Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / วิมานวตฺถุ-อฎฺฐกถา • Vimānavatthu-aṭṭhakathā

    ๕. อมฺพวิมานวณฺณนา

    5. Ambavimānavaṇṇanā

    อุจฺจมิทํ มณิถูณนฺติ อมฺพวิมานํฯ ตสฺส กา อุปฺปตฺติ? ภควา ราชคเห วิหรติ เวฬุวเนฯ เตน สมเยน ราชคเห อญฺญตโร ทุคฺคตปุริโส ปเรสํ ภตฺตเวตนภโต หุตฺวา อมฺพวนํ รกฺขติฯ โส เอกทิวสํ อายสฺมนฺตํ สาริปุตฺตํ คิมฺหสมเย สูริยาตปสนฺตเตฺต อุณฺหวาลิกานิปฺปีฬิเต วิปฺผนฺทมานมรีจิชาลวิตฺถเต ภูมิปฺปเทเส ตสฺส อมฺพารามสฺส อวิทูเรน มเคฺคน เสทาคเตน คเตฺตน คจฺฉนฺตํ ทิสฺวา สญฺชาตคารวพหุมาโน อุปสงฺกมิตฺวา เอวมาห ‘‘มหา อยํ, ภเนฺต, ฆมฺมปริฬาโห, อติวิย ปริสฺสนฺตรูโป วิย ทิสฺสติ, สาธุ, ภเนฺต, อโยฺย อิมํ อมฺพารามํ ปวิสิตฺวา มุหุตฺตํ วิสฺสมิตฺวา อทฺธานปริสฺสมํ ปฎิวิโนเทตฺวา คจฺฉถ อนุกมฺปํ อุปาทายา’’ติฯ เถโร วิเสสโต ตสฺส จิตฺตปฺปสาทํ ปริพฺรูเหตุกาโม ตํ อารามํ ปวิสิตฺวา อญฺญตรสฺส อมฺพรุกฺขสฺส มูเล นิสีทิฯ

    Uccamidaṃmaṇithūṇanti ambavimānaṃ. Tassa kā uppatti? Bhagavā rājagahe viharati veḷuvane. Tena samayena rājagahe aññataro duggatapuriso paresaṃ bhattavetanabhato hutvā ambavanaṃ rakkhati. So ekadivasaṃ āyasmantaṃ sāriputtaṃ gimhasamaye sūriyātapasantatte uṇhavālikānippīḷite vipphandamānamarīcijālavitthate bhūmippadese tassa ambārāmassa avidūrena maggena sedāgatena gattena gacchantaṃ disvā sañjātagāravabahumāno upasaṅkamitvā evamāha ‘‘mahā ayaṃ, bhante, ghammapariḷāho, ativiya parissantarūpo viya dissati, sādhu, bhante, ayyo imaṃ ambārāmaṃ pavisitvā muhuttaṃ vissamitvā addhānaparissamaṃ paṭivinodetvā gacchatha anukampaṃ upādāyā’’ti. Thero visesato tassa cittappasādaṃ paribrūhetukāmo taṃ ārāmaṃ pavisitvā aññatarassa ambarukkhassa mūle nisīdi.

    ปุน โส ปุริโส อาห ‘‘สเจ, ภเนฺต, นฺหายิตุกามตฺถ, อหํ อิโต กูปโต อุทกํ อุทฺธริตฺวา ตุเมฺห นฺหาเปสฺสามิ, ปานียญฺจ ทสฺสามี’’ติฯ เถโรปิ อธิวาเสสิ ตุณฺหีภาเวนฯ โส กูปโต อุทกํ อุทฺธริตฺวา ปริสฺสาเวตฺวา เถรํ นฺหาเปสิ, นฺหาเปตฺวา จ หตฺถปาเท โธวิตฺวา นิสินฺนสฺส ปานียํ อุปเนสิฯ เถโร ปานียํ ปิวิตฺวา ปฎิปฺปสฺสทฺธทรโถ ตสฺส ปุริสสฺส อุทกทาเน เจว นฺหาปเน จ อนุโมทนํ วตฺวา ปกฺกามิฯ อถ โส ปุริโส ‘‘ฆมฺมาภิตตฺตสฺส วต เถรสฺส ฆมฺมปริฬาหํ ปฎิปฺปสฺสเมฺภสิํ, พหุํ วต มยา ปุญฺญํ ปสุต’’นฺติ อุฬารปีติโสมนสฺสํ ปฎิสํเวเทสิฯ โส อปรภาเค กาลํ กตฺวา ตาวติํเสสุ อุปฺปชฺชิฯ ตํ อายสฺมา มหาโมคฺคลฺลาโน อุปสงฺกมิตฺวา อิมาหิ คาถาหิ กตปุญฺญํ ปุจฺฉิฯ

    Puna so puriso āha ‘‘sace, bhante, nhāyitukāmattha, ahaṃ ito kūpato udakaṃ uddharitvā tumhe nhāpessāmi, pānīyañca dassāmī’’ti. Theropi adhivāsesi tuṇhībhāvena. So kūpato udakaṃ uddharitvā parissāvetvā theraṃ nhāpesi, nhāpetvā ca hatthapāde dhovitvā nisinnassa pānīyaṃ upanesi. Thero pānīyaṃ pivitvā paṭippassaddhadaratho tassa purisassa udakadāne ceva nhāpane ca anumodanaṃ vatvā pakkāmi. Atha so puriso ‘‘ghammābhitattassa vata therassa ghammapariḷāhaṃ paṭippassambhesiṃ, bahuṃ vata mayā puññaṃ pasuta’’nti uḷārapītisomanassaṃ paṭisaṃvedesi. So aparabhāge kālaṃ katvā tāvatiṃsesu uppajji. Taṃ āyasmā mahāmoggallāno upasaṅkamitvā imāhi gāthāhi katapuññaṃ pucchi.

    ๑๑๔๖.

    1146.

    ‘‘อุจฺจมิทํ มณิถูณํ วิมานํ, สมนฺตโต ทฺวาทส โยชนานิ;

    ‘‘Uccamidaṃ maṇithūṇaṃ vimānaṃ, samantato dvādasa yojanāni;

    กูฎาคารา สตฺตสตา อุฬารา, เวฬุริยถมฺภา รุจกตฺถตา สุภาฯ

    Kūṭāgārā sattasatā uḷārā, veḷuriyathambhā rucakatthatā subhā.

    ๑๑๔๗.

    1147.

    ‘‘ตตฺถจฺฉสิ ปิวสิ ขาทสิ จ, ทิพฺพา จ วีณา ปวทนฺติ วคฺคุํ;

    ‘‘Tatthacchasi pivasi khādasi ca, dibbā ca vīṇā pavadanti vagguṃ;

    ทิพฺพา รสา กามคุเณตฺถ ปญฺจ, นาริโย จ นจฺจนฺติ สุวณฺณฉนฺนาฯ

    Dibbā rasā kāmaguṇettha pañca, nāriyo ca naccanti suvaṇṇachannā.

    ๑๑๔๘.

    1148.

    ‘‘เกน เตตาทิโส วโณฺณ…เป.…

    ‘‘Kena tetādiso vaṇṇo…pe…

    วโณฺณ จ เต สพฺพทิสา ปภาสตี’’ติฯ

    Vaṇṇo ca te sabbadisā pabhāsatī’’ti.

    ๑๑๕๐.

    1150.

    ‘‘โส เทวปุโตฺต อตฺตมโน…เป.…

    ‘‘So devaputto attamano…pe…

    ยสฺส กมฺมสฺสิทํ ผลํ’’ฯ

    Yassa kammassidaṃ phalaṃ’’.

    ๑๑๕๑.

    1151.

    ‘‘คิมฺหานํ ปจฺฉิเม มาเส, ปตปเนฺต ทิวงฺกเร;

    ‘‘Gimhānaṃ pacchime māse, patapante divaṅkare;

    ปเรสํ ภตโก โปโส, อมฺพารามมสิญฺจติฯ

    Paresaṃ bhatako poso, ambārāmamasiñcati.

    ๑๑๕๒.

    1152.

    ‘‘อถ เตนาคมา ภิกฺขุ, สาริปุโตฺตติ วิสฺสุโต;

    ‘‘Atha tenāgamā bhikkhu, sāriputtoti vissuto;

    กิลนฺตรูโป กาเยน, อกิลโนฺตว เจตสาฯ

    Kilantarūpo kāyena, akilantova cetasā.

    ๑๑๕๓.

    1153.

    ‘‘ตญฺจ ทิสฺวาน อายนฺตํ, อโวจํ อมฺพสิญฺจโก;

    ‘‘Tañca disvāna āyantaṃ, avocaṃ ambasiñcako;

    สาธุ ตํ ภเนฺต นฺหาเปยฺยํ, ยํ มมสฺส สุขาวหํฯ

    Sādhu taṃ bhante nhāpeyyaṃ, yaṃ mamassa sukhāvahaṃ.

    ๑๑๕๔.

    1154.

    ‘‘ตสฺส เม อนุกมฺปาย, นิกฺขิปิ ปตฺตจีวรํ;

    ‘‘Tassa me anukampāya, nikkhipi pattacīvaraṃ;

    นิสีทิ รุกฺขมูลสฺมิํ, ฉายาย เอกจีวโรฯ

    Nisīdi rukkhamūlasmiṃ, chāyāya ekacīvaro.

    ๑๑๕๕.

    1155.

    ‘‘ตญฺจ อเจฺฉน วารินา, ปสนฺนมานโส นโร;

    ‘‘Tañca acchena vārinā, pasannamānaso naro;

    นฺหาปยี รุกฺขมูลสฺมิํ, ฉายาย เอกจีวรํฯ

    Nhāpayī rukkhamūlasmiṃ, chāyāya ekacīvaraṃ.

    ๑๑๕๖.

    1156.

    ‘‘อโมฺพ จ สิโตฺต สมโณ จ นฺหาปิโต,

    ‘‘Ambo ca sitto samaṇo ca nhāpito,

    มยา จ ปุญฺญํ ปสุตํ อนปฺปกํ;

    Mayā ca puññaṃ pasutaṃ anappakaṃ;

    อิติ โส ปีติยา กายํ, สพฺพํ ผรติ อตฺตโนฯ

    Iti so pītiyā kāyaṃ, sabbaṃ pharati attano.

    ๑๑๕๗.

    1157.

    ‘‘ตเทว เอตฺตกํ กมฺมํ, อกาสิํ ตาย ชาติยา;

    ‘‘Tadeva ettakaṃ kammaṃ, akāsiṃ tāya jātiyā;

    ปหาย มานุสํ เทหํ, อุปปโนฺนมฺหิ นนฺทนํฯ

    Pahāya mānusaṃ dehaṃ, upapannomhi nandanaṃ.

    ๑๑๕๘.

    1158.

    ‘‘นนฺทเน จ วเน รเมฺม, นานาทิชคณายุเต;

    ‘‘Nandane ca vane ramme, nānādijagaṇāyute;

    รมามิ นจฺจคีเตหิ, อจฺฉราหิ ปุรกฺขโต’’ติฯ –

    Ramāmi naccagītehi, accharāhi purakkhato’’ti. –

    โสปิ ตสฺส อิมาหิ คาถาหิ พฺยากาสิฯ

    Sopi tassa imāhi gāthāhi byākāsi.

    ๑๑๕๑. ตตฺถ คิมฺหานํ ปจฺฉิเม มาเสติ อาสาฬฺหิมาเสฯ ปตปเนฺตติ อติวิย ทิปฺปเนฺต, สพฺพโส อุณฺหํ วิสฺสเชฺชเนฺตติ อโตฺถฯ ทิวงฺกเรติ ทิวากเร, อยเมว วา ปาโฐฯ อสิญฺจตีติ สิญฺจติ, -กาโร นิปาตมตฺตํ, สิญฺจติ อมฺพรุกฺขมูเลสุ ธุวํ ชลเสกํ กโรตีติ อโตฺถฯ ‘‘อสิญฺจถา’’ติ จ ปาโฐ, สิญฺจิตฺถาติ อโตฺถฯ ‘‘อสิญฺจห’’นฺติ จ ปฐนฺติ, ปเรสํ ภตโก โปโส หุตฺวา ตทา อมฺพารามํ อสิญฺจิํ อหนฺติ อโตฺถฯ

    1151. Tattha gimhānaṃ pacchime māseti āsāḷhimāse. Patapanteti ativiya dippante, sabbaso uṇhaṃ vissajjenteti attho. Divaṅkareti divākare, ayameva vā pāṭho. Asiñcatīti siñcati, -kāro nipātamattaṃ, siñcati ambarukkhamūlesu dhuvaṃ jalasekaṃ karotīti attho. ‘‘Asiñcathā’’ti ca pāṭho, siñcitthāti attho. ‘‘Asiñcaha’’nti ca paṭhanti, paresaṃ bhatako poso hutvā tadā ambārāmaṃ asiñciṃ ahanti attho.

    ๑๑๕๒. เตนาติ เยน ทิสาภาเคน โส อมฺพาราโม, เตน อคมา อคญฺฉิฯ อกิลโนฺตว เจตสาติ เจโตทุกฺขสฺส มเคฺคเนว ปหีนตฺตา เจตสา อกิลโนฺตปิ สมาโน กิลนฺตุรูโป กาเยน เตน มเคฺคน อคมาติ โยชนาฯ

    1152.Tenāti yena disābhāgena so ambārāmo, tena agamā agañchi. Akilantova cetasāti cetodukkhassa maggeneva pahīnattā cetasā akilantopi samāno kilanturūpo kāyena tena maggena agamāti yojanā.

    ๑๑๕๓-๔. อโวจํ อหํ ตทา อมฺพสิญฺจโก หุตฺวาติ โยชนาฯ เอกจีวโรติ นฺหายิตุกาโมติ อธิปฺปาโยฯ

    1153-4.Avocaṃ ahaṃ tadā ambasiñcako hutvāti yojanā. Ekacīvaroti nhāyitukāmoti adhippāyo.

    ๑๑๕๖. อิตีติ เอวํ ‘‘อโมฺพ จ สิโตฺต, สมโณ จ นฺหาปิโต, มยา จ ปุญฺญํ ปสุตํ อนปฺปกํ, เอเกเนว ปโยเคน ติวิโธปิ อโตฺถ สาธิโต’’ติ อิมินากาเรน ปวตฺตาย ปีติยา โส ปุริโส อตฺตโน สพฺพํ กายํ ผรติ, นิรนฺตรํ ผุฎํ กโรตีติ โยชนาฯ อตีตเตฺถ เจตํ วตฺตมานวจนํ, ผรีติ อโตฺถฯ

    1156.Itīti evaṃ ‘‘ambo ca sitto, samaṇo ca nhāpito, mayā ca puññaṃ pasutaṃ anappakaṃ, ekeneva payogena tividhopi attho sādhito’’ti iminākārena pavattāya pītiyā so puriso attano sabbaṃ kāyaṃ pharati, nirantaraṃ phuṭaṃ karotīti yojanā. Atītatthe cetaṃ vattamānavacanaṃ, pharīti attho.

    ๑๑๕๗. ตเทว เอตฺตกํ กมฺมนฺติ ตํ เอตฺตกํ เอวํ ปานียทานมตฺตกํ กมฺมํ อกาสิํ, ตาย ตสฺสํ ชาติยํ อญฺญํ นานุสฺสรามีติ อธิปฺปาโยฯ เตสํ วุตฺตนยเมวฯ

    1157.Tadeva ettakaṃ kammanti taṃ ettakaṃ evaṃ pānīyadānamattakaṃ kammaṃ akāsiṃ, tāya tassaṃ jātiyaṃ aññaṃ nānussarāmīti adhippāyo. Tesaṃ vuttanayameva.

    อมฺพวิมานวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Ambavimānavaṇṇanā niṭṭhitā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / วิมานวตฺถุปาฬิ • Vimānavatthupāḷi / ๕. อมฺพวิมานวตฺถุ • 5. Ambavimānavatthu


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact