Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / เปตวตฺถุ-อฎฺฐกถา • Petavatthu-aṭṭhakathā |
๑๒. อมฺพวนเปตวตฺถุวณฺณนา
12. Ambavanapetavatthuvaṇṇanā
อยญฺจ เต โปกฺขรณี สุรมฺมาติ อิทํ สตฺถริ สาวตฺถิยํ วิหรเนฺต อมฺพเปตํ อารพฺภ วุตฺตํ ฯ สาวตฺถิยํ กิร อญฺญตโร คหปติ ปริกฺขีณโภโค อโหสิฯ ตสฺส ภริยา กาลมกาสิ, เอกา ธีตาเยว โหติฯ โส ตํ อตฺตโน มิตฺตสฺส เคเห ฐเปตฺวา อิณวเสน คหิเตน กหาปณสเตน ภณฺฑํ คเหตฺวา สเตฺถน สทฺธิํ วณิชฺชาย คโต, น จิเรเนว มูเลน สห อุทยภูตานิ ปญฺจ กหาปณสตานิ ลภิตฺวา สเตฺถน สห ปฎินิวตฺติฯ อนฺตรามเคฺค โจรา ปริยุฎฺฐาย สตฺถํ ปาปุณิํสุ, สตฺถิกา อิโต จิโต จ ปลายิํสุฯ โส ปน คหปติ อญฺญตรสฺมิํ คเจฺฉ กหาปเณ นิกฺขิปิตฺวา อวิทูเร นิลียิฯ โจรา ตํ คเหตฺวา ชีวิตา โวโรเปสุํฯ โส ธนโลเภน ตเตฺถว เปโต หุตฺวา นิพฺพตฺติฯ
Ayañca te pokkharaṇī surammāti idaṃ satthari sāvatthiyaṃ viharante ambapetaṃ ārabbha vuttaṃ . Sāvatthiyaṃ kira aññataro gahapati parikkhīṇabhogo ahosi. Tassa bhariyā kālamakāsi, ekā dhītāyeva hoti. So taṃ attano mittassa gehe ṭhapetvā iṇavasena gahitena kahāpaṇasatena bhaṇḍaṃ gahetvā satthena saddhiṃ vaṇijjāya gato, na cireneva mūlena saha udayabhūtāni pañca kahāpaṇasatāni labhitvā satthena saha paṭinivatti. Antarāmagge corā pariyuṭṭhāya satthaṃ pāpuṇiṃsu, satthikā ito cito ca palāyiṃsu. So pana gahapati aññatarasmiṃ gacche kahāpaṇe nikkhipitvā avidūre nilīyi. Corā taṃ gahetvā jīvitā voropesuṃ. So dhanalobhena tattheva peto hutvā nibbatti.
วาณิชา สาวตฺถิํ คนฺตฺวา ตสฺส ธีตุยา ตํ ปวตฺติํ อาโรเจสุํฯ สา ปิตุ มรเณน อาชีวิกาภเยน จ อติวิย สญฺชาตโทมนสฺสา พาฬฺหํ ปริเทวิฯ อถ นํ โส ปิตุ สหาโย กุฎุมฺพิโก ‘‘ยถา นาม กุลาลภาชนํ สพฺพํ เภทนปริยนฺตํ, เอวเมว สตฺตานํ ชีวิตํ เภทนปริยนฺตํฯ มรณํ นาม สพฺพสาธารณํ อปฺปฎิการญฺจ, ตสฺมา มา ตฺวํ ปิตริ อติพาฬฺหํ โสจิ, มา ปริเทวิ, อหํ เต ปิตา, ตฺวํ มยฺหํ ธีตา, อหํ ตว ปิตุ กิจฺจํ กโรมิ, ตฺวํ ปิตุโน เคเห วิย อิมสฺมิํ เคเห อวิมนา อภิรมสฺสู’’ติ วตฺวา สมสฺสาเสสิฯ สา ตสฺส วจเนน ปฎิปฺปสฺสทฺธโสกา ปิตริ วิย ตสฺมิํ สญฺชาตคารวพหุมานา อตฺตโน กปณภาเวน ตสฺส เวยฺยาวจฺจการินี หุตฺวา วตฺตมานา ปิตรํ อุทฺทิสฺส มตกิจฺจํ กาตุกามา ยาคุํ ปจิตฺวา มโนสิลาวณฺณานิ สุปริปกฺกานิ มธุรานิ อมฺพผลานิ กํสปาติยํ ฐเปตฺวา ยาคุํ อมฺพผลานิ จ ทาสิยา คาหาเปตฺวา วิหารํ คนฺตฺวา สตฺถารํ วนฺทิตฺวา เอวมาห – ‘‘ภควา มยฺหํ ทกฺขิณาย ปฎิคฺคหเณน อนุคฺคหํ กโรถา’’ติฯ สตฺถา มหากรุณาย สโญฺจทิตมานโส ตสฺสา มโนรถํ ปูเรโนฺต นิสชฺชาการํ ทเสฺสสิฯ สา หฎฺฐตุฎฺฐา ปญฺญตฺตวรพุทฺธาสเน อตฺตนา อุปนีตํ สุวิสุทฺธวตฺถํ อตฺถริตฺวา อทาสิ, นิสีทิ ภควา ปญฺญเตฺต อาสเนฯ
Vāṇijā sāvatthiṃ gantvā tassa dhītuyā taṃ pavattiṃ ārocesuṃ. Sā pitu maraṇena ājīvikābhayena ca ativiya sañjātadomanassā bāḷhaṃ paridevi. Atha naṃ so pitu sahāyo kuṭumbiko ‘‘yathā nāma kulālabhājanaṃ sabbaṃ bhedanapariyantaṃ, evameva sattānaṃ jīvitaṃ bhedanapariyantaṃ. Maraṇaṃ nāma sabbasādhāraṇaṃ appaṭikārañca, tasmā mā tvaṃ pitari atibāḷhaṃ soci, mā paridevi, ahaṃ te pitā, tvaṃ mayhaṃ dhītā, ahaṃ tava pitu kiccaṃ karomi, tvaṃ pituno gehe viya imasmiṃ gehe avimanā abhiramassū’’ti vatvā samassāsesi. Sā tassa vacanena paṭippassaddhasokā pitari viya tasmiṃ sañjātagāravabahumānā attano kapaṇabhāvena tassa veyyāvaccakārinī hutvā vattamānā pitaraṃ uddissa matakiccaṃ kātukāmā yāguṃ pacitvā manosilāvaṇṇāni suparipakkāni madhurāni ambaphalāni kaṃsapātiyaṃ ṭhapetvā yāguṃ ambaphalāni ca dāsiyā gāhāpetvā vihāraṃ gantvā satthāraṃ vanditvā evamāha – ‘‘bhagavā mayhaṃ dakkhiṇāya paṭiggahaṇena anuggahaṃ karothā’’ti. Satthā mahākaruṇāya sañcoditamānaso tassā manorathaṃ pūrento nisajjākāraṃ dassesi. Sā haṭṭhatuṭṭhā paññattavarabuddhāsane attanā upanītaṃ suvisuddhavatthaṃ attharitvā adāsi, nisīdi bhagavā paññatte āsane.
อถ สา ภควโต ยาคุํ อุปนาเมสิ, ปฎิคฺคเหสิ ภควา ยาคุํฯ อถ สงฺฆํ อุทฺทิสฺส ภิกฺขูนมฺปิ ยาคุํ ทตฺวา ปุน โธตหตฺถา อมฺพผลานิ ภควโต อุปนาเมสิ, ภควา ตานิ ปริภุญฺชิฯ สา ภควนฺตํ วนฺทิตฺวา เอวมาห – ‘‘ยา เม, ภเนฺต, ปจฺจตฺถรณยาคุอมฺพผลทานวเสน ปวตฺตา ทกฺขิณา, สา เม ปิตรํ ปาปุณาตู’’ติฯ ภควา ‘‘เอวํ โหตู’’ติ วตฺวา อนุโมทนํ อกาสิฯ สา ภควนฺตํ วนฺทิตฺวา ปทกฺขิณํ กตฺวา ปกฺกามิฯ ตาย ทกฺขิณาย สมุทฺทิฎฺฐมตฺตาย โส เปโต อมฺพวนอุยฺยานวิมานกปฺปรุกฺขโปกฺขรณิโย มหติญฺจ ทิพฺพสมฺปตฺติํ ปฎิลภิฯ
Atha sā bhagavato yāguṃ upanāmesi, paṭiggahesi bhagavā yāguṃ. Atha saṅghaṃ uddissa bhikkhūnampi yāguṃ datvā puna dhotahatthā ambaphalāni bhagavato upanāmesi, bhagavā tāni paribhuñji. Sā bhagavantaṃ vanditvā evamāha – ‘‘yā me, bhante, paccattharaṇayāguambaphaladānavasena pavattā dakkhiṇā, sā me pitaraṃ pāpuṇātū’’ti. Bhagavā ‘‘evaṃ hotū’’ti vatvā anumodanaṃ akāsi. Sā bhagavantaṃ vanditvā padakkhiṇaṃ katvā pakkāmi. Tāya dakkhiṇāya samuddiṭṭhamattāya so peto ambavanauyyānavimānakapparukkhapokkharaṇiyo mahatiñca dibbasampattiṃ paṭilabhi.
อถ เต วาณิชา อปเรน สมเยน วณิชฺชาย คจฺฉนฺตา ตเมว มคฺคํ ปฎิปนฺนา ปุเพฺพ วสิตฎฺฐาเน เอกรตฺติํ วาสํ กเปฺปสุํฯ เต ทิสฺวา โส วิมานเปโต อุยฺยานวิมานาทีหิ สทฺธิํ เตสํ อตฺตานํ ทเสฺสสิฯ เต วาณิชา ตํ ทิสฺวา เตน ลทฺธสมฺปตฺติํ ปุจฺฉนฺตา –
Atha te vāṇijā aparena samayena vaṇijjāya gacchantā tameva maggaṃ paṭipannā pubbe vasitaṭṭhāne ekarattiṃ vāsaṃ kappesuṃ. Te disvā so vimānapeto uyyānavimānādīhi saddhiṃ tesaṃ attānaṃ dassesi. Te vāṇijā taṃ disvā tena laddhasampattiṃ pucchantā –
๗๙๖.
796.
‘‘อยญฺจ เต โปกฺขรณี สุรมฺมา, สมา สุติตฺถา จ มโหทกา จ;
‘‘Ayañca te pokkharaṇī surammā, samā sutitthā ca mahodakā ca;
สุปุปฺผิตา ภมรคณานุกิณฺณา, กถํ ตยา ลทฺธา อยํ มนุญฺญาฯ
Supupphitā bhamaragaṇānukiṇṇā, kathaṃ tayā laddhā ayaṃ manuññā.
๗๙๗.
797.
‘‘อิทญฺจ เต อมฺพวนํ สุรมฺมํ, สโพฺพตุกํ ธารยเต ผลานิ;
‘‘Idañca te ambavanaṃ surammaṃ, sabbotukaṃ dhārayate phalāni;
สุปุปฺผิตํ ภมรคณานุกิณฺณํ, กถํ ตยา ลทฺธมิทํ วิมาน’’นฺติฯ –
Supupphitaṃ bhamaragaṇānukiṇṇaṃ, kathaṃ tayā laddhamidaṃ vimāna’’nti. –
อิมา เทฺว คาถา อโวจุํฯ
Imā dve gāthā avocuṃ.
๗๙๖. ตตฺถ สุรมฺมาติ สุฎฺฐุ รมณียาฯ สมาติ สมตลาฯ สุติตฺถาติ รตนมยโสปานตาย สุนฺทรติตฺถาฯ มโหทกาติ พหุชลาฯ
796. Tattha surammāti suṭṭhu ramaṇīyā. Samāti samatalā. Sutitthāti ratanamayasopānatāya sundaratitthā. Mahodakāti bahujalā.
๗๙๗. สโพฺพตุกนฺติ ปุปฺผูปคผลูปครุกฺขาทีหิ สเพฺพสุ อุตูสุ สุขาวหํฯ เตนาห ‘‘ธารยเต ผลานี’’ติฯ สุปุปฺผิตนฺติ นิจฺจํ สุปุปฺผิตํฯ
797.Sabbotukanti pupphūpagaphalūpagarukkhādīhi sabbesu utūsu sukhāvahaṃ. Tenāha ‘‘dhārayate phalānī’’ti. Supupphitanti niccaṃ supupphitaṃ.
ตํ สุตฺวา เปโต โปกฺขรณิอาทีนํ ปฎิลาภการณํ อาจิกฺขโนฺต –
Taṃ sutvā peto pokkharaṇiādīnaṃ paṭilābhakāraṇaṃ ācikkhanto –
๗๙๘.
798.
‘‘อมฺพปกฺกํ ทกํ ยาคุ, สีตจฺฉายา มโนรมา;
‘‘Ambapakkaṃ dakaṃ yāgu, sītacchāyā manoramā;
ธีตาย ทินฺนทาเนน, เตน เม อิธ ลพฺภตี’’ติฯ –
Dhītāya dinnadānena, tena me idha labbhatī’’ti. –
คาถมาหฯ ตตฺถ เตน เม อิธ ลพฺภตีติ ยํ ตํ ภควโต ภิกฺขูนญฺจ อมฺพปกฺกํ อุทกํ ยาคุญฺจ มมํ อุทฺทิสฺส เทนฺติยา มยฺหํ ธีตาย ทินฺนํ ทานํ, เตน เม ธีตาย ทินฺนทาเนน อิธ อิมสฺมิํ ทิเพฺพ อมฺพวเน สโพฺพตุกํ อมฺพปกฺกํ, อิมิสฺสา ทิพฺพาย มนุญฺญาย โปกฺขรณิยา ทิพฺพํ อุทกํ, ยาคุยา อตฺถรณสฺส จ ทาเนน อุยฺยานวิมานกปฺปรุกฺขาทีสุ สีตจฺฉายา มโนรมา อิธ ลพฺภติ, สมิชฺฌตีติ อโตฺถฯ
Gāthamāha. Tattha tena me idha labbhatīti yaṃ taṃ bhagavato bhikkhūnañca ambapakkaṃ udakaṃ yāguñca mamaṃ uddissa dentiyā mayhaṃ dhītāya dinnaṃ dānaṃ, tena me dhītāya dinnadānena idha imasmiṃ dibbe ambavane sabbotukaṃ ambapakkaṃ, imissā dibbāya manuññāya pokkharaṇiyā dibbaṃ udakaṃ, yāguyā attharaṇassa ca dānena uyyānavimānakapparukkhādīsu sītacchāyā manoramā idha labbhati, samijjhatīti attho.
เอวญฺจ ปน วตฺวา โส เปโต เต วาณิเช เนตฺวา ตานิ ปญฺจ กหาปณสตานิ ทเสฺสตฺวา ‘‘อิโต อุปฑฺฒํ ตุเมฺห คณฺหถ, อุปฑฺฒํ มยา คหิตํ อิณํ โสเธตฺวา สุเขน ชีวตูติ มยฺหํ ธีตาย เทถา’’ติ อาหฯ วาณิชา อนุกฺกเมน สาวตฺถิํ ปตฺวา ตสฺส ธีตาย กเถตฺวา เตน อตฺตโน ทินฺนภาคมฺปิ ตสฺสา เอว อทํสุฯ สา กหาปณสตํ ธนิกานํ ทตฺวา อิตรํ อตฺตโน ปิตุ สหายสฺส ตสฺส กุฎุมฺพิกสฺส ทตฺวา สยํ เวยฺยาวจฺจํ กโรนฺติ นิวสติฯ โส ‘‘อิทํ สพฺพํ ตุยฺหํเยว โหตู’’ติ ตสฺสาเยว ปฎิทตฺวา ตํ อตฺตโน เชฎฺฐปุตฺตสฺส ฆรสามินิํ อกาสิฯ
Evañca pana vatvā so peto te vāṇije netvā tāni pañca kahāpaṇasatāni dassetvā ‘‘ito upaḍḍhaṃ tumhe gaṇhatha, upaḍḍhaṃ mayā gahitaṃ iṇaṃ sodhetvā sukhena jīvatūti mayhaṃ dhītāya dethā’’ti āha. Vāṇijā anukkamena sāvatthiṃ patvā tassa dhītāya kathetvā tena attano dinnabhāgampi tassā eva adaṃsu. Sā kahāpaṇasataṃ dhanikānaṃ datvā itaraṃ attano pitu sahāyassa tassa kuṭumbikassa datvā sayaṃ veyyāvaccaṃ karonti nivasati. So ‘‘idaṃ sabbaṃ tuyhaṃyeva hotū’’ti tassāyeva paṭidatvā taṃ attano jeṭṭhaputtassa gharasāminiṃ akāsi.
สา คจฺฉเนฺต กาเล เอกํ ปุตฺตํ ลภิตฺวา ตํ อุปลาเลนฺตี –
Sā gacchante kāle ekaṃ puttaṃ labhitvā taṃ upalālentī –
๗๙๙.
799.
‘‘สนฺทิฎฺฐิกํ กมฺมํ เอวํ ปสฺสถ, ทานสฺส ทมสฺส สํยมสฺส วิปากํ;
‘‘Sandiṭṭhikaṃ kammaṃ evaṃ passatha, dānassa damassa saṃyamassa vipākaṃ;
ทาสี อหํ อยฺยกุเลสุ หุตฺวา, สุณิสา โหมิ อคารสฺส อิสฺสรา’’ติฯ –
Dāsī ahaṃ ayyakulesu hutvā, suṇisā homi agārassa issarā’’ti. –
อิมํ คาถํ วทติฯ
Imaṃ gāthaṃ vadati.
อเถกทิวสํ สตฺถา ตสฺสา ญาณปริปากํ โอโลเกตฺวา โอภาสํ ผริตฺวา สมฺมุเข ฐิโต วิย อตฺตานํ ทเสฺสตฺวา –
Athekadivasaṃ satthā tassā ñāṇaparipākaṃ oloketvā obhāsaṃ pharitvā sammukhe ṭhito viya attānaṃ dassetvā –
‘‘อสาตํ สาตรูเปน, ปิยรูเปน อปฺปิยํ;
‘‘Asātaṃ sātarūpena, piyarūpena appiyaṃ;
ทุกฺขํ สุขสฺส รูเปน, ปมตฺตํ อติวตฺตตี’’ติฯ (อุทา. ๑๘; ชา. ๑.๑.๑๐๐) –
Dukkhaṃ sukhassa rūpena, pamattaṃ ativattatī’’ti. (udā. 18; jā. 1.1.100) –
อิมํ คาถมาหฯ สา คาถาปริโยสาเน โสตาปตฺติผเล ปติฎฺฐิตาฯ สา ทุติยทิวเส พุทฺธปฺปมุขสฺส ภิกฺขุสงฺฆสฺส ทานํ ทตฺวา ตํ ปวตฺติํ ภควโต อาโรเจสิฯ ภควา ตมตฺถํ อฎฺฐุปฺปตฺติํ กตฺวา สมฺปตฺตปริสาย ธมฺมํ เทเสสิฯ สา เทสนา มหาชนสฺส สาตฺถิกา อโหสีติฯ
Imaṃ gāthamāha. Sā gāthāpariyosāne sotāpattiphale patiṭṭhitā. Sā dutiyadivase buddhappamukhassa bhikkhusaṅghassa dānaṃ datvā taṃ pavattiṃ bhagavato ārocesi. Bhagavā tamatthaṃ aṭṭhuppattiṃ katvā sampattaparisāya dhammaṃ desesi. Sā desanā mahājanassa sātthikā ahosīti.
อมฺพวนเปตวตฺถุวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Ambavanapetavatthuvaṇṇanā niṭṭhitā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / เปตวตฺถุปาฬิ • Petavatthupāḷi / ๑๒. อมฺพวนเปตวตฺถุ • 12. Ambavanapetavatthu