Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ชาตก-อฎฺฐกถา • Jātaka-aṭṭhakathā |
[๖๕] ๕. อนภิรติชาตกวณฺณนา
[65] 5. Anabhiratijātakavaṇṇanā
ยถา นที จ ปโนฺถ จาติ อิทํ สตฺถา เชตวเน วิหรโนฺต ตถารูปํเยว อุปาสกํ อารพฺภ กเถสิฯ โส ปน ปริคฺคณฺหโนฺต ตสฺสา ทุสฺสีลภาวํ ญตฺวา ภณฺฑิโต จิตฺตพฺยากุลตาย สตฺตฎฺฐ ทิวเส อุปฎฺฐานํ นาคมาสิฯ โส เอกทิวสํ วิหารํ คนฺตฺวา ตถาคตํ วนฺทิตฺวา นิสิโนฺน ‘‘กสฺมา สตฺตฎฺฐ ทิวสานิ นาคโตสี’’ติ วุเตฺต ‘‘ภริยา เม, ภเนฺต, ทุสฺสีลา, ตสฺสา อุปริ พฺยากุลจิตฺตตาย นาคโตมฺหี’’ติ อาหฯ สตฺถา ‘‘อุปาสก, อิตฺถีสุ ‘อนาจารา เอตา’ติ โกปํ อกตฺวา มชฺฌเตฺตเนว ภวิตุํ วฎฺฎตีติ ปุเพฺพปิ เต ปณฺฑิตา กถยิํสุ, ตฺวํ ปน ภวนฺตเรน ปฎิจฺฉนฺนตฺตา ตํ การณํ น สลฺลเกฺขสี’’ติ วตฺวา เตน ยาจิโต อตีตํ อาหริฯ
Yathā nadī ca pantho cāti idaṃ satthā jetavane viharanto tathārūpaṃyeva upāsakaṃ ārabbha kathesi. So pana pariggaṇhanto tassā dussīlabhāvaṃ ñatvā bhaṇḍito cittabyākulatāya sattaṭṭha divase upaṭṭhānaṃ nāgamāsi. So ekadivasaṃ vihāraṃ gantvā tathāgataṃ vanditvā nisinno ‘‘kasmā sattaṭṭha divasāni nāgatosī’’ti vutte ‘‘bhariyā me, bhante, dussīlā, tassā upari byākulacittatāya nāgatomhī’’ti āha. Satthā ‘‘upāsaka, itthīsu ‘anācārā etā’ti kopaṃ akatvā majjhatteneva bhavituṃ vaṭṭatīti pubbepi te paṇḍitā kathayiṃsu, tvaṃ pana bhavantarena paṭicchannattā taṃ kāraṇaṃ na sallakkhesī’’ti vatvā tena yācito atītaṃ āhari.
อตีเต พาราณสิยํ พฺรหฺมทเตฺต รชฺชํ กาเรเนฺต โพธิสโตฺต ปุริมนเยเนว ทิสาปาโมโกฺข อาจริโย อโหสิฯ อถสฺส อเนฺตวาสิโก ภริยาย โทสํ ทิสฺวา พฺยากุลจิตฺตตาย กติปาหํ อนาคนฺตฺวา เอกทิวสํ อาจริเยน ปุจฺฉิโต ตํ การณํ นิเวเทสิฯ อถสฺส อาจริโย ‘‘ตาต, อิตฺถิโย นาม สพฺพสาธารณา , ตาสุ ‘ทุสฺสีลา เอตา’ติ ปณฺฑิตา โกปํ น กโรนฺตี’’ติ วตฺวา โอวาทวเสน อิมํ คาถมาห –
Atīte bārāṇasiyaṃ brahmadatte rajjaṃ kārente bodhisatto purimanayeneva disāpāmokkho ācariyo ahosi. Athassa antevāsiko bhariyāya dosaṃ disvā byākulacittatāya katipāhaṃ anāgantvā ekadivasaṃ ācariyena pucchito taṃ kāraṇaṃ nivedesi. Athassa ācariyo ‘‘tāta, itthiyo nāma sabbasādhāraṇā , tāsu ‘dussīlā etā’ti paṇḍitā kopaṃ na karontī’’ti vatvā ovādavasena imaṃ gāthamāha –
๖๕.
65.
‘‘ยถา นที จ ปโนฺต จ, ปานาคารํ สภา ปปา;
‘‘Yathā nadī ca panto ca, pānāgāraṃ sabhā papā;
เอวํ โลกิตฺถิโย นาม, นาสํ กุชฺฌนฺติ ปณฺฑิตา’’ติฯ
Evaṃ lokitthiyo nāma, nāsaṃ kujjhanti paṇḍitā’’ti.
ตตฺถ ยถา นทีติ ยถา อเนกติตฺถา นที นฺหานตฺถาย สมฺปตฺตสมฺปตฺตานํ จณฺฑาลาทีนมฺปิ ขตฺติยาทีนมฺปิ สาธารณา, น ตตฺถ โกจิ นฺหายิตุํ น ลภติ นามฯ ‘‘ปโนฺถ’’ติอาทีสุปิ ยถา มหามโคฺคปิ สเพฺพสํ สาธารโณ , น โกจิ เตน คนฺตุํ น ลภติฯ ปานาคารมฺปิ สุราเคหํ สเพฺพสํ สาธารณํ, โย โย ปาตุกาโม, สโพฺพ ตตฺถ ปวิสเตวฯ ปุญฺญตฺถิเกหิ ตตฺถ ตตฺถ มนุสฺสานํ นิวาสตฺถาย กตา สภาปิ สาธารณา, น ตตฺถ โกจิ ปวิสิตุํ น ลภติฯ มหามเคฺค ปานียจาฎิโย ฐเปตฺวา กตา ปปาปิ สเพฺพสํ สาธารณา, น ตตฺถ โกจิ ปานียํ ปิวิตุํ น ลภติฯ เอวํ โลกิตฺถิโย นามาติ เอวเมว ตาต มาณว อิมสฺมิํ โลเก อิตฺถิโยปิ สพฺพสาธารณาว, เตเนว จ สาธารณเฎฺฐน นทีปนฺถปานาคารสภาปปาสทิสาฯ ตสฺมา นาสํ กุชฺฌนฺติ ปณฺฑิตา, เอตาสํ อิตฺถีนํ ‘‘ลามิกา เอตา อนาจารา ทุสฺสีลา สพฺพสาธารณา’’ติ จิเนฺตตฺวา ปณฺฑิตา เฉกา พุทฺธิสมฺปนฺนา น กุชฺฌนฺตีติฯ
Tattha yathā nadīti yathā anekatitthā nadī nhānatthāya sampattasampattānaṃ caṇḍālādīnampi khattiyādīnampi sādhāraṇā, na tattha koci nhāyituṃ na labhati nāma. ‘‘Pantho’’tiādīsupi yathā mahāmaggopi sabbesaṃ sādhāraṇo , na koci tena gantuṃ na labhati. Pānāgārampi surāgehaṃ sabbesaṃ sādhāraṇaṃ, yo yo pātukāmo, sabbo tattha pavisateva. Puññatthikehi tattha tattha manussānaṃ nivāsatthāya katā sabhāpi sādhāraṇā, na tattha koci pavisituṃ na labhati. Mahāmagge pānīyacāṭiyo ṭhapetvā katā papāpi sabbesaṃ sādhāraṇā, na tattha koci pānīyaṃ pivituṃ na labhati. Evaṃ lokitthiyo nāmāti evameva tāta māṇava imasmiṃ loke itthiyopi sabbasādhāraṇāva, teneva ca sādhāraṇaṭṭhena nadīpanthapānāgārasabhāpapāsadisā. Tasmā nāsaṃ kujjhanti paṇḍitā, etāsaṃ itthīnaṃ ‘‘lāmikā etā anācārā dussīlā sabbasādhāraṇā’’ti cintetvā paṇḍitā chekā buddhisampannā na kujjhantīti.
เอวํ โพธิสโตฺต อเนฺตวาสิกสฺส โอวาทํ อทาสิ, โส ตํ โอวาทํ สุตฺวา มชฺฌโตฺต อโหสิฯ ภริยาปิสฺส ‘‘อาจริเยน กิรมฺหิ ญาตา’’ติ ตโต ปฎฺฐาย ปาปกมฺมํ น อกาสิฯ ตสฺสปิ อุปาสกสฺส ภริยา ‘‘สตฺถารา กิรมฺหิ ญาตา’’ติ ตโต ปฎฺฐาย ปาปกมฺมํ น อกาสิฯ
Evaṃ bodhisatto antevāsikassa ovādaṃ adāsi, so taṃ ovādaṃ sutvā majjhatto ahosi. Bhariyāpissa ‘‘ācariyena kiramhi ñātā’’ti tato paṭṭhāya pāpakammaṃ na akāsi. Tassapi upāsakassa bhariyā ‘‘satthārā kiramhi ñātā’’ti tato paṭṭhāya pāpakammaṃ na akāsi.
สตฺถา อิมํ ธมฺมเทสนํ อาหริตฺวา สจฺจานิ ปกาเสสิ, สจฺจปริโยสาเน อุปาสโก โสตาปตฺติผเล ปติฎฺฐหิฯ สตฺถาปิ อนุสนฺธิํ ฆเฎตฺวา ชาตกํ สโมธาเนสิ – ‘‘ตทา ชยมฺปติกาว เอตรหิ ชยมฺปติกา, อาจริยพฺราหฺมโณ ปน อหเมว อโหสิ’’นฺติฯ
Satthā imaṃ dhammadesanaṃ āharitvā saccāni pakāsesi, saccapariyosāne upāsako sotāpattiphale patiṭṭhahi. Satthāpi anusandhiṃ ghaṭetvā jātakaṃ samodhānesi – ‘‘tadā jayampatikāva etarahi jayampatikā, ācariyabrāhmaṇo pana ahameva ahosi’’nti.
อนภิรติชาตกวณฺณนา ปญฺจมาฯ
Anabhiratijātakavaṇṇanā pañcamā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / ชาตกปาฬิ • Jātakapāḷi / ๖๕. อนภิรติชาตกํ • 65. Anabhiratijātakaṃ