Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / วินยสงฺคห-อฎฺฐกถา • Vinayasaṅgaha-aṭṭhakathā

    ๗. อนามาสวินิจฺฉยกถา

    7. Anāmāsavinicchayakathā

    ๔๐. อนามาสนฺติ น ปรามสิตพฺพํฯ ตตฺรายํ วินิจฺฉโย (ปารา. อฎฺฐ. ๒.๒๘๑) – ยสฺมา มาตา วา โหตุ ธีตา วา ภคินี วา, อิตฺถี นาม สพฺพาปิ พฺรหฺมจริยสฺส ปาริพนฺถิกาว อนามาสา จ, ตสฺมา ‘‘อยํ เม มาตา, อยํ เม ธีตา, อยํ เม ภคินี’’ติ เคหสฺสิตเปเมน อามสโตปิ ทุกฺกฎเมว วุตฺตํฯ อิมํ ปน ภควโต อาณํ อนุสฺสรเนฺตน สเจปิ นทีโสเตน วุยฺหมานํ มาตรํ ปสฺสติ, เนว หเตฺถน ปรามสิตพฺพา, ปณฺฑิเตน ปน ภิกฺขุนา นาวา วา ผลกํ วา กทลิกฺขโนฺธ วา ทารุกฺขโนฺธ วา อุปสํหริตโพฺพฯ ตสฺมิํ อสติ กาสาวมฺปิ อุปสํหริตฺวา ปุรโต ฐเปตพฺพํ, ‘‘เอตฺถ คณฺหาหี’’ติ ปน น วตฺตพฺพาฯ คหิเต ‘‘ปริกฺขารํ กฑฺฒามี’’ติ กฑฺฒเนฺตน คนฺตพฺพํฯ สเจ ปน ภายติ, ปุรโต ปุรโต คนฺตฺวา ‘‘มา ภายี’’ติ สมสฺสาเสตพฺพาฯ สเจ ภายมานา ปุตฺตสฺส สหสา ขเนฺธ วา อภิรุหติ, หเตฺถ วา คณฺหาติ, น ‘‘อเปหิ มหลฺลิเก’’ติ นิทฺธุนิตพฺพา, ถลํ ปาเปตพฺพาฯ กทฺทเม ลคฺคายปิ กูเป ปติตายปิ เอเสว นโยฯ ตตฺราปิ หิ โยตฺตํ วา วตฺถํ วา ปกฺขิปิตฺวา หเตฺถน คหิตภาวํ ญตฺวา อุทฺธริตพฺพา, น เตฺวว อามสิตพฺพาฯ

    40.Anāmāsanti na parāmasitabbaṃ. Tatrāyaṃ vinicchayo (pārā. aṭṭha. 2.281) – yasmā mātā vā hotu dhītā vā bhaginī vā, itthī nāma sabbāpi brahmacariyassa pāribanthikāva anāmāsā ca, tasmā ‘‘ayaṃ me mātā, ayaṃ me dhītā, ayaṃ me bhaginī’’ti gehassitapemena āmasatopi dukkaṭameva vuttaṃ. Imaṃ pana bhagavato āṇaṃ anussarantena sacepi nadīsotena vuyhamānaṃ mātaraṃ passati, neva hatthena parāmasitabbā, paṇḍitena pana bhikkhunā nāvā vā phalakaṃ vā kadalikkhandho vā dārukkhandho vā upasaṃharitabbo. Tasmiṃ asati kāsāvampi upasaṃharitvā purato ṭhapetabbaṃ, ‘‘ettha gaṇhāhī’’ti pana na vattabbā. Gahite ‘‘parikkhāraṃ kaḍḍhāmī’’ti kaḍḍhantena gantabbaṃ. Sace pana bhāyati, purato purato gantvā ‘‘mā bhāyī’’ti samassāsetabbā. Sace bhāyamānā puttassa sahasā khandhe vā abhiruhati, hatthe vā gaṇhāti, na ‘‘apehi mahallike’’ti niddhunitabbā, thalaṃ pāpetabbā. Kaddame laggāyapi kūpe patitāyapi eseva nayo. Tatrāpi hi yottaṃ vā vatthaṃ vā pakkhipitvā hatthena gahitabhāvaṃ ñatvā uddharitabbā, na tveva āmasitabbā.

    น เกวลญฺจ มาตุคามสฺส สรีรเมว อนามาสํ, นิวาสนปารุปนมฺปิ อาภรณภณฺฑมฺปิ อนฺตมโส ติณณฺฑุปกํ วา ตาลปณฺณมุทฺทิกํ วา อุปาทาย อนามาสเมวฯ ตญฺจ โข นิวาสนปาวุรณํ ปิฬนฺธนตฺถาย ฐปิตเมวฯ สเจ ปน นิวาสนํ วา ปารุปนํ วา ปริวเตฺตตฺวา จีวรตฺถาย ปาทมูเล ฐเปติ, วฎฺฎติฯ อาภรณภเณฺฑสุ ปน สีสปสาธนทนฺตสูจิอาทิกปฺปิยภณฺฑํ ‘‘อิมํ, ภเนฺต, ตุมฺหากํ เทม, คณฺหถา’’ติ ทียมานํ สิปาฎิกาสูจิอาทิอุปกรณตฺถาย คเหตพฺพํฯ สุวณฺณรชตมุตฺตาทิมยํ ปน อนามาสเมว, ทียมานมฺปิ น คเหตพฺพํฯ น เกวลญฺจ เอตาสํ สรีรูปคเมว อนามาสํ, อิตฺถิสณฺฐาเนน กตํ กฎฺฐรูปมฺปิ ทนฺตรูปมฺปิ อยรูปมฺปิ โลหรูปมฺปิ ติปุรูปมฺปิ โปตฺถกรูปมฺปิ สพฺพรตนรูปมฺปิ อนฺตมโส ปิฎฺฐมยรูปมฺปิ อนามาสเมวฯ ปริโภคตฺถาย ปน ‘‘อิทํ ตุมฺหากํ โหตู’’ติ ลภิตฺวา ฐเปตฺวา สพฺพรตนมยํ อวเสสํ ภินฺทิตฺวา อุปกรณารหํ อุปกรเณ, ปริโภคารหํ ปริโภเค อุปเนตุํ วฎฺฎติฯ

    Na kevalañca mātugāmassa sarīrameva anāmāsaṃ, nivāsanapārupanampi ābharaṇabhaṇḍampi antamaso tiṇaṇḍupakaṃ vā tālapaṇṇamuddikaṃ vā upādāya anāmāsameva. Tañca kho nivāsanapāvuraṇaṃ piḷandhanatthāya ṭhapitameva. Sace pana nivāsanaṃ vā pārupanaṃ vā parivattetvā cīvaratthāya pādamūle ṭhapeti, vaṭṭati. Ābharaṇabhaṇḍesu pana sīsapasādhanadantasūciādikappiyabhaṇḍaṃ ‘‘imaṃ, bhante, tumhākaṃ dema, gaṇhathā’’ti dīyamānaṃ sipāṭikāsūciādiupakaraṇatthāya gahetabbaṃ. Suvaṇṇarajatamuttādimayaṃ pana anāmāsameva, dīyamānampi na gahetabbaṃ. Na kevalañca etāsaṃ sarīrūpagameva anāmāsaṃ, itthisaṇṭhānena kataṃ kaṭṭharūpampi dantarūpampi ayarūpampi loharūpampi tipurūpampi potthakarūpampi sabbaratanarūpampi antamaso piṭṭhamayarūpampi anāmāsameva. Paribhogatthāya pana ‘‘idaṃ tumhākaṃ hotū’’ti labhitvā ṭhapetvā sabbaratanamayaṃ avasesaṃ bhinditvā upakaraṇārahaṃ upakaraṇe, paribhogārahaṃ paribhoge upanetuṃ vaṭṭati.

    ๔๑. ยถา จ อิตฺถิรูปกํ, เอวํ สตฺตวิธํ ธญฺญมฺปิ อนามาสเมวฯ ตสฺมา เขตฺตมเชฺฌน คจฺฉเนฺตน ตตฺถชาตกมฺปิ ธญฺญผลํ น อามสเนฺตน คนฺตพฺพํฯ สเจ ฆรทฺวาเร วา อนฺตรามเคฺค วา ธญฺญํ ปสาริตํ โหติ, ปเสฺสน จ มโคฺค อตฺถิ, น มทฺทเนฺตน คนฺตพฺพํฯ คมนมเคฺค อสติ มคฺคํ อธิฎฺฐาย คนฺตพฺพํฯ อนฺตรฆเร ธญฺญสฺส อุปริ อาสนํ ปญฺญเปตฺวา เทนฺติ, นิสีทิตุํ วฎฺฎติฯ เกจิ อาสนสาลาย ธญฺญํ อากิรนฺติ, สเจ สกฺกา โหติ หราเปตุํ, หราเปตพฺพํฯ โน เจ, เอกมนฺตํ ธญฺญํ อมทฺทเนฺตน ปีฐกํ ปญฺญเปตฺวา นิสีทิตพฺพํฯ สเจ โอกาโส น โหติ, มนุสฺสา ธญฺญมเชฺฌเยว ปญฺญเปตฺวา เทนฺติ, นิสีทิตพฺพํฯ ตตฺถชาตกานิ มุคฺคมาสาทีนิ อปรณฺณานิปิ ตาลปนสาทีนิ วา ผลานิ กีฬเนฺตน น อามสิตพฺพานิฯ มนุเสฺสหิ ราสิกเตสุปิ เอเสว นโยฯ อรเญฺญ ปน รุกฺขโต ปติตานิ ผลานิ ‘‘อนุปสมฺปนฺนานํ ทสฺสามี’’ติ คณฺหิตุํ วฎฺฎติฯ

    41. Yathā ca itthirūpakaṃ, evaṃ sattavidhaṃ dhaññampi anāmāsameva. Tasmā khettamajjhena gacchantena tatthajātakampi dhaññaphalaṃ na āmasantena gantabbaṃ. Sace gharadvāre vā antarāmagge vā dhaññaṃ pasāritaṃ hoti, passena ca maggo atthi, na maddantena gantabbaṃ. Gamanamagge asati maggaṃ adhiṭṭhāya gantabbaṃ. Antaraghare dhaññassa upari āsanaṃ paññapetvā denti, nisīdituṃ vaṭṭati. Keci āsanasālāya dhaññaṃ ākiranti, sace sakkā hoti harāpetuṃ, harāpetabbaṃ. No ce, ekamantaṃ dhaññaṃ amaddantena pīṭhakaṃ paññapetvā nisīditabbaṃ. Sace okāso na hoti, manussā dhaññamajjheyeva paññapetvā denti, nisīditabbaṃ. Tatthajātakāni muggamāsādīni aparaṇṇānipi tālapanasādīni vā phalāni kīḷantena na āmasitabbāni. Manussehi rāsikatesupi eseva nayo. Araññe pana rukkhato patitāni phalāni ‘‘anupasampannānaṃ dassāmī’’ti gaṇhituṃ vaṭṭati.

    ๔๒. มุตฺตา มณิ เวฬุริโย สโงฺข สิลา ปวาฬํ รชตํ ชาตรูปํ โลหิตโงฺก มสารคลฺลนฺติ อิเมสุ ทสสุ รตเนสุ มุตฺตา อโธตา อวิทฺธา ยถาชาตาว อามสิตุํ วฎฺฎติ, เสสา อนามาสาติ วทนฺติ, ตํ น คเหตพฺพํฯ มหาปจฺจริยํ ปน ‘‘มุตฺตา โธตาปิ อโธตาปิ อนามาสา, ภณฺฑมูลตฺถาย จ สมฺปฎิจฺฉิตุํ น วฎฺฎติ, กุฎฺฐโรคสฺส เภสชฺชตฺถาย ปน วฎฺฎตี’’ติ วุตฺตํ, ตํ ยุตฺตํฯ อนฺตมโส ชาติผลิกํ อุปาทาย สโพฺพปิ นีลปีตาทิวณฺณเภโท มณิ โธตวิทฺธวฎฺฎิโต อนามาโส, ยถาชาโต ปน อากรมุโตฺต ปตฺตาทิภณฺฑมูลตฺถํ สมฺปฎิจฺฉิตุํ วฎฺฎตีติ วุตฺตํ, ตมฺปิ มหาปจฺจริยํ ปฎิกฺขิตฺตํฯ ปจิตฺวา กโต กาจมณิเยเวโก วฎฺฎตีติ วุตฺตํฯ เวฬุริเยปิ มณิสทิโสว วินิจฺฉโยฯ

    42. Muttā maṇi veḷuriyo saṅkho silā pavāḷaṃ rajataṃ jātarūpaṃ lohitaṅko masāragallanti imesu dasasu ratanesu muttā adhotā aviddhā yathājātāva āmasituṃ vaṭṭati, sesā anāmāsāti vadanti, taṃ na gahetabbaṃ. Mahāpaccariyaṃ pana ‘‘muttā dhotāpi adhotāpi anāmāsā, bhaṇḍamūlatthāya ca sampaṭicchituṃ na vaṭṭati, kuṭṭharogassa bhesajjatthāya pana vaṭṭatī’’ti vuttaṃ, taṃ yuttaṃ. Antamaso jātiphalikaṃ upādāya sabbopi nīlapītādivaṇṇabhedo maṇi dhotaviddhavaṭṭito anāmāso, yathājāto pana ākaramutto pattādibhaṇḍamūlatthaṃ sampaṭicchituṃ vaṭṭatīti vuttaṃ, tampi mahāpaccariyaṃ paṭikkhittaṃ. Pacitvā kato kācamaṇiyeveko vaṭṭatīti vuttaṃ. Veḷuriyepi maṇisadisova vinicchayo.

    สโงฺข ธมนสโงฺข จ โธตวิโทฺธ จ รตนมิโสฺส อนามาโส, ปานียสโงฺข โธโตปิ อโธโตปิ อามาโสวฯ เสสญฺจ อญฺชนาทิเภสชฺชตฺถายปิ ภณฺฑมูลตฺถายปิ สมฺปฎิจฺฉิตุํ วฎฺฎติฯ สิลา โธตวิทฺธา รตนสํยุตฺตา มุคฺควณฺณาว อนามาสา, เสสา สตฺถกนิฆํสนาทิอตฺถาย คณฺหิตุํ วฎฺฎติฯ เอตฺถ จ รตนสํยุตฺตาติ สุวเณฺณน สทฺธิํ โยเชตฺวา ปจิตฺวา กตาติ วทนฺติฯ ปวาฬํ โธตวิทฺธํ อนามาสํ, เสสํ อามาสญฺจ ภณฺฑมูลตฺถญฺจ สมฺปฎิจฺฉิตุํ วฎฺฎตีติ วทนฺติ, ตํ น คเหตพฺพํ ฯ มหาปจฺจริยํ ปน ‘‘โธตมฺปิ อโธตมฺปิ สพฺพํ อนามาสญฺจ น จ สมฺปฎิจฺฉิตุํ วฎฺฎตี’’ติ วุตฺตํ, ตํ ยุตฺตํฯ

    Saṅkho dhamanasaṅkho ca dhotaviddho ca ratanamisso anāmāso, pānīyasaṅkho dhotopi adhotopi āmāsova. Sesañca añjanādibhesajjatthāyapi bhaṇḍamūlatthāyapi sampaṭicchituṃ vaṭṭati. Silā dhotaviddhā ratanasaṃyuttā muggavaṇṇāva anāmāsā, sesā satthakanighaṃsanādiatthāya gaṇhituṃ vaṭṭati. Ettha ca ratanasaṃyuttāti suvaṇṇena saddhiṃ yojetvā pacitvā katāti vadanti. Pavāḷaṃ dhotaviddhaṃ anāmāsaṃ, sesaṃ āmāsañca bhaṇḍamūlatthañca sampaṭicchituṃ vaṭṭatīti vadanti, taṃ na gahetabbaṃ . Mahāpaccariyaṃ pana ‘‘dhotampi adhotampi sabbaṃ anāmāsañca na ca sampaṭicchituṃ vaṭṭatī’’ti vuttaṃ, taṃ yuttaṃ.

    รชตญฺจ ชาตรูปญฺจ กตภณฺฑมฺปิ อกตภณฺฑมฺปิ สเพฺพน สพฺพํ พีชโต ปฎฺฐาย อนามาสญฺจ อสมฺปฎิจฺฉนียญฺจฯ อุตฺตรราชปุโตฺต กิร สุวณฺณเจติยํ การาเปตฺวา มหาปทุมเตฺถรสฺส เปเสสิฯ เถโร ‘‘น กปฺปตี’’ติ ปฎิกฺขิปิฯ เจติยฆเร สุวณฺณปทุมสุวณฺณพุพฺพุฬกาทีนิ โหนฺติ, เอตานิปิ อนามาสานิฯ เจติยฆรโคปกา ปน รูปิยฉฑฺฑกฎฺฐาเน ฐิตา , ตสฺมา เตสํ เกฬาปยิตุํ วฎฺฎตีติ วุตฺตํฯ กุรุนฺธิยํ ปน ตมฺปิ ปฎิกฺขิตฺตํ, สุวณฺณเจติเย กจวรเมว หริตุํ วฎฺฎตีติ เอตฺตกเมว อนุญฺญาตํฯ อารกูฎโลหมฺปิ ชาตรูปคติกเมว อนามาสนฺติ สพฺพฎฺฐกถาสุ วุตฺตํฯ เสนาสนปริโภเค ปน สโพฺพปิ กปฺปิโย, ตสฺมา ชาตรูปรชตมยา สเพฺพปิ เสนาสนปริกฺขารา อามาสา, ภิกฺขูนํ ธมฺมวินยวณฺณนฎฺฐาเน รตนมณฺฑเป กโรนฺติ ผลิกตฺถเมฺภ รตนทามปฎิมณฺฑิเต, ตตฺถ สพฺพูปกรณานิ ภิกฺขูนํ ปฎิชคฺคิตุํ วฎฺฎนฺติฯ โลหิตงฺกมสารคลฺลา โธตวิทฺธา อนามาสา, อิตเร อามาสา, ภณฺฑมูลตฺถาย จ สมฺปฎิจฺฉิตุํ วฎฺฎตีติ วุตฺตํฯ มหาปจฺจริยํ ปน ‘‘โธตาปิ อโธตาปิ สพฺพโส อนามาสา, น จ สมฺปฎิจฺฉิตุํ วฎฺฎนฺตี’’ติ ปฎิกฺขิตฺตํฯ

    Rajatañca jātarūpañca katabhaṇḍampi akatabhaṇḍampi sabbena sabbaṃ bījato paṭṭhāya anāmāsañca asampaṭicchanīyañca. Uttararājaputto kira suvaṇṇacetiyaṃ kārāpetvā mahāpadumattherassa pesesi. Thero ‘‘na kappatī’’ti paṭikkhipi. Cetiyaghare suvaṇṇapadumasuvaṇṇabubbuḷakādīni honti, etānipi anāmāsāni. Cetiyagharagopakā pana rūpiyachaḍḍakaṭṭhāne ṭhitā , tasmā tesaṃ keḷāpayituṃ vaṭṭatīti vuttaṃ. Kurundhiyaṃ pana tampi paṭikkhittaṃ, suvaṇṇacetiye kacavarameva harituṃ vaṭṭatīti ettakameva anuññātaṃ. Ārakūṭalohampi jātarūpagatikameva anāmāsanti sabbaṭṭhakathāsu vuttaṃ. Senāsanaparibhoge pana sabbopi kappiyo, tasmā jātarūparajatamayā sabbepi senāsanaparikkhārā āmāsā, bhikkhūnaṃ dhammavinayavaṇṇanaṭṭhāne ratanamaṇḍape karonti phalikatthambhe ratanadāmapaṭimaṇḍite, tattha sabbūpakaraṇāni bhikkhūnaṃ paṭijaggituṃ vaṭṭanti. Lohitaṅkamasāragallā dhotaviddhā anāmāsā, itare āmāsā, bhaṇḍamūlatthāya ca sampaṭicchituṃ vaṭṭatīti vuttaṃ. Mahāpaccariyaṃ pana ‘‘dhotāpi adhotāpi sabbaso anāmāsā, na ca sampaṭicchituṃ vaṭṭantī’’ti paṭikkhittaṃ.

    ๔๓. สพฺพํ อาวุธภณฺฑํ อนามาสํ, ภณฺฑมูลตฺถาย ทียมานมฺปิ น สมฺปฎิจฺฉิตพฺพํฯ สตฺถวณิชฺชา นาม น วฎฺฎติฯ สุทฺธธนุทโณฺฑปิ ธนุชิยาปิ ปโตโทปิ โตมโรปิ องฺกุโสปิ อนฺตมโส วาสิผรสุอาทีนิปิ อาวุธสเงฺขเปน กตานิ อนามาสานิฯ สเจ เกนจิ วิหาเร สตฺติ วา โตมโร วา ฐปิโต โหติ, วิหารํ ชคฺคเนฺตน ‘‘หรนฺตู’’ติ สามิกานํ เปเสตพฺพํฯ สเจ น หรนฺติ, ตํ อจาเลเนฺตน วิหาโร ปฎิชคฺคิตโพฺพฯ ยุทฺธภูมิยํ ปน ปติตํ อสิํ วา สตฺติํ วา โตมรํ วา ทิสฺวา ปาสาเณน วา เกนจิ วา อสิํ ภินฺทิตฺวา สตฺถกตฺถาย คเหตุํ วฎฺฎติฯ อิตรานิปิ วิโยเชตฺวา กิญฺจิ สตฺถกตฺถาย, กิญฺจิ กตฺตรทณฺฑาทิอตฺถาย คเหตุํ วฎฺฎติฯ ‘‘อิทํ คณฺหถา’’ติ ทียมานํ ปน วินาเสตฺวา ‘‘กปฺปิยภณฺฑํ กริสฺสามี’’ติ สพฺพมฺปิ สมฺปฎิจฺฉิตุํ วฎฺฎติฯ

    43. Sabbaṃ āvudhabhaṇḍaṃ anāmāsaṃ, bhaṇḍamūlatthāya dīyamānampi na sampaṭicchitabbaṃ. Satthavaṇijjā nāma na vaṭṭati. Suddhadhanudaṇḍopi dhanujiyāpi patodopi tomaropi aṅkusopi antamaso vāsipharasuādīnipi āvudhasaṅkhepena katāni anāmāsāni. Sace kenaci vihāre satti vā tomaro vā ṭhapito hoti, vihāraṃ jaggantena ‘‘harantū’’ti sāmikānaṃ pesetabbaṃ. Sace na haranti, taṃ acālentena vihāro paṭijaggitabbo. Yuddhabhūmiyaṃ pana patitaṃ asiṃ vā sattiṃ vā tomaraṃ vā disvā pāsāṇena vā kenaci vā asiṃ bhinditvā satthakatthāya gahetuṃ vaṭṭati. Itarānipi viyojetvā kiñci satthakatthāya, kiñci kattaradaṇḍādiatthāya gahetuṃ vaṭṭati. ‘‘Idaṃ gaṇhathā’’ti dīyamānaṃ pana vināsetvā ‘‘kappiyabhaṇḍaṃ karissāmī’’ti sabbampi sampaṭicchituṃ vaṭṭati.

    มจฺฉชาลปกฺขิชาลาทีนิปิ ผลกชาลิกาทีนิปิ สรปริตฺตาณานิปิ สพฺพานิ อนามาสานิ, ปริโภคตฺถาย ลพฺภมาเนสุ ปน ชาลํ ตาว ‘‘อาสนสฺส วา เจติยสฺส วา อุปริ พนฺธิสฺสามิ, ฉตฺตํ วา เวเฐสฺสามี’’ติ คเหตุํ วฎฺฎติฯ สรปริตฺตาณํ สพฺพมฺปิ ภณฺฑมูลตฺถาย สมฺปฎิจฺฉิตุํ วฎฺฎติฯ ปรูปโรธนิวารณญฺหิ เอตํ, น อุปโรธกรนฺติฯ ผลกํ ‘‘ทนฺตกฎฺฐภาชนํ กริสฺสามี’’ติ คเหตุํ วฎฺฎติฯ

    Macchajālapakkhijālādīnipi phalakajālikādīnipi saraparittāṇānipi sabbāni anāmāsāni, paribhogatthāya labbhamānesu pana jālaṃ tāva ‘‘āsanassa vā cetiyassa vā upari bandhissāmi, chattaṃ vā veṭhessāmī’’ti gahetuṃ vaṭṭati. Saraparittāṇaṃ sabbampi bhaṇḍamūlatthāya sampaṭicchituṃ vaṭṭati. Parūparodhanivāraṇañhi etaṃ, na uparodhakaranti. Phalakaṃ ‘‘dantakaṭṭhabhājanaṃ karissāmī’’ti gahetuṃ vaṭṭati.

    จมฺมวินทฺธานิ วีณาเภริอาทีนิ อนามาสานิฯ กุรุนฺทิยํ ปน ‘‘เภริสงฺฆาโฎปิ วีณาสงฺฆาโฎปิ ตุจฺฉโปกฺขรมฺปิ มุขวฎฺฎิยํ อาโรปิตจมฺมมฺปิ วีณาทณฺฑโกปิ สพฺพํ อนามาส’’นฺติ วุตฺตํฯ โอนหิตุํ วา โอนหาเปตุํ วา วาเทตุํ วา วาทาเปตุํ วา น ลพฺภติเยวฯ เจติยงฺคเณ ปูชํ กตฺวา มนุเสฺสหิ ฉฑฺฑิตํ ทิสฺวาปิ อจาเลตฺวาว อนฺตรนฺตเร สมฺมชฺชิตพฺพํ, กจวรฉฑฺฑนกาเล ปน กจวรนิยาเมเนว หริตฺวา เอกมนฺตํ นิกฺขิปิตุํ วฎฺฎตีติ มหาปจฺจริยํ วุตฺตํฯ ภณฺฑมูลตฺถาย สมฺปฎิจฺฉิตุมฺปิ วฎฺฎติ, ปริโภคตฺถาย ลพฺภมาเนสุ ปน วีณาโทณิกญฺจ เภริโปกฺขรญฺจ ทนฺตกฎฺฐภาชนํ กริสฺสาม, จมฺมํ สตฺถกโกสกนฺติ เอวํ ตสฺส ตสฺส ปริกฺขารสฺส อุปกรณตฺถาย คเหตฺวา ตถา ตถา กาตุํ วฎฺฎติฯ

    Cammavinaddhāni vīṇābheriādīni anāmāsāni. Kurundiyaṃ pana ‘‘bherisaṅghāṭopi vīṇāsaṅghāṭopi tucchapokkharampi mukhavaṭṭiyaṃ āropitacammampi vīṇādaṇḍakopi sabbaṃ anāmāsa’’nti vuttaṃ. Onahituṃ vā onahāpetuṃ vā vādetuṃ vā vādāpetuṃ vā na labbhatiyeva. Cetiyaṅgaṇe pūjaṃ katvā manussehi chaḍḍitaṃ disvāpi acāletvāva antarantare sammajjitabbaṃ, kacavarachaḍḍanakāle pana kacavaraniyāmeneva haritvā ekamantaṃ nikkhipituṃ vaṭṭatīti mahāpaccariyaṃ vuttaṃ. Bhaṇḍamūlatthāya sampaṭicchitumpi vaṭṭati, paribhogatthāya labbhamānesu pana vīṇādoṇikañca bheripokkharañca dantakaṭṭhabhājanaṃ karissāma, cammaṃ satthakakosakanti evaṃ tassa tassa parikkhārassa upakaraṇatthāya gahetvā tathā tathā kātuṃ vaṭṭati.

    อิติ ปาฬิมุตฺตกวินยวินิจฺฉยสงฺคเห

    Iti pāḷimuttakavinayavinicchayasaṅgahe

    อนามาสวินิจฺฉยกถา สมตฺตาฯ

    Anāmāsavinicchayakathā samattā.





    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact