Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / จูฬวคฺคปาฬิ • Cūḷavaggapāḷi |
อมูฬฺหวินโย
Amūḷhavinayo
๒๓๗. ‘‘สิยา อนุวาทาธิกรณํ เทฺว สมเถ อนาคมฺม – สติวินยญฺจ, ตสฺสปาปิยสิกญฺจ; ทฺวีหิ สมเถหิ สเมฺมยฺย – สมฺมุขาวินเยน จ, อมูฬฺหวินเยน จาติ? สิยาติสฺส วจนียํฯ ยถา กถํ วิย? อิธ ปน, ภิกฺขเว, ภิกฺขุ อุมฺมตฺตโก โหติ จิตฺตวิปริยาสกโต ฯ เตน อุมฺมตฺตเกน จิตฺตวิปริยาสกเตน พหุํ อสฺสามณกํ อชฺฌาจิณฺณํ โหติ ภาสิตปริกฺกนฺตํฯ ตํ ภิกฺขู อุมฺมตฺตเกน จิตฺตวิปริยาสกเตน อชฺฌาจิเณฺณน อาปตฺติยา โจเทนฺติ – ‘สรตายสฺมา เอวรูปิํ อาปตฺติํ อาปชฺชิตา’ติฯ โส เอวํ วเทติ – ‘อหํ โข, อาวุโส, อุมฺมตฺตโก อโหสิํ จิตฺตวิปริยาสกโตฯ เตน เม อุมฺมตฺตเกน จิตฺตวิปริยาสกเตน พหุํ อสฺสามณกํ อชฺฌาจิณฺณํ ภาสิตปริกฺกนฺตํฯ นาหํ ตํ สรามิฯ มูเฬฺหน เม เอตํ กต’นฺติฯ เอวมฺปิ นํ วุจฺจมานา โจเทเนฺตว – ‘สรตายสฺมา เอวรูปิํ อาปตฺติํ อาปชฺชิตา’ติฯ ‘‘ตสฺส โข, ภิกฺขเว, ภิกฺขุโน อมูฬฺหสฺส อมูฬฺหวินโย ทาตโพฺพฯ เอวญฺจ ปน, ภิกฺขเว, ทาตโพฺพ –
237. ‘‘Siyā anuvādādhikaraṇaṃ dve samathe anāgamma – sativinayañca, tassapāpiyasikañca; dvīhi samathehi sammeyya – sammukhāvinayena ca, amūḷhavinayena cāti? Siyātissa vacanīyaṃ. Yathā kathaṃ viya? Idha pana, bhikkhave, bhikkhu ummattako hoti cittavipariyāsakato . Tena ummattakena cittavipariyāsakatena bahuṃ assāmaṇakaṃ ajjhāciṇṇaṃ hoti bhāsitaparikkantaṃ. Taṃ bhikkhū ummattakena cittavipariyāsakatena ajjhāciṇṇena āpattiyā codenti – ‘saratāyasmā evarūpiṃ āpattiṃ āpajjitā’ti. So evaṃ vadeti – ‘ahaṃ kho, āvuso, ummattako ahosiṃ cittavipariyāsakato. Tena me ummattakena cittavipariyāsakatena bahuṃ assāmaṇakaṃ ajjhāciṇṇaṃ bhāsitaparikkantaṃ. Nāhaṃ taṃ sarāmi. Mūḷhena me etaṃ kata’nti. Evampi naṃ vuccamānā codenteva – ‘saratāyasmā evarūpiṃ āpattiṃ āpajjitā’ti. ‘‘Tassa kho, bhikkhave, bhikkhuno amūḷhassa amūḷhavinayo dātabbo. Evañca pana, bhikkhave, dātabbo –
‘‘เตน, ภิกฺขเว, ภิกฺขุนา สงฺฆํ อุปสงฺกมิตฺวา เอกํสํ อุตฺตราสงฺคํ กริตฺวา…เป.… เอวมสฺส วจนีโย – ‘อหํ, ภเนฺต, อุมฺมตฺตโก อโหสิํ จิตฺตวิปริยาสกโตฯ เตน เม อุมฺมตฺตเกน จิตฺตวิปริยาสกเตน พหุํ อสฺสามณกํ อชฺฌาจิณฺณํ ภาสิตปริกฺกนฺตํฯ มํ ภิกฺขู อุมฺมตฺตเกน จิตฺตวิปริยาสกเตน อชฺฌาจิเณฺณน อาปตฺติยา โจเทนฺติ – ‘สรตายสฺมา เอวรูปิํ อาปตฺติํ อาปชฺชิตา’ติฯ ตฺยาหํ เอวํ วทามิ – ‘อหํ โข, อาวุโส, อุมฺมตฺตโก อโหสิํ จิตฺตวิปริยาสกโตฯ เตน เม อุมฺมตฺตเกน จิตฺตวิปริยาสกเตน พหุํ อสฺสามณกํ อชฺฌาจิณฺณํ ภาสิตปริกฺกนฺตํฯ นาหํ ตํ สรามิฯ มูเฬฺหน เม เอตํ กต’นฺติ ฯ เอวมฺปิ มํ วุจฺจมานา โจเทเนฺตว – ‘สรตายสฺมา เอวรูปิํ อาปตฺติํ อาปชฺชิตา’ติฯ ‘โสหํ, ภเนฺต, อมูโฬฺห สงฺฆํ อมูฬฺหวินยํ ยาจามี’ติฯ ทุติยมฺปิ ยาจิตโพฺพฯ ตติยมฺปิ ยาจิตโพฺพฯ พฺยเตฺตน ภิกฺขุนา ปฎิพเลน สโงฺฆ ญาเปตโพฺพ –
‘‘Tena, bhikkhave, bhikkhunā saṅghaṃ upasaṅkamitvā ekaṃsaṃ uttarāsaṅgaṃ karitvā…pe… evamassa vacanīyo – ‘ahaṃ, bhante, ummattako ahosiṃ cittavipariyāsakato. Tena me ummattakena cittavipariyāsakatena bahuṃ assāmaṇakaṃ ajjhāciṇṇaṃ bhāsitaparikkantaṃ. Maṃ bhikkhū ummattakena cittavipariyāsakatena ajjhāciṇṇena āpattiyā codenti – ‘saratāyasmā evarūpiṃ āpattiṃ āpajjitā’ti. Tyāhaṃ evaṃ vadāmi – ‘ahaṃ kho, āvuso, ummattako ahosiṃ cittavipariyāsakato. Tena me ummattakena cittavipariyāsakatena bahuṃ assāmaṇakaṃ ajjhāciṇṇaṃ bhāsitaparikkantaṃ. Nāhaṃ taṃ sarāmi. Mūḷhena me etaṃ kata’nti . Evampi maṃ vuccamānā codenteva – ‘saratāyasmā evarūpiṃ āpattiṃ āpajjitā’ti. ‘Sohaṃ, bhante, amūḷho saṅghaṃ amūḷhavinayaṃ yācāmī’ti. Dutiyampi yācitabbo. Tatiyampi yācitabbo. Byattena bhikkhunā paṭibalena saṅgho ñāpetabbo –
‘‘สุณาตุ เม, ภเนฺต, สโงฺฆฯ อยํ อิตฺถนฺนาโม ภิกฺขุ อุมฺมตฺตโก อโหสิ จิตฺตวิปริยาสกโตฯ เตน อุมฺมตฺตเกน จิตฺตวิปริยาสกเตน พหุํ อสฺสามณกํ อชฺฌาจิณฺณํ ภาสิตปริกฺกนฺตํฯ ตํ ภิกฺขู อุมฺมตฺตเกน จิตฺตวิปริยาสกเตน อชฺฌาจิเณฺณน อาปตฺติยา โจเทนฺติ – ‘สรตายสฺมา เอวรูปิํ อาปตฺติํ อาปชฺชิตา’ติฯ โส เอวํ วเทติ – ‘อหํ โข, อาวุโส, อุมฺมตฺตโก อโหสิํ จิตฺตวิปริยาสกโตฯ เตน เม อุมฺมตฺตเกน จิตฺตวิปริยาสกเตน พหุํ อสฺสามณกํ อชฺฌาจิณฺณํ ภาสิตปริกฺกนฺตํฯ นาหํ ตํ สรามิฯ มูเฬฺหน เม เอตํ กต’นฺติฯ เอวมฺปิ นํ วุจฺจมานา โจเทเนฺตว – ‘สรตายสฺมา เอวรูปิํ อาปตฺติํ อาปชฺชิตา’ติฯ โส อมูโฬฺห สงฺฆํ อมูฬฺหวินยํ ยาจติฯ ยทิ สงฺฆสฺส ปตฺตกลฺลํ, สโงฺฆ อิตฺถนฺนามสฺส ภิกฺขุโน อมูฬฺหสฺส อมูฬฺหวินยํ ทเทยฺยฯ เอสา ญตฺติฯ
‘‘Suṇātu me, bhante, saṅgho. Ayaṃ itthannāmo bhikkhu ummattako ahosi cittavipariyāsakato. Tena ummattakena cittavipariyāsakatena bahuṃ assāmaṇakaṃ ajjhāciṇṇaṃ bhāsitaparikkantaṃ. Taṃ bhikkhū ummattakena cittavipariyāsakatena ajjhāciṇṇena āpattiyā codenti – ‘saratāyasmā evarūpiṃ āpattiṃ āpajjitā’ti. So evaṃ vadeti – ‘ahaṃ kho, āvuso, ummattako ahosiṃ cittavipariyāsakato. Tena me ummattakena cittavipariyāsakatena bahuṃ assāmaṇakaṃ ajjhāciṇṇaṃ bhāsitaparikkantaṃ. Nāhaṃ taṃ sarāmi. Mūḷhena me etaṃ kata’nti. Evampi naṃ vuccamānā codenteva – ‘saratāyasmā evarūpiṃ āpattiṃ āpajjitā’ti. So amūḷho saṅghaṃ amūḷhavinayaṃ yācati. Yadi saṅghassa pattakallaṃ, saṅgho itthannāmassa bhikkhuno amūḷhassa amūḷhavinayaṃ dadeyya. Esā ñatti.
‘‘สุณาตุ เม, ภเนฺต, สโงฺฆฯ อยํ อิตฺถนฺนาโม ภิกฺขุ อุมฺมตฺตโก อโหสิ จิตฺตวิปริยาสกโตฯ เตน อุมฺมตฺตเกน จิตฺตวิปริยาสกเตน พหุํ อสฺสามณกํ อชฺฌาจิณฺณํ ภาสิตปริกฺกนฺตํฯ ตํ ภิกฺขู อุมฺมตฺตเกน จิตฺตวิปริยาสกเตน อชฺฌาจิเณฺณน อาปตฺติยา โจเทนฺติ – ‘สรตายสฺมา เอวรูปิํ อาปตฺติํ อาปชฺชิตา’ติ ฯ โส เอวํ วเทติ – ‘อหํ โข, อาวุโส, อุมฺมตฺตโก อโหสิํ จิตฺตวิปริยาสกโตฯ เตน เม อุมฺมตฺตเกน จิตฺตวิปริยาสกเตน พหุํ อสฺสามณกํ อชฺฌาจิณฺณํ ภาสิตปริกฺกนฺตํฯ นาหํ ตํ สรามิฯ มูเฬฺหน เม เอตํ กต’นฺติฯ เอวมฺปิ นํ วุจฺจมานา โจเทเนฺตว – ‘สรตายสฺมา เอวรูปิํ อาปตฺติํ อาปชฺชิตา’ติฯ โส อมูโฬฺห สงฺฆํ อมูฬฺหวินยํ ยาจติฯ สโงฺฆ อิตฺถนฺนามสฺส ภิกฺขุโน อมูฬฺหสฺส อมูฬฺหวินยํ เทติฯ ยสฺสายสฺมโต ขมติ อิตฺถนฺนามสฺส ภิกฺขุโน อมูฬฺหสฺส อมูฬฺหวินยสฺส ทานํ, โส ตุณฺหสฺส; ยสฺส นกฺขมติ, โส ภาเสยฺยฯ
‘‘Suṇātu me, bhante, saṅgho. Ayaṃ itthannāmo bhikkhu ummattako ahosi cittavipariyāsakato. Tena ummattakena cittavipariyāsakatena bahuṃ assāmaṇakaṃ ajjhāciṇṇaṃ bhāsitaparikkantaṃ. Taṃ bhikkhū ummattakena cittavipariyāsakatena ajjhāciṇṇena āpattiyā codenti – ‘saratāyasmā evarūpiṃ āpattiṃ āpajjitā’ti . So evaṃ vadeti – ‘ahaṃ kho, āvuso, ummattako ahosiṃ cittavipariyāsakato. Tena me ummattakena cittavipariyāsakatena bahuṃ assāmaṇakaṃ ajjhāciṇṇaṃ bhāsitaparikkantaṃ. Nāhaṃ taṃ sarāmi. Mūḷhena me etaṃ kata’nti. Evampi naṃ vuccamānā codenteva – ‘saratāyasmā evarūpiṃ āpattiṃ āpajjitā’ti. So amūḷho saṅghaṃ amūḷhavinayaṃ yācati. Saṅgho itthannāmassa bhikkhuno amūḷhassa amūḷhavinayaṃ deti. Yassāyasmato khamati itthannāmassa bhikkhuno amūḷhassa amūḷhavinayassa dānaṃ, so tuṇhassa; yassa nakkhamati, so bhāseyya.
‘‘ทุติยมฺปิ เอตมตฺถํ วทามิ…เป.… ตติยมฺปิ เอตมตฺถํ วทามิ…เป.…ฯ
‘‘Dutiyampi etamatthaṃ vadāmi…pe… tatiyampi etamatthaṃ vadāmi…pe….
‘‘ทิโนฺน สเงฺฆน อิตฺถนฺนามสฺส ภิกฺขุโน อมูฬฺหสฺส อมูฬฺหวินโยฯ ขมติ สงฺฆสฺส, ตสฺมา ตุณฺหี, เอวเมตํ ธารยามี’’ติฯ
‘‘Dinno saṅghena itthannāmassa bhikkhuno amūḷhassa amūḷhavinayo. Khamati saṅghassa, tasmā tuṇhī, evametaṃ dhārayāmī’’ti.
‘‘อิทํ วุจฺจติ, ภิกฺขเว, อธิกรณํ วูปสนฺตํฯ เกน วูปสนฺตํ? สมฺมุขาวินเยน จ, อมูฬฺหวินเยน จฯ กิญฺจ ตตฺถ สมฺมุขาวินยสฺมิํ? สงฺฆสมฺมุขตา, ธมฺมสมฺมุขตา, วินยสมฺมุขตา, ปุคฺคลสมฺมุขตา…เป.… กิญฺจ ตตฺถ อมูฬฺหวินยสฺมิํ ? ยา อมูฬฺหวินยสฺส กมฺมสฺส กิริยา กรณํ อุปคมนํ อชฺฌุปคมนํ อธิวาสนา อปฺปฎิโกฺกสนา – อิทํ ตตฺถ อมูฬฺหวินยสฺมิํฯ เอวํ วูปสนฺตํ เจ, ภิกฺขเว, อธิกรณํ การโก อุโกฺกเฎติ, อุโกฺกฎนกํ ปาจิตฺติยํ; ฉนฺททายโก ขียติ, ขียนกํ ปาจิตฺติยํฯ
‘‘Idaṃ vuccati, bhikkhave, adhikaraṇaṃ vūpasantaṃ. Kena vūpasantaṃ? Sammukhāvinayena ca, amūḷhavinayena ca. Kiñca tattha sammukhāvinayasmiṃ? Saṅghasammukhatā, dhammasammukhatā, vinayasammukhatā, puggalasammukhatā…pe… kiñca tattha amūḷhavinayasmiṃ ? Yā amūḷhavinayassa kammassa kiriyā karaṇaṃ upagamanaṃ ajjhupagamanaṃ adhivāsanā appaṭikkosanā – idaṃ tattha amūḷhavinayasmiṃ. Evaṃ vūpasantaṃ ce, bhikkhave, adhikaraṇaṃ kārako ukkoṭeti, ukkoṭanakaṃ pācittiyaṃ; chandadāyako khīyati, khīyanakaṃ pācittiyaṃ.