Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / มชฺฌิมนิกาย • Majjhimanikāya |
๕. อนงฺคณสุตฺตํ
5. Anaṅgaṇasuttaṃ
๕๗. เอวํ เม สุตํ – เอกํ สมยํ ภควา สาวตฺถิยํ วิหรติ เชตวเน อนาถปิณฺฑิกสฺส อาราเมฯ ตตฺร โข อายสฺมา สาริปุโตฺต ภิกฺขู อามเนฺตสิ – ‘‘อาวุโส, ภิกฺขเว’’ติฯ ‘‘อาวุโส’’ติ โข เต ภิกฺขู อายสฺมโต สาริปุตฺตสฺส ปจฺจโสฺสสุํฯ อายสฺมา สาริปุโตฺต เอตทโวจ –
57. Evaṃ me sutaṃ – ekaṃ samayaṃ bhagavā sāvatthiyaṃ viharati jetavane anāthapiṇḍikassa ārāme. Tatra kho āyasmā sāriputto bhikkhū āmantesi – ‘‘āvuso, bhikkhave’’ti. ‘‘Āvuso’’ti kho te bhikkhū āyasmato sāriputtassa paccassosuṃ. Āyasmā sāriputto etadavoca –
‘‘จตฺตาโรเม, อาวุโส, ปุคฺคลา สโนฺต สํวิชฺชมานา โลกสฺมิํฯ กตเม จตฺตาโร? อิธาวุโส, เอกโจฺจ ปุคฺคโล สางฺคโณว สมาโน ‘อตฺถิ เม อชฺฌตฺตํ องฺคณ’นฺติ ยถาภูตํ นปฺปชานาติฯ อิธ ปนาวุโส, เอกโจฺจ ปุคฺคโล สางฺคโณว สมาโน ‘อตฺถิ เม อชฺฌตฺตํ องฺคณ’นฺติ ยถาภูตํ ปชานาติฯ อิธาวุโส, เอกโจฺจ ปุคฺคโล อนงฺคโณว สมาโน ‘นตฺถิ เม อชฺฌตฺตํ องฺคณ’นฺติ ยถาภูตํ นปฺปชานาติฯ อิธ ปนาวุโส, เอกโจฺจ ปุคฺคโล อนงฺคโณว สมาโน ‘นตฺถิ เม อชฺฌตฺตํ องฺคณ’นฺติ ยถาภูตํ ปชานาติฯ ตตฺราวุโส, ยฺวายํ ปุคฺคโล สางฺคโณว สมาโน ‘อตฺถิ เม อชฺฌตฺตํ องฺคณ’นฺติ ยถาภูตํ นปฺปชานาติ, อยํ อิเมสํ ทฺวินฺนํ ปุคฺคลานํ สางฺคณานํเยว สตํ หีนปุริโส อกฺขายติฯ ตตฺราวุโส, ยฺวายํ ปุคฺคโล สางฺคโณว สมาโน ‘อตฺถิ เม อชฺฌตฺตํ องฺคณ’นฺติ ยถาภูตํ ปชานาติ, อยํ อิเมสํ ทฺวินฺนํ ปุคฺคลานํ สางฺคณานํเยว สตํ เสฎฺฐปุริโส อกฺขายติ ฯ ตตฺราวุโส, ยฺวายํ ปุคฺคโล อนงฺคโณว สมาโน ‘นตฺถิ เม อชฺฌตฺตํ องฺคณ’นฺติ ยถาภูตํ นปฺปชานาติ, อยํ อิเมสํ ทฺวินฺนํ ปุคฺคลานํ อนงฺคณานํเยว สตํ หีนปุริโส อกฺขายติฯ ตตฺราวุโส, ยฺวายํ ปุคฺคโล อนงฺคโณว สมาโน ‘นตฺถิ เม อชฺฌตฺตํ องฺคณ’นฺติ ยถาภูตํ ปชานาติ, อยํ อิเมสํ ทฺวินฺนํ ปุคฺคลานํ อนงฺคณานํเยว สตํ เสฎฺฐปุริโส อกฺขายตี’’ติฯ
‘‘Cattārome, āvuso, puggalā santo saṃvijjamānā lokasmiṃ. Katame cattāro? Idhāvuso, ekacco puggalo sāṅgaṇova samāno ‘atthi me ajjhattaṃ aṅgaṇa’nti yathābhūtaṃ nappajānāti. Idha panāvuso, ekacco puggalo sāṅgaṇova samāno ‘atthi me ajjhattaṃ aṅgaṇa’nti yathābhūtaṃ pajānāti. Idhāvuso, ekacco puggalo anaṅgaṇova samāno ‘natthi me ajjhattaṃ aṅgaṇa’nti yathābhūtaṃ nappajānāti. Idha panāvuso, ekacco puggalo anaṅgaṇova samāno ‘natthi me ajjhattaṃ aṅgaṇa’nti yathābhūtaṃ pajānāti. Tatrāvuso, yvāyaṃ puggalo sāṅgaṇova samāno ‘atthi me ajjhattaṃ aṅgaṇa’nti yathābhūtaṃ nappajānāti, ayaṃ imesaṃ dvinnaṃ puggalānaṃ sāṅgaṇānaṃyeva sataṃ hīnapuriso akkhāyati. Tatrāvuso, yvāyaṃ puggalo sāṅgaṇova samāno ‘atthi me ajjhattaṃ aṅgaṇa’nti yathābhūtaṃ pajānāti, ayaṃ imesaṃ dvinnaṃ puggalānaṃ sāṅgaṇānaṃyeva sataṃ seṭṭhapuriso akkhāyati . Tatrāvuso, yvāyaṃ puggalo anaṅgaṇova samāno ‘natthi me ajjhattaṃ aṅgaṇa’nti yathābhūtaṃ nappajānāti, ayaṃ imesaṃ dvinnaṃ puggalānaṃ anaṅgaṇānaṃyeva sataṃ hīnapuriso akkhāyati. Tatrāvuso, yvāyaṃ puggalo anaṅgaṇova samāno ‘natthi me ajjhattaṃ aṅgaṇa’nti yathābhūtaṃ pajānāti, ayaṃ imesaṃ dvinnaṃ puggalānaṃ anaṅgaṇānaṃyeva sataṃ seṭṭhapuriso akkhāyatī’’ti.
๕๘. เอวํ วุเตฺต, อายสฺมา มหาโมคฺคลฺลาโน อายสฺมนฺตํ สาริปุตฺตํ เอตทโวจ –
58. Evaṃ vutte, āyasmā mahāmoggallāno āyasmantaṃ sāriputtaṃ etadavoca –
‘‘โก นุ โข, อาวุโส สาริปุตฺต, เหตุ โก ปจฺจโย เยนิเมสํ ทฺวินฺนํ ปุคฺคลานํ สางฺคณานํเยว สตํ เอโก หีนปุริโส อกฺขายติ, เอโก เสฎฺฐปุริโส อกฺขายติ? โก ปนาวุโส สาริปุตฺต, เหตุ โก ปจฺจโย เยนิเมสํ ทฺวินฺนํ ปุคฺคลานํ อนงฺคณานํเยว สตํ เอโก หีนปุริโส อกฺขายติ, เอโก เสฎฺฐปุริโส อกฺขายตี’’ติ?
‘‘Ko nu kho, āvuso sāriputta, hetu ko paccayo yenimesaṃ dvinnaṃ puggalānaṃ sāṅgaṇānaṃyeva sataṃ eko hīnapuriso akkhāyati, eko seṭṭhapuriso akkhāyati? Ko panāvuso sāriputta, hetu ko paccayo yenimesaṃ dvinnaṃ puggalānaṃ anaṅgaṇānaṃyeva sataṃ eko hīnapuriso akkhāyati, eko seṭṭhapuriso akkhāyatī’’ti?
๕๙. ‘‘ตตฺราวุโส, ยฺวายํ ปุคฺคโล สางฺคโณว สมาโน ‘อตฺถิ เม อชฺฌตฺตํ องฺคณ’นฺติ ยถาภูตํ นปฺปชานาติ, ตเสฺสตํ ปาฎิกงฺขํ – น ฉนฺทํ ชเนสฺสติ น วายมิสฺสติ น วีริยํ อารภิสฺสติ ตสฺสงฺคณสฺส ปหานาย; โส สราโค สโทโส สโมโห สางฺคโณ สํกิลิฎฺฐจิโตฺต กาลํ กริสฺสติฯ เสยฺยถาปิ, อาวุโส, กํสปาติ อาภตา อาปณา วา กมฺมารกุลา วา รเชน จ มเลน จ ปริโยนทฺธาฯ ตเมนํ สามิกา น เจว ปริภุเญฺชยฺยุํ น จ ปริโยทเปยฺยุํ 1, รชาปเถ จ นํ นิกฺขิเปยฺยุํฯ เอวญฺหิ สา, อาวุโส, กํสปาติ อปเรน สมเยน สํกิลิฎฺฐตรา อสฺส มลคฺคหิตา’’ติ? ‘‘เอวมาวุโส’’ติฯ ‘‘เอวเมว โข, อาวุโส, ยฺวายํ ปุคฺคโล สางฺคโณว สมาโน ‘อตฺถิ เม อชฺฌตฺตํ องฺคณ’นฺติ ยถาภูตํ นปฺปชานาติ, ตเสฺสตํ ปาฎิกงฺขํ – น ฉนฺทํ ชเนสฺสติ น วายมิสฺสติ น วีริยํ อารภิสฺสติ ตสฺสงฺคณสฺส ปหานาย; โส สราโค สโทโส สโมโห สางฺคโณ สํกิลิฎฺฐจิโตฺต กาลํ กริสฺสติฯ
59. ‘‘Tatrāvuso, yvāyaṃ puggalo sāṅgaṇova samāno ‘atthi me ajjhattaṃ aṅgaṇa’nti yathābhūtaṃ nappajānāti, tassetaṃ pāṭikaṅkhaṃ – na chandaṃ janessati na vāyamissati na vīriyaṃ ārabhissati tassaṅgaṇassa pahānāya; so sarāgo sadoso samoho sāṅgaṇo saṃkiliṭṭhacitto kālaṃ karissati. Seyyathāpi, āvuso, kaṃsapāti ābhatā āpaṇā vā kammārakulā vā rajena ca malena ca pariyonaddhā. Tamenaṃ sāmikā na ceva paribhuñjeyyuṃ na ca pariyodapeyyuṃ 2, rajāpathe ca naṃ nikkhipeyyuṃ. Evañhi sā, āvuso, kaṃsapāti aparena samayena saṃkiliṭṭhatarā assa malaggahitā’’ti? ‘‘Evamāvuso’’ti. ‘‘Evameva kho, āvuso, yvāyaṃ puggalo sāṅgaṇova samāno ‘atthi me ajjhattaṃ aṅgaṇa’nti yathābhūtaṃ nappajānāti, tassetaṃ pāṭikaṅkhaṃ – na chandaṃ janessati na vāyamissati na vīriyaṃ ārabhissati tassaṅgaṇassa pahānāya; so sarāgo sadoso samoho sāṅgaṇo saṃkiliṭṭhacitto kālaṃ karissati.
‘‘ตตฺราวุโส, ยฺวายํ ปุคฺคโล สางฺคโณว สมาโน ‘อตฺถิ เม อชฺฌตฺตํ องฺคณ’นฺติ ยถาภูตํ ปชานาติ, ตเสฺสตํ ปาฎิกงฺขํ – ฉนฺทํ ชเนสฺสติ วายมิสฺสติ วีริยํ อารภิสฺสติ ตสฺสงฺคณสฺส ปหานาย; โส อราโค อโทโส อโมโห อนงฺคโณ อสํกิลิฎฺฐจิโตฺต กาลํ กริสฺสติฯ เสยฺยถาปิ, อาวุโส, กํสปาติ อาภตา อาปณา วา กมฺมารกุลา วา รเชน จ มเลน จ ปริโยนทฺธาฯ ตเมนํ สามิกา ปริภุเญฺชยฺยุเญฺจว ปริโยทเปยฺยุญฺจ, น จ นํ รชาปเถ นิกฺขิเปยฺยุํฯ เอวญฺหิ สา, อาวุโส, กํสปาติ อปเรน สมเยน ปริสุทฺธตรา อสฺส ปริโยทาตา’’ติ? ‘‘เอวมาวุโส’’ติฯ ‘‘เอวเมว โข, อาวุโส, ยฺวายํ ปุคฺคโล สางฺคโณว สมาโน ‘อตฺถิ เม อชฺฌตฺตํ องฺคณ’นฺติ ยถาภูตํ ปชานาติ, ตเสฺสตํ ปาฎิกงฺขํ – ฉนฺทํ ชเนสฺสติ วายมิสฺสติ วีริยํ อารภิสฺสติ ตสฺสงฺคณสฺส ปหานาย; โส อราโค อโทโส อโมโห อนงฺคโณ อสํกิลิฎฺฐจิโตฺต กาลํ กริสฺสติฯ
‘‘Tatrāvuso, yvāyaṃ puggalo sāṅgaṇova samāno ‘atthi me ajjhattaṃ aṅgaṇa’nti yathābhūtaṃ pajānāti, tassetaṃ pāṭikaṅkhaṃ – chandaṃ janessati vāyamissati vīriyaṃ ārabhissati tassaṅgaṇassa pahānāya; so arāgo adoso amoho anaṅgaṇo asaṃkiliṭṭhacitto kālaṃ karissati. Seyyathāpi, āvuso, kaṃsapāti ābhatā āpaṇā vā kammārakulā vā rajena ca malena ca pariyonaddhā. Tamenaṃ sāmikā paribhuñjeyyuñceva pariyodapeyyuñca, na ca naṃ rajāpathe nikkhipeyyuṃ. Evañhi sā, āvuso, kaṃsapāti aparena samayena parisuddhatarā assa pariyodātā’’ti? ‘‘Evamāvuso’’ti. ‘‘Evameva kho, āvuso, yvāyaṃ puggalo sāṅgaṇova samāno ‘atthi me ajjhattaṃ aṅgaṇa’nti yathābhūtaṃ pajānāti, tassetaṃ pāṭikaṅkhaṃ – chandaṃ janessati vāyamissati vīriyaṃ ārabhissati tassaṅgaṇassa pahānāya; so arāgo adoso amoho anaṅgaṇo asaṃkiliṭṭhacitto kālaṃ karissati.
‘‘ตตฺราวุโส , ยฺวายํ ปุคฺคโล อนงฺคโณว สมาโน ‘นตฺถิ เม อชฺฌตฺตํ องฺคณ’นฺติ ยถาภูตํ นปฺปชานาติ, ตเสฺสตํ ปาฎิกงฺขํ – สุภนิมิตฺตํ มนสิ กริสฺสติ, ตสฺส สุภนิมิตฺตสฺส มนสิการา ราโค จิตฺตํ อนุทฺธํเสสฺสติ; โส สราโค สโทโส สโมโห สางฺคโณ สํกิลิฎฺฐจิโตฺต กาลํ กริสฺสติฯ เสยฺยถาปิ, อาวุโส, กํสปาติ อาภตา อาปณา วา กมฺมารกุลา วา ปริสุทฺธา ปริโยทาตาฯ ตเมนํ สามิกา น เจว ปริภุเญฺชยฺยุํ น จ ปริโยทเปยฺยุํ, รชาปเถ จ นํ นิกฺขิเปยฺยุํฯ เอวญฺหิ สา, อาวุโส, กํสปาติ อปเรน สมเยน สํกิลิฎฺฐตรา อสฺส มลคฺคหิตา’’ติ? ‘‘เอวมาวุโส’’ติฯ ‘‘เอวเมว โข, อาวุโส, ยฺวายํ ปุคฺคโล อนงฺคโณว สมาโน ‘นตฺถิ เม อชฺฌตฺตํ องฺคณ’นฺติ ยถาภูตํ นปฺปชานาติ, ตเสฺสตํ ปาฎิกงฺขํ – สุภนิมิตฺตํ มนสิ กริสฺสติ, ตสฺส สุภนิมิตฺตสฺส มนสิการา ราโค จิตฺตํ อนุทฺธํเสสฺสติ;โส สราโค สโทโส สโมโห สางฺคโณ สํกิลิฎฺฐจิโตฺตกาลํกริสฺสติฯ
‘‘Tatrāvuso , yvāyaṃ puggalo anaṅgaṇova samāno ‘natthi me ajjhattaṃ aṅgaṇa’nti yathābhūtaṃ nappajānāti, tassetaṃ pāṭikaṅkhaṃ – subhanimittaṃ manasi karissati, tassa subhanimittassa manasikārā rāgo cittaṃ anuddhaṃsessati; so sarāgo sadoso samoho sāṅgaṇo saṃkiliṭṭhacitto kālaṃ karissati. Seyyathāpi, āvuso, kaṃsapāti ābhatā āpaṇā vā kammārakulā vā parisuddhā pariyodātā. Tamenaṃ sāmikā na ceva paribhuñjeyyuṃ na ca pariyodapeyyuṃ, rajāpathe ca naṃ nikkhipeyyuṃ. Evañhi sā, āvuso, kaṃsapāti aparena samayena saṃkiliṭṭhatarā assa malaggahitā’’ti? ‘‘Evamāvuso’’ti. ‘‘Evameva kho, āvuso, yvāyaṃ puggalo anaṅgaṇova samāno ‘natthi me ajjhattaṃ aṅgaṇa’nti yathābhūtaṃ nappajānāti, tassetaṃ pāṭikaṅkhaṃ – subhanimittaṃ manasi karissati, tassa subhanimittassa manasikārā rāgo cittaṃ anuddhaṃsessati;so sarāgo sadoso samoho sāṅgaṇo saṃkiliṭṭhacittokālaṃkarissati.
‘‘ตตฺราวุโส, ยฺวายํ ปุคฺคโล อนงฺคโณว สมาโน ‘นตฺถิ เม อชฺฌตฺตํ องฺคณ’นฺติ ยถาภูตํ ปชานาติ, ตเสฺสตํ ปาฎิกงฺขํ – สุภนิมิตฺตํ น มนสิ กริสฺสติ, ตสฺส สุภนิมิตฺตสฺส อมนสิการา ราโค จิตฺตํ นานุทฺธํเสสฺสติ; โส อราโค อโทโส อโมโห อนงฺคโณ อสํกิลิฎฺฐจิโตฺต กาลํ กริสฺสติฯ เสยฺยถาปิ, อาวุโส, กํสปาติ อาภตา อาปณา วา กมฺมารกุลา วา ปริสุทฺธา ปริโยทาตาฯ ตเมนํ สามิกา ปริภุเญฺชยฺยุเญฺจว ปริโยทเปยฺยุญฺจ, น จ นํ รชาปเถ นิกฺขิเปยฺยุํฯ เอวญฺหิ สา, อาวุโส, กํสปาติ อปเรน สมเยน ปริสุทฺธตรา อสฺส ปริโยทาตา’’ติ? ‘‘เอวมาวุโส’’ติฯ ‘‘เอวเมว โข, อาวุโส, ยฺวายํ ปุคฺคโล อนงฺคโณว สมาโน ‘นตฺถิ เม อชฺฌตฺตํ องฺคณ’นฺติ ยถาภูตํ ปชานาติ, ตเสฺสตํ ปาฎิกงฺขํ – สุภนิมิตฺตํ น มนสิ กริสฺสติ, ตสฺส สุภนิมิตฺตสฺส อมนสิการา ราโค จิตฺตํ นานุทฺธํเสสฺสติ; โส อราโค อโทโส อโมโห อนงฺคโณ อสํกิลิฎฺฐจิโตฺต กาลํ กริสฺสติฯ
‘‘Tatrāvuso, yvāyaṃ puggalo anaṅgaṇova samāno ‘natthi me ajjhattaṃ aṅgaṇa’nti yathābhūtaṃ pajānāti, tassetaṃ pāṭikaṅkhaṃ – subhanimittaṃ na manasi karissati, tassa subhanimittassa amanasikārā rāgo cittaṃ nānuddhaṃsessati; so arāgo adoso amoho anaṅgaṇo asaṃkiliṭṭhacitto kālaṃ karissati. Seyyathāpi, āvuso, kaṃsapāti ābhatā āpaṇā vā kammārakulā vā parisuddhā pariyodātā. Tamenaṃ sāmikā paribhuñjeyyuñceva pariyodapeyyuñca, na ca naṃ rajāpathe nikkhipeyyuṃ. Evañhi sā, āvuso, kaṃsapāti aparena samayena parisuddhatarā assa pariyodātā’’ti? ‘‘Evamāvuso’’ti. ‘‘Evameva kho, āvuso, yvāyaṃ puggalo anaṅgaṇova samāno ‘natthi me ajjhattaṃ aṅgaṇa’nti yathābhūtaṃ pajānāti, tassetaṃ pāṭikaṅkhaṃ – subhanimittaṃ na manasi karissati, tassa subhanimittassa amanasikārā rāgo cittaṃ nānuddhaṃsessati; so arāgo adoso amoho anaṅgaṇo asaṃkiliṭṭhacitto kālaṃ karissati.
‘‘อยํ โข, อาวุโส โมคฺคลฺลาน , เหตุ อยํ ปจฺจโย เยนิเมสํ ทฺวินฺนํ ปุคฺคลานํ สางฺคณานํเยว สตํ เอโก หีนปุริโส อกฺขายติ, เอโก เสฎฺฐปุริโส อกฺขายติฯ อยํ ปนาวุโส โมคฺคลฺลาน, เหตุ อยํ ปจฺจโย เยนิเมสํ ทฺวินฺนํ ปุคฺคลานํ อนงฺคณานํเยว สตํ เอโก หีนปุริโส อกฺขายติ, เอโก เสฎฺฐปุริโส อกฺขายตี’’ติฯ
‘‘Ayaṃ kho, āvuso moggallāna , hetu ayaṃ paccayo yenimesaṃ dvinnaṃ puggalānaṃ sāṅgaṇānaṃyeva sataṃ eko hīnapuriso akkhāyati, eko seṭṭhapuriso akkhāyati. Ayaṃ panāvuso moggallāna, hetu ayaṃ paccayo yenimesaṃ dvinnaṃ puggalānaṃ anaṅgaṇānaṃyeva sataṃ eko hīnapuriso akkhāyati, eko seṭṭhapuriso akkhāyatī’’ti.
๖๐. ‘‘องฺคณํ องฺคณนฺติ, อาวุโส, วุจฺจติฯ กิสฺส นุ โข เอตํ, อาวุโส, อธิวจนํ ยทิทํ องฺคณ’’นฺติ? ‘‘ปาปกานํ โข เอตํ, อาวุโส, อกุสลานํ อิจฺฉาวจรานํ อธิวจนํ, ยทิทํ องฺคณ’’นฺติฯ
60. ‘‘Aṅgaṇaṃ aṅgaṇanti, āvuso, vuccati. Kissa nu kho etaṃ, āvuso, adhivacanaṃ yadidaṃ aṅgaṇa’’nti? ‘‘Pāpakānaṃ kho etaṃ, āvuso, akusalānaṃ icchāvacarānaṃ adhivacanaṃ, yadidaṃ aṅgaṇa’’nti.
‘‘ฐานํ โข ปเนตํ, อาวุโส, วิชฺชติ ยํ อิเธกจฺจสฺส ภิกฺขุโน เอวํ อิจฺฉา อุปฺปเชฺชยฺย – ‘อาปตฺติญฺจ วต อาปโนฺน อสฺสํ, น จ มํ ภิกฺขู ชาเนยฺยุํ อาปตฺติํ อาปโนฺน’ติฯ ฐานํ โข ปเนตํ, อาวุโส, วิชฺชติ ยํ ตํ ภิกฺขุํ ภิกฺขู ชาเนยฺยุํ – ‘อาปตฺติํ อาปโนฺน’ติฯ ‘ชานนฺติ มํ ภิกฺขู อาปตฺติํ อาปโนฺน’ติ – อิติ โส กุปิโต โหติ อปฺปตีโตฯ โย เจว โข, อาวุโส, โกโป โย จ อปฺปจฺจโย – อุภยเมตํ องฺคณํฯ
‘‘Ṭhānaṃ kho panetaṃ, āvuso, vijjati yaṃ idhekaccassa bhikkhuno evaṃ icchā uppajjeyya – ‘āpattiñca vata āpanno assaṃ, na ca maṃ bhikkhū jāneyyuṃ āpattiṃ āpanno’ti. Ṭhānaṃ kho panetaṃ, āvuso, vijjati yaṃ taṃ bhikkhuṃ bhikkhū jāneyyuṃ – ‘āpattiṃ āpanno’ti. ‘Jānanti maṃ bhikkhū āpattiṃ āpanno’ti – iti so kupito hoti appatīto. Yo ceva kho, āvuso, kopo yo ca appaccayo – ubhayametaṃ aṅgaṇaṃ.
‘‘ฐานํ โข ปเนตํ, อาวุโส, วิชฺชติ ยํ อิเธกจฺจสฺส ภิกฺขุโน เอวํ อิจฺฉา อุปฺปเชฺชยฺย – ‘อาปตฺติญฺจ วต อาปโนฺน อสฺสํ, อนุรโห มํ ภิกฺขู โจเทยฺยุํ, โน สงฺฆมเชฺฌ’ติฯ ฐานํ โข ปเนตํ, อาวุโส, วิชฺชติ ยํ ตํ ภิกฺขุํ ภิกฺขู สงฺฆมเชฺฌ โจเทยฺยุํ, โน อนุรโหฯ ‘สงฺฆมเชฺฌ มํ ภิกฺขู โจเทนฺติ, โน อนุรโห’ติ – อิติ โส กุปิโต โหติ อปฺปตีโตฯ โย เจว โข, อาวุโส, โกโป โย จ อปฺปจฺจโย – อุภยเมตํ องฺคณํฯ
‘‘Ṭhānaṃ kho panetaṃ, āvuso, vijjati yaṃ idhekaccassa bhikkhuno evaṃ icchā uppajjeyya – ‘āpattiñca vata āpanno assaṃ, anuraho maṃ bhikkhū codeyyuṃ, no saṅghamajjhe’ti. Ṭhānaṃ kho panetaṃ, āvuso, vijjati yaṃ taṃ bhikkhuṃ bhikkhū saṅghamajjhe codeyyuṃ, no anuraho. ‘Saṅghamajjhe maṃ bhikkhū codenti, no anuraho’ti – iti so kupito hoti appatīto. Yo ceva kho, āvuso, kopo yo ca appaccayo – ubhayametaṃ aṅgaṇaṃ.
‘‘ฐานํ โข ปเนตํ, อาวุโส, วิชฺชติ ยํ อิเธกจฺจสฺส ภิกฺขุโน เอวํ อิจฺฉา อุปฺปเชฺชยฺย – ‘อาปตฺติญฺจ วต อาปโนฺน อสฺสํ, สปฺปฎิปุคฺคโล มํ โจเทยฺย, โน อปฺปฎิปุคฺคโล’ติฯ ฐานํ โข ปเนตํ, อาวุโส, วิชฺชติ ยํ ตํ ภิกฺขุํ อปฺปฎิปุคฺคโล โจเทยฺย, โน สปฺปฎิปุคฺคโลฯ ‘อปฺปฎิปุคฺคโล มํ โจเทติ, โน สปฺปฎิปุคฺคโล’ติ – อิติ โส กุปิโต โหติ อปฺปตีโตฯ โย เจว โข, อาวุโส, โกโป โย จ อปฺปจฺจโย – อุภยเมตํ องฺคณํฯ
‘‘Ṭhānaṃ kho panetaṃ, āvuso, vijjati yaṃ idhekaccassa bhikkhuno evaṃ icchā uppajjeyya – ‘āpattiñca vata āpanno assaṃ, sappaṭipuggalo maṃ codeyya, no appaṭipuggalo’ti. Ṭhānaṃ kho panetaṃ, āvuso, vijjati yaṃ taṃ bhikkhuṃ appaṭipuggalo codeyya, no sappaṭipuggalo. ‘Appaṭipuggalo maṃ codeti, no sappaṭipuggalo’ti – iti so kupito hoti appatīto. Yo ceva kho, āvuso, kopo yo ca appaccayo – ubhayametaṃ aṅgaṇaṃ.
‘‘ฐานํ โข ปเนตํ, อาวุโส, วิชฺชติ ยํ อิเธกจฺจสฺส ภิกฺขุโน เอวํ อิจฺฉา อุปฺปเชฺชยฺย – ‘อโห วต มเมว สตฺถา ปฎิปุจฺฉิตฺวา ปฎิปุจฺฉิตฺวา ภิกฺขูนํ ธมฺมํ เทเสยฺย, น อญฺญํ ภิกฺขุํ สตฺถา ปฎิปุจฺฉิตฺวา ปฎิปุจฺฉิตฺวา ภิกฺขูนํ ธมฺมํ เทเสยฺยา’ติฯ ฐานํ โข ปเนตํ, อาวุโส, วิชฺชติ ยํ อญฺญํ ภิกฺขุํ สตฺถา ปฎิปุจฺฉิตฺวา ปฎิปุจฺฉิตฺวา ภิกฺขูนํ ธมฺมํ เทเสยฺย, น ตํ ภิกฺขุํ สตฺถา ปฎิปุจฺฉิตฺวา ปฎิปุจฺฉิตฺวา ภิกฺขูนํ ธมฺมํ เทเสยฺยฯ ‘อญฺญํ ภิกฺขุํ สตฺถา ปฎิปุจฺฉิตฺวา ปฎิปุจฺฉิตฺวา ภิกฺขูนํ ธมฺมํ เทเสติ, น มํ สตฺถา ปฎิปุจฺฉิตฺวา ปฎิปุจฺฉิตฺวา ภิกฺขูนํ ธมฺมํ เทเสตี’ติ – อิติ โส กุปิโต โหติ อปฺปตีโตฯ โย เจว โข, อาวุโส, โกโป โย จ อปฺปจฺจโย – อุภยเมตํ องฺคณํฯ
‘‘Ṭhānaṃ kho panetaṃ, āvuso, vijjati yaṃ idhekaccassa bhikkhuno evaṃ icchā uppajjeyya – ‘aho vata mameva satthā paṭipucchitvā paṭipucchitvā bhikkhūnaṃ dhammaṃ deseyya, na aññaṃ bhikkhuṃ satthā paṭipucchitvā paṭipucchitvā bhikkhūnaṃ dhammaṃ deseyyā’ti. Ṭhānaṃ kho panetaṃ, āvuso, vijjati yaṃ aññaṃ bhikkhuṃ satthā paṭipucchitvā paṭipucchitvā bhikkhūnaṃ dhammaṃ deseyya, na taṃ bhikkhuṃ satthā paṭipucchitvā paṭipucchitvā bhikkhūnaṃ dhammaṃ deseyya. ‘Aññaṃ bhikkhuṃ satthā paṭipucchitvā paṭipucchitvā bhikkhūnaṃ dhammaṃ deseti, na maṃ satthā paṭipucchitvā paṭipucchitvā bhikkhūnaṃ dhammaṃ desetī’ti – iti so kupito hoti appatīto. Yo ceva kho, āvuso, kopo yo ca appaccayo – ubhayametaṃ aṅgaṇaṃ.
‘‘ฐานํ โข ปเนตํ, อาวุโส, วิชฺชติ ยํ อิเธกจฺจสฺส ภิกฺขุโน เอวํ อิจฺฉา อุปฺปเชฺชยฺย – ‘อโห วต มเมว ภิกฺขู ปุรกฺขตฺวา ปุรกฺขตฺวา คามํ ภตฺตาย ปวิเสยฺยุํ, น อญฺญํ ภิกฺขุํ ภิกฺขู ปุรกฺขตฺวา ปุรกฺขตฺวา คามํ ภตฺตาย ปวิเสยฺยุ’นฺติฯ ฐานํ โข ปเนตํ, อาวุโส, วิชฺชติ ยํ อญฺญํ ภิกฺขุํ ภิกฺขู ปุรกฺขตฺวา ปุรกฺขตฺวา คามํ ภตฺตาย ปวิเสยฺยุํ, น ตํ ภิกฺขุํ ภิกฺขู ปุรกฺขตฺวา ปุรกฺขตฺวา คามํ ภตฺตาย ปวิเสยฺยุํฯ ‘อญฺญํ ภิกฺขุํ ภิกฺขู ปุรกฺขตฺวา ปุรกฺขตฺวา คามํ ภตฺตาย ปวิสนฺติ, น มํ ภิกฺขู ปุรกฺขตฺวา ปุรกฺขตฺวา คามํ ภตฺตาย ปวิสนฺตี’ติ – อิติ โส กุปิโต โหติ อปฺปตีโตฯ โย เจว โข, อาวุโส, โกโป โย จ อปฺปจฺจโย – อุภยเมตํ องฺคณํฯ
‘‘Ṭhānaṃ kho panetaṃ, āvuso, vijjati yaṃ idhekaccassa bhikkhuno evaṃ icchā uppajjeyya – ‘aho vata mameva bhikkhū purakkhatvā purakkhatvā gāmaṃ bhattāya paviseyyuṃ, na aññaṃ bhikkhuṃ bhikkhū purakkhatvā purakkhatvā gāmaṃ bhattāya paviseyyu’nti. Ṭhānaṃ kho panetaṃ, āvuso, vijjati yaṃ aññaṃ bhikkhuṃ bhikkhū purakkhatvā purakkhatvā gāmaṃ bhattāya paviseyyuṃ, na taṃ bhikkhuṃ bhikkhū purakkhatvā purakkhatvā gāmaṃ bhattāya paviseyyuṃ. ‘Aññaṃ bhikkhuṃ bhikkhū purakkhatvā purakkhatvā gāmaṃ bhattāya pavisanti, na maṃ bhikkhū purakkhatvā purakkhatvā gāmaṃ bhattāya pavisantī’ti – iti so kupito hoti appatīto. Yo ceva kho, āvuso, kopo yo ca appaccayo – ubhayametaṃ aṅgaṇaṃ.
‘‘ฐานํ โข ปเนตํ, อาวุโส, วิชฺชติ ยํ อิเธกจฺจสฺส ภิกฺขุโน เอวํ อิจฺฉา อุปฺปเชฺชยฺย – ‘อโห วต อหเมว ลเภยฺยํ ภตฺตเคฺค อคฺคาสนํ อโคฺคทกํ อคฺคปิณฺฑํ, น อโญฺญ ภิกฺขุ ลเภยฺย ภตฺตเคฺค อคฺคาสนํ อโคฺคทกํ อคฺคปิณฺฑ’นฺติฯ ฐานํ โข ปเนตํ, อาวุโส, วิชฺชติ ยํ อโญฺญ ภิกฺขุ ลเภยฺย ภตฺตเคฺค อคฺคาสนํ อโคฺคทกํ อคฺคปิณฺฑํ, น โส ภิกฺขุ ลเภยฺย ภตฺตเคฺค อคฺคาสนํ อโคฺคทกํ อคฺคปิณฺฑํฯ ‘อโญฺญ ภิกฺขุ ลภติ ภตฺตเคฺค อคฺคาสนํ อโคฺคทกํ อคฺคปิณฺฑํ, นาหํ ลภามิ ภตฺตเคฺค อคฺคาสนํ อโคฺคทกํ อคฺคปิณฺฑ’นฺติ – อิติ โส กุปิโต โหติ อปฺปตีโตฯ โย เจว โข, อาวุโส, โกโป โย จ อปฺปจฺจโย – อุภยเมตํ องฺคณํฯ
‘‘Ṭhānaṃ kho panetaṃ, āvuso, vijjati yaṃ idhekaccassa bhikkhuno evaṃ icchā uppajjeyya – ‘aho vata ahameva labheyyaṃ bhattagge aggāsanaṃ aggodakaṃ aggapiṇḍaṃ, na añño bhikkhu labheyya bhattagge aggāsanaṃ aggodakaṃ aggapiṇḍa’nti. Ṭhānaṃ kho panetaṃ, āvuso, vijjati yaṃ añño bhikkhu labheyya bhattagge aggāsanaṃ aggodakaṃ aggapiṇḍaṃ, na so bhikkhu labheyya bhattagge aggāsanaṃ aggodakaṃ aggapiṇḍaṃ. ‘Añño bhikkhu labhati bhattagge aggāsanaṃ aggodakaṃ aggapiṇḍaṃ, nāhaṃ labhāmi bhattagge aggāsanaṃ aggodakaṃ aggapiṇḍa’nti – iti so kupito hoti appatīto. Yo ceva kho, āvuso, kopo yo ca appaccayo – ubhayametaṃ aṅgaṇaṃ.
‘‘ฐานํ โข ปเนตํ, อาวุโส, วิชฺชติ ยํ อิเธกจฺจสฺส ภิกฺขุโน เอวํ อิจฺฉา อุปฺปเชฺชยฺย – ‘อโห วต อหเมว ภตฺตเคฺค ภุตฺตาวี อนุโมเทยฺยํ, น อโญฺญ ภิกฺขุ ภตฺตเคฺค ภุตฺตาวี อนุโมเทยฺยา’ติฯ ฐานํ โข ปเนตํ, อาวุโส, วิชฺชติ ยํ อโญฺญ ภิกฺขุ ภตฺตเคฺค ภุตฺตาวี อนุโมเทยฺย, น โส ภิกฺขุ ภตฺตเคฺค ภุตฺตาวี อนุโมเทยฺยฯ ‘อโญฺญ ภิกฺขุ ภตฺตเคฺค ภุตฺตาวี อนุโมทติ, นาหํ ภตฺตเคฺค ภุตฺตาวี อนุโมทามี’ติ – อิติ โส กุปิโต โหติ อปฺปตีโตฯ โย เจว โข, อาวุโส, โกโป โย จ อปฺปจฺจโย – อุภยเมตํ องฺคณํฯ
‘‘Ṭhānaṃ kho panetaṃ, āvuso, vijjati yaṃ idhekaccassa bhikkhuno evaṃ icchā uppajjeyya – ‘aho vata ahameva bhattagge bhuttāvī anumodeyyaṃ, na añño bhikkhu bhattagge bhuttāvī anumodeyyā’ti. Ṭhānaṃ kho panetaṃ, āvuso, vijjati yaṃ añño bhikkhu bhattagge bhuttāvī anumodeyya, na so bhikkhu bhattagge bhuttāvī anumodeyya. ‘Añño bhikkhu bhattagge bhuttāvī anumodati, nāhaṃ bhattagge bhuttāvī anumodāmī’ti – iti so kupito hoti appatīto. Yo ceva kho, āvuso, kopo yo ca appaccayo – ubhayametaṃ aṅgaṇaṃ.
‘‘ฐานํ โข ปเนตํ, อาวุโส, วิชฺชติ ยํ อิเธกจฺจสฺส ภิกฺขุโน เอวํ อิจฺฉา อุปฺปเชฺชยฺย – ‘อโห วต อหเมว อารามคตานํ ภิกฺขูนํ ธมฺมํ เทเสยฺยํ, น อโญฺญ ภิกฺขุ อารามคตานํ ภิกฺขูนํ ธมฺมํ เทเสยฺยา’ติฯ ฐานํ โข ปเนตํ, อาวุโส, วิชฺชติ ยํ อโญฺญ ภิกฺขุ อารามคตานํ ภิกฺขูนํ ธมฺมํ เทเสยฺย, น โส ภิกฺขุ อารามคตานํ ภิกฺขูนํ ธมฺมํ เทเสยฺยฯ ‘อโญฺญ ภิกฺขุ อารามคตานํ ภิกฺขูนํ ธมฺมํ เทเสติ, นาหํ อารามคตานํ ภิกฺขูนํ ธมฺมํ เทเสมี’ติ – อิติ โส กุปิโต โหติ อปฺปตีโตฯ โย เจว โข, อาวุโส, โกโป โย จ อปฺปจฺจโย – อุภยเมตํ องฺคณํฯ
‘‘Ṭhānaṃ kho panetaṃ, āvuso, vijjati yaṃ idhekaccassa bhikkhuno evaṃ icchā uppajjeyya – ‘aho vata ahameva ārāmagatānaṃ bhikkhūnaṃ dhammaṃ deseyyaṃ, na añño bhikkhu ārāmagatānaṃ bhikkhūnaṃ dhammaṃ deseyyā’ti. Ṭhānaṃ kho panetaṃ, āvuso, vijjati yaṃ añño bhikkhu ārāmagatānaṃ bhikkhūnaṃ dhammaṃ deseyya, na so bhikkhu ārāmagatānaṃ bhikkhūnaṃ dhammaṃ deseyya. ‘Añño bhikkhu ārāmagatānaṃ bhikkhūnaṃ dhammaṃ deseti, nāhaṃ ārāmagatānaṃ bhikkhūnaṃ dhammaṃ desemī’ti – iti so kupito hoti appatīto. Yo ceva kho, āvuso, kopo yo ca appaccayo – ubhayametaṃ aṅgaṇaṃ.
‘‘ฐานํ โข ปเนตํ, อาวุโส, วิชฺชติ ยํ อิเธกจฺจสฺส ภิกฺขุโน เอวํ อิจฺฉา อุปฺปเชฺชยฺย – ‘อโห วต อหเมว อารามคตานํ ภิกฺขุนีนํ ธมฺมํ เทเสยฺยํ…เป.… อุปาสกานํ ธมฺมํ เทเสยฺยํ…เป.… อุปาสิกานํ ธมฺมํ เทเสยฺยํ, น อโญฺญ ภิกฺขุ อารามคตานํ อุปาสิกานํ ธมฺมํ เทเสยฺยา’ติฯ ฐานํ โข ปเนตํ, อาวุโส, วิชฺชติ ยํ อโญฺญ ภิกฺขุ อารามคตานํ อุปาสิกานํ ธมฺมํ เทเสยฺย, น โส ภิกฺขุ อารามคตานํ อุปาสิกานํ ธมฺมํ เทเสยฺยฯ ‘อโญฺญ ภิกฺขุ อารามคตานํ อุปาสิกานํ ธมฺมํ เทเสติ, นาหํ อารามคตานํ อุปาสิกานํ ธมฺมํ เทเสมี’ติ – อิติ โส กุปิโต โหติ อปฺปตีโตฯ โย เจว โข, อาวุโส, โกโป โย จ อปฺปจฺจโย – อุภยเมตํ องฺคณํฯ
‘‘Ṭhānaṃ kho panetaṃ, āvuso, vijjati yaṃ idhekaccassa bhikkhuno evaṃ icchā uppajjeyya – ‘aho vata ahameva ārāmagatānaṃ bhikkhunīnaṃ dhammaṃ deseyyaṃ…pe… upāsakānaṃ dhammaṃ deseyyaṃ…pe… upāsikānaṃ dhammaṃ deseyyaṃ, na añño bhikkhu ārāmagatānaṃ upāsikānaṃ dhammaṃ deseyyā’ti. Ṭhānaṃ kho panetaṃ, āvuso, vijjati yaṃ añño bhikkhu ārāmagatānaṃ upāsikānaṃ dhammaṃ deseyya, na so bhikkhu ārāmagatānaṃ upāsikānaṃ dhammaṃ deseyya. ‘Añño bhikkhu ārāmagatānaṃ upāsikānaṃ dhammaṃ deseti, nāhaṃ ārāmagatānaṃ upāsikānaṃ dhammaṃ desemī’ti – iti so kupito hoti appatīto. Yo ceva kho, āvuso, kopo yo ca appaccayo – ubhayametaṃ aṅgaṇaṃ.
‘‘ฐานํ โข ปเนตํ, อาวุโส, วิชฺชติ ยํ อิเธกจฺจสฺส ภิกฺขุโน เอวํ อิจฺฉา อุปฺปเชฺชยฺย – ‘อโห วต มเมว ภิกฺขู สกฺกเรยฺยุํ ครุํ กเรยฺยุํ 3 มาเนยฺยุํ ปูเชยฺยุํ, น อญฺญํ ภิกฺขุํ ภิกฺขู สกฺกเรยฺยุํ ครุํ กเรยฺยุํ มาเนยฺยุํ ปูเชยฺยุ’นฺติฯ ฐานํ โข ปเนตํ, อาวุโส, วิชฺชติ ยํ อญฺญํ ภิกฺขุํ ภิกฺขู สกฺกเรยฺยุํ ครุํ กเรยฺยุํ มาเนยฺยุํ ปูเชยฺยุํ, น ตํ ภิกฺขุํ ภิกฺขู สกฺกเรยฺยุํ ครุํ กเรยฺยุํ มาเนยฺยุํ ปูเชยฺยุํฯ ‘อญฺญํ ภิกฺขุํ ภิกฺขู สกฺกโรนฺติ ครุํ กโรนฺติ มาเนนฺติ ปูเชนฺติ , น มํ ภิกฺขู สกฺกโรนฺติ ครุํ กโรนฺติ มาเนนฺติ ปูเชนฺตี’ติ – อิติ โส กุปิโต โหติ อปฺปตีโตฯ โย เจว โข, อาวุโส, โกโป โย จ อปฺปจฺจโย – อุภยเมตํ องฺคณํฯ
‘‘Ṭhānaṃ kho panetaṃ, āvuso, vijjati yaṃ idhekaccassa bhikkhuno evaṃ icchā uppajjeyya – ‘aho vata mameva bhikkhū sakkareyyuṃ garuṃ kareyyuṃ 4 māneyyuṃ pūjeyyuṃ, na aññaṃ bhikkhuṃ bhikkhū sakkareyyuṃ garuṃ kareyyuṃ māneyyuṃ pūjeyyu’nti. Ṭhānaṃ kho panetaṃ, āvuso, vijjati yaṃ aññaṃ bhikkhuṃ bhikkhū sakkareyyuṃ garuṃ kareyyuṃ māneyyuṃ pūjeyyuṃ, na taṃ bhikkhuṃ bhikkhū sakkareyyuṃ garuṃ kareyyuṃ māneyyuṃ pūjeyyuṃ. ‘Aññaṃ bhikkhuṃ bhikkhū sakkaronti garuṃ karonti mānenti pūjenti , na maṃ bhikkhū sakkaronti garuṃ karonti mānenti pūjentī’ti – iti so kupito hoti appatīto. Yo ceva kho, āvuso, kopo yo ca appaccayo – ubhayametaṃ aṅgaṇaṃ.
‘‘ฐานํ โข ปเนตํ, อาวุโส, วิชฺชติ ยํ อิเธกจฺจสฺส ภิกฺขุโน เอวํ อิจฺฉา อุปฺปเชฺชยฺย – ‘อโห วต มเมว ภิกฺขุนิโย…เป.… อุปาสกา…เป.… อุปาสิกา สกฺกเรยฺยุํ ครุํ กเรยฺยุํ มาเนยฺยุํ ปูเชยฺยุํ, น อญฺญํ ภิกฺขุํ อุปาสิกา สกฺกเรยฺยุํ ครุํ กเรยฺยุํ มาเนยฺยุํ ปูเชยฺยุ’นฺติฯ ฐานํ โข ปเนตํ, อาวุโส, วิชฺชติ ยํ อญฺญํ ภิกฺขุํ อุปาสิกา สกฺกเรยฺยุํ ครุํ กเรยฺยุํ มาเนยฺยุํ ปูเชยฺยุํ, น ตํ ภิกฺขุํ อุปาสิกา สกฺกเรยฺยุํ ครุํ กเรยฺยุํ มาเนยฺยุํ ปูเชยฺยุํฯ ‘อญฺญํ ภิกฺขุํ อุปาสิกา สกฺกโรนฺติ ครุํ กโรนฺติ มาเนนฺติ ปูเชนฺติ, น มํ อุปาสิกา สกฺกโรนฺติ ครุํ กโรนฺติ มาเนนฺติ ปูเชนฺตี’ติ – อิติ โส กุปิโต โหติ อปฺปตีโตฯ โย เจว โข, อาวุโส, โกโป โย จ อปฺปจฺจโย – อุภยเมตํ องฺคณํฯ
‘‘Ṭhānaṃ kho panetaṃ, āvuso, vijjati yaṃ idhekaccassa bhikkhuno evaṃ icchā uppajjeyya – ‘aho vata mameva bhikkhuniyo…pe… upāsakā…pe… upāsikā sakkareyyuṃ garuṃ kareyyuṃ māneyyuṃ pūjeyyuṃ, na aññaṃ bhikkhuṃ upāsikā sakkareyyuṃ garuṃ kareyyuṃ māneyyuṃ pūjeyyu’nti. Ṭhānaṃ kho panetaṃ, āvuso, vijjati yaṃ aññaṃ bhikkhuṃ upāsikā sakkareyyuṃ garuṃ kareyyuṃ māneyyuṃ pūjeyyuṃ, na taṃ bhikkhuṃ upāsikā sakkareyyuṃ garuṃ kareyyuṃ māneyyuṃ pūjeyyuṃ. ‘Aññaṃ bhikkhuṃ upāsikā sakkaronti garuṃ karonti mānenti pūjenti, na maṃ upāsikā sakkaronti garuṃ karonti mānenti pūjentī’ti – iti so kupito hoti appatīto. Yo ceva kho, āvuso, kopo yo ca appaccayo – ubhayametaṃ aṅgaṇaṃ.
‘‘ฐานํ โข ปเนตํ, อาวุโส, วิชฺชติ ยํ อิเธกจฺจสฺส ภิกฺขุโน เอวํ อิจฺฉา อุปฺปเชฺชยฺย – ‘อโห วต อหเมว ลาภี อสฺสํ ปณีตานํ จีวรานํ, น อโญฺญ ภิกฺขุ ลาภี อสฺส ปณีตานํ จีวราน’นฺติฯ ฐานํ โข ปเนตํ, อาวุโส, วิชฺชติ ยํ อโญฺญ ภิกฺขุ ลาภี อสฺส ปณีตานํ จีวรานํ, น โส ภิกฺขุ ลาภี อสฺส ปณีตานํ จีวรานํฯ ‘อโญฺญ ภิกฺขุ ลาภี 5 ปณีตานํ จีวรานํ, นาหํ ลาภี 6 ปณีตานํ จีวราน’นฺติ – อิติ โส กุปิโต โหติ อปฺปตีโตฯ โย เจว โข, อาวุโส, โกโป โย จ อปฺปจฺจโย – อุภยเมตํ องฺคณํฯ
‘‘Ṭhānaṃ kho panetaṃ, āvuso, vijjati yaṃ idhekaccassa bhikkhuno evaṃ icchā uppajjeyya – ‘aho vata ahameva lābhī assaṃ paṇītānaṃ cīvarānaṃ, na añño bhikkhu lābhī assa paṇītānaṃ cīvarāna’nti. Ṭhānaṃ kho panetaṃ, āvuso, vijjati yaṃ añño bhikkhu lābhī assa paṇītānaṃ cīvarānaṃ, na so bhikkhu lābhī assa paṇītānaṃ cīvarānaṃ. ‘Añño bhikkhu lābhī 7 paṇītānaṃ cīvarānaṃ, nāhaṃ lābhī 8 paṇītānaṃ cīvarāna’nti – iti so kupito hoti appatīto. Yo ceva kho, āvuso, kopo yo ca appaccayo – ubhayametaṃ aṅgaṇaṃ.
‘‘ฐานํ โข ปเนตํ, อาวุโส, วิชฺชติ ยํ อิเธกจฺจสฺส ภิกฺขุโน เอวํ อิจฺฉา อุปฺปเชฺชยฺย – ‘อโห วต อหเมว ลาภี อสฺสํ ปณีตานํ ปิณฺฑปาตานํ…เป.… ปณีตานํ เสนาสนานํ…เป.… ปณีตานํ คิลานปฺปจฺจยเภสชฺชปริกฺขารานํ, น อโญฺญ ภิกฺขุ ลาภี อสฺส ปณีตานํ คิลานปฺปจฺจยเภสชฺชปริกฺขาราน’นฺติฯ ฐานํ โข ปเนตํ, อาวุโส, วิชฺชติ ยํ อโญฺญ ภิกฺขุ ลาภี อสฺส ปณีตานํ คิลานปฺปจฺจยเภสชฺชปริกฺขารานํ, น โส ภิกฺขุ ลาภี อสฺส ปณีตานํ คิลานปฺปจฺจยเภสชฺชปริกฺขารานํฯ ‘อโญฺญ ภิกฺขุ ลาภี 9 ปณีตานํ คิลานปฺปจฺจยเภสชฺชปริกฺขารานํ, นาหํ ลาภี 10 ปณีตานํ คิลานปฺปจฺจยเภสชฺชปริกฺขาราน’นฺติ – อิติ โส กุปิโต โหติ อปฺปตีโตฯ โย เจว โข, อาวุโส, โกโป โย จ อปฺปจฺจโย – อุภยเมตํ องฺคณํฯ
‘‘Ṭhānaṃ kho panetaṃ, āvuso, vijjati yaṃ idhekaccassa bhikkhuno evaṃ icchā uppajjeyya – ‘aho vata ahameva lābhī assaṃ paṇītānaṃ piṇḍapātānaṃ…pe… paṇītānaṃ senāsanānaṃ…pe… paṇītānaṃ gilānappaccayabhesajjaparikkhārānaṃ, na añño bhikkhu lābhī assa paṇītānaṃ gilānappaccayabhesajjaparikkhārāna’nti. Ṭhānaṃ kho panetaṃ, āvuso, vijjati yaṃ añño bhikkhu lābhī assa paṇītānaṃ gilānappaccayabhesajjaparikkhārānaṃ, na so bhikkhu lābhī assa paṇītānaṃ gilānappaccayabhesajjaparikkhārānaṃ. ‘Añño bhikkhu lābhī 11 paṇītānaṃ gilānappaccayabhesajjaparikkhārānaṃ, nāhaṃ lābhī 12 paṇītānaṃ gilānappaccayabhesajjaparikkhārāna’nti – iti so kupito hoti appatīto. Yo ceva kho, āvuso, kopo yo ca appaccayo – ubhayametaṃ aṅgaṇaṃ.
‘‘อิเมสํ โข เอตํ, อาวุโส, ปาปกานํ อกุสลานํ อิจฺฉาวจรานํ อธิวจนํ, ยทิทํ องฺคณ’’นฺติฯ
‘‘Imesaṃ kho etaṃ, āvuso, pāpakānaṃ akusalānaṃ icchāvacarānaṃ adhivacanaṃ, yadidaṃ aṅgaṇa’’nti.
๖๑. ‘‘ยสฺส กสฺสจิ, อาวุโส, ภิกฺขุโน อิเม ปาปกา อกุสลา อิจฺฉาวจรา อปฺปหีนา ทิสฺสนฺติ เจว สูยนฺติ จ, กิญฺจาปิ โส โหติ อารญฺญิโก ปนฺตเสนาสโน ปิณฺฑปาติโก สปทานจารี ปํสุกูลิโก ลูขจีวรธโร, อถ โข นํ สพฺรหฺมจารี น เจว สกฺกโรนฺติ น ครุํ กโรนฺติ น มาเนนฺติ น ปูเชนฺติฯ ตํ กิสฺส เหตุ? เต หิ ตสฺส อายสฺมโต ปาปกา อกุสลา อิจฺฉาวจรา อปฺปหีนา ทิสฺสนฺติ เจว สูยนฺติ จฯ เสยฺยถาปิ, อาวุโส, กํสปาติ อาภตา อาปณา วา กมฺมารกุลา วา ปริสุทฺธา ปริโยทาตาฯ ตเมนํ สามิกา อหิกุณปํ วา กุกฺกุรกุณปํ วา มนุสฺสกุณปํ วา รจยิตฺวา อญฺญิสฺสา กํสปาติยา ปฎิกุชฺชิตฺวา อนฺตราปณํ ปฎิปเชฺชยฺยุํฯ ตเมนํ ชโน ทิสฺวา เอวํ วเทยฺย – ‘อโมฺภ, กิเมวิทํ หรียติ ชญฺญชญฺญํ วิยา’ติ? ตเมนํ อุฎฺฐหิตฺวา อปาปุริตฺวา 13 โอโลเกยฺยฯ ตสฺส สหทสฺสเนน อมนาปตา จ สณฺฐเหยฺย, ปาฎิกุลฺยตา 14 จ สณฺฐเหยฺย, เชคุจฺฉตา จ 15 สณฺฐเหยฺย; ชิฆจฺฉิตานมฺปิ น โภตฺตุกมฺยตา อสฺส, ปเคว สุหิตานํฯ เอวเมว โข, อาวุโส, ยสฺส กสฺสจิ ภิกฺขุโน อิเม ปาปกา อกุสลา อิจฺฉาวจรา อปฺปหีนา ทิสฺสนฺติ เจว สูยนฺติ จ, กิญฺจาปิ โส โหติ อารญฺญิโก ปนฺตเสนาสโน ปิณฺฑปาติโก สปทานจารี ปํสุกูลิโก ลูขจีวรธโร, อถ โข นํ สพฺรหฺมจารี น เจว สกฺกโรนฺติ น ครุํ กโรนฺติ น มาเนนฺติ น ปูเชนฺติฯ ตํ กิสฺส เหตุ? เต หิ ตสฺส อายสฺมโต ปาปกา อกุสลา อิจฺฉาวจรา อปฺปหีนา ทิสฺสนฺติ เจว สูยนฺติ จฯ
61. ‘‘Yassa kassaci, āvuso, bhikkhuno ime pāpakā akusalā icchāvacarā appahīnā dissanti ceva sūyanti ca, kiñcāpi so hoti āraññiko pantasenāsano piṇḍapātiko sapadānacārī paṃsukūliko lūkhacīvaradharo, atha kho naṃ sabrahmacārī na ceva sakkaronti na garuṃ karonti na mānenti na pūjenti. Taṃ kissa hetu? Te hi tassa āyasmato pāpakā akusalā icchāvacarā appahīnā dissanti ceva sūyanti ca. Seyyathāpi, āvuso, kaṃsapāti ābhatā āpaṇā vā kammārakulā vā parisuddhā pariyodātā. Tamenaṃ sāmikā ahikuṇapaṃ vā kukkurakuṇapaṃ vā manussakuṇapaṃ vā racayitvā aññissā kaṃsapātiyā paṭikujjitvā antarāpaṇaṃ paṭipajjeyyuṃ. Tamenaṃ jano disvā evaṃ vadeyya – ‘ambho, kimevidaṃ harīyati jaññajaññaṃ viyā’ti? Tamenaṃ uṭṭhahitvā apāpuritvā 16 olokeyya. Tassa sahadassanena amanāpatā ca saṇṭhaheyya, pāṭikulyatā 17 ca saṇṭhaheyya, jegucchatā ca 18 saṇṭhaheyya; jighacchitānampi na bhottukamyatā assa, pageva suhitānaṃ. Evameva kho, āvuso, yassa kassaci bhikkhuno ime pāpakā akusalā icchāvacarā appahīnā dissanti ceva sūyanti ca, kiñcāpi so hoti āraññiko pantasenāsano piṇḍapātiko sapadānacārī paṃsukūliko lūkhacīvaradharo, atha kho naṃ sabrahmacārī na ceva sakkaronti na garuṃ karonti na mānenti na pūjenti. Taṃ kissa hetu? Te hi tassa āyasmato pāpakā akusalā icchāvacarā appahīnā dissanti ceva sūyanti ca.
๖๒. ‘‘ยสฺส กสฺสจิ, อาวุโส, ภิกฺขุโน อิเม ปาปกา อกุสลา อิจฺฉาวจรา ปหีนา ทิสฺสนฺติ เจว สูยนฺติ จ, กิญฺจาปิ โส โหติ คามนฺตวิหารี เนมนฺตนิโก คหปติจีวรธโร, อถ โข นํ สพฺรหฺมจารี สกฺกโรนฺติ ครุํ กโรนฺติ มาเนนฺติ ปูเชนฺติฯ ตํ กิสฺส เหตุ ? เต หิ ตสฺส อายสฺมโต ปาปกา อกุสลา อิจฺฉาวจรา ปหีนา ทิสฺสนฺติ เจว สูยนฺติ จฯ เสยฺยถาปิ, อาวุโส, กํสปาติ อาภตา อาปณา วา กมฺมารกุลา วา ปริสุทฺธา ปริโยทาตาฯ ตเมนํ สามิกา สาลีนํ โอทนํ วิจิตกาฬกํ 19 อเนกสูปํ อเนกพฺยญฺชนํ รจยิตฺวา อญฺญิสฺสา กํสปาติยา ปฎิกุชฺชิตฺวา อนฺตราปณํ ปฎิปเชฺชยฺยุํฯ ตเมนํ ชโน ทิสฺวา เอวํ วเทยฺย – ‘อโมฺภ, กิเมวิทํ หรียติ ชญฺญชญฺญํ วิยา’ติ? ตเมนํ อุฎฺฐหิตฺวา อปาปุริตฺวา โอโลเกยฺยฯ ตสฺส สห ทสฺสเนน มนาปตา จ สณฺฐเหยฺย, อปฺปาฎิกุลฺยตา จ สณฺฐเหยฺย, อเชคุจฺฉตา จ สณฺฐเหยฺย; สุหิตานมฺปิ โภตฺตุกมฺยตา อสฺส, ปเคว ชิฆจฺฉิตานํฯ เอวเมว โข, อาวุโส, ยสฺส กสฺสจิ ภิกฺขุโน อิเม ปาปกา อกุสลา อิจฺฉาวจรา ปหีนา ทิสฺสนฺติ เจว สูยนฺติ จ, กิญฺจาปิ โส โหติ คามนฺตวิหารี เนมนฺตนิโก คหปติจีวรธโร, อถ โข นํ สพฺรหฺมจารี สกฺกโรนฺติ ครุํ กโรนฺติ มาเนนฺติ ปูเชนฺติ ฯ ตํ กิสฺส เหตุ? เต หิ ตสฺส อายสฺมโต ปาปกา อกุสลา อิจฺฉาวจรา ปหีนา ทิสฺสนฺติ เจว สูยนฺติ จา’’ติฯ
62. ‘‘Yassa kassaci, āvuso, bhikkhuno ime pāpakā akusalā icchāvacarā pahīnā dissanti ceva sūyanti ca, kiñcāpi so hoti gāmantavihārī nemantaniko gahapaticīvaradharo, atha kho naṃ sabrahmacārī sakkaronti garuṃ karonti mānenti pūjenti. Taṃ kissa hetu ? Te hi tassa āyasmato pāpakā akusalā icchāvacarā pahīnā dissanti ceva sūyanti ca. Seyyathāpi, āvuso, kaṃsapāti ābhatā āpaṇā vā kammārakulā vā parisuddhā pariyodātā. Tamenaṃ sāmikā sālīnaṃ odanaṃ vicitakāḷakaṃ 20 anekasūpaṃ anekabyañjanaṃ racayitvā aññissā kaṃsapātiyā paṭikujjitvā antarāpaṇaṃ paṭipajjeyyuṃ. Tamenaṃ jano disvā evaṃ vadeyya – ‘ambho, kimevidaṃ harīyati jaññajaññaṃ viyā’ti? Tamenaṃ uṭṭhahitvā apāpuritvā olokeyya. Tassa saha dassanena manāpatā ca saṇṭhaheyya, appāṭikulyatā ca saṇṭhaheyya, ajegucchatā ca saṇṭhaheyya; suhitānampi bhottukamyatā assa, pageva jighacchitānaṃ. Evameva kho, āvuso, yassa kassaci bhikkhuno ime pāpakā akusalā icchāvacarā pahīnā dissanti ceva sūyanti ca, kiñcāpi so hoti gāmantavihārī nemantaniko gahapaticīvaradharo, atha kho naṃ sabrahmacārī sakkaronti garuṃ karonti mānenti pūjenti . Taṃ kissa hetu? Te hi tassa āyasmato pāpakā akusalā icchāvacarā pahīnā dissanti ceva sūyanti cā’’ti.
๖๓. เอวํ วุเตฺต, อายสฺมา มหาโมคฺคลฺลาโน อายสฺมนฺตํ สาริปุตฺตํ เอตทโวจ – ‘‘อุปมา มํ, อาวุโส สาริปุตฺต, ปฎิภาตี’’ติฯ ‘‘ปฎิภาตุ ตํ, อาวุโส โมคฺคลฺลานา’’ติฯ ‘‘เอกมิทาหํ, อาวุโส, สมยํ ราชคเห วิหรามิ คิริพฺพเชฯ อถ ขฺวาหํ, อาวุโส, ปุพฺพณฺหสมยํ นิวาเสตฺวา ปตฺตจีวรมาทาย ราชคหํ ปิณฺฑาย ปาวิสิํฯ เตน โข ปน สมเยน สมีติ ยานการปุโตฺต รถสฺส เนมิํ ตจฺฉติฯ ตเมนํ ปณฺฑุปุโตฺต อาชีวโก ปุราณยานการปุโตฺต ปจฺจุปฎฺฐิโต โหติฯ อถ โข, อาวุโส, ปณฺฑุปุตฺตสฺส อาชีวกสฺส ปุราณยานการปุตฺตสฺส เอวํ เจตโส ปริวิตโกฺก อุทปาทิ – ‘อโห วตายํ สมีติ ยานการปุโตฺต อิมิสฺสา เนมิยา อิมญฺจ วงฺกํ อิมญฺจ ชิมฺหํ อิมญฺจ โทสํ ตเจฺฉยฺย, เอวายํ เนมิ อปคตวงฺกา อปคตชิมฺหา อปคตโทสา สุทฺธา อสฺส 21 สาเร ปติฎฺฐิตา’ติ ฯ ยถา ยถา โข, อาวุโส, ปณฺฑุปุตฺตสฺส อาชีวกสฺส ปุราณยานการปุตฺตสฺส เจตโส ปริวิตโกฺก โหติ, ตถา ตถา สมีติ ยานการปุโตฺต ตสฺสา เนมิยา ตญฺจ วงฺกํ ตญฺจ ชิมฺหํ ตญฺจ โทสํ ตจฺฉติฯ อถ โข, อาวุโส, ปณฺฑุปุโตฺต อาชีวโก ปุราณยานการปุโตฺต อตฺตมโน อตฺตมนวาจํ นิจฺฉาเรสิ – ‘หทยา หทยํ มเญฺญ อญฺญาย ตจฺฉตี’ติฯ
63. Evaṃ vutte, āyasmā mahāmoggallāno āyasmantaṃ sāriputtaṃ etadavoca – ‘‘upamā maṃ, āvuso sāriputta, paṭibhātī’’ti. ‘‘Paṭibhātu taṃ, āvuso moggallānā’’ti. ‘‘Ekamidāhaṃ, āvuso, samayaṃ rājagahe viharāmi giribbaje. Atha khvāhaṃ, āvuso, pubbaṇhasamayaṃ nivāsetvā pattacīvaramādāya rājagahaṃ piṇḍāya pāvisiṃ. Tena kho pana samayena samīti yānakāraputto rathassa nemiṃ tacchati. Tamenaṃ paṇḍuputto ājīvako purāṇayānakāraputto paccupaṭṭhito hoti. Atha kho, āvuso, paṇḍuputtassa ājīvakassa purāṇayānakāraputtassa evaṃ cetaso parivitakko udapādi – ‘aho vatāyaṃ samīti yānakāraputto imissā nemiyā imañca vaṅkaṃ imañca jimhaṃ imañca dosaṃ taccheyya, evāyaṃ nemi apagatavaṅkā apagatajimhā apagatadosā suddhā assa 22 sāre patiṭṭhitā’ti . Yathā yathā kho, āvuso, paṇḍuputtassa ājīvakassa purāṇayānakāraputtassa cetaso parivitakko hoti, tathā tathā samīti yānakāraputto tassā nemiyā tañca vaṅkaṃ tañca jimhaṃ tañca dosaṃ tacchati. Atha kho, āvuso, paṇḍuputto ājīvako purāṇayānakāraputto attamano attamanavācaṃ nicchāresi – ‘hadayā hadayaṃ maññe aññāya tacchatī’ti.
‘‘เอวเมว โข, อาวุโส, เย เต ปุคฺคลา อสฺสทฺธา, ชีวิกตฺถา น สทฺธา อคารสฺมา อนคาริยํ ปพฺพชิตา, สฐา มายาวิโน เกตพิโน 23 อุทฺธตา อุนฺนฬา จปลา มุขรา วิกิณฺณวาจา, อินฺทฺริเยสุ อคุตฺตทฺวารา, โภชเน อมตฺตญฺญุโน, ชาคริยํ อนนุยุตฺตา, สามเญฺญ อนเปกฺขวโนฺต, สิกฺขาย น ติพฺพคารวา, พาหุลิกา สาถลิกา, โอกฺกมเน ปุพฺพงฺคมา, ปวิเวเก นิกฺขิตฺตธุรา, กุสีตา หีนวีริยา มุฎฺฐสฺสตี อสมฺปชานา อสมาหิตา วิพฺภนฺตจิตฺตา ทุปฺปญฺญา เอฬมูคา, เตสํ อายสฺมา สาริปุโตฺต อิมินา ธมฺมปริยาเยน หทยา หทยํ มเญฺญ อญฺญาย ตจฺฉติฯ
‘‘Evameva kho, āvuso, ye te puggalā assaddhā, jīvikatthā na saddhā agārasmā anagāriyaṃ pabbajitā, saṭhā māyāvino ketabino 24 uddhatā unnaḷā capalā mukharā vikiṇṇavācā, indriyesu aguttadvārā, bhojane amattaññuno, jāgariyaṃ ananuyuttā, sāmaññe anapekkhavanto, sikkhāya na tibbagāravā, bāhulikā sāthalikā, okkamane pubbaṅgamā, paviveke nikkhittadhurā, kusītā hīnavīriyā muṭṭhassatī asampajānā asamāhitā vibbhantacittā duppaññā eḷamūgā, tesaṃ āyasmā sāriputto iminā dhammapariyāyena hadayā hadayaṃ maññe aññāya tacchati.
‘‘เย ปน เต กุลปุตฺตา สทฺธา อคารสฺมา อนคาริยํ ปพฺพชิตา, อสฐา อมายาวิโน อเกตพิโน อนุทฺธตา อนุนฺนฬา อจปลา อมุขรา อวิกิณฺณวาจา, อินฺทฺริเยสุ คุตฺตทฺวารา, โภชเน มตฺตญฺญุโน, ชาคริยํ อนุยุตฺตา, สามเญฺญ อเปกฺขวโนฺต, สิกฺขาย ติพฺพคารวา, น พาหุลิกา น สาถลิกา, โอกฺกมเน นิกฺขิตฺตธุรา, ปวิเวเก ปุพฺพงฺคมา, อารทฺธวีริยา ปหิตตฺตา อุปฎฺฐิตสฺสตี สมฺปชานา สมาหิตา เอกคฺคจิตฺตา ปญฺญวโนฺต อเนฬมูคา, เต อายสฺมโต สาริปุตฺตสฺส อิมํ ธมฺมปริยายํ สุตฺวา ปิวนฺติ มเญฺญ, ฆสนฺติ มเญฺญ วจสา เจว มนสา จ – ‘สาธุ วต, โภ, สพฺรหฺมจารี อกุสลา วุฎฺฐาเปตฺวา กุสเล ปติฎฺฐาเปตี’ติฯ เสยฺยถาปิ, อาวุโส, อิตฺถี วา ปุริโส วา ทหโร ยุวา มณฺฑนกชาติโก สีสํนฺหาโต อุปฺปลมาลํ วา วสฺสิกมาลํ วา อติมุตฺตกมาลํ 25 วา ลภิตฺวา อุโภหิ หเตฺถหิ ปฎิคฺคเหตฺวา อุตฺตมเงฺค สิรสฺมิํ ปติฎฺฐเปยฺย, เอวเมว โข, อาวุโส, เย เต กุลปุตฺตา สทฺธา อคารสฺมา อนคาริยํ ปพฺพชิตา, อสฐา อมายาวิโน อเกตพิโน อนุทฺธตา อนุนฺนฬา อจปลา อมุขรา อวิกิณฺณวาจา, อินฺทฺริเยสุ คุตฺตทฺวารา, โภชเน มตฺตญฺญุโน, ชาคริยํ อนุยุตฺตา, สามเญฺญ อเปกฺขวโนฺต, สิกฺขาย ติพฺพคารวา, น พาหุลิกา น สาถลิกา, โอกฺกมเน นิกฺขิตฺตธุรา, ปวิเวเก ปุพฺพงฺคมา, อารทฺธวีริยา ปหิตตฺตา อุปฎฺฐิตสฺสตี สมฺปชานา สมาหิตา เอกคฺคจิตฺตา ปญฺญวโนฺต อเนฬมูคา, เต อายสฺมโต สาริปุตฺตสฺส อิมํ ธมฺมปริยายํ สุตฺวา ปิวนฺติ มเญฺญ, ฆสนฺติ มเญฺญ วจสา เจว มนสา จ – ‘สาธุ วต, โภ, สพฺรหฺมจารี อกุสลา วุฎฺฐาเปตฺวา กุสเล ปติฎฺฐาเปตี’ติฯ อิติห เต อุโภ มหานาคา อญฺญมญฺญสฺส สุภาสิตํ สมนุโมทิํสู’’ติฯ
‘‘Ye pana te kulaputtā saddhā agārasmā anagāriyaṃ pabbajitā, asaṭhā amāyāvino aketabino anuddhatā anunnaḷā acapalā amukharā avikiṇṇavācā, indriyesu guttadvārā, bhojane mattaññuno, jāgariyaṃ anuyuttā, sāmaññe apekkhavanto, sikkhāya tibbagāravā, na bāhulikā na sāthalikā, okkamane nikkhittadhurā, paviveke pubbaṅgamā, āraddhavīriyā pahitattā upaṭṭhitassatī sampajānā samāhitā ekaggacittā paññavanto aneḷamūgā, te āyasmato sāriputtassa imaṃ dhammapariyāyaṃ sutvā pivanti maññe, ghasanti maññe vacasā ceva manasā ca – ‘sādhu vata, bho, sabrahmacārī akusalā vuṭṭhāpetvā kusale patiṭṭhāpetī’ti. Seyyathāpi, āvuso, itthī vā puriso vā daharo yuvā maṇḍanakajātiko sīsaṃnhāto uppalamālaṃ vā vassikamālaṃ vā atimuttakamālaṃ 26 vā labhitvā ubhohi hatthehi paṭiggahetvā uttamaṅge sirasmiṃ patiṭṭhapeyya, evameva kho, āvuso, ye te kulaputtā saddhā agārasmā anagāriyaṃ pabbajitā, asaṭhā amāyāvino aketabino anuddhatā anunnaḷā acapalā amukharā avikiṇṇavācā, indriyesu guttadvārā, bhojane mattaññuno, jāgariyaṃ anuyuttā, sāmaññe apekkhavanto, sikkhāya tibbagāravā, na bāhulikā na sāthalikā, okkamane nikkhittadhurā, paviveke pubbaṅgamā, āraddhavīriyā pahitattā upaṭṭhitassatī sampajānā samāhitā ekaggacittā paññavanto aneḷamūgā, te āyasmato sāriputtassa imaṃ dhammapariyāyaṃ sutvā pivanti maññe, ghasanti maññe vacasā ceva manasā ca – ‘sādhu vata, bho, sabrahmacārī akusalā vuṭṭhāpetvā kusale patiṭṭhāpetī’ti. Itiha te ubho mahānāgā aññamaññassa subhāsitaṃ samanumodiṃsū’’ti.
อนงฺคณสุตฺตํ นิฎฺฐิตํ ปญฺจมํฯ
Anaṅgaṇasuttaṃ niṭṭhitaṃ pañcamaṃ.
Footnotes:
Related texts:
อฎฺฐกถา • Aṭṭhakathā / สุตฺตปิฎก (อฎฺฐกถา) • Suttapiṭaka (aṭṭhakathā) / มชฺฌิมนิกาย (อฎฺฐกถา) • Majjhimanikāya (aṭṭhakathā) / ๕. อนงฺคณสุตฺตวณฺณนา • 5. Anaṅgaṇasuttavaṇṇanā
ฎีกา • Tīkā / สุตฺตปิฎก (ฎีกา) • Suttapiṭaka (ṭīkā) / มชฺฌิมนิกาย (ฎีกา) • Majjhimanikāya (ṭīkā) / ๕. อนงฺคณสุตฺตวณฺณนา • 5. Anaṅgaṇasuttavaṇṇanā