Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ทีฆนิกาย (ฎีกา) • Dīghanikāya (ṭīkā) |
๓. อมฺพฎฺฐสุตฺตวณฺณนา
3. Ambaṭṭhasuttavaṇṇanā
อทฺธานคมนวณฺณนา
Addhānagamanavaṇṇanā
๒๕๔. อปุพฺพปทวณฺณนาติ อตฺถสํวณฺณนาวเสน เหฎฺฐา อคฺคหิตตาย อปุพฺพสฺส ปทสฺส วณฺณนา อตฺถวิภชนาฯ ‘‘หิตฺวา ปุนปฺปุนาคตมตฺถ’’นฺติ (ที. นิ. อฎฺฐ. ๑.คนฺถารมฺภกถา) หิ วุตฺตํฯ ชนปทิโนติ ชนปทวโนฺต, ชนปทสฺส วา อิสฺสรา ราชกุมารา โคตฺตวเสน โกสลา นามฯ ยทิ เอโก ชนปโท, กถํ พหุวจนนฺติ อาห ‘‘รูฬฺหิสเทฺทนา’’ติฯ อกฺขรจินฺตกา หิ อีทิเสสุ ฐาเนสุ ยุเตฺต วิย อีทิสลิงฺควจนานิ อิจฺฉนฺติ, อยเมตฺถ รูฬฺหิ ยถา อญฺญตฺถปิ ‘‘กุรูสุ วิหรติ, อเงฺคสุ วิหรตี’’ติ จฯ ตพฺพิเสสเนปิ ชนปท-สเทฺท ชาติ-สเทฺท เอกวจนเมวฯ โปราณา ปนาติ ปน-สโทฺท วิเสสตฺถโชตโน, เตน ปุถุอตฺถวิสยตาย เอวเญฺจตํ ปุถุวจนนฺติ วกฺขมานวิเสสํ โชเตติฯ พหุปฺปเภโท หิ โส ปเทโส ติโยชนสตปริมาณตายฯ นงฺคลานิปิ ฉเฑฺฑตฺวาติ กมฺมปฺปหานวเสน นงฺคลานิปิ ปหาย, นิทสฺสนมตฺตเญฺจตํฯ น เกวลํ กสฺสกา เอว, อถ โข อเญฺญปิ มนุสฺสา อตฺตโน อตฺตโน กิจฺจํ ปหาย ตตฺถ สนฺนิปติํสุฯ ‘‘โส ปเทโส’’ติ ปเทสสามญฺญโต วุตฺตํ, วจนวิปลฺลาเสน วา, เต ปเทสาติ อโตฺถฯ โกสลาติ วุจฺจติ กุสลา เอว โกสลาติ กตฺวาฯ
254.Apubbapadavaṇṇanāti atthasaṃvaṇṇanāvasena heṭṭhā aggahitatāya apubbassa padassa vaṇṇanā atthavibhajanā. ‘‘Hitvā punappunāgatamattha’’nti (dī. ni. aṭṭha. 1.ganthārambhakathā) hi vuttaṃ. Janapadinoti janapadavanto, janapadassa vā issarā rājakumārā gottavasena kosalā nāma. Yadi eko janapado, kathaṃ bahuvacananti āha ‘‘rūḷhisaddenā’’ti. Akkharacintakā hi īdisesu ṭhānesu yutte viya īdisaliṅgavacanāni icchanti, ayamettha rūḷhi yathā aññatthapi ‘‘kurūsu viharati, aṅgesu viharatī’’ti ca. Tabbisesanepi janapada-sadde jāti-sadde ekavacanameva. Porāṇā panāti pana-saddo visesatthajotano, tena puthuatthavisayatāya evañcetaṃ puthuvacananti vakkhamānavisesaṃ joteti. Bahuppabhedo hi so padeso tiyojanasataparimāṇatāya. Naṅgalānipi chaḍḍetvāti kammappahānavasena naṅgalānipi pahāya, nidassanamattañcetaṃ. Na kevalaṃ kassakā eva, atha kho aññepi manussā attano attano kiccaṃ pahāya tattha sannipatiṃsu. ‘‘So padeso’’ti padesasāmaññato vuttaṃ, vacanavipallāsena vā, te padesāti attho. Kosalāti vuccati kusalā eva kosalāti katvā.
จาริกนฺติ จรณํ, จรณํ วา จาโร, โส เอว จาริกาฯ ตยิทํ มคฺคคมนํ อิธาธิเปฺปตํ, น จุณฺณิกคมนมตฺตนฺติ อาห ‘‘อทฺธานคมนํ คจฺฉโนฺต’’ติฯ ตํ วิภาเคน ทเสฺสตุํ ‘‘จาริกา จ นาเมสา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ ตตฺถ ทูเรปีติ นาติทูเรปิฯ สหสา คมนนฺติ สีฆคมนํฯ มหากสฺสปปจฺจุคฺคมนาทิํ เอกเทเสน วตฺวา วนวาสีติสฺสสามเณรสฺส วตฺถุํ วิตฺถาเรตฺวา ชนปทจาริกํ กเถตุํ ‘‘ภควา หี’’ติอาทิ อารทฺธํฯ อากาสคามีหิ เอว สทฺธิํ คนฺตุกาโม ‘‘ฉฬภิญฺญานํ อาโรเจหี’’ติ อาหฯ
Cārikanti caraṇaṃ, caraṇaṃ vā cāro, so eva cārikā. Tayidaṃ maggagamanaṃ idhādhippetaṃ, na cuṇṇikagamanamattanti āha ‘‘addhānagamanaṃ gacchanto’’ti. Taṃ vibhāgena dassetuṃ ‘‘cārikā ca nāmesā’’tiādi vuttaṃ. Tattha dūrepīti nātidūrepi. Sahasā gamananti sīghagamanaṃ. Mahākassapapaccuggamanādiṃ ekadesena vatvā vanavāsītissasāmaṇerassa vatthuṃ vitthāretvā janapadacārikaṃ kathetuṃ ‘‘bhagavā hī’’tiādi āraddhaṃ. Ākāsagāmīhi eva saddhiṃ gantukāmo ‘‘chaḷabhiññānaṃ ārocehī’’ti āha.
สงฺฆกมฺมวเสน สิชฺฌมานาปิ อุปสมฺปทา สตฺถุ อาณาวเสเนว สิชฺฌนโต ‘‘พุทฺธทายชฺชํ เต ทสฺสามี’’ติ วุตฺตนฺติ วทนฺติฯ อปเร ปน อปริปุณฺณวีสติวสฺสเสฺสว ตสฺส อุปสมฺปทํ อนุชานโนฺต ‘‘ทสฺสามี’’ติ อโวจาติ วทนฺติฯ อุปสมฺปาเทตฺวาติ ธมฺมเสนาปตินา อุปชฺฌาเยน อุปสมฺปาเทตฺวาฯ
Saṅghakammavasena sijjhamānāpi upasampadā satthu āṇāvaseneva sijjhanato ‘‘buddhadāyajjaṃ te dassāmī’’ti vuttanti vadanti. Apare pana aparipuṇṇavīsativassasseva tassa upasampadaṃ anujānanto ‘‘dassāmī’’ti avocāti vadanti. Upasampādetvāti dhammasenāpatinā upajjhāyena upasampādetvā.
นวโยชนสติกมฺปิ ฐานํ มชฺฌิมเทสปริยาปนฺนเมว, ตโต ปรํ นาธิเปฺปตํ ตุริตจาริกาวเสน อคมนโตฯ สมนฺตาติ คตคตฎฺฐานสฺส จตูสุ ปเสฺสสุ สมนฺตโตฯ อเญฺญนปิ การเณนาติ ภิกฺขูนํ สมถวิปสฺสนาตรุณภาวโต อเญฺญนปิ มชฺฌิมมณฺฑเล เวเนยฺยานํ ญาณปริปากาทิการเณน มชฺฌิมมณฺฑลํ โอสรติฯ ‘‘สตฺตหิ วา’’ติอาทิ ‘‘เอกมาสํ วา’’ติอาทินา วุตฺตานุกฺกเมน โยเชตพฺพํฯ
Navayojanasatikampi ṭhānaṃ majjhimadesapariyāpannameva, tato paraṃ nādhippetaṃ turitacārikāvasena agamanato. Samantāti gatagataṭṭhānassa catūsu passesu samantato. Aññenapi kāraṇenāti bhikkhūnaṃ samathavipassanātaruṇabhāvato aññenapi majjhimamaṇḍale veneyyānaṃ ñāṇaparipākādikāraṇena majjhimamaṇḍalaṃ osarati.‘‘Sattahi vā’’tiādi ‘‘ekamāsaṃ vā’’tiādinā vuttānukkamena yojetabbaṃ.
สรีรผาสุกตฺถายาติ เอกสฺมิํเยว ฐาเน นิพทฺธวาสวเสน อุสฺสนฺนธาตุกสฺส สรีรสฺส วิจรเณน ผาสุกตฺถายฯ อฎฺฐุปฺปตฺติกาลาภิกงฺขนตฺถายาติ อคฺคิกฺขโนฺธปมสุตฺต (อ. นิ. ๗.๗๒) มฆเทวชาตกาทิ (ชา. ๑.๑.๙) เทสนานํ วิย ธมฺมเทสนาย อฎฺฐุปฺปตฺติกาลํ อากงฺขมาเนนฯ สุราปานสิกฺขาปทปญฺญาปเน (ปาจิ. ๓๒๘) วิย สิกฺขาปทปญฺญาปนตฺถายฯ โพธเนยฺยสเตฺต องฺคุลิมาลาทิเก (ม. นิ. ๒.๓๔๗) โพธนตฺถายฯ กญฺจิ, กติปเย วา ปุคฺคเล อุทฺทิสฺส จาริกา นิพทฺธจาริกาฯ ตทญฺญา อนิพทฺธจาริกาฯ
Sarīraphāsukatthāyāti ekasmiṃyeva ṭhāne nibaddhavāsavasena ussannadhātukassa sarīrassa vicaraṇena phāsukatthāya. Aṭṭhuppattikālābhikaṅkhanatthāyāti aggikkhandhopamasutta (a. ni. 7.72) maghadevajātakādi (jā. 1.1.9) desanānaṃ viya dhammadesanāya aṭṭhuppattikālaṃ ākaṅkhamānena. Surāpānasikkhāpadapaññāpane (pāci. 328) viya sikkhāpadapaññāpanatthāya. Bodhaneyyasatte aṅgulimālādike (ma. ni. 2.347) bodhanatthāya. Kañci, katipaye vā puggale uddissa cārikā nibaddhacārikā. Tadaññā anibaddhacārikā.
ทสสหสฺสิ โลกธาตุยาติ ชาติเขตฺตภูเต ทสสหสฺสจกฺกวาเฬฯ ตตฺถ หิ สเตฺต ปริปกฺกินฺทฺริเย ปสฺสิตุํ พุทฺธญาณํ อภินีหริตฺวา ฐิโต ภควา ญาณชาลํ ปตฺถรตีติ วุจฺจติฯ สพฺพญฺญุตญฺญาณชาลสฺส อโนฺต ปวิโฎฺฐติ ตสฺส ญาณสฺส โคจรภาวํ อุปคโตฯ ภควา กิร มหากรุณาสมาปตฺติํ สมาปชฺชิตฺวา ตโต วุฎฺฐาย ‘‘เย สตฺตา ภพฺพา ปริปากญาณา อชฺช มยา วิเนตพฺพา, เต มยฺหํ ญาณสฺส อุปฎฺฐหนฺตู’’ติ จิตฺตํ อธิฎฺฐาย สมนฺนาหรติฯ ตสฺส สห สมนฺนาหารา เอโก วา เทฺว วา พหู วา ตทา วินยูปคา เวเนยฺยา ญาณสฺส อาปาถมาคจฺฉนฺติ อยเมตฺถ พุทฺธานุภาโวฯ เอวมฺปิ อาปาถมาคตานํ ปน เนสํ อุปนิสฺสยํ ปุพฺพจริยํ ปุพฺพเหตุํ สมฺปติ วตฺตมานญฺจ ปฎิปตฺติํ โอโลเกติ, เตนาห ‘‘อถ ภควา’’ติอาทิฯ วาทปฎิวาทํ กตฺวาติ ‘‘เอวํ นุ เต อมฺพฎฺฐา’’ติอาทินา มยา วุตฺตวจนสฺส ‘‘เย จ โข เต โภ โคตม มุณฺฑกา สมณกา’’ติอาทินา ปฎิวจนํ กตฺวา ติกฺขตฺตุํ อิพฺภวาทนิปาตนวเสน นานปฺปการํ อสมฺภิวากฺยํ สาธุสภาวาย วาจาย วตฺตุํ อยุตฺตวจนํ วกฺขติฯ นิพฺพิเสวนนฺติ วิคตตุทนํ, มานทพฺพวเสน อปคตปริปฺผนฺทนนฺติ อโตฺถฯ
Dasasahassi lokadhātuyāti jātikhettabhūte dasasahassacakkavāḷe. Tattha hi satte paripakkindriye passituṃ buddhañāṇaṃ abhinīharitvā ṭhito bhagavā ñāṇajālaṃ pattharatīti vuccati. Sabbaññutaññāṇajālassa anto paviṭṭhoti tassa ñāṇassa gocarabhāvaṃ upagato. Bhagavā kira mahākaruṇāsamāpattiṃ samāpajjitvā tato vuṭṭhāya ‘‘ye sattā bhabbā paripākañāṇā ajja mayā vinetabbā, te mayhaṃ ñāṇassa upaṭṭhahantū’’ti cittaṃ adhiṭṭhāya samannāharati. Tassa saha samannāhārā eko vā dve vā bahū vā tadā vinayūpagā veneyyā ñāṇassa āpāthamāgacchanti ayamettha buddhānubhāvo. Evampi āpāthamāgatānaṃ pana nesaṃ upanissayaṃ pubbacariyaṃ pubbahetuṃ sampati vattamānañca paṭipattiṃ oloketi, tenāha ‘‘atha bhagavā’’tiādi. Vādapaṭivādaṃ katvāti ‘‘evaṃ nu te ambaṭṭhā’’tiādinā mayā vuttavacanassa ‘‘ye ca kho te bho gotama muṇḍakā samaṇakā’’tiādinā paṭivacanaṃ katvā tikkhattuṃ ibbhavādanipātanavasena nānappakāraṃ asambhivākyaṃ sādhusabhāvāya vācāya vattuṃ ayuttavacanaṃ vakkhati. Nibbisevananti vigatatudanaṃ, mānadabbavasena apagataparipphandananti attho.
อวสริตพฺพนฺติ อุปคนฺตพฺพํฯ อิจฺฉานงฺคเลติ อิทํ ตทา ภควโต โคจรคามนิทสฺสนํ สมีปเตฺถ ภุมฺมนฺติ กตฺวาฯ ‘‘อิจฺฉานงฺคลวนสเณฺฑ’’ติ นิวาสนฎฺฐานทสฺสนํ อธิกรเณ ภุมฺมนฺติฯ ตทุภยํ วิวรโนฺต ‘‘อิจฺฉานงฺคลํ อุปนิสฺสายา’’ติอาทิมาหฯ ธมฺมราชสฺส ภควโต สพฺพโส อธมฺมนิคฺคณฺหนปรา ปฎิปตฺติ, สา จ สีลสมาธิปญฺญาวเสนาติ ตํ ทเสฺสตุํ ‘‘สีลขนฺธาวาร’’นฺติอาทิ วุตฺตํฯ ยถาภิรุจิเตนาติ ทิพฺพวิหาราทีสุ เยน เยน อตฺตโน อภิรุจิเตน วิหาเรนฯ
Avasaritabbanti upagantabbaṃ. Icchānaṅgaleti idaṃ tadā bhagavato gocaragāmanidassanaṃ samīpatthe bhummanti katvā. ‘‘Icchānaṅgalavanasaṇḍe’’ti nivāsanaṭṭhānadassanaṃ adhikaraṇe bhummanti. Tadubhayaṃ vivaranto ‘‘icchānaṅgalaṃ upanissāyā’’tiādimāha. Dhammarājassa bhagavato sabbaso adhammaniggaṇhanaparā paṭipatti, sā ca sīlasamādhipaññāvasenāti taṃ dassetuṃ ‘‘sīlakhandhāvāra’’ntiādi vuttaṃ. Yathābhirucitenāti dibbavihārādīsu yena yena attano abhirucitena vihārena.
โปกฺขรสาติวตฺถุวณฺณนา
Pokkharasātivatthuvaṇṇanā
๒๕๕. มเนฺตติ อิรุเพฺพทาทิมนฺตสเตฺถฯ โปกฺขเร กมเล สยมาโน นิสีทีติ โปกฺขรสาตีฯ สาติ วุจฺจติ สมสณฺฐานํ, โปกฺขเร สณฺฐานาวยเว ชาโตติ ‘‘โปกฺขรสาตี’’ติปิ วุจฺจติฯ เสตโปกฺขรสทิโสติ เสตปทุมวโณฺณฯ สุวฎฺฎิตาติ วฎฺฎภาวสฺส ยุตฺตฎฺฐาเน สุฎฺฐุ วฎฺฎุลาฯ กาฬวงฺคติลกาทีนํ อภาเวน สุปริสุทฺธาฯ
255.Manteti irubbedādimantasatthe. Pokkhare kamale sayamāno nisīdīti pokkharasātī. Sāti vuccati samasaṇṭhānaṃ, pokkhare saṇṭhānāvayave jātoti ‘‘pokkharasātī’’tipi vuccati. Setapokkharasadisoti setapadumavaṇṇo. Suvaṭṭitāti vaṭṭabhāvassa yuttaṭṭhāne suṭṭhu vaṭṭulā. Kāḷavaṅgatilakādīnaṃ abhāvena suparisuddhā.
อิมสฺส พฺราหฺมณสฺส กีทิโส ปุพฺพโยโค, เยน นํ ภควา อนุคฺคณฺหิตุํ ตํ ฐานํ อุปคโตติ อาห ‘‘อยํ ปนา’’ติอาทิฯ ปทุมคเพฺภ นิพฺพตฺติ เตนายํ สํเสทโช ชาโตฯ น ปุปฺผตีติ น วิกสติฯ รชตพิมฺพกนฺติ รูปิยมยํ รูปกํฯ
Imassa brāhmaṇassa kīdiso pubbayogo, yena naṃ bhagavā anuggaṇhituṃ taṃ ṭhānaṃ upagatoti āha ‘‘ayaṃ panā’’tiādi. Padumagabbhe nibbatti tenāyaṃ saṃsedajo jāto. Na pupphatīti na vikasati. Rajatabimbakanti rūpiyamayaṃ rūpakaṃ.
อชฺฌาวสตีติ เอตฺถ อธิ-สโทฺท อิสฺสริยตฺถทีปโน, อาสโทฺท มริยาทโตฺถติ ทเสฺสโนฺต ‘‘อภิภวิตฺวา’’ติอาทิมาหฯ เตหิ ยุตฺตตฺตา หิ อุกฺกฎฺฐนฺติ อุปโยควจนํ, เตนาห ‘‘อุปสคฺควเสนา’’ติอาทิฯ ยาย มริยาทายาติ ยาย อวตฺถายฯ นครสฺส วตฺถุนฺติ ‘‘อยํ ขโณ, สุมุหุตฺตํ มา อติกฺกมี’’ติ รตฺติวิภายนํ อนุรกฺขนฺตา รตฺติยํ อุกฺกา ฐเปตฺวา อุกฺกาสุ ชลมานาสุ นครสฺส วตฺถุํ อคฺคเหสุํ, ตสฺมา อุกฺกาสุ ฐิตาติ อุกฺกฎฺฐา, อุกฺกาสุ วิโชฺชตยนฺตีสุ ฐิตา ปติฎฺฐิตาติ มูลวิภุชาทิปเกฺขเปน สทฺทสิทฺธิ เวทิตพฺพา, นิรุตฺตินเยน วา อุกฺกาสุ ฐิตาสุ ฐิตา อาสีติ อุกฺกฎฺฐาฯ อปเร ปน ภณนฺติ ‘‘ภูมิภาคสมฺปตฺติยา, อุปกรณสมฺปตฺติยา, มนุสฺสสมฺปตฺติยา จ ตํ นครํ อุกฺกฎฺฐคุณโยคโต อุกฺกฎฺฐาติ นามํ ลภี’’ติ ฯ ตสฺสาติ ‘‘อุกฺกฎฺฐ’’นฺติ อุปโยควเสน วุตฺตปทสฺสฯ อนุปโยคตฺตาติ วิเสสนภาเวน อนุปยุตฺตตฺตาฯ เสสปเทสูติ ‘‘สตฺตุสฺสท’’นฺติอาทิปเทสุฯ ยถาวิธิ หิ อนุปโยโค ปุริมสฺมิํฯ ตตฺถาติ ‘‘อุปสคฺควเสนา’’ติอาทินา วุตฺตวิธาเนฯ ‘‘สทฺทสตฺถโต ปริเยสิตพฺพ’’นฺติ เอเตน สทฺทลกฺขณานุคโต วายํ สทฺทปฺปโยโคติ ทเสฺสติฯ อุปอนุอธิอาอิติเอวํปุพฺพเก วสนกิริยาฐาเน อุปโยควจนเมว ปาปุณาตีติ สทฺทวิทู อิจฺฉนฺติฯ
Ajjhāvasatīti ettha adhi-saddo issariyatthadīpano, āsaddo mariyādatthoti dassento ‘‘abhibhavitvā’’tiādimāha. Tehi yuttattā hi ukkaṭṭhanti upayogavacanaṃ, tenāha ‘‘upasaggavasenā’’tiādi. Yāya mariyādāyāti yāya avatthāya.Nagarassa vatthunti ‘‘ayaṃ khaṇo, sumuhuttaṃ mā atikkamī’’ti rattivibhāyanaṃ anurakkhantā rattiyaṃ ukkā ṭhapetvā ukkāsu jalamānāsu nagarassa vatthuṃ aggahesuṃ, tasmā ukkāsu ṭhitāti ukkaṭṭhā, ukkāsu vijjotayantīsu ṭhitā patiṭṭhitāti mūlavibhujādipakkhepena saddasiddhi veditabbā, niruttinayena vā ukkāsu ṭhitāsu ṭhitā āsīti ukkaṭṭhā. Apare pana bhaṇanti ‘‘bhūmibhāgasampattiyā, upakaraṇasampattiyā, manussasampattiyā ca taṃ nagaraṃ ukkaṭṭhaguṇayogato ukkaṭṭhāti nāmaṃ labhī’’ti . Tassāti ‘‘ukkaṭṭha’’nti upayogavasena vuttapadassa. Anupayogattāti visesanabhāvena anupayuttattā. Sesapadesūti ‘‘sattussada’’ntiādipadesu. Yathāvidhi hi anupayogo purimasmiṃ. Tatthāti ‘‘upasaggavasenā’’tiādinā vuttavidhāne. ‘‘Saddasatthato pariyesitabba’’nti etena saddalakkhaṇānugato vāyaṃ saddappayogoti dasseti. Upaanuadhiāitievaṃpubbake vasanakiriyāṭhāne upayogavacanameva pāpuṇātīti saddavidū icchanti.
อุสฺสทตา นาเมตฺถ พหุลตาติ, ตํ พหุลตํ ทเสฺสตุํ ‘‘พหุชน’’นฺติอาทิ วุตฺตํฯ คเหตฺวา โปเสตพฺพํ โปสาวนิยํฯ อาวิชฺฌิตฺวาติ ปริกฺขิปิตฺวาฯ
Ussadatā nāmettha bahulatāti, taṃ bahulataṃ dassetuṃ ‘‘bahujana’’ntiādi vuttaṃ. Gahetvā posetabbaṃ posāvaniyaṃ. Āvijjhitvāti parikkhipitvā.
รญฺญา วิย ภุญฺชิตพฺพนฺติ วา ราชโภคฺคํฯ รโญฺญ ทายภูตนฺติ กุลปรมฺปราย โยคฺยภาเวน ราชโต ลทฺธทายภูตํฯ เตนาห ‘‘ทายชฺชนฺติ อโตฺถ’’ติฯ ราชนีหาเรน ปริภุญฺชิตพฺพโต อุทฺธํ ปริโภคลาภสฺส เสฎฺฐเทยฺยตา นาม นตฺถีติ อาห ‘‘ฉตฺตํ อุสฺสาเปตฺวา ราชสเงฺขเปน ภุญฺชิตพฺพ’’นฺติฯ ‘‘สพฺพํ เฉชฺชเภชฺช’’นฺติ สรีรทณฺฑธนทณฺฑาทิ เภทํ สพฺพํ ทณฺฑมาหฯ นทีติตฺถปพฺพตาทีสูติ นทีติตฺถปพฺพตปาทคามทฺวารอฎวิมุขาทีสุฯ ‘‘ราชทาย’’นฺติ อิมินาว รโญฺญ ทินฺนภาเว สิเทฺธ ‘‘รญฺญา ปเสนทินา โกสเลน ทินฺน’’นฺติ วจนํ กิมตฺถิยนฺติ อาห ‘‘ทายกราชทีปนตฺถ’’นฺติอาทิ ฯ นิสฺสฎฺฐปริจฺจตฺตนฺติ มุตฺตจาควเสน ปริจฺจตฺตํ กตฺวาฯ เอวญฺหิ ตํ เสฎฺฐเทยฺยํ อุตฺตมเทยฺยํ ชาตํฯ
Raññā viya bhuñjitabbanti vā rājabhoggaṃ. Rañño dāyabhūtanti kulaparamparāya yogyabhāvena rājato laddhadāyabhūtaṃ. Tenāha ‘‘dāyajjanti attho’’ti. Rājanīhārena paribhuñjitabbato uddhaṃ paribhogalābhassa seṭṭhadeyyatā nāma natthīti āha ‘‘chattaṃ ussāpetvā rājasaṅkhepena bhuñjitabba’’nti. ‘‘Sabbaṃ chejjabhejja’’nti sarīradaṇḍadhanadaṇḍādi bhedaṃ sabbaṃ daṇḍamāha. Nadītitthapabbatādīsūti nadītitthapabbatapādagāmadvāraaṭavimukhādīsu. ‘‘Rājadāya’’nti imināva rañño dinnabhāve siddhe ‘‘raññā pasenadinā kosalena dinna’’nti vacanaṃ kimatthiyanti āha ‘‘dāyakarājadīpanattha’’ntiādi . Nissaṭṭhapariccattanti muttacāgavasena pariccattaṃ katvā. Evañhi taṃ seṭṭhadeyyaṃ uttamadeyyaṃ jātaṃ.
อุปลภีติ สวนวเสน อุปลภีติ อิมมตฺถํ ทเสฺสโนฺต ‘‘โสตทฺวาร…เป.… อญฺญาสี’’ติ อาหฯ อวธารณผลตฺตา สพฺพมฺปิ วากฺยํ อโนฺตคธาวธารณนฺติ อาห ‘‘ปทปูรณมเตฺต นิปาโต’’ติฯ ‘‘อวธารณเตฺถ’’ติ ปน อิมินา อิฎฺฐโตวธารณตฺถํ โข-สทฺทคฺคหณนฺติ ทเสฺสติ ฯ ‘‘อโสฺสสี’’ติ ปทํ โข-สเทฺท คหิเต เตน ผุลฺลิตมณฺฑิตํ วิย โหนฺตํ ปูริตํ นาม โหติ, เตน จ ปุริมปจฺฉิมปทานิ สิลิฎฺฐานิ โหนฺติ, น ตสฺมิํ อคฺคหิเตติ อาห ‘‘ปทปูรเณน พฺยญฺชนสิลิฎฺฐตามตฺตเมวา’’ติฯ มตฺต-สโทฺท วิเสสนิวตฺติอโตฺถ, เตนสฺส อนตฺถนฺตรทีปนตา ทสฺสิตา โหติ, เอว-สเทฺทน ปน พฺยญฺชนสิลิฎฺฐตาย เอกนฺติกตาฯ
Upalabhīti savanavasena upalabhīti imamatthaṃ dassento ‘‘sotadvāra…pe… aññāsī’’ti āha. Avadhāraṇaphalattā sabbampi vākyaṃ antogadhāvadhāraṇanti āha ‘‘padapūraṇamatte nipāto’’ti. ‘‘Avadhāraṇatthe’’ti pana iminā iṭṭhatovadhāraṇatthaṃ kho-saddaggahaṇanti dasseti . ‘‘Assosī’’ti padaṃ kho-sadde gahite tena phullitamaṇḍitaṃ viya hontaṃ pūritaṃ nāma hoti, tena ca purimapacchimapadāni siliṭṭhāni honti, na tasmiṃ aggahiteti āha ‘‘padapūraṇena byañjanasiliṭṭhatāmattamevā’’ti. Matta-saddo visesanivattiattho, tenassa anatthantaradīpanatā dassitā hoti, eva-saddena pana byañjanasiliṭṭhatāya ekantikatā.
สมิตปาปตฺตาติ อจฺจนฺตํ อนวเสสโต สวาสนํ สมิตปาปตฺตาฯ เอวญฺหิ พาหิรกวิราคเสกฺขาเสกฺขปาปสมนโต ภควโต ปาปสมนํ วิเสสิตํ โหติ, เตนาห วุตฺตเญฺหตนฺติอาทิฯ อเนกตฺถตฺตา นิปาตานํ อิธ อนุสฺสวโตฺถ อธิเปฺปโตติ อาห ‘‘ขลูติ อนุสฺสวเตฺถ นิปาโต’’ติฯ อาลปนมตฺตนฺติ ปิยาลาปวจนมตฺตํฯ ปิยสมุทาหาโร เหเต ‘‘โภ’’ติ วา ‘‘อาวุโส’’ติ วา ‘‘เทวานํ ปิยา’’ติ วาฯ โคตฺตวเสนาติ เอตฺถ คํ ตายตีติ โคตฺตํฯ โคตโมติ หิ ปวตฺตมานํ วจนํ, พุทฺธิญฺจ ตายติ เอกํสิกวิสยตาย รกฺขตีติ โคตฺตํฯ ยถา หิ พุทฺธิ อารมฺมณภูเตน อเตฺถน วินา น วตฺตติ, เอวํ อภิธานํ อภิเธยฺยภูเตน, ตสฺมา โส โคตฺตสงฺขาโต อโตฺถ ตานิ ตายติ รกฺขตีติ วุจฺจติฯ โก ปน โสติ? อญฺญกุลปรมฺปราสาธารณํ ตสฺส กุลสฺส อาทิปุริสสมุทาคตํ ตํกุลปริยาปนฺนสาธารณํ สามญฺญรูปนฺติ ทฎฺฐพฺพํฯ เอตฺถ จ ‘‘สมโณ’’ติ อิมินา สริกฺขกชเนหิ ภควโต พหุมตภาโว ทสฺสิโต สมิตปาปตากิตฺตนโตฯ ‘‘โคตโม’’ติ อิมินา โลกิยชเนหิ อุฬารกุลสมฺภูตตาทีปนโตฯ
Samitapāpattāti accantaṃ anavasesato savāsanaṃ samitapāpattā. Evañhi bāhirakavirāgasekkhāsekkhapāpasamanato bhagavato pāpasamanaṃ visesitaṃ hoti, tenāha vuttañhetantiādi. Anekatthattā nipātānaṃ idha anussavattho adhippetoti āha ‘‘khalūti anussavatthe nipāto’’ti. Ālapanamattanti piyālāpavacanamattaṃ. Piyasamudāhāro hete ‘‘bho’’ti vā ‘‘āvuso’’ti vā ‘‘devānaṃ piyā’’ti vā. Gottavasenāti ettha gaṃ tāyatīti gottaṃ. Gotamoti hi pavattamānaṃ vacanaṃ, buddhiñca tāyati ekaṃsikavisayatāya rakkhatīti gottaṃ. Yathā hi buddhi ārammaṇabhūtena atthena vinā na vattati, evaṃ abhidhānaṃ abhidheyyabhūtena, tasmā so gottasaṅkhāto attho tāni tāyati rakkhatīti vuccati. Ko pana soti? Aññakulaparamparāsādhāraṇaṃ tassa kulassa ādipurisasamudāgataṃ taṃkulapariyāpannasādhāraṇaṃ sāmaññarūpanti daṭṭhabbaṃ. Ettha ca ‘‘samaṇo’’ti iminā sarikkhakajanehi bhagavato bahumatabhāvo dassito samitapāpatākittanato. ‘‘Gotamo’’ti iminā lokiyajanehi uḷārakulasambhūtatādīpanato.
อุจฺจากุลปริทีปนํ อุทิโตทิตวิปุลขตฺติยกุลวิภาวนโตฯ สพฺพขตฺติยานญฺหิ อาทิภูตมหาสมฺมตมหาราชโต ปฎฺฐาย อสมฺภินฺนํ อุฬารตมํ สกฺยราชกุลํฯ เกนจิ ปาริชุเญฺญนาติ ญาติปาริชุญฺญโภคปาริชุญฺญาทินา เกนจิ ปาริชุเญฺญน ปาริหานิยาฯ อนภิภูโต อนโชฺฌตฺถโตฯ ตถา หิ ตสฺส กุลสฺส น กิญฺจิ ปาริชุญฺญํ โลกนาถสฺส อภิชาติยํ, อถ โข วฑฺฒิเยวฯ อภินิกฺขมเน จ ตโตปิ สมิทฺธตมภาโว โลเก ปากโฎ ปญฺญาโตฯ อิติ ‘‘สกฺยกุลา ปพฺพชิโต’’ติ อิทํ วจนํ ภควโต สทฺธาปพฺพชิตภาวทีปนํ วุตฺตํ มหนฺตํ ญาติปริวฎฺฎํ, มหนฺตญฺจ โภคกฺขนฺธํ ปหาย ปพฺพชิตภาวสิทฺธิโตฯ สุนฺทรนฺติ ภทฺทกํฯ ภทฺทกตา จ ปสฺสนฺตสฺส หิตสุขาวหภาเวน เวทิตพฺพาติ อาห อตฺถาวหํ สุขาวหนฺติฯ ตตฺถ อตฺถาวหนฺติ ทิฎฺฐธมฺมิกสมฺปรายิกปรมตฺถสํหิตหิตาวหํฯ สุขาวหนฺติ ยถาวุตฺตติวิธสุขาวหํฯ ตถารูปานนฺติ ตาทิสานํฯ ยาทิเสหิ ปน คุเณหิ ภควา สมนฺนาคโต, เตหิ จตุปฺปมาณิกสฺส โลกสฺส สพฺพถาปิ อจฺจนฺตาย สทฺธาย ปสาทนีโย เตสํ ยถาภูตสภาวตฺตาติ ทเสฺสโนฺต ยถารูโปติอาทิมาหฯ ตตฺถ ยถาภูตํ…เป.… อรหตนฺติ อิมินา ธมฺมปฺปมาณานํ, ลูขปฺปมาณานญฺจ สตฺตานํ ภควโต ปสาทาวหตํ ทเสฺสติฯ ตํ ทสฺสเนเนว จ อิตเรสมฺปิ อตฺถโต ปสาทาวหตา ทสฺสิตา โหตีติ ทฎฺฐพฺพํ ตทวินาภาวโตฯ ทสฺสนมตฺตมฺปิ สาธุ โหตีติ เอตฺถ โกสิยสกุณวตฺถุํ (ม. นิ. อฎฺฐ. ๑.๑๔๔; ขุ. ปา. อฎฺฐ. ๑๐) กเถตพฺพํฯ
Uccākulaparidīpanaṃ uditoditavipulakhattiyakulavibhāvanato. Sabbakhattiyānañhi ādibhūtamahāsammatamahārājato paṭṭhāya asambhinnaṃ uḷāratamaṃ sakyarājakulaṃ. Kenaci pārijuññenāti ñātipārijuññabhogapārijuññādinā kenaci pārijuññena pārihāniyā. Anabhibhūto anajjhotthato. Tathā hi tassa kulassa na kiñci pārijuññaṃ lokanāthassa abhijātiyaṃ, atha kho vaḍḍhiyeva. Abhinikkhamane ca tatopi samiddhatamabhāvo loke pākaṭo paññāto. Iti ‘‘sakyakulā pabbajito’’ti idaṃ vacanaṃ bhagavato saddhāpabbajitabhāvadīpanaṃ vuttaṃ mahantaṃ ñātiparivaṭṭaṃ, mahantañca bhogakkhandhaṃ pahāya pabbajitabhāvasiddhito. Sundaranti bhaddakaṃ. Bhaddakatā ca passantassa hitasukhāvahabhāvena veditabbāti āha atthāvahaṃ sukhāvahanti. Tattha atthāvahanti diṭṭhadhammikasamparāyikaparamatthasaṃhitahitāvahaṃ. Sukhāvahanti yathāvuttatividhasukhāvahaṃ. Tathārūpānanti tādisānaṃ. Yādisehi pana guṇehi bhagavā samannāgato, tehi catuppamāṇikassa lokassa sabbathāpi accantāya saddhāya pasādanīyo tesaṃ yathābhūtasabhāvattāti dassento yathārūpotiādimāha. Tattha yathābhūtaṃ…pe…arahatanti iminā dhammappamāṇānaṃ, lūkhappamāṇānañca sattānaṃ bhagavato pasādāvahataṃ dasseti. Taṃ dassaneneva ca itaresampi atthato pasādāvahatā dassitā hotīti daṭṭhabbaṃ tadavinābhāvato. Dassanamattampi sādhu hotīti ettha kosiyasakuṇavatthuṃ (ma. ni. aṭṭha. 1.144; khu. pā. aṭṭha. 10) kathetabbaṃ.
อมฺพฎฺฐมาณวกถาวณฺณนา
Ambaṭṭhamāṇavakathāvaṇṇanā
๒๕๖. มเนฺต ปริวเตฺตตีติ เวเท สชฺฌายติ, ปริยาปุณาตีติ อโตฺถฯ มเนฺต ธาเรตีติ ยถาอธีเต มเนฺต อสมฺมุเฎฺฐ กตฺวา หทเย ฐเปติ โอฎฺฐปหตกรณวเสน, น อตฺถวิภาวนวเสนฯ
256.Mante parivattetīti vede sajjhāyati, pariyāpuṇātīti attho. Mante dhāretīti yathāadhīte mante asammuṭṭhe katvā hadaye ṭhapeti oṭṭhapahatakaraṇavasena, na atthavibhāvanavasena.
สนิฆณฺฑุเกฎุภานนฺติ เอตฺถ วจนียวาจกภาเวน อตฺถํ สทฺทญฺจ นิขฑติ ภินฺทติ วิภชฺช ทเสฺสตีติ นิขณฺฑุ, สา เอว อิธ ข-การสฺส ฆ-การํ กตฺวา ‘‘นิฆณฺฑู’’ติ วุโตฺตฯ กิฎยติ คเมติ ญาเปติ กิริยาทิวิภาคํ, ตํ วา อนวเสสปริยาทานโต คเมโนฺต ปูเรตีติ เกฎุภํฯ เววจนปฺปกาสกนฺติ ปริยายสทฺททีปกํ, เอเกกสฺส อตฺถสฺส อเนกปริยายวจนวิภาวกนฺติ อโตฺถฯ นิทสฺสนมตฺตเญฺจตํ อเนเกสมฺปิ อตฺถานํ เอกสทฺทวจนียตาวิภาวนวเสนปิ ตสฺส คนฺถสฺส ปวตฺตตฺตาฯ วจีเภทาทิลกฺขณา กิริยา กปฺปียติ เอเตนาติ กิริยากโปฺป, โส ปน วณฺณปทสมฺพนฺธปทตฺถาทิวิภาคโต พหุวิกโปฺปติ อาห ‘‘กิริยากปฺปวิกโปฺป’’ติฯ อิทญฺจ มูลกิริยากปฺปคนฺถํ สนฺธาย วุตฺตํฯ โส หิ สตสหสฺสปริมาโณ นยจริยาทิปกรณํฯ ฐานกรณาทิวิภาคโต , นิพฺพจนวิภาคโต จ อกฺขรา ปเภทียนฺติ เอเตหีติ อกฺขรปฺปเภทา, สิกฺขานิรุตฺติโยฯ เอเตสนฺติ เวทานํฯ
Sanighaṇḍukeṭubhānanti ettha vacanīyavācakabhāvena atthaṃ saddañca nikhaḍati bhindati vibhajja dassetīti nikhaṇḍu, sā eva idha kha-kārassa gha-kāraṃ katvā ‘‘nighaṇḍū’’ti vutto. Kiṭayati gameti ñāpeti kiriyādivibhāgaṃ, taṃ vā anavasesapariyādānato gamento pūretīti keṭubhaṃ. Vevacanappakāsakanti pariyāyasaddadīpakaṃ, ekekassa atthassa anekapariyāyavacanavibhāvakanti attho. Nidassanamattañcetaṃ anekesampi atthānaṃ ekasaddavacanīyatāvibhāvanavasenapi tassa ganthassa pavattattā. Vacībhedādilakkhaṇā kiriyā kappīyati etenāti kiriyākappo, so pana vaṇṇapadasambandhapadatthādivibhāgato bahuvikappoti āha ‘‘kiriyākappavikappo’’ti. Idañca mūlakiriyākappaganthaṃ sandhāya vuttaṃ. So hi satasahassaparimāṇo nayacariyādipakaraṇaṃ. Ṭhānakaraṇādivibhāgato , nibbacanavibhāgato ca akkharā pabhedīyanti etehīti akkharappabhedā, sikkhāniruttiyo. Etesanti vedānaṃ.
เต เอว เวเท ปทโส กายตีติ ปทโกฯ ตํ ตํ สทฺทํ ตทตฺถญฺจ พฺยากโรติ พฺยาจิกฺขติ เอเตนาติ พฺยากรณํ, สทฺทสตฺถํฯ อายติํ หิตํ เตน โลโก น ยตติ น อีหตีติ โลกายตํฯ ตญฺหิ คนฺถํ นิสฺสาย สตฺตา ปุญฺญกิริยาย จิตฺตมฺปิ น อุปฺปาเทนฺติฯ
Te eva vede padaso kāyatīti padako. Taṃ taṃ saddaṃ tadatthañca byākaroti byācikkhati etenāti byākaraṇaṃ, saddasatthaṃ. Āyatiṃ hitaṃ tena loko na yatati na īhatīti lokāyataṃ. Tañhi ganthaṃ nissāya sattā puññakiriyāya cittampi na uppādenti.
วยตีติ วโย, อาทิมชฺฌปริโยสาเนสุ กตฺถจิ อปริกิลมโนฺต อวิตฺถายโนฺต เต คเนฺถ สนฺธาเรติ ปูเรตีติ อโตฺถฯ เทฺว ปฎิเสธา ปกติํ คเมนฺตีติ ทเสฺสโนฺต ‘‘อวโย น โหตี’’ติ วตฺวา ตตฺถ อวยํ ทเสฺสตุํ ‘‘อวโย นาม…เป.… น สโกฺกตี’’ติ วุตฺตํฯ ‘‘อนุญฺญาโต’’ติ ปทสฺส กมฺมสาธนวเสน, ‘‘ปฎิญฺญาโต’’ติ ปน ปทสฺส กตฺตุสาธนวเสน อโตฺถ เวทิตโพฺพติ ทเสฺสโนฺต ‘‘อาจริเยนา’’ติอาทิมาหฯ อาจริยปรมฺปราภตํ อาจริยกํฯ ครูติ ภาริยํ อตฺตานํ ตโต โมเจตฺวา คมนํ ทุกฺกรํ โหติฯ อนโตฺถปิ อุปฺปชฺชติ นินฺทาพฺยาโรสอุปารมฺภาทิฯ
Vayatīti vayo, ādimajjhapariyosānesu katthaci aparikilamanto avitthāyanto te ganthe sandhāreti pūretīti attho. Dve paṭisedhā pakatiṃ gamentīti dassento ‘‘avayo na hotī’’ti vatvā tattha avayaṃ dassetuṃ ‘‘avayo nāma…pe… na sakkotī’’ti vuttaṃ. ‘‘Anuññāto’’ti padassa kammasādhanavasena, ‘‘paṭiññāto’’ti pana padassa kattusādhanavasena attho veditabboti dassento ‘‘ācariyenā’’tiādimāha. Ācariyaparamparābhataṃ ācariyakaṃ. Garūti bhāriyaṃ attānaṃ tato mocetvā gamanaṃ dukkaraṃ hoti. Anatthopi uppajjati nindābyārosaupārambhādi.
๒๕๗. ‘‘อพฺภุคฺคโต’’ติ เอตฺถ อภิสทฺทโยเคน อิตฺถมฺภูตาขฺยานตฺถวเสเนว อุปโยควจนํฯ
257. ‘‘Abbhuggato’’ti ettha abhisaddayogena itthambhūtākhyānatthavaseneva upayogavacanaṃ.
๒๕๘. ลกฺขณานีติ ลกฺขณทีปนานิ มนฺตปทานิฯ อนฺตรธายนฺตีติ น เกวลํ ลกฺขณมนฺตานิเยว, อถ โข อญฺญานิปิ พฺราหฺมณานํ ญาณพลาภาเวน อนุกฺกเมน อนฺตรธายนฺติฯ ตถา หิ วทนฺติ ‘‘เอกสตํ อทฺธริยํ สาขา สหสฺสวตฺตโก สามา’’ติอาทิฯ ปณิธิ …เป.… มหโตติ เอตฺถ ปณิธิมหโต สมาทานมหโตติ อาทินา ปเจฺจกํ มหนฺต-สโทฺท โยเชตโพฺพฯ ปณิธิมหนฺตตาทิ จสฺส พุทฺธวํสจริยาปิฎกวณฺณนาทิวเสน เวทิตโพฺพฯ นิฎฺฐาติ นิปฺผตฺติโยฯ ภวเภเทติ ภววิเสเสฯ อิโต จ เอโตฺต จ พฺยาเปตฺวา ฐิตตา วิสฎภาโวฯ
258.Lakkhaṇānīti lakkhaṇadīpanāni mantapadāni. Antaradhāyantīti na kevalaṃ lakkhaṇamantāniyeva, atha kho aññānipi brāhmaṇānaṃ ñāṇabalābhāvena anukkamena antaradhāyanti. Tathā hi vadanti ‘‘ekasataṃ addhariyaṃ sākhā sahassavattako sāmā’’tiādi. Paṇidhi…pe… mahatoti ettha paṇidhimahato samādānamahatoti ādinā paccekaṃ mahanta-saddo yojetabbo. Paṇidhimahantatādi cassa buddhavaṃsacariyāpiṭakavaṇṇanādivasena veditabbo. Niṭṭhāti nipphattiyo. Bhavabhedeti bhavavisese. Ito ca etto ca byāpetvā ṭhitatā visaṭabhāvo.
ชาติสามญฺญโตติ ลกฺขณชาติยา ลกฺขณภาวมเตฺตน สมานภาวโตฯ ยถา หิ พุทฺธานํ ลกฺขณานิ สุวิสทานิ, สุปริพฺยตฺตานิ, ปริปุณฺณานิ จ โหนฺติ, น เอวํ จกฺกวตฺตีนํ, เตนาห ‘‘น เตเหว พุโทฺธ โหตี’’ติฯ อภิรูปตา, ทีฆายุกตา, อปฺปาตงฺกตา, พฺราหฺมณาทีนํ ปิยมนาปตาติ อิเมหิ จตูหิ อจฺฉริยสภาเวหิฯ ทานํ, ปิยวจนํ, อตฺถจริยา, สมานตฺตตาติ อิเมหิ จตูหิ สงฺคหวตฺถูหิฯ รญฺชนโตติ ปีติชนนโตฯ จกฺกํ จกฺกรตนํ วเตฺตติ ปวเตฺตตีติ จกฺกวตฺตีฯ สมฺปตฺติจเกฺกหิ สยํ วตฺตติ, เตหิ จ ปรํ สตฺตนิกายํ วเตฺตติ ปวเตฺตตีติ จกฺกวตฺตีฯ ปรหิตาวโห อิริยาปถจกฺกานํ วโตฺต วตฺตนํ เอตสฺส, เอตฺถาติ วา จกฺกวตฺตีฯ อปฺปฎิหตํ วา อาณาสงฺขาตํ จกฺกํ วเตฺตตีติ จกฺกวตฺตีฯ ขตฺติยมณฺฑลาทิสญฺญิตํ จกฺกํ สมูหํ อตฺตโน วเส วเตฺตตีติ จกฺกวตฺตี จกฺกวตฺติวตฺตสงฺขาตํ ธมฺมํ จรติ, จกฺกวตฺติวตฺตสงฺขาโต ธโมฺม เอตสฺมิํ อตฺถีติ วา ธมฺมิโกฯ ธมฺมโต อนเปตตฺตา ธโมฺม รญฺชนเฎฺฐน ราชาติ ธมฺมราชาฯ ‘‘ราชา โหติ จกฺกวตฺตี’’ติ วุตฺตตฺตา ‘‘จาตุรโนฺต’’ติ ปทํ จตุทีปิสฺสรตํ วิภาเวตีติ อาห ‘‘จตุสมุทฺทอนฺตายา’’ติอาทิฯ ตตฺถ ‘‘จตุทฺทีปวิภูสิตายา’’ติ อวตฺวา ‘‘จตุพฺพิธา’’ติ วิธคฺคหณํ ตํตํปริตฺตทีปานมฺปิ สงฺคหตฺถนฺติ ทฎฺฐพฺพํฯ โกปาทีติ อาทิ-สเทฺทน กามโมหมานมทาทิเก สงฺคณฺหาติฯ วิชิตาวีติ วิชิตวาฯ เกนจิ อกมฺปิยเฎฺฐน ชนปเท ถาวริยปฺปโตฺต, ทฬฺหภตฺติภาวโต วา, ชนปโท ถาวริยํ ปโตฺต เอตฺถาติ ชนปทตฺถาวริยปฺปโตฺตฯ
Jātisāmaññatoti lakkhaṇajātiyā lakkhaṇabhāvamattena samānabhāvato. Yathā hi buddhānaṃ lakkhaṇāni suvisadāni, suparibyattāni, paripuṇṇāni ca honti, na evaṃ cakkavattīnaṃ, tenāha ‘‘na teheva buddho hotī’’ti. Abhirūpatā, dīghāyukatā, appātaṅkatā, brāhmaṇādīnaṃ piyamanāpatāti imehi catūhi acchariyasabhāvehi. Dānaṃ, piyavacanaṃ, atthacariyā, samānattatāti imehi catūhi saṅgahavatthūhi. Rañjanatoti pītijananato. Cakkaṃ cakkaratanaṃ vatteti pavattetīti cakkavattī. Sampatticakkehi sayaṃ vattati, tehi ca paraṃ sattanikāyaṃ vatteti pavattetīti cakkavattī. Parahitāvaho iriyāpathacakkānaṃ vatto vattanaṃ etassa, etthāti vā cakkavattī. Appaṭihataṃ vā āṇāsaṅkhātaṃ cakkaṃ vattetīti cakkavattī. Khattiyamaṇḍalādisaññitaṃ cakkaṃ samūhaṃ attano vase vattetīti cakkavattī cakkavattivattasaṅkhātaṃ dhammaṃ carati, cakkavattivattasaṅkhāto dhammo etasmiṃ atthīti vā dhammiko. Dhammato anapetattā dhammo rañjanaṭṭhena rājāti dhammarājā. ‘‘Rājā hoti cakkavattī’’ti vuttattā ‘‘cāturanto’’ti padaṃ catudīpissarataṃ vibhāvetīti āha ‘‘catusamuddaantāyā’’tiādi. Tattha ‘‘catuddīpavibhūsitāyā’’ti avatvā ‘‘catubbidhā’’ti vidhaggahaṇaṃ taṃtaṃparittadīpānampi saṅgahatthanti daṭṭhabbaṃ. Kopādīti ādi-saddena kāmamohamānamadādike saṅgaṇhāti. Vijitāvīti vijitavā. Kenaci akampiyaṭṭhena janapade thāvariyappatto, daḷhabhattibhāvato vā, janapado thāvariyaṃ patto etthāti janapadatthāvariyappatto.
จิตฺตีกตภาวาทินาปิ (ขุ. ปา. อฎฺฐ. ๓; ที. นิ. อฎฺฐ. ๒.๓๓; สุ. นิ. อฎฺฐ. ๑.๒๒๖; มหานิ. อฎฺฐ. ๕๐) จกฺกสฺส รตนโฎฺฐ เวทิตโพฺพฯ เอส นโย เสเสสุปิฯ รตินิมิตฺตตาย วา จิตฺตีกตาทิภาวสฺส รติชนนเฎฺฐน เอกสงฺคหตาย วิสุํ อคฺคหณํฯ อิเมหิ ปน รตเนหิ ราชา จกฺกวตฺตี ยํ ยมตฺถํ ปจฺจนุโภติ, ตํ ตํ ทเสฺสตุํ ‘‘อิเมสุ ปนา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ อชิตํ ชินาติ มเหสกฺขตาสํวตฺตนิยกมฺมนิสฺสนฺทภาวโตฯ วิชิเต ยถาสุขํ อนุวิจรติ หตฺถิรตนํ อสฺสรตนญฺจ อภิรุหิตฺวา เตสํ อานุภาเวน อโนฺตปาตราเสเยว สมุทฺทปริยนฺตํ ปถวิํ อนุสํยายิตฺวา ราชธานิเมว ปจฺจาคมนโตฯ ปริณายกรตเนน วิชิตมนุรกฺขติ เตน ตตฺถ ตตฺถ กาตพฺพกิจฺจสฺส สํวิธานโตฯ อวเสเสหีติ มณิรตนอิตฺถิรตนคหปติรตเนหิฯ ตตฺถ มณิรตเนน โยชนปฺปมาเณ ปเทเส อนฺธการํ วิธมิตฺวา อาโลกทสฺสนาทินา สุขมนุภวติ, อิตฺถิรตเนน อติกฺกนฺตมานุสกรูปสมฺปตฺติทสฺสนาทิวเสน, คหปติรตเนน อิจฺฉิติจฺฉิตมณิกนกรชตาทิธนปฎิลาภวเสนฯ
Cittīkatabhāvādināpi (khu. pā. aṭṭha. 3; dī. ni. aṭṭha. 2.33; su. ni. aṭṭha. 1.226; mahāni. aṭṭha. 50) cakkassa ratanaṭṭho veditabbo. Esa nayo sesesupi. Ratinimittatāya vā cittīkatādibhāvassa ratijananaṭṭhena ekasaṅgahatāya visuṃ aggahaṇaṃ. Imehi pana ratanehi rājā cakkavattī yaṃ yamatthaṃ paccanubhoti, taṃ taṃ dassetuṃ ‘‘imesu panā’’tiādi vuttaṃ. Ajitaṃ jināti mahesakkhatāsaṃvattaniyakammanissandabhāvato. Vijite yathāsukhaṃ anuvicarati hatthiratanaṃ assaratanañca abhiruhitvā tesaṃ ānubhāvena antopātarāseyeva samuddapariyantaṃ pathaviṃ anusaṃyāyitvā rājadhānimeva paccāgamanato. Pariṇāyakaratanena vijitamanurakkhati tena tattha tattha kātabbakiccassa saṃvidhānato. Avasesehīti maṇiratanaitthiratanagahapatiratanehi. Tattha maṇiratanena yojanappamāṇe padese andhakāraṃ vidhamitvā ālokadassanādinā sukhamanubhavati, itthiratanena atikkantamānusakarūpasampattidassanādivasena, gahapatiratanena icchiticchitamaṇikanakarajatādidhanapaṭilābhavasena.
อุสฺสาหสตฺติโยโค เตน เกนจิ อปฺปฎิหตาณาจกฺกภาวสิทฺธิโต ปจฺฉิเมนาติ ปริณายกรตเนนฯ ตญฺหิ สพฺพราชกิเจฺจสุ กุสลํ อวิรชฺฌนโยคํ, เตนาห ‘‘มนฺตสตฺติโยโค’’ติ ฯ หตฺถิอสฺสรตนานํ มหานุภาวตาย โกสสมฺปตฺติยาปิ ปภาวสมฺปตฺติสิทฺธิโต ‘‘หตฺถิ…เป.… โยโค’’ติ วุตฺตํฯ (โกโส หิ นาม สติ อุสฺสาหสมฺปตฺติยํ ทุคฺคํ เตชํ กุสุโมรํ ปรกฺกมํ ปพฺพโตมุขํ อโมสปหรณํ) ติวิธสตฺติโยคผลํ ปริปุณฺณํ โหตีติ สมฺพโนฺธฯ เสเสหีติ เสเสหิ ปญฺจหิ รตเนหิฯ
Ussāhasattiyogo tena kenaci appaṭihatāṇācakkabhāvasiddhito pacchimenāti pariṇāyakaratanena. Tañhi sabbarājakiccesu kusalaṃ avirajjhanayogaṃ, tenāha ‘‘mantasattiyogo’’ti . Hatthiassaratanānaṃ mahānubhāvatāya kosasampattiyāpi pabhāvasampattisiddhito ‘‘hatthi…pe… yogo’’ti vuttaṃ. (Koso hi nāma sati ussāhasampattiyaṃ duggaṃ tejaṃ kusumoraṃ parakkamaṃ pabbatomukhaṃ amosapaharaṇaṃ) tividhasattiyogaphalaṃ paripuṇṇaṃ hotīti sambandho. Sesehīti sesehi pañcahi ratanehi.
อโทสกุสลมูลชนิตกมฺมานุภาเวนาติ อโทสสงฺขาเตน กุสลมูเลน สหชาตาทิปจฺจยวเสน อุปฺปาทิตกมฺมสฺส อานุภาเวน สมฺปชฺชนฺติ โสมฺมตรรตนชาติกตฺตาฯ มชฺฌิมานิ มณิอิตฺถิคหปติรตนานิฯ อโลภ…เป.… กมฺมานุภาเวน สมฺปชฺชนฺติ อุฬารสฺส ธนสฺส, อุฬารธนปฎิลาภการณสฺส จ ปริจฺจาคสมฺปทาเหตุกตฺตาฯ ปจฺฉิมนฺติ ปริณายกรตนํฯ ตญฺหิ อโมห…เป.… กมฺมานุภาเวน สมฺปชฺชติ มหาปเญฺญเนว จกฺกวตฺติราชกิจฺจสฺส ปริเณตพฺพตฺตาฯ อุปเทโส นาม สวิเสสํ สตฺตนฺนํ รตนานํ วิจารณวเสน ปวโตฺต กถาพโนฺธฯ
Adosakusalamūlajanitakammānubhāvenāti adosasaṅkhātena kusalamūlena sahajātādipaccayavasena uppāditakammassa ānubhāvena sampajjanti sommatararatanajātikattā. Majjhimāni maṇiitthigahapatiratanāni. Alobha…pe… kammānubhāvena sampajjanti uḷārassa dhanassa, uḷāradhanapaṭilābhakāraṇassa ca pariccāgasampadāhetukattā. Pacchimanti pariṇāyakaratanaṃ. Tañhi amoha…pe… kammānubhāvena sampajjati mahāpaññeneva cakkavattirājakiccassa pariṇetabbattā. Upadeso nāma savisesaṃ sattannaṃ ratanānaṃ vicāraṇavasena pavatto kathābandho.
สรณโต ปฎิปกฺขวิธมนโต สูรา, เตนาห ‘‘อภีรุกชาติกา’’ติฯ อสุเร วิชินิตฺวา ฐิตตฺตา วีโร, สโกฺก เทวานํ อิโนฺทฯ ตสฺส องฺคํ เทวปุโตฺต เสนงฺคภาวโตติ วุตฺตํ ‘‘วีรงฺครูปาติ เทวปุตฺตสทิสกายา’’ติฯ ‘‘เอเก’’ติ สารสมาสาจริยมาหฯ สภาโวติ สภาวภูโต อโตฺถฯ วีรการณนฺติ วีรภาวการณํฯ วีริยมยสรีรา วิยาติ สวิคฺคหวีริยสทิสา, สวิคฺคหํ เจ วีริยํ สิยา ตํสทิสาติ อโตฺถฯ นนุ รโญฺญ จกฺกวตฺติสฺส ปฎิเสนา นาม นตฺถิ, ย’มสฺส ปุตฺตา ปมเทฺทยฺยุํ, อถ กสฺมา ปรเสนปฺปมทฺทนาติ วุตฺตนฺติ โจทนํ สนฺธายาห สเจติอาทิ, เตน ปรเสนา โหตุ วา มา วา เต ปน เอวํ มหานุภาวาติ ทเสฺสติฯ ธเมฺมนาติ กตุปจิเตน อตฺตโน ปุญฺญธเมฺมนฯ เตน หิ สโญฺจทิตา ปถวิยํ สพฺพราชาโน ปจฺจุคฺคนฺตฺวา ‘‘สฺวาคตํ เต มหาราชา’’ติ อาทิํ วตฺวา อตฺตโน รชฺชํ รโญฺญ จกฺกวตฺติสฺส นิยฺยาเตนฺติ, เตน วุตฺตํ ‘‘โส อิมํ…เป.… อชฺฌาวสตี’’ติฯ อฎฺฐกถายํ ปน ตสฺส ยถาวุตฺตสฺส ธมฺมสฺส จิรตรํ วิปจฺจิตุํ ปจฺจยภูตํ จกฺกวตฺติวตฺตสมุทาคตํ ปโยคสมฺปตฺติสงฺขาตํ ธมฺมํ ทเสฺสตุํ ‘‘ปาโณ น หนฺตโพฺพติอาทินา ปญฺจสีลธเมฺมนา’’ติ วุตฺตํฯ เอวญฺหิ ‘‘อทเณฺฑน อสเตฺถนา’’ติ อิทํ วจนํ สุฎฺฐุตรํ สมตฺถิตํ โหตีติฯ ยสฺมา ราคาทโย ปาปธมฺมา อุปฺปชฺชมานา สตฺตสนฺตานํ ฉาเทตฺวา ปริโยนนฺธิตฺวา ติฎฺฐนฺติ กุสลปฺปวตฺติํ นิวาเรนฺติ, ตสฺมา เต ‘‘ฉทนา, ฉทา’’ติ จ วุตฺตาฯ วิวเฎตฺวาติ วิคเมตฺวาฯ ปูชารหตา วุตฺตา ‘‘อรหตีติ อรห’’นฺติฯ ตสฺสา ปูชารหตายฯ ยสฺมา สมฺมาสมฺพุโทฺธ, ตสฺมา อรหนฺติฯ พุทฺธตฺตเหตุภูตา วิวฎฺฎจฺฉทตา วุตฺตา สวาสนสพฺพกิเลสปฺปหานปุพฺพกตฺตา พุทฺธภาวสฺสฯ
Saraṇato paṭipakkhavidhamanato sūrā, tenāha ‘‘abhīrukajātikā’’ti. Asure vijinitvā ṭhitattā vīro, sakko devānaṃ indo. Tassa aṅgaṃ devaputto senaṅgabhāvatoti vuttaṃ ‘‘vīraṅgarūpāti devaputtasadisakāyā’’ti. ‘‘Eke’’ti sārasamāsācariyamāha. Sabhāvoti sabhāvabhūto attho. Vīrakāraṇanti vīrabhāvakāraṇaṃ. Vīriyamayasarīrā viyāti saviggahavīriyasadisā, saviggahaṃ ce vīriyaṃ siyā taṃsadisāti attho. Nanu rañño cakkavattissa paṭisenā nāma natthi, ya’massa puttā pamaddeyyuṃ, atha kasmā parasenappamaddanāti vuttanti codanaṃ sandhāyāha sacetiādi, tena parasenā hotu vā mā vā te pana evaṃ mahānubhāvāti dasseti. Dhammenāti katupacitena attano puññadhammena. Tena hi sañcoditā pathaviyaṃ sabbarājāno paccuggantvā ‘‘svāgataṃ te mahārājā’’ti ādiṃ vatvā attano rajjaṃ rañño cakkavattissa niyyātenti, tena vuttaṃ ‘‘so imaṃ…pe… ajjhāvasatī’’ti. Aṭṭhakathāyaṃ pana tassa yathāvuttassa dhammassa cirataraṃ vipaccituṃ paccayabhūtaṃ cakkavattivattasamudāgataṃ payogasampattisaṅkhātaṃ dhammaṃ dassetuṃ ‘‘pāṇo na hantabbotiādinā pañcasīladhammenā’’ti vuttaṃ. Evañhi ‘‘adaṇḍena asatthenā’’ti idaṃ vacanaṃ suṭṭhutaraṃ samatthitaṃ hotīti. Yasmā rāgādayo pāpadhammā uppajjamānā sattasantānaṃ chādetvā pariyonandhitvā tiṭṭhanti kusalappavattiṃ nivārenti, tasmā te ‘‘chadanā, chadā’’ti ca vuttā. Vivaṭetvāti vigametvā. Pūjārahatā vuttā ‘‘arahatīti araha’’nti. Tassā pūjārahatāya. Yasmā sammāsambuddho, tasmā arahanti. Buddhattahetubhūtā vivaṭṭacchadatā vuttā savāsanasabbakilesappahānapubbakattā buddhabhāvassa.
อรหํ วฎฺฎาภาเวนาติ ผเลน เหตุอนุมานทสฺสนํฯ สมฺมาสมฺพุโทฺธ ฉทนาภาเวนาติ เหตุนา ผลานุมานทสฺสนํฯ เหตุทฺวยํ วุตฺตํ ‘‘วิวโฎฺฎ วิจฺฉโท จา’’ติฯ ทุติเยน เวสารเชฺชนาติ ‘‘ขีณาสวสฺส เต ปฎิชานโต’’ติอาทินา วุเตฺตน เวสารเชฺชนฯ ปุริมสิทฺธีติ ปุริมสฺส ปทสฺส อตฺถสิทฺธีติ อโตฺถฯ ปฐเมนาติ ‘‘สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส เต ปฎิชานโต’’ติอาทินา (ม. นิ. ๑.๑๕๐; อ. นิ. ๔.๘) วุเตฺตน เวสารเชฺชนฯ ทุติยสิทฺธีติ ทุติยสฺส ปทสฺส อตฺถสิทฺธิ, พุทฺธตฺถสิทฺธีติ อโตฺถฯ ตติยจตุเตฺถหีติ ‘‘เย โข ปน เต อนฺตรายิกา ธมฺมา’’ติอาทินา, (ม. นิ. ๑.๑๕๐; อ. นิ. ๔.๘) ‘‘ยสฺส โข ปน เต อตฺถายา’’ติอาทินา (ม. นิ. ๑.๑๕๐; อ. นิ. ๔.๘) จ วุเตฺตหิ ตติยจตุเตฺถหิ เวสารเชฺชหิฯ ตติยสิทฺธีติ วิวฎฺฎจฺฉทนตาสิทฺธิ ยาถาวโต อนฺตรายิกนิยฺยานิกธมฺมาปเทเสน หิ สตฺถุ วิวฎฺฎจฺฉทนภาโว โลเก ปากโฎ อโหสิฯ ปุริมํ ธมฺมจกฺขุนฺติ ปุริมปทํ ภควโต ธมฺมจกฺขุํ สาเธติ กิเลสารีนํ, สํสารจกฺกสฺส จ อรานํ หตภาวทีปนโตฯ ทุติยํ ปทํ พุทฺธจกฺขุํ สาเธติ สมฺมาสมฺพุทฺธเสฺสว ตํสพฺภาวโตฯ ตติยํ ปทํ สมนฺตจกฺขุํ สาเธติ สวาสนสพฺพกิเลสปฺปหานทีปนโตฯ ‘‘สมฺมาสมฺพุโทฺธ’’ติ หิ วตฺวา ‘‘วิวฎฺฎจฺฉโท’’ติ วจนํ พุทฺธภาวาวหเมว สพฺพกิเลสปฺปหานํ วิภาเวติฯ ‘‘สูรภาว’’นฺติ ลกฺขณวิภาวเน วิสทญาณตํฯ
Arahaṃvaṭṭābhāvenāti phalena hetuanumānadassanaṃ. Sammāsambuddho chadanābhāvenāti hetunā phalānumānadassanaṃ. Hetudvayaṃ vuttaṃ ‘‘vivaṭṭo vicchado cā’’ti. Dutiyena vesārajjenāti ‘‘khīṇāsavassa te paṭijānato’’tiādinā vuttena vesārajjena. Purimasiddhīti purimassa padassa atthasiddhīti attho. Paṭhamenāti ‘‘sammāsambuddhassa te paṭijānato’’tiādinā (ma. ni. 1.150; a. ni. 4.8) vuttena vesārajjena. Dutiyasiddhīti dutiyassa padassa atthasiddhi, buddhatthasiddhīti attho. Tatiyacatutthehīti ‘‘ye kho pana te antarāyikā dhammā’’tiādinā, (ma. ni. 1.150; a. ni. 4.8) ‘‘yassa kho pana te atthāyā’’tiādinā (ma. ni. 1.150; a. ni. 4.8) ca vuttehi tatiyacatutthehi vesārajjehi. Tatiyasiddhīti vivaṭṭacchadanatāsiddhi yāthāvato antarāyikaniyyānikadhammāpadesena hi satthu vivaṭṭacchadanabhāvo loke pākaṭo ahosi. Purimaṃ dhammacakkhunti purimapadaṃ bhagavato dhammacakkhuṃ sādheti kilesārīnaṃ, saṃsāracakkassa ca arānaṃ hatabhāvadīpanato. Dutiyaṃ padaṃ buddhacakkhuṃ sādheti sammāsambuddhasseva taṃsabbhāvato. Tatiyaṃ padaṃ samantacakkhuṃ sādheti savāsanasabbakilesappahānadīpanato. ‘‘Sammāsambuddho’’ti hi vatvā ‘‘vivaṭṭacchado’’ti vacanaṃ buddhabhāvāvahameva sabbakilesappahānaṃ vibhāveti. ‘‘Sūrabhāva’’nti lakkhaṇavibhāvane visadañāṇataṃ.
๒๕๙. เอวํ โภติ เอตฺถ เอวนฺติ วจนสมฺปฎิจฺฉเน นิปาโตฯ วจนสมฺปฎิจฺฉนเญฺจตฺถ ‘‘ตถา มยํ ตํ ภวนฺตํ โคตมํ เวทิสฺสาม, ตฺวํ มนฺตานํ ปฎิคฺคเหตา’’ติ จ เอวํ ปวตฺตสฺส โปกฺขรสาติโน วจนสฺส สมฺปฎิคฺคโหติ อาหฯ ‘‘โสปิ ตายา’’ติอาทิฯ ตตฺถ ตายาติ ตาย ยถาวุตฺตาย สมุเตฺตชนายฯ อยานภูมินฺติ ยานสฺส อภูมิํฯ ทิวาปธานิกาติ ทิวาปธานานุยุญฺชนกาฯ
259.Evaṃbhoti ettha evanti vacanasampaṭicchane nipāto. Vacanasampaṭicchanañcettha ‘‘tathā mayaṃ taṃ bhavantaṃ gotamaṃ vedissāma, tvaṃ mantānaṃ paṭiggahetā’’ti ca evaṃ pavattassa pokkharasātino vacanassa sampaṭiggahoti āha. ‘‘Sopi tāyā’’tiādi. Tattha tāyāti tāya yathāvuttāya samuttejanāya. Ayānabhūminti yānassa abhūmiṃ. Divāpadhānikāti divāpadhānānuyuñjanakā.
๒๖๐. ยทิปิ ปุเพฺพ อมฺพฎฺฐกุลํ อปฺปญฺญาตํ, ตทา ปน ปญฺญายตีติ อาห ‘‘ตทา กิรา’’ติอาทิฯ อตุริโตติ อเวคายโนฺตฯ
260. Yadipi pubbe ambaṭṭhakulaṃ appaññātaṃ, tadā pana paññāyatīti āha ‘‘tadā kirā’’tiādi. Aturitoti avegāyanto.
๒๖๑. ยถา ขมนียาทีนิ ปุจฺฉโนฺตติ ยถา ภควา ‘‘กจฺจิ โว มาณวา ขมนียํ, กจฺจิ ยาปนีย’’นฺติอาทินา ขมนียาทีนิ ปุจฺฉโนฺต เตหิ มาณเวหิ สทฺธิํ ปฐมํ ปวตฺตโมโท อโหสิ ปุพฺพภาสิตาย ตทนุกรเณน เอวํ เตปิ มาณวา ภควตา สทฺธิํ สมปฺปวตฺตโมทา อเหสุนฺติ โยชนาฯ ตํ ปน สมปฺปวตฺตโมทตํ อุปมาย ทเสฺสตุํ ‘‘สีโตทกํ วิยา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ ตตฺถ สโมฺมทิตนฺติ สํสนฺทิตํฯ เอกีภาวนฺติ สโมฺมทนกิริยาย สมานตํ ฯ ขมนียนฺติ ‘‘อิทํ จตุจกฺกํ นวทฺวารํ สรีรยนฺตํ ทุกฺขพหุลตาย สภาวโต ทุสฺสหํ กจฺจิ ขมิตุํ สกฺกุเณยฺย’’นฺติ ปุจฺฉนฺติ, ยาปนียนฺติ อาหาราทิปจฺจยปฎิพทฺธวุตฺติกํ จิรปฺปพนฺธสงฺขาตาย ยาปนาย กจฺจิ ยาเปตุํ สกฺกุเณยฺยํฯ สีสโรคาทิอาพาธาภาเวน กจฺจิ อปฺปาพาธํ, ทุกฺขชีวิกาภาเวน กจฺจิ อปฺปาตงฺกํ, ตํตํกิจฺจกรเณ อุฎฺฐานสุขตาย กจฺจิ ลหุฎฺฐานํ, ตทนุรูปพลโยคโต กจฺจิ พลํ, สุขวิหารสพฺภาเวน กจฺจิ ผาสุวิหาโร อตฺถีติ สพฺพตฺถ กจฺจิ-สทฺทํ โยเชตฺวา อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ พลปฺปตฺตา ปีติ ปีติเยวฯ ตรุณปีติ ปาโมชฺชํฯ สโมฺมทนํ ชเนติ กโรตีติ สโมฺมทนิกํ ตเทว สโมฺมทนียํฯ สโมฺมทิตพฺพโต สโมฺมทนียนฺติ อิทํ ปน อตฺถํ ทเสฺสตุํ วุตฺตํ ‘‘สโมฺมทิตุํ ยุตฺตภาวโต’’ติฯ สริตพฺพภาวโต อนุสฺสริตพฺพภาวโต ‘‘สรณีย’’นฺติ วตฺตเพฺพ ‘‘สารณีย’’นฺติ ทีฆํ กตฺวา วุตฺตํฯ ‘‘สุยฺยมานสุขโต’’ติ อาปาถมธุรตมาห, ‘‘อนุสฺสริยมานสุขโต’’ติ วิมทฺทรมณียตํฯ ‘‘พฺยญฺชนปริสุทฺธตายา’’ติ สภาวนิรุตฺติภาเวน ตสฺสา กถาย วจนจาตุริยมาห, ‘‘อตฺถปริสุทฺธตายา’’ติ อตฺถสฺส นิรุปกฺกิเลสตํฯ อเนเกหิ ปริยาเยหีติ อเนเกหิ การเณหิฯ
261.Yathā khamanīyādīni pucchantoti yathā bhagavā ‘‘kacci vo māṇavā khamanīyaṃ, kacci yāpanīya’’ntiādinā khamanīyādīni pucchanto tehi māṇavehi saddhiṃ paṭhamaṃ pavattamodo ahosi pubbabhāsitāya tadanukaraṇena evaṃ tepi māṇavā bhagavatā saddhiṃ samappavattamodā ahesunti yojanā. Taṃ pana samappavattamodataṃ upamāya dassetuṃ ‘‘sītodakaṃ viyā’’tiādi vuttaṃ. Tattha sammoditanti saṃsanditaṃ. Ekībhāvanti sammodanakiriyāya samānataṃ . Khamanīyanti ‘‘idaṃ catucakkaṃ navadvāraṃ sarīrayantaṃ dukkhabahulatāya sabhāvato dussahaṃ kacci khamituṃ sakkuṇeyya’’nti pucchanti, yāpanīyanti āhārādipaccayapaṭibaddhavuttikaṃ cirappabandhasaṅkhātāya yāpanāya kacci yāpetuṃ sakkuṇeyyaṃ. Sīsarogādiābādhābhāvena kacci appābādhaṃ, dukkhajīvikābhāvena kacci appātaṅkaṃ, taṃtaṃkiccakaraṇe uṭṭhānasukhatāya kacci lahuṭṭhānaṃ, tadanurūpabalayogato kacci balaṃ, sukhavihārasabbhāvena kacci phāsuvihāro atthīti sabbattha kacci-saddaṃ yojetvā attho veditabbo. Balappattā pīti pītiyeva. Taruṇapīti pāmojjaṃ. Sammodanaṃ janeti karotīti sammodanikaṃ tadeva sammodanīyaṃ. Sammoditabbato sammodanīyanti idaṃ pana atthaṃ dassetuṃ vuttaṃ ‘‘sammodituṃ yuttabhāvato’’ti. Saritabbabhāvato anussaritabbabhāvato ‘‘saraṇīya’’nti vattabbe ‘‘sāraṇīya’’nti dīghaṃ katvā vuttaṃ. ‘‘Suyyamānasukhato’’ti āpāthamadhuratamāha, ‘‘anussariyamānasukhato’’ti vimaddaramaṇīyataṃ. ‘‘Byañjanaparisuddhatāyā’’ti sabhāvaniruttibhāvena tassā kathāya vacanacāturiyamāha, ‘‘atthaparisuddhatāyā’’ti atthassa nirupakkilesataṃ. Anekehi pariyāyehīti anekehi kāraṇehi.
อปสาเทสฺสามีติ มงฺกุํ กริสฺสามิฯ กเณฺฐ โอลเมฺพตฺวาติ อุโภสุ ขเนฺธสุ สาฎกํ อาสเชฺชตฺวา กเณฺฐ โอลมฺพิตฺวาฯ ทุสฺสกณฺณํ คเหตฺวาติ นิวตฺถสาฎกสฺส ทสาโกฎิํ เอเกน หเตฺถน คเหตฺวาฯ จงฺกมํ อภิรุหิตฺวาติ จงฺกมิตุํ อารภิตฺวาฯ ธาตุสมตาติ รสาทิธาตูนํ สมาวตฺถตา, อโรคตาติ อโตฺถฯ อนาจารภาวสารณียนฺติ อนาจารภาเวน สรณียํฯ ‘‘อนาจาโร วตาย’’นฺติ สริตพฺพกํฯ
Apasādessāmīti maṅkuṃ karissāmi. Kaṇṭhe olambetvāti ubhosu khandhesu sāṭakaṃ āsajjetvā kaṇṭhe olambitvā. Dussakaṇṇaṃ gahetvāti nivatthasāṭakassa dasākoṭiṃ ekena hatthena gahetvā. Caṅkamaṃ abhiruhitvāti caṅkamituṃ ārabhitvā. Dhātusamatāti rasādidhātūnaṃ samāvatthatā, arogatāti attho. Anācārabhāvasāraṇīyanti anācārabhāvena saraṇīyaṃ. ‘‘Anācāro vatāya’’nti saritabbakaṃ.
๒๖๒. ‘‘ภวคฺคํ คเหตุกาโม วิยา’’ติอาทิ อสกฺกุเณยฺยตฺตา ทุกฺกรํ กิจฺจํ อารภตีติ ทเสฺสตุํ วุตฺตํฯ อสกฺกุเณยฺยเญฺหตํ สเทวเกนาปิ โลเกน, ยทิทํ ภควโต อปสาทนํ, เตนาห ‘‘อฎฺฐาเน วายมตี’’ติฯ อยํ พาโล ‘‘มยิ กิญฺจิ อกเถเนฺต มยา สทฺธิํ กเถตุมฺปิ น วิสหตี’’ติ มานเมว ปคฺคณฺหิสฺสติ, กเถเนฺต ปน กถาปสเงฺคนสฺส ชาติโคเตฺต วิภาวิเต มานนิคฺคโห ภวิสฺสตีติ ภควา ‘‘เอวํ นุ เต’’ติอาทิมาหฯ เตน วุตฺตํ ‘‘อถ โข ภควา’’ติอาทิฯ อาจารสมาจารสิกฺขาปเนน อาจริยา, เตสํ ปน อาจริยานํ ปกฎฺฐา อาจริยาติ ปาจริยา ยถา ปปิตามโหติ, เตนาห ‘‘อาจริเยหิ จ เตสํ ปาจริเยหิ จา’’ติฯ
262.‘‘Bhavaggaṃ gahetukāmo viyā’’tiādi asakkuṇeyyattā dukkaraṃ kiccaṃ ārabhatīti dassetuṃ vuttaṃ. Asakkuṇeyyañhetaṃ sadevakenāpi lokena, yadidaṃ bhagavato apasādanaṃ, tenāha ‘‘aṭṭhāne vāyamatī’’ti. Ayaṃ bālo ‘‘mayi kiñci akathente mayā saddhiṃ kathetumpi na visahatī’’ti mānameva paggaṇhissati, kathente pana kathāpasaṅgenassa jātigotte vibhāvite mānaniggaho bhavissatīti bhagavā ‘‘evaṃ nu te’’tiādimāha. Tena vuttaṃ ‘‘atha kho bhagavā’’tiādi. Ācārasamācārasikkhāpanena ācariyā, tesaṃ pana ācariyānaṃ pakaṭṭhā ācariyāti pācariyā yathā papitāmahoti, tenāha ‘‘ācariyehi ca tesaṃ pācariyehi cā’’ti.
ปฐมอิพฺภวาทวณฺณนา
Paṭhamaibbhavādavaṇṇanā
๒๖๓. ตีสุ อิริยาปเถสูติ ฐานคมนนิสชฺชาสุฯ กถาปฬาสนฺติ กถาวเสน ยุคคฺคาหํฯ สยาเนน อาจริเยน สทฺธิํ สยานสฺส กถา นาม อาจาโร น โหติ, ตํ อิตเรหิ สทิสํ กตฺวา กถนํ อิธ กถาปฬาโสฯ
263.Tīsu iriyāpathesūti ṭhānagamananisajjāsu. Kathāpaḷāsanti kathāvasena yugaggāhaṃ. Sayānena ācariyena saddhiṃ sayānassa kathā nāma ācāro na hoti, taṃ itarehi sadisaṃ katvā kathanaṃ idha kathāpaḷāso.
ตสฺส ปน ยํ อนาจารภาววิภาวนํ สตฺถารา อมฺพเฎฺฐน สทฺธิํ กเถเนฺตน กตํ, ตํ สงฺคีติอนารุฬฺหํ ปรมฺปราภตนฺติ อุปริ ปาฬิยา สมฺพนฺธภาเวน ทเสฺสโนฺต ‘‘ตโต กิรา’’ติอาทิมาหฯ มุณฺฑกา สมณกาติ จ ครหายํ ก-สโทฺท, เตนาห ‘‘หีเฬโนฺต’’ติฯ อิภสฺส ปโยโค อิโภ อุตฺตรปทโลเปน, ตํ อิภํ อรหนฺตีติ อิพฺภาฯ กิํ วุตฺตํ โหติ? ยถา อิโภ หตฺถิวาหนภูโต ปรสฺส วเสน วตฺตติ, น อตฺตโน, เอวํ เอเตปิ พฺราหฺมณานํ สุสฺสุสกา สุทฺทา ปรสฺส วเสน วตฺตนฺติ, น อตฺตโน, ตสฺมา อิภสทิสปโยคตาย อิพฺภาติฯ เต ปน กุฎุมฺพิกตาย ฆรวาสิโน ฆรสฺสามิกา โหนฺตีติ อาห ‘‘คหปติกา’’ติฯ กณฺหาติ กณฺหชาติกาฯ ทิชา เอว หิ สุทฺธชาติกา, น อิตเรติ ตสฺส อธิปฺปาโย, เตนาห ‘‘กาฬกา’’ติฯ มุขโต นิกฺขนฺตาติ พฺราหฺมณานํ ปุพฺพปุริสา พฺรหฺมุโน มุขโต นิกฺขนฺตา, อยํ เตสํ ปฐมุปฺปตฺตีติ อธิปฺปาโยฯ เสสปเทสุปิ เอเสว นโยฯ ‘‘สมณา ปิฎฺฐิปาทโต’’ติ อิทํ ปนสฺส ‘‘มุขโต นิกฺขนฺตา’’ติอาทิวจนโตปิ อติวิย อสมเวกฺขิตวจนํ จตุวณฺณปริยาปนฺนเสฺสว สมณภาวสมฺภวโตฯ อนิยเมตฺวาติ อวิเสเสตฺวา, อนุเทฺทสิกภาเวนาติ อโตฺถฯ
Tassa pana yaṃ anācārabhāvavibhāvanaṃ satthārā ambaṭṭhena saddhiṃ kathentena kataṃ, taṃ saṅgītianāruḷhaṃ paramparābhatanti upari pāḷiyā sambandhabhāvena dassento ‘‘tato kirā’’tiādimāha. Muṇḍakā samaṇakāti ca garahāyaṃ ka-saddo, tenāha ‘‘hīḷento’’ti. Ibhassa payogo ibho uttarapadalopena, taṃ ibhaṃ arahantīti ibbhā. Kiṃ vuttaṃ hoti? Yathā ibho hatthivāhanabhūto parassa vasena vattati, na attano, evaṃ etepi brāhmaṇānaṃ sussusakā suddā parassa vasena vattanti, na attano, tasmā ibhasadisapayogatāya ibbhāti. Te pana kuṭumbikatāya gharavāsino gharassāmikā hontīti āha ‘‘gahapatikā’’ti. Kaṇhāti kaṇhajātikā. Dijā eva hi suddhajātikā, na itareti tassa adhippāyo, tenāha ‘‘kāḷakā’’ti. Mukhato nikkhantāti brāhmaṇānaṃ pubbapurisā brahmuno mukhato nikkhantā, ayaṃ tesaṃ paṭhamuppattīti adhippāyo. Sesapadesupi eseva nayo. ‘‘Samaṇā piṭṭhipādato’’ti idaṃ panassa ‘‘mukhato nikkhantā’’tiādivacanatopi ativiya asamavekkhitavacanaṃ catuvaṇṇapariyāpannasseva samaṇabhāvasambhavato. Aniyametvāti avisesetvā, anuddesikabhāvenāti attho.
มานุสฺสยวเสน กเถตีติ มานุสฺสยํ อวสฺสาย อตฺตานํ อุกฺกํเสโนฺต, ปเร จ วเมฺภโนฺต ‘‘มุณฺฑกา’’ติ อาทิํ กเถติฯ ชานาเปมีติ ชาติโคตฺตสฺส ปมาณํ ยาถาวโต วิภาวเนน ปมาณํ ชานาเปมีติฯ อโตฺถ เอตสฺส อตฺถีติ อตฺถิกํ ทณฺฑิกญาเยนฯ
Mānussayavasena kathetīti mānussayaṃ avassāya attānaṃ ukkaṃsento, pare ca vambhento ‘‘muṇḍakā’’ti ādiṃ katheti. Jānāpemīti jātigottassa pamāṇaṃ yāthāvato vibhāvanena pamāṇaṃ jānāpemīti. Attho etassa atthīti atthikaṃ daṇḍikañāyena.
‘‘ยาเยว โข ปนตฺถายา’’ติ อิตฺถิลิงฺควเสน วุตฺตนฺติ วทนฺติ, ตํ ปรโต ‘‘ปุริสลิงฺควเสเนวา’’ติ วกฺขมานตฺตา ยุตฺตํฯ ยาย อตฺถายาติ วา ปุลฺลิงฺควเสเนว ตทเตฺถ สมฺปทานวจนํ, ยสฺส อตฺถสฺส อตฺถายาติ อโตฺถฯ อสฺสาติ อมฺพฎฺฐสฺส ทเสฺสตฺวาติ สมฺพโนฺธฯ อเญฺญสนฺติ อเญฺญสํ สาธุรูปานํฯ สนฺติกํ อาคตานนฺติ คุรุฎฺฐานิยานํ สนฺติกํ อุปคตานํฯ วตฺตนฺติ เตหิ จริตพฺพอาจารํฯ อสิกฺขิโตติ อาจารํ อสิกฺขิโตฯ ตโต เอว อปฺปสฺสุโตฯ พาหุสจฺจญฺหิ นาม ยาวเทว อุปสมตฺถํ อิจฺฉิตพฺพํ, ตทภาวโต อมฺพโฎฺฐ อปฺปสฺสุโต อสิกฺขิโต ‘‘อวุสิโต’’ติ วิญฺญายติ, เตนาห ‘‘เอตสฺส หี’’ติอาทิฯ
‘‘Yāyeva kho panatthāyā’’ti itthiliṅgavasena vuttanti vadanti, taṃ parato ‘‘purisaliṅgavasenevā’’ti vakkhamānattā yuttaṃ. Yāya atthāyāti vā pulliṅgavaseneva tadatthe sampadānavacanaṃ, yassa atthassa atthāyāti attho. Assāti ambaṭṭhassa dassetvāti sambandho. Aññesanti aññesaṃ sādhurūpānaṃ. Santikaṃ āgatānanti guruṭṭhāniyānaṃ santikaṃ upagatānaṃ. Vattanti tehi caritabbaācāraṃ. Asikkhitoti ācāraṃ asikkhito. Tato eva appassuto. Bāhusaccañhi nāma yāvadeva upasamatthaṃ icchitabbaṃ, tadabhāvato ambaṭṭho appassuto asikkhito ‘‘avusito’’ti viññāyati, tenāha ‘‘etassa hī’’tiādi.
๒๖๔. โกธวสจิตฺตตาย อสกมโนฯ มานนิมฺมทนตฺถนฺติ มานสฺส นิมฺมทนตฺถํฯ อุคฺคิเลตฺวาติ สิเนหปาเนน กิลินฺนํ อุพฺพมนํ กตฺวาฯ โคเตฺตน โคตฺตนฺติ เตน วุเตฺตน ปุราตนโคเตฺตน อิทานิ ตํ ตํ อนวชฺชสญฺญิตํ โคตฺตํ สาวชฺชโต อุฎฺฐาเปตฺวา อุทฺธริตฺวาฯ เสสปเทสุปิ เอเสว นโยฯ ตตฺถ โคตฺตํ อาทิปุริสวเสน, กุลาปโทโส, ตทนฺวเย อุปฺปนฺนอภิญฺญาตปุริสวเสน เวทิตโพฺพ ยถา ‘‘อาทิโจฺจ, มฆเทโว’’ติฯ โคตฺตมูลสฺส คารยฺหตาย อมานวตฺถุภาวปเวทนโต ‘‘มานทฺธชํ มูเล เฉตฺวา’’ติ วุตฺตํฯ ฆเฎฺฎโนฺตติ โอมสโนฺตฯ
264. Kodhavasacittatāya asakamano. Mānanimmadanatthanti mānassa nimmadanatthaṃ. Uggiletvāti sinehapānena kilinnaṃ ubbamanaṃ katvā. Gottena gottanti tena vuttena purātanagottena idāni taṃ taṃ anavajjasaññitaṃ gottaṃ sāvajjato uṭṭhāpetvā uddharitvā. Sesapadesupi eseva nayo. Tattha gottaṃ ādipurisavasena, kulāpadoso, tadanvaye uppannaabhiññātapurisavasena veditabbo yathā ‘‘ādicco, maghadevo’’ti. Gottamūlassa gārayhatāya amānavatthubhāvapavedanato ‘‘mānaddhajaṃ mūle chetvā’’ti vuttaṃ. Ghaṭṭentoti omasanto.
ยสฺมิํ มานุสฺสยโกธุสฺสยา อญฺญมญฺญูปตฺถทฺธา, โส ‘‘จโณฺฑ’’ติ วุจฺจตีติ อาห ‘‘จณฺฑาติ มานนิสฺสิตโกธยุตฺตา’’ติฯ ขราติ จิเตฺตน, วาจาย จ กกฺขฬาฯ ลหุกาติ ตรุณาฯ ภสฺสาติ ‘‘สาหสิกา’’ติ เกจิ วทนฺติ, ‘‘สารมฺภกา’’ติ อปเรฯ สมานาติ โหนฺตา, ภวมานาติ อโตฺถติ อาห ‘‘สนฺตาติ ปุริมปทเสฺสว เววจน’’นฺติฯ น สกฺกโรนฺตีติ สกฺการํ น กโรนฺติฯ อปจิติกมฺมนฺติ ปณิปาตกมฺม นานุโลมนฺติ อตฺตโน ชาติยา น อนุจฺฉวิกนฺติ อโตฺถฯ
Yasmiṃ mānussayakodhussayā aññamaññūpatthaddhā, so ‘‘caṇḍo’’ti vuccatīti āha ‘‘caṇḍāti mānanissitakodhayuttā’’ti. Kharāti cittena, vācāya ca kakkhaḷā. Lahukāti taruṇā. Bhassāti ‘‘sāhasikā’’ti keci vadanti, ‘‘sārambhakā’’ti apare. Samānāti hontā, bhavamānāti atthoti āha ‘‘santāti purimapadasseva vevacana’’nti. Na sakkarontīti sakkāraṃ na karonti. Apacitikammanti paṇipātakamma nānulomanti attano jātiyā na anucchavikanti attho.
ทุติยอิพฺภวาทวณฺณนา
Dutiyaibbhavādavaṇṇanā
๒๖๕. กามํ สกฺยราชกุเล โย สเพฺพสํ พุทฺธตโร สมโตฺถ จ, โส เอว อภิเสกํ ลภติ, เอกโจฺจ ปน อภิสิโตฺต สมาโน ‘‘อิทํ รชฺชํ นาม พหุกิจฺจํ พหุพฺยาปาร’’นฺติ ตโต นิพฺพิชฺช รชฺชํ วยสา อนนฺตรสฺส นิยฺยาเตติ, กทาจิ โสปิ อญฺญสฺสาติ ตาทิเส สนฺธายาห ‘‘สกฺยาติ อภิสิตฺตราชาโน’’ติฯ กุลวํสํ ชานนฺตีติ กณฺหายนโต ปฎฺฐาย ปรมฺปราคตํ อนุสฺสววเสน ชานนฺติฯ กุลาภิมานิโน หิ เยภุเยฺยน ปเรสํ อุจฺจาวจํ กุลํ ตถา ตถา อุทาหรนฺติ, อตฺตโน จ กุลวํสํ ชานนฺติ, เอวํ อมฺพโฎฺฐปิฯ ตถา หิ โส ปรโต ภควตา ปุจฺฉิโต วชิรปาณิภเยน ยาถาวโต กเถสิฯ
265. Kāmaṃ sakyarājakule yo sabbesaṃ buddhataro samattho ca, so eva abhisekaṃ labhati, ekacco pana abhisitto samāno ‘‘idaṃ rajjaṃ nāma bahukiccaṃ bahubyāpāra’’nti tato nibbijja rajjaṃ vayasā anantarassa niyyāteti, kadāci sopi aññassāti tādise sandhāyāha ‘‘sakyāti abhisittarājāno’’ti. Kulavaṃsaṃ jānantīti kaṇhāyanato paṭṭhāya paramparāgataṃ anussavavasena jānanti. Kulābhimānino hi yebhuyyena paresaṃ uccāvacaṃ kulaṃ tathā tathā udāharanti, attano ca kulavaṃsaṃ jānanti, evaṃ ambaṭṭhopi. Tathā hi so parato bhagavatā pucchito vajirapāṇibhayena yāthāvato kathesi.
ตติยอิพฺภวาทวณฺณนา
Tatiyaibbhavādavaṇṇanā
๒๖๖. เขตฺตเลฑฺฑูนนฺติ เขเตฺต กสนวเสน นงฺคเลน อุฎฺฐาปิตเลฑฺฑูนํฯ ‘‘ลฎุกิกา’’ อิเจฺจว ปญฺญาตา ขุทฺทกสกุณิกา ลฎุกิโกปมวณฺณนายํ ‘‘จาตกสกุณิกา’’ติ (ม. นิ. อฎฺฐ. ๓.๑๕๐) วุตฺตาฯ โกธวเสน ลคฺคิตุนฺติ อุปนยฺหิตุํ, อาฆาตํ พนฺธิตุนฺติ อโตฺถฯ ‘‘อเมฺห หํสโกญฺจโมรสเม กโรตี’’ติ อิมินา ‘‘น ตํ โกจิ หํโส วา’’ติอาทิวจนํ สงฺคีติํ อนารุฬฺหํ ตทา ภควตา วุตฺตเมวาติ ทเสฺสติฯ ‘‘เอวํ นุ เต’’ติอาทิวจนํ, ‘‘อวุสิตวาเยวา’’ติอาทิวจนญฺจ มานวเสน สมเณน โคตเมน วุตฺตนฺติ มญฺญตีติ อธิปฺปาเยนาห ‘‘นิมฺมาโน ทานิ ชาโตติ มญฺญมาโน’’ติฯ
266.Khettaleḍḍūnanti khette kasanavasena naṅgalena uṭṭhāpitaleḍḍūnaṃ. ‘‘Laṭukikā’’ icceva paññātā khuddakasakuṇikā laṭukikopamavaṇṇanāyaṃ ‘‘cātakasakuṇikā’’ti (ma. ni. aṭṭha. 3.150) vuttā. Kodhavasena laggitunti upanayhituṃ, āghātaṃ bandhitunti attho. ‘‘Amhe haṃsakoñcamorasame karotī’’ti iminā ‘‘na taṃ koci haṃso vā’’tiādivacanaṃ saṅgītiṃ anāruḷhaṃ tadā bhagavatā vuttamevāti dasseti. ‘‘Evaṃ nu te’’tiādivacanaṃ, ‘‘avusitavāyevā’’tiādivacanañca mānavasena samaṇena gotamena vuttanti maññatīti adhippāyenāha ‘‘nimmāno dāni jātoti maññamāno’’ti.
ทาสิปุตฺตวาทวณฺณนา
Dāsiputtavādavaṇṇanā
๒๖๗. นิมฺมาเทตีติ อ-การสฺส อา-การํ กตฺวา นิเทฺทโสติ อาห ‘‘นิมฺมเทตี’’ติฯ กามํ โคตฺตํ นาเมตํ ปิติโต ลทฺธพฺพํ, น มาติโต น หิ พฺราหฺมณานํ สโคตฺตาย อาวาหวิวาโห อิจฺฉิโต, โคตฺตนามํ ปน ยสฺมา ชาติสิทฺธํ, น กิตฺติมํ, ชาติ จ อุภยสมฺพนฺธินี, ตสฺมา ‘‘มาตาเปตฺติกนฺติ มาตาปิตูนํ สนฺตก’’นฺติ วุตฺตํฯ นามโคตฺตนฺติ โคตฺตนามํ, น กิตฺติมนามํ, น คุณนามํ วาฯ ตตฺถ ‘‘กณฺหายโน’’ติ นิรุฬฺหา ยา นามปณฺณตฺติ, ตํ สนฺธายาห ‘‘ปณฺณตฺติวเสน นามนฺติฯ ตํ ปน กณฺหอิสิโต ปฎฺฐาย ตสฺมิํ กุลปรมฺปราวเสน อาคตํ, น เอตสฺมิํเยว นิรุฬฺหํ, เตน วุตฺตํ ‘‘ปเวณีวเสน โคตฺต’’นฺติฯ โคตฺต-ปทสฺส ปน อโตฺถ เหฎฺฐา วุโตฺตเยวฯ อนุสฺสรโตติ เอตฺถ น เกวลํ อนุสฺสรณํ อธิเปฺปตํ, อถ โข กุลสุทฺธิวีมํสนวเสนาติ อาห ‘‘กุลโกฎิํ โสเธนฺตสฺสา’’ติฯ อยฺยปุตฺตาติ อยฺยิกปุตฺตาติ อาห ‘‘สามิโน ปุตฺตา’’ติฯ ทิสา โอกฺกากรโญฺญ อโนฺตชาตา ทาสีติ อาห ‘‘ฆรทาสิยา ปุโตฺต’’ติฯ เอตฺถ จ ยสฺมา อมฺพโฎฺฐ ชาติํ นิสฺสาย มานตฺถโทฺธ, น จสฺส ยาถาวโต ชาติยา อวิภาวิตาย มานนิคฺคโห โหติ, มานนิคฺคเห จ กเต อปรภาเค รตนตฺตเย ปสีทิสฺสติ , น ‘‘ทาสี’’ติ วาจา ผรุสวาจา นาม โหติ จิตฺตสฺส สณฺหภาวโตฯ อภยสุตฺตเญฺจตฺถ (ม. นิ. ๒.๘๓; อ. นิ. ๔.๑๘๔) นิทสฺสนํฯ เกจิ จ สตฺตา อคฺคินา วิย โลหาทโย กกฺขฬาย วาจาย มุทุภาวํ คจฺฉนฺติ, ตสฺมา ภควา อมฺพฎฺฐํ นิพฺพิเสวนํ กาตุกาโม ‘‘อยฺยปุตฺตา สกฺยา ภวนฺติ, ทาสิปุโตฺต ตฺวมสิ สกฺยาน’’นฺติ อโวจฯ
267.Nimmādetīti a-kārassa ā-kāraṃ katvā niddesoti āha ‘‘nimmadetī’’ti. Kāmaṃ gottaṃ nāmetaṃ pitito laddhabbaṃ, na mātito na hi brāhmaṇānaṃ sagottāya āvāhavivāho icchito, gottanāmaṃ pana yasmā jātisiddhaṃ, na kittimaṃ, jāti ca ubhayasambandhinī, tasmā ‘‘mātāpettikanti mātāpitūnaṃ santaka’’nti vuttaṃ. Nāmagottanti gottanāmaṃ, na kittimanāmaṃ, na guṇanāmaṃ vā. Tattha ‘‘kaṇhāyano’’ti niruḷhā yā nāmapaṇṇatti, taṃ sandhāyāha ‘‘paṇṇattivasena nāmanti. Taṃ pana kaṇhaisito paṭṭhāya tasmiṃ kulaparamparāvasena āgataṃ, na etasmiṃyeva niruḷhaṃ, tena vuttaṃ ‘‘paveṇīvasena gotta’’nti. Gotta-padassa pana attho heṭṭhā vuttoyeva. Anussaratoti ettha na kevalaṃ anussaraṇaṃ adhippetaṃ, atha kho kulasuddhivīmaṃsanavasenāti āha ‘‘kulakoṭiṃ sodhentassā’’ti. Ayyaputtāti ayyikaputtāti āha ‘‘sāmino puttā’’ti. Disā okkākarañño antojātā dāsīti āha ‘‘gharadāsiyā putto’’ti. Ettha ca yasmā ambaṭṭho jātiṃ nissāya mānatthaddho, na cassa yāthāvato jātiyā avibhāvitāya mānaniggaho hoti, mānaniggahe ca kate aparabhāge ratanattaye pasīdissati , na ‘‘dāsī’’ti vācā pharusavācā nāma hoti cittassa saṇhabhāvato. Abhayasuttañcettha (ma. ni. 2.83; a. ni. 4.184) nidassanaṃ. Keci ca sattā agginā viya lohādayo kakkhaḷāya vācāya mudubhāvaṃ gacchanti, tasmā bhagavā ambaṭṭhaṃ nibbisevanaṃ kātukāmo ‘‘ayyaputtā sakyā bhavanti, dāsiputto tvamasi sakyāna’’nti avoca.
ฐเปนฺตีติ ปญฺญเปนฺติ, เตนาห ‘‘โอกฺกาโก’’ติอาทิฯ ปภา นิจฺฉรติ ทนฺตานํ อติวิย ปภสฺสรภาวโตฯ
Ṭhapentīti paññapenti, tenāha ‘‘okkāko’’tiādi. Pabhā niccharati dantānaṃ ativiya pabhassarabhāvato.
ปฐมกปฺปิกานนฺติ ปฐมกปฺปสฺส อาทิกาเล นิพฺพตฺตานํฯ กิร-สโทฺท อนุสฺสวเตฺถ, เตน โย วุจฺจมานาย ราชปรมฺปราย เกสญฺจิ มติเภโท, ตํ อุลฺลิเงฺคติฯ มหาสมฺมตสฺสาติ ‘‘อยํ โน ราชา’’ติ มหาชเนน สมฺมนฺนิตฺวา ฐปิตตฺตา ‘‘มหาสมฺมโต’’ติ เอวํ สมฺมตสฺสฯ ยํ สนฺธาย วทนฺติ –
Paṭhamakappikānanti paṭhamakappassa ādikāle nibbattānaṃ. Kira-saddo anussavatthe, tena yo vuccamānāya rājaparamparāya kesañci matibhedo, taṃ ulliṅgeti. Mahāsammatassāti ‘‘ayaṃ no rājā’’ti mahājanena sammannitvā ṭhapitattā ‘‘mahāsammato’’ti evaṃ sammatassa. Yaṃ sandhāya vadanti –
‘‘อาทิจฺจกุลสมฺภูโต , สุวิสุทฺธคุณากโร;
‘‘Ādiccakulasambhūto , suvisuddhaguṇākaro;
มหานุภาโว ราชาสิ, มหาสมฺมตนามโกฯ
Mahānubhāvo rājāsi, mahāsammatanāmako.
โย จกฺขุภูโต โลกสฺส, คุณรํสิสมุชฺชโล;
Yo cakkhubhūto lokassa, guṇaraṃsisamujjalo;
ตโมนุโท วิโรจิตฺถ, ทุติโย วิย ภาณุมาฯ
Tamonudo virocittha, dutiyo viya bhāṇumā.
ฐปิตา เยน มริยาทา, โลเก โลกหิเตสินา;
Ṭhapitā yena mariyādā, loke lokahitesinā;
ววตฺถิตา สกฺกุณนฺติ, น วิลงฺฆยิตุํ ชนาฯ
Vavatthitā sakkuṇanti, na vilaṅghayituṃ janā.
ยสสฺสินํ เตชสฺสินํ, โลกสีมานุรกฺขกํ;
Yasassinaṃ tejassinaṃ, lokasīmānurakkhakaṃ;
อาทิภูตํ มหาวีรํ, กถยนฺติ ‘มนู’ติ ย’’นฺติฯ
Ādibhūtaṃ mahāvīraṃ, kathayanti ‘manū’ti ya’’nti.
ตสฺส จ ปุตฺตปปุตฺตปรมฺปรํ สนฺธาย –
Tassa ca puttapaputtaparamparaṃ sandhāya –
‘‘ตสฺส ปุโตฺต มหาเตโช, โรโช นาม มหีปติ;
‘‘Tassa putto mahātejo, rojo nāma mahīpati;
ตสฺส ปุโตฺต วรโรโช, ปวโร ราชมณฺฑเลฯ
Tassa putto vararojo, pavaro rājamaṇḍale.
ตสฺสาสิ กลฺยาณคุโณ, กลฺยาโณ นาม อตฺรโช;
Tassāsi kalyāṇaguṇo, kalyāṇo nāma atrajo;
ราชา ตสฺสาสิ ตนโย, วรกลฺยาณนามโกฯ
Rājā tassāsi tanayo, varakalyāṇanāmako.
ตสฺส ปุโตฺต มหาวีโร, มนฺธาตา กามโภคินํ;
Tassa putto mahāvīro, mandhātā kāmabhoginaṃ;
อคฺคภูโต มหิเนฺทน, อฑฺฒรเชฺชน ปูชิโตฯ
Aggabhūto mahindena, aḍḍharajjena pūjito.
ตสฺส สูนุ มหาเตโช, วรมนฺธาตุนามโก;
Tassa sūnu mahātejo, varamandhātunāmako;
‘อุโปสโถ’ติ นาเมน, ตสฺส ปุโตฺต มหายโสฯ
‘Uposatho’ti nāmena, tassa putto mahāyaso.
วโร นาม มหาเตโช, ตสฺส ปุโตฺต มหาวโร;
Varo nāma mahātejo, tassa putto mahāvaro;
ตสฺสาสิ อุปวโรติ, ปุโตฺต ราชา มหาพโลฯ
Tassāsi upavaroti, putto rājā mahābalo.
ตสฺส ปุโตฺต มฆเทโว, เทวตุโลฺย มหีปติ;
Tassa putto maghadevo, devatulyo mahīpati;
จตุราสีติสหสฺสานิ, ตสฺส ปุตฺตปรมฺปราฯ
Caturāsītisahassāni, tassa puttaparamparā.
เตสํ ปจฺฉิมโก ราชา, ‘โอกฺกาโก’ อิติ วิสฺสุโต;
Tesaṃ pacchimako rājā, ‘okkāko’ iti vissuto;
มหายโส มหาเตโช, อขุโทฺท ราชมณฺฑเล’’ติฯ
Mahāyaso mahātejo, akhuddo rājamaṇḍale’’ti.
อาทิ เตสํ ปจฺฉโตติ เตสํ มฆเทว ปรมฺปรภูตานํ กฬารชนกปริโยสานานํ อเนกสตสหสฺสานํ ราชูนํ อปรภาเค โอกฺกาโก นาม ราชา อโหสิ, ตสฺส ปรมฺปราภูตานํ อเนกสตสหสฺสานํ ราชูนํ อปรภาเค อปโร โอกฺกาโก นาม ราชา อโหสิ, ตสฺส ปรมฺปรภูตานํ อเนกสตสหสฺสานํ ราชูนํ อปรภาเค ปุนาปโร โอกฺกาโก นาม ราชา อโหสิ, ตํ สนฺธายาห ‘‘ตโย โอกฺกากวํสา อเหสุํฯ เตสุ ตติยโอกฺกากสฺสา’’ติอาทิฯ
Ādi tesaṃ pacchatoti tesaṃ maghadeva paramparabhūtānaṃ kaḷārajanakapariyosānānaṃ anekasatasahassānaṃ rājūnaṃ aparabhāge okkāko nāma rājā ahosi, tassa paramparābhūtānaṃ anekasatasahassānaṃ rājūnaṃ aparabhāge aparo okkāko nāma rājā ahosi, tassa paramparabhūtānaṃ anekasatasahassānaṃ rājūnaṃ aparabhāge punāparo okkāko nāma rājā ahosi, taṃ sandhāyāha ‘‘tayo okkākavaṃsā ahesuṃ. Tesu tatiyaokkākassā’’tiādi.
สหสา วรํ อทาสินฺติ ปุตฺตทสฺสเนน โสมนสฺสปฺปโตฺต สหสา อวีมํสิตฺวา ตุฎฺฐิยา วเสน วรํ อทาสิํ, ‘‘ยํ อิจฺฉสิ, ตํ คณฺหา’’ติฯ รชฺชํ ปริณาเมตุํ อิจฺฉตีติ สา ชนฺตุกุมารสฺส มาตา มม ตํ วรทานํ อนฺตรํ กตฺวา อิมํ รชฺชํ ปริณาเมตุํ อิจฺฉตีติฯ
Sahasā varaṃ adāsinti puttadassanena somanassappatto sahasā avīmaṃsitvā tuṭṭhiyā vasena varaṃ adāsiṃ, ‘‘yaṃ icchasi, taṃ gaṇhā’’ti. Rajjaṃ pariṇāmetuṃ icchatīti sā jantukumārassa mātā mama taṃ varadānaṃ antaraṃ katvā imaṃ rajjaṃ pariṇāmetuṃ icchatīti.
นปฺปสเหยฺยาติ น ปริยโตฺต ภเวยฺยฯ
Nappasaheyyāti na pariyatto bhaveyya.
นิกฺขมฺมาติ ฆราวาสโต, กาเมหิ จ นิกฺขมิตฺวาฯ เหฎฺฐา จาติ จ-สเทฺทน ‘‘อสีติหเตฺถ’’ติ อิทํ อนุกฑฺฒติฯ เตหีติ มิคสูกเรหิ, มณฺฑูกมูสิเกหิ จฯ เตติ สีหพฺยคฺฆาทโย, สปฺปพิฬารา จฯ
Nikkhammāti gharāvāsato, kāmehi ca nikkhamitvā. Heṭṭhā cāti ca-saddena ‘‘asītihatthe’’ti idaṃ anukaḍḍhati. Tehīti migasūkarehi, maṇḍūkamūsikehi ca. Teti sīhabyagghādayo, sappabiḷārā ca.
อวเสสาหิ อตฺตโน อตฺตโน กนิฎฺฐาหิฯ
Avasesāhi attano attano kaniṭṭhāhi.
วฑฺฒมานานนฺติ อนาทเร สามิวจนํฯ กุฎฺฐโรโค นาม สาสมสูรีโรคา วิย เยภุเยฺยน สงฺกมนสภาโวติ วุตฺตํ ‘‘อยํ โรโค สงฺกมตีติ จิเนฺตตฺวา’’ติฯ
Vaḍḍhamānānanti anādare sāmivacanaṃ. Kuṭṭharogo nāma sāsamasūrīrogā viya yebhuyyena saṅkamanasabhāvoti vuttaṃ ‘‘ayaṃ rogo saṅkamatīti cintetvā’’ti.
มิคสูกราทีนนฺติ อาทิ-สเทฺทน วนจรโสณาทิเก สงฺคณฺหาติฯ
Migasūkarādīnanti ādi-saddena vanacarasoṇādike saṅgaṇhāti.
ตสฺมิํ นิสิเนฺนติ สมฺพโนฺธฯ ขตฺติยมายาโรจเนน อตฺตโน ขตฺติยภาวํ ชานาเปตฺวาฯ
Tasmiṃ nisinneti sambandho. Khattiyamāyārocanena attano khattiyabhāvaṃ jānāpetvā.
นครํ มาเปหีติ สาหารํ นครํ มาเปหีติ อธิปฺปาโยฯ
Nagaraṃmāpehīti sāhāraṃ nagaraṃ māpehīti adhippāyo.
เกสคฺคหณนฺติ เกสเวณิพนฺธนํฯ ทุสฺสคฺคหณนฺติ วตฺถสฺส นิวาสนากาโรฯ
Kesaggahaṇanti kesaveṇibandhanaṃ. Dussaggahaṇanti vatthassa nivāsanākāro.
๒๖๘. อตฺตโน อุปารมฺภโมจนตฺถายาติ อาจริเยน อมฺพเฎฺฐน จ อตฺตโน อตฺตโน อุปริ ปาเปตพฺพอุปวาทสฺส อปนยนตฺถํฯ อสฺมิํ วจเนติ ‘‘จตฺตาโรเม โภ โคตม วณฺณา’’ติอาทินา อตฺตนา วุเตฺต, โภตา จ โคตเมน วุเตฺต ‘‘ชาติวาเท’’ติ อิมสฺมิํ ยถาธิกเต วจเนฯ ตตฺถ ปน ยสฺมา เวเท วุตฺตวิธินาว เตน ปฎิมเนฺตตพฺพํ โหติ , ตสฺมา วุตฺตํ ‘‘เวทตฺตยวจเน’’ติ, ‘‘เอตสฺมิํ วา ทาสิปุตฺตวจเน’’ติ จฯ
268.Attano upārambhamocanatthāyāti ācariyena ambaṭṭhena ca attano attano upari pāpetabbaupavādassa apanayanatthaṃ. Asmiṃ vacaneti ‘‘cattārome bho gotama vaṇṇā’’tiādinā attanā vutte, bhotā ca gotamena vutte ‘‘jātivāde’’ti imasmiṃ yathādhikate vacane. Tattha pana yasmā vede vuttavidhināva tena paṭimantetabbaṃ hoti , tasmā vuttaṃ ‘‘vedattayavacane’’ti, ‘‘etasmiṃ vā dāsiputtavacane’’ti ca.
๒๗๐. ธโมฺม นาม การณํ ‘‘ธมฺมปฎิสมฺภิทา’’ติอาทีสุ (วิภ. ๗๑๘) วิย, สห ธเมฺมนาติ สหธโมฺม, สหธโมฺม เอว สหธมฺมิโกติ อาห ‘‘สเหตุโก’’ติฯ
270.Dhammo nāma kāraṇaṃ ‘‘dhammapaṭisambhidā’’tiādīsu (vibha. 718) viya, saha dhammenāti sahadhammo, sahadhammo eva sahadhammikoti āha ‘‘sahetuko’’ti.
๒๗๑. ตสฺมา ตทา ปฎิญฺญาตตฺตาฯ ตาเสตฺวา ปญฺหํ วิสฺสชฺชาเปสฺสามีติ อาคโต ยถา ตํ สจฺจกสมาคเมฯ ‘‘ภควา เจว ปสฺสติ อมฺพโฎฺฐ จา’’ติ เอตฺถ อิตเรสํ อทสฺสเน การณํ ทเสฺสตุํ ‘‘ยทิ หี’’ติอาทิ วุตฺตํฯ อาวาเหตฺวาติ มนฺตพเลน อาเนตฺวาฯ ตสฺสาติ อมฺพฎฺฐสฺสฯ วาทสงฺฆเฎฺฎติ วาจาสงฺฆเฎฺฎฯ
271.Tasmā tadā paṭiññātattā. Tāsetvā pañhaṃ vissajjāpessāmīti āgato yathā taṃ saccakasamāgame. ‘‘Bhagavā ceva passati ambaṭṭho cā’’ti ettha itaresaṃ adassane kāraṇaṃ dassetuṃ ‘‘yadi hī’’tiādi vuttaṃ. Āvāhetvāti mantabalena ānetvā. Tassāti ambaṭṭhassa. Vādasaṅghaṭṭeti vācāsaṅghaṭṭe.
๒๗๒. ตาณนฺติ คเวสมาโนติ, ‘‘อยเมว สมโณ โคตโม อิโต ภยโต มม ตายโก’’ติ ภควนฺตํเยว ‘‘ตาณ’’นฺติ ปริเยสโนฺต อุปคจฺฉโนฺตฯ เสสปททฺวเยปิ เอเสว นโยฯ ตายตีติ ยถาอุปฎฺฐิตภยโต ปาเลติ, เตนาห ‘‘รกฺขตี’’ติ, เอเตน ตาณ-สทฺทสฺส กตฺตุสาธนตมาหฯ ยถุปฎฺฐิเตน ภเยน อุปทฺทุโต นิลียติ เอตฺถาติ เลณํ, อุปลยนํ, เอเตน เลณ-สทฺทสฺส อธิกรณสาธนตมาหฯ ‘‘สรตี’’ติ เอเตน สรณ-สทฺทสฺส กตฺตุสาธนตมาหฯ
272.Tāṇanti gavesamānoti, ‘‘ayameva samaṇo gotamo ito bhayato mama tāyako’’ti bhagavantaṃyeva ‘‘tāṇa’’nti pariyesanto upagacchanto. Sesapadadvayepi eseva nayo. Tāyatīti yathāupaṭṭhitabhayato pāleti, tenāha ‘‘rakkhatī’’ti, etena tāṇa-saddassa kattusādhanatamāha. Yathupaṭṭhitena bhayena upadduto nilīyati etthāti leṇaṃ, upalayanaṃ, etena leṇa-saddassa adhikaraṇasādhanatamāha. ‘‘Saratī’’ti etena saraṇa-saddassa kattusādhanatamāha.
อมฺพฎฺฐวํสกถาวณฺณนา
Ambaṭṭhavaṃsakathāvaṇṇanā
๒๗๔. คงฺคาย ทกฺขิณโตติ คงฺคาย นทิยา ทกฺขิณทิสายฯ อาวุธํ น ปริวตฺตตีติ สรํ วาสตฺติอาทิํ วา ปรสฺส อุปริ ขิปิตุกามสฺส หตฺถํ น ปริวตฺตติ, หเตฺถ ปน อปริวเตฺตเนฺต กุโต อาวุธปริวตฺตนนฺติ อาห ‘‘อาวุธํ น ปริวตฺตตี’’ติฯ โส กิร ‘‘กถํ นามาหํ ทิสาย ทาสิยา กุจฺฉิมฺหิ นิพฺพโตฺต’’ติ ตํ หีนํ ชาติํ ชิคุจฺฉโนฺต ‘‘หนฺทาหํ ยถา ตถา อิมํ ชาติํ โสเธสฺสามี’’ติ นิคฺคโต, เตนาห ‘‘อิทานิ เม มโนรถํ ปูเรสฺสามี’’ติอาทิฯ วิชฺชาพเลน ราชานํ ตาเสตฺวา ตสฺส ธีตุยา ลทฺธกาลโต ปฎฺฐาย มฺยายํ ชาติโสธิตา ภวิสฺสตีติ ตสฺส อธิปฺปาโยฯ อมฺพฎฺฐํ นาม วิชฺชนฺติ สตฺตานํ สรีเร อพฺภงฺคํ ฐเปตีติ อมฺพฎฺฐาติ เอวํ ลทฺธนามํ วิชฺชํ, มนฺตนฺติ อโตฺถฯ ยโต อมฺพฎฺฐา เอตสฺมิํ อตฺถีติ อมฺพโฎฺฐติ กโณฺห อิสิ ปญฺญายิตฺถ, ตํพํสชาตตาย อยํ มาณโว ‘‘อมฺพโฎฺฐ’’ติ โวหรียติฯ
274.Gaṅgāya dakkhiṇatoti gaṅgāya nadiyā dakkhiṇadisāya. Āvudhaṃ na parivattatīti saraṃ vāsattiādiṃ vā parassa upari khipitukāmassa hatthaṃ na parivattati, hatthe pana aparivattente kuto āvudhaparivattananti āha ‘‘āvudhaṃ na parivattatī’’ti. So kira ‘‘kathaṃ nāmāhaṃ disāya dāsiyā kucchimhi nibbatto’’ti taṃ hīnaṃ jātiṃ jigucchanto ‘‘handāhaṃ yathā tathā imaṃ jātiṃ sodhessāmī’’ti niggato, tenāha ‘‘idāni me manorathaṃ pūressāmī’’tiādi. Vijjābalena rājānaṃ tāsetvā tassa dhītuyā laddhakālato paṭṭhāya myāyaṃ jātisodhitā bhavissatīti tassa adhippāyo. Ambaṭṭhaṃ nāma vijjanti sattānaṃ sarīre abbhaṅgaṃ ṭhapetīti ambaṭṭhāti evaṃ laddhanāmaṃ vijjaṃ, mantanti attho. Yato ambaṭṭhā etasmiṃ atthīti ambaṭṭhoti kaṇho isi paññāyittha, taṃbaṃsajātatāya ayaṃ māṇavo ‘‘ambaṭṭho’’ti voharīyati.
เสฎฺฐมเนฺต เวทมเนฺตติ อธิปฺปาโยฯ มนฺตานุภาเวน รโญฺญ พาหุกฺขมฺภมตฺตํ ชาตํ เตน ปนสฺส พาหุกฺขเมฺภน ราชา, ‘‘โก ชานาติ, กิํ ภวิสฺสตี’’ติ ภีโต อุสฺสงฺกี อุตฺราโส อโหสิ, เตนาห ‘‘ภเยน เวธมาโน อฎฺฐาสี’’ติฯ โสตฺถิ ภทฺทเนฺตติ อาทิวจนํ อโวจุํฯ ‘‘อยํ มหานุภาโว อิสี’’ติ มญฺญมานาฯ
Seṭṭhamante vedamanteti adhippāyo. Mantānubhāvena rañño bāhukkhambhamattaṃ jātaṃ tena panassa bāhukkhambhena rājā, ‘‘ko jānāti, kiṃ bhavissatī’’ti bhīto ussaṅkī utrāso ahosi, tenāha ‘‘bhayena vedhamāno aṭṭhāsī’’ti. Sotthi bhaddanteti ādivacanaṃ avocuṃ. ‘‘Ayaṃ mahānubhāvo isī’’ti maññamānā.
อุนฺทฺริยิสฺสตีติ วิปฺปกิริยิสฺสติ, เตนาห ‘‘ภิชฺชิสฺสตี’’ติฯ มเนฺต ปริวตฺติเตติ พาหุกฺขมฺภกมนฺตสฺส ปฎิปฺปสฺสมฺภกวิชฺชาสงฺขาเต มเนฺต ‘‘สโร โอตรตู’’ติ ปริวตฺติเตฯ เอวรูปานญฺหิ มนฺตานํ เอกํเสเนว ปฎิปฺปสฺสมฺภกวิชฺชา โหนฺติเยว ยถา ตํ กุสุมารกวิชฺชานํฯ อตฺตโน ธีตุ อปวาทโมจนตฺถํ ตสฺส ภุชิสฺสกรณํฯ ตสฺสานุรูเป อิสฺสริเย ฐปนตฺถํ อุฬาเร จ นํ ฐาเน ฐเปสิฯ
Undriyissatīti vippakiriyissati, tenāha ‘‘bhijjissatī’’ti. Mante parivattiteti bāhukkhambhakamantassa paṭippassambhakavijjāsaṅkhāte mante ‘‘saro otaratū’’ti parivattite. Evarūpānañhi mantānaṃ ekaṃseneva paṭippassambhakavijjā hontiyeva yathā taṃ kusumārakavijjānaṃ. Attano dhītu apavādamocanatthaṃ tassa bhujissakaraṇaṃ. Tassānurūpe issariye ṭhapanatthaṃ uḷāre ca naṃ ṭhāne ṭhapesi.
ขตฺติยเสฎฺฐภาววณฺณนา
Khattiyaseṭṭhabhāvavaṇṇanā
๒๗๕. สมสฺสาสนตฺถมาห กรุณายโนฺต, น กุลีนภาวทสฺสนตฺถํ, เตนาห ‘‘อถ โข ภควา’’ติอาทิฯ พฺราหฺมเณสูติ พฺราหฺมณานํ สมีเป, ตโต พฺราหฺมเณหิ ลทฺธพฺพํ อาสนาทิํ สนฺธาย ‘‘พฺราหฺมณานํ อนฺตเร’’ติ วุตฺตํฯ เกวลํ สทฺธาย กาตพฺพํ สทฺธํ, ปรโลกคเต สนฺธาย น ตโต กิญฺจิ อปเตฺถเนฺตน กาตพฺพนฺติ อโตฺถ, เตนาห ‘‘มตเก อุทฺทิสฺส กตภเตฺต’’ติฯ มงฺคลาทิภเตฺตติ อาทิ-สเทฺทน อุสฺสวเทวตาราธนาทิํ สงฺคณฺหาติฯ ยญฺญภเตฺตติ ปาปสญฺญมาทิวเสน กตภเตฺตฯ ปาหุนกานนฺติ อติถีนํฯ ขตฺติยภาวํ อปฺปโตฺต อุภโต สุชาตตาภาวโต, เตนาห ‘‘อปริสุโทฺธติ อโตฺถ’’ติฯ
275. Samassāsanatthamāha karuṇāyanto, na kulīnabhāvadassanatthaṃ, tenāha ‘‘atha kho bhagavā’’tiādi. Brāhmaṇesūti brāhmaṇānaṃ samīpe, tato brāhmaṇehi laddhabbaṃ āsanādiṃ sandhāya ‘‘brāhmaṇānaṃ antare’’ti vuttaṃ. Kevalaṃ saddhāya kātabbaṃ saddhaṃ, paralokagate sandhāya na tato kiñci apatthentena kātabbanti attho, tenāha ‘‘matake uddissa katabhatte’’ti. Maṅgalādibhatteti ādi-saddena ussavadevatārādhanādiṃ saṅgaṇhāti. Yaññabhatteti pāpasaññamādivasena katabhatte. Pāhunakānanti atithīnaṃ. Khattiyabhāvaṃ appatto ubhato sujātatābhāvato, tenāha ‘‘aparisuddhoti attho’’ti.
๒๗๖. อิตฺถิํ กริตฺวาติ เอตฺถ กรณํ กิริยาสามญฺญวิสยนฺติ อาห ‘‘อิตฺถิํ ปริเยสิตฺวา’’ติฯ พฺราหฺมณกญฺญํ อิตฺถิํ ขตฺติยกุมารสฺส ภริยาภูตํ คเหตฺวาปิ ขตฺติยาว เสฎฺฐา, หีนา พฺราหฺมณาติ โยชนาฯ ปุริเสน วา ปุริสํ กริตฺวาติ เอตฺถาปิ เอเสว นโยฯ ปกรเณติ ราคาทิวเสน ปทุเฎฺฐ ปกฺขลิเต การเณ, เตนาห ‘‘โทเส’’ติฯ ภสฺสติ นิรตฺถกภาเวน ขิปียตีติ ภสฺสํ, ฉาริกาฯ
276.Itthiṃ karitvāti ettha karaṇaṃ kiriyāsāmaññavisayanti āha ‘‘itthiṃ pariyesitvā’’ti. Brāhmaṇakaññaṃ itthiṃ khattiyakumārassa bhariyābhūtaṃ gahetvāpi khattiyāva seṭṭhā, hīnā brāhmaṇāti yojanā. Purisena vā purisaṃ karitvāti etthāpi eseva nayo. Pakaraṇeti rāgādivasena paduṭṭhe pakkhalite kāraṇe, tenāha ‘‘dose’’ti. Bhassati niratthakabhāvena khipīyatīti bhassaṃ, chārikā.
๒๗๗. ชนิตสฺมินฺติ กมฺมกิเลเสหิ นิพฺพเตฺตฯ ชเน เอตสฺมินฺติ วา ชเนตสฺมิํ, มนุเสฺสสูติ อโตฺถ, เตนาห ‘‘โคตฺตปฎิสาริโน’’ติฯ สํสนฺทิตฺวาติ ฆเฎตฺวา, อวิรุทฺธํ กตฺวาติ อโตฺถฯ
277.Janitasminti kammakilesehi nibbatte. Jane etasminti vā janetasmiṃ, manussesūti attho, tenāha ‘‘gottapaṭisārino’’ti. Saṃsanditvāti ghaṭetvā, aviruddhaṃ katvāti attho.
ปฐมภาณวารวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Paṭhamabhāṇavāravaṇṇanā niṭṭhitā.
วิชฺชาจรณกถาวณฺณนา
Vijjācaraṇakathāvaṇṇanā
๒๗๘. อิทํ วฎฺฎตีติ อิทํ อเชฺฌนาทิ กตฺตุํ ลพฺภติฯ ชาติวาทวินิพทฺธาติ ชาติสนฺนิสฺสิตวาเท วินิพทฺธาฯ พฺราหฺมณเสฺสว อเชฺฌนชฺฌาปนยชนยาชนาทโยติ เอวํ เย อตฺตุกฺกํสนปรวมฺภนวเสน ปวตฺตา, ตโต เอว เต มานวาทปฎิพทฺธา จ โหนฺติฯ เย ปน อาวาหวิวาหวินิพทฺธา, เต เอว สมฺพนฺธตฺตยวเสน ‘‘อรหสิ วา มํ ตฺวํ, น วา มํ ตฺวํ อรหสี’’ติ เอวํ ปวตฺตนกาฯ
278.Idaṃ vaṭṭatīti idaṃ ajjhenādi kattuṃ labbhati. Jātivādavinibaddhāti jātisannissitavāde vinibaddhā. Brāhmaṇasseva ajjhenajjhāpanayajanayājanādayoti evaṃ ye attukkaṃsanaparavambhanavasena pavattā, tato eva te mānavādapaṭibaddhā ca honti. Ye pana āvāhavivāhavinibaddhā, te eva sambandhattayavasena ‘‘arahasi vā maṃ tvaṃ, na vā maṃ tvaṃ arahasī’’ti evaṃ pavattanakā.
ยตฺถาติ ยสฺสํ วิชฺชาจรณสมฺปตฺติยํฯ ลคฺคิสฺสามาติ โอลคฺคา อโนฺตคธา ภวิสฺสามาติ จินฺตยิมฺหฯ ปรมตฺถโต อวิชฺชาจรณานิเยว ‘‘วิชฺชาจรณานี’’ติ คเหตฺวา ฐิโต ปรมตฺถโต วิชฺชาจรเณสุ วิภชิยมาเนสุ โส ตโต ทูรโต อปนีโต นาม โหตีติ อาห ‘‘ทูรเมว อวกฺขิปี’’ติฯ สมุทาคมโต ปภุตีติอาทิสมุฎฺฐานโต ปฎฺฐายฯ
Yatthāti yassaṃ vijjācaraṇasampattiyaṃ. Laggissāmāti olaggā antogadhā bhavissāmāti cintayimha. Paramatthato avijjācaraṇāniyeva ‘‘vijjācaraṇānī’’ti gahetvā ṭhito paramatthato vijjācaraṇesu vibhajiyamānesu so tato dūrato apanīto nāma hotīti āha ‘‘dūrameva avakkhipī’’ti. Samudāgamato pabhutītiādisamuṭṭhānato paṭṭhāya.
๒๗๙. ติวิธํ สีลนฺติ ขุทฺทกาทิเภทํ ติวิธํ สีลํฯ สีลวเสเนวาติ สีลปริยาเยเนวฯ กิญฺจิ กิญฺจีติ อหิํสนาทิยมนิยมลกฺขณํ กิญฺจิ กิญฺจิ สีลํ อตฺถิฯ ตตฺถ ตเตฺถว ลเคฺคยฺยาติ ตสฺมิํ ตสฺมิํเยว พฺราหฺมณสมยสิเทฺธ สีลมเตฺต ‘‘จรณ’’นฺติ ลเคฺคยฺยฯ อฎฺฐปิ สมาปตฺติโย จรณนฺติ นิยฺยาติตา โหนฺติ รูปาวจรจตุตฺถชฺฌานนิเทฺทเสเนว อรูปชฺฌานานมฺปิ นิทฺทิฎฺฐภาวาปตฺติโต นิยฺยาติตา นิทสฺสิตาฯ
279. Tividhaṃ sīlanti khuddakādibhedaṃ tividhaṃ sīlaṃ. Sīlavasenevāti sīlapariyāyeneva. Kiñci kiñcīti ahiṃsanādiyamaniyamalakkhaṇaṃ kiñci kiñci sīlaṃ atthi. Tattha tattheva laggeyyāti tasmiṃ tasmiṃyeva brāhmaṇasamayasiddhe sīlamatte ‘‘caraṇa’’nti laggeyya. Aṭṭhapi samāpattiyo caraṇanti niyyātitā honti rūpāvacaracatutthajjhānaniddeseneva arūpajjhānānampi niddiṭṭhabhāvāpattito niyyātitā nidassitā.
จตุอปายมุขกถาวณฺณนา
Catuapāyamukhakathāvaṇṇanā
๒๘๐. อสมฺปาปุณโนฺตติ อารภิตฺวา สมฺปตฺตุํ อสโกฺกโนฺตฯ อวิสหมาโนติ อารภิตุเมว อสโกฺกโนฺตฯ ขารินฺติ ปริกฺขารํฯ ตํ ปน วิภชิตฺวา ทเสฺสตุํ ‘‘อรณี’’ติอาทิ วุตฺตํฯ ตตฺถ อรณีติ อคฺคิธมนกํ อรณีทฺวยํฯ สุชาติ ทพฺพิฯ อาทิ-สเทฺทน ติทณฺฑติฆฎิกาทิํ สงฺคณฺหาติ ขาริภริตนฺติ ขารีหิ ปุณฺณํฯ นนุ อุปสมฺปนฺนสฺส ภิกฺขุโน สาสนิโกปิ โย โกจิ อนุปสมฺปโนฺน อตฺถโต ปริจารโกว, กิํ องฺคํ ปน พาหิรกปพฺพชิเตติ ตตฺถ วิเสสํ ทเสฺสตุํ ‘‘กามญฺจา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ วุตฺตนเยนาติ ‘‘กปฺปิยกรณ…เป.… วตฺตกรณวเสนา’’ติ เอวํ วุเตฺตน นเยนฯ ปริจารโก โหติ อุปสมฺปนฺนภาวสฺส วิสิฎฺฐภาวโตฯ ‘‘นวโกฎิสหสฺสานี’’ติอาทินา (วิสุทฺธิ. ๑.๒๐; ปฎิ. ม. อฎฺฐ. ๓๗) วุตฺตปฺปเภทานํ อเนกสหสฺสานํ สํวรวินยานํ สมาทิยิตฺวา วตฺตเนน อุปริภูตา อคฺคภูตา สมฺปทาติ หิ ‘‘อุปสมฺปทา’’ติ วุจฺจตีติฯ คุณาธิโกปีติ คุเณหิ อุกฺกโฎฺฐปิฯ อยํ ปนาติ วุตฺตลกฺขโณ ตาปโสฯ
280.Asampāpuṇantoti ārabhitvā sampattuṃ asakkonto. Avisahamānoti ārabhitumeva asakkonto. Khārinti parikkhāraṃ. Taṃ pana vibhajitvā dassetuṃ ‘‘araṇī’’tiādi vuttaṃ. Tattha araṇīti aggidhamanakaṃ araṇīdvayaṃ. Sujāti dabbi. Ādi-saddena tidaṇḍatighaṭikādiṃ saṅgaṇhāti khāribharitanti khārīhi puṇṇaṃ. Nanu upasampannassa bhikkhuno sāsanikopi yo koci anupasampanno atthato paricārakova, kiṃ aṅgaṃ pana bāhirakapabbajiteti tattha visesaṃ dassetuṃ ‘‘kāmañcā’’tiādi vuttaṃ. Vuttanayenāti ‘‘kappiyakaraṇa…pe… vattakaraṇavasenā’’ti evaṃ vuttena nayena. Paricārako hoti upasampannabhāvassa visiṭṭhabhāvato. ‘‘Navakoṭisahassānī’’tiādinā (visuddhi. 1.20; paṭi. ma. aṭṭha. 37) vuttappabhedānaṃ anekasahassānaṃ saṃvaravinayānaṃ samādiyitvā vattanena uparibhūtā aggabhūtā sampadāti hi ‘‘upasampadā’’ti vuccatīti. Guṇādhikopīti guṇehi ukkaṭṭhopi. Ayaṃ panāti vuttalakkhaṇo tāpaso.
ตาปสา นาม กมฺมวาทิกิริยาวาทิโน, น สาสนสฺส ปฎาณีภูตา, ยโต เนสํ ปพฺพชิตุํ อาคตานํ ติตฺถิยปริวาเสน วินาว ปพฺพชฺชา อนุญฺญาตาติ กตฺวา ‘‘กสฺมา ปนา’’ติ โจทนํ สมุฎฺฐเปติ โจทโกฯ อาจริโย ‘‘ยสฺมา’’ติอาทินา โจทนํ ปริหรติฯ ‘‘โอสกฺกิสฺสตี’’ติ สเงฺขปโต วุตฺตมตฺถํ วิวริตุํ ‘‘อิมสฺมิญฺหี’’ติอาทิ วุตฺตํฯ ขุรธารูปมนฺติ ขุรธารานํ มตฺถเกเนว อกฺกมิตฺวา คมนูปมํฯ อเญฺญติ อเญฺญ ภิกฺขูฯ อคฺคิสาลนฺติ อคฺคิหุตฺตสาลํฯ นานาทารูหีติ ปลาสทณฺฑาทินานาวิธสมิธาทารูหิฯ
Tāpasā nāma kammavādikiriyāvādino, na sāsanassa paṭāṇībhūtā, yato nesaṃ pabbajituṃ āgatānaṃ titthiyaparivāsena vināva pabbajjā anuññātāti katvā ‘‘kasmā panā’’ti codanaṃ samuṭṭhapeti codako. Ācariyo ‘‘yasmā’’tiādinā codanaṃ pariharati. ‘‘Osakkissatī’’ti saṅkhepato vuttamatthaṃ vivarituṃ ‘‘imasmiñhī’’tiādi vuttaṃ. Khuradhārūpamanti khuradhārānaṃ matthakeneva akkamitvā gamanūpamaṃ. Aññeti aññe bhikkhū. Aggisālanti aggihuttasālaṃ. Nānādārūhīti palāsadaṇḍādinānāvidhasamidhādārūhi.
อิทนฺติ ‘‘จตุทฺวารํ อาคารํ กตฺวา’’ติอาทินา วุตฺตํฯ อสฺสาติ อสฺส จตุตฺถสฺส ปุคฺคลสฺสฯ ปฎิปตฺติมุขนฺติ โกหญฺญปฎิปตฺติยา มุขมตฺตํฯ โส หิ นานาวิเธน โกหเญฺญน โลกํ วิมฺหาเปโนฺต ตตฺถ อจฺฉติ, เตนาห ‘‘อิมินา หิ มุเขน โส เอวํ ปฎิปชฺชตี’’ติฯ
Idanti ‘‘catudvāraṃ āgāraṃ katvā’’tiādinā vuttaṃ. Assāti assa catutthassa puggalassa. Paṭipattimukhanti kohaññapaṭipattiyā mukhamattaṃ. So hi nānāvidhena kohaññena lokaṃ vimhāpento tattha acchati, tenāha ‘‘iminā hi mukhena so evaṃ paṭipajjatī’’ti.
ขลาทีสุ มนุสฺสานํ สนฺติเก อุปติฎฺฐิตฺวา วีหิมุคฺคติลมาสาทีนิ ภิกฺขาจริยานิยาเมน สงฺกฑฺฒิตฺวา อุญฺฉนํ อุญฺฉา, สา เอว จริยา วุตฺติ เอเตสนฺติ อุญฺฉาจริยาฯ อคฺคิปเกฺกน ชีวนฺตีติ อคฺคิปกฺกิกา, น อคฺคิปกฺกิกา อนคฺคิปกฺกิกา ฯ อุญฺฉาจริยา หิ ขเลสุ คนฺตฺวา ขลคฺคํ นาม มนุเสฺสหิ ทิยฺยมานํ ธญฺญํ คณฺหนฺติ, ตํ อิเม น คณฺหนฺตีติ อนคฺคิปกฺกิกา นาม ชาตาฯ อสามปากาติ อสยํปาจกาฯ อสฺมมุฎฺฐินา มุฎฺฐิปาสาเณน วตฺตนฺตีติ อสฺมมุฎฺฐิกาฯ ทเนฺตน อุปฺปาฎิตํ วกฺกลํ รุกฺขตฺตโจ ทนฺตวกฺกลํ, เตน วตฺตนฺตีติ ทนฺตวกฺกลิกาฯ ปวตฺตํ รุกฺขาทิโต ปาติตํ ผลํ ภุญฺชนฺตีติ ปวตฺตผลโภชิโนฯ ชิณฺณปกฺกตาย ปณฺฑุภูตํ ปลาสํ, ตํสทิสญฺจ ปณฺฑุปลาสํ, เตน วตฺตนฺตีติ ปณฺฑุปลาสิกา, สยํปติตปุปฺผผลปตฺตโภชิโนฯ
Khalādīsu manussānaṃ santike upatiṭṭhitvā vīhimuggatilamāsādīni bhikkhācariyāniyāmena saṅkaḍḍhitvā uñchanaṃ uñchā, sā eva cariyā vutti etesanti uñchācariyā. Aggipakkena jīvantīti aggipakkikā, na aggipakkikā anaggipakkikā. Uñchācariyā hi khalesu gantvā khalaggaṃ nāma manussehi diyyamānaṃ dhaññaṃ gaṇhanti, taṃ ime na gaṇhantīti anaggipakkikā nāma jātā. Asāmapākāti asayaṃpācakā. Asmamuṭṭhinā muṭṭhipāsāṇena vattantīti asmamuṭṭhikā. Dantena uppāṭitaṃ vakkalaṃ rukkhattaco dantavakkalaṃ, tena vattantīti dantavakkalikā. Pavattaṃ rukkhādito pātitaṃ phalaṃ bhuñjantīti pavattaphalabhojino. Jiṇṇapakkatāya paṇḍubhūtaṃ palāsaṃ, taṃsadisañca paṇḍupalāsaṃ, tena vattantīti paṇḍupalāsikā, sayaṃpatitapupphaphalapattabhojino.
อิทานิ เต อฎฺฐวิเธปิ สรูปโต ทเสฺสตุํ ‘‘ตตฺถา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ สงฺกฑฺฒิตฺวาติ ภิกฺขาจริยาวเสน ลทฺธธญฺญํ เอกชฺฌํ กตฺวาฯ
Idāni te aṭṭhavidhepi sarūpato dassetuṃ ‘‘tatthā’’tiādi vuttaṃ. Saṅkaḍḍhitvāti bhikkhācariyāvasena laddhadhaññaṃ ekajjhaṃ katvā.
ปริเยฎฺฐิ นาม ทุกฺขาติ ปเรสํ เคหโต เคหํ คนฺตฺวา ปริเยฎฺฐิ นาม ทีนวุตฺติภาเวน ทุกฺขาฯ ปาสาณสฺส ปริคฺคโห ทุโกฺข ปพฺพชิตสฺสาติ วา ทเนฺตเหว อุปฺปาเฎตฺวา ขาทนฺติฯ
Pariyeṭṭhi nāma dukkhāti paresaṃ gehato gehaṃ gantvā pariyeṭṭhi nāma dīnavuttibhāvena dukkhā. Pāsāṇassa pariggaho dukkho pabbajitassāti vā danteheva uppāṭetvā khādanti.
อิมาหิ จตูหิเยวาติ ‘‘ขาริวิธํ อาทายา’’ติอาทินา วุตฺตาหิ จตูหิ เอว ตาปสปพฺพชฺชาหีติฯ
Imāhi catūhiyevāti ‘‘khārividhaṃ ādāyā’’tiādinā vuttāhi catūhi eva tāpasapabbajjāhīti.
๒๘๒. อปาเย วินาเส นิยุโตฺต อาปายิโกฯ ตพฺภาวํ ปริปูเรตุํ อสโกฺกโนฺต เตน อปริปุโณฺณ อปริปูรมาโน , กรเณ เจตํ ปจฺจตฺตวจนํ, เตนาห ‘‘อาปายิเกนาปิ อปริปูรมาเนนา’’ติฯ
282. Apāye vināse niyutto āpāyiko. Tabbhāvaṃ paripūretuṃ asakkonto tena aparipuṇṇo aparipūramāno, karaṇe cetaṃ paccattavacanaṃ, tenāha ‘‘āpāyikenāpi aparipūramānenā’’ti.
ปุพฺพกอิสิภาวานุโยควณฺณนา
Pubbakaisibhāvānuyogavaṇṇanā
๒๘๓. ทียตีติ ทตฺติ, ทตฺติเยว ทตฺติกนฺติ อาห ‘‘ทินฺนก’’นฺติฯ ยทิ พฺราหฺมณสฺส สมฺมุขีภาโว รโญฺญ น ทาตโพฺพ, กสฺมาสฺส อุปสงฺกมนํ น ปฎิกฺขิตฺตนฺติ อาห ‘‘ยสฺมา ปนา’’ติอาทิฯ เขตฺตวิชฺชายาติ นีติสเตฺถฯ ปยาตนฺติ สทฺธํ, สสฺสติกํ วา, เตนาห ‘‘อภิหริตฺวา ทินฺน’’นฺติฯ กสฺมา ภควา ‘‘รโญฺญ ปเสนทิสฺส โกสลสฺส ทตฺติกํ ภุญฺชตี’’ติอาทินา พฺราหฺมณสฺส มมฺมวจนํ อโวจาติ ตตฺถ การณํ ทเสฺสตุํ ‘‘อิทํ ปน การณ’’นฺติอาทิ วุตฺตํฯ
283. Dīyatīti datti, dattiyeva dattikanti āha ‘‘dinnaka’’nti. Yadi brāhmaṇassa sammukhībhāvo rañño na dātabbo, kasmāssa upasaṅkamanaṃ na paṭikkhittanti āha ‘‘yasmā panā’’tiādi. Khettavijjāyāti nītisatthe. Payātanti saddhaṃ, sassatikaṃ vā, tenāha ‘‘abhiharitvā dinna’’nti. Kasmā bhagavā ‘‘rañño pasenadissa kosalassa dattikaṃ bhuñjatī’’tiādinā brāhmaṇassa mammavacanaṃ avocāti tattha kāraṇaṃ dassetuṃ ‘‘idaṃ pana kāraṇa’’ntiādi vuttaṃ.
๒๘๔. รถูปตฺถเรติ รถสฺส อุปริ อตฺถริตปเทเสฯ ปากฎมนฺตนนฺติ ปกาสภูตํ มนฺตนํฯ ตญฺหิ สุทฺทาทีหิ ญายตีติ น รหสฺสมนฺตนํฯ ภณตีติ อปิ นุ ภณติฯ
284.Rathūpatthareti rathassa upari attharitapadese. Pākaṭamantananti pakāsabhūtaṃ mantanaṃ. Tañhi suddādīhi ñāyatīti na rahassamantanaṃ. Bhaṇatīti api nu bhaṇati.
๒๘๕. ปวตฺตาโรติ ปาวจนภาเวน วตฺตาโร, ยสฺมา เต เตสํ มนฺตานํ ปวตฺตกา, ตสฺมา อาห ‘‘ปวตฺตยิตาโร’’ติฯ สุเทฺท พหิ กตฺวา รโห ภาสิตพฺพเฎฺฐน มนฺตา เอว, ตํตํอตฺถปฎิปตฺติเหตุตาย ปทนฺติ มนฺตปทํ, อนุปนีตาสาธารณตาย วา รหสฺสภาเวน วตฺตพฺพํ หิตกิริยาย อธิคมุปายํฯ สชฺฌายิตนฺติ คายนวเสน สชฺฌายิตํ, ตํ ปน อุทตฺตานุทตฺตาทีนํ สรานํ สมฺปาทนวเสเนว อิจฺฉิตนฺติ อาห ‘‘สรสมฺปตฺติวเสนา’’ติฯ อเญฺญสํ วุตฺตนฺติ ปาวจนภาเวน อเญฺญสํ วุตฺตํฯ สมุปพฺยูฬฺหนฺติ สงฺคเหตฺวา อุปรูปริ สญฺญูฬฺหํฯ ราสิกตนฺติ อิรุเวทยชุเวทสามเวทาทิวเสน , ตตฺถาปิ ปเจฺจกํ มนฺตพฺรหฺมาทิวเสน, อชฺฌายานุวากาทิวเสน จ ราสิกตํฯ
285.Pavattāroti pāvacanabhāvena vattāro, yasmā te tesaṃ mantānaṃ pavattakā, tasmā āha ‘‘pavattayitāro’’ti. Sudde bahi katvā raho bhāsitabbaṭṭhena mantā eva, taṃtaṃatthapaṭipattihetutāya padanti mantapadaṃ, anupanītāsādhāraṇatāya vā rahassabhāvena vattabbaṃ hitakiriyāya adhigamupāyaṃ. Sajjhāyitanti gāyanavasena sajjhāyitaṃ, taṃ pana udattānudattādīnaṃ sarānaṃ sampādanavaseneva icchitanti āha ‘‘sarasampattivasenā’’ti. Aññesaṃ vuttanti pāvacanabhāvena aññesaṃ vuttaṃ. Samupabyūḷhanti saṅgahetvā uparūpari saññūḷhaṃ. Rāsikatanti iruvedayajuvedasāmavedādivasena , tatthāpi paccekaṃ mantabrahmādivasena, ajjhāyānuvākādivasena ca rāsikataṃ.
เตสนฺติ มนฺตานํ กตฺตูนํฯ ทิเพฺพน จกฺขุนา โอโลเกตฺวาติ ทิพฺพจกฺขุปริภเณฺฑน ยถากมฺมูปคญาเณน สตฺตานํ กมฺมสฺสกตาทิํ ปจฺจกฺขโต ทสฺสนเฎฺฐน ทิพฺพจกฺขุสทิเสน ปุเพฺพนิวาสญาเณน อตีตกเปฺป พฺราหฺมณานํ มนฺตเชฺฌนวิธิญฺจ โอโลเกตฺวาฯ ปาวจเนน สห สํสนฺทิตฺวาติ กสฺสปสมฺมาสมฺพุทฺธสฺส ยํ วจนํ วฎฺฎสนฺนิสฺสิตํ, เตน สห อวิรุทฺธํ กตฺวาฯ น หิ เตสํ วิวฎฺฎสนฺนิสฺสิโต อโตฺถ ปจฺจโกฺข โหติฯ อปราปเร ปนาติ อฎฺฐกาทีหิ อปรา ปเร ปจฺฉิมา โอกฺกากราชกาลาทีสุ อุปฺปนฺนาฯ ปกฺขิปิตฺวาติ อฎฺฐกาทีหิ คนฺถิตมนฺตปเทสุ กิเลสสนฺนิสฺสิตปทานํ ตตฺถ ตตฺถ ปเท ปกฺขิปนํ กตฺวาฯ วิรุเทฺธ อกํสูติ พฺราหฺมณธมฺมิกสุตฺตาทีสุ อาคตนเยน สํกิเลสิกตฺถทีปนโต ปจฺจนีกภูเต อกํสุฯ อิธาติ ‘‘ตฺยาหํ มเนฺต อธียามี’’ติ เอตสฺมิํ ฐาเนฯ ปฎิญฺญํ อคฺคเหตฺวาติ ‘‘ตํ กิํ มญฺญสี’’ติ เอวํ ปฎิญฺญํ อคฺคเหตฺวาวฯ
Tesanti mantānaṃ kattūnaṃ. Dibbena cakkhunā oloketvāti dibbacakkhuparibhaṇḍena yathākammūpagañāṇena sattānaṃ kammassakatādiṃ paccakkhato dassanaṭṭhena dibbacakkhusadisena pubbenivāsañāṇena atītakappe brāhmaṇānaṃ mantajjhenavidhiñca oloketvā. Pāvacanena saha saṃsanditvāti kassapasammāsambuddhassa yaṃ vacanaṃ vaṭṭasannissitaṃ, tena saha aviruddhaṃ katvā. Na hi tesaṃ vivaṭṭasannissito attho paccakkho hoti. Aparāpare panāti aṭṭhakādīhi aparā pare pacchimā okkākarājakālādīsu uppannā. Pakkhipitvāti aṭṭhakādīhi ganthitamantapadesu kilesasannissitapadānaṃ tattha tattha pade pakkhipanaṃ katvā. Viruddhe akaṃsūti brāhmaṇadhammikasuttādīsu āgatanayena saṃkilesikatthadīpanato paccanīkabhūte akaṃsu. Idhāti ‘‘tyāhaṃ mante adhīyāmī’’ti etasmiṃ ṭhāne. Paṭiññaṃ aggahetvāti ‘‘taṃ kiṃ maññasī’’ti evaṃ paṭiññaṃ aggahetvāva.
๒๘๖. นิรามคนฺธาติ กิเลสาสุจิวเสน วิสฺสคนฺธรหิตาฯ อนิตฺถิคนฺธาติ อิตฺถีนํ คนฺธมตฺตสฺสปิ อวิสหเนน อิตฺถิคนฺธรหิตาฯ เอตฺถ จ ‘‘นิรามคนฺธา’’ติ เอเตน เตสํ โปราณานํ พฺราหฺมณานํ วิกฺขมฺภิตกิเลสตํ ทเสฺสติ, ‘‘อนิตฺถิคนฺธา พฺรหฺมจาริโน’’ติ เอเตน เอกวิหาริตํ, ‘‘รโชชลฺลธรา’’ติ เอเตน มณฺฑนวิภูสนานุโยคาภาวํ, ‘‘อรญฺญายตเน ปพฺพตปาเทสุ วสิํสู’’ติ เอเตน มนุสฺสูปจารํ ปหาย วิวิตฺตวาสํ, ‘‘วนมูลผลาหารา วสิํสู’’ติ เอเตน สาลิมํโสทนาทิปณีตาหารปฎิเกฺขปํ, ‘‘ยทา’’ติอาทินา ยานวาหนปฎิเกฺขปํ, ‘‘สพฺพทิสาสู’’ติอาทินา รกฺขาวรณปฎิเกฺขปํ, เอวญฺจ วทโนฺต มิจฺฉาปฎิปทาปกฺขิกํ สาจริยสฺส อมฺพฎฺฐสฺส วุตฺติํ อุปาทาย สมฺมาปฎิปทาปกฺขิกาปิ เตสํ พฺราหฺมณานํ วุตฺติ อริยวินเย สมฺมาปฎิปตฺติํ อุปาทาย มิจฺฉาปฎิปทาเยวฯ กุตสฺส สเลฺลขปฎิปตฺติยุตฺตตาติฯ ‘‘เอวํ สุเต’’ติอาทินา ภควา อมฺพฎฺฐํ สนฺตเชฺชโนฺต นิคฺคณฺหาตีติ ทเสฺสติฯ
286.Nirāmagandhāti kilesāsucivasena vissagandharahitā. Anitthigandhāti itthīnaṃ gandhamattassapi avisahanena itthigandharahitā. Ettha ca ‘‘nirāmagandhā’’ti etena tesaṃ porāṇānaṃ brāhmaṇānaṃ vikkhambhitakilesataṃ dasseti, ‘‘anitthigandhā brahmacārino’’ti etena ekavihāritaṃ, ‘‘rajojalladharā’’ti etena maṇḍanavibhūsanānuyogābhāvaṃ, ‘‘araññāyatane pabbatapādesu vasiṃsū’’ti etena manussūpacāraṃ pahāya vivittavāsaṃ, ‘‘vanamūlaphalāhārā vasiṃsū’’ti etena sālimaṃsodanādipaṇītāhārapaṭikkhepaṃ, ‘‘yadā’’tiādinā yānavāhanapaṭikkhepaṃ, ‘‘sabbadisāsū’’tiādinā rakkhāvaraṇapaṭikkhepaṃ, evañca vadanto micchāpaṭipadāpakkhikaṃ sācariyassa ambaṭṭhassa vuttiṃ upādāya sammāpaṭipadāpakkhikāpi tesaṃ brāhmaṇānaṃ vutti ariyavinaye sammāpaṭipattiṃ upādāya micchāpaṭipadāyeva. Kutassa sallekhapaṭipattiyuttatāti. ‘‘Evaṃ sute’’tiādinā bhagavā ambaṭṭhaṃ santajjento niggaṇhātīti dasseti.
เวฐเกหีติ เวฐกปฎฺฎกาหิฯ สมนฺตานครนฺติ นครสฺส สมนฺตโตฯ กตสุธากมฺมํ ปาการสฺส อโธภาเค ฐานํ วุจฺจตีติ อธิปฺปาโยฯ
Veṭhakehīti veṭhakapaṭṭakāhi. Samantānagaranti nagarassa samantato. Katasudhākammaṃ pākārassa adhobhāge ṭhānaṃ vuccatīti adhippāyo.
เทฺวลกฺขณทสฺสนวณฺณนา
Dvelakkhaṇadassanavaṇṇanā
๒๘๗. น สโกฺกติสงฺกุจิเต อิริยาปเถ อนวเสสโต เตสํ ทุพฺพิภาวนโตฯ คเวสีติ ญาเณน ปริเยสนมกาสิฯ สมานยีติ ญาเณน สงฺกเลโนฺต สมฺมา อานยิ สมาหริฯ ‘‘กงฺขตี’’ติ ปทสฺส อากงฺขตีติ อยมโตฺถติ อาห ‘‘อโห วต ปเสฺสยฺยนฺติ ปตฺถนํ อุปฺปาเทตี’’ติฯ กิจฺฉตีติ กิลมติฯ ‘‘กงฺขตี’’ติ ปทสฺส ปุเพฺพ อาสิสนตฺถตํ วตฺวา อิทานิสฺส สํสยตฺถตเมว วิกปฺปนฺตรวเสน ทเสฺสโนฺต ‘‘กงฺขาย วา ทุพฺพลา วิมติ วุตฺตา’’ติ อาหฯ ตีหิ ธเมฺมหีติ ติปฺปกาเรหิ สํสยธเมฺมหิฯ กาลุสิยภาโวติ อปฺปสนฺนตาย เหตุภูโต อาวิลภาโวฯ
287.Na sakkotisaṅkucite iriyāpathe anavasesato tesaṃ dubbibhāvanato. Gavesīti ñāṇena pariyesanamakāsi. Samānayīti ñāṇena saṅkalento sammā ānayi samāhari. ‘‘Kaṅkhatī’’ti padassa ākaṅkhatīti ayamatthoti āha ‘‘aho vata passeyyanti patthanaṃ uppādetī’’ti. Kicchatīti kilamati. ‘‘Kaṅkhatī’’ti padassa pubbe āsisanatthataṃ vatvā idānissa saṃsayatthatameva vikappantaravasena dassento ‘‘kaṅkhāya vā dubbalā vimati vuttā’’ti āha. Tīhi dhammehīti tippakārehi saṃsayadhammehi. Kālusiyabhāvoti appasannatāya hetubhūto āvilabhāvo.
ยสฺมา ภควโต โกโสหิตํ สพฺพพุทฺธานํ อาเวณิกํ อเญฺญหิ อสาธารณํ วตฺถคุยฺหํ สุวิสุทฺธกญฺจนมณฺฑลสนฺนิกาสํ, อตฺตโน สณฺฐานสนฺนิเวสสุนฺทรตาย อาชาเนยฺยคนฺธหตฺถิโน วรงฺคปรมจารุภาวํ, วิกสมานตปนิยารวินฺทสมุชฺชลเกสราวตฺตวิลาสํ, สญฺฌาปภานุรญฺชิตชลวนนฺตราภิลกฺขิตสมฺปุณฺณจนฺทมณฺฑลโสภญฺจ อตฺตโน สิริยา อภิภุยฺย วิราชติ, ยํ พาหิรพฺภนฺตรมเลหิ อนุปกฺกิลิฎฺฐตาย, จิรกาลํ สุปริจิตพฺรหฺมจริยาธิการตาย, สุสณฺฐิตสณฺฐานสมฺปตฺติยา จ , โกปีนมฺปิ สนฺตํ อโกปีนเมว, ตสฺมา วุตฺตํ ‘‘ภควโต หี’’ติอาทิฯ ปหูตภาวนฺติ ปุถุลภาวํฯ เอเตฺถว หิ ตสฺส สํสโย, ตนุมุทุสุกุมารตาทีสุ ปนสฺส คุเณสุ วิจารณา เอว นาโหสิฯ
Yasmā bhagavato kosohitaṃ sabbabuddhānaṃ āveṇikaṃ aññehi asādhāraṇaṃ vatthaguyhaṃ suvisuddhakañcanamaṇḍalasannikāsaṃ, attano saṇṭhānasannivesasundaratāya ājāneyyagandhahatthino varaṅgaparamacārubhāvaṃ, vikasamānatapaniyāravindasamujjalakesarāvattavilāsaṃ, sañjhāpabhānurañjitajalavanantarābhilakkhitasampuṇṇacandamaṇḍalasobhañca attano siriyā abhibhuyya virājati, yaṃ bāhirabbhantaramalehi anupakkiliṭṭhatāya, cirakālaṃ suparicitabrahmacariyādhikāratāya, susaṇṭhitasaṇṭhānasampattiyā ca , kopīnampi santaṃ akopīnameva, tasmā vuttaṃ ‘‘bhagavato hī’’tiādi. Pahūtabhāvanti puthulabhāvaṃ. Ettheva hi tassa saṃsayo, tanumudusukumāratādīsu panassa guṇesu vicāraṇā eva nāhosi.
๒๘๘. หิริกรโณกาสนฺติ หิริยิตพฺพฎฺฐานํฯ ฉายนฺติ ปฎิพิมฺพํฯ กถํ กีทิสนฺติ อาห ‘‘อิทฺธิยา’’ติอาทิฯ ฉายารูปกมตฺตนฺติ ภควโต ปฎิพิมฺพรูปํฯ ตญฺจ โข พุทฺธสนฺตานโต วินิมุตฺตตฺตา รูปกมตฺตํ ภควโต สรีรวณฺณสณฺฐานาวยวํ อิทฺธิมยํ พิมฺพกมตฺตํฯ ตํ ปน รูปกมตฺตํ ทเสฺสโนฺต ภควา ยถา อตฺตโน พุทฺธรูปํ น ทิสฺสติ, ตถา กตฺวา ทเสฺสติฯ นิเนฺนตฺวาติ นีหริตฺวาฯ กโลฺลสีติ ปุจฺฉาวิสฺสชฺชเน กุสโล เฉโก อสิฯ ตถากรเณนาติ กถินสูจิํ วิย กรเณนฯ เอตฺถาติ ปหูตชิวฺหายฯ มุทุภาโว ปกาสิโต อมุทุโน ฆนสุขุมภาวาปาทนตฺถํ อสกฺกุเณยฺยตฺตา ทีฆภาโว, ตนุภาโว จาติ ทฎฺฐพฺพํฯ
288.Hirikaraṇokāsanti hiriyitabbaṭṭhānaṃ. Chāyanti paṭibimbaṃ. Kathaṃ kīdisanti āha ‘‘iddhiyā’’tiādi. Chāyārūpakamattanti bhagavato paṭibimbarūpaṃ. Tañca kho buddhasantānato vinimuttattā rūpakamattaṃ bhagavato sarīravaṇṇasaṇṭhānāvayavaṃ iddhimayaṃ bimbakamattaṃ. Taṃ pana rūpakamattaṃ dassento bhagavā yathā attano buddharūpaṃ na dissati, tathā katvā dasseti. Ninnetvāti nīharitvā. Kallosīti pucchāvissajjane kusalo cheko asi. Tathākaraṇenāti kathinasūciṃ viya karaṇena. Etthāti pahūtajivhāya. Mudubhāvo pakāsito amuduno ghanasukhumabhāvāpādanatthaṃ asakkuṇeyyattā dīghabhāvo, tanubhāvo cāti daṭṭhabbaṃ.
๒๙๑. ‘‘อตฺถจรเกนา’’ติ อิมินา พฺยติเรกมุเขน อนตฺถจรกตํเยว วิภาเวติฯ น อญฺญตฺราติ น อญฺญสฺมิํ สุคติยนฺติ อโตฺถฯ อุปเนตฺวา อุปเนตฺวาติ ตํ ตํ โทสํ อุปเนตฺวา อุปเนตฺวา, เตนาห ‘‘สุฎฺฐุทาสาทิภาวํ อาโรเปตฺวา’’ติฯ ปาเตสีติ ปวฎฺฎนวเสน ปาเตสิฯ
291.‘‘Atthacarakenā’’ti iminā byatirekamukhena anatthacarakataṃyeva vibhāveti. Na aññatrāti na aññasmiṃ sugatiyanti attho. Upanetvāupanetvāti taṃ taṃ dosaṃ upanetvā upanetvā, tenāha ‘‘suṭṭhudāsādibhāvaṃ āropetvā’’ti. Pātesīti pavaṭṭanavasena pātesi.
โปกฺขรสาติพุทฺธูปสงฺกมนวณฺณนา
Pokkharasātibuddhūpasaṅkamanavaṇṇanā
๒๙๓-๖. อาคมา นูติ อาคโต นุฯ โขติ นิปาตมตฺตํฯ อิธาติ เอตฺถ, ตุมฺหากํ สนฺติกนฺติ อโตฺถฯ อธิวาเสตูติ สาทิยตุ, ตํ ปน สาทิยนํ มนสา สมฺปฎิคฺคโห โหตีติ อาห ‘‘สมฺปฎิจฺฉตู’’ติฯ
293-6.Āgamā nūti āgato nu. Khoti nipātamattaṃ. Idhāti ettha, tumhākaṃ santikanti attho. Adhivāsetūti sādiyatu, taṃ pana sādiyanaṃ manasā sampaṭiggaho hotīti āha ‘‘sampaṭicchatū’’ti.
๒๙๗. ยาวทตฺถนฺติ ยาว อโตฺถ, ตาว โภชเนน ตทา กตนฺติ อโตฺถฯ โอณิตฺตนฺติ อามิสาปนยเนน สุจิกตํ, เตนาห ‘‘หเตฺถ จ ปตฺตญฺจ โธวิตฺวา’’ติฯ
297.Yāvadatthanti yāva attho, tāva bhojanena tadā katanti attho. Oṇittanti āmisāpanayanena sucikataṃ, tenāha ‘‘hatthe ca pattañca dhovitvā’’ti.
๒๙๘. อนุปุพฺพิํ กถนฺติ อนุปุพฺพํ กเถตพฺพกถํ, เตนาห ‘‘อนุปฎิปาฎิกถ’’นฺติฯ กา ปน สา? ทานาทิกถาติ อาห ‘‘ทานานนฺตรํ สีล’’นฺติอาทิฯ เตน ทานกถา ตาว ปจุรชเนสุปิ ปวตฺติยา สพฺพสาธารณตฺตา, สุกรตฺตา, สีเล ปติฎฺฐานสฺส อุปายภาวโต จ อาทิโต กเถตพฺพาฯ ปริจฺจาคสีโล หิ ปุคฺคโล ปริคฺคหิตวตฺถูสุ นิสฺสงฺคภาวโต สุเขเนว สีลานิ สมาทิยติ, ตตฺถ จ สุปฺปติฎฺฐิโต โหติฯ สีเลน ทายกปฎิคฺคาหกสุทฺธิโต ปรานุคฺคหํ วตฺวา ปรปีฬานิวตฺติวจนโต, กิริยธมฺมํ วตฺวา อกิริยธมฺมวจนโต, โภคสมฺปตฺติเหตุํ วตฺวา ภวสมฺปตฺติเหตุวจนโต จ ทานกถานนฺตรํ สีลกถา กเถตพฺพา, ตเญฺจ ทานสีลํ วฎฺฎนิสฺสิตํ, อยํ ภวสมฺปตฺติ ตสฺส ผลนฺติ ทสฺสนตฺถํ อิเมหิ จ ทานสีลมเยหิ ปณีตปณีตตราทิเภทภิเนฺนหิ ปุญฺญกิริยวตฺถูหิ เอตา จาตุมหาราชิกาทีสุ ปณีตปณีตตราทิเภทภินฺนา อปริเมยฺยา ทิพฺพโภคสมฺปตฺติโย ลทฺธพฺพาติ ทสฺสนตฺถํ ตทนนฺตรํ สคฺคกถาฯ สฺวายํ สโคฺค ราคาทีหิ อุปกฺกิลิโฎฺฐ, สพฺพถานุปกฺกิลิโฎฺฐ อริยมโคฺคติ ทสฺสนตฺถํ สคฺคานนฺตรํ มโคฺค กเถตโพฺพฯ มคฺคญฺจ กเถเนฺตน ตทธิคมุปายสนฺทสฺสนตฺถํ สคฺคปริยาปนฺนาปิ, ปเคว อิตเร สเพฺพปิ กามา นาม พหฺวาทีนวา อนิจฺจา อทฺธุวา วิปริณามธมฺมาติ กามานํ อาทีนโว, หีนา คมฺมา โปถุชฺชนิกา อนริยา อนตฺถสญฺหิตาติ เตสํ โอกาโร ลามกภาโว, สเพฺพปิ ภวา กิเลสานํ วตฺถุภูตาติ ตตฺถ สํกิเลโส, สพฺพสํกิเลสวิปฺปมุตฺตํ นิพฺพานนฺติ เนกฺขเมฺม อานิสํโส จ กเถตโพฺพติ อยมโตฺถ โพธิโตติ เวทิตโพฺพฯ มโคฺคติ เจตฺถ อิติ-สเทฺทน อาทิอตฺถทีปนโต ‘‘กามานํ อาทีนโว’’ติ เอวมาทีนํ สงฺคโหติ เอวมยํ อตฺถวณฺณนา กตาติ เวทิตพฺพาฯ ‘‘ตสฺส อุปฺปตฺติอาการทสฺสนตฺถ’’นฺติ กสฺมา วุตฺตํ, นนุ มคฺคญาณํ อสงฺขตธมฺมารมฺมณํ, น สงฺขตธมฺมารมฺมณนฺติ โจทนํ สนฺธายาห ‘‘ตญฺหี’’ติอาทิฯ ตตฺถ ปฎิวิชฺฌนฺตนฺติ อสโมฺมหปฎิเวธวเสน ปฎิวิชฺฌนฺตํ, เตนาห ‘‘กิจฺจวเสนา’’ติฯ
298.Anupubbiṃ kathanti anupubbaṃ kathetabbakathaṃ, tenāha ‘‘anupaṭipāṭikatha’’nti. Kā pana sā? Dānādikathāti āha ‘‘dānānantaraṃ sīla’’ntiādi. Tena dānakathā tāva pacurajanesupi pavattiyā sabbasādhāraṇattā, sukarattā, sīle patiṭṭhānassa upāyabhāvato ca ādito kathetabbā. Pariccāgasīlo hi puggalo pariggahitavatthūsu nissaṅgabhāvato sukheneva sīlāni samādiyati, tattha ca suppatiṭṭhito hoti. Sīlena dāyakapaṭiggāhakasuddhito parānuggahaṃ vatvā parapīḷānivattivacanato, kiriyadhammaṃ vatvā akiriyadhammavacanato, bhogasampattihetuṃ vatvā bhavasampattihetuvacanato ca dānakathānantaraṃ sīlakathā kathetabbā, tañce dānasīlaṃ vaṭṭanissitaṃ, ayaṃ bhavasampatti tassa phalanti dassanatthaṃ imehi ca dānasīlamayehi paṇītapaṇītatarādibhedabhinnehi puññakiriyavatthūhi etā cātumahārājikādīsu paṇītapaṇītatarādibhedabhinnā aparimeyyā dibbabhogasampattiyo laddhabbāti dassanatthaṃ tadanantaraṃ saggakathā. Svāyaṃ saggo rāgādīhi upakkiliṭṭho, sabbathānupakkiliṭṭho ariyamaggoti dassanatthaṃ saggānantaraṃ maggo kathetabbo. Maggañca kathentena tadadhigamupāyasandassanatthaṃ saggapariyāpannāpi, pageva itare sabbepi kāmā nāma bahvādīnavā aniccā addhuvā vipariṇāmadhammāti kāmānaṃ ādīnavo, hīnā gammā pothujjanikā anariyā anatthasañhitāti tesaṃ okāro lāmakabhāvo, sabbepi bhavā kilesānaṃ vatthubhūtāti tattha saṃkileso, sabbasaṃkilesavippamuttaṃ nibbānanti nekkhamme ānisaṃso ca kathetabboti ayamattho bodhitoti veditabbo. Maggoti cettha iti-saddena ādiatthadīpanato ‘‘kāmānaṃ ādīnavo’’ti evamādīnaṃ saṅgahoti evamayaṃ atthavaṇṇanā katāti veditabbā. ‘‘Tassa uppattiākāradassanattha’’nti kasmā vuttaṃ, nanu maggañāṇaṃ asaṅkhatadhammārammaṇaṃ, na saṅkhatadhammārammaṇanti codanaṃ sandhāyāha ‘‘tañhī’’tiādi. Tattha paṭivijjhantanti asammohapaṭivedhavasena paṭivijjhantaṃ, tenāha ‘‘kiccavasenā’’ti.
โปกฺขรสาติอุปาสกตฺตปฎิเวทนากถาวณฺณนา
Pokkharasātiupāsakattapaṭivedanākathāvaṇṇanā
๒๙๙. เอตฺถ จ ‘‘ทิฎฺฐธโมฺม’’ติอาทิ ปาฬิยํ ทสฺสนํ นาม ญาณทสฺสนโต อญฺญมฺปิ อตฺถิ, ตนฺนิวตฺตนตฺถํ ‘‘ปตฺตธโมฺม’’ติ วุตฺตํฯ ปตฺติ จ ญาณสมฺปตฺติโต อญฺญมฺปิ วิชฺชตีติ ตโต วิเสสทสฺสนตฺถํ ‘‘วิทิตธโมฺม’’ติ วุตฺตํฯ สา ปเนสา วิทิตธมฺมตา เอกเทสโตปิ โหตีติ นิปฺปเทสโต วิทิตภาวํ ทเสฺสตุํ ‘‘ปริโยคาฬฺหธโมฺม’’ติ วุตฺตํฯ เตนสฺส สจฺจาภิสโมฺพธํเยว ทีเปติฯ มคฺคญาณญฺหิ เอกาภิสมยวเสน ปริญฺญาทิกิจฺจํ สาเธนฺตํ นิปฺปเทเสน จตุสจฺจธมฺมํ สมนฺตโต โอคาฬฺหํ นาม โหติ, เตนาห ‘‘ทิโฎฺฐ อริยสจฺจธโมฺม เอเตนาติ ทิฎฺฐธโมฺม’’ติฯ ติณฺณา วิจิกิจฺฉาติ สปฺปฎิภยกนฺตารสทิสา โสฬสวตฺถุกา, อฎฺฐวตฺถุกา จ ติณฺณา วิติณฺณา วิจิกิจฺฉาฯ วิคตา กถงฺกถาติ ปวตฺติอาทีสุฯ ‘‘เอวํ นุ โข, น นุ โข’’ติ เอวํ ปวตฺติกา วิคตา สมุจฺฉินฺนา กถงฺกถาฯ เวสารชฺชปฺปโตฺตติ สารชฺชกรานํ ปาปธมฺมานํ ปหีนตฺตา, ตปฺปฎิปเกฺขสุ จ สีลาทิคุเณสุ สุปฺปติฎฺฐิตตฺตา เวสารชฺชํ วิสารทภาวํ เวยฺยตฺติยํ ปโตฺต อธิคโตฯ สายํ เวสารชฺชปฺปตฺติ สุปฺปติฎฺฐิตภาโวติ กตฺวา อาห ‘‘สตฺถุสาสเน’’ติฯ อตฺตนา ปจฺจกฺขโต ทิฎฺฐตฺตา อธิคตตฺตา น ปรํ ปเจฺจติ, น ตสฺส ปโร ปเจฺจตโพฺพ อตฺถีติ อปรปฺปจฺจโยฯ ยํ ปเนตฺถ วตฺตพฺพํ อวุตฺตํ, ตํ ปรโต อาคมิสฺสติฯ เสสํ สุวิเญฺญยฺยเมวฯ
299. Ettha ca ‘‘diṭṭhadhammo’’tiādi pāḷiyaṃ dassanaṃ nāma ñāṇadassanato aññampi atthi, tannivattanatthaṃ ‘‘pattadhammo’’ti vuttaṃ. Patti ca ñāṇasampattito aññampi vijjatīti tato visesadassanatthaṃ ‘‘viditadhammo’’ti vuttaṃ. Sā panesā viditadhammatā ekadesatopi hotīti nippadesato viditabhāvaṃ dassetuṃ ‘‘pariyogāḷhadhammo’’ti vuttaṃ. Tenassa saccābhisambodhaṃyeva dīpeti. Maggañāṇañhi ekābhisamayavasena pariññādikiccaṃ sādhentaṃ nippadesena catusaccadhammaṃ samantato ogāḷhaṃ nāma hoti, tenāha ‘‘diṭṭho ariyasaccadhammo etenāti diṭṭhadhammo’’ti. Tiṇṇā vicikicchāti sappaṭibhayakantārasadisā soḷasavatthukā, aṭṭhavatthukā ca tiṇṇā vitiṇṇā vicikicchā. Vigatā kathaṅkathāti pavattiādīsu. ‘‘Evaṃ nu kho, na nu kho’’ti evaṃ pavattikā vigatā samucchinnā kathaṅkathā. Vesārajjappattoti sārajjakarānaṃ pāpadhammānaṃ pahīnattā, tappaṭipakkhesu ca sīlādiguṇesu suppatiṭṭhitattā vesārajjaṃ visāradabhāvaṃ veyyattiyaṃ patto adhigato. Sāyaṃ vesārajjappatti suppatiṭṭhitabhāvoti katvā āha ‘‘satthusāsane’’ti. Attanā paccakkhato diṭṭhattā adhigatattā na paraṃ pacceti, na tassa paro paccetabbo atthīti aparappaccayo. Yaṃ panettha vattabbaṃ avuttaṃ, taṃ parato āgamissati. Sesaṃ suviññeyyameva.
อมฺพฎฺฐสุตฺตวณฺณนาย ลีนตฺถปฺปกาสนาฯ
Ambaṭṭhasuttavaṇṇanāya līnatthappakāsanā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ทีฆนิกาย • Dīghanikāya / ๓. อมฺพฎฺฐสุตฺตํ • 3. Ambaṭṭhasuttaṃ
อฎฺฐกถา • Aṭṭhakathā / สุตฺตปิฎก (อฎฺฐกถา) • Suttapiṭaka (aṭṭhakathā) / ทีฆ นิกาย (อฎฺฐกถา) • Dīgha nikāya (aṭṭhakathā) / ๓. อมฺพฎฺฐสุตฺตวณฺณนา • 3. Ambaṭṭhasuttavaṇṇanā