺตีติ วาฯ อปเรหิปิ อฎฺฐหิ การเณหิ พุทฺธา ภควโนฺต จาริกํ จรนฺติ – ปฐมํ ฌานํ ปฎิลภิสฺสนฺตีติ วา, ทุติยํ ฌานํ…เป.… เนวสญฺญานาสญฺญายตนสมาปตฺติํ ปฎิลภิสฺสนฺตีติ วาฯ อปเรหิปิ อฎฺฐหิ การเณหิ พุทฺธา ภควโนฺต จาริกํ จรนฺติ – โสตาปตฺติมคฺคํ อธิคมิสฺสนฺตีติ วา, โสตาปตฺติผลํ…เป.… อรหตฺตผลํ สจฺฉิกริสฺสนฺตีติ วาติฯ อยํ อตุริตจาริกา, อิธ จาริกาติ อธิเปฺปตาฯ สา ปเนสา ทุวิธา โหติ – อนิพทฺธจาริกา จ นิพทฺธจาริกา จฯ ตตฺถ ยํ คามนิคมนครปฎิปาฎิวเสน จรติ, อยํ อนิพทฺธจาริกา นามฯ ยํ ปเนกเสฺสว โพธเนยฺยสตฺตสฺสตฺถาย คจฺฉติ, อยํ นิพทฺธจาริกา นามฯ เอสา อิธ อธิเปฺปตาฯ

    Api ca catūhi kāraṇehi buddhā bhagavanto cārikaṃ caranti, jaṅghavihāravasena sarīraphāsukatthāya, atthuppattikālābhikaṅkhanatthāya, bhikkhūnaṃ sikkhāpadapaññāpanatthāya, tattha tattha paripākagatindriye bodhaneyyasatte bodhanatthāyāti. Aparehipi catūhi kāraṇehi buddhā bhagavanto cārikaṃ caranti buddhaṃ saraṇaṃ gacchissantīti vā, dhammaṃ, saṅghaṃ saraṇaṃ gacchissantīti vā, mahatā dhammavassena catasso parisā santappessāmīti vā. Aparehipi pañcahi kāraṇehi buddhā bhagavanto cārikaṃ caranti pāṇātipātā viramissantīti vā, adinnādānā , kāmesumicchācārā, musāvādā, surāmerayamajjapamādaṭṭhānā viramissantīti vā. Aparehipi aṭṭhahi kāraṇehi buddhā bhagavanto cārikaṃ caranti – paṭhamaṃ jhānaṃ paṭilabhissantīti vā, dutiyaṃ jhānaṃ…pe… nevasaññānāsaññāyatanasamāpattiṃ paṭilabhissantīti vā. Aparehipi aṭṭhahi kāraṇehi buddhā bhagavanto cārikaṃ caranti – sotāpattimaggaṃ adhigamissantīti vā, sotāpattiphalaṃ…pe… arahattaphalaṃ sacchikarissantīti vāti. Ayaṃ aturitacārikā, idha cārikāti adhippetā. Sā panesā duvidhā hoti – anibaddhacārikā ca nibaddhacārikā ca. Tattha yaṃ gāmanigamanagarapaṭipāṭivasena carati, ayaṃ anibaddhacārikā nāma. Yaṃ panekasseva bodhaneyyasattassatthāya gacchati, ayaṃ nibaddhacārikā nāma. Esā idha adhippetā.

    ตทา กิร ภควโต ปจฺฉิมยามกิจฺจปริโยสาเน ทสสหสฺสิโลกธาตุยา ญาณชาลํ ปตฺถริตฺวา โพธเนยฺยพนฺธเว โอโลเกนฺตสฺส โปกฺขรสาติพฺราหฺมโณ สพฺพญฺญุตญฺญาณชาลสฺส อโนฺต ปวิโฎฺฐฯ อถ ภควา อยํ พฺราหฺมโณ มยฺหํ ญาณชาเล ปญฺญายติ, ‘‘อตฺถิ นุ ขฺวสฺส อุปนิสฺสโย’’ติ วีมํสโนฺต โสตาปตฺติมคฺคสฺส อุปนิสฺสยํ ทิสฺวา – ‘‘เอโส มยิ เอตํ ชนปทํ คเต ลกฺขณปริเยสนตฺถํ อมฺพฎฺฐํ อเนฺตวาสิํ ปหิณิสฺสติ, โส มยา สทฺธิํ วาทปฎิวาทํ กตฺวา นานปฺปการํ อสพฺภิวากฺยํ วกฺขติ, ตมหํ ทเมตฺวา นิพฺพิเสวนํ กริสฺสามิฯ โส อาจริยสฺส กเถสฺสติ, อถสฺสาจริโย ตํ กถํ สุตฺวา อาคมฺม มม ลกฺขณานิ ปริเยสิสฺสติ, ตสฺสาหํ ธมฺมํ เทเสสฺสามิฯ โส เทสนาปริโยสาเน โสตาปตฺติผเล ปติฎฺฐหิสฺสติฯ เทสนา มหาชนสฺส สผลา ภวิสฺสตี’’ติ ปญฺจภิกฺขุสตปริวาโร ตํ ชนปทํ ปฎิปโนฺนฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘โกสเลสุ จาริกํ จรมาโน มหตา ภิกฺขุสเงฺฆน สทฺธิํ ปญฺจมเตฺตหิ ภิกฺขุสเตหี’’ติฯ

    Tadā kira bhagavato pacchimayāmakiccapariyosāne dasasahassilokadhātuyā ñāṇajālaṃ pattharitvā bodhaneyyabandhave olokentassa pokkharasātibrāhmaṇo sabbaññutaññāṇajālassa anto paviṭṭho. Atha bhagavā ayaṃ brāhmaṇo mayhaṃ ñāṇajāle paññāyati, ‘‘atthi nu khvassa upanissayo’’ti vīmaṃsanto sotāpattimaggassa upanissayaṃ disvā – ‘‘eso mayi etaṃ janapadaṃ gate lakkhaṇapariyesanatthaṃ ambaṭṭhaṃ antevāsiṃ pahiṇissati, so mayā saddhiṃ vādapaṭivādaṃ katvā nānappakāraṃ asabbhivākyaṃ vakkhati, tamahaṃ dametvā nibbisevanaṃ karissāmi. So ācariyassa kathessati, athassācariyo taṃ kathaṃ sutvā āgamma mama lakkhaṇāni pariyesissati, tassāhaṃ dhammaṃ desessāmi. So desanāpariyosāne sotāpattiphale patiṭṭhahissati. Desanā mahājanassa saphalā bhavissatī’’ti pañcabhikkhusataparivāro taṃ janapadaṃ paṭipanno. Tena vuttaṃ – ‘‘kosalesu cārikaṃ caramāno mahatā bhikkhusaṅghena saddhiṃ pañcamattehi bhikkhusatehī’’ti.

    เยน อิจฺฉานงฺคลนฺติ เยน ทิสาภาเคน อิจฺฉานงฺคลํ อวสริตพฺพํฯ ยสฺมิํ วา ปเทเส อิจฺฉานงฺคลํฯ อิชฺฌานงฺคลนฺติปิ ปาโฐฯ ตทวสรีติ เตน อวสริ, ตํ วา อวสริฯ เตน ทิสาภาเคน คโต, ตํ วา ปเทสํ คโตติ อโตฺถฯ อิจฺฉานงฺคเล วิหรติ อิจฺฉานงฺคลวนสเณฺฑติ อิจฺฉานงฺคลํ อุปนิสฺสาย อิจฺฉานงฺคลวนสเณฺฑ สีลขนฺธาวารํ พนฺธิตฺวา สมาธิโกนฺตํ อุสฺสาเปตฺวา สพฺพญฺญุตญฺญาณสรํ ปริวตฺตยมาโน ธมฺมราชา ยถาภิรุจิเตน วิหาเรน วิหรติฯ

    Yena icchānaṅgalanti yena disābhāgena icchānaṅgalaṃ avasaritabbaṃ. Yasmiṃ vā padese icchānaṅgalaṃ. Ijjhānaṅgalantipi pāṭho. Tadavasarīti tena avasari, taṃ vā avasari. Tena disābhāgena gato, taṃ vā padesaṃ gatoti attho. Icchānaṅgale viharati icchānaṅgalavanasaṇḍeti icchānaṅgalaṃ upanissāya icchānaṅgalavanasaṇḍe sīlakhandhāvāraṃ bandhitvā samādhikontaṃ ussāpetvā sabbaññutaññāṇasaraṃ parivattayamāno dhammarājā yathābhirucitena vihārena viharati.

    โปกฺขรสาติวตฺถุวณฺณนา

    Pokkharasātivatthuvaṇṇanā

    ๒๕๕. เตน โข ปน สมเยนาติ เยน สมเยน ภควา ตตฺถ วิหรติ, เตน สมเยน, ตสฺมิํ สมเยติ อยมโตฺถฯ พฺรหฺมํ อณตีติ พฺราหฺมโณ, มเนฺต สชฺฌายตีติ อโตฺถฯ อิทเมว หิ ชาติพฺราหฺมณานํ นิรุตฺติวจนํฯ อริยา ปน พาหิตปาปตฺตา พฺราหฺมณาติ วุจฺจนฺติฯ โปกฺขรสาตีติ อิทํ ตสฺส นามํฯ กสฺมา โปกฺขรสาตีติ วุจฺจติฯ ตสฺส กิร กาโย เสตโปกฺขรสทิโส, เทวนคเร อุสฺสาปิตรชตโตรณํ วิย โสภติฯ สีสํ ปนสฺส กาฬวณฺณํ อินฺทนีลมณิมยํ วิยฯ มสฺสุปิ จนฺทมณฺฑเล กาฬเมฆราชิ วิย ขายติฯ อกฺขีนิ นีลุปฺปลสทิสานิฯ นาสา รชตปนาฬิกา วิย สุวฎฺฎิตา สุปริสุทฺธาฯ หตฺถปาทตลานิ เจว มุขทฺวารญฺจ กตลาขารสปริกมฺมํ วิย โสภติ, อติวิย โสภคฺคปฺปโตฺต พฺราหฺมณสฺส อตฺตภาโวฯ อราชเก ฐาเน ราชานํ กาตุํ ยุตฺตมิมํ พฺราหฺมณํฯ เอวเมส สสฺสิริโกฯ อิติ นํ โปกฺขรสทิสตฺตา โปกฺขรสาตีติ สญฺชานนฺติฯ

    255.Tena kho pana samayenāti yena samayena bhagavā tattha viharati, tena samayena, tasmiṃ samayeti ayamattho. Brahmaṃ aṇatīti brāhmaṇo, mante sajjhāyatīti attho. Idameva hi jātibrāhmaṇānaṃ niruttivacanaṃ. Ariyā pana bāhitapāpattā brāhmaṇāti vuccanti. Pokkharasātīti idaṃ tassa nāmaṃ. Kasmā pokkharasātīti vuccati. Tassa kira kāyo setapokkharasadiso, devanagare ussāpitarajatatoraṇaṃ viya sobhati. Sīsaṃ panassa kāḷavaṇṇaṃ indanīlamaṇimayaṃ viya. Massupi candamaṇḍale kāḷamegharāji viya khāyati. Akkhīni nīluppalasadisāni. Nāsā rajatapanāḷikā viya suvaṭṭitā suparisuddhā. Hatthapādatalāni ceva mukhadvārañca katalākhārasaparikammaṃ viya sobhati, ativiya sobhaggappatto brāhmaṇassa attabhāvo. Arājake ṭhāne rājānaṃ kātuṃ yuttamimaṃ brāhmaṇaṃ. Evamesa sassiriko. Iti naṃ pokkharasadisattā pokkharasātīti sañjānanti.

    อยํ ปน กสฺสปสมฺมาสมฺพุทฺธกาเล ติณฺณํ เวทานํ ปารคู ทสพลสฺส ทานํ ทตฺวา ธมฺมเทสนํ สุตฺวา เทวโลเก นิพฺพตฺติฯ โส ตโต มนุสฺสโลกมาคจฺฉโนฺต มาตุกุจฺฉิวาสํ ชิคุจฺฉิตฺวา หิมวนฺตปเทเส มหาสเร ปทุมคเพฺภ นิพฺพตฺติฯ ตสฺส จ สรสฺส อวิทูเร ตาปโส ปณฺณสาลาย วสติฯ โส ตีเร ฐิโต ตํ ปทุมํ ทิสฺวา – ‘‘อิทํ ปทุมํ อวเสสปทุเมหิ มหนฺตตรํฯ ปุปฺผิตกาเล นํ คเหสฺสามี’’ติ จิเนฺตสิฯ ตํ สตฺตาเหนาปิ น ปุปฺผติฯ ตาปโส กสฺมา นุ โข อิทํ สตฺตาเหนาปิ น ปุปฺผติฯ หนฺท นํ คเหสฺสามีติ โอตริตฺวา คณฺหิฯ ตํ เตน นาฬโต ฉินฺนมตฺตํเยว ปุปฺผิตํฯ อถสฺสพฺภนฺตเร สุวณฺณจุณฺณปิญฺชรํ วิย รชตพิมฺพกํ ปทุมเรณุปิญฺชรํ เสตวณฺณํ ทารกํ อทฺทสฯ โส มหาปุโญฺญ เอส ภวิสฺสติฯ หนฺท นํ ปฎิชคฺคามีติ ปณฺณสาลํ เนตฺวา ปฎิชคฺคิตฺวา สตฺตวสฺสกาลโต ปฎฺฐาย ตโย เวเท อุคฺคณฺหาเปสิฯ ทารโก ติณฺณํ เวทานํ ปารํ คนฺตฺวา ปณฺฑิโต พฺยโตฺต ชมฺพุทีเป อคฺคพฺราหฺมโณ อโหสิฯ โส อปเรน สมเยน รโญฺญ โกสลสฺส สิปฺปํ ทเสฺสสิฯ อถสฺส สิเปฺป ปสโนฺน ราชา อุกฺกฎฺฐํ นาม มหานครํ พฺรหฺมเทยฺยํ อทาสิฯ อิติ นํ โปกฺขเร สยิตตฺตา โปกฺขรสาตีติ สญฺชานนฺติฯ

    Ayaṃ pana kassapasammāsambuddhakāle tiṇṇaṃ vedānaṃ pāragū dasabalassa dānaṃ datvā dhammadesanaṃ sutvā devaloke nibbatti. So tato manussalokamāgacchanto mātukucchivāsaṃ jigucchitvā himavantapadese mahāsare padumagabbhe nibbatti. Tassa ca sarassa avidūre tāpaso paṇṇasālāya vasati. So tīre ṭhito taṃ padumaṃ disvā – ‘‘idaṃ padumaṃ avasesapadumehi mahantataraṃ. Pupphitakāle naṃ gahessāmī’’ti cintesi. Taṃ sattāhenāpi na pupphati. Tāpaso kasmā nu kho idaṃ sattāhenāpi na pupphati. Handa naṃ gahessāmīti otaritvā gaṇhi. Taṃ tena nāḷato chinnamattaṃyeva pupphitaṃ. Athassabbhantare suvaṇṇacuṇṇapiñjaraṃ viya rajatabimbakaṃ padumareṇupiñjaraṃ setavaṇṇaṃ dārakaṃ addasa. So mahāpuñño esa bhavissati. Handa naṃ paṭijaggāmīti paṇṇasālaṃ netvā paṭijaggitvā sattavassakālato paṭṭhāya tayo vede uggaṇhāpesi. Dārako tiṇṇaṃ vedānaṃ pāraṃ gantvā paṇḍito byatto jambudīpe aggabrāhmaṇo ahosi. So aparena samayena rañño kosalassa sippaṃ dassesi. Athassa sippe pasanno rājā ukkaṭṭhaṃ nāma mahānagaraṃ brahmadeyyaṃ adāsi. Iti naṃ pokkhare sayitattā pokkharasātīti sañjānanti.

    อุกฺกฎฺฐํ อชฺฌาวสตีติ อุกฺกฎฺฐนามเก นคเร วสติฯ อภิภวิตฺวา วา อาวสติฯ ตสฺส นครสฺส สามิโก หุตฺวา ยาย มริยาทาย ตตฺถ วสิตพฺพํ, ตาย มริยาทาย วสิฯ ตสฺส กิร นครสฺส วตฺถุํ อุกฺกา ฐเปตฺวา อุกฺกาสุ ชลมานาสุ อคฺคเหสุํ, ตสฺมา ตํ อุกฺกฎฺฐนฺติ วุจฺจติฯ โอกฺกฎฺฐนฺติปิ ปาโฐ, โสเยวโตฺถฯ อุปสคฺควเสน ปเนตฺถ ภุมฺมเตฺถ อุปโยควจนํ เวทิตพฺพํฯ ตสฺส อนุปโยคตฺตา จ เสสปเทสุฯ ตตฺถ ลกฺขณํ สทฺทสตฺถโต ปริเยสิตพฺพํฯ

    Ukkaṭṭhaṃ ajjhāvasatīti ukkaṭṭhanāmake nagare vasati. Abhibhavitvā vā āvasati. Tassa nagarassa sāmiko hutvā yāya mariyādāya tattha vasitabbaṃ, tāya mariyādāya vasi. Tassa kira nagarassa vatthuṃ ukkā ṭhapetvā ukkāsu jalamānāsu aggahesuṃ, tasmā taṃ ukkaṭṭhanti vuccati. Okkaṭṭhantipi pāṭho, soyevattho. Upasaggavasena panettha bhummatthe upayogavacanaṃ veditabbaṃ. Tassa anupayogattā ca sesapadesu. Tattha lakkhaṇaṃ saddasatthato pariyesitabbaṃ.

    สตฺตุสฺสทนฺติ สเตฺตหิ อุสฺสทํ, อุสฺสนฺนํ พหุชนํ อากิณฺณมนุสฺสํฯ โปสาวนิยหตฺถิอสฺสโมรมิคาทิอเนกสตฺตสมากิณฺณญฺจาติ อโตฺถฯ ยสฺมา ปเนตํ นครํ พหิ อาวิชฺฌิตฺวา ชาเตน หตฺถิอสฺสาทีนํ ฆาสติเณน เจว เคหจฺฉาทนติเณน จ สมฺปนฺนํฯ ตถา ทารุกเฎฺฐหิ เจว เคหสมฺภารกเฎฺฐหิ จฯ ยสฺมา จสฺสพฺภนฺตเร วฎฺฎจตุรสฺสาทิสณฺฐานา พหู โปกฺขรณิโย ชลชกุสุมวิจิตฺตานิ จ พหูนิ อเนกานิ ตฬากานิ อุทกสฺส นิจฺจภริตาเนว โหนฺติ, ตสฺมา สติณกโฎฺฐทกนฺติ วุตฺตํฯ สห ธเญฺญนาติ สธญฺญํ ปุพฺพณฺณาปรณฺณาทิเภทํ พหุธญฺญสนฺนิจยนฺติ อโตฺถ ฯ เอตฺตาวตา ยสฺมิํ นคเร พฺราหฺมโณ เสตจฺฉตฺตํ อุสฺสาเปตฺวา ราชลีลาย วสติ, ตสฺส สมิทฺธิสมฺปตฺติ ทีปิตา โหติฯ

    Sattussadanti sattehi ussadaṃ, ussannaṃ bahujanaṃ ākiṇṇamanussaṃ. Posāvaniyahatthiassamoramigādianekasattasamākiṇṇañcāti attho. Yasmā panetaṃ nagaraṃ bahi āvijjhitvā jātena hatthiassādīnaṃ ghāsatiṇena ceva gehacchādanatiṇena ca sampannaṃ. Tathā dārukaṭṭhehi ceva gehasambhārakaṭṭhehi ca. Yasmā cassabbhantare vaṭṭacaturassādisaṇṭhānā bahū pokkharaṇiyo jalajakusumavicittāni ca bahūni anekāni taḷākāni udakassa niccabharitāneva honti, tasmā satiṇakaṭṭhodakanti vuttaṃ. Saha dhaññenāti sadhaññaṃ pubbaṇṇāparaṇṇādibhedaṃ bahudhaññasannicayanti attho . Ettāvatā yasmiṃ nagare brāhmaṇo setacchattaṃ ussāpetvā rājalīlāya vasati, tassa samiddhisampatti dīpitā hoti.

    ราชโต ลทฺธํ โภคฺคํ ราชโภคฺคํฯ เกน ทินฺนนฺติ เจ? รญฺญา ปเสนทินา โกสเลน ทินฺนํฯ ราชทายนฺติ รโญฺญ ทายภูตํ, ทายชฺชนฺติ อโตฺถฯ พฺรหฺมเทยฺยนฺติ เสฎฺฐเทยฺยํ, ฉตฺตํ อุสฺสาเปตฺวา ราชสเงฺขเปน ภุญฺชิตพฺพนฺติ อโตฺถฯ อถ วา ราชโภคฺคนฺติ สพฺพํ เฉชฺชเภชฺชํ อนุสาสเนฺตน นทีติตฺถปพฺพตาทีสุ สุงฺกํ คณฺหเนฺตน เสตจฺฉตฺตํ อุสฺสาเปตฺวา รญฺญา หุตฺวา ภุญฺชิตพฺพํฯ รญฺญา ปเสนทินา โกสเลน ทินฺนํ ราชทายนฺติ เอตฺถ ตํ นครํ รญฺญา ทินฺนตฺตา ราชทายํ ทายกราชทีปนตฺถํ ปนสฺส ‘‘รญฺญา ปเสนทินา โกสเลน ทินฺน’’นฺติ อิทํ วุตฺตํฯ พฺรหฺมเทยฺยนฺติ เสฎฺฐเทยฺยํฯ ยถา ทินฺนํ น ปุน คเหตพฺพํ โหติ, นิสฺสฎฺฐํ ปริจฺจตฺตํฯ เอวํ ทินฺนนฺติ อโตฺถฯ

    Rājato laddhaṃ bhoggaṃ rājabhoggaṃ. Kena dinnanti ce? Raññā pasenadinā kosalena dinnaṃ. Rājadāyanti rañño dāyabhūtaṃ, dāyajjanti attho. Brahmadeyyanti seṭṭhadeyyaṃ, chattaṃ ussāpetvā rājasaṅkhepena bhuñjitabbanti attho. Atha vā rājabhogganti sabbaṃ chejjabhejjaṃ anusāsantena nadītitthapabbatādīsu suṅkaṃ gaṇhantena setacchattaṃ ussāpetvā raññā hutvā bhuñjitabbaṃ. Raññā pasenadinā kosalena dinnaṃ rājadāyanti ettha taṃ nagaraṃ raññā dinnattā rājadāyaṃ dāyakarājadīpanatthaṃ panassa ‘‘raññā pasenadinā kosalena dinna’’nti idaṃ vuttaṃ. Brahmadeyyanti seṭṭhadeyyaṃ. Yathā dinnaṃ na puna gahetabbaṃ hoti, nissaṭṭhaṃ pariccattaṃ. Evaṃ dinnanti attho.

    อโสฺสสีติ สุณิ อุปลภิ, โสตทฺวารสมฺปตฺตวจนนิโคฺฆสานุสาเรน อญฺญาสิฯ โขติ อวธารณเตฺถ ปทปูรณมเตฺต วา นิปาโตฯ ตตฺถ อวธารณเตฺถน อโสฺสสิ เอว, นาสฺส โกจิ สวนนฺตราโย อโหสีติ อยมโตฺถ เวทิตโพฺพฯ ปทปูรเณน ปน ปทพฺยญฺชนสิลิฎฺฐตามตฺตเมวฯ

    Assosīti suṇi upalabhi, sotadvārasampattavacananigghosānusārena aññāsi. Khoti avadhāraṇatthe padapūraṇamatte vā nipāto. Tattha avadhāraṇatthena assosi eva, nāssa koci savanantarāyo ahosīti ayamattho veditabbo. Padapūraṇena pana padabyañjanasiliṭṭhatāmattameva.

    อิทานิ ยมตฺถํ พฺราหฺมโณ โปกฺขรสาติ อโสฺสสิ, ตํ ปกาเสโนฺต – ‘‘สมโณ ขลุ โภ โคตโม’’ติอาทิมาหฯ ตตฺถ สมิตปาปตฺตา สมโณติ เวทิตโพฺพฯ วุตฺตเญฺหตํ – ‘‘สมิตาสฺส โหนฺติ ปาปกา อกุสลา ธมฺมา’’ติอาทิ (ม. นิ. ๑.๔๓๔)ฯ ภควา จ อนุตฺตเรน อริยมเคฺคน สมิตปาโปฯ เตนสฺส ยถาภูตคุณาธิคตเมตํ นามํ, ยทิทํ สมโณติฯ ขลูติ อนุสฺสวนเตฺถ นิปาโตฯ โภติ พฺราหฺมณชาติสมุทาคตํ อาลปนมตฺตํฯ วุตฺตมฺปิ เจตํ – ‘‘โภวาที นาม โส โหติ, สเจ โหติ สกิญฺจโน’’ติ (ธ. ป. ๕๕)ฯ โคตโมติ ภควนฺตํ โคตฺตวเสน ปริกิเตฺตติฯ ตสฺมา สมโณ ขลุ โภ โคตโมติ เอตฺถ สมโณ กิร โภ โคตมโคโตฺตติ เอวมโตฺถ ทฎฺฐโพฺพฯ

    Idāni yamatthaṃ brāhmaṇo pokkharasāti assosi, taṃ pakāsento – ‘‘samaṇo khalu bho gotamo’’tiādimāha. Tattha samitapāpattā samaṇoti veditabbo. Vuttañhetaṃ – ‘‘samitāssa honti pāpakā akusalā dhammā’’tiādi (ma. ni. 1.434). Bhagavā ca anuttarena ariyamaggena samitapāpo. Tenassa yathābhūtaguṇādhigatametaṃ nāmaṃ, yadidaṃ samaṇoti. Khalūti anussavanatthe nipāto. Bhoti brāhmaṇajātisamudāgataṃ ālapanamattaṃ. Vuttampi cetaṃ – ‘‘bhovādī nāma so hoti, sace hoti sakiñcano’’ti (dha. pa. 55). Gotamoti bhagavantaṃ gottavasena parikitteti. Tasmā samaṇo khalu bho gotamoti ettha samaṇo kira bho gotamagottoti evamattho daṭṭhabbo.

    สกฺยปุโตฺตติ อิทํ ปน ภควโต อุจฺจากุลปริทีปนํ ฯ สกฺยกุลา ปพฺพชิโตติ สทฺธาปพฺพชิตภาวปริทีปนํฯ เกนจิ ปาริชุเญฺญน อนภิภูโต อปริกฺขีณํเยว ตํ กุลํ ปหาย สทฺธาย ปพฺพชิโตติ วุตฺตํ โหติฯ ตโต ปรํ วุตฺตตฺถเมวฯ ตํ โข ปนาติอาทิ สามญฺญผเล วุตฺตเมวฯ สาธุ โข ปนาติ สุนฺทรํ โข ปนฯ อตฺถาวหํ สุขาวหนฺติ วุตฺตํ โหติฯ ตถารูปานํ อรหตนฺติ ยถารูโป โส ภวํ โคตโม, เอวรูปานํ ยถาภูตคุณาธิคเมน โลเก อรหโนฺตติ ลทฺธสทฺธานํ อรหตํฯ ทสฺสนํ โหตีติ ปสาทโสมฺมานิ อกฺขีนิ อุมฺมีเลตฺวา ทสฺสนมตฺตมฺปิ สาธุ โหตีติ, เอวํ อชฺฌาสยํ กตฺวาฯ

    Sakyaputtoti idaṃ pana bhagavato uccākulaparidīpanaṃ . Sakyakulā pabbajitoti saddhāpabbajitabhāvaparidīpanaṃ. Kenaci pārijuññena anabhibhūto aparikkhīṇaṃyeva taṃ kulaṃ pahāya saddhāya pabbajitoti vuttaṃ hoti. Tato paraṃ vuttatthameva. Taṃ kho panātiādi sāmaññaphale vuttameva. Sādhu kho panāti sundaraṃ kho pana. Atthāvahaṃ sukhāvahanti vuttaṃ hoti. Tathārūpānaṃ arahatanti yathārūpo so bhavaṃ gotamo, evarūpānaṃ yathābhūtaguṇādhigamena loke arahantoti laddhasaddhānaṃ arahataṃ. Dassanaṃ hotīti pasādasommāni akkhīni ummīletvā dassanamattampi sādhu hotīti, evaṃ ajjhāsayaṃ katvā.

    อมฺพฎฺฐมาณวกถา

    Ambaṭṭhamāṇavakathā

    ๒๕๖. อชฺฌายโกติ อิทํ – ‘‘น ทานิเม ฌายนฺติ, น ทานิเม ฌายนฺตีติ โข, วาเสฎฺฐ, อชฺฌายกา อชฺฌายกา เตฺวว ตติยํ อกฺขรํ อุปนิพฺพตฺต’’นฺติ, เอวํ ปฐมกปฺปิกกาเล ฌานวิรหิตานํ พฺราหฺมณานํ ครหวจนํฯ อิทานิ ปน ตํ อชฺฌายตีติ อชฺฌายโกฯ มเนฺต ปริวเตฺตตีติ อิมินา อเตฺถน ปสํสาวจนํ กตฺวา โวหรนฺติฯ มเนฺต ธาเรตีติ มนฺตธโรฯ

    256.Ajjhāyakoti idaṃ – ‘‘na dānime jhāyanti, na dānime jhāyantīti kho, vāseṭṭha, ajjhāyakā ajjhāyakā tveva tatiyaṃ akkharaṃ upanibbatta’’nti, evaṃ paṭhamakappikakāle jhānavirahitānaṃ brāhmaṇānaṃ garahavacanaṃ. Idāni pana taṃ ajjhāyatīti ajjhāyako. Mante parivattetīti iminā atthena pasaṃsāvacanaṃ katvā voharanti. Mante dhāretīti mantadharo.

    ติณฺณํ เวทานนฺติ อิรุเวทยชุเวทสามเวทานํฯ โอฎฺฐปหตกรณวเสน ปารํ คโตติ ปารคูฯ สห นิฆณฺฑุนา จ เกฎุเภน จ สนิฆณฺฑุเกฎุภานํฯ นิฆณฺฑูติ นิฆณฺฑุรุกฺขาทีนํ เววจนปกาสกํ สตฺถํฯ เกฎุภนฺติ กิริยากปฺปวิกโปฺป กวีนํ อุปการาวหํ สตฺถํฯ สห อกฺขรปฺปเภเทน สากฺขรปฺปเภทานํฯ อกฺขรปฺปเภโทติ สิกฺขา จ นิรุตฺติ จฯ อิติหาสปญฺจมานนฺติ อาถพฺพณเวทํ จตุตฺถํ กตฺวา อิติห อาส, อิติห อาสาติ อีทิสวจนปฎิสํยุโตฺต ปุราณกถาสงฺขาโต อิติหาโส ปญฺจโม เอเตสนฺติ อิติหาสปญฺจมา, เตสํ อิติหาสปญฺจมานํ เวทานํฯ

    Tiṇṇaṃ vedānanti iruvedayajuvedasāmavedānaṃ. Oṭṭhapahatakaraṇavasena pāraṃ gatoti pāragū. Saha nighaṇḍunā ca keṭubhena ca sanighaṇḍukeṭubhānaṃ. Nighaṇḍūti nighaṇḍurukkhādīnaṃ vevacanapakāsakaṃ satthaṃ. Keṭubhanti kiriyākappavikappo kavīnaṃ upakārāvahaṃ satthaṃ. Saha akkharappabhedena sākkharappabhedānaṃ. Akkharappabhedoti sikkhā ca nirutti ca. Itihāsapañcamānanti āthabbaṇavedaṃ catutthaṃ katvā itiha āsa, itiha āsāti īdisavacanapaṭisaṃyutto purāṇakathāsaṅkhāto itihāso pañcamo etesanti itihāsapañcamā, tesaṃ itihāsapañcamānaṃ vedānaṃ.

    ปทํ ตทวเสสญฺจ พฺยากรณํ อธียติ เวเทติ จาติ ปทโก เวยฺยากรโณฯ โลกายตํ วุจฺจติ วิตณฺฑวาทสตฺถํฯ มหาปุริสลกฺขณนฺติ มหาปุริสานํ พุทฺธาทีนํ ลกฺขณทีปกํ ทฺวาทสสหสฺสคนฺถปมาณํ สตฺถํฯ ยตฺถ โสฬสสหสฺสคาถาปริมาณา พุทฺธมนฺตา นาม อเหสุํ, เยสํ วเสน อิมินา ลกฺขเณน สมนฺนาคตา พุทฺธา นาม โหนฺติ, อิมินา ปเจฺจกพุทฺธา, อิมินา เทฺว อคฺคสาวกา, อสีติ มหาสาวกา , พุทฺธมาตา, พุทฺธปิตา, อคฺคุปฎฺฐาโก, อคฺคุปฎฺฐายิกา, ราชา จกฺกวตฺตีติ อยํ วิเสโส ปญฺญายติฯ

    Padaṃ tadavasesañca byākaraṇaṃ adhīyati vedeti cāti padako veyyākaraṇo. Lokāyataṃ vuccati vitaṇḍavādasatthaṃ. Mahāpurisalakkhaṇanti mahāpurisānaṃ buddhādīnaṃ lakkhaṇadīpakaṃ dvādasasahassaganthapamāṇaṃ satthaṃ. Yattha soḷasasahassagāthāparimāṇā buddhamantā nāma ahesuṃ, yesaṃ vasena iminā lakkhaṇena samannāgatā buddhā nāma honti, iminā paccekabuddhā, iminā dve aggasāvakā, asīti mahāsāvakā , buddhamātā, buddhapitā, aggupaṭṭhāko, aggupaṭṭhāyikā, rājā cakkavattīti ayaṃ viseso paññāyati.

    อนวโยติ อิเมสุ โลกายตมหาปุริสลกฺขเณสุ อนูโน ปริปูรการี, อวโย น โหตีติ วุตฺตํ โหติฯ อวโย นาม โย ตานิ อตฺถโต จ คนฺถโต จ สนฺธาเรตุํ น สโกฺกติฯ อนุญฺญาตปฎิญฺญาโตติ อนุญฺญาโต เจว ปฎิญฺญาโต จฯ อาจริเยนสฺส ‘‘ยํ อหํ ชานามิ, ตํ ตฺวํ ชานาสี’’ติอาทินา อนุญฺญาโตฯ ‘‘อาม อาจริยา’’ติ อตฺตนา ตสฺส ปฎิวจนทานปฎิญฺญาย ปฎิญฺญาโตติ อโตฺถฯ กตรสฺมิํ อธิกาเร? สเก อาจริยเก เตวิชฺชเก ปาวจเนฯ เอส กิร พฺราหฺมโณ จิเนฺตสิ ‘‘อิมสฺมิํ โลเก ‘อหํ พุโทฺธ, อหํ พุโทฺธ’ติ อุคฺคตสฺส นามํ คเหตฺวา พหู ชนา วิจรนฺติฯ ตสฺมา น เม อนุสฺสวมเตฺตเนว อุปสงฺกมิตุํ ยุตฺตํฯ เอกจฺจญฺหิ อุปสงฺกมนฺตสฺส อปกฺกมนมฺปิ ครุ โหติ, อนโตฺถปิ อุปฺปชฺชติฯ ยํนูนาหํ มม อเนฺตวาสิกํ เปเสตฺวา – ‘พุโทฺธ วา, โน วา’ติ ชานิตฺวาว อุปสงฺกเมยฺย’’นฺติ, ตสฺมา มาณวํ อามเนฺตตฺวา อยํ ตาตาติอาทิมาหฯ

    Anavayoti imesu lokāyatamahāpurisalakkhaṇesu anūno paripūrakārī, avayo na hotīti vuttaṃ hoti. Avayo nāma yo tāni atthato ca ganthato ca sandhāretuṃ na sakkoti. Anuññātapaṭiññātoti anuññāto ceva paṭiññāto ca. Ācariyenassa ‘‘yaṃ ahaṃ jānāmi, taṃ tvaṃ jānāsī’’tiādinā anuññāto. ‘‘Āma ācariyā’’ti attanā tassa paṭivacanadānapaṭiññāya paṭiññātoti attho. Katarasmiṃ adhikāre? Sake ācariyake tevijjake pāvacane. Esa kira brāhmaṇo cintesi ‘‘imasmiṃ loke ‘ahaṃ buddho, ahaṃ buddho’ti uggatassa nāmaṃ gahetvā bahū janā vicaranti. Tasmā na me anussavamatteneva upasaṅkamituṃ yuttaṃ. Ekaccañhi upasaṅkamantassa apakkamanampi garu hoti, anatthopi uppajjati. Yaṃnūnāhaṃ mama antevāsikaṃ pesetvā – ‘buddho vā, no vā’ti jānitvāva upasaṅkameyya’’nti, tasmā māṇavaṃ āmantetvā ayaṃ tātātiādimāha.

    ๒๕๗. ตํ ภวนฺตนฺติ ตสฺส โภโต โคตมสฺสฯ ตถา สนฺตํ เยวาติ ตถา สโตเยวฯ อิธาปิ หิ อิตฺถมฺภูตาขฺยานตฺถวเสเนว อุปโยควจนํฯ

    257.Taṃ bhavantanti tassa bhoto gotamassa. Tathā santaṃ yevāti tathā satoyeva. Idhāpi hi itthambhūtākhyānatthavaseneva upayogavacanaṃ.

    ๒๕๘. ยถา กถํ ปนาหํ, โภ, ตนฺติ เอตฺถ กถํ ปนาหํ โภ ตํ ภวนฺตํ โคตมํ ชานิสฺสามิ, ยถา สกฺกา โส ญาตุํ, ตถา เม อาจิกฺขาหีติ อโตฺถฯ ยถาติ วา นิปาตมตฺตเมเวตํฯ กถนฺติ อยํ อาการปุจฺฉาฯ เกนากาเรนาหํ ตํ ภวนฺตํ โคตมํ ชานิสฺสามีติ อโตฺถฯ เอวํ วุเตฺต กิร นํ อุปชฺฌาโย ‘‘กิํ ตฺวํ, ตาต, ปถวิยํ ฐิโต, ปถวิํ น ปสฺสามีติ วิย; จนฺทิมสูริยานํ โอภาเส ฐิโต, จนฺทิมสูริเย น ปสฺสามีติ วิย วทสี’’ติอาทีนิ วตฺวา ชานนาการํ ทเสฺสโนฺต อาคตานิ โข, ตาตาติอาทิมาหฯ

    258.Yathā kathaṃ panāhaṃ, bho, tanti ettha kathaṃ panāhaṃ bho taṃ bhavantaṃ gotamaṃ jānissāmi, yathā sakkā so ñātuṃ, tathā me ācikkhāhīti attho. Yathāti vā nipātamattamevetaṃ. Kathanti ayaṃ ākārapucchā. Kenākārenāhaṃ taṃ bhavantaṃ gotamaṃ jānissāmīti attho. Evaṃ vutte kira naṃ upajjhāyo ‘‘kiṃ tvaṃ, tāta, pathaviyaṃ ṭhito, pathaviṃ na passāmīti viya; candimasūriyānaṃ obhāse ṭhito, candimasūriye na passāmīti viya vadasī’’tiādīni vatvā jānanākāraṃ dassento āgatāni kho, tātātiādimāha.

    ตตฺถ มเนฺตสูติ เวเทสุฯ ตถาคโต กิร อุปฺปชฺชิสฺสตีติ ปฎิกเจฺจว สุทฺธาวาสา เทวา เวเทสุ ลกฺขณานิ ปกฺขิปิตฺวา พุทฺธมนฺตา นาเมเตติ พฺราหฺมณเวเสเนว เวเท วาเจนฺติฯ ตทนุสาเรน มเหสกฺขา สตฺตา ตถาคตํ ชานิสฺสนฺตีติฯ เตน ปุเพฺพ เวเทสุ มหาปุริสลกฺขณานิ อาคจฺฉนฺติฯ ปรินิพฺพุเต ปน ตถาคเต อนุกฺกเมน อนฺตรธายนฺติฯ เตเนตรหิ นตฺถีติฯ มหาปุริสสฺสาติ ปณิธิสมาทานญาณกรุณาทิคุณมหโต ปุริสสฺสฯ เทฺวเยว คติโยติ เทฺวเยว นิฎฺฐาฯ กามญฺจายํ คติสโทฺท ‘‘ปญฺจ โข อิมา, สาริปุตฺต, คติโย’’ติอาทีสุ (ม. นิ. ๑.๑๕๓) ภวเภเท วตฺตติฯ ‘‘คติ มิคานํ ปวน’’นฺติอาทีสุ (ปริ. ๓๙๙) นิวาสฎฺฐาเนฯ ‘‘เอวํ อธิมตฺตคติมโนฺต’’ติอาทีสุ ปญฺญายํฯ ‘‘คติคต’’นฺติอาทีสุ วิสฎภาเวฯ อิธ ปน นิฎฺฐายํ วตฺตตีติ เวทิตโพฺพฯ

    Tattha mantesūti vedesu. Tathāgato kira uppajjissatīti paṭikacceva suddhāvāsā devā vedesu lakkhaṇāni pakkhipitvā buddhamantā nāmeteti brāhmaṇaveseneva vede vācenti. Tadanusārena mahesakkhā sattā tathāgataṃ jānissantīti. Tena pubbe vedesu mahāpurisalakkhaṇāni āgacchanti. Parinibbute pana tathāgate anukkamena antaradhāyanti. Tenetarahi natthīti. Mahāpurisassāti paṇidhisamādānañāṇakaruṇādiguṇamahato purisassa. Dveyeva gatiyoti dveyeva niṭṭhā. Kāmañcāyaṃ gatisaddo ‘‘pañca kho imā, sāriputta, gatiyo’’tiādīsu (ma. ni. 1.153) bhavabhede vattati. ‘‘Gati migānaṃ pavana’’ntiādīsu (pari. 399) nivāsaṭṭhāne. ‘‘Evaṃ adhimattagatimanto’’tiādīsu paññāyaṃ. ‘‘Gatigata’’ntiādīsu visaṭabhāve. Idha pana niṭṭhāyaṃ vattatīti veditabbo.

    ตตฺถ กิญฺจาปิ เยหิ ลกฺขเณหิ สมนฺนาคโต ราชา จกฺกวตฺตี โหติ, น เตเหว พุโทฺธ โหติ; ชาติสามญฺญโต ปน ตานิเยว ตานีติ วุจฺจนฺติฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘เยหิ สมนฺนาคตสฺสา’’ติฯ สเจ อคารํ อชฺฌาวสตีติ ยทิ อคาเร วสติฯ ราชา โหติ จกฺกวตฺตีติ จตูหิ อจฺฉริยธเมฺมหิ, สงฺคหวตฺถูหิ จ โลกํ รญฺชนโต ราชา, จกฺกรตนํ วเตฺตติ, จตูหิ สมฺปตฺติจเกฺกหิ วตฺตติ, เตหิ จ ปรํ วเตฺตติ, ปรหิตาย จ อิริยาปถจกฺกานํ วโตฺต เอตสฺมิํ อตฺถีติ จกฺกวตฺตีฯ เอตฺถ จ ราชาติ สามญฺญํฯ จกฺกวตฺตีติ วิเสสํฯ ธเมฺมน จรตีติ ธมฺมิโกฯ ญาเยน สเมน วตฺตตีติ อโตฺถฯ ธเมฺมน รชฺชํ ลภิตฺวา ราชา ชาโตติ ธมฺมราชาฯ ปรหิตธมฺมกรเณน วา ธมฺมิโกฯ อตฺตหิตธมฺมกรเณน ธมฺมราชาฯ จตุรนฺตาย อิสฺสโรติ จาตุรโนฺต, จตุสมุทฺทอนฺตาย, จตุพฺพิธทีปวิภูสิตาย ปถวิยา อิสฺสโรติ อโตฺถฯ อชฺฌตฺตํ โกปาทิปจฺจตฺถิเก พหิทฺธา จ สพฺพราชาโน วิเชตีติ วิชิตาวีฯ ชนปทตฺถาวริยปฺปโตฺตติ ชนปเท ธุวภาวํ ถาวรภาวํ ปโตฺต, น สกฺกา เกนจิ จาเลตุํฯ ชนปโท วา ตมฺหิ ถาวริยปฺปโตฺต อนุยุโตฺต สกมฺมนิรโต อจโล อสมฺปเวธีติ ชนปทตฺถาวริยปฺปโตฺตฯ

    Tattha kiñcāpi yehi lakkhaṇehi samannāgato rājā cakkavattī hoti, na teheva buddho hoti; jātisāmaññato pana tāniyeva tānīti vuccanti. Tena vuttaṃ – ‘‘yehi samannāgatassā’’ti. Sace agāraṃ ajjhāvasatīti yadi agāre vasati. Rājā hoti cakkavattīti catūhi acchariyadhammehi, saṅgahavatthūhi ca lokaṃ rañjanato rājā, cakkaratanaṃ vatteti, catūhi sampatticakkehi vattati, tehi ca paraṃ vatteti, parahitāya ca iriyāpathacakkānaṃ vatto etasmiṃ atthīti cakkavattī. Ettha ca rājāti sāmaññaṃ. Cakkavattīti visesaṃ. Dhammena caratīti dhammiko. Ñāyena samena vattatīti attho. Dhammena rajjaṃ labhitvā rājā jātoti dhammarājā. Parahitadhammakaraṇena vā dhammiko. Attahitadhammakaraṇena dhammarājā. Caturantāya issaroti cāturanto, catusamuddaantāya, catubbidhadīpavibhūsitāya pathaviyā issaroti attho. Ajjhattaṃ kopādipaccatthike bahiddhā ca sabbarājāno vijetīti vijitāvī. Janapadatthāvariyappattoti janapade dhuvabhāvaṃ thāvarabhāvaṃ patto, na sakkā kenaci cāletuṃ. Janapado vā tamhi thāvariyappatto anuyutto sakammanirato acalo asampavedhīti janapadatthāvariyappatto.

    เสยฺยถิทนฺติ นิปาโต, ตสฺส เจตานิ กตมานีติ อโตฺถฯ จกฺกรตนนฺติอาทีสุ จกฺกญฺจ, ตํ รติชนนเฎฺฐน รตนญฺจาติ จกฺกรตนํฯ เอส นโย สพฺพตฺถฯ อิเมสุ ปน รตเนสุ อยํ จกฺกวตฺติราชา จกฺกรตเนน อชิตํ ชินาติ, หตฺถิอสฺสรตเนหิ วิชิเต ยถาสุขํ อนุจรติ, ปริณายกรตเนน วิชิตมนุรกฺขติ, อวเสเสหิ อุปโภคสุขมนุภวติฯ ปฐเมน จสฺส อุสฺสาหสตฺติโยโค, ปจฺฉิเมน มนฺตสตฺติโยโค, หตฺถิอสฺสคหปติรตเนหิ ปภุสตฺติโยโค สุปริปุโณฺณ โหติ, อิตฺถิมณิรตเนหิ ติวิธสตฺติโยคผลํฯ โส อิตฺถิมณิรตเนหิ โภคสุขมนุภวติ, เสเสหิ อิสฺสริยสุขํฯ วิเสสโต จสฺส ปุริมานิ ตีณิ อโทสกุสลมูลชนิตกมฺมานุภาเวน สมฺปชฺชนฺติ, มชฺฌิมานิ อโลภกุสลมูลชนิตกมฺมานุภาเวน, ปจฺฉิมเมกํ อโมหกุสลมูลชนิตกมฺมานุภาเวนาติ เวทิตพฺพํฯ อยเมตฺถ สเงฺขโปฯ วิตฺถาโร ปน โพชฺฌงฺคสํยุเตฺต รตนสุตฺตสฺส อุปเทสโต คเหตโพฺพฯ

    Seyyathidanti nipāto, tassa cetāni katamānīti attho. Cakkaratanantiādīsu cakkañca, taṃ ratijananaṭṭhena ratanañcāti cakkaratanaṃ. Esa nayo sabbattha. Imesu pana ratanesu ayaṃ cakkavattirājā cakkaratanena ajitaṃ jināti, hatthiassaratanehi vijite yathāsukhaṃ anucarati, pariṇāyakaratanena vijitamanurakkhati, avasesehi upabhogasukhamanubhavati. Paṭhamena cassa ussāhasattiyogo, pacchimena mantasattiyogo, hatthiassagahapatiratanehi pabhusattiyogo suparipuṇṇo hoti, itthimaṇiratanehi tividhasattiyogaphalaṃ. So itthimaṇiratanehi bhogasukhamanubhavati, sesehi issariyasukhaṃ. Visesato cassa purimāni tīṇi adosakusalamūlajanitakammānubhāvena sampajjanti, majjhimāni alobhakusalamūlajanitakammānubhāvena, pacchimamekaṃ amohakusalamūlajanitakammānubhāvenāti veditabbaṃ. Ayamettha saṅkhepo. Vitthāro pana bojjhaṅgasaṃyutte ratanasuttassa upadesato gahetabbo.

    ปโรสหสฺสนฺติ อติเรกสหสฺสํฯ สูราติ อภีรุกชาติกาฯ วีรงฺครูปาติ เทวปุตฺตสทิสกายาฯ เอวํ ตาว เอเก วณฺณยนฺติฯ อยํ ปเนตฺถ สพฺภาโวฯ วีราติ อุตฺตมสูรา วุจฺจนฺติ, วีรานํ องฺคํ วีรงฺคํ, วีรการณํ วีริยนฺติ วุตฺตํ โหติฯ วีรงฺครูปํ เอเตสนฺติ วีรงฺครูปา, วีริยมยสรีรา วิยาติ วุตฺตํ โหติฯ ปรเสนปฺปมทฺทนาติ สเจ ปฎิมุขํ ติเฎฺฐยฺย ปรเสนา ตํ ปริมทฺทิตุํ สมตฺถาติ อธิปฺปาโยฯ ธเมฺมนาติ ‘‘ปาโณ น หนฺตโพฺพ’’ติอาทินา ปญฺจสีลธเมฺมน ฯ อรหํ โหติ สมฺมาสมฺพุโทฺธ โลเก วิวฎฺฎจฺฉโทติ เอตฺถ ราคโทสโมหมานทิฎฺฐิอวิชฺชาทุจฺจริตฉทเนหิ สตฺตหิ ปฎิจฺฉเนฺน กิเลสนฺธกาเร โลเก ตํ ฉทนํ วิวเฎฺฎตฺวา สมนฺตโต สญฺชาตาโลโก หุตฺวา ฐิโตติ วิวฎฺฎจฺฉโทฯ ตตฺถ ปฐเมน ปเทน ปูชารหตาฯ ทุติเยน ตสฺสา เหตุ, ยสฺมา สมฺมาสมฺพุโทฺธติ, ตติเยน พุทฺธตฺตเหตุภูตา วิวฎฺฎจฺฉทตา วุตฺตาติ เวทิตพฺพาฯ อถ วา วิวโฎฺฎ จ วิจฺฉโท จาติ วิวฎฺฎจฺฉโท, วฎฺฎรหิโต ฉทนรหิโต จาติ วุตฺตํ โหติฯ เตน อรหํ วฎฺฎาภาเวน, สมฺมาสมฺพุโทฺธ ฉทนาภาเวนาติ เอวํ ปุริมปททฺวยเสฺสว เหตุทฺวยํ วุตฺตํ โหติ, ทุติเยน เวสารเชฺชน เจตฺถ ปุริมสิทฺธิ, ปฐเมน ทุติยสิทฺธิ, ตติยจตุเตฺถหิ ตติยสิทฺธิ โหติฯ ปุริมญฺจ ธมฺมจกฺขุํ, ทุติยํ พุทฺธจกฺขุํ, ตติยํ สมนฺตจกฺขุํ สาเธตีติ เวทิตพฺพํฯ ตฺวํ มนฺตานํ ปฎิคฺคเหตาติ อิมินา’สฺส มเนฺตสุ สูรภาวํ ชเนติฯ

    Parosahassanti atirekasahassaṃ. Sūrāti abhīrukajātikā. Vīraṅgarūpāti devaputtasadisakāyā. Evaṃ tāva eke vaṇṇayanti. Ayaṃ panettha sabbhāvo. Vīrāti uttamasūrā vuccanti, vīrānaṃ aṅgaṃ vīraṅgaṃ, vīrakāraṇaṃ vīriyanti vuttaṃ hoti. Vīraṅgarūpaṃ etesanti vīraṅgarūpā, vīriyamayasarīrā viyāti vuttaṃ hoti. Parasenappamaddanāti sace paṭimukhaṃ tiṭṭheyya parasenā taṃ parimaddituṃ samatthāti adhippāyo. Dhammenāti ‘‘pāṇo na hantabbo’’tiādinā pañcasīladhammena . Arahaṃ hoti sammāsambuddho loke vivaṭṭacchadoti ettha rāgadosamohamānadiṭṭhiavijjāduccaritachadanehi sattahi paṭicchanne kilesandhakāre loke taṃ chadanaṃ vivaṭṭetvā samantato sañjātāloko hutvā ṭhitoti vivaṭṭacchado. Tattha paṭhamena padena pūjārahatā. Dutiyena tassā hetu, yasmā sammāsambuddhoti, tatiyena buddhattahetubhūtā vivaṭṭacchadatā vuttāti veditabbā. Atha vā vivaṭṭo ca vicchado cāti vivaṭṭacchado, vaṭṭarahito chadanarahito cāti vuttaṃ hoti. Tena arahaṃ vaṭṭābhāvena, sammāsambuddho chadanābhāvenāti evaṃ purimapadadvayasseva hetudvayaṃ vuttaṃ hoti, dutiyena vesārajjena cettha purimasiddhi, paṭhamena dutiyasiddhi, tatiyacatutthehi tatiyasiddhi hoti. Purimañca dhammacakkhuṃ, dutiyaṃ buddhacakkhuṃ, tatiyaṃ samantacakkhuṃ sādhetīti veditabbaṃ. Tvaṃ mantānaṃ paṭiggahetāti iminā’ssa mantesu sūrabhāvaṃ janeti.

    ๒๕๙. โสปิ ตาย อาจริยกถาย ลกฺขเณสุ วิคตสโมฺมโห เอโกภาสชาเต วิย พุทฺธมเนฺต สมฺปสฺสมาโน เอวํ โภติ อาหฯ ตสฺสโตฺถ – ‘ยถา, โภ, ตฺวํ วทสิ, เอวํ กริสฺสามี’ติฯ วฬวารถมารุยฺหาติ วฬวายุตฺตํ รถํ อภิรูหิตฺวาฯ พฺราหฺมโณ กิร เยน รเถน สยํ วิจรติ, ตเมว รถํ ทตฺวา มาณวํ เปเสสิฯ มาณวาปิ โปกฺขรสาติเสฺสว อเนฺตวาสิกาฯ โส กิร เตสํ – ‘‘อมฺพเฎฺฐน สทฺธิํ คจฺฉถา’’ติ สญฺญํ อทาสิฯ

    259. Sopi tāya ācariyakathāya lakkhaṇesu vigatasammoho ekobhāsajāte viya buddhamante sampassamāno evaṃ bhoti āha. Tassattho – ‘yathā, bho, tvaṃ vadasi, evaṃ karissāmī’ti. Vaḷavārathamāruyhāti vaḷavāyuttaṃ rathaṃ abhirūhitvā. Brāhmaṇo kira yena rathena sayaṃ vicarati, tameva rathaṃ datvā māṇavaṃ pesesi. Māṇavāpi pokkharasātisseva antevāsikā. So kira tesaṃ – ‘‘ambaṭṭhena saddhiṃ gacchathā’’ti saññaṃ adāsi.

    ยาวติกา ยานสฺส ภูมีติ ยตฺตกํ สกฺกา โหติ ยาเนน คนฺตุํ, อยํ ยานสฺส ภูมิ นามฯ ยานา ปโจฺจโรหิตฺวาติ อยานภูมิํ, ทฺวารโกฎฺฐกสมีปํ คนฺตฺวา ยานโต ปฎิโอโรหิตฺวาฯ

    Yāvatikā yānassa bhūmīti yattakaṃ sakkā hoti yānena gantuṃ, ayaṃ yānassa bhūmi nāma. Yānā paccorohitvāti ayānabhūmiṃ, dvārakoṭṭhakasamīpaṃ gantvā yānato paṭiorohitvā.

    เตน โข ปน สมเยนาติ ยสฺมิํ สมเย อมฺพโฎฺฐ อารามํ ปาวิสิฯ ตสฺมิํ ปน สมเย, ฐิตมชฺฌนฺหิกสมเยฯ กสฺมา ปน ตสฺมิํ สมเย จงฺกมนฺตีติ? ปณีตโภชนปจฺจยสฺส ถินมิทฺธสฺส วิโนทนตฺถํ, ทิวาปธานิกา วา เตฯ ตาทิสานญฺหิ ปจฺฉาภตฺตํ จงฺกมิตฺวา นฺหายิตฺวา สรีรํ อุตุํ คาหาเปตฺวา นิสชฺช สมณธมฺมํ กโรนฺตานํ จิตฺตํ เอกคฺคํ โหติฯ เยน เต ภิกฺขูติ โส กิร – ‘‘กุหิํ สมโณ โคตโม’’ติ ปริเวณโต ปริเวณํ อนาคนฺตฺวา ‘‘ปุจฺฉิตฺวาว ปวิสิสฺสามี’’ติ วิโลเกโนฺต อรญฺญหตฺถี วิย มหาจงฺกเม จงฺกมมาเน ปํสุกูลิเก ภิกฺขู ทิสฺวา เตสํ สนฺติกํ อคมาสิฯ ตํ สนฺธาย เยน เต ภิกฺขูติอาทิ วุตฺตํฯ ทสฺสนายาติ ทฎฺฐุํ, ปสฺสิตุกามา หุตฺวาติ อโตฺถฯ

    Tena kho pana samayenāti yasmiṃ samaye ambaṭṭho ārāmaṃ pāvisi. Tasmiṃ pana samaye, ṭhitamajjhanhikasamaye. Kasmā pana tasmiṃ samaye caṅkamantīti? Paṇītabhojanapaccayassa thinamiddhassa vinodanatthaṃ, divāpadhānikā vā te. Tādisānañhi pacchābhattaṃ caṅkamitvā nhāyitvā sarīraṃ utuṃ gāhāpetvā nisajja samaṇadhammaṃ karontānaṃ cittaṃ ekaggaṃ hoti. Yena te bhikkhūti so kira – ‘‘kuhiṃ samaṇo gotamo’’ti pariveṇato pariveṇaṃ anāgantvā ‘‘pucchitvāva pavisissāmī’’ti vilokento araññahatthī viya mahācaṅkame caṅkamamāne paṃsukūlike bhikkhū disvā tesaṃ santikaṃ agamāsi. Taṃ sandhāya yena te bhikkhūtiādi vuttaṃ. Dassanāyāti daṭṭhuṃ, passitukāmā hutvāti attho.

    ๒๖๐. อภิญฺญาตโกลโญฺญติ ปากฎกุลโชฯ ตทา กิร ชมฺพุทีเป อมฺพฎฺฐกุลํ นาม ปากฎกุลมโหสิ ฯ อภิญฺญาตสฺสาติ รูปชาติมนฺตกุลาปเทเสหิ ปากฎสฺสฯ อครูติ อภาริโกฯ โย หิ อมฺพฎฺฐํ ญาเปตุํ น สกฺกุเณยฺย, ตสฺส เตน สทฺธิํ กถาสลฺลาโป ครุ ภเวยฺยฯ ภควโต ปน ตาทิสานํ มาณวานํ สเตนาปิ สหเสฺสนาปิ ปญฺหํ ปุฎฺฐสฺส วิสฺสชฺชเน ทนฺธายิตตฺตํ นตฺถีติ มญฺญมานา – ‘‘อครุ โข ปนา’’ติ จินฺตยิํสุฯ วิหาโรติ คนฺธกุฎิํ สนฺธาย อาหํสุฯ

    260.Abhiññātakolaññoti pākaṭakulajo. Tadā kira jambudīpe ambaṭṭhakulaṃ nāma pākaṭakulamahosi . Abhiññātassāti rūpajātimantakulāpadesehi pākaṭassa. Agarūti abhāriko. Yo hi ambaṭṭhaṃ ñāpetuṃ na sakkuṇeyya, tassa tena saddhiṃ kathāsallāpo garu bhaveyya. Bhagavato pana tādisānaṃ māṇavānaṃ satenāpi sahassenāpi pañhaṃ puṭṭhassa vissajjane dandhāyitattaṃ natthīti maññamānā – ‘‘agaru kho panā’’ti cintayiṃsu. Vihāroti gandhakuṭiṃ sandhāya āhaṃsu.

    อตรมาโนติ อตุริโต, สณิกํ ปทปฺปมาณฎฺฐาเน ปทํ นิกฺขิปโนฺต วตฺตํ กตฺวา สุสมฺมฎฺฐํ มุตฺตาทลสินฺทุวารสนฺถรสทิสํ วาลิกํ อวินาเสโนฺตติ อโตฺถฯ อาฬินฺทนฺติ ปมุขํฯ อุกฺกาสิตฺวาติ อุกฺกาสิตสทฺทํ กตฺวาฯ อคฺคฬนฺติ ทฺวารกวาฎํฯ อาโกเฎหีติ อคฺคนเขหิ สณิกํ กุญฺจิกจฺฉิทฺทสมีเป อาโกเฎหีติ วุตฺตํ โหติฯ ทฺวารํ กิร อติอุปริ อมนุสฺสา, อติเหฎฺฐา ทีฆชาติกา โกเฎนฺติฯ ตถา อนาโกเฎตฺวา มเชฺฌ ฉิทฺทสมีเป โกเฎตพฺพนฺติ อิทํ ทฺวาราโกฎนวตฺตนฺติ ทีเปนฺตา วทนฺติฯ

    Ataramānoti aturito, saṇikaṃ padappamāṇaṭṭhāne padaṃ nikkhipanto vattaṃ katvā susammaṭṭhaṃ muttādalasinduvārasantharasadisaṃ vālikaṃ avināsentoti attho. Āḷindanti pamukhaṃ. Ukkāsitvāti ukkāsitasaddaṃ katvā. Aggaḷanti dvārakavāṭaṃ. Ākoṭehīti agganakhehi saṇikaṃ kuñcikacchiddasamīpe ākoṭehīti vuttaṃ hoti. Dvāraṃ kira atiupari amanussā, atiheṭṭhā dīghajātikā koṭenti. Tathā anākoṭetvā majjhe chiddasamīpe koṭetabbanti idaṃ dvārākoṭanavattanti dīpentā vadanti.

    ๒๖๑. วิวริ ภควา ทฺวารนฺติ น ภควา อุฎฺฐาย ทฺวารํ วิวริฯ วิวริยตูติ ปน หตฺถํ ปสาเรสิฯ ตโต ‘‘ภควา ตุเมฺหหิ อเนกาสุ กปฺปโกฎีสุ ทานํ ททมาเนหิ น สหตฺถา ทฺวารวิวรณกมฺมํ กต’’นฺติ สยเมว ทฺวารํ วิวฎํฯ ตํ ปน ยสฺมา ภควโต มเนน วิวฎํ, ตสฺมา วิวริ ภควา ทฺวารนฺติ วตฺตุํ วฎฺฎติฯ

    261.Vivari bhagavā dvāranti na bhagavā uṭṭhāya dvāraṃ vivari. Vivariyatūti pana hatthaṃ pasāresi. Tato ‘‘bhagavā tumhehi anekāsu kappakoṭīsu dānaṃ dadamānehi na sahatthā dvāravivaraṇakammaṃ kata’’nti sayameva dvāraṃ vivaṭaṃ. Taṃ pana yasmā bhagavato manena vivaṭaṃ, tasmā vivari bhagavā dvāranti vattuṃ vaṭṭati.

    ภควตา สทฺธิํ สโมฺมทิํสูติ ยถา ขมนียาทีนิ ปุจฺฉโนฺต ภควา เตหิ, เอวํ เตปิ ภควตา สทฺธิํ สมปฺปวตฺตโมทา อเหสุํฯ สีโตทกํ วิย อุโณฺหทเกน สโมฺมทิตํ เอกีภาวํ อคมํสุฯ ยาย จ ‘‘กจฺจิ, โภ โคตม, ขมนียํ; กจฺจิ ยาปนียํ, กจฺจิ โภโต จ โคตมสฺส สาวกานญฺจ อปฺปาพาธํ, อปฺปาตงฺกํ, ลหุฎฺฐานํ, พลํ, ผาสุวิหาโร’’ติอาทิกาย กถาย สโมฺมทิํสุ, ตํ ปีติปาโมชฺชสงฺขาตสโมฺมทชนนโต สโมฺมทิตุํ ยุตฺตภาวโต จ สโมฺมทนียํ, อตฺถพฺยญฺชนมธุรตาย สุจิรมฺปิ กาลํ สาเรตุํ นิรนฺตรํ ปวเตฺตตุํ อรหภาวโต สริตพฺพภาวโต จ สารณียํฯ สุยฺยมานสุขโต สโมฺมทนียํ, อนุสฺสริยมานสุขโต จ สารณียํฯ ตถา พฺยญฺชนปริสุทฺธตาย สโมฺมทนียํ, อตฺถปริสุทฺธตาย สารณียํฯ เอวํ อเนเกหิ ปริยาเยหิ สโมฺมทนียํ กถํ สารณียํ วีติสาเรตฺวา ปริโยสาเปตฺวา นิฎฺฐเปตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิํสุฯ

    Bhagavatā saddhiṃ sammodiṃsūti yathā khamanīyādīni pucchanto bhagavā tehi, evaṃ tepi bhagavatā saddhiṃ samappavattamodā ahesuṃ. Sītodakaṃ viya uṇhodakena sammoditaṃ ekībhāvaṃ agamaṃsu. Yāya ca ‘‘kacci, bho gotama, khamanīyaṃ; kacci yāpanīyaṃ, kacci bhoto ca gotamassa sāvakānañca appābādhaṃ, appātaṅkaṃ, lahuṭṭhānaṃ, balaṃ, phāsuvihāro’’tiādikāya kathāya sammodiṃsu, taṃ pītipāmojjasaṅkhātasammodajananato sammodituṃ yuttabhāvato ca sammodanīyaṃ, atthabyañjanamadhuratāya sucirampi kālaṃ sāretuṃ nirantaraṃ pavattetuṃ arahabhāvato saritabbabhāvato ca sāraṇīyaṃ. Suyyamānasukhato sammodanīyaṃ, anussariyamānasukhato ca sāraṇīyaṃ. Tathā byañjanaparisuddhatāya sammodanīyaṃ, atthaparisuddhatāya sāraṇīyaṃ. Evaṃ anekehi pariyāyehi sammodanīyaṃ kathaṃ sāraṇīyaṃ vītisāretvā pariyosāpetvā niṭṭhapetvā ekamantaṃ nisīdiṃsu.

    อมฺพโฎฺฐ ปน มาณโวติ โส กิร ภควโต รูปสมฺปตฺติยํ จิตฺตปฺปสาทมตฺตมฺปิ อกตฺวา ‘‘ทสพลํ อปสาเทสฺสามี’’ติ อุทเร พทฺธสาฎกํ มุญฺจิตฺวา กเณฺฐ โอลเมฺพตฺวา เอเกน หเตฺถน ทุสฺสกณฺณํ คเหตฺวา จงฺกมํ อภิรูหิตฺวา กาเลน พาหุํ, กาเลน อุทรํ, กาเลน ปิฎฺฐิํ ทเสฺสโนฺต, กาเลน หตฺถวิการํ, กาเลน ภมุกวิการํ กโรโนฺต, ‘‘กจฺจิ เต โภ, โคตม, ธาตุสมตา, กจฺจิ ภิกฺขาหาเรน น กิลมถ, อกิลมถากาโรเยว ปน เต ปญฺญายติ; ถูลานิ หิ เต องฺคปจฺจงฺคานิ, ปาสาทิกตฺถ คตคตฎฺฐาเน. ‘เต พหุชนา ราชปพฺพชิโตติ จ พุโทฺธ’ติ จ อุปฺปนฺนพหุมานา ปณีตํ โอชวนฺตมาหารํ เทนฺติฯ ปสฺสถ, โภ, เคหํ, จิตฺตสาลา วิย, ทิพฺพปาสาโท วิยฯ อิมํ มญฺจํ ปสฺสถ, พิโมฺพหนํ ปสฺสถ, กิํ เอวรูเป ฐาเน วสนฺตสฺส สมณธมฺมํ กาตุํ ทุกฺกร’’นฺติ เอวรูปํ อุปฺปณฺฑนกถํ อนาจารภาวสารณียํ กเถติ, เตน วุตฺตํ – ‘‘อมฺพโฎฺฐ ปน มาณโว จงฺกมโนฺตปิ นิสิเนฺนน ภควตา กิญฺจิ กิญฺจิ กถํ สารณียํ วีติสาเรติ, ฐิโตปิ นิสิเนฺนน ภควตา กิญฺจิ กิญฺจิ กถํ สารณียํ วีติสาเรตี’’ติฯ

    Ambaṭṭhopana māṇavoti so kira bhagavato rūpasampattiyaṃ cittappasādamattampi akatvā ‘‘dasabalaṃ apasādessāmī’’ti udare baddhasāṭakaṃ muñcitvā kaṇṭhe olambetvā ekena hatthena dussakaṇṇaṃ gahetvā caṅkamaṃ abhirūhitvā kālena bāhuṃ, kālena udaraṃ, kālena piṭṭhiṃ dassento, kālena hatthavikāraṃ, kālena bhamukavikāraṃ karonto, ‘‘kacci te bho, gotama, dhātusamatā, kacci bhikkhāhārena na kilamatha, akilamathākāroyeva pana te paññāyati; thūlāni hi te aṅgapaccaṅgāni, pāsādikattha gatagataṭṭhāne. ‘te bahujanā rājapabbajitoti ca buddho’ti ca uppannabahumānā paṇītaṃ ojavantamāhāraṃ denti. Passatha, bho, gehaṃ, cittasālā viya, dibbapāsādo viya. Imaṃ mañcaṃ passatha, bimbohanaṃ passatha, kiṃ evarūpe ṭhāne vasantassa samaṇadhammaṃ kātuṃ dukkara’’nti evarūpaṃ uppaṇḍanakathaṃ anācārabhāvasāraṇīyaṃ katheti, tena vuttaṃ – ‘‘ambaṭṭho pana māṇavo caṅkamantopi nisinnena bhagavatā kiñci kiñci kathaṃ sāraṇīyaṃ vītisāreti, ṭhitopi nisinnena bhagavatā kiñci kiñci kathaṃ sāraṇīyaṃ vītisāretī’’ti.

    ๒๖๒. อถ โข ภควาติ อถ ภควา – ‘‘อยํ มาณโว หตฺถํ ปสาเรตฺวา ภวคฺคํ คเหตุกาโม วิย, ปาทํ ปสาเรตฺวา อวีจิํ วิจริตุกาโม วิย, มหาสมุทฺทํ ตริตุกาโม วิย, สิเนรุํ อาโรหิตุกาโม วิย จ อฎฺฐาเน วายมติ, หนฺท, เตน สทฺธิํ มเนฺตมี’’ติ อมฺพฎฺฐํ มาณวํ เอตทโวจฯ อาจริยปาจริเยหีติ อาจริเยหิ จ เตสํ อาจริเยหิ จฯ

    262.Atha kho bhagavāti atha bhagavā – ‘‘ayaṃ māṇavo hatthaṃ pasāretvā bhavaggaṃ gahetukāmo viya, pādaṃ pasāretvā avīciṃ vicaritukāmo viya, mahāsamuddaṃ taritukāmo viya, sineruṃ ārohitukāmo viya ca aṭṭhāne vāyamati, handa, tena saddhiṃ mantemī’’ti ambaṭṭhaṃ māṇavaṃ etadavoca. Ācariyapācariyehīti ācariyehi ca tesaṃ ācariyehi ca.

    ปฐมอิพฺภวาทวณฺณนา

    Paṭhamaibbhavādavaṇṇanā

    ๒๖๓. คจฺฉโนฺต วาติ เอตฺถ กามํ ตีสุ อิริยาปเถสุ พฺราหฺมโณ อาจริยพฺราหฺมเณน สทฺธิํ สลฺลปิตุมรหติฯ อยํ ปน มาณโว มานถทฺธตาย กถาสลฺลาปํ กโรโนฺต จตฺตาโรปิ อิริยาปเถ โยเชสฺสามีติ ‘‘สยาโน วา หิ, โภ โคตม, สยาเนนา’’ติ อาหฯ

    263.Gacchanto vāti ettha kāmaṃ tīsu iriyāpathesu brāhmaṇo ācariyabrāhmaṇena saddhiṃ sallapitumarahati. Ayaṃ pana māṇavo mānathaddhatāya kathāsallāpaṃ karonto cattāropi iriyāpathe yojessāmīti ‘‘sayāno vā hi, bho gotama, sayānenā’’ti āha.

    ตโต กิร ตํ ภควา – ‘‘อมฺพฎฺฐ, คจฺฉนฺตสฺส วา คจฺฉเนฺตน, ฐิตสฺส วา ฐิเตน, นิสินฺนสฺส วา นิสิเนฺนนาจริเยน สทฺธิํ กถา นาม สพฺพาจริเยสุ ลพฺภติฯ ตฺวํ ปน สยาโน สยาเนนาจริเยน สทฺธิํ กเถสิ, กิํ เต อาจริโย โครูปํ, อุทาหุ ตฺว’’นฺติ อาหฯ โส กุชฺฌิตฺวา – ‘‘เย จ โข เต, โภ โคตม, มุณฺฑกา’’ติอาทิมาหฯ ตตฺถ มุเณฺฑ มุณฺฑาติ สมเณ จ สมณาติ วตฺตุํ วเฎฺฎยฺยฯ อยํ ปน หีเฬโนฺต มุณฺฑกา สมณกาติ อาหฯ อิพฺภาติ คหปติกาฯ กณฺหาติ กณฺหา, กาฬกาติ อโตฺถฯ พนฺธุปาทาปจฺจาติ เอตฺถ พนฺธูติ พฺรหฺมา อธิเปฺปโตฯ ตญฺหิ พฺราหฺมณา ปิตามโหติ โวหรนฺติฯ ปาทานํ อปจฺจา ปาทาปจฺจา, พฺรหฺมุโน ปิฎฺฐิปาทโต ชาตาติ อธิปฺปาโยฯ ตสฺส กิร อยํ ลทฺธิ – พฺราหฺมณา พฺรหฺมุโน มุขโต นิกฺขนฺตา, ขตฺติยา อุรโต, เวสฺสา นาภิโต, สุทฺทา ชาณุโต, สมณา ปิฎฺฐิปาทโตติฯ เอวํ กเถโนฺต จ ปเนส กิญฺจาปิ อนิยเมตฺวา กเถติฯ อถ โข ภควนฺตเมว วทามีติ กเถติฯ

    Tato kira taṃ bhagavā – ‘‘ambaṭṭha, gacchantassa vā gacchantena, ṭhitassa vā ṭhitena, nisinnassa vā nisinnenācariyena saddhiṃ kathā nāma sabbācariyesu labbhati. Tvaṃ pana sayāno sayānenācariyena saddhiṃ kathesi, kiṃ te ācariyo gorūpaṃ, udāhu tva’’nti āha. So kujjhitvā – ‘‘ye ca kho te, bho gotama, muṇḍakā’’tiādimāha. Tattha muṇḍe muṇḍāti samaṇe ca samaṇāti vattuṃ vaṭṭeyya. Ayaṃ pana hīḷento muṇḍakā samaṇakāti āha. Ibbhāti gahapatikā. Kaṇhāti kaṇhā, kāḷakāti attho. Bandhupādāpaccāti ettha bandhūti brahmā adhippeto. Tañhi brāhmaṇā pitāmahoti voharanti. Pādānaṃ apaccā pādāpaccā, brahmuno piṭṭhipādato jātāti adhippāyo. Tassa kira ayaṃ laddhi – brāhmaṇā brahmuno mukhato nikkhantā, khattiyā urato, vessā nābhito, suddā jāṇuto, samaṇā piṭṭhipādatoti. Evaṃ kathento ca panesa kiñcāpi aniyametvā katheti. Atha kho bhagavantameva vadāmīti katheti.

    อถ โข ภควา – ‘‘อยํ อมฺพโฎฺฐ อาคตกาลโต ปฎฺฐาย มยา สทฺธิํ กถยมาโน มานเมว นิสฺสาย กเถสิ, อาสีวิสํ คีวายํ คณฺหโนฺต วิย, อคฺคิกฺขนฺธํ อาลิงฺคโนฺต วิย, มตฺตวารณํ โสณฺฑาย ปรามสโนฺต วิย, อตฺตโน ปมาณํ น ชานาติฯ หนฺท นํ ชานาเปสฺสามี’’ติ จิเนฺตตฺวา ‘‘อตฺถิกวโต โข ปน เต, อมฺพฎฺฐา’’ติอาทิมาหฯ ตตฺถ อาคนฺตฺวา กตฺตพฺพกิจฺจสงฺขาโต อโตฺถ, เอตสฺส อตฺถีติ อตฺถิกํ, ตสฺส มาณวสฺส จิตฺตํฯ อตฺถิกมสฺส อตฺถีติ อตฺถิกวา, ตสฺส อตฺถิกวโต ตว อิธาคมนํ อโหสีติ อโตฺถฯ

    Atha kho bhagavā – ‘‘ayaṃ ambaṭṭho āgatakālato paṭṭhāya mayā saddhiṃ kathayamāno mānameva nissāya kathesi, āsīvisaṃ gīvāyaṃ gaṇhanto viya, aggikkhandhaṃ āliṅganto viya, mattavāraṇaṃ soṇḍāya parāmasanto viya, attano pamāṇaṃ na jānāti. Handa naṃ jānāpessāmī’’ti cintetvā ‘‘atthikavato kho pana te, ambaṭṭhā’’tiādimāha. Tattha āgantvā kattabbakiccasaṅkhāto attho, etassa atthīti atthikaṃ, tassa māṇavassa cittaṃ. Atthikamassa atthīti atthikavā, tassa atthikavato tava idhāgamanaṃ ahosīti attho.

    โข ปนาติ นิปาตมตฺตํฯ ยาเยว โข ปนตฺถายาติ เยเนว โข ปนเตฺถนฯ อาคเจฺฉยฺยาถาติ มม วา อเญฺญสํ วา สนฺติกํ ยทา กทาจิ อาคเจฺฉยฺยาถฯ ตเมว อตฺถนฺติ อิทํ ปุริสลิงฺควเสเนว วุตฺตํฯ มนสิ กเรยฺยาถาติ จิเตฺต กเรยฺยาถฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – ตฺวํ อาจริเยน อตฺตโน กรณีเยน เปสิโต, น อมฺหากํ ปริภวนตฺถาย, ตสฺมา ตเมว กิจฺจํ มนสิ กโรหีติฯ เอวมสฺส อเญฺญสํ สนฺติกํ อาคตานํ วตฺตํ ทเสฺสตฺวา มานนิคฺคณฺหนตฺถํ ‘‘อวุสิตวาเยว โข ปนา’’ติอาทิมาหฯ ตสฺสโตฺถ ปสฺสถ โภ อยํ อมฺพโฎฺฐ มาณโว อาจริยกุเล อวุสิตวา อสิกฺขิโต อปฺปสฺสุโตว สมาโนฯ วุสิตมานีติ ‘‘อหํ วุสิตวา สิกฺขิโต พหุสฺสุโต’’ติ อตฺตานํ มญฺญติฯ เอตสฺส หิ เอวํ ผรุสวจนสมุทาจาเร การณํ กิมญฺญตฺร อวุสิตตฺตาติ อาจริยกุเล อสํวุทฺธา อสิกฺขิตา อปฺปสฺสุตาเยว หิ เอวํ วทนฺตีติฯ

    Kho panāti nipātamattaṃ. Yāyeva kho panatthāyāti yeneva kho panatthena. Āgaccheyyāthāti mama vā aññesaṃ vā santikaṃ yadā kadāci āgaccheyyātha. Tameva atthanti idaṃ purisaliṅgavaseneva vuttaṃ. Manasi kareyyāthāti citte kareyyātha. Idaṃ vuttaṃ hoti – tvaṃ ācariyena attano karaṇīyena pesito, na amhākaṃ paribhavanatthāya, tasmā tameva kiccaṃ manasi karohīti. Evamassa aññesaṃ santikaṃ āgatānaṃ vattaṃ dassetvā mānaniggaṇhanatthaṃ ‘‘avusitavāyeva kho panā’’tiādimāha. Tassattho passatha bho ayaṃ ambaṭṭho māṇavo ācariyakule avusitavā asikkhito appassutova samāno. Vusitamānīti ‘‘ahaṃ vusitavā sikkhito bahussuto’’ti attānaṃ maññati. Etassa hi evaṃ pharusavacanasamudācāre kāraṇaṃ kimaññatra avusitattāti ācariyakule asaṃvuddhā asikkhitā appassutāyeva hi evaṃ vadantīti.

    ๒๖๔. กุปิโตติ กุโทฺธฯ อนตฺตมโนติ อสกมโน, กิํ ปน ภควา ตสฺส กุชฺฌนภาวํ ญตฺวา เอวมาห อุทาหุ อญตฺวาติ? ญตฺวา อาหาติฯ กสฺมา ญตฺวา อาหาติ? ตสฺส มานนิมฺมทนตฺถํฯ ภควา หิ อญฺญาสิ – ‘‘อยํ มยา เอวํ วุเตฺต กุชฺฌิตฺวา มม ญาตเก อโกฺกสิสฺสติฯ อถสฺสาหํ ยถา นาม กุสโล ภิสโกฺก โทสํ อุคฺคิเลตฺวา นีหรติ, เอวเมว โคเตฺตน โคตฺตํ, กุลาปเทเสน กุลาปเทสํ , อุฎฺฐาเปตฺวา ภวคฺคปฺปมาเณน วิย อุฎฺฐิตํ มานทฺธชํ มูเล เฉตฺวา นิปาเตสฺสามี’’ติฯ ขุํเสโนฺตติ ฆเฎฺฎโนฺตฯ วเมฺภโนฺตติ หีเฬโนฺตฯ ปาปิโต ภวิสฺสตีติ จณฺฑภาวาทิโทสํ ปาปิโต ภวิสฺสติฯ

    264.Kupitoti kuddho. Anattamanoti asakamano, kiṃ pana bhagavā tassa kujjhanabhāvaṃ ñatvā evamāha udāhu añatvāti? Ñatvā āhāti. Kasmā ñatvā āhāti? Tassa mānanimmadanatthaṃ. Bhagavā hi aññāsi – ‘‘ayaṃ mayā evaṃ vutte kujjhitvā mama ñātake akkosissati. Athassāhaṃ yathā nāma kusalo bhisakko dosaṃ uggiletvā nīharati, evameva gottena gottaṃ, kulāpadesena kulāpadesaṃ , uṭṭhāpetvā bhavaggappamāṇena viya uṭṭhitaṃ mānaddhajaṃ mūle chetvā nipātessāmī’’ti. Khuṃsentoti ghaṭṭento. Vambhentoti hīḷento. Pāpito bhavissatīti caṇḍabhāvādidosaṃ pāpito bhavissati.

    จณฺฑาติ มานนิสฺสิตโกธยุตฺตาฯ ผรุสาติ ขราฯ ลหุสาติ ลหุกาฯ อปฺปเกเนว ตุสฺสนฺติ วา ทุสฺสนฺติ วา อุทกปิเฎฺฐ อลาพุกฎาหํ วิย อปฺปเกเนว อุปฺลวนฺติฯ ภสฺสาติ พหุภาณิโนฯ สกฺยานํ มุเข วิวเฎ อญฺญสฺส วจโนกาโส นตฺถีติ อธิปฺปาเยเนว วทติฯ สมานาติ อิทํ สนฺตาติ ปุริมปทสฺส เววจนํฯ น สกฺกโรนฺตีติ น พฺราหฺมณานํ สุนฺทเรนากาเรน กโรนฺติฯ น ครุํ กโรนฺตีติ พฺราหฺมเณสุ คารวํ น กโรนฺติฯ น มาเนนฺตีติ น มเนน ปิยายนฺติฯ น ปูเชนฺตีติ มาลาทีหิ เนสํ ปูชํ น กโรนฺติฯ น อปจายนฺตีติ อภิวาทนาทีหิ เนสํ อปจิติกมฺมํ นีจวุตฺติํ น ทเสฺสนฺติ ตยิทนฺติ ตํ อิทํฯ ยทิเม สกฺยาติ ยํ อิเม สกฺยา น พฺราหฺมเณ สกฺกโรนฺติ…เป.… น อปจายนฺติ, ตํ เตสํ อสกฺการกรณาทิ สพฺพํ น ยุตฺตํ, นานุโลมนฺติ อโตฺถฯ

    Caṇḍāti mānanissitakodhayuttā. Pharusāti kharā. Lahusāti lahukā. Appakeneva tussanti vā dussanti vā udakapiṭṭhe alābukaṭāhaṃ viya appakeneva uplavanti. Bhassāti bahubhāṇino. Sakyānaṃ mukhe vivaṭe aññassa vacanokāso natthīti adhippāyeneva vadati. Samānāti idaṃ santāti purimapadassa vevacanaṃ. Na sakkarontīti na brāhmaṇānaṃ sundarenākārena karonti. Na garuṃ karontīti brāhmaṇesu gāravaṃ na karonti. Na mānentīti na manena piyāyanti. Na pūjentīti mālādīhi nesaṃ pūjaṃ na karonti. Na apacāyantīti abhivādanādīhi nesaṃ apacitikammaṃ nīcavuttiṃ na dassenti tayidanti taṃ idaṃ. Yadime sakyāti yaṃ ime sakyā na brāhmaṇe sakkaronti…pe… na apacāyanti, taṃ tesaṃ asakkārakaraṇādi sabbaṃ na yuttaṃ, nānulomanti attho.

    ทุติยอิพฺภวาทวณฺณนา

    Dutiyaibbhavādavaṇṇanā

    ๒๖๕. อปรทฺธุนฺติ อปรชฺฌิํสุฯ เอกมิทาหนฺติ เอตฺถ อิทนฺติ นิปาตมตฺตํฯ เอกํ อหนฺติ อโตฺถฯ สนฺธาคารนฺติ รชฺชอนุสาสนสาลาฯ สกฺยาติ อภิสิตฺตราชาโน ฯ สกฺยกุมาราติ อนภิสิตฺตาฯ อุเจฺจสูติ ยถานุรูเปสุ ปลฺลงฺกปีฐกเวตฺตาสนผลกจิตฺตตฺถรณาทิเภเทสุฯ สญฺชคฺฆนฺตาติ อุปฺปณฺฑนวเสน มหาหสิตํ หสนฺตาฯ สํกีฬนฺตาติ หสิตมตฺต กรณองฺคุลิสงฺฆฎฺฎนปาณิปฺปหารทานาทีนิ กโรนฺตาฯ มมเญฺญว มเญฺญติ เอวมหํ มญฺญามิ, มมเญฺญว อนุหสนฺติ, น อญฺญนฺติฯ

    265.Aparaddhunti aparajjhiṃsu. Ekamidāhanti ettha idanti nipātamattaṃ. Ekaṃ ahanti attho. Sandhāgāranti rajjaanusāsanasālā. Sakyāti abhisittarājāno . Sakyakumārāti anabhisittā. Uccesūti yathānurūpesu pallaṅkapīṭhakavettāsanaphalakacittattharaṇādibhedesu. Sañjagghantāti uppaṇḍanavasena mahāhasitaṃ hasantā. Saṃkīḷantāti hasitamatta karaṇaaṅgulisaṅghaṭṭanapāṇippahāradānādīni karontā. Mamaññeva maññeti evamahaṃ maññāmi, mamaññeva anuhasanti, na aññanti.

    กสฺมา ปน เต เอวมกํสูติ? เต กิร อมฺพฎฺฐสฺส กุลวํสํ ชานนฺติฯ อยญฺจ ตสฺมิํ สมเย ยาว ปาทนฺตา โอลเมฺพตฺวา นิวตฺถสาฎกสฺส เอเกน หเตฺถน ทุสฺสกณฺณํ คเหตฺวา ขนฺธฎฺฐิกํ นาเมตฺวา มานมเทน มโตฺต วิย อาคจฺฉติฯ ตโต – ‘‘ปสฺสถ โภ อมฺหากํ ทาสสฺส กณฺหายนโคตฺตสฺส อมฺพฎฺฐสฺส อาคมนการณ’’นฺติ วทนฺตา เอวมกํสุฯ โสปิ อตฺตโน กุลวํสํ ชานาติฯ ตสฺมา ‘‘มมเญฺญว มเญฺญ’’ติ ตกฺกยิตฺถฯ

    Kasmā pana te evamakaṃsūti? Te kira ambaṭṭhassa kulavaṃsaṃ jānanti. Ayañca tasmiṃ samaye yāva pādantā olambetvā nivatthasāṭakassa ekena hatthena dussakaṇṇaṃ gahetvā khandhaṭṭhikaṃ nāmetvā mānamadena matto viya āgacchati. Tato – ‘‘passatha bho amhākaṃ dāsassa kaṇhāyanagottassa ambaṭṭhassa āgamanakāraṇa’’nti vadantā evamakaṃsu. Sopi attano kulavaṃsaṃ jānāti. Tasmā ‘‘mamaññeva maññe’’ti takkayittha.

    อาสเนนาติ ‘‘อิทมาสนํ, เอตฺถ นิสีทาหี’’ติ เอวํ อาสเนน นิมนฺตนํ นาม โหติ, ตถา น โกจิ อกาสิฯ

    Āsanenāti ‘‘idamāsanaṃ, ettha nisīdāhī’’ti evaṃ āsanena nimantanaṃ nāma hoti, tathā na koci akāsi.

    ตติยอิพฺภวาทวณฺณนา

    Tatiyaibbhavādavaṇṇanā

    ๒๖๖. ลฎุกิกาติ เขตฺตเลฑฺฑูนํ อนฺตเรนิวาสินี ขุทฺทกสกุณิกาฯ กุลาวเกติ นิวาสนฎฺฐาเนฯ กามลาปินีติ ยทิจฺฉกภาณินี, ยํ ยํ อิจฺฉติ ตํ ตํ ลปติ, น ตํ โกจิ หํโส วา โกโญฺจ วา โมโร วา อาคนฺตฺวา ‘‘กิํ ตฺวํ ลปสี’ติ นิเสเธติฯ อภิสชฺชิตุนฺติ โกธวเสน ลคฺคิตุํฯ

    266.Laṭukikāti khettaleḍḍūnaṃ antarenivāsinī khuddakasakuṇikā. Kulāvaketi nivāsanaṭṭhāne. Kāmalāpinīti yadicchakabhāṇinī, yaṃ yaṃ icchati taṃ taṃ lapati, na taṃ koci haṃso vā koñco vā moro vā āgantvā ‘‘kiṃ tvaṃ lapasī’ti nisedheti. Abhisajjitunti kodhavasena laggituṃ.

    เอวํ วุเตฺต มาณโว – ‘‘อยํ สมโณ โคตโม อตฺตโน ญาตเก ลฎุกิกสทิเส กตฺวา อเมฺห หํสโกญฺจโมรสทิเส กโรติ, นิมฺมาโน ทานิ ชาโต’’ติ มญฺญมาโน อุตฺตริ จตฺตาโร วเณฺณ ทเสฺสติฯ

    Evaṃ vutte māṇavo – ‘‘ayaṃ samaṇo gotamo attano ñātake laṭukikasadise katvā amhe haṃsakoñcamorasadise karoti, nimmāno dāni jāto’’ti maññamāno uttari cattāro vaṇṇe dasseti.

    ทาสิปุตฺตวาทวณฺณนา

    Dāsiputtavādavaṇṇanā

    ๒๖๗. นิมฺมาเทตีติ นิมฺมเทติ นิมฺมาเน กโรติฯ ยํนูนาหนฺติ ยทิ ปนาหํฯ ‘‘กณฺหายโนหมสฺมิ, โภ โคตมา’’ติ อิทํ กิร วจนํ อมฺพโฎฺฐ ติกฺขตฺตุํ มหาสเทฺทน อโวจฯ กสฺมา อโวจ? กิํ อสุทฺธภาวํ น ชานาตีติ? อาม ชานาติฯ ชานโนฺตปิ ภวปฎิจฺฉนฺนเมตํ การณํ, ตํ อเนน น ทิฎฺฐํฯ อปสฺสโนฺต มหาสมโณ กิํ วกฺขตีติ มญฺญมาโน มานถทฺธตาย อโวจฯ มาตาเปตฺติกนฺติ มาตาปิตูนํ สนฺตกํฯ นามโคตฺตนฺติ ปณฺณตฺติวเสน นามํ, ปเวณีวเสน โคตฺตํฯ อนุสฺสรโตติ อนุสฺสรนฺตสฺส กุลโกฎิํ โสเธนฺตสฺสฯ อยฺยปุตฺตาติ สามิโน ปุตฺตาฯ ทาสิปุโตฺตติ ฆรทาสิยาว ปุโตฺตฯ ตสฺมา ยถา ทาเสน สามิโน อุปสงฺกมิตพฺพา, เอวํ อนุปสงฺกมนฺตํ ตํ ทิสฺวา สกฺยา อนุชคฺฆิํสูติ ทเสฺสติฯ

    267.Nimmādetīti nimmadeti nimmāne karoti. Yaṃnūnāhanti yadi panāhaṃ. ‘‘Kaṇhāyanohamasmi, bho gotamā’’ti idaṃ kira vacanaṃ ambaṭṭho tikkhattuṃ mahāsaddena avoca. Kasmā avoca? Kiṃ asuddhabhāvaṃ na jānātīti? Āma jānāti. Jānantopi bhavapaṭicchannametaṃ kāraṇaṃ, taṃ anena na diṭṭhaṃ. Apassanto mahāsamaṇo kiṃ vakkhatīti maññamāno mānathaddhatāya avoca. Mātāpettikanti mātāpitūnaṃ santakaṃ. Nāmagottanti paṇṇattivasena nāmaṃ, paveṇīvasena gottaṃ. Anussaratoti anussarantassa kulakoṭiṃ sodhentassa. Ayyaputtāti sāmino puttā. Dāsiputtoti gharadāsiyāva putto. Tasmā yathā dāsena sāmino upasaṅkamitabbā, evaṃ anupasaṅkamantaṃ taṃ disvā sakyā anujagghiṃsūti dasseti.

    อิโต ปรํ ตสฺส ทาสภาวํ สกฺยานญฺจ สามิภาวํ ปกาเสตฺวา อตฺตโน จ อมฺพฎฺฐสฺส จ กุลวํสํ อาหรโนฺต สกฺยา โข ปนาติอาทิมาหฯ ตตฺถ ทหนฺตีติ ฐเปนฺติ, โอกฺกาโก โน ปุพฺพปุริโสติ, เอวํ กโรนฺตีติ อโตฺถฯ ตสฺส กิร รโญฺญ กถนกาเล อุกฺกา วิย มุขโต ปภา นิจฺฉรติ, ตสฺมา ตํ ‘‘โอกฺกาโก’’ติ สญฺชานิํสูติฯ ปพฺพาเชสีติ นีหริฯ

    Ito paraṃ tassa dāsabhāvaṃ sakyānañca sāmibhāvaṃ pakāsetvā attano ca ambaṭṭhassa ca kulavaṃsaṃ āharanto sakyā kho panātiādimāha. Tattha dahantīti ṭhapenti, okkāko no pubbapurisoti, evaṃ karontīti attho. Tassa kira rañño kathanakāle ukkā viya mukhato pabhā niccharati, tasmā taṃ ‘‘okkāko’’ti sañjāniṃsūti. Pabbājesīti nīhari.

    อิทานิ เต นามวเสน ทเสฺสโนฺต – ‘‘โอกฺกามุข’’นฺติอาทิมาหฯ ตตฺรายํ อนุปุพฺพี กถา – ปฐมกปฺปิกานํ กิร รโญฺญ มหาสมฺมตสฺส โรโช นาม ปุโตฺต อโหสิฯ โรชสฺส วรโรโช, วรโรชสฺส กลฺยาโณ, กลฺยาณสฺส วรกลฺยาโณ, วรกลฺยาณสฺส มนฺธาตา, มนฺธาตุสฺส วรมนฺธาตา , วรมนฺธาตุสฺส อุโปสโถ, อุโปสถสฺส วโร, วรสฺส อุปวโร, อุปวรสฺส มฆเทโว, มฆเทวสฺส ปรมฺปราย จตุราสีติขตฺติยสหสฺสานิ อเหสุํฯ เตสํ ปจฺฉโต ตโย โอกฺกากวํสา อเหสุํฯ เตสุ ตติยโอกฺกากสฺส ปญฺจ มเหสิโย อเหสุํ – หตฺถา, จิตฺตา, ชนฺตุ, ชาลินี, วิสาขาติฯ เอเกกิสฺสา ปญฺจปญฺจอิตฺถิสตปริวาราฯ สพฺพเชฎฺฐาย จตฺตาโร ปุตฺตา – โอกฺกามุโข, กรกณฺฑุ, หตฺถินิโก, สินิสูโรติฯ ปญฺจ ธีตโร – ปิยา, สุปฺปิยา, อานนฺทา, วิชิตา, วิชิตเสนาติฯ อิติ สา นว ปุเตฺต วิชายิตฺวา กาลมกาสิฯ

    Idāni te nāmavasena dassento – ‘‘okkāmukha’’ntiādimāha. Tatrāyaṃ anupubbī kathā – paṭhamakappikānaṃ kira rañño mahāsammatassa rojo nāma putto ahosi. Rojassa vararojo, vararojassa kalyāṇo, kalyāṇassa varakalyāṇo, varakalyāṇassa mandhātā, mandhātussa varamandhātā , varamandhātussa uposatho, uposathassa varo, varassa upavaro, upavarassa maghadevo, maghadevassa paramparāya caturāsītikhattiyasahassāni ahesuṃ. Tesaṃ pacchato tayo okkākavaṃsā ahesuṃ. Tesu tatiyaokkākassa pañca mahesiyo ahesuṃ – hatthā, cittā, jantu, jālinī, visākhāti. Ekekissā pañcapañcaitthisataparivārā. Sabbajeṭṭhāya cattāro puttā – okkāmukho, karakaṇḍu, hatthiniko, sinisūroti. Pañca dhītaro – piyā, suppiyā, ānandā, vijitā, vijitasenāti. Iti sā nava putte vijāyitvā kālamakāsi.

    อถ ราชา อญฺญํ ทหริํ อภิรูปํ ราชธีตรํ อาเนตฺวา อคฺคมเหสิฎฺฐาเน ฐเปสิฯ สา ชนฺตุํ นาม ปุตฺตํ วิชายิฯ อถ นํ ปญฺจมทิวเส อลงฺกริตฺวา รโญฺญ ทเสฺสสิฯ ราชา ตุโฎฺฐ ตสฺสา วรํ อทาสิฯ สา ญาตเกหิ สทฺธิํ มเนฺตตฺวา ปุตฺตสฺส รชฺชํ ยาจิฯ ราชา – ‘‘นสฺส, วสลิ, มม ปุตฺตานํ อนฺตรายํ อิจฺฉสี’’ติ ตเชฺชสิฯ สา ปุนปฺปุนํ รโห ราชานํ ปริโตเสตฺวา – ‘‘มหาราช, มุสาวาโท นาม น วฎฺฎตี’’ติอาทีนิ วตฺวา ยาจติเยวฯ อถ ราชา ปุเตฺต อามเนฺตสิ – ‘‘อหํ ตาตา, ตุมฺหากํ กนิฎฺฐํ ชนฺตุกุมารํ ทิสฺวา ตสฺส มาตุยา สหสา วรํ อทาสิํ , สา ปุตฺตสฺส รชฺชํ ปริณาเมตุํ อิจฺฉติฯ ตุเมฺห ฐเปตฺวา มงฺคลหตฺถิํ มงฺคลอสฺสํ มงฺคลรถญฺจ ยตฺตเก อิจฺฉถ, ตตฺตเก หตฺถิอสฺสรเถ คเหตฺวา คจฺฉถฯ มมจฺจเยน อาคนฺตฺวา รชฺชํ กเรยฺยาถา’’ติ, อฎฺฐหิ อมเจฺจหิ สทฺธิํ อุโยฺยเชสิฯ

    Atha rājā aññaṃ dahariṃ abhirūpaṃ rājadhītaraṃ ānetvā aggamahesiṭṭhāne ṭhapesi. Sā jantuṃ nāma puttaṃ vijāyi. Atha naṃ pañcamadivase alaṅkaritvā rañño dassesi. Rājā tuṭṭho tassā varaṃ adāsi. Sā ñātakehi saddhiṃ mantetvā puttassa rajjaṃ yāci. Rājā – ‘‘nassa, vasali, mama puttānaṃ antarāyaṃ icchasī’’ti tajjesi. Sā punappunaṃ raho rājānaṃ paritosetvā – ‘‘mahārāja, musāvādo nāma na vaṭṭatī’’tiādīni vatvā yācatiyeva. Atha rājā putte āmantesi – ‘‘ahaṃ tātā, tumhākaṃ kaniṭṭhaṃ jantukumāraṃ disvā tassa mātuyā sahasā varaṃ adāsiṃ , sā puttassa rajjaṃ pariṇāmetuṃ icchati. Tumhe ṭhapetvā maṅgalahatthiṃ maṅgalaassaṃ maṅgalarathañca yattake icchatha, tattake hatthiassarathe gahetvā gacchatha. Mamaccayena āgantvā rajjaṃ kareyyāthā’’ti, aṭṭhahi amaccehi saddhiṃ uyyojesi.

    เต นานปฺปการํ โรทิตฺวา กนฺทิตฺวา – ‘‘ตาต, อมฺหากํ โทสํ ขมถา’’ติ ราชานเญฺจว ราโชโรเธ จ ขมาเปตฺวา, ‘‘มยมฺปิ ภาตูหิ สทฺธิํ คจฺฉามา’’ติ ราชานํ อาปุจฺฉิตฺวา นครา นิกฺขนฺตา ภคินิโย อาทาย จตุรงฺคินิยา เสนาย ปริวุตา นครา นิกฺขมิํสุฯ ‘‘กุมารา ปิตุอจฺจเยน อาคนฺตฺวา รชฺชํ กาเรสฺสนฺติ, คจฺฉาม เน อุปฎฺฐหามา’’ติ จิเนฺตตฺวา พหู มนุสฺสา อนุพนฺธิํสุฯ ปฐมทิวเส โยชนมตฺตา เสนา อโหสิ, ทุติเย ทฺวิโยชนมตฺตา, ตติเย ติโยชนมตฺตาฯ กุมารา มนฺตยิํสุ – ‘‘มหา พลกาโย, สเจ มยํ กญฺจิ สามนฺตราชานํ มทฺทิตฺวา ชนปทํ คเณฺหยฺยาม, โสปิ โน นปฺปสเหยฺยฯ กิํ ปเรสํ ปีฬาย กตาย, มหา อยํ ชมฺพุทีโป, อรเญฺญ นครํ มาเปสฺสามา’’ติ หิมวนฺตาภิมุขา คนฺตฺวา นครวตฺถุํ ปริเยสิํสุฯ

    Te nānappakāraṃ roditvā kanditvā – ‘‘tāta, amhākaṃ dosaṃ khamathā’’ti rājānañceva rājorodhe ca khamāpetvā, ‘‘mayampi bhātūhi saddhiṃ gacchāmā’’ti rājānaṃ āpucchitvā nagarā nikkhantā bhaginiyo ādāya caturaṅginiyā senāya parivutā nagarā nikkhamiṃsu. ‘‘Kumārā pituaccayena āgantvā rajjaṃ kāressanti, gacchāma ne upaṭṭhahāmā’’ti cintetvā bahū manussā anubandhiṃsu. Paṭhamadivase yojanamattā senā ahosi, dutiye dviyojanamattā, tatiye tiyojanamattā. Kumārā mantayiṃsu – ‘‘mahā balakāyo, sace mayaṃ kañci sāmantarājānaṃ madditvā janapadaṃ gaṇheyyāma, sopi no nappasaheyya. Kiṃ paresaṃ pīḷāya katāya, mahā ayaṃ jambudīpo, araññe nagaraṃ māpessāmā’’ti himavantābhimukhā gantvā nagaravatthuṃ pariyesiṃsu.

    ตสฺมิญฺจ สมเย อมฺหากํ โพธิสโตฺต พฺราหฺมณมหาสาลกุเล นิพฺพตฺติตฺวา กปิลพฺราหฺมโณ นาม หุตฺวา นิกฺขมฺม อิสิปพฺพชฺชํ ปพฺพชิตฺวา หิมวนฺตปเสฺส โปกฺขรณิยา ตีเร สากวนสเณฺฑ ปณฺณสาลํ มาเปตฺวา วสติฯ โส กิร ภุมฺมชาลํ นาม วิชฺชํ ชานาติ, ยาย อุทฺธํ อสีติหเตฺถ อากาเส, เหฎฺฐา จ ภูมิยมฺปิ คุณโทสํ ปสฺสติฯ เอตสฺมิํ ปเทเส ติณคุมฺพลตา ทกฺขิณาวฎฺฎา ปาจีนาภิมุขา ชายนฺติฯ สีหพฺยคฺฆาทโย มิคสูกเร สปฺปพิฬารา จ มณฺฑูกมูสิเก อนุพนฺธมานา ตํ ปเทสํ ปตฺวา น สโกฺกนฺติ เต อนุพนฺธิตุํฯ เตหิ เต อญฺญทตฺถุ สนฺตชฺชิตา นิวตฺตนฺติเยวฯ โส – ‘‘อยํ ปถวิยา อคฺคปเทโส’’ติ ญตฺวา ตตฺถ อตฺตโน ปณฺณสาลํ มาเปสิฯ

    Tasmiñca samaye amhākaṃ bodhisatto brāhmaṇamahāsālakule nibbattitvā kapilabrāhmaṇo nāma hutvā nikkhamma isipabbajjaṃ pabbajitvā himavantapasse pokkharaṇiyā tīre sākavanasaṇḍe paṇṇasālaṃ māpetvā vasati. So kira bhummajālaṃ nāma vijjaṃ jānāti, yāya uddhaṃ asītihatthe ākāse, heṭṭhā ca bhūmiyampi guṇadosaṃ passati. Etasmiṃ padese tiṇagumbalatā dakkhiṇāvaṭṭā pācīnābhimukhā jāyanti. Sīhabyagghādayo migasūkare sappabiḷārā ca maṇḍūkamūsike anubandhamānā taṃ padesaṃ patvā na sakkonti te anubandhituṃ. Tehi te aññadatthu santajjitā nivattantiyeva. So – ‘‘ayaṃ pathaviyā aggapadeso’’ti ñatvā tattha attano paṇṇasālaṃ māpesi.

    อถ เต กุมาเร นครวตฺถุํ ปริเยสมาเน อตฺตโน วสโนกาสํ อาคเต ทิสฺวา ปุจฺฉิตฺวา ตํ ปวตฺติํ ญตฺวา เตสุ อนุกมฺปํ ชเนตฺวา อโวจ – ‘‘อิมสฺมิํ ปณฺณสาลฎฺฐาเน มาปิตํ นครํ ชมฺพุทีเป อคฺคนครํ ภวิสฺสติฯ เอตฺถ ชาตปุริเสสุ เอเกโก ปุริสสตมฺปิ ปุริสสหสฺสมฺปิ อภิภวิตุํ สกฺขิสฺสติฯ เอตฺถ นครํ มาเปถ, ปณฺณสาลฎฺฐาเน รโญฺญ ฆรํ กโรถฯ อิมสฺมิญฺหิ โอกาเส ฐตฺวา จณฺฑาลปุโตฺตปิ จกฺกวตฺติพเลน อติเสโยฺย’’ติฯ นนุ, ภเนฺต, อยฺยสฺส วสโนกาโสติ? ‘‘มม วสโนกาโส’’ติ มา จินฺตยิตฺถฯ มยฺหํ เอกปเสฺส ปณฺณสาลํ กตฺวา นครํ มาเปตฺวา กปิลวตฺถุนฺติ นามํ กโรถา’’ติฯ เต ตถา กตฺวา ตตฺถ นิวาสํ กเปฺปสุํฯ

    Atha te kumāre nagaravatthuṃ pariyesamāne attano vasanokāsaṃ āgate disvā pucchitvā taṃ pavattiṃ ñatvā tesu anukampaṃ janetvā avoca – ‘‘imasmiṃ paṇṇasālaṭṭhāne māpitaṃ nagaraṃ jambudīpe agganagaraṃ bhavissati. Ettha jātapurisesu ekeko purisasatampi purisasahassampi abhibhavituṃ sakkhissati. Ettha nagaraṃ māpetha, paṇṇasālaṭṭhāne rañño gharaṃ karotha. Imasmiñhi okāse ṭhatvā caṇḍālaputtopi cakkavattibalena atiseyyo’’ti. Nanu, bhante, ayyassa vasanokāsoti? ‘‘Mama vasanokāso’’ti mā cintayittha. Mayhaṃ ekapasse paṇṇasālaṃ katvā nagaraṃ māpetvā kapilavatthunti nāmaṃ karothā’’ti. Te tathā katvā tattha nivāsaṃ kappesuṃ.

    อถามจฺจา – ‘‘อิเม ทารกา วยปฺปตฺตา, สเจ เนสํ ปิตา สนฺติเก ภเวยฺย, โส อาวาหวิวาหํ กเรยฺยฯ อิทานิ ปน อมฺหากํ ภาโร’’ติ จิเนฺตตฺวา กุมาเรหิ สทฺธิํ มนฺตยิํสุฯ กุมารา อมฺหากํ สทิสา ขตฺติยธีตโร นาม น ปสฺสาม, นาปิ ภคินีนํ สทิเส ขตฺติยกุมารเก, อสทิสสํโยเค จ โน อุปฺปนฺนา ปุตฺตา มาติโต วา ปิติโต วา อปริสุทฺธา ชาติสเมฺภทํ ปาปุณิสฺสนฺติฯ ตสฺมา มยํ ภคินีหิเยว สทฺธิํ สํวาสํ โรเจมาติฯ เต ชาติสเมฺภทภเยน เชฎฺฐกภคินิํ มาตุฎฺฐาเน ฐเปตฺวา อวเสสาหิ สํวาสํ กเปฺปสุํฯ

    Athāmaccā – ‘‘ime dārakā vayappattā, sace nesaṃ pitā santike bhaveyya, so āvāhavivāhaṃ kareyya. Idāni pana amhākaṃ bhāro’’ti cintetvā kumārehi saddhiṃ mantayiṃsu. Kumārā amhākaṃ sadisā khattiyadhītaro nāma na passāma, nāpi bhaginīnaṃ sadise khattiyakumārake, asadisasaṃyoge ca no uppannā puttā mātito vā pitito vā aparisuddhā jātisambhedaṃ pāpuṇissanti. Tasmā mayaṃ bhaginīhiyeva saddhiṃ saṃvāsaṃ rocemāti. Te jātisambhedabhayena jeṭṭhakabhaginiṃ mātuṭṭhāne ṭhapetvā avasesāhi saṃvāsaṃ kappesuṃ.

    เตสํ ปุเตฺตหิ จ ธีตาหิ จ วฑฺฒมานานํ อปเรน สมเยน เชฎฺฐกภคินิยา กุฎฺฐโรโค อุทปาทิ, โกวิฬารปุปฺผสทิสานิ คตฺตานิ อเหสุํฯ ราชกุมารา อิมาย สทฺธิํ เอกโต นิสชฺชฎฺฐานโภชนาทีนิ กโรนฺตานมฺปิ อุปริ อยํ โรโค สงฺกมตีติ จิเนฺตตฺวา เอกทิวสํ อุยฺยานกีฬํ คจฺฉนฺตา วิย ตํ ยาเน อาโรเปตฺวา อรญฺญํ ปวิสิตฺวา ภูมิยํ โปกฺขรณิํ ขณาเปตฺวา ตตฺถ ขาทนียโภชนีเยน สทฺธิํ ตํ ปกฺขิปิตฺวา ฆรสเงฺขเปน อุปริ ปทรํ ปฎิจฺฉาเทตฺวา ปํสุํ ทตฺวา ปกฺกมิํสุฯ

    Tesaṃ puttehi ca dhītāhi ca vaḍḍhamānānaṃ aparena samayena jeṭṭhakabhaginiyā kuṭṭharogo udapādi, koviḷārapupphasadisāni gattāni ahesuṃ. Rājakumārā imāya saddhiṃ ekato nisajjaṭṭhānabhojanādīni karontānampi upari ayaṃ rogo saṅkamatīti cintetvā ekadivasaṃ uyyānakīḷaṃ gacchantā viya taṃ yāne āropetvā araññaṃ pavisitvā bhūmiyaṃ pokkharaṇiṃ khaṇāpetvā tattha khādanīyabhojanīyena saddhiṃ taṃ pakkhipitvā gharasaṅkhepena upari padaraṃ paṭicchādetvā paṃsuṃ datvā pakkamiṃsu.

    เตน จ สมเยน ราโม นาม พาราณสิราชา กุฎฺฐโรโค นาฎกิตฺถีหิ จ โอโรเธหิ จ ชิคุจฺฉิยมาโน เตน สํเวเคน เชฎฺฐปุตฺตสฺส รชฺชํ ทตฺวา อรญฺญํ ปวิสิตฺวา ตตฺถ ปณฺณสาลํ มาเปตฺวา มูลผลานิ ปริภุญฺชโนฺต นจิรเสฺสว อโรโค สุวณฺณวโณฺณ หุตฺวา อิโต จิโต จ วิจรโนฺต มหนฺตํ สุสิรรุกฺขํ ทิสฺวา ตสฺสพฺภนฺตเร โสฬสหตฺถปฺปมาณํ โอกาสํ โสเธตฺวา ทฺวารญฺจ วาตปานญฺจ โยเชตฺวา นิเสฺสณิํ พนฺธิตฺวา ตตฺถ วาสํ กเปฺปสิฯ โส องฺคารกฎาเห อคฺคิํ กตฺวา รตฺติํ มิคสูกราทีนํ สเทฺท สุณโนฺต สยติฯ โส – ‘‘อสุกสฺมิํ ปเทเส สีโห สทฺทมกาสิ, อสุกสฺมิํ พฺยโคฺฆ’’ติ สลฺลเกฺขตฺวา ปภาเต ตตฺถ คนฺตฺวา วิฆาสมํสํ อาทาย ปจิตฺวา ขาทติฯ

    Tena ca samayena rāmo nāma bārāṇasirājā kuṭṭharogo nāṭakitthīhi ca orodhehi ca jigucchiyamāno tena saṃvegena jeṭṭhaputtassa rajjaṃ datvā araññaṃ pavisitvā tattha paṇṇasālaṃ māpetvā mūlaphalāni paribhuñjanto nacirasseva arogo suvaṇṇavaṇṇo hutvā ito cito ca vicaranto mahantaṃ susirarukkhaṃ disvā tassabbhantare soḷasahatthappamāṇaṃ okāsaṃ sodhetvā dvārañca vātapānañca yojetvā nisseṇiṃ bandhitvā tattha vāsaṃ kappesi. So aṅgārakaṭāhe aggiṃ katvā rattiṃ migasūkarādīnaṃ sadde suṇanto sayati. So – ‘‘asukasmiṃ padese sīho saddamakāsi, asukasmiṃ byaggho’’ti sallakkhetvā pabhāte tattha gantvā vighāsamaṃsaṃ ādāya pacitvā khādati.

    อเถกทิวสํ ตสฺมิํ ปจฺจูสสมเย อคฺคิํ ชาเลตฺวา นิสิเนฺน ราชธีตาย สรีรคเนฺธน อาคนฺตฺวา พฺยโคฺฆ ตสฺมิํ ปเทเส ปํสุํ วิยูหโนฺต ปทเร วิวรมกาสิ, เตน จ วิวเรน สา พฺยคฺฆํ ทิสฺวา ภีตา วิสฺสรมกาสิฯ โส ตํ สทฺทํ สุตฺวา – ‘‘อิตฺถิสโทฺท เอโส’’ติ จ สลฺลเกฺขตฺวา ปาโตว ตตฺถ คนฺตฺวา – ‘‘โก เอตฺถา’’ติ อาหฯ มาตุคาโม สามีติฯ กิํ ชาติกาสีติ? โอกฺกากมหาราชสฺส ธีตา สามีติฯ นิกฺขมาติ? น สกฺกา สามีติฯ กิํ การณาติ? ฉวิโรโค เม อตฺถีติฯ โส สพฺพํ ปวตฺติํ ปุจฺฉิตฺวา ขตฺติยมาเนน อนิกฺขมนฺติํ – ‘‘อหมฺปิ ขตฺติโย’’ติ อตฺตโน ขตฺติยภาวํ ชานาเปตฺวา นิเสฺสณิํ ทตฺวา อุทฺธริตฺวา อตฺตโน วสโนกาสํ เนตฺวา สยํ ปริภุตฺตเภสชฺชานิเยว ทตฺวา นจิรเสฺสว อโรคํ สุวณฺณวณฺณํ กตฺวา ตาย สทฺธิํ สํวาสํ กเปฺปสิฯ สา ปฐมสํวาเสเนว คพฺภํ คณฺหิตฺวา เทฺว ปุเตฺต วิชายิ, ปุนปิ เทฺวติ, เอวํ โสฬสกฺขตฺตุมฺปิ วิชายิฯ เอวํ ทฺวตฺติํส ภาตโร อเหสุํฯ เต อนุปุเพฺพน วุฑฺฒิปฺปเตฺต ปิตา สพฺพสิปฺปานิ สิกฺขาเปสิฯ

    Athekadivasaṃ tasmiṃ paccūsasamaye aggiṃ jāletvā nisinne rājadhītāya sarīragandhena āgantvā byaggho tasmiṃ padese paṃsuṃ viyūhanto padare vivaramakāsi, tena ca vivarena sā byagghaṃ disvā bhītā vissaramakāsi. So taṃ saddaṃ sutvā – ‘‘itthisaddo eso’’ti ca sallakkhetvā pātova tattha gantvā – ‘‘ko etthā’’ti āha. Mātugāmo sāmīti. Kiṃ jātikāsīti? Okkākamahārājassa dhītā sāmīti. Nikkhamāti? Na sakkā sāmīti. Kiṃ kāraṇāti? Chavirogo me atthīti. So sabbaṃ pavattiṃ pucchitvā khattiyamānena anikkhamantiṃ – ‘‘ahampi khattiyo’’ti attano khattiyabhāvaṃ jānāpetvā nisseṇiṃ datvā uddharitvā attano vasanokāsaṃ netvā sayaṃ paribhuttabhesajjāniyeva datvā nacirasseva arogaṃ suvaṇṇavaṇṇaṃ katvā tāya saddhiṃ saṃvāsaṃ kappesi. Sā paṭhamasaṃvāseneva gabbhaṃ gaṇhitvā dve putte vijāyi, punapi dveti, evaṃ soḷasakkhattumpi vijāyi. Evaṃ dvattiṃsa bhātaro ahesuṃ. Te anupubbena vuḍḍhippatte pitā sabbasippāni sikkhāpesi.

    อเถกทิวสํ เอโก รามรโญฺญ นครวาสี วนจรโก ปพฺพเต รตนานิ คเวสโนฺต ราชานํ ทิสฺวา สญฺชานิตฺวา อาห – ‘‘ชานามหํ, เทว, ตุเมฺห’’ติฯ ตโต นํ ราชา สพฺพํ ปวตฺติํ ปุจฺฉิฯ ตสฺมิํเยว จ ขเณ เต ทารกา อาคมิํสุฯ โส เต ทิสฺวา – ‘‘เก อิเม’’ติ อาหฯ ‘‘ปุตฺตา เม’’ติ จ วุเตฺต เตสํ มาติกวํสํ ปุจฺฉิตฺวา – ‘‘ลทฺธํ ทานิ เม ปาภต’’นฺติ นครํ คนฺตฺวา รโญฺญ อาโรเจสิฯ โส ‘ปิตรํ อานยิสฺสามี’ติ จตุรงฺคินิยา เสนาย ตตฺถ คนฺตฺวา ปิตรํ วนฺทิตฺวา – ‘‘รชฺชํ, เทว, สมฺปฎิจฺฉา’’ติ ยาจิฯ โส – ‘‘อลํ, ตาต, น ตตฺถ คจฺฉามิ, อิเธว เม อิมํ รุกฺขํ อปเนตฺวา นครํ มาเปหี’’ติ อาหฯ โส ตถา กตฺวา ตสฺส นครสฺส โกลรุกฺขํ อปเนตฺวา กตตฺตา โกลนครนฺติ จ พฺยคฺฆปเถ กตตฺตา พฺยคฺฆปถนฺติ จาติ เทฺว นามานิ อาโรเปตฺวา ปิตรํ วนฺทิตฺวา อตฺตโน นครํ อคมาสิฯ

    Athekadivasaṃ eko rāmarañño nagaravāsī vanacarako pabbate ratanāni gavesanto rājānaṃ disvā sañjānitvā āha – ‘‘jānāmahaṃ, deva, tumhe’’ti. Tato naṃ rājā sabbaṃ pavattiṃ pucchi. Tasmiṃyeva ca khaṇe te dārakā āgamiṃsu. So te disvā – ‘‘ke ime’’ti āha. ‘‘Puttā me’’ti ca vutte tesaṃ mātikavaṃsaṃ pucchitvā – ‘‘laddhaṃ dāni me pābhata’’nti nagaraṃ gantvā rañño ārocesi. So ‘pitaraṃ ānayissāmī’ti caturaṅginiyā senāya tattha gantvā pitaraṃ vanditvā – ‘‘rajjaṃ, deva, sampaṭicchā’’ti yāci. So – ‘‘alaṃ, tāta, na tattha gacchāmi, idheva me imaṃ rukkhaṃ apanetvā nagaraṃ māpehī’’ti āha. So tathā katvā tassa nagarassa kolarukkhaṃ apanetvā katattā kolanagaranti ca byagghapathe katattā byagghapathanti cāti dve nāmāni āropetvā pitaraṃ vanditvā attano nagaraṃ agamāsi.

    ตโต วยปฺปเตฺต กุมาเร มาตา อาห – ‘‘ตาตา, ตุมฺหากํ กปิลวตฺถุวาสิโน สกฺยา มาตุลา สนฺติฯ มาตุลธีตานํ ปน โว เอวรูปํ นาม เกสคฺคหณํ โหติ, เอวรูปํ ทุสฺสคหณํฯ ยทา ตา นฺหานติตฺถํ อาคจฺฉนฺติ, ตทา คนฺตฺวา ยสฺส ยา รุจฺจติ, โส ตํ คณฺหตู’’ติฯ เต ตเถว คนฺตฺวา ตาสุ นฺหตฺวา สีสํ สุกฺขาปยมานาสุ ยํ ยํ อิจฺฉิํสุ, ตํ ตํ คเหตฺวา นามํ สาเวตฺวา อคมิํสุฯ สกฺยราชาโน สุตฺวา ‘‘โหตุ, ภเณ, อมฺหากํ ญาตกา เอว เต’’ติ ตุณฺหี อเหสุํฯ อยํ สกฺยโกลิยานํ อุปฺปตฺติฯ เอวํ เตสํ สกฺยโกลิยานํ อญฺญมญฺญํ อาวาหวิวาหํ กโรนฺตานํ ยาว พุทฺธกาลา อนุปจฺฉิโนฺนว วํโส อาคโตฯ ตตฺถ ภควา สกฺยวํสํ ทเสฺสตุํ – ‘‘เต รฎฺฐสฺมา ปพฺพาชิตา หิมวนฺตปเสฺส โปกฺขรณิยา ตีเร’’ติอาทิมาหฯ ตตฺถ สมฺมนฺตีติ วสนฺติฯ สกฺยา วต โภติ รฎฺฐสฺมา ปพฺพาชิตา อรเญฺญ วสนฺตาปิ ชาติสเมฺภทมกตฺวา กุลวํสํ อนุรกฺขิตุํ สกฺยา, สมตฺถา, ปฎิพลาติ อโตฺถฯ ตทเคฺคติ ตํ อคฺคํ กตฺวา, ตโต ปฎฺฐายาติ อโตฺถฯ โส จ เนสํ ปุพฺพปุริโสติ โส โอกฺกาโก ราชา เอเตสํ ปุพฺพปุริโสฯ นตฺถิ เอเตสํ คหปติวํเสน สเมฺภทมตฺตมฺปีติฯ

    Tato vayappatte kumāre mātā āha – ‘‘tātā, tumhākaṃ kapilavatthuvāsino sakyā mātulā santi. Mātuladhītānaṃ pana vo evarūpaṃ nāma kesaggahaṇaṃ hoti, evarūpaṃ dussagahaṇaṃ. Yadā tā nhānatitthaṃ āgacchanti, tadā gantvā yassa yā ruccati, so taṃ gaṇhatū’’ti. Te tatheva gantvā tāsu nhatvā sīsaṃ sukkhāpayamānāsu yaṃ yaṃ icchiṃsu, taṃ taṃ gahetvā nāmaṃ sāvetvā agamiṃsu. Sakyarājāno sutvā ‘‘hotu, bhaṇe, amhākaṃ ñātakā eva te’’ti tuṇhī ahesuṃ. Ayaṃ sakyakoliyānaṃ uppatti. Evaṃ tesaṃ sakyakoliyānaṃ aññamaññaṃ āvāhavivāhaṃ karontānaṃ yāva buddhakālā anupacchinnova vaṃso āgato. Tattha bhagavā sakyavaṃsaṃ dassetuṃ – ‘‘te raṭṭhasmā pabbājitā himavantapasse pokkharaṇiyā tīre’’tiādimāha. Tattha sammantīti vasanti. Sakyā vata bhoti raṭṭhasmā pabbājitā araññe vasantāpi jātisambhedamakatvā kulavaṃsaṃ anurakkhituṃ sakyā, samatthā, paṭibalāti attho. Tadaggeti taṃ aggaṃ katvā, tato paṭṭhāyāti attho. So ca nesaṃ pubbapurisoti so okkāko rājā etesaṃ pubbapuriso. Natthi etesaṃ gahapativaṃsena sambhedamattampīti.

    เอวํ สกฺยวํสํ ปกาเสตฺวา อิทานิ อมฺพฎฺฐวํสํ ปกาเสโนฺต – ‘‘รโญฺญ โข ปนา’’ติอาทิมาหฯ กณฺหํ นาม ชเนสีติ กาฬวณฺณํ อโนฺตกุจฺฉิยํเยว สญฺชาตทนฺตํ ปรูฬฺหมสฺสุทาฐิกํ ปุตฺตํ วิชายิฯ ปพฺยาหาสีติ ยโกฺข ชาโตติ ภเยน ปลายิตฺวา ทฺวารํ ปิธาย ฐิเตสุ ฆรมานุสเกสุ อิโต จิโต จ วิจรโนฺต โธวถ มนฺติอาทีนิ วทโนฺต อุจฺจาสทฺทมกาสิฯ

    Evaṃ sakyavaṃsaṃ pakāsetvā idāni ambaṭṭhavaṃsaṃ pakāsento – ‘‘rañño kho panā’’tiādimāha. Kaṇhaṃnāma janesīti kāḷavaṇṇaṃ antokucchiyaṃyeva sañjātadantaṃ parūḷhamassudāṭhikaṃ puttaṃ vijāyi. Pabyāhāsīti yakkho jātoti bhayena palāyitvā dvāraṃ pidhāya ṭhitesu gharamānusakesu ito cito ca vicaranto dhovatha mantiādīni vadanto uccāsaddamakāsi.

    ๒๖๘. เต มาณวกา ภควนฺตํ เอตทโวจุนฺติ อตฺตโน อุปารมฺภโมจนตฺถาย – ‘‘เอตํ มา ภว’’นฺติอาทิวจนํ อโวจุํฯ เตสํ กิร เอตทโหสิ – ‘‘อมฺพโฎฺฐ อมฺหากํ อาจริยสฺส เชฎฺฐเนฺตวาสี, สเจ มยํ เอวรูเป ฐาเน เอกเทฺววจนมตฺตมฺปิ น วกฺขาม, อยํ โน อาจริยสฺส สนฺติเก อเมฺห ปริภินฺทิสฺสตี’’ติ อุปารมฺภโมจนตฺถํ เอวํ อโวจุํฯ จิเตฺตน ปนสฺส นิมฺมทภาวํ อากงฺขนฺติฯ อยํ กิร มานนิสฺสิตตฺตา เตสมฺปิ อปฺปิโยวฯ กลฺยาณวากฺกรโณติ มธุรวจโนฯ อสฺมิํ วจเนติ อตฺตนา อุคฺคหิเต เวทตฺตยวจเนฯ ปฎิมเนฺตตุนฺติ ปุจฺฉิตํ ปญฺหํ ปฎิกเถตุํ, วิสฺสเชฺชตุนฺติ อโตฺถฯ เอตสฺมิํ วา ทาสิปุตฺตวจเนฯ ปฎิมเนฺตตุนฺติ อุตฺตรํ กเถตุํฯ

    268.Temāṇavakā bhagavantaṃ etadavocunti attano upārambhamocanatthāya – ‘‘etaṃ mā bhava’’ntiādivacanaṃ avocuṃ. Tesaṃ kira etadahosi – ‘‘ambaṭṭho amhākaṃ ācariyassa jeṭṭhantevāsī, sace mayaṃ evarūpe ṭhāne ekadvevacanamattampi na vakkhāma, ayaṃ no ācariyassa santike amhe paribhindissatī’’ti upārambhamocanatthaṃ evaṃ avocuṃ. Cittena panassa nimmadabhāvaṃ ākaṅkhanti. Ayaṃ kira mānanissitattā tesampi appiyova. Kalyāṇavākkaraṇoti madhuravacano. Asmiṃ vacaneti attanā uggahite vedattayavacane. Paṭimantetunti pucchitaṃ pañhaṃ paṭikathetuṃ, vissajjetunti attho. Etasmiṃ vā dāsiputtavacane. Paṭimantetunti uttaraṃ kathetuṃ.

    ๒๖๙. อถ โข ภควาติ อถ โข ภควา – ‘‘สเจ อิเม มาณวกา เอตฺถ นิสินฺนา เอวํ อุจฺจาสทฺทํ กริสฺสนฺติ, อยํ กถา ปริโยสานํ น คมิสฺสติฯ หนฺท, เน นิสฺสเทฺท กตฺวา อมฺพเฎฺฐเนว สทฺธิํ กเถมี’’ติ เต มาณวเก เอตทโวจฯ ตตฺถ มนฺตโวฺหติ มนฺตยถฯ มยา สทฺธิํ ปฎิมเนฺตตูติ มยา สห กเถตุฯ เอวํ วุเตฺต มาณวกา จินฺตยิํสุ – ‘‘อมฺพโฎฺฐ ตาว ทาสิปุโตฺตสีติ วุเตฺต ปุน สีสํ อุกฺขิปิตุํ นาสกฺขิฯ อยํ โข ชาติ นาม ทุชฺชานา, สเจ อญฺญมฺปิ กิญฺจิ สมโณ โคตโม ‘ตฺวํ ทาโส’ติ วกฺขติ, โก เตน สทฺธิํ อฑฺฑํ กริสฺสติฯ อมฺพโฎฺฐ อตฺตนา พทฺธํ ปุฎกํ อตฺตนาว โมเจตู’’ติ อตฺตานํ ปริโมเจตฺวา ตเสฺสว อุปริ ขิปนฺตา – ‘‘สุชาโต จ โภ โคตมา’’ติอาทิมาหํสุฯ

    269.Atha kho bhagavāti atha kho bhagavā – ‘‘sace ime māṇavakā ettha nisinnā evaṃ uccāsaddaṃ karissanti, ayaṃ kathā pariyosānaṃ na gamissati. Handa, ne nissadde katvā ambaṭṭheneva saddhiṃ kathemī’’ti te māṇavake etadavoca. Tattha mantavhoti mantayatha. Mayā saddhiṃ paṭimantetūti mayā saha kathetu. Evaṃ vutte māṇavakā cintayiṃsu – ‘‘ambaṭṭho tāva dāsiputtosīti vutte puna sīsaṃ ukkhipituṃ nāsakkhi. Ayaṃ kho jāti nāma dujjānā, sace aññampi kiñci samaṇo gotamo ‘tvaṃ dāso’ti vakkhati, ko tena saddhiṃ aḍḍaṃ karissati. Ambaṭṭho attanā baddhaṃ puṭakaṃ attanāva mocetū’’ti attānaṃ parimocetvā tasseva upari khipantā – ‘‘sujāto ca bho gotamā’’tiādimāhaṃsu.

    ๒๗๐. สหธมฺมิโกติ สเหตุโก สการโณฯ อกามา พฺยากาตโพฺพติ อตฺตนา อนิจฺฉเนฺตนปิ พฺยากริตโพฺพ, อวสฺสํ วิสฺสเชฺชตโพฺพติ อโตฺถฯ อเญฺญน วา อญฺญํ ปฎิจริสฺสสีติ อเญฺญน วจเนน อญฺญํ วจนํ ปฎิจริสฺสสิ อโชฺฌตฺถริสฺสสิ, ปฎิจฺฉาเทสฺสสีติ อโตฺถฯ โย หิ ‘‘กิํ โคโตฺต ตฺว’’นฺติ เอวํ ปุโฎฺฐ – ‘‘อหํ ตโย เวเท ชานามี’’ติอาทีนิ วทติ, อยํ อเญฺญน อญฺญํ ปฎิจรติ นามฯ ปกฺกมิสฺสสิ วาติ ปุจฺฉิตํ ปญฺหํ ชานโนฺตว อกเถตุกามตาย อุฎฺฐายาสนา ปกฺกมิสฺสสิ วาฯ

    270.Sahadhammikoti sahetuko sakāraṇo. Akāmā byākātabboti attanā anicchantenapi byākaritabbo, avassaṃ vissajjetabboti attho. Aññenavā aññaṃ paṭicarissasīti aññena vacanena aññaṃ vacanaṃ paṭicarissasi ajjhottharissasi, paṭicchādessasīti attho. Yo hi ‘‘kiṃ gotto tva’’nti evaṃ puṭṭho – ‘‘ahaṃ tayo vede jānāmī’’tiādīni vadati, ayaṃ aññena aññaṃ paṭicarati nāma. Pakkamissasi vāti pucchitaṃ pañhaṃ jānantova akathetukāmatāya uṭṭhāyāsanā pakkamissasi vā.

    ตุณฺหี อโหสีติ สมโณ โคตโม มํ สามํเยว ทาสิปุตฺตภาวํ กถาเปตุกาโม, สามํ กถิเต จ ทาโส นาม ชาโตเยว โหติฯ อยํ ปน ทฺวติกฺขตฺตุํ โจเทตฺวา ตุณฺหี ภวิสฺสติ, ตโต อหํ ปริวตฺติตฺวา ปกฺกมิสฺสามีติ จิเนฺตตฺวา ตุณฺหี อโหสิฯ

    Tuṇhīahosīti samaṇo gotamo maṃ sāmaṃyeva dāsiputtabhāvaṃ kathāpetukāmo, sāmaṃ kathite ca dāso nāma jātoyeva hoti. Ayaṃ pana dvatikkhattuṃ codetvā tuṇhī bhavissati, tato ahaṃ parivattitvā pakkamissāmīti cintetvā tuṇhī ahosi.

    ๒๗๑. วชิรํ ปาณิมฺหิ อสฺสาติ วชิรปาณิฯ ยโกฺขติ น โย วา โส วา ยโกฺข, สโกฺก เทวราชาติ เวทิตโพฺพฯ อาทิตฺตนฺติ อคฺคิวณฺณํฯ สมฺปชฺชลิตนฺติ สุฎฺฐุ ปชฺชลิตํฯ สโชติภูตนฺติ สมนฺตโต โชติภูตํ, เอกคฺคิชาลภูตนฺติ อโตฺถฯ ฐิโต โหตีติ มหนฺตํ สีสํ, กนฺทลมกุฬสทิสา ทาฐา ภยานกานิ อกฺขินาสาทีนิ เอวํ วิรูปรูปํ มาเปตฺวา ฐิโตฯ

    271. Vajiraṃ pāṇimhi assāti vajirapāṇi. Yakkhoti na yo vā so vā yakkho, sakko devarājāti veditabbo. Ādittanti aggivaṇṇaṃ. Sampajjalitanti suṭṭhu pajjalitaṃ. Sajotibhūtanti samantato jotibhūtaṃ, ekaggijālabhūtanti attho. Ṭhito hotīti mahantaṃ sīsaṃ, kandalamakuḷasadisā dāṭhā bhayānakāni akkhināsādīni evaṃ virūparūpaṃ māpetvā ṭhito.

    กสฺมา ปเนส อาคโตติ? ทิฎฺฐิวิสฺสชฺชาปนตฺถํฯ อปิ จ – ‘‘อหเญฺจว โข ปน ธมฺมํ เทเสยฺยํ, ปเร จ เม น อาชาเนยฺยุ’’นฺติ เอวํ ธมฺมเทสนาย อโปฺปสฺสุกฺกภาวํ อาปเนฺน ภควติ สโกฺก มหาพฺรหฺมุนา สทฺธิํ อาคนฺตฺวา – ‘‘ภควา ธมฺมํ เทเสถ, ตุมฺหากํ อาณาย อวตฺตมาเน มยํ วตฺตาเปสฺสาม, ตุมฺหากํ ธมฺมจกฺกํ โหตุ, อมฺหากํ อาณาจกฺก’’นฺติ ปฎิญฺญํ อกาสิฯ ตสฺมา – ‘‘อชฺช อมฺพฎฺฐํ ตาเสตฺวา ปญฺหํ วิสฺสชฺชาเปสฺสามี’’ติ อาคโตฯ

    Kasmā panesa āgatoti? Diṭṭhivissajjāpanatthaṃ. Api ca – ‘‘ahañceva kho pana dhammaṃ deseyyaṃ, pare ca me na ājāneyyu’’nti evaṃ dhammadesanāya appossukkabhāvaṃ āpanne bhagavati sakko mahābrahmunā saddhiṃ āgantvā – ‘‘bhagavā dhammaṃ desetha, tumhākaṃ āṇāya avattamāne mayaṃ vattāpessāma, tumhākaṃ dhammacakkaṃ hotu, amhākaṃ āṇācakka’’nti paṭiññaṃ akāsi. Tasmā – ‘‘ajja ambaṭṭhaṃ tāsetvā pañhaṃ vissajjāpessāmī’’ti āgato.

    ภควา เจว ปสฺสติ อมฺพโฎฺฐ จาติ ยทิ หิ ตํ อเญฺญปิ ปเสฺสยฺยุํ, ตํ การณํ อครุ อสฺส, ‘‘อยํ สมโณ โคตโม อมฺพฎฺฐํ อตฺตโน วาเท อโนตรนฺตํ ญตฺวา ยกฺขํ อาวาเหตฺวา ทเสฺสสิ, ตโต อมฺพโฎฺฐ ภเยน กเถสี’’ติ วเทยฺยุํฯ ตสฺมา ภควา เจว ปสฺสติ อมฺพโฎฺฐ จฯ ตสฺส ตํ ทิสฺวาว สกลสรีรโต เสทา มุจฺจิํสุฯ อโนฺตกุจฺฉิ วิปริวตฺตมานา มหารวํ วิรวิ ฯ โส ‘‘อเญฺญปิ นุ โข ปสฺสนฺตี’’ติ โอโลเกโนฺต กสฺสจิ โลมหํสมตฺตมฺปิ นาทฺทสฯ ตโต – ‘‘อิทํ ภยํ มเมว อุปฺปนฺนํ, สจาหํ ยโกฺขติ วกฺขามิ, ‘กิํ ตวเมว อกฺขีนิ อตฺถิ, ตฺวเมว ยกฺขํ ปสฺสสิ, ปฐมํ ยกฺขํ อทิสฺวา สมเณน โคตเมน วาทสงฺฆเฎฺฎ ปกฺขิโตฺตว ยกฺขํ ปสฺสสี’ติ วเทยฺยุ’’นฺติ จิเนฺตตฺวา ‘‘น ทานิ เม อิธ อญฺญํ ปฎิสรณํ อตฺถิ, อญฺญตฺร สมณา โคตมา’’ติ มญฺญมาโน อถ โข อมฺพโฎฺฐ มาณโว…เป.… ภควนฺตํ เอตทโวจฯ

    Bhagavā ceva passati ambaṭṭho cāti yadi hi taṃ aññepi passeyyuṃ, taṃ kāraṇaṃ agaru assa, ‘‘ayaṃ samaṇo gotamo ambaṭṭhaṃ attano vāde anotarantaṃ ñatvā yakkhaṃ āvāhetvā dassesi, tato ambaṭṭho bhayena kathesī’’ti vadeyyuṃ. Tasmā bhagavā ceva passati ambaṭṭho ca. Tassa taṃ disvāva sakalasarīrato sedā mucciṃsu. Antokucchi viparivattamānā mahāravaṃ viravi . So ‘‘aññepi nu kho passantī’’ti olokento kassaci lomahaṃsamattampi nāddasa. Tato – ‘‘idaṃ bhayaṃ mameva uppannaṃ, sacāhaṃ yakkhoti vakkhāmi, ‘kiṃ tavameva akkhīni atthi, tvameva yakkhaṃ passasi, paṭhamaṃ yakkhaṃ adisvā samaṇena gotamena vādasaṅghaṭṭe pakkhittova yakkhaṃ passasī’ti vadeyyu’’nti cintetvā ‘‘na dāni me idha aññaṃ paṭisaraṇaṃ atthi, aññatra samaṇā gotamā’’ti maññamāno atha kho ambaṭṭho māṇavo…pe… bhagavantaṃ etadavoca.

    ๒๗๒. ตาณํ คเวสีติ ตาณํ คเวสมาโนฯ เลณํ คเวสีติ เลณํ คเวสมาโนฯ สรณํ คเวสีติ สรณํ คเวสมาโนฯ เอตฺถ จ ตายติ รกฺขตีติ ตาณํฯ นิลียนฺติ เอตฺถาติ เลณํฯ สรตีติ สรณํ, ภยํ หิํสติ, วิทฺธํเสตีติ อโตฺถฯ อุปนิสีทิตฺวาติ อุปคมฺม เหฎฺฐาสเน นิสีทิตฺวาฯ พฺรวิตูติ วทตุฯ

    272.Tāṇaṃ gavesīti tāṇaṃ gavesamāno. Leṇaṃ gavesīti leṇaṃ gavesamāno. Saraṇaṃ gavesīti saraṇaṃ gavesamāno. Ettha ca tāyati rakkhatīti tāṇaṃ. Nilīyanti etthāti leṇaṃ. Saratīti saraṇaṃ, bhayaṃ hiṃsati, viddhaṃsetīti attho. Upanisīditvāti upagamma heṭṭhāsane nisīditvā. Bravitūti vadatu.

    อมฺพฎฺฐวํสกถา

    Ambaṭṭhavaṃsakathā

    ๒๗๓-๒๗๔. ทกฺขิณชนปทนฺติ ทกฺขิณาปโถติ ปากฎํฯ คงฺคาย ทกฺขิณโต ปากฎชนปทํฯ ตทา กิร ทกฺขิณาปเถ พหู พฺราหฺมณตาปสา โหนฺติ, โส ตตฺถ คนฺตฺวา เอกํ ตาปสํ วตฺตปฎิปตฺติยา อาราเธสิฯ โส ตสฺส อุปการํ ทิสฺวา อาห – ‘‘อโมฺภ, ปุริส, มนฺตํ เต เทมิ, ยํ อิจฺฉสิ, ตํ มนฺตํ คณฺหาหี’’ติฯ โส อาห – ‘‘น เม อาจริย, อเญฺญน มเนฺตน, กิจฺจํ อตฺถิ, ยสฺสานุภาเวน อาวุธํ น ปริวตฺตติ, ตํ เม มนฺตํ เทหี’’ติฯ โส – ‘‘ภทฺรํ, โภ’’ติ ตสฺส ธนุอคมนียํ อมฺพฎฺฐํ นาม วิชฺชํ อทาสิ, โส ตํ วิชฺชํ คเหตฺวา ตเตฺถว วีมํสิตฺวา – ‘‘อิทานิ เม มโนรถํ ปูเรสฺสามี’’ติ อิสิเวสํ คเหตฺวา โอกฺกากสฺส สนฺติกํ คโตฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘ทกฺขิณชนปทํ คนฺตฺวา พฺรหฺมมเนฺต อธียิตฺวา ราชานํ โอกฺกากํ อุปสงฺกมิตฺวา’’ติฯ

    273-274.Dakkhiṇajanapadanti dakkhiṇāpathoti pākaṭaṃ. Gaṅgāya dakkhiṇato pākaṭajanapadaṃ. Tadā kira dakkhiṇāpathe bahū brāhmaṇatāpasā honti, so tattha gantvā ekaṃ tāpasaṃ vattapaṭipattiyā ārādhesi. So tassa upakāraṃ disvā āha – ‘‘ambho, purisa, mantaṃ te demi, yaṃ icchasi, taṃ mantaṃ gaṇhāhī’’ti. So āha – ‘‘na me ācariya, aññena mantena, kiccaṃ atthi, yassānubhāvena āvudhaṃ na parivattati, taṃ me mantaṃ dehī’’ti. So – ‘‘bhadraṃ, bho’’ti tassa dhanuagamanīyaṃ ambaṭṭhaṃ nāma vijjaṃ adāsi, so taṃ vijjaṃ gahetvā tattheva vīmaṃsitvā – ‘‘idāni me manorathaṃ pūressāmī’’ti isivesaṃ gahetvā okkākassa santikaṃ gato. Tena vuttaṃ – ‘‘dakkhiṇajanapadaṃ gantvā brahmamante adhīyitvā rājānaṃ okkākaṃ upasaṅkamitvā’’ti.

    เอตฺถ พฺรหฺมมเนฺตติ อานุภาวสมฺปนฺนตาย เสฎฺฐมเนฺตฯ โก เนวํ’เร อยํ มยฺหํ ทาสิปุโตฺตติ โก นุ เอวํ อเร อยํ มม ทาสิปุโตฺตฯ โส ตํ ขุรปฺปนฺติ โส ราชา ตํ มาเรตุกามตาย สนฺนหิตํ สรํ ตสฺส มนฺตานุภาเวน เนว ขิปิตุํ น อปเนตุํ สกฺขิ, ตาวเทว สกลสรีเร สญฺชาตเสโท ภเยน เวธมาโน อฎฺฐาสิฯ

    Ettha brahmamanteti ānubhāvasampannatāya seṭṭhamante. Ko nevaṃ’re ayaṃ mayhaṃ dāsiputtoti ko nu evaṃ are ayaṃ mama dāsiputto. Sotaṃ khurappanti so rājā taṃ māretukāmatāya sannahitaṃ saraṃ tassa mantānubhāvena neva khipituṃ na apanetuṃ sakkhi, tāvadeva sakalasarīre sañjātasedo bhayena vedhamāno aṭṭhāsi.

    อมจฺจาติ มหามจฺจาฯ ปาริสชฺชาติ อิตเร ปริสาวจราฯ เอตทโวจุนฺติ – ‘‘ทณฺฑกีรโญฺญ กิสวจฺฉตาปเส อปรทฺธสฺส อาวุธวุฎฺฐิยา สกลรฎฺฐํ วินฎฺฐํ ฯ นาฬิเกโร ปญฺจสุ ตาปสสเตสุ อชฺชุโน จ องฺคีรเส อปรโทฺธ ปถวิํ ภินฺทิตฺวา นิรยํ ปวิโฎฺฐ’’ติ จินฺตยนฺตา ภเยน เอตํ โสตฺถิ, ภทฺทเนฺตติอาทิวจนํ อโวจุํฯ

    Amaccāti mahāmaccā. Pārisajjāti itare parisāvacarā. Etadavocunti – ‘‘daṇḍakīrañño kisavacchatāpase aparaddhassa āvudhavuṭṭhiyā sakalaraṭṭhaṃ vinaṭṭhaṃ . Nāḷikero pañcasu tāpasasatesu ajjuno ca aṅgīrase aparaddho pathaviṃ bhinditvā nirayaṃ paviṭṭho’’ti cintayantā bhayena etaṃ sotthi, bhaddantetiādivacanaṃ avocuṃ.

    โสตฺถิ ภวิสฺสติ รโญฺญติ อิทํ วจนํ กโณฺห จิรํ ตุณฺหี หุตฺวา ตโต อเนกปฺปการํ ยาจียมาโน – ‘‘ตุมฺหากํ รญฺญา มาทิสสฺส อิสิโน ขุรปฺปํ สนฺนยฺหเนฺตน ภาริยํ กมฺมํ กต’’นฺติอาทีนิ จ วตฺวา ปจฺฉา อภาสิฯ อุนฺทฺริยิสฺสตีติ ภิชฺชิสฺสติ, ถุสมุฎฺฐิ วิย วิปฺปกิริยิสฺสตีติฯ อิทํ โส ‘‘ชนํ ตาเสสฺสามี’’ติ มุสา ภณติฯ สรสนฺถมฺภนมเตฺตเยว หิสฺส วิชฺชาย อานุภาโว, น อญฺญตฺรฯ อิโต ปเรสุปิ วจเนสุ เอเสว นโยฯ

    Sotthi bhavissati raññoti idaṃ vacanaṃ kaṇho ciraṃ tuṇhī hutvā tato anekappakāraṃ yācīyamāno – ‘‘tumhākaṃ raññā mādisassa isino khurappaṃ sannayhantena bhāriyaṃ kammaṃ kata’’ntiādīni ca vatvā pacchā abhāsi. Undriyissatīti bhijjissati, thusamuṭṭhi viya vippakiriyissatīti. Idaṃ so ‘‘janaṃ tāsessāmī’’ti musā bhaṇati. Sarasanthambhanamatteyeva hissa vijjāya ānubhāvo, na aññatra. Ito paresupi vacanesu eseva nayo.

    ปโลฺลโมติ ปนฺนโลโมฯ โลมหํสนมตฺตมฺปิสฺส น ภวิสฺสติฯ อิทํ กิร โส ‘‘สเจ เม ราชา ตํ ทาริกํ ทสฺสตี’’ติ ปฎิญฺญํ กาเรตฺวา อวจฯ กุมาเร ขุรปฺปํ ปติฎฺฐเปสีติ เตน ‘‘สโร โอตรตู’’ติ มเนฺต ปริวตฺติ, เต กุมารสฺส นาภิยํ ปติฎฺฐเปสิฯ ธีตรํ อทาสีติ สีสํ โธวิตฺวา อทาสํ ภุชิสฺสํ กตฺวา ธีตรํ อทาสิ, อุฬาเร จ ตํ ฐาเน ฐเปสิฯ มา โข ตุเมฺห มาณวกาติ อิทํ ปน ภควา – ‘‘เอเกน ปเกฺขน อมฺพโฎฺฐ สกฺยานํ ญาติ โหตี’’ติ ปกาเสโนฺต ตสฺส สมสฺสาสนตฺถํ อาหฯ ตโต อมฺพโฎฺฐ ฆฎสเตน อภิสิโตฺต วิย ปสฺสทฺธทรโถ หุตฺวา สมสฺสาเสตฺวา สมโณ โคตโม มํ ‘‘โตเสสฺสามี’’ติ เอเกน ปเกฺขน ญาติํ กโรติ, ขตฺติโย กิราหมสฺมี’’ติ จิเนฺตสิฯ

    Pallomoti pannalomo. Lomahaṃsanamattampissa na bhavissati. Idaṃ kira so ‘‘sace me rājā taṃ dārikaṃ dassatī’’ti paṭiññaṃ kāretvā avaca. Kumāre khurappaṃ patiṭṭhapesīti tena ‘‘saro otaratū’’ti mante parivatti, te kumārassa nābhiyaṃ patiṭṭhapesi. Dhītaraṃ adāsīti sīsaṃ dhovitvā adāsaṃ bhujissaṃ katvā dhītaraṃ adāsi, uḷāre ca taṃ ṭhāne ṭhapesi. Mā kho tumhe māṇavakāti idaṃ pana bhagavā – ‘‘ekena pakkhena ambaṭṭho sakyānaṃ ñāti hotī’’ti pakāsento tassa samassāsanatthaṃ āha. Tato ambaṭṭho ghaṭasatena abhisitto viya passaddhadaratho hutvā samassāsetvā samaṇo gotamo maṃ ‘‘tosessāmī’’ti ekena pakkhena ñātiṃ karoti, khattiyo kirāhamasmī’’ti cintesi.

    ขตฺติยเสฎฺฐภาววณฺณนา

    Khattiyaseṭṭhabhāvavaṇṇanā

    ๒๗๕. อถ โข ภควา – ‘‘อยํ อมฺพโฎฺฐ ขตฺติโยสฺมี’’ติ สญฺญํ กโรติ, อตฺตโน อขตฺติยภาวํ น ชานาติ, หนฺท นํ ชานาเปสฺสามีติ ขตฺติยวํสํ ทเสฺสตุํ อุตฺตริเทสนํ วเฑฺฒโนฺต – ‘‘ตํ กิํ มญฺญสิ อมฺพฎฺฐา’’ติอาทิมาหฯ ตตฺถ อิธาติ อิมสฺมิํ โลเกฯ พฺราหฺมเณสูติ พฺราหฺมณานํ อนฺตเรฯ อาสนํ วา อุทกํ วาติ อคฺคาสนํ วา อโคฺคทกํ วาฯ สเทฺธติ มตเก อุทฺทิสฺส กตภเตฺตฯ ถาลิปาเกติ มงฺคลาทิภเตฺตฯ ยเญฺญติ ยญฺญภเตฺตฯ ปาหุเนติ ปาหุนกานํ กตภเตฺต ปณฺณาการภเตฺต วาฯ อปิ นุสฺสาติ อปิ นุ อสฺส ขตฺติยปุตฺตสฺสฯ อาวฎํ วา อสฺส อนาวฎํ วาติ , พฺราหฺมณกญฺญาสุ นิวารณํ ภเวยฺย วา โน วา, พฺราหฺมณทาริกํ ลเภยฺย วา น วา ลเภยฺยาติ อโตฺถฯ อนุปปโนฺนติ ขตฺติยภาวํ อปโตฺต, อปริสุโทฺธติ อโตฺถฯ

    275. Atha kho bhagavā – ‘‘ayaṃ ambaṭṭho khattiyosmī’’ti saññaṃ karoti, attano akhattiyabhāvaṃ na jānāti, handa naṃ jānāpessāmīti khattiyavaṃsaṃ dassetuṃ uttaridesanaṃ vaḍḍhento – ‘‘taṃ kiṃ maññasi ambaṭṭhā’’tiādimāha. Tattha idhāti imasmiṃ loke. Brāhmaṇesūti brāhmaṇānaṃ antare. Āsanaṃ vā udakaṃ vāti aggāsanaṃ vā aggodakaṃ vā. Saddheti matake uddissa katabhatte. Thālipāketi maṅgalādibhatte. Yaññeti yaññabhatte. Pāhuneti pāhunakānaṃ katabhatte paṇṇākārabhatte vā. Api nussāti api nu assa khattiyaputtassa. Āvaṭaṃ vā assa anāvaṭaṃ vāti , brāhmaṇakaññāsu nivāraṇaṃ bhaveyya vā no vā, brāhmaṇadārikaṃ labheyya vā na vā labheyyāti attho. Anupapannoti khattiyabhāvaṃ apatto, aparisuddhoti attho.

    ๒๗๖. อิตฺถิยา วา อิตฺถิํ กริตฺวาติ อิตฺถิยา วา อิตฺถิํ ปริเยสิตฺวาฯ กิสฺมิญฺจิเทว ปกรเณติ กิสฺมิญฺจิเทว โทเส พฺราหฺมณานํ อยุเตฺต อกตฺตพฺพกรเณฯ ภสฺสปุเฎนาติ ภสฺมปุเฎน, สีเส ฉาริกํ โอกิริตฺวาติ อโตฺถฯ

    276.Itthiyāvā itthiṃ karitvāti itthiyā vā itthiṃ pariyesitvā. Kismiñcideva pakaraṇeti kismiñcideva dose brāhmaṇānaṃ ayutte akattabbakaraṇe. Bhassapuṭenāti bhasmapuṭena, sīse chārikaṃ okiritvāti attho.

    ๒๗๗. ชเนตสฺมินฺติ ชนิตสฺมิํ, ปชายาติ อโตฺถฯ เย โคตฺตปฎิสาริโนติ เย ชเนตสฺมิํ โคตฺตํ ปฎิสรนฺติ – ‘‘อหํ โคตโม, อหํ กสฺสโป’’ติ, เตสุ โลเก โคตฺตปฎิสารีสุ ขตฺติโย เสโฎฺฐฯ อนุมตา มยาติ มม สพฺพญฺญุตญฺญาเณน สทฺธิํ สํสนฺทิตฺวา เทสิตา มยา อนุญฺญาตาฯ

    277.Janetasminti janitasmiṃ, pajāyāti attho. Ye gottapaṭisārinoti ye janetasmiṃ gottaṃ paṭisaranti – ‘‘ahaṃ gotamo, ahaṃ kassapo’’ti, tesu loke gottapaṭisārīsu khattiyo seṭṭho. Anumatā mayāti mama sabbaññutaññāṇena saddhiṃ saṃsanditvā desitā mayā anuññātā.

    ปฐมภาณวารวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Paṭhamabhāṇavāravaṇṇanā niṭṭhitā.

    วิชฺชาจรณกถาวณฺณนา

    Vijjācaraṇakathāvaṇṇanā

    ๒๗๘. อิมาย ปน คาถาย วิชฺชาจรณสมฺปโนฺนติ อิทํ ปทํ สุตฺวา อมฺพโฎฺฐ จิเนฺตสิ – ‘‘วิชฺชา นาม ตโย เวทา, จรณํ ปญฺจ สีลานิ, ตยิทํ อมฺหากํเยว อตฺถิ, วิชฺชาจรณสมฺปโนฺน เจ เสโฎฺฐ, มยเมว เสฎฺฐา’’ติ นิฎฺฐํ คนฺตฺวา วิชฺชาจรณํ ปุจฺฉโนฺต – ‘‘กตมํ ปน ตํ, โภ โคตม, จรณํ, กตมา จ ปน สา วิชฺชา’’ติ อาหฯ อถสฺส ภควา ตํ พฺราหฺมณสมเย สิทฺธํ ชาติวาทาทิปฎิสํยุตฺตํ วิชฺชาจรณํ ปฎิกฺขิปิตฺวา อนุตฺตรํ วิชฺชาจรณํ ทเสฺสตุกาโม – ‘‘น โข อมฺพฎฺฐา’’ติอาทิมาหฯ ตตฺถ ชาติวาโทติ ชาติํ อารพฺภ วาโท, พฺราหฺมณเสฺสวิทํ วฎฺฎติ, น สุทฺทสฺสาติอาทิ วจนนฺติ อโตฺถฯ เอส นโย สพฺพตฺถฯ ชาติวาทวินิพทฺธาติ ชาติวาเท วินิพทฺธาฯ เอส นโย สพฺพตฺถฯ

    278. Imāya pana gāthāya vijjācaraṇasampannoti idaṃ padaṃ sutvā ambaṭṭho cintesi – ‘‘vijjā nāma tayo vedā, caraṇaṃ pañca sīlāni, tayidaṃ amhākaṃyeva atthi, vijjācaraṇasampanno ce seṭṭho, mayameva seṭṭhā’’ti niṭṭhaṃ gantvā vijjācaraṇaṃ pucchanto – ‘‘katamaṃ pana taṃ, bho gotama, caraṇaṃ, katamā ca pana sā vijjā’’ti āha. Athassa bhagavā taṃ brāhmaṇasamaye siddhaṃ jātivādādipaṭisaṃyuttaṃ vijjācaraṇaṃ paṭikkhipitvā anuttaraṃ vijjācaraṇaṃ dassetukāmo – ‘‘na kho ambaṭṭhā’’tiādimāha. Tattha jātivādoti jātiṃ ārabbha vādo, brāhmaṇassevidaṃ vaṭṭati, na suddassātiādi vacananti attho. Esa nayo sabbattha. Jātivādavinibaddhāti jātivāde vinibaddhā. Esa nayo sabbattha.

    ตโต อมฺพโฎฺฐ – ‘‘ยตฺถ ทานิ มยํ ลคฺคิสฺสามาติ จินฺตยิมฺห, ตโต โน สมโณ โคตโม มหาวาเต ถุสํ ธุนโนฺต วิย ทูรเมว อวกฺขิปิฯ ยตฺถ ปน มยํ น ลคฺคาม, ตตฺถ โน นิโยเชสิฯ อยํ โน วิชฺชาจรณสมฺปทา ญาตุํ วฎฺฎตี’’ติ จิเนฺตตฺวา ปุน วิชฺชาจรณสมฺปทํ ปุจฺฉิฯ อถสฺส ภควา สมุทาคมโต ปภุติ วิชฺชาจรณํ ทเสฺสตุํ – ‘‘อิธ อมฺพฎฺฐ ตถาคโต’’ติอาทิมาหฯ

    Tato ambaṭṭho – ‘‘yattha dāni mayaṃ laggissāmāti cintayimha, tato no samaṇo gotamo mahāvāte thusaṃ dhunanto viya dūrameva avakkhipi. Yattha pana mayaṃ na laggāma, tattha no niyojesi. Ayaṃ no vijjācaraṇasampadā ñātuṃ vaṭṭatī’’ti cintetvā puna vijjācaraṇasampadaṃ pucchi. Athassa bhagavā samudāgamato pabhuti vijjācaraṇaṃ dassetuṃ – ‘‘idha ambaṭṭha tathāgato’’tiādimāha.

    ๒๗๙. เอตฺถ จ ภควา จรณปริยาปนฺนมฺปิ ติวิธํ สีลํ วิภชโนฺต ‘‘อิทมสฺส โหติ จรณสฺมิ’’นฺติ อนิยฺยาเตตฺวา ‘‘อิทมฺปิสฺส โหติ สีลสฺมิ’’นฺติ สีลวเสเนว นิยฺยาเตสิฯ กสฺมา? ตสฺสปิ หิ กิญฺจิ กิญฺจิ สีลํ อตฺถิ, ตสฺมา จรณวเสน นิยฺยาติยมาเน ‘‘มยมฺปิ จรณสมฺปนฺนา’’ติ ตตฺถ ตเตฺถว ลเคฺคยฺยฯ ยํ ปน เตน สุปิเนปิ น ทิฎฺฐปุพฺพํ, ตเสฺสว วเสน นิยฺยาเตโนฺต ปฐมํ ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหรติฯ อิทมฺปิสฺส โหติ จรณสฺมิํ…เป.… จตุตฺถํ ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหรติ, อิทมฺปิสฺส โหติ จรณสฺมินฺติอาทิมาหฯ เอตฺตาวตา อฎฺฐปิ สมาปตฺติโย จรณนฺติ นิยฺยาติตา โหนฺติ, วิปสฺสนา ญาณโต ปน ปฎฺฐาย อฎฺฐวิธาปิ ปญฺญา วิชฺชาติ นิยฺยาติตาฯ

    279. Ettha ca bhagavā caraṇapariyāpannampi tividhaṃ sīlaṃ vibhajanto ‘‘idamassa hoti caraṇasmi’’nti aniyyātetvā ‘‘idampissa hoti sīlasmi’’nti sīlavaseneva niyyātesi. Kasmā? Tassapi hi kiñci kiñci sīlaṃ atthi, tasmā caraṇavasena niyyātiyamāne ‘‘mayampi caraṇasampannā’’ti tattha tattheva laggeyya. Yaṃ pana tena supinepi na diṭṭhapubbaṃ, tasseva vasena niyyātento paṭhamaṃ jhānaṃ upasampajja viharati. Idampissa hoti caraṇasmiṃ…pe… catutthaṃ jhānaṃ upasampajja viharati, idampissa hoti caraṇasmintiādimāha. Ettāvatā aṭṭhapi samāpattiyo caraṇanti niyyātitā honti, vipassanā ñāṇato pana paṭṭhāya aṭṭhavidhāpi paññā vijjāti niyyātitā.

    จตุอปายมุขกถาวณฺณนา

    Catuapāyamukhakathāvaṇṇanā

    ๒๘๐. อปายมุขานีติ วินาสมุขานิฯ อนภิสมฺภุณมาโนติ อสมฺปาปุณโนฺต, อวิสหมาโน วาฯ ขาริวิธมาทายาติ เอตฺถ ขารีติ อรณี กมณฺฑลุ สุชาทโย ตาปสปริกฺขาราฯ วิโธติ กาโชฯ ตสฺมา ขาริภริตํ กาชมาทายาติ อโตฺถฯ เย ปน ขาริวิวิธนฺติ ปฐนฺติ, เต ‘‘ขารีติ กาชสฺส นามํ, วิวิธนฺติ พหุกมณฺฑลุอาทิปริกฺขาร’’นฺติ วณฺณยนฺติฯ ปวตฺตผลโภชโนติ ปติตผลโภชโนฯ ปริจารโกติ กปฺปิยกรณปตฺตปฎิคฺคหณปาทโธวนาทิวตฺตกรณวเสน ปริจารโกฯ กามญฺจ คุณาธิโกปิ ขีณาสวสามเณโร ปุถุชฺชนภิกฺขุโน วุตฺตนเยน ปริจารโก โหติ, อยํ ปน น ตาทิโส คุณวเสนปิ เวยฺยาวจฺจกรณวเสนปิ ลามโกเยวฯ

    280.Apāyamukhānīti vināsamukhāni. Anabhisambhuṇamānoti asampāpuṇanto, avisahamāno vā. Khārividhamādāyāti ettha khārīti araṇī kamaṇḍalu sujādayo tāpasaparikkhārā. Vidhoti kājo. Tasmā khāribharitaṃ kājamādāyāti attho. Ye pana khārivividhanti paṭhanti, te ‘‘khārīti kājassa nāmaṃ, vividhanti bahukamaṇḍaluādiparikkhāra’’nti vaṇṇayanti. Pavattaphalabhojanoti patitaphalabhojano. Paricārakoti kappiyakaraṇapattapaṭiggahaṇapādadhovanādivattakaraṇavasena paricārako. Kāmañca guṇādhikopi khīṇāsavasāmaṇero puthujjanabhikkhuno vuttanayena paricārako hoti, ayaṃ pana na tādiso guṇavasenapi veyyāvaccakaraṇavasenapi lāmakoyeva.

    กสฺมา ปน ตาปสปพฺพชฺชา สาสนสฺส วินาสมุขนฺติ วุตฺตาติ? ยสฺมา คจฺฉนฺตํ คจฺฉนฺตํ สาสนํ ตาปสปพฺพชฺชาวเสน โอสกฺกิสฺสติฯ อิมสฺมิญฺหิ สาสเน ปพฺพชิตฺวา ติโสฺส สิกฺขา ปูเรตุํ อสโกฺกนฺตํ ลชฺชิโน สิกฺขากามา – ‘‘นตฺถิ ตยา สทฺธิํ อุโปสโถ วา ปวารณา วา สงฺฆกมฺมํ วา’’ติ ชิคุจฺฉิตฺวา ปริวเชฺชนฺติฯ โส ‘‘ทุกฺกรํ ขุรธารูปมํ สาสเน ปฎิปตฺติปูรณํ ทุกฺขํ, ตาปสปพฺพชฺชา ปน สุกรา เจว พหุชนสมฺมตา จา’’ติ วิพฺภมิตฺวา ตาปโส โหติฯ อเญฺญ ตํ ทิสฺวา – ‘‘กิํ ตยา กต’’นฺติ ปุจฺฉนฺติฯ โส – ‘‘ภาริยํ ตุมฺหากํ สาสเน กมฺมํ, อิธ ปน สฉนฺทจาริโน มย’’นฺติ วทติฯ โสปิ, ยทิ เอวํ อหมฺปิ เอเตฺถว ปพฺพชามีติ ตสฺส อนุสิกฺขโนฺต ตาปโส โหติฯ เอวมเญฺญปิ อเญฺญปีติ กเมน ตาปสาว พหุกา โหนฺติฯ เตสํ อุปฺปนฺนกาเล สาสนํ โอสกฺกิตํ นาม ภวิสฺสติฯ โลเก เอวรูโป พุโทฺธ นาม อุปฺปชฺชิ, ตสฺส อีทิสํ นาม สาสนํ อโหสีติ สุตมตฺตเมว ภวิสฺสติฯ อิทํ สนฺธาย ภควา ตาปสปพฺพชฺชํ สาสนสฺส วินาสมุขนฺติ อาหฯ

    Kasmā pana tāpasapabbajjā sāsanassa vināsamukhanti vuttāti? Yasmā gacchantaṃ gacchantaṃ sāsanaṃ tāpasapabbajjāvasena osakkissati. Imasmiñhi sāsane pabbajitvā tisso sikkhā pūretuṃ asakkontaṃ lajjino sikkhākāmā – ‘‘natthi tayā saddhiṃ uposatho vā pavāraṇā vā saṅghakammaṃ vā’’ti jigucchitvā parivajjenti. So ‘‘dukkaraṃ khuradhārūpamaṃ sāsane paṭipattipūraṇaṃ dukkhaṃ, tāpasapabbajjā pana sukarā ceva bahujanasammatā cā’’ti vibbhamitvā tāpaso hoti. Aññe taṃ disvā – ‘‘kiṃ tayā kata’’nti pucchanti. So – ‘‘bhāriyaṃ tumhākaṃ sāsane kammaṃ, idha pana sachandacārino maya’’nti vadati. Sopi, yadi evaṃ ahampi ettheva pabbajāmīti tassa anusikkhanto tāpaso hoti. Evamaññepi aññepīti kamena tāpasāva bahukā honti. Tesaṃ uppannakāle sāsanaṃ osakkitaṃ nāma bhavissati. Loke evarūpo buddho nāma uppajji, tassa īdisaṃ nāma sāsanaṃ ahosīti sutamattameva bhavissati. Idaṃ sandhāya bhagavā tāpasapabbajjaṃ sāsanassa vināsamukhanti āha.

    กุทาลปิฎกนฺติ กนฺทมูลผลคฺคหณตฺถํ กุทาลเญฺจว ปิฎกญฺจฯ คามสามนฺตํ วาติ วิชฺชาจรณสมฺปทาทีนิ อนภิสมฺภุณโนฺต, กสิกมฺมาทีหิ จ ชีวิตํ นิปฺผาเทตุํ ทุกฺขนฺติ มญฺญมาโน พหุชนกุหาปนตฺถํ คามสามเนฺต วา นิคมสามเนฺต วา อคฺคิสาลํ กตฺวา สปฺปิเตลทธิมธุผาณิตติลตณฺฑุลาทีหิ เจว นานาทารูหิ จ โหมกรณวเสน อคฺคิํ ปริจรโนฺต อจฺฉติฯ

    Kudālapiṭakanti kandamūlaphalaggahaṇatthaṃ kudālañceva piṭakañca. Gāmasāmantaṃ vāti vijjācaraṇasampadādīni anabhisambhuṇanto, kasikammādīhi ca jīvitaṃ nipphādetuṃ dukkhanti maññamāno bahujanakuhāpanatthaṃ gāmasāmante vā nigamasāmante vā aggisālaṃ katvā sappiteladadhimadhuphāṇitatilataṇḍulādīhi ceva nānādārūhi ca homakaraṇavasena aggiṃ paricaranto acchati.

    จตุทฺวารํ อคารํ กริตฺวาติ จตุมุขํ ปานาคารํ กตฺวา ตสฺส ทฺวาเร มณฺฑปํ กตฺวา ตตฺถ ปานียํ อุปฎฺฐเปตฺวา อาคตาคเต ปานีเยน อาปุจฺฉติฯ ยมฺปิสฺส อทฺธิกา กิลนฺตา ปานียํ ปิวิตฺวา ปริตุฎฺฐา ภตฺตปุฎํ วา ตณฺฑุลาทีนิ วา เทนฺติ, ตํ สพฺพํ คเหตฺวา อมฺพิลยาคุอาทีนิ กตฺวา พหุตรํ อามิสคหณตฺถํ เกสญฺจิ อนฺนํ เทติ, เกสญฺจิ ภตฺตปจนภาชนาทีนิฯ เตหิปิ ทินฺนํ อามิสํ วา ปุพฺพณฺณาทีนิ วา คณฺหติ, ตานิ วฑฺฒิยา ปโยเชติฯ เอวํ วฑฺฒมานวิภโว โคมหิํสทาสีทาสปริคฺคหํ กโรติ, มหนฺตํ กุฎุมฺพํ สณฺฐเปติฯ อิมํ สนฺธาเยตํ วุตฺตํ – ‘‘จตุทฺวารํ อคารํ กริตฺวา อจฺฉตี’’ติฯ ‘‘ตมหํ ยถาสตฺติ ยถาพลํ ปฎิปูเชสฺสามี’’ติ อิทํ ปนสฺส ปฎิปตฺติมุขํฯ อิมินา หิ มุเขน โส เอวํ ปฎิปชฺชตีติฯ เอตฺตาวตา จ ภควตา สพฺพาปิ ตาปสปพฺพชฺชา นิทฺทิฎฺฐา โหนฺติฯ

    Catudvāraṃ agāraṃ karitvāti catumukhaṃ pānāgāraṃ katvā tassa dvāre maṇḍapaṃ katvā tattha pānīyaṃ upaṭṭhapetvā āgatāgate pānīyena āpucchati. Yampissa addhikā kilantā pānīyaṃ pivitvā parituṭṭhā bhattapuṭaṃ vā taṇḍulādīni vā denti, taṃ sabbaṃ gahetvā ambilayāguādīni katvā bahutaraṃ āmisagahaṇatthaṃ kesañci annaṃ deti, kesañci bhattapacanabhājanādīni. Tehipi dinnaṃ āmisaṃ vā pubbaṇṇādīni vā gaṇhati, tāni vaḍḍhiyā payojeti. Evaṃ vaḍḍhamānavibhavo gomahiṃsadāsīdāsapariggahaṃ karoti, mahantaṃ kuṭumbaṃ saṇṭhapeti. Imaṃ sandhāyetaṃ vuttaṃ – ‘‘catudvāraṃ agāraṃ karitvā acchatī’’ti. ‘‘Tamahaṃ yathāsatti yathābalaṃ paṭipūjessāmī’’ti idaṃ panassa paṭipattimukhaṃ. Iminā hi mukhena so evaṃ paṭipajjatīti. Ettāvatā ca bhagavatā sabbāpi tāpasapabbajjā niddiṭṭhā honti.

    กถํ? อฎฺฐวิธา หิ ตาปสา – สปุตฺตภริยา, อุญฺฉาจริยา, อนคฺคิปกฺกิกา, อสามปากา, อสฺมมุฎฺฐิกา, ทนฺตวกฺกลิกา, ปวตฺตผลโภชนา, ปณฺฑุปลาสิกาติฯ ตตฺถ เย เกณิยชฎิโล วิย กุฎุมฺพํ สณฺฐเปตฺวา วสนฺติ, เต สปุตฺตภริยา นามฯ

    Kathaṃ? Aṭṭhavidhā hi tāpasā – saputtabhariyā, uñchācariyā, anaggipakkikā, asāmapākā, asmamuṭṭhikā, dantavakkalikā, pavattaphalabhojanā, paṇḍupalāsikāti. Tattha ye keṇiyajaṭilo viya kuṭumbaṃ saṇṭhapetvā vasanti, te saputtabhariyā nāma.

    เย ปน ‘‘สปุตฺตทารภาโว นาม ปพฺพชิตสฺส อยุโตฺต’’ติ ลายนมทฺทนฎฺฐาเนสุ วีหิมุคฺคมาสติลาทีนิ สงฺกฑฺฒิตฺวา ปจิตฺวา ปริภุญฺชนฺติ, เต อุญฺฉาจริยา นามฯ

    Ye pana ‘‘saputtadārabhāvo nāma pabbajitassa ayutto’’ti lāyanamaddanaṭṭhānesu vīhimuggamāsatilādīni saṅkaḍḍhitvā pacitvā paribhuñjanti, te uñchācariyā nāma.

    เย ‘‘ขเลน ขลํ วิจริตฺวา วีหิํ อาหริตฺวา โกเฎฺฎตฺวา ปริภุญฺชนํ นาม อยุตฺต’’นฺติ คามนิคเมสุ ตณฺฑุลภิกฺขํ คเหตฺวา ปจิตฺวา ปริภุญฺชนฺติ, เต อนคฺคิปกฺกิกา นามฯ

    Ye ‘‘khalena khalaṃ vicaritvā vīhiṃ āharitvā koṭṭetvā paribhuñjanaṃ nāma ayutta’’nti gāmanigamesu taṇḍulabhikkhaṃ gahetvā pacitvā paribhuñjanti, te anaggipakkikā nāma.

    เย ปน ‘‘กิํ ปพฺพชิตสฺส สามปาเกนา’’ติ คามํ ปวิสิตฺวา ปกฺกภิกฺขเมว คณฺหนฺติ , เต อสามปากา นามฯ

    Ye pana ‘‘kiṃ pabbajitassa sāmapākenā’’ti gāmaṃ pavisitvā pakkabhikkhameva gaṇhanti , te asāmapākā nāma.

    เย ‘‘ทิวเส ทิวเส ภิกฺขาปริเยฎฺฐิ นาม ทุกฺขา ปพฺพชิตสฺสา’’ติ มุฎฺฐิปาสาเณน อมฺพาฎกาทีนํ รุกฺขานํ ตจํ โกเฎฺฎตฺวา ขาทนฺติ, เต อสฺมมุฎฺฐิกา นามฯ

    Ye ‘‘divase divase bhikkhāpariyeṭṭhi nāma dukkhā pabbajitassā’’ti muṭṭhipāsāṇena ambāṭakādīnaṃ rukkhānaṃ tacaṃ koṭṭetvā khādanti, te asmamuṭṭhikā nāma.

    เย ปน ‘‘ปาสาเณน ตจํ โกเฎฺฎตฺวา วิจรณํ นาม ทุกฺข’’นฺติ ทเนฺตเหว อุพฺพาเฎตฺวา ขาทนฺติ, เต ทนฺตวกฺกลิกา นามฯ

    Ye pana ‘‘pāsāṇena tacaṃ koṭṭetvā vicaraṇaṃ nāma dukkha’’nti danteheva ubbāṭetvā khādanti, te dantavakkalikā nāma.

    เย ‘‘ทเนฺตหิ อุพฺพาเฎตฺวา ขาทนํ นาม ทุกฺขํ ปพฺพชิตสฺสา’’ติ เลฑฺฑุทณฺฑาทีหิ ปหริตฺวา ปติตานิ ผลานิ ปริภุญฺชนฺติ, เต ปวตฺตผลโภชนา นามฯ

    Ye ‘‘dantehi ubbāṭetvā khādanaṃ nāma dukkhaṃ pabbajitassā’’ti leḍḍudaṇḍādīhi paharitvā patitāni phalāni paribhuñjanti, te pavattaphalabhojanā nāma.

    เย ปน ‘‘เลฑฺฑุทณฺฑาทีหิ ปาเตตฺวา ปริโภโค นาม อสารุโปฺป ปพฺพชิตสฺสา’’ติ สยํ ปติตาเนว ปุปฺผผลปณฺฑุปลาสาทีนิ ขาทนฺตา ยาเปนฺติ, เต ปณฺฑุปลาสิกา นามฯ

    Ye pana ‘‘leḍḍudaṇḍādīhi pātetvā paribhogo nāma asāruppo pabbajitassā’’ti sayaṃ patitāneva pupphaphalapaṇḍupalāsādīni khādantā yāpenti, te paṇḍupalāsikā nāma.

    เต ติวิธา – อุกฺกฎฺฐมชฺฌิมมุทุกวเสนฯ ตตฺถ เย นิสินฺนฎฺฐานโต อนุฎฺฐาย หเตฺถน ปาปุณนฎฺฐาเนว ปติตํ คเหตฺวา ขาทนฺติ, เต อุกฺกฎฺฐาฯ เย เอกรุกฺขโต อญฺญํ รุกฺขํ น คจฺฉนฺติ, เต มชฺฌิมาฯ เย ตํ ตํ รุกฺขมูลํ คนฺตฺวา ปริเยสิตฺวา ขาทนฺติ, เต มุทุกาฯ

    Te tividhā – ukkaṭṭhamajjhimamudukavasena. Tattha ye nisinnaṭṭhānato anuṭṭhāya hatthena pāpuṇanaṭṭhāneva patitaṃ gahetvā khādanti, te ukkaṭṭhā. Ye ekarukkhato aññaṃ rukkhaṃ na gacchanti, te majjhimā. Ye taṃ taṃ rukkhamūlaṃ gantvā pariyesitvā khādanti, te mudukā.

    อิมา ปน อฎฺฐปิ ตาปสปพฺพชฺชา อิมาหิ จตูหิเยว สงฺคหํ คจฺฉนฺติฯ กถํ? เอตาสุ หิ สปุตฺตภริยา จ อุญฺฉาจริยา จ อคารํ ภชนฺติฯ อนคฺคิปกฺกิกา จ อสามปากา จ อคฺยาคารํ ภชนฺติฯ อสฺมมุฎฺฐิกา จ ทนฺตวกฺกลิกา จ กนฺทมูลผลโภชนํ ภชนฺติฯ ปวตฺตผลโภชนา จ ปณฺฑุปลาสิกา จ ปวตฺตผลโภชนํ ภชนฺติฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘เอตฺตาวตา จ ภควตา สพฺพาปิ ตาปสปพฺพชฺชา นิทฺทิฎฺฐา โหนฺตี’’ติฯ

    Imā pana aṭṭhapi tāpasapabbajjā imāhi catūhiyeva saṅgahaṃ gacchanti. Kathaṃ? Etāsu hi saputtabhariyā ca uñchācariyā ca agāraṃ bhajanti. Anaggipakkikā ca asāmapākā ca agyāgāraṃ bhajanti. Asmamuṭṭhikā ca dantavakkalikā ca kandamūlaphalabhojanaṃ bhajanti. Pavattaphalabhojanā ca paṇḍupalāsikā ca pavattaphalabhojanaṃ bhajanti. Tena vuttaṃ – ‘‘ettāvatā ca bhagavatā sabbāpi tāpasapabbajjā niddiṭṭhā hontī’’ti.

    ๒๘๑-๒๘๒. อิทานิ ภควา สาจริยกสฺส อมฺพฎฺฐสฺส วิชฺชาจรณสมฺปทาย อปายมุขมฺปิ อปฺปตฺตภาวํ ทเสฺสตุํ ตํ กิํ มญฺญสิ อมฺพฎฺฐาติอาทิมาหฯ ตํ อุตฺตานตฺถเมวฯ อตฺตนา อาปายิโกปิ อปริปูรมาโนติ อตฺตนา วิชฺชาจรณสมฺปทาย อาปายิเกนาปิ อปริปูรมาเนนฯ

    281-282. Idāni bhagavā sācariyakassa ambaṭṭhassa vijjācaraṇasampadāya apāyamukhampi appattabhāvaṃ dassetuṃ taṃ kiṃ maññasi ambaṭṭhātiādimāha. Taṃ uttānatthameva. Attanā āpāyikopi aparipūramānoti attanā vijjācaraṇasampadāya āpāyikenāpi aparipūramānena.

    ปุพฺพกอิสิภาวานุโยควณฺณนา

    Pubbakaisibhāvānuyogavaṇṇanā

    ๒๘๓. ทตฺติกนฺติ ทินฺนกํฯ สมฺมุขีภาวมฺปิ น ททาตีติ กสฺมา น ททาติ? โส กิร สมฺมุขา อาวฎฺฎนิํ นาม วิชฺชํ ชานาติฯ ยทา ราชา มหารเหน อลงฺกาเรน อลงฺกโต โหติ, ตทา รโญฺญ สมีเป ฐตฺวา ตสฺส อลงฺการสฺส นามํ คณฺหติฯ ตสฺส ราชา นาเม คหิเต น เทมีติ วตฺตุํ น สโกฺกติฯ ทตฺวา ปุน ฉณทิวเส อลงฺการํ อาหรถาติ วตฺวา, นตฺถิ, เทว, ตุเมฺหหิ พฺราหฺมณสฺส ทิโนฺนติ วุโตฺต, ‘‘กสฺมา เม ทิโนฺน’’ติ ปุจฺฉิฯ เต อมจฺจา ‘โส พฺราหฺมโณ สมฺมุขา อาวฎฺฎนิมายํ ชานาติฯ ตาย ตุเมฺห อาวเฎฺฎตฺวา คเหตฺวา คจฺฉตี’ติ อาหํสุฯ อปเร รญฺญา สห ตสฺส อติสหายภาวํ อสหนฺตา อาหํสุ – ‘‘เทว, เอตสฺส พฺราหฺมณสฺส สรีเร สงฺขผลิตกุฎฺฐํ นาม อตฺถิฯ ตุเมฺห เอตํ ทิสฺวาว อาลิงฺคถ ปรามสถ, อิทญฺจ กุฎฺฐํ นาม กายสํสคฺควเสน อนุคจฺฉติ, มา เอวํ กโรถา’’ติฯ ตโต ปฎฺฐาย ตสฺส ราชา สมฺมุขีภาวํ น เทติฯ

    283.Dattikanti dinnakaṃ. Sammukhībhāvampi na dadātīti kasmā na dadāti? So kira sammukhā āvaṭṭaniṃ nāma vijjaṃ jānāti. Yadā rājā mahārahena alaṅkārena alaṅkato hoti, tadā rañño samīpe ṭhatvā tassa alaṅkārassa nāmaṃ gaṇhati. Tassa rājā nāme gahite na demīti vattuṃ na sakkoti. Datvā puna chaṇadivase alaṅkāraṃ āharathāti vatvā, natthi, deva, tumhehi brāhmaṇassa dinnoti vutto, ‘‘kasmā me dinno’’ti pucchi. Te amaccā ‘so brāhmaṇo sammukhā āvaṭṭanimāyaṃ jānāti. Tāya tumhe āvaṭṭetvā gahetvā gacchatī’ti āhaṃsu. Apare raññā saha tassa atisahāyabhāvaṃ asahantā āhaṃsu – ‘‘deva, etassa brāhmaṇassa sarīre saṅkhaphalitakuṭṭhaṃ nāma atthi. Tumhe etaṃ disvāva āliṅgatha parāmasatha, idañca kuṭṭhaṃ nāma kāyasaṃsaggavasena anugacchati, mā evaṃ karothā’’ti. Tato paṭṭhāya tassa rājā sammukhībhāvaṃ na deti.

    ยสฺมา ปน โส พฺราหฺมโณ ปณฺฑิโต ขตฺตวิชฺชาย กุสโล, เตน สห มเนฺตตฺวา กตกมฺมํ นาม น วิรุชฺฌติ, ตสฺมา สาณิปาการสฺส อโนฺต ฐตฺวา พหิ ฐิเตน เตน สทฺธิํ มเนฺตติฯ ตํ สนฺธาย วุตฺตํ ‘‘ติโร ทุสฺสเนฺตน มเนฺตตี’’ติฯ ตตฺถ ติโรทุสฺสเนฺตนาติ ติโรทุเสฺสนฯ อยเมว วา ปาโฐฯ ธมฺมิกนฺติ อนวชฺชํฯ ปยาตนฺติ อภิหริตฺวา ทินฺนํฯ กถํ ตสฺส ราชาติ ยสฺส รโญฺญ พฺราหฺมโณ อีทิสํ ภิกฺขํ ปฎิคฺคเณฺหยฺย, กถํ ตสฺส พฺราหฺมณสฺส โส ราชา สมฺมุขีภาวมฺปิ น ทเทยฺยฯ อยํ ปน อทินฺนกํ มายาย คณฺหติ, เตนสฺส สมฺมุขีภาวํ ราชา น เทตีติ นิฎฺฐเมตฺถ คนฺตพฺพนฺติ อยเมตฺถ อธิปฺปาโยฯ ‘‘อิทํ ปน การณํ ฐเปตฺวา ราชานเญฺจว พฺราหฺมณญฺจ น อโญฺญ โกจิ ชานาติฯ ตเทตํ เอวํ รหสฺสมฺปิ ปฎิจฺฉนฺนมฺปิ อทฺธา สพฺพญฺญู สมโณ โคตโมติ นิฎฺฐํ คมิสฺสตี’’ติ ภควา ปกาเสสิฯ

    Yasmā pana so brāhmaṇo paṇḍito khattavijjāya kusalo, tena saha mantetvā katakammaṃ nāma na virujjhati, tasmā sāṇipākārassa anto ṭhatvā bahi ṭhitena tena saddhiṃ manteti. Taṃ sandhāya vuttaṃ ‘‘tiro dussantena mantetī’’ti. Tattha tirodussantenāti tirodussena. Ayameva vā pāṭho. Dhammikanti anavajjaṃ. Payātanti abhiharitvā dinnaṃ. Kathaṃ tassa rājāti yassa rañño brāhmaṇo īdisaṃ bhikkhaṃ paṭiggaṇheyya, kathaṃ tassa brāhmaṇassa so rājā sammukhībhāvampi na dadeyya. Ayaṃ pana adinnakaṃ māyāya gaṇhati, tenassa sammukhībhāvaṃ rājā na detīti niṭṭhamettha gantabbanti ayamettha adhippāyo. ‘‘Idaṃ pana kāraṇaṃ ṭhapetvā rājānañceva brāhmaṇañca na añño koci jānāti. Tadetaṃ evaṃ rahassampi paṭicchannampi addhā sabbaññū samaṇo gotamoti niṭṭhaṃ gamissatī’’ti bhagavā pakāsesi.

    ๒๘๔. อิทานิ อยญฺจ อมฺพโฎฺฐ, อาจริโย จสฺส มเนฺต นิสฺสาย อติมานิโนฯ เตน เตสํ มนฺตนิสฺสิตมานนิมฺมทนตฺถํ อุตฺตริ เทสนํ วเฑฺฒโนฺต ตํ กิํ มญฺญสิ, อมฺพฎฺฐ, อิธ ราชาติอาทิมาหฯ ตตฺถ รถูปตฺถเรติ รถมฺหิ รโญฺญ ฐานตฺถํ อตฺถริตฺวา สชฺชิตปเทเสฯ อุเคฺคหิ วาติ อุคฺคตุคฺคเตหิ วา อมเจฺจหิฯ ราชเญฺญหีติ อนภิสิตฺตกุมาเรหิฯ กิญฺจิเทว มนฺตนนฺติ อสุกสฺมิํ เทเส ตฬากํ วา มาติกํ วา กาตุํ วฎฺฎติ, อสุกสฺมิํ คามํ วา นิคมํ วา นครํ วา นิเวเสตุนฺติ เอวรูปํ ปากฎมนฺตนํฯ ตเทว มนฺตนนฺติ ยํ รญฺญา มนฺติตํ ตเทวฯ ตาทิเสหิเยว สีสุเกฺขปภมุเกฺขปาทีหิ อากาเรหิ มเนฺตยฺยฯ ราชภณิตนฺติ ยถา รญฺญา ภณิตํ, ตสฺสตฺถสฺส สาธนสมตฺถํฯ โสปิ ตสฺสตฺถสฺส สาธนสมตฺถเมว ภณิตํ ภณตีติ อโตฺถฯ

    284. Idāni ayañca ambaṭṭho, ācariyo cassa mante nissāya atimānino. Tena tesaṃ mantanissitamānanimmadanatthaṃ uttari desanaṃ vaḍḍhento taṃ kiṃ maññasi, ambaṭṭha, idha rājātiādimāha. Tattha rathūpatthareti rathamhi rañño ṭhānatthaṃ attharitvā sajjitapadese. Uggehi vāti uggatuggatehi vā amaccehi. Rājaññehīti anabhisittakumārehi. Kiñcideva mantananti asukasmiṃ dese taḷākaṃ vā mātikaṃ vā kātuṃ vaṭṭati, asukasmiṃ gāmaṃ vā nigamaṃ vā nagaraṃ vā nivesetunti evarūpaṃ pākaṭamantanaṃ. Tadeva mantananti yaṃ raññā mantitaṃ tadeva. Tādisehiyeva sīsukkhepabhamukkhepādīhi ākārehi manteyya. Rājabhaṇitanti yathā raññā bhaṇitaṃ, tassatthassa sādhanasamatthaṃ. Sopi tassatthassa sādhanasamatthameva bhaṇitaṃ bhaṇatīti attho.

    ๒๘๕. ปวตฺตาโรติ ปวตฺตยิตาโรฯ เยสนฺติ เยสํ สนฺตกํฯ มนฺตปทนฺติ เวทสงฺขาตํ มนฺตเมว ฯ คีตนฺติ อฎฺฐกาทีหิ ทสหิ โปราณกพฺราหฺมเณหิ สรสมฺปตฺติวเสน สชฺฌายิตํฯ ปวุตฺตนฺติ อเญฺญสํ วุตฺตํ, วาจิตนฺติ อโตฺถฯ สมิหิตนฺติ สมุปพฺยูฬฺหํ ราสิกตํ, ปิณฺฑํ กตฺวา ฐปิตนฺติ อโตฺถฯ ตทนุคายนฺตีติ เอตรหิ พฺราหฺมณา ตํ เตหิ ปุเพฺพ คีตํ อนุคายนฺติ อนุสชฺฌายนฺติฯ ตทนุภาสนฺตีติ ตํ อนุภาสนฺติ, อิทํ ปุริมเสฺสว เววจนํฯ ภาสิตมนุภาสนฺตีติ เตหิ ภาสิตํ สชฺฌายิตํ อนุสชฺฌายนฺติฯ วาจิตมนุวาเจนฺตีติ เตหิ อเญฺญสํ วาจิตํ อนุวาเจนฺติฯ

    285.Pavattāroti pavattayitāro. Yesanti yesaṃ santakaṃ. Mantapadanti vedasaṅkhātaṃ mantameva . Gītanti aṭṭhakādīhi dasahi porāṇakabrāhmaṇehi sarasampattivasena sajjhāyitaṃ. Pavuttanti aññesaṃ vuttaṃ, vācitanti attho. Samihitanti samupabyūḷhaṃ rāsikataṃ, piṇḍaṃ katvā ṭhapitanti attho. Tadanugāyantīti etarahi brāhmaṇā taṃ tehi pubbe gītaṃ anugāyanti anusajjhāyanti. Tadanubhāsantīti taṃ anubhāsanti, idaṃ purimasseva vevacanaṃ. Bhāsitamanubhāsantīti tehi bhāsitaṃ sajjhāyitaṃ anusajjhāyanti. Vācitamanuvācentīti tehi aññesaṃ vācitaṃ anuvācenti.

    เสยฺยถิทนฺติ เต กตเมหิ อโตฺถฯ อฎฺฐโกติอาทีนิ เตสํ นามานิฯ เต กิร ทิเพฺพน จกฺขุนา โอโลเกตฺวา ปรูปฆาตํ อกตฺวา กสฺสปสมฺมาสมฺพุทฺธสฺส ภควโต ปาวจเนน สห สํสนฺทิตฺวา มเนฺต คนฺถิํสุฯ อปราปเร ปน พฺราหฺมณา ปาณาติปาตาทีนิ ปกฺขิปิตฺวา ตโย เวเท ภินฺทิตฺวา พุทฺธวจเนน สทฺธิํ วิรุเทฺธ อกํสุฯ เนตํ ฐานํ วิชฺชตีติ เยน ตฺวํ อิสิ ภเวยฺยาสิ, เอตํ การณํ น วิชฺชติฯ อิธ ภควา ยสฺมา – ‘‘เอส ปุจฺฉิยมาโนปิ, อตฺตโน อวตฺถรณภาวํ ญตฺวา ปฎิวจนํ น ทสฺสตี’’ติ ชานาติ, ตสฺมา ปฎิญฺญํ อคเหตฺวาว ตํ อิสิภาวํ ปฎิกฺขิปิฯ

    Seyyathidanti te katamehi attho. Aṭṭhakotiādīni tesaṃ nāmāni. Te kira dibbena cakkhunā oloketvā parūpaghātaṃ akatvā kassapasammāsambuddhassa bhagavato pāvacanena saha saṃsanditvā mante ganthiṃsu. Aparāpare pana brāhmaṇā pāṇātipātādīni pakkhipitvā tayo vede bhinditvā buddhavacanena saddhiṃ viruddhe akaṃsu. Netaṃṭhānaṃ vijjatīti yena tvaṃ isi bhaveyyāsi, etaṃ kāraṇaṃ na vijjati. Idha bhagavā yasmā – ‘‘esa pucchiyamānopi, attano avattharaṇabhāvaṃ ñatvā paṭivacanaṃ na dassatī’’ti jānāti, tasmā paṭiññaṃ agahetvāva taṃ isibhāvaṃ paṭikkhipi.

    ๒๘๖. อิทานิ ยสฺมา เต โปราณา ทส พฺราหฺมณา นิรามคนฺธา อนิตฺถิคนฺธา รโชชลฺลธรา พฺรหฺมจาริโน อรญฺญายตเน ปพฺพตปาเทสุ วนมูลผลาหารา วสิํสุฯ ยทา กตฺถจิ คนฺตุกามา โหนฺติ, อิทฺธิยา อากาเสเนว คจฺฉนฺติ, นตฺถิ เตสํ ยาเนน กิจฺจํฯ สพฺพทิสาสุ จ เนสํ เมตฺตาทิพฺรหฺมวิหารภาวนาว อารกฺขา โหติ, นตฺถิ เตสํ ปาการปุริสคุตฺตีหิ อโตฺถฯ อิมินา จ อมฺพเฎฺฐน สุตปุพฺพา เตสํ ปฎิปตฺติ; ตสฺมา อิมสฺส สาจริยกสฺส เตสํ ปฎิปตฺติโต อารกภาวํ ทเสฺสตุํ – ‘‘ตํ กิํ มญฺญสิ, อมฺพฎฺฐา’’ติอาทิมาหฯ

    286. Idāni yasmā te porāṇā dasa brāhmaṇā nirāmagandhā anitthigandhā rajojalladharā brahmacārino araññāyatane pabbatapādesu vanamūlaphalāhārā vasiṃsu. Yadā katthaci gantukāmā honti, iddhiyā ākāseneva gacchanti, natthi tesaṃ yānena kiccaṃ. Sabbadisāsu ca nesaṃ mettādibrahmavihārabhāvanāva ārakkhā hoti, natthi tesaṃ pākārapurisaguttīhi attho. Iminā ca ambaṭṭhena sutapubbā tesaṃ paṭipatti; tasmā imassa sācariyakassa tesaṃ paṭipattito ārakabhāvaṃ dassetuṃ – ‘‘taṃ kiṃ maññasi, ambaṭṭhā’’tiādimāha.

    ตตฺถ วิจิตกาฬกนฺติ วิจินิตฺวา อปนีตกาฬกํฯ เวฐกนตปสฺสาหีติ ทุสฺสปฎฺฎทุสฺสเวณิ อาทีหิ เวฐเกหิ นมิตผาสุกาหิฯ กุตฺตวาเลหีติ โสภากรณตฺถํ กเปฺปตุํ, ยุตฺตฎฺฐาเนสุ กปฺปิตวาเลหิฯ เอตฺถ จ วฬวานํเยว วาลา กปฺปิตา, น รถานํ, วฬวปยุตฺตตฺตา ปน รถาปิ ‘‘กุตฺตวาลา’’ติ วุตฺตาฯ อุกฺกิณฺณปริขาสูติ ขตปริขาสุฯ โอกฺขิตฺตปลิฆาสูติ ฐปิตปลิฆาสุฯ นครูปการิกาสูติ เอตฺถ อุปการิกาติ ปเรสํ อาโรหนิวารณตฺถํ สมนฺตา นครํ ปาการสฺส อโธภาเค กตสุธากมฺมํ วุจฺจติฯ อิธ ปน ตาหิ อุปการิกาหิ ยุตฺตานิ นคราเนว ‘‘นครูปการิกาโย’’ติ อธิเปฺปตานิฯ รกฺขาเปนฺตีติ ตาทิเสสุ นคเรสุ วสนฺตาปิ อตฺตานํ รกฺขาเปนฺติฯ กงฺขาติ ‘‘สพฺพญฺญู, น สพฺพญฺญู’’ติ เอวํ สํสโยฯ วิมตีติ ตเสฺสว เววจนํ, วิรูปา มติ, วินิจฺฉินิตุํ อสมตฺถาติ อโตฺถฯ อิทํ ภควา ‘‘อมฺพฎฺฐสฺส อิมินา อตฺตภาเวน มคฺคปาตุภาโว นตฺถิ, เกวลํ ทิวโส วีติวตฺตติ, อยํ โข ปน ลกฺขณปริเยสนตฺถํ อาคโต, ตมฺปิ กิจฺจํ นสฺสรติฯ หนฺทสฺส สติชนนตฺถํ นยํ เทมี’’ติ อาหฯ

    Tattha vicitakāḷakanti vicinitvā apanītakāḷakaṃ. Veṭhakanatapassāhīti dussapaṭṭadussaveṇi ādīhi veṭhakehi namitaphāsukāhi. Kuttavālehīti sobhākaraṇatthaṃ kappetuṃ, yuttaṭṭhānesu kappitavālehi. Ettha ca vaḷavānaṃyeva vālā kappitā, na rathānaṃ, vaḷavapayuttattā pana rathāpi ‘‘kuttavālā’’ti vuttā. Ukkiṇṇaparikhāsūti khataparikhāsu. Okkhittapalighāsūti ṭhapitapalighāsu. Nagarūpakārikāsūti ettha upakārikāti paresaṃ ārohanivāraṇatthaṃ samantā nagaraṃ pākārassa adhobhāge katasudhākammaṃ vuccati. Idha pana tāhi upakārikāhi yuttāni nagarāneva ‘‘nagarūpakārikāyo’’ti adhippetāni. Rakkhāpentīti tādisesu nagaresu vasantāpi attānaṃ rakkhāpenti. Kaṅkhāti ‘‘sabbaññū, na sabbaññū’’ti evaṃ saṃsayo. Vimatīti tasseva vevacanaṃ, virūpā mati, vinicchinituṃ asamatthāti attho. Idaṃ bhagavā ‘‘ambaṭṭhassa iminā attabhāvena maggapātubhāvo natthi, kevalaṃ divaso vītivattati, ayaṃ kho pana lakkhaṇapariyesanatthaṃ āgato, tampi kiccaṃ nassarati. Handassa satijananatthaṃ nayaṃ demī’’ti āha.

    เทฺวลกฺขณทสฺสนวณฺณนา

    Dvelakkhaṇadassanavaṇṇanā

    ๒๘๗. เอวํ วตฺวา ปน ยสฺมา พุทฺธานํ นิสินฺนานํ วา นิปนฺนานํ วา โกจิ ลกฺขณํ ปริเยสิตุํ น สโกฺกติ, ฐิตานํ ปน จงฺกมนฺตานํ วา สโกฺกติฯ อาจิณฺณเญฺจตํ พุทฺธานํ ลกฺขณปริเยสนตฺถํ อาคตภาวํ ญตฺวา อุฎฺฐายาสนา จงฺกมาธิฎฺฐานํ นาม, เตน ภควา อุฎฺฐายาสนา พหิ นิกฺขโนฺตฯ ตสฺมา อถ โข ภควาติอาทิ วุตฺตํฯ

    287. Evaṃ vatvā pana yasmā buddhānaṃ nisinnānaṃ vā nipannānaṃ vā koci lakkhaṇaṃ pariyesituṃ na sakkoti, ṭhitānaṃ pana caṅkamantānaṃ vā sakkoti. Āciṇṇañcetaṃ buddhānaṃ lakkhaṇapariyesanatthaṃ āgatabhāvaṃ ñatvā uṭṭhāyāsanā caṅkamādhiṭṭhānaṃ nāma, tena bhagavā uṭṭhāyāsanā bahi nikkhanto. Tasmā atha kho bhagavātiādi vuttaṃ.

    สมเนฺนสีติ คเวสิ, เอกํ เทฺวติ วา คณยโนฺต สมานยิฯ เยภุเยฺยนาติ ปาเยน, พหุกานิ อทฺทส, อปฺปานิ น อทฺทสาติ อโตฺถฯ ตโต ยานิ น อทฺทส เตสํ ทีปนตฺถํ วุตฺตํ – ‘‘ฐเปตฺวา เทฺว’’ติฯ กงฺขตีติ ‘‘อโห วต ปเสฺสยฺย’’นฺติ ปตฺถนํ อุปฺปาเทติฯ วิจิกิจฺฉตีติ ตโต ตโต ตานิ วิจินโนฺต กิจฺฉติ น สโกฺกติ ทฎฺฐุํฯ นาธิมุจฺจตีติ ตาย วิจิกิจฺฉาย สนฺนิฎฺฐานํ น คจฺฉติฯ น สมฺปสีทตีติ ตโต – ‘‘ปริปุณฺณลกฺขโณ อย’’นฺติ ภควติ ปสาทํ นาปชฺชติฯ กงฺขาย วา ทุพฺพลา วิมติ วุตฺตา, วิจิกิจฺฉาย มชฺฌิมา, อนธิมุจฺจนตาย พลวตี, อสมฺปสาเทน เตหิ ตีหิ ธเมฺมหิ จิตฺตสฺส กาลุสิยภาโวฯ โกโสหิเตติ วตฺถิโกเสน ปฎิจฺฉเนฺนฯ วตฺถคุเยฺหติ องฺคชาเต ภควโต หิ วรวารณเสฺสว โกโสหิตํ วตฺถคุยฺหํ สุวณฺณวณฺณํ ปทุมคพฺภสมานํฯ ตํ โส วตฺถปฎิจฺฉนฺนตฺตา อปสฺสโนฺต, อโนฺตมุขคตาย จ ชิวฺหาย ปหูตภาวํ อสลฺลเกฺขโนฺต เตสุ ทฺวีสุ ลกฺขเณสุ กงฺขี อโหสิ วิจิกิจฺฉีฯ

    Samannesīti gavesi, ekaṃ dveti vā gaṇayanto samānayi. Yebhuyyenāti pāyena, bahukāni addasa, appāni na addasāti attho. Tato yāni na addasa tesaṃ dīpanatthaṃ vuttaṃ – ‘‘ṭhapetvā dve’’ti. Kaṅkhatīti ‘‘aho vata passeyya’’nti patthanaṃ uppādeti. Vicikicchatīti tato tato tāni vicinanto kicchati na sakkoti daṭṭhuṃ. Nādhimuccatīti tāya vicikicchāya sanniṭṭhānaṃ na gacchati. Na sampasīdatīti tato – ‘‘paripuṇṇalakkhaṇo aya’’nti bhagavati pasādaṃ nāpajjati. Kaṅkhāya vā dubbalā vimati vuttā, vicikicchāya majjhimā, anadhimuccanatāya balavatī, asampasādena tehi tīhi dhammehi cittassa kālusiyabhāvo. Kosohiteti vatthikosena paṭicchanne. Vatthaguyheti aṅgajāte bhagavato hi varavāraṇasseva kosohitaṃ vatthaguyhaṃ suvaṇṇavaṇṇaṃ padumagabbhasamānaṃ. Taṃ so vatthapaṭicchannattā apassanto, antomukhagatāya ca jivhāya pahūtabhāvaṃ asallakkhento tesu dvīsu lakkhaṇesu kaṅkhī ahosi vicikicchī.

    ๒๘๘. ตถารูปนฺติ ตํ รูปํฯ กิเมตฺถ อเญฺญน วตฺตพฺพํ? วุตฺตเมตํ นาคเสนเตฺถเรเนว มิลินฺทรญฺญา ปุเฎฺฐน – ‘‘ทุกฺกรํ, ภเนฺต, นาคเสน, ภควตา กตนฺติฯ กิํ มหาราชาติ? มหาชเนน หิริกรโณกาสํ พฺรหฺมายุ พฺราหฺมณสฺส จ อเนฺตวาสิ อุตฺตรสฺส จ, พาวริสฺส อเนฺตวาสีนํ โสฬสพฺราหฺมณานญฺจ , เสลสฺส พฺราหฺมณสฺส จ อเนฺตวาสีนํ ติสตมาณวานญฺจ ทเสฺสสิ, ภเนฺตติฯ น, มหาราช, ภควา คุยฺหํ ทเสฺสสิฯ ฉายํ ภควา ทเสฺสสิฯ อิทฺธิยา อภิสงฺขริตฺวา นิวาสนนิวตฺถํ กายพนฺธนพทฺธํ จีวรปารุตํ ฉายารูปกมตฺตํ ทเสฺสสิ มหาราชาติฯ ฉายํ ทิเฎฺฐ สติ ทิฎฺฐํเยว นนุ, ภเนฺตติ? ติฎฺฐเตตํ, มหาราช, หทยรูปํ ทิสฺวา พุชฺฌนกสโตฺต ภเวยฺย, หทยมํสํ นีหริตฺวา ทเสฺสยฺย สมฺมาสมฺพุโทฺธติฯ กโลฺลสิ, ภเนฺต, นาคเสนา’’ติฯ

    288.Tathārūpanti taṃ rūpaṃ. Kimettha aññena vattabbaṃ? Vuttametaṃ nāgasenatthereneva milindaraññā puṭṭhena – ‘‘dukkaraṃ, bhante, nāgasena, bhagavatā katanti. Kiṃ mahārājāti? Mahājanena hirikaraṇokāsaṃ brahmāyu brāhmaṇassa ca antevāsi uttarassa ca, bāvarissa antevāsīnaṃ soḷasabrāhmaṇānañca , selassa brāhmaṇassa ca antevāsīnaṃ tisatamāṇavānañca dassesi, bhanteti. Na, mahārāja, bhagavā guyhaṃ dassesi. Chāyaṃ bhagavā dassesi. Iddhiyā abhisaṅkharitvā nivāsananivatthaṃ kāyabandhanabaddhaṃ cīvarapārutaṃ chāyārūpakamattaṃ dassesi mahārājāti. Chāyaṃ diṭṭhe sati diṭṭhaṃyeva nanu, bhanteti? Tiṭṭhatetaṃ, mahārāja, hadayarūpaṃ disvā bujjhanakasatto bhaveyya, hadayamaṃsaṃ nīharitvā dasseyya sammāsambuddhoti. Kallosi, bhante, nāgasenā’’ti.

    นินฺนาเมตฺวาติ นีหริตฺวาฯ อนุมสีติ กถินสูจิํ วิย กตฺวา อนุมชฺชิ, ตถากรเณน เจตฺถ มุทุภาโว, กณฺณโสตานุมสเนน ทีฆภาโว, นาสิกโสตานุมสเนน ตนุภาโว, นลาฎจฺฉาทเนน ปุถุลภาโว ปกาสิโตติ เวทิตโพฺพฯ

    Ninnāmetvāti nīharitvā. Anumasīti kathinasūciṃ viya katvā anumajji, tathākaraṇena cettha mudubhāvo, kaṇṇasotānumasanena dīghabhāvo, nāsikasotānumasanena tanubhāvo, nalāṭacchādanena puthulabhāvo pakāsitoti veditabbo.

    ๒๘๙. ปฎิมาเนโนฺตติ อาคเมโนฺต, อาคมนมสฺส ปเตฺถโนฺต อุทิกฺขโนฺตติ อโตฺถฯ

    289.Paṭimānentoti āgamento, āgamanamassa patthento udikkhantoti attho.

    ๒๙๐. กถาสลฺลาโปติ กถา จ สลฺลาโป จ, กถนํ ปฎิกถนนฺติ อโตฺถฯ

    290.Kathāsallāpoti kathā ca sallāpo ca, kathanaṃ paṭikathananti attho.

    ๒๙๑. อโห วตาติ ครหวจนเมตํฯ เรติ อิทํ หีฬนวเสน อามนฺตนํฯ ปณฺฑิตกาติ ตเมว ชิคุจฺฉโนฺต อาหฯ เสสปททฺวเยปิ เอเสว นโยฯ เอวรูเปน กิร โภ ปุริโส อตฺถจรเกนาติ อิทํ ยาทิโส ตฺวํ, เอทิเส อตฺถจรเก หิตการเก สติ ปุริโส นิรยํเยว คเจฺฉยฺย, น อญฺญตฺราติ อิมมตฺถํ สนฺธาย วทติฯ อาสชฺช อาสชฺชาติ ฆเฎฺฎตฺวา ฆเฎฺฎตฺวาฯ อเมฺหปิ เอวํ อุปเนยฺย อุปเนยฺยาติ พฺราหฺมโณ โข ปน อมฺพฎฺฐ โปกฺขรสาตีติอาทีนิ วตฺวา เอวํ อุปเนตฺวา อุปเนตฺวา ปฎิจฺฉนฺนํ การณํ อาวิกริตฺวา สุฎฺฐุ ทาสาทิภาวํ อาโรเปตฺวา อวจ, ตยา อเมฺห อโกฺกสาปิตาติ อธิปฺปาโยฯ ปทสาเยว ปวเตฺตสีติ ปาเทน ปหริตฺวา ภูมิยํ ปาเตสิฯ ยญฺจ โส ปุเพฺพ อาจริเยน สทฺธิํ รถํ อารุหิตฺวา สารถิ หุตฺวา อคมาสิ , ตมฺปิสฺส ฐานํ อจฺฉินฺทิตฺวา รถสฺส ปุรโต ปทสา เยวสฺส คมนํ อกาสิฯ

    291.Aho vatāti garahavacanametaṃ. Reti idaṃ hīḷanavasena āmantanaṃ. Paṇḍitakāti tameva jigucchanto āha. Sesapadadvayepi eseva nayo. Evarūpena kira bho puriso atthacarakenāti idaṃ yādiso tvaṃ, edise atthacarake hitakārake sati puriso nirayaṃyeva gaccheyya, na aññatrāti imamatthaṃ sandhāya vadati. Āsajja āsajjāti ghaṭṭetvā ghaṭṭetvā. Amhepi evaṃ upaneyya upaneyyāti brāhmaṇo kho pana ambaṭṭha pokkharasātītiādīni vatvā evaṃ upanetvā upanetvā paṭicchannaṃ kāraṇaṃ āvikaritvā suṭṭhu dāsādibhāvaṃ āropetvā avaca, tayā amhe akkosāpitāti adhippāyo. Padasāyeva pavattesīti pādena paharitvā bhūmiyaṃ pātesi. Yañca so pubbe ācariyena saddhiṃ rathaṃ āruhitvā sārathi hutvā agamāsi , tampissa ṭhānaṃ acchinditvā rathassa purato padasā yevassa gamanaṃ akāsi.

    โปกฺขรสาติพุทฺธูปสงฺกมนวณฺณนา

    Pokkharasātibuddhūpasaṅkamanavaṇṇanā

    ๒๙๒-๒๙๖. อติวิกาโลติ สุฎฺฐุ วิกาโล, สโมฺมทนียกถายปิ กาโล นตฺถิฯ อาคมา นุ ขฺวิธ โภติ อาคมา นุ โข อิธ โภฯ อธิวาเสตูติ สมฺปฎิจฺฉตุฯ อชฺชตนายาติ ยํ เม ตุเมฺหสุ การํ กโรโต อชฺช ภวิสฺสติ ปุญฺญญฺจ ปีติปาโมชฺชญฺจ ตทตฺถายฯ อธิวาเสสิ ภควา ตุณฺหีภาเวนาติ ภควา กายงฺคํ วา วาจงฺคํ วา อโจเปตฺวา อพฺภนฺตเรเยว ขนฺติํ ธาเรโนฺต ตุณฺหีภาเวน อธิวาเสสิฯ พฺราหฺมณสฺส อนุคฺคหณตฺถํ มนสาว สมฺปฎิจฺฉีติ วุตฺตํ โหติฯ

    292-296.Ativikāloti suṭṭhu vikālo, sammodanīyakathāyapi kālo natthi. Āgamā nu khvidha bhoti āgamā nu kho idha bho. Adhivāsetūti sampaṭicchatu. Ajjatanāyāti yaṃ me tumhesu kāraṃ karoto ajja bhavissati puññañca pītipāmojjañca tadatthāya. Adhivāsesi bhagavā tuṇhībhāvenāti bhagavā kāyaṅgaṃ vā vācaṅgaṃ vā acopetvā abbhantareyeva khantiṃ dhārento tuṇhībhāvena adhivāsesi. Brāhmaṇassa anuggahaṇatthaṃ manasāva sampaṭicchīti vuttaṃ hoti.

    ๒๙๗. ปณีเตนาติ อุตฺตเมนฯ สหตฺถาติ สหเตฺถนฯ สนฺตเปฺปสีติ สุฎฺฐุ ตเปฺปสิ ปริปุณฺณํ สุหิตํ ยาวทตฺถํ อกาสิฯ สมฺปวาเรสีติ สุฎฺฐุ ปวาเรสิ, อลํ อลนฺติ หตฺถสญฺญาย ปฎิกฺขิปาเปสิฯ ภุตฺตาวินฺติ ภุตฺตวนฺตํฯ โอนีตปตฺตปาณินฺติ ปตฺตโต โอนีตปาณิํ, อปนีตหตฺถนฺติ วุตฺตํ โหติฯ โอนิตฺตปตฺตปาณินฺติปิ ปาโฐฯ ตสฺสโตฺถ – โอนิตฺตํ นานาภูตํ วินาภูตํ ปตฺตํ ปาณิโต อสฺสาติ โอนิตฺตปตฺตปาณิ, ตํ โอนิตฺตปตฺตปาณิํฯ หเตฺถ จ ปตฺตญฺจ โธวิตฺวา เอกมเนฺต ปตฺตํ นิกฺขิปิตฺวา นิสินฺนนฺติ อโตฺถฯ เอกมนฺตํ นิสีทีติ ภควนฺตํ เอวํ ภูตํ ญตฺวา เอกสฺมิํ โอกาเส นิสีทีติ อโตฺถฯ

    297.Paṇītenāti uttamena. Sahatthāti sahatthena. Santappesīti suṭṭhu tappesi paripuṇṇaṃ suhitaṃ yāvadatthaṃ akāsi. Sampavāresīti suṭṭhu pavāresi, alaṃ alanti hatthasaññāya paṭikkhipāpesi. Bhuttāvinti bhuttavantaṃ. Onītapattapāṇinti pattato onītapāṇiṃ, apanītahatthanti vuttaṃ hoti. Onittapattapāṇintipi pāṭho. Tassattho – onittaṃ nānābhūtaṃ vinābhūtaṃ pattaṃ pāṇito assāti onittapattapāṇi, taṃ onittapattapāṇiṃ. Hatthe ca pattañca dhovitvā ekamante pattaṃ nikkhipitvā nisinnanti attho. Ekamantaṃ nisīdīti bhagavantaṃ evaṃ bhūtaṃ ñatvā ekasmiṃ okāse nisīdīti attho.

    ๒๙๘. อนุปุพฺพิํ กถนฺติ อนุปฎิปาฎิกถํฯ อานุปุพฺพิกถา นาม ทานานนฺตรํ สีลํ, สีลานนฺตรํ สโคฺค, สคฺคานนฺตรํ มโคฺคติ เอเตสํ อตฺถานํ ทีปนกถาฯ เตเนว – ‘‘เสยฺยถิทํ ทานกถ’’นฺติอาทิมาหฯ โอการนฺติ อวการํ ลามกภาวํฯ สามุกฺกํสิกาติ สามํ อุกฺกํสิกา, อตฺตนาเยว อุทฺธริตฺวา คหิตา, สยมฺภูญาเณน ทิฎฺฐา, อสาธารณา อเญฺญสนฺติ อโตฺถฯ กา ปน สาติ? อริยสจฺจเทสนาฯ เตเนวาห – ‘‘ทุกฺขํ, สมุทยํ, นิโรธํ, มคฺค’’นฺติฯ ธมฺมจกฺขุนฺติ เอตฺถ โสตาปตฺติมโคฺค อธิเปฺปโตฯ ตสฺส อุปฺปตฺติอาการทสฺสนตฺถํ – ‘‘ยํ กิญฺจิ สมุทยธมฺมํ, สพฺพํ ตํ นิโรธธมฺม’’นฺติ อาหฯ ตญฺหิ นิโรธํ อารมฺมณํ กตฺวา กิจฺจวเสน เอวํ สพฺพสงฺขตํ ปฎิวิชฺฌนฺตํ อุปฺปชฺชติฯ

    298.Anupubbiṃ kathanti anupaṭipāṭikathaṃ. Ānupubbikathā nāma dānānantaraṃ sīlaṃ, sīlānantaraṃ saggo, saggānantaraṃ maggoti etesaṃ atthānaṃ dīpanakathā. Teneva – ‘‘seyyathidaṃ dānakatha’’ntiādimāha. Okāranti avakāraṃ lāmakabhāvaṃ. Sāmukkaṃsikāti sāmaṃ ukkaṃsikā, attanāyeva uddharitvā gahitā, sayambhūñāṇena diṭṭhā, asādhāraṇā aññesanti attho. Kā pana sāti? Ariyasaccadesanā. Tenevāha – ‘‘dukkhaṃ, samudayaṃ, nirodhaṃ, magga’’nti. Dhammacakkhunti ettha sotāpattimaggo adhippeto. Tassa uppattiākāradassanatthaṃ – ‘‘yaṃ kiñci samudayadhammaṃ, sabbaṃ taṃ nirodhadhamma’’nti āha. Tañhi nirodhaṃ ārammaṇaṃ katvā kiccavasena evaṃ sabbasaṅkhataṃ paṭivijjhantaṃ uppajjati.

    โปกฺขรสาติอุปาสกตฺตปฎิเวทนาวณฺณนา

    Pokkharasātiupāsakattapaṭivedanāvaṇṇanā

    ๒๙๙. ทิโฎฺฐ อริยสจฺจธโมฺม เอเตนาติ ทิฎฺฐธโมฺมฯ เอส นโย เสสปเทสุปิฯ ติณฺณา วิจิกิจฺฉา อเนนาติ ติณฺณวิจิกิโจฺฉฯ วิคตา กถํกถา อสฺสาติ วิคตกถํกโถฯ เวสารชฺชปฺปโตฺตติ วิสารทภาวํ ปโตฺตฯ กตฺถ? สตฺถุสาสเนฯ นาสฺส ปโร ปจฺจโย, น ปรสฺส สทฺธาย เอตฺถ วตฺตตีติ อปรปฺปจฺจโยฯ เสสํ สพฺพตฺถ วุตฺตนยตฺตา อุตฺตานตฺถตฺตา จ ปากฎเมวาติฯ

    299. Diṭṭho ariyasaccadhammo etenāti diṭṭhadhammo. Esa nayo sesapadesupi. Tiṇṇā vicikicchā anenāti tiṇṇavicikiccho. Vigatā kathaṃkathā assāti vigatakathaṃkatho. Vesārajjappattoti visāradabhāvaṃ patto. Kattha? Satthusāsane. Nāssa paro paccayo, na parassa saddhāya ettha vattatīti aparappaccayo. Sesaṃ sabbattha vuttanayattā uttānatthattā ca pākaṭamevāti.

    อิติ สุมงฺคลวิลาสินิยา ทีฆนิกายฎฺฐกถายํ

    Iti sumaṅgalavilāsiniyā dīghanikāyaṭṭhakathāyaṃ

    อมฺพฎฺฐสุตฺตวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Ambaṭṭhasuttavaṇṇanā niṭṭhitā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ทีฆนิกาย • Dīghanikāya / ๓. อมฺพฎฺฐสุตฺตํ • 3. Ambaṭṭhasuttaṃ

    ฎีกา • Tīkā / สุตฺตปิฎก (ฎีกา) • Suttapiṭaka (ṭīkā) / ทีฆนิกาย (ฎีกา) • Dīghanikāya (ṭīkā) / ๓. อมฺพฎฺฐสุตฺตวณฺณนา • 3. Ambaṭṭhasuttavaṇṇanā


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact