Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / มชฺฌิมนิกาย (อฎฺฐกถา) • Majjhimanikāya (aṭṭhakathā)

    ๕. อนงฺคณสุตฺตวณฺณนา

    5. Anaṅgaṇasuttavaṇṇanā

    ๕๗. เอวํ เม สุตํ…เป.… อายสฺมา สาริปุโตฺตติ อนงฺคณสุตฺตํฯ ตตฺรายํ อนุตฺตานปทวณฺณนา – ยถา เจตฺถ, เอวํ สพฺพสุเตฺตสุฯ ตสฺมา อิโต ปรํ เอตฺตกมฺปิ อวตฺวา อปุพฺพปทวณฺณนํเยว กริสฺสามฯ

    57.Evaṃme sutaṃ…pe… āyasmā sāriputtoti anaṅgaṇasuttaṃ. Tatrāyaṃ anuttānapadavaṇṇanā – yathā cettha, evaṃ sabbasuttesu. Tasmā ito paraṃ ettakampi avatvā apubbapadavaṇṇanaṃyeva karissāma.

    จตฺตาโรติ คณนปริเจฺฉโทฯ ปุคฺคลาติ สตฺตา นรา โปสาฯ เอตฺตาวตา จ ปุคฺคลวาที มหาเถโรติ น คเหตพฺพํ, อยญฺหิ อายสฺมา พุทฺธปุตฺตานํ เสโฎฺฐ, โส พุทฺธสฺส ภควโต เทสนํ อวิโลเมโนฺตเยว เทเสติฯ

    Cattāroti gaṇanaparicchedo. Puggalāti sattā narā posā. Ettāvatā ca puggalavādī mahātheroti na gahetabbaṃ, ayañhi āyasmā buddhaputtānaṃ seṭṭho, so buddhassa bhagavato desanaṃ avilomentoyeva deseti.

    สมฺมุติปรมตฺถเทสนากถาวณฺณนา

    Sammutiparamatthadesanākathāvaṇṇanā

    พุทฺธสฺส ภควโต ทุวิธา เทสนา สมฺมุติเทสนา, ปรมตฺถเทสนา จาติฯ ตตฺถ ปุคฺคโล สโตฺต อิตฺถี ปุริโส ขตฺติโย พฺราหฺมโณ เทโว มาโรติ เอวรูปา สมฺมุติเทสนาฯ อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา, ขนฺธา ธาตู อายตนานิ สติปฎฺฐานาติ เอวรูปา ปรมตฺถเทสนา

    Buddhassa bhagavato duvidhā desanā sammutidesanā, paramatthadesanā cāti. Tattha puggalo satto itthī puriso khattiyo brāhmaṇo devo māroti evarūpā sammutidesanā. Aniccaṃ dukkhaṃ anattā, khandhā dhātū āyatanāni satipaṭṭhānāti evarūpā paramatthadesanā.

    ตตฺถ ภควา เย สมฺมุติวเสน เทสนํ สุตฺวา อตฺถํ ปฎิวิชฺฌิตฺวา โมหํ ปหาย วิเสสํ อธิคนฺตุํ สมตฺถา, เตสํ สมฺมุติเทสนํ เทเสติฯ เย ปน ปรมตฺถวเสน เทสนํ สุตฺวา อตฺถํ ปฎิวิชฺฌิตฺวา โมหํ ปหาย วิเสสมธิคนฺตุํ สมตฺถา, เตสํ ปรมตฺถเทสนํ เทเสติฯ ตตฺถายํ อุปมา, ยถา หิ เทสภาสากุสโล ติณฺณํ เวทานํ อตฺถสํวณฺณนโก อาจริโย เย ทมิฬภาสาย วุเตฺต อตฺถํ ชานนฺติ, เตสํ ทมิฬภาสาย อาจิกฺขติฯ เย อนฺธกภาสาทีสุ อญฺญตราย, เตสํ ตาย ตาย ภาสายฯ เอวํ เต มาณวกา เฉกํ พฺยตฺตํ อาจริยมาคมฺม ขิปฺปเมว สิปฺปํ อุคฺคณฺหนฺติฯ ตตฺถ อาจริโย วิย พุโทฺธ ภควาฯ ตโย เวทา วิย กเถตพฺพภาเวน ฐิตานิ ตีณิ ปิฎกานิฯ เทสภาสาโกสลฺลมิว สมฺมุติปรมตฺถโกสลฺลํฯ นานาเทสภาสา มาณวกา วิย สมฺมุติปรมตฺถเทสนาปฎิวิชฺฌนสมตฺถา เวเนยฺยสตฺตาฯ อาจริยสฺส ทมิฬภาสาทิอาจิกฺขนํ วิย ภควโต สมฺมุติปรมตฺถวเสน เทสนา เวทิตพฺพาฯ อาห เจตฺถ –

    Tattha bhagavā ye sammutivasena desanaṃ sutvā atthaṃ paṭivijjhitvā mohaṃ pahāya visesaṃ adhigantuṃ samatthā, tesaṃ sammutidesanaṃ deseti. Ye pana paramatthavasena desanaṃ sutvā atthaṃ paṭivijjhitvā mohaṃ pahāya visesamadhigantuṃ samatthā, tesaṃ paramatthadesanaṃ deseti. Tatthāyaṃ upamā, yathā hi desabhāsākusalo tiṇṇaṃ vedānaṃ atthasaṃvaṇṇanako ācariyo ye damiḷabhāsāya vutte atthaṃ jānanti, tesaṃ damiḷabhāsāya ācikkhati. Ye andhakabhāsādīsu aññatarāya, tesaṃ tāya tāya bhāsāya. Evaṃ te māṇavakā chekaṃ byattaṃ ācariyamāgamma khippameva sippaṃ uggaṇhanti. Tattha ācariyo viya buddho bhagavā. Tayo vedā viya kathetabbabhāvena ṭhitāni tīṇi piṭakāni. Desabhāsākosallamiva sammutiparamatthakosallaṃ. Nānādesabhāsā māṇavakā viya sammutiparamatthadesanāpaṭivijjhanasamatthā veneyyasattā. Ācariyassa damiḷabhāsādiācikkhanaṃ viya bhagavato sammutiparamatthavasena desanā veditabbā. Āha cettha –

    ‘‘ทุเว สจฺจานิ อกฺขาสิ, สมฺพุโทฺธ วทตํ วโร;

    ‘‘Duve saccāni akkhāsi, sambuddho vadataṃ varo;

    สมฺมุติํ ปรมตฺถญฺจ, ตติยํ นูปลพฺภติฯ

    Sammutiṃ paramatthañca, tatiyaṃ nūpalabbhati.

    สเงฺกตวจนํ สจฺจํ, โลกสมฺมุติการณา;

    Saṅketavacanaṃ saccaṃ, lokasammutikāraṇā;

    ปรมตฺถวจนํ สจฺจํ, ธมฺมานํ ภูตการณาฯ

    Paramatthavacanaṃ saccaṃ, dhammānaṃ bhūtakāraṇā.

    ตสฺมา โวหารกุสลสฺส, โลกนาถสฺส สตฺถุโน;

    Tasmā vohārakusalassa, lokanāthassa satthuno;

    สมฺมุติํ โวหรนฺตสฺส, มุสาวาโท น ชายตี’’ติฯ

    Sammutiṃ voharantassa, musāvādo na jāyatī’’ti.

    อปิจ อฎฺฐหิ การเณหิ ภควา ปุคฺคลกถํ กเถติ – หิโรตฺตปฺปทีปนตฺถํ, กมฺมสฺสกตาทีปนตฺถํ, ปจฺจตฺตปุริสการทีปนตฺถํ, อานนฺตริยทีปนตฺถํ, พฺรหฺมวิหารทีปนตฺถํ, ปุเพฺพนิวาสทีปนตฺถํ, ทกฺขิณาวิสุทฺธิทีปนตฺถํ, โลกสมฺมุติยา อปฺปหานตฺถญฺจาติฯ ‘‘ขนฺธธาตุอายตนานิ หิรียนฺติ โอตฺตปฺปนฺตี’’ติ หิ วุเตฺต มหาชโน น ชานาติ, สโมฺมหมาปชฺชติ, ปฎิสตฺตุ โหติ ‘‘กิมิทํ ขนฺธธาตุอายตนานิ หิรียนฺติ โอตฺตปฺปนฺติ นามา’’ติฯ ‘‘อิตฺถี หิรียติ โอตฺตปฺปติ ปุริโส ขตฺติโย พฺราหฺมโณ เทโว มาโร’’ติ วุเตฺต ปน ชานาติ, น สโมฺมหมาปชฺชติ, น ปฎิสตฺตุ โหติฯ ตสฺมา ภควา หิโรตฺตปฺปทีปนตฺถํ ปุคฺคลกถํ กเถติฯ

    Apica aṭṭhahi kāraṇehi bhagavā puggalakathaṃ katheti – hirottappadīpanatthaṃ, kammassakatādīpanatthaṃ, paccattapurisakāradīpanatthaṃ, ānantariyadīpanatthaṃ, brahmavihāradīpanatthaṃ, pubbenivāsadīpanatthaṃ, dakkhiṇāvisuddhidīpanatthaṃ, lokasammutiyā appahānatthañcāti. ‘‘Khandhadhātuāyatanāni hirīyanti ottappantī’’ti hi vutte mahājano na jānāti, sammohamāpajjati, paṭisattu hoti ‘‘kimidaṃ khandhadhātuāyatanāni hirīyanti ottappanti nāmā’’ti. ‘‘Itthī hirīyati ottappati puriso khattiyo brāhmaṇo devo māro’’ti vutte pana jānāti, na sammohamāpajjati, na paṭisattu hoti. Tasmā bhagavā hirottappadīpanatthaṃ puggalakathaṃ katheti.

    ‘‘ขนฺธา กมฺมสฺสกา ธาตุโย อายตนานี’’ติ วุเตฺตปิ เอเสว นโยฯ ตสฺมา ภควา กมฺมสฺสกตาทีปนตฺถํ ปุคฺคลกถํ กเถติฯ

    ‘‘Khandhā kammassakā dhātuyo āyatanānī’’ti vuttepi eseva nayo. Tasmā bhagavā kammassakatādīpanatthaṃ puggalakathaṃ katheti.

    ‘‘เวฬุวนาทโย มหาวิหารา ขเนฺธหิ การาปิตา ธาตูหิ อายตเนหี’’ติ วุเตฺตปิ เอเสว นโยฯ ตสฺมา ภควา ปจฺจตฺตปุริสการทีปนตฺถํ ปุคฺคลกถํ กเถติฯ

    ‘‘Veḷuvanādayo mahāvihārā khandhehi kārāpitā dhātūhi āyatanehī’’ti vuttepi eseva nayo. Tasmā bhagavā paccattapurisakāradīpanatthaṃ puggalakathaṃ katheti.

    ‘‘ขนฺธา มาตรํ ชีวิตา โวโรเปนฺติ ปิตรํ อรหนฺตํ รุหิรุปฺปาทกมฺมํ กโรนฺติ, สงฺฆเภทกมฺมํ กโรนฺติ, ธาตุโย อายตนานี’’ติ วุเตฺตปิ เอเสว นโยฯ ตสฺมา ภควา อานนฺตริยทีปนตฺถํ ปุคฺคลกถํ กเถติฯ ‘‘ขนฺธา เมตฺตายนฺติ ธาตุโย อายตนานี’’ติ วุเตฺตปิ เอเสว นโยฯ ตสฺมา ภควา พฺรหฺมวิหารทีปนตฺถํ ปุคฺคลกถํ กเถติฯ

    ‘‘Khandhā mātaraṃ jīvitā voropenti pitaraṃ arahantaṃ ruhiruppādakammaṃ karonti, saṅghabhedakammaṃ karonti, dhātuyo āyatanānī’’ti vuttepi eseva nayo. Tasmā bhagavā ānantariyadīpanatthaṃ puggalakathaṃ katheti. ‘‘Khandhā mettāyanti dhātuyo āyatanānī’’ti vuttepi eseva nayo. Tasmā bhagavā brahmavihāradīpanatthaṃ puggalakathaṃ katheti.

    ‘‘ขนฺธา ปุเพฺพนิวาสมนุสฺสรนฺติ ธาตุโย อายตนานี’’ติ วุเตฺตปิ เอเสว นโยฯ ตสฺมา ภควา ปุเพฺพนิวาสทีปนตฺถํ ปุคฺคลกถํ กเถติฯ ‘‘ขนฺธา ทานํ ปฎิคฺคณฺหนฺติ ธาตุโย อายตนานี’’ติ วุเตฺตปิ มหาชโน น ชานาติ, สโมฺมหมาปชฺชติ, ปฎิสตฺตุ โหติ ‘‘กิมิทํ ขนฺธธาตุอายตนานิ ปฎิคฺคณฺหนฺติ นามา’’ติฯ ‘‘ปุคฺคลา ปฎิคฺคณฺหนฺติ สีลวโนฺต กลฺยาณธมฺมา’’ติ วุเตฺต ปน ชานาติ, น สโมฺมหมาปชฺชติ, น ปฎิสตฺตุ โหติฯ ตสฺมา ภควา ทกฺขิณาวิสุทฺธิทีปนตฺถํ ปุคฺคลกถํ กเถติฯ

    ‘‘Khandhā pubbenivāsamanussaranti dhātuyo āyatanānī’’ti vuttepi eseva nayo. Tasmā bhagavā pubbenivāsadīpanatthaṃ puggalakathaṃ katheti. ‘‘Khandhā dānaṃ paṭiggaṇhanti dhātuyo āyatanānī’’ti vuttepi mahājano na jānāti, sammohamāpajjati, paṭisattu hoti ‘‘kimidaṃ khandhadhātuāyatanāni paṭiggaṇhanti nāmā’’ti. ‘‘Puggalā paṭiggaṇhanti sīlavanto kalyāṇadhammā’’ti vutte pana jānāti, na sammohamāpajjati, na paṭisattu hoti. Tasmā bhagavā dakkhiṇāvisuddhidīpanatthaṃ puggalakathaṃ katheti.

    โลกสมฺมุติญฺจ พุทฺธา ภควโนฺต นปฺปชหนฺติ, โลกสมญฺญาย โลกนิรุตฺติยํ โลกาภิลาเป ฐิตาเยว ธมฺมํ เทเสนฺติฯ ตสฺมา ภควา โลกสมฺมุติยา อปฺปหานตฺถมฺปิ ปุคฺคลกถํ กเถติฯ ตสฺมา อยมฺปิ อายสฺมา โลกโวหารกุสลตาย พุทฺธสฺส ภควโต เทสนํ อวิโลเมโนฺต โลกสมฺมุติยํ ฐตฺวาว จตฺตาโรเม, อาวุโส, ปุคฺคลาติ อาหฯ ตสฺมา เอตฺถ ปรมตฺถวเสน อคฺคเหตฺวา สมฺมุติวเสเนว ปุคฺคโล เวทิตโพฺพฯ

    Lokasammutiñca buddhā bhagavanto nappajahanti, lokasamaññāya lokaniruttiyaṃ lokābhilāpe ṭhitāyeva dhammaṃ desenti. Tasmā bhagavā lokasammutiyā appahānatthampi puggalakathaṃ katheti. Tasmā ayampi āyasmā lokavohārakusalatāya buddhassa bhagavato desanaṃ avilomento lokasammutiyaṃ ṭhatvāva cattārome, āvuso, puggalāti āha. Tasmā ettha paramatthavasena aggahetvā sammutivaseneva puggalo veditabbo.

    สโนฺต สํวิชฺชมานาติ โลกสเงฺกตวเสน อตฺถิ อุปลพฺภมานาฯ โลกสฺมินฺติ สตฺตโลเกฯ สางฺคโณว สมาโนติอาทีสุ ปน องฺคณนฺติ กตฺถจิ กิเลสา วุจฺจนฺติฯ ยถาห ‘‘ตตฺถ กตมานิ ตีณิ องฺคณานิ? ราโค องฺคณํ, โทโส องฺคณํ, โมโห องฺคณ’’นฺติ (วิภ. ๙๒๔)ฯ กตฺถจิ ยํกิญฺจิ มลํ วา ปโงฺก วา, ยถาห ‘‘ตเสฺสว รชสฺส วา องฺคณสฺส วา ปหานาย วายมตี’’ติฯ กตฺถจิ ตถารูโป ภูมิภาโค, โส โพธิยงฺคณํ เจติยงฺคณนฺติอาทีนํ วเสน เวทิตโพฺพฯ อิธ ปน นานปฺปการา ติพฺพกิเลสา ‘‘องฺคณ’’นฺติ อธิเปฺปตาฯ ตถา หิ วกฺขติ ‘‘ปาปกานํ โข เอตํ, อาวุโส, อกุสลานํ อิจฺฉาวจรานํ อธิวจนํ, ยทิทํ องฺคณ’’นฺติ (ม. นิ. ๑.๖๐)ฯ สห องฺคเณน สางฺคโณ

    Santo saṃvijjamānāti lokasaṅketavasena atthi upalabbhamānā. Lokasminti sattaloke. Sāṅgaṇova samānotiādīsu pana aṅgaṇanti katthaci kilesā vuccanti. Yathāha ‘‘tattha katamāni tīṇi aṅgaṇāni? Rāgo aṅgaṇaṃ, doso aṅgaṇaṃ, moho aṅgaṇa’’nti (vibha. 924). Katthaci yaṃkiñci malaṃ vā paṅko vā, yathāha ‘‘tasseva rajassa vā aṅgaṇassa vā pahānāya vāyamatī’’ti. Katthaci tathārūpo bhūmibhāgo, so bodhiyaṅgaṇaṃ cetiyaṅgaṇantiādīnaṃ vasena veditabbo. Idha pana nānappakārā tibbakilesā ‘‘aṅgaṇa’’nti adhippetā. Tathā hi vakkhati ‘‘pāpakānaṃ kho etaṃ, āvuso, akusalānaṃ icchāvacarānaṃ adhivacanaṃ, yadidaṃ aṅgaṇa’’nti (ma. ni. 1.60). Saha aṅgaṇena sāṅgaṇo.

    สางฺคโณว สมาโนติ สกิเลโสเยว สโนฺต ฯ อตฺถิ เม อชฺฌตฺตํ องฺคณนฺติ ยถาภูตํ นปฺปชานาตีติ มยฺหํ อตฺตโน จิตฺตสนฺตาเน กิเลโส อตฺถีติปิ น ชานาติฯ ‘‘อิเม กิเลสา นาม กกฺขฬา วาฬา ชหิตพฺพา น คหิตพฺพา วิสทุฎฺฐสลฺลสทิสา’’ติ เอวํ ยาถาวสรสโตปิ น ชานาติฯ โย อตฺถีติ จ ชานาติ, เอวญฺจ ชานาติฯ โส ‘‘อตฺถิ เม อชฺฌตฺตํ องฺคณนฺติ ยถาภูตํ ปชานาตี’’ติ วุจฺจติฯ ยสฺส ปน น จ มเคฺคน สมูหตา กิเลสา, น จ อุปฺปชฺชนฺติ เยน วา เตน วา วาริตตฺตา, อยมิธ อนงฺคโณติ อธิเปฺปโตฯ นตฺถิ เม อชฺฌตฺตํ องฺคณนฺติ ยถาภูตํ นปฺปชานาตีติ ‘‘มยฺหํ กิเลสา เยน วา เตน วา วาริตตฺตา นตฺถิ, น มเคฺคน สมูหตตฺตา’’ติ น ชานาติ, ‘‘เต อุปฺปชฺชมานา มหาอนตฺถํ กริสฺสนฺติ กกฺขฬา วาฬา วิสทุฎฺฐสลฺลสทิสา’’ติ เอวํ ยาถาวสรสโตปิ น ชานาติฯ โย ปน ‘‘อิมินา การเณน นตฺถี’’ติ จ ชานาติ, เอวญฺจ ชานาติ, โส ‘‘นตฺถิ เม อชฺฌตฺตํ องฺคณนฺติ ยถาภูตํ ปชานาตี’’ติ วุจฺจติ ฯ ตตฺราติ เตสุ จตูสุ ปุคฺคเลสุ, เตสุ วา ทฺวีสุ สางฺคเณสุ, ยฺวายนฺติ โย อยํ, ยายนฺติปิ ปาโฐฯ

    Sāṅgaṇovasamānoti sakilesoyeva santo . Atthi me ajjhattaṃ aṅgaṇanti yathābhūtaṃ nappajānātīti mayhaṃ attano cittasantāne kileso atthītipi na jānāti. ‘‘Ime kilesā nāma kakkhaḷā vāḷā jahitabbā na gahitabbā visaduṭṭhasallasadisā’’ti evaṃ yāthāvasarasatopi na jānāti. Yo atthīti ca jānāti, evañca jānāti. So ‘‘atthi me ajjhattaṃ aṅgaṇanti yathābhūtaṃ pajānātī’’ti vuccati. Yassa pana na ca maggena samūhatā kilesā, na ca uppajjanti yena vā tena vā vāritattā, ayamidha anaṅgaṇoti adhippeto. Natthi me ajjhattaṃ aṅgaṇanti yathābhūtaṃ nappajānātīti ‘‘mayhaṃ kilesā yena vā tena vā vāritattā natthi, na maggena samūhatattā’’ti na jānāti, ‘‘te uppajjamānā mahāanatthaṃ karissanti kakkhaḷā vāḷā visaduṭṭhasallasadisā’’ti evaṃ yāthāvasarasatopi na jānāti. Yo pana ‘‘iminā kāraṇena natthī’’ti ca jānāti, evañca jānāti, so ‘‘natthi me ajjhattaṃ aṅgaṇanti yathābhūtaṃ pajānātī’’ti vuccati . Tatrāti tesu catūsu puggalesu, tesu vā dvīsu sāṅgaṇesu, yvāyanti yo ayaṃ, yāyantipi pāṭho.

    ๕๘. โก นุ โข, อาวุโส, สาริปุตฺต, เหตุ โก ปจฺจโยติ อุภเยนาปิ การณเมว ปุจฺฉติฯ เยนิเมสนฺติ เยน เหตุนา เยน ปจฺจเยน อิเมสํ ทฺวินฺนํ เอโก เสฎฺฐปุริโส เอโก หีนปุริโสติ อกฺขายติ, โส โก เหตุ โก ปจฺจโยติ เอวเมตฺถ สมฺพโนฺธ เวทิตโพฺพฯ ตตฺถ กิญฺจาปิ ‘‘นปฺปชานาติ ปชานาตี’’ติ เอวํ วุตฺตํ, ปชานนา นปฺปชานนาติ อิทเมว อุภยํ เหตุ เจว ปจฺจโย จฯ

    58.Ko nu kho, āvuso, sāriputta, hetu ko paccayoti ubhayenāpi kāraṇameva pucchati. Yenimesanti yena hetunā yena paccayena imesaṃ dvinnaṃ eko seṭṭhapuriso eko hīnapurisoti akkhāyati, so ko hetu ko paccayoti evamettha sambandho veditabbo. Tattha kiñcāpi ‘‘nappajānāti pajānātī’’ti evaṃ vuttaṃ, pajānanā nappajānanāti idameva ubhayaṃ hetu ceva paccayo ca.

    ๕๙. เถโร ปน อตฺตโน วิจิตฺรปฎิภานตาย ตํ ปากฎตรํ กตฺวา ทเสฺสตุํ ปุน ตตฺราวุโสติอาทิมาหฯ ตตฺถ ตเสฺสตํ ปาฎิกงฺขนฺติ ตสฺส ปุคฺคลสฺส เอตํ ปาฎิกงฺขิตพฺพํฯ อิทเมว เอส ปาปุณิสฺสติ, น อญฺญนฺติ อิจฺฉิตพฺพํ, อวสฺสํ ภาวีติ วุตฺตํ โหติฯ ‘‘น ฉนฺทํ ชเนสฺสตี’’ติอาทินา นเยน วุตฺตํ อฉนฺทชนนาทิํ สนฺธายาหฯ

    59. Thero pana attano vicitrapaṭibhānatāya taṃ pākaṭataraṃ katvā dassetuṃ puna tatrāvusotiādimāha. Tattha tassetaṃ pāṭikaṅkhanti tassa puggalassa etaṃ pāṭikaṅkhitabbaṃ. Idameva esa pāpuṇissati, na aññanti icchitabbaṃ, avassaṃ bhāvīti vuttaṃ hoti. ‘‘Na chandaṃ janessatī’’tiādinā nayena vuttaṃ achandajananādiṃ sandhāyāha.

    ตตฺถ จ น ฉนฺทํ ชเนสฺสตีติ อปฺปชานโนฺต ตสฺส องฺคณสฺส ปหานตฺถํ กตฺตุกมฺยตาฉนฺทํ น ชเนสฺสติฯ น วายมิสฺสตีติ ตโต พลวตรํ วายามํ น กริสฺสติ, น วีริยํ อารภิสฺสตีติ ถามคตวีริยํ ปน เนว อารภิสฺสติ, น ปวเตฺตสฺสตีติ วุตฺตํ โหติฯ สางฺคโณติ อิเมหิ ราคาทีหิ องฺคเณหิ สางฺคโณฯ สํกิลิฎฺฐจิโตฺตติ เตหิเยว สุฎฺฐุตรํ กิลิฎฺฐจิโตฺต มลีนจิโตฺต วิพาธิตจิโตฺต อุปตาปิตจิโตฺต จ หุตฺวาฯ กาลํ กริสฺสตีติ มริสฺสติฯ

    Tattha ca na chandaṃ janessatīti appajānanto tassa aṅgaṇassa pahānatthaṃ kattukamyatāchandaṃ na janessati. Na vāyamissatīti tato balavataraṃ vāyāmaṃ na karissati, na vīriyaṃ ārabhissatīti thāmagatavīriyaṃ pana neva ārabhissati, na pavattessatīti vuttaṃ hoti. Sāṅgaṇoti imehi rāgādīhi aṅgaṇehi sāṅgaṇo. Saṃkiliṭṭhacittoti tehiyeva suṭṭhutaraṃ kiliṭṭhacitto malīnacitto vibādhitacitto upatāpitacitto ca hutvā. Kālaṃ karissatīti marissati.

    เสยฺยถาปีติ ยถา นามฯ กํสปาตีติ กํสโลหภาชนํฯ อาภตาติ อานีตาฯ อาปณา วา กมฺมารกุลา วาติ อาปณโต วา กํสปาติการกานํ กมฺมารานํ ฆรโต วาฯ รเชนาติ อาคนฺตุกรเชน ปํสุอาทินาฯ มเลนาติ ตเตฺถว อุฎฺฐิเตน โลหมเลนฯ ปริโยนทฺธาติ สญฺฉนฺนาฯ น เจว ปริภุเญฺชยฺยุนฺติ อุทกขาทนียปกฺขิปนาทีหิ ปริโภคํ น กเรยฺยุํฯ น จ ปริโยทเปยฺยุนฺติ โธวนฆํสนาทีหิ น ปริสุทฺธํ การาเปยฺยุํฯ รชาปเถติ รชปเถฯ อยเมว วา ปาโฐ, รชสฺส อาคมนฎฺฐาเน วา วุฎฺฐานุฎฺฐาเน วา เหฎฺฐามเญฺจ วา ถุสโกฎฺฐเก วา ภาชนนฺตเร วา, ยตฺถ รเชน โอกิรียตีติ อโตฺถฯ สํกิลิฎฺฐตรา อสฺส มลคฺคหิตาติ เอตฺถ รชาปเถ นิกฺขิปเนน สํกิลิฎฺฐตรา, อปริโภคาปริโยทปเนหิ มลคฺคหิตตราติ วุตฺตํ โหติ, ปฎิปุจฺฉาวจนเญฺจตํฯ เตนสฺส เอวมโตฺถ เวทิตโพฺพ, อาวุโส, สา กํสปาติ เอวํ กรียมานา อปเรน กาเลน สํกิลิฎฺฐตรา จ มลคฺคหิตตรา จ มตฺติกปาตีติ วา กํสปาตีติ วา อิติปิ ทุชฺชานา ภเวยฺย นุ โข โนติ, เถโร ตํ ปฎิชานโนฺต อาห ‘‘เอวมาวุโส’’ติฯ ปุน ธมฺมเสนาปติ โอปมฺมํ สมฺปฎิปาเทโนฺต, เอวเมว โขติอาทิมาหฯ ตเตฺถวํ โอปมฺมสํสนฺทนา เวทิตพฺพา – กิลิฎฺฐกํสปาติสทิโส สางฺคโณ ปุคฺคโลฯ สํกิลิฎฺฐกํสปาติยา นปริภุญฺชนมาทิํ กตฺวา รชาปถนิเกฺขโป วิย ตสฺส ปุคฺคลสฺส ปพฺพชฺชํ ลภมานสฺส เวชฺชกมฺมาทีสุ ปสุตปุคฺคลสนฺติเก ปพฺพชฺชาปฎิลาโภฯ สํกิลิฎฺฐกํสปาติยา ปุน สํกิลิฎฺฐตรภาโว วิย ตสฺส ปุคฺคลสฺส อนุกฺกเมน อาจริยุปชฺฌายานํ อนุสิกฺขโต เวชฺชกมฺมาทิกรณํ, เอตฺถ ฐิตสฺส สางฺคณกาลกิริยาฯ อถ วา อนุกฺกเมน ทุกฺกฎทุพฺภาสิตวีติกฺกมนํ, เอตฺถ ฐิตสฺส สางฺคณกาลกิริยาฯ อถ วา อนุกฺกเมน ปาจิตฺติยถุลฺลจฺจยวีติกฺกมนํ, สงฺฆาทิเสสวีติกฺกมนํ, ปาราชิกวีติกฺกมนํ, มาตุฆาตาทิอานนฺตริยกรณํ, เอตฺถ ฐิตสฺส สางฺคณกาลกิริยาติฯ

    Seyyathāpīti yathā nāma. Kaṃsapātīti kaṃsalohabhājanaṃ. Ābhatāti ānītā. Āpaṇā vā kammārakulā vāti āpaṇato vā kaṃsapātikārakānaṃ kammārānaṃ gharato vā. Rajenāti āgantukarajena paṃsuādinā. Malenāti tattheva uṭṭhitena lohamalena. Pariyonaddhāti sañchannā. Na ceva paribhuñjeyyunti udakakhādanīyapakkhipanādīhi paribhogaṃ na kareyyuṃ. Na ca pariyodapeyyunti dhovanaghaṃsanādīhi na parisuddhaṃ kārāpeyyuṃ. Rajāpatheti rajapathe. Ayameva vā pāṭho, rajassa āgamanaṭṭhāne vā vuṭṭhānuṭṭhāne vā heṭṭhāmañce vā thusakoṭṭhake vā bhājanantare vā, yattha rajena okirīyatīti attho. Saṃkiliṭṭhatarā assa malaggahitāti ettha rajāpathe nikkhipanena saṃkiliṭṭhatarā, aparibhogāpariyodapanehi malaggahitatarāti vuttaṃ hoti, paṭipucchāvacanañcetaṃ. Tenassa evamattho veditabbo, āvuso, sā kaṃsapāti evaṃ karīyamānā aparena kālena saṃkiliṭṭhatarā ca malaggahitatarā ca mattikapātīti vā kaṃsapātīti vā itipi dujjānā bhaveyya nu kho noti, thero taṃ paṭijānanto āha ‘‘evamāvuso’’ti. Puna dhammasenāpati opammaṃ sampaṭipādento, evameva khotiādimāha. Tatthevaṃ opammasaṃsandanā veditabbā – kiliṭṭhakaṃsapātisadiso sāṅgaṇo puggalo. Saṃkiliṭṭhakaṃsapātiyā naparibhuñjanamādiṃ katvā rajāpathanikkhepo viya tassa puggalassa pabbajjaṃ labhamānassa vejjakammādīsu pasutapuggalasantike pabbajjāpaṭilābho. Saṃkiliṭṭhakaṃsapātiyā puna saṃkiliṭṭhatarabhāvo viya tassa puggalassa anukkamena ācariyupajjhāyānaṃ anusikkhato vejjakammādikaraṇaṃ, ettha ṭhitassa sāṅgaṇakālakiriyā. Atha vā anukkamena dukkaṭadubbhāsitavītikkamanaṃ, ettha ṭhitassa sāṅgaṇakālakiriyā. Atha vā anukkamena pācittiyathullaccayavītikkamanaṃ, saṅghādisesavītikkamanaṃ, pārājikavītikkamanaṃ, mātughātādiānantariyakaraṇaṃ, ettha ṭhitassa sāṅgaṇakālakiriyāti.

    สํกิลิฎฺฐจิโตฺต กาลํ กริสฺสตีติ เอตฺถ จ อกุสลจิเตฺตน กาลํ กริสฺสตีติ น เอวมโตฺถ ทฎฺฐโพฺพฯ สพฺพสตฺตา หิ ปกติจิเตฺตน ภวงฺคจิเตฺตเนว กาลํ กโรนฺติฯ อยํ ปน อวิโสเธตฺวา จิตฺตสนฺตานํ กาลํ กริสฺสตีติ เอตมตฺถํ สนฺธาย เอวํ วุโตฺตติ เวทิตโพฺพฯ

    Saṃkiliṭṭhacitto kālaṃ karissatīti ettha ca akusalacittena kālaṃ karissatīti na evamattho daṭṭhabbo. Sabbasattā hi pakaticittena bhavaṅgacitteneva kālaṃ karonti. Ayaṃ pana avisodhetvā cittasantānaṃ kālaṃ karissatīti etamatthaṃ sandhāya evaṃ vuttoti veditabbo.

    ทุติยวาเร ปริโยทเปยฺยุนฺติ โธวนฆํสนสณฺหฉาริกาปริมชฺชนาทีหิ ปริสุทฺธํ อาทาสมณฺฑลสทิสํ กเรยฺยุํฯ น จ นํ รชาปเถติ ปุเพฺพ วุตฺตปฺปกาเร ฐาเน อนิกฺขิปิตฺวา กรณฺฑมญฺชูสาทีสุ วา ฐเปยฺยุํ, ปลิเวเฐตฺวา วา นาคทเนฺต ลเคยฺยุํฯ เสสํ วุตฺตนยานุสาเรเนว คเหตพฺพํฯ

    Dutiyavāre pariyodapeyyunti dhovanaghaṃsanasaṇhachārikāparimajjanādīhi parisuddhaṃ ādāsamaṇḍalasadisaṃ kareyyuṃ. Na ca naṃ rajāpatheti pubbe vuttappakāre ṭhāne anikkhipitvā karaṇḍamañjūsādīsu vā ṭhapeyyuṃ, paliveṭhetvā vā nāgadante lageyyuṃ. Sesaṃ vuttanayānusāreneva gahetabbaṃ.

    อุปมาสํสนฺทนา เจตฺถ เอวํ เวทิตพฺพา – กิลิฎฺฐกํสปาติสทิโส สางฺคโณ ภพฺพปุคฺคโลฯ กิลิฎฺฐกํสปาติยา ปริภุญฺชนมาทิํ กตฺวา สุทฺธฎฺฐาเน ฐปนํ วิย ตสฺส ปุคฺคลสฺส ปพฺพชฺชํ ลภมานสฺส เปสลภิกฺขูนํ สนฺติเก ปพฺพชฺชาปฎิลาโภฯ เย โอวทนฺติ อนุสาสนฺติ อปฺปมตฺตกมฺปิ ปมาทํ ทิสฺวา ทณฺฑกมฺมํ กตฺวา ปุนปฺปุนํ สิกฺขาเปนฺติ, สํกิลิฎฺฐกํสปาติยา อปรกาเล ปริสุทฺธปริโยทาตภาโว วิย ตสฺส ปุคฺคลสฺส อาจริยุปชฺฌายานํ อนุสิกฺขโต อนุกฺกเมน สมฺมาวตฺตปฎิปตฺติ, เอตฺถ ฐิตสฺส อนงฺคณกาลกิริยาฯ อถ วา อนุกฺกเมน ปริสุเทฺธ สีเล ปติฎฺฐาย อตฺตโน อนุรูปํ พุทฺธวจนํ อุคฺคณฺหิตฺวา ธุตงฺคานิ สมาทาย อตฺตโน อนุกูลกมฺมฎฺฐานํ คเหตฺวา คามนฺตเสนาสนวาสํ มุญฺจิตฺวา ปนฺตเสนาสนวาโส, เอตฺถ ฐิตสฺส อนงฺคณกาลกิริยาฯ อถ วา อนุกฺกเมน กสิณปริกมฺมํ กตฺวา อฎฺฐสมาปตฺตินิพฺพตฺตเนน กิเลสวิกฺขมฺภนํ, วิปสฺสนาปาทกชฺฌานา วุฎฺฐาย วิปสฺสนาย กิเลสานํ ตทงฺคนิวารณํ, โสตาปตฺติผลาธิคโม…เป.… อรหตฺตสจฺฉิกิริยาติ เอตฺถ ฐิตสฺส อจฺจนฺตํ อนงฺคณกาลกิริยา เอวฯ

    Upamāsaṃsandanā cettha evaṃ veditabbā – kiliṭṭhakaṃsapātisadiso sāṅgaṇo bhabbapuggalo. Kiliṭṭhakaṃsapātiyā paribhuñjanamādiṃ katvā suddhaṭṭhāne ṭhapanaṃ viya tassa puggalassa pabbajjaṃ labhamānassa pesalabhikkhūnaṃ santike pabbajjāpaṭilābho. Ye ovadanti anusāsanti appamattakampi pamādaṃ disvā daṇḍakammaṃ katvā punappunaṃ sikkhāpenti, saṃkiliṭṭhakaṃsapātiyā aparakāle parisuddhapariyodātabhāvo viya tassa puggalassa ācariyupajjhāyānaṃ anusikkhato anukkamena sammāvattapaṭipatti, ettha ṭhitassa anaṅgaṇakālakiriyā. Atha vā anukkamena parisuddhe sīle patiṭṭhāya attano anurūpaṃ buddhavacanaṃ uggaṇhitvā dhutaṅgāni samādāya attano anukūlakammaṭṭhānaṃ gahetvā gāmantasenāsanavāsaṃ muñcitvā pantasenāsanavāso, ettha ṭhitassa anaṅgaṇakālakiriyā. Atha vā anukkamena kasiṇaparikammaṃ katvā aṭṭhasamāpattinibbattanena kilesavikkhambhanaṃ, vipassanāpādakajjhānā vuṭṭhāya vipassanāya kilesānaṃ tadaṅganivāraṇaṃ, sotāpattiphalādhigamo…pe… arahattasacchikiriyāti ettha ṭhitassa accantaṃ anaṅgaṇakālakiriyā eva.

    ตติยวาเร สุภนิมิตฺตนฺติ ราคฎฺฐานิยํ อิฎฺฐารมฺมณํฯ มนสิ กริสฺสตีติ ตสฺมิํ วิปนฺนสฺสติ ตํ นิมิตฺตํ อาวชฺชิสฺสติฯ ตสฺส สุภนิมิตฺตสฺส มนสิการาติ ตสฺส ปุคฺคลสฺส สุภนิมิตฺตมนสิการการณาฯ อนุทฺธํเสสฺสตีติ หิํสิสฺสติ อธิภวิสฺสติฯ ราโค หิ อุปฺปชฺชโนฺต กุสลวารํ ปจฺฉินฺทิตฺวา สยเมว อกุสลชวนํ หุตฺวา ติฎฺฐโนฺต กุสลจิตฺตํ อนุทฺธํเสตีติ เวทิตโพฺพฯ เสสํ วุตฺตนยานุสาเรเนว คเหตพฺพํฯ

    Tatiyavāre subhanimittanti rāgaṭṭhāniyaṃ iṭṭhārammaṇaṃ. Manasi karissatīti tasmiṃ vipannassati taṃ nimittaṃ āvajjissati. Tassa subhanimittassa manasikārāti tassa puggalassa subhanimittamanasikārakāraṇā. Anuddhaṃsessatīti hiṃsissati adhibhavissati. Rāgo hi uppajjanto kusalavāraṃ pacchinditvā sayameva akusalajavanaṃ hutvā tiṭṭhanto kusalacittaṃ anuddhaṃsetīti veditabbo. Sesaṃ vuttanayānusāreneva gahetabbaṃ.

    โอปมฺมสํสนฺทนา ปเนตฺถ เอวํ เวทิตพฺพา – ปริสุทฺธกํสปาติสทิโส ปกติยา อปฺปกิเลโส อนงฺคณปุคฺคโลฯ ปริสุทฺธกํสปาติยา นปริภุญฺชนํ อาทิํ กตฺวา รชาปเถ นิเกฺขโป วิย ตสฺส ปุคฺคลสฺส ปพฺพชฺชํ ลภมานสฺสาติ อิโต ปรํ สพฺพํ ปฐมวารสทิสเมวฯ

    Opammasaṃsandanā panettha evaṃ veditabbā – parisuddhakaṃsapātisadiso pakatiyā appakileso anaṅgaṇapuggalo. Parisuddhakaṃsapātiyā naparibhuñjanaṃ ādiṃ katvā rajāpathe nikkhepo viya tassa puggalassa pabbajjaṃ labhamānassāti ito paraṃ sabbaṃ paṭhamavārasadisameva.

    จตุตฺถวาเร สุภนิมิตฺตํ น มนสิ กริสฺสตีติ ตสฺมิํ สติวิรหาภาวโต ตํ นิมิตฺตํ นาวชฺชิสฺสติ, เสสํ ทุติยวารานุสาเรน เวทิตพฺพํฯ ‘‘อยํ โข, อาวุโส’’ติอาทิ ‘‘โก นุ โข, อาวุโส’’ติอาทิมฺหิ วุตฺตนยเมวฯ

    Catutthavāre subhanimittaṃ na manasi karissatīti tasmiṃ sativirahābhāvato taṃ nimittaṃ nāvajjissati, sesaṃ dutiyavārānusārena veditabbaṃ. ‘‘Ayaṃ kho, āvuso’’tiādi ‘‘ko nu kho, āvuso’’tiādimhi vuttanayameva.

    ๖๐. อิทานิ ตํ องฺคณํ นานปฺปการโต ปากฎํ การาเปตุกาเมนายสฺมตา มหาโมคฺคลฺลาเนน ‘‘องฺคณํ องฺคณ’’นฺติอาทินา นเยน ปุโฎฺฐ ตํ พฺยากโรโนฺต ปาปกานํ โข เอตํ, อาวุโสติอาทิมาหฯ ตตฺถ อิจฺฉาวจรานนฺติ อิจฺฉาย อวจรานํ, อิจฺฉาวเสน โอติณฺณานํ ปวตฺตานํ นานปฺปการานํ โกปอปฺปจฺจยานนฺติ อโตฺถฯ ยํ อิเธกจฺจสฺสาติ เยน อิเธกจฺจสฺส เอวํ อิจฺฉา อุปฺปเชฺชยฺย, ตํ ฐานํ ตํ การณํ วิชฺชติ อตฺถิ, อุปลพฺภตีติ วุตฺตํ โหติฯ อาปโนฺน อสฺสนฺติ อาปโนฺน ภเวยฺยํฯ น จ มํ ภิกฺขู ชาเนยฺยุนฺติ ภิกฺขู จ มํ น ชาเนยฺยุํฯ กิํ ปเนตฺถ ฐานํ, ลาภตฺถิกตาฯ ลาภตฺถิโก หิ ภิกฺขุ ปกติยาปิ จ กตปุโญฺญ มนุเสฺสหิ สกฺกโต ครุกโต เอวํ จิเนฺตติ ‘‘อาปตฺติํ อาปนฺนํ ภิกฺขุํ เถรา ญตฺวา มชฺฌิมานํ อาโรเจนฺติ, เต นวกานํ, นวกา วิหาเร วิฆาสาทาทีนํ, เต โอวาทํ อาคตานํ ภิกฺขุนีนํ, เอวํ กเมน จตโสฺส ปริสา ชานนฺติฯ เอวมสฺส ลาภนฺตราโย โหติฯ อโห วตาหํ อาปตฺติญฺจ วต อาปโนฺน อสฺสํ, น จ มํ ภิกฺขู ชาเนยฺยุ’’นฺติฯ

    60. Idāni taṃ aṅgaṇaṃ nānappakārato pākaṭaṃ kārāpetukāmenāyasmatā mahāmoggallānena ‘‘aṅgaṇaṃ aṅgaṇa’’ntiādinā nayena puṭṭho taṃ byākaronto pāpakānaṃ kho etaṃ, āvusotiādimāha. Tattha icchāvacarānanti icchāya avacarānaṃ, icchāvasena otiṇṇānaṃ pavattānaṃ nānappakārānaṃ kopaappaccayānanti attho. Yaṃ idhekaccassāti yena idhekaccassa evaṃ icchā uppajjeyya, taṃ ṭhānaṃ taṃ kāraṇaṃ vijjati atthi, upalabbhatīti vuttaṃ hoti. Āpanno assanti āpanno bhaveyyaṃ. Na ca maṃ bhikkhū jāneyyunti bhikkhū ca maṃ na jāneyyuṃ. Kiṃ panettha ṭhānaṃ, lābhatthikatā. Lābhatthiko hi bhikkhu pakatiyāpi ca katapuñño manussehi sakkato garukato evaṃ cinteti ‘‘āpattiṃ āpannaṃ bhikkhuṃ therā ñatvā majjhimānaṃ ārocenti, te navakānaṃ, navakā vihāre vighāsādādīnaṃ, te ovādaṃ āgatānaṃ bhikkhunīnaṃ, evaṃ kamena catasso parisā jānanti. Evamassa lābhantarāyo hoti. Aho vatāhaṃ āpattiñca vata āpanno assaṃ, na ca maṃ bhikkhū jāneyyu’’nti.

    ยํ ตํ ภิกฺขุํ ภิกฺขู ชาเนยฺยุนฺติ เยน การเณน ตํ ภิกฺขุํ อเญฺญ ภิกฺขู ชาเนยฺยุํ, ตํ การณํ วิชฺชติ โข ปน อตฺถิเยว, โน นตฺถิฯ เถรา หิ ญตฺวา มชฺฌิมานํ อาโรเจนฺติฯ เอวํ โส ปุเพฺพ วุตฺตนเยน จตูสุ ปริสาสุ ปากโฎ โหติฯ เอวํ ปากโฎ จ อยสาภิภูโต คามสตมฺปิ ปวิสิตฺวา อุมฺมารสเตสุ ฐาเนสุ อุญฺฉิตฺวา ยถาโธเตน ปเตฺตน นิกฺขมติฯ ตโต ชานนฺติ มํ ภิกฺขู อาปตฺติํ อาปโนฺนติ เตหิ จมฺหิ เอวํ นาสิโตติ จิเนฺตตฺวา, อิติ โส กุปิโต โหติ อปฺปตีโต โส อิมินา การเณน กุปิโต เจว โหติ โกธาภิภูโต อปฺปตีโต จ โทมนสฺสาภิภูโตฯ

    Yaṃ taṃ bhikkhuṃ bhikkhū jāneyyunti yena kāraṇena taṃ bhikkhuṃ aññe bhikkhū jāneyyuṃ, taṃ kāraṇaṃ vijjati kho pana atthiyeva, no natthi. Therā hi ñatvā majjhimānaṃ ārocenti. Evaṃ so pubbe vuttanayena catūsu parisāsu pākaṭo hoti. Evaṃ pākaṭo ca ayasābhibhūto gāmasatampi pavisitvā ummārasatesu ṭhānesu uñchitvā yathādhotena pattena nikkhamati. Tato jānanti maṃ bhikkhū āpattiṃ āpannoti tehi camhi evaṃ nāsitoti cintetvā, iti so kupito hoti appatīto so iminā kāraṇena kupito ceva hoti kodhābhibhūto appatīto ca domanassābhibhūto.

    โย เจว โข , อาวุโส, โกโป โย จ อปฺปจฺจโย อุภยเมตํ องฺคณนฺติ, อาวุโส, โย จายํ สงฺขารกฺขนฺธสงฺคหิโต โกโป, โย จ เวทนากฺขนฺธสงฺคหิโต อปฺปจฺจโย, เอตํ อุภยํ องฺคณนฺติ เอวเมตฺถ อโตฺถ ทฎฺฐโพฺพฯ อิทญฺจ ตาทิสานํ ปุคฺคลานํ วเสน วุตฺตํฯ โลโภ ปน อิมสฺส องฺคณสฺส ปุพฺพภาควเสน, โมโห สมฺปโยควเสนาปิ คหิโตเยว โหติฯ

    Yo ceva kho , āvuso, kopo yo ca appaccayo ubhayametaṃ aṅgaṇanti, āvuso, yo cāyaṃ saṅkhārakkhandhasaṅgahito kopo, yo ca vedanākkhandhasaṅgahito appaccayo, etaṃ ubhayaṃ aṅgaṇanti evamettha attho daṭṭhabbo. Idañca tādisānaṃ puggalānaṃ vasena vuttaṃ. Lobho pana imassa aṅgaṇassa pubbabhāgavasena, moho sampayogavasenāpi gahitoyeva hoti.

    อนุรโห นฺติ ปุริมสทิสเมว ภิกฺขุํ คเหตฺวา วิหารปจฺจเนฺต เสนาสนํ ปเวเสตฺวา ทฺวารํ ถเกตฺวา โจเทเนฺต อิจฺฉติฯ ฐานํ โข ปเนตนฺติ เอตํ การณํ วิชฺชติ, ยํ ตํ ภิกฺขุํ จตุปริสมเชฺฌ อาเนตฺวา พฺยตฺตา วินีตา ‘‘ตยา อสุกมฺหิ นาม ฐาเน เวชฺชกมฺมํ กต’’นฺติอาทินา นเยน โจเทยฺยุํฯ โส จตูสุ ปริสาสุ ปากโฎ โหติฯ เอวํ ปากโฎ จ อยสาภิภูโตติ สพฺพํ ปุริมสทิสเมวฯ

    Anurahomanti purimasadisameva bhikkhuṃ gahetvā vihārapaccante senāsanaṃ pavesetvā dvāraṃ thaketvā codente icchati. Ṭhānaṃ kho panetanti etaṃ kāraṇaṃ vijjati, yaṃ taṃ bhikkhuṃ catuparisamajjhe ānetvā byattā vinītā ‘‘tayā asukamhi nāma ṭhāne vejjakammaṃ kata’’ntiādinā nayena codeyyuṃ. So catūsu parisāsu pākaṭo hoti. Evaṃ pākaṭo ca ayasābhibhūtoti sabbaṃ purimasadisameva.

    สปฺปฎิปุคฺคโลติ สมาโน ปุคฺคโลฯ สมาโนติ สาปตฺติโกฯ ปฎิปุคฺคโลติ โจทโกฯ อยํ สาปตฺติเกเนว โจทนํ อิจฺฉติ, ตฺวมฺปิ อิมญฺจิมญฺจ อาปตฺติํ อาปโนฺน, ตํ ตาว ปฎิกโรหิ ปจฺฉา มํ โจเทสฺสสีติ วตฺตุํ สกฺกาติ มญฺญมาโนฯ อปิจ ชาติอาทีหิปิ สมาโน ปุคฺคโล สปฺปฎิปุคฺคโลฯ อยญฺหิ อตฺตโน ชาติยา กุเลน พาหุสเจฺจน พฺยตฺตตาย ธุตเงฺคนาติ เอวมาทีหิปิ สมาเนเนว โจทนํ อิจฺฉติ, ตาทิเสน วุตฺตํ นาติทุกฺขํ โหตีติ มญฺญมาโนฯ อปฺปฎิปุคฺคโลติ เอตฺถ อยุโตฺต ปฎิปุคฺคโล อปฺปฎิปุคฺคโลฯ อิเมหิ อาปตฺตาทีหิ อสทิสตฺตา ปฎิสตฺตุ ปฎิสโลฺล โจทโก ภวิตุํ อยุโตฺตติ วุตฺตํ โหติฯ อิติ โส กุปิโตติ อิติ โส อิมาย อปฺปฎิปุคฺคลโจทนาย เอวํ กุปิโต โหติฯ

    Sappaṭipuggaloti samāno puggalo. Samānoti sāpattiko. Paṭipuggaloti codako. Ayaṃ sāpattikeneva codanaṃ icchati, tvampi imañcimañca āpattiṃ āpanno, taṃ tāva paṭikarohi pacchā maṃ codessasīti vattuṃ sakkāti maññamāno. Apica jātiādīhipi samāno puggalo sappaṭipuggalo. Ayañhi attano jātiyā kulena bāhusaccena byattatāya dhutaṅgenāti evamādīhipi samāneneva codanaṃ icchati, tādisena vuttaṃ nātidukkhaṃ hotīti maññamāno. Appaṭipuggaloti ettha ayutto paṭipuggalo appaṭipuggalo. Imehi āpattādīhi asadisattā paṭisattu paṭisallo codako bhavituṃ ayuttoti vuttaṃ hoti. Iti so kupitoti iti so imāya appaṭipuggalacodanāya evaṃ kupito hoti.

    จตุตฺถวาเร อโห วตาติ ‘‘อโห วต เร อมฺหากํ ปณฺฑิตกา, อโห วต เร อมฺหากํ พหุสฺสุตกา เตวิชฺชกา’’ติ (ที. นิ. ๑.๒๙๑) ครหายํ ทิสฺสติฯ ‘‘อโห วต มํ ทหรํเยว สมานํ รเชฺช อภิสิเญฺจยฺยุ’’นฺติ (มหาว. ๕๗) ปตฺถนายํฯ อิธ ปตฺถนายเมวฯ ปฎิปุจฺฉิตฺวา ปฎิปุจฺฉิตฺวาติ ปุนปฺปุนํ ปุจฺฉิตฺวาฯ อยํ ภิกฺขุ ลาภตฺถิโก ภควโต อตฺตานํ ปฎิปุจฺฉิตพฺพํ อิจฺฉติ, ตญฺจ โข อนุมติปุจฺฉาย, โน มคฺคํ วา ผลํ วา วิปสฺสนํ วา อนฺตรํ กตฺวาฯ อยญฺหิ ปสฺสติ ภควนฺตํ สาริปุตฺตาทโย มหาเถเร ‘‘ตํ กิํ มญฺญสิ, สาริปุตฺต, โมคฺคลฺลาน, กสฺสป , ราหุล จกฺขุํ นิจฺจํ วา อนิจฺจํ วา’’ติ เอวํ ปริสมเชฺฌ ปฎิปุจฺฉิตฺวา ปฎิปุจฺฉิตฺวา ธมฺมํ เทเสนฺตํ, มนุเสฺส จ ‘‘เตส ปณฺฑิตา เถรา สตฺถุ จิตฺตํ อาราเธนฺตี’’ติ วณฺณํ ภณเนฺต, ลาภสกฺการญฺจ อุปหรเนฺตฯ ตสฺมา ตํ ลาภสกฺการํ อิจฺฉโนฺต เอวํ จิเนฺตตฺวา นิขณิตฺวา ฐปิตขาณุ วิย ภควโต ปุรโตว โหติฯ

    Catutthavāre aho vatāti ‘‘aho vata re amhākaṃ paṇḍitakā, aho vata re amhākaṃ bahussutakā tevijjakā’’ti (dī. ni. 1.291) garahāyaṃ dissati. ‘‘Aho vata maṃ daharaṃyeva samānaṃ rajje abhisiñceyyu’’nti (mahāva. 57) patthanāyaṃ. Idha patthanāyameva. Paṭipucchitvā paṭipucchitvāti punappunaṃ pucchitvā. Ayaṃ bhikkhu lābhatthiko bhagavato attānaṃ paṭipucchitabbaṃ icchati, tañca kho anumatipucchāya, no maggaṃ vā phalaṃ vā vipassanaṃ vā antaraṃ katvā. Ayañhi passati bhagavantaṃ sāriputtādayo mahāthere ‘‘taṃ kiṃ maññasi, sāriputta, moggallāna, kassapa , rāhula cakkhuṃ niccaṃ vā aniccaṃ vā’’ti evaṃ parisamajjhe paṭipucchitvā paṭipucchitvā dhammaṃ desentaṃ, manusse ca ‘‘tesa paṇḍitā therā satthu cittaṃ ārādhentī’’ti vaṇṇaṃ bhaṇante, lābhasakkārañca upaharante. Tasmā taṃ lābhasakkāraṃ icchanto evaṃ cintetvā nikhaṇitvā ṭhapitakhāṇu viya bhagavato puratova hoti.

    อิติ โส กุปิโตติ อถ ภควา ตํ อมนสิกริตฺวาว อญฺญํ เถรํ ปฎิปุจฺฉิตฺวา ธมฺมํ เทเสติ , เตน โส กุปิโต โหติ ภควโต จ เถรสฺส จฯ กถํ ภควโต กุปฺปติ? ‘‘อหํ ปพฺพชิตกาลโต ปภุติ คนฺธกุฎิปริเวณโต พหินิกฺขมนํ น ชานามิ, สพฺพกาลํ ฉายาว น วิชหามิ, มํ นาม ปุจฺฉิตฺวา ธมฺมเทสนามตฺตมฺปิ นตฺถิฯ ตํมุหุตฺตํ ทิฎฺฐมตฺตกเมว เถรํ ปุจฺฉิตฺวา ธมฺมํ เทเสตี’’ติ เอวํ ภควโต กุปฺปติฯ กถํ เถรสฺส กุปฺปติ? ‘‘อยํ มหลฺลกเตฺถโร ภควโต ปุรโต ขาณุ วิย นิสีทติ, กทา นุ โข อิมํ ธมฺมกมฺมิกา อภพฺพฎฺฐานํ ปาเปตฺวา นีหริสฺสนฺติ, อยญฺหิ ยทิ อิมสฺมิํ วิหาเร น ภเวยฺย, อวสฺสํ ภควา มยา สทฺธิํ สลฺลเปยฺยา’’ติ เอวํ เถรสฺส กุปฺปติฯ

    Iti so kupitoti atha bhagavā taṃ amanasikaritvāva aññaṃ theraṃ paṭipucchitvā dhammaṃ deseti , tena so kupito hoti bhagavato ca therassa ca. Kathaṃ bhagavato kuppati? ‘‘Ahaṃ pabbajitakālato pabhuti gandhakuṭipariveṇato bahinikkhamanaṃ na jānāmi, sabbakālaṃ chāyāva na vijahāmi, maṃ nāma pucchitvā dhammadesanāmattampi natthi. Taṃmuhuttaṃ diṭṭhamattakameva theraṃ pucchitvā dhammaṃ desetī’’ti evaṃ bhagavato kuppati. Kathaṃ therassa kuppati? ‘‘Ayaṃ mahallakatthero bhagavato purato khāṇu viya nisīdati, kadā nu kho imaṃ dhammakammikā abhabbaṭṭhānaṃ pāpetvā nīharissanti, ayañhi yadi imasmiṃ vihāre na bhaveyya, avassaṃ bhagavā mayā saddhiṃ sallapeyyā’’ti evaṃ therassa kuppati.

    ปุรกฺขตฺวา ปุรกฺขตฺวาติ ปุรโต ปุรโต กตฺวา, สมฺปริวาเรตฺวาติ วุตฺตํ โหติฯ อยมฺปิ ลาภตฺถิโกเยว, อยญฺหิ ปสฺสติ พหุสฺสุเต ภิกฺขู มหาปริวาเรน คามํ ปวิสเนฺต, เจติยํ วนฺทเนฺต, เตสญฺจ ตํ สมฺปตฺติํ ทิสฺวา อุปาสเก ปสเนฺน ปสนฺนาการํ กโรเนฺตฯ ตสฺมา เอวํ อิจฺฉติฯ กุปิโตติ อยมฺปิ ทฺวีสุ ฐาเนสุ กุปฺปติ ภิกฺขูนํ เถรสฺส จฯ กถํ ภิกฺขูนํ? ‘‘อิเม ยเทว มยฺหํ อุปฺปชฺชติ จีวรํ วา ปิณฺฑปาโต วา, ตํ คเหตฺวา ปริภุญฺชนฺติ, มยฺหํ ปน ปตฺตจีวรํ คเหตฺวา ปิฎฺฐิโต อาคจฺฉโนฺตปิ นตฺถี’’ติ เอวํ ภิกฺขูนํ กุปฺปติฯ กถํ เถรสฺส? ‘‘เอโส มหลฺลกเตฺถโร เตสุ เตสุ ฐาเนสุ สยเมว ปญฺญายติ, กุทาสฺสุ นาม นํ ธมฺมกมฺมิกา นิกฺกฑฺฒิสฺสนฺติ, อิมสฺมิํ อสติ อวสฺสํ มํเยว ปริวาเรสฺสนฺตี’’ติฯ

    Purakkhatvā purakkhatvāti purato purato katvā, samparivāretvāti vuttaṃ hoti. Ayampi lābhatthikoyeva, ayañhi passati bahussute bhikkhū mahāparivārena gāmaṃ pavisante, cetiyaṃ vandante, tesañca taṃ sampattiṃ disvā upāsake pasanne pasannākāraṃ karonte. Tasmā evaṃ icchati. Kupitoti ayampi dvīsu ṭhānesu kuppati bhikkhūnaṃ therassa ca. Kathaṃ bhikkhūnaṃ? ‘‘Ime yadeva mayhaṃ uppajjati cīvaraṃ vā piṇḍapāto vā, taṃ gahetvā paribhuñjanti, mayhaṃ pana pattacīvaraṃ gahetvā piṭṭhito āgacchantopi natthī’’ti evaṃ bhikkhūnaṃ kuppati. Kathaṃ therassa? ‘‘Eso mahallakatthero tesu tesu ṭhānesu sayameva paññāyati, kudāssu nāma naṃ dhammakammikā nikkaḍḍhissanti, imasmiṃ asati avassaṃ maṃyeva parivāressantī’’ti.

    ภตฺตเคฺคติ โภชนฎฺฐาเนฯ อคฺคาสนนฺติ สงฺฆเตฺถราสนํฯ อโคฺคทกนฺติ ทกฺขิโณทกํฯ อคฺคปิณฺฑนฺติ สงฺฆเตฺถรปิณฺฑํฯ สพฺพตฺถ วา อคฺคนฺติ ปณีตาธิวจนเมตํฯ ตตฺถ อหเมว ลเภยฺยนฺติ อิจฺฉา นาติมหาสาวชฺชาฯ น อโญฺญ ภิกฺขุ ลเภยฺยาติ ปน อติมหาสาวชฺชา ฯ อยมฺปิ ลาภตฺถิโก ปาสาทิโก โหติ จีวรธารณาทีหิ, กทาจิ ปพฺพชติ, กทาจิ วิพฺภมติฯ เตน โส ปุเพฺพ ลทฺธปุพฺพํ อาสนาทิํ ปจฺฉา อลภโนฺต เอวํ จิเนฺตสิฯ น โส ภิกฺขุ ลเภยฺยาติ น โส ภิกฺขุ เถรานํ อคฺคาสนาทีสุ ตทนุสาเรน มชฺฌิมานํ อเญฺญสญฺจ นวานํ กทาจิ ยํ วา ตํ วา สพฺพนิหีนํ อาสนาทิํ ลภติฯ กุปิโตติ อยมฺปิ ทฺวีสุ ฐาเนสุ กุปฺปติ มนุสฺสานญฺจ เถรานญฺจฯ กถํ มนุสฺสานํ? ‘‘อิเม มงฺคลาทีสุ มํ นิสฺสาย ภิกฺขู ลภนฺติ, เอเต, ‘ภเนฺต, เอตฺตเก ภิกฺขู คเหตฺวา อมฺหากํ อนุกมฺปํ กโรถา’ติ วทนฺติ, อิทานิ ตํมุหุตฺตํ ทิฎฺฐมตฺตกํ มหลฺลกเตฺถรํ คเหตฺวา คตา, โหตุ อิทานิ, เนสํ กิเจฺจ อุปฺปเนฺน ชานิสฺสามี’’ติ เอวํ มนุสฺสานํ กุปฺปติฯ กถํ เถรานํ? ‘‘อิเม นาม ยทิ น ภเวยฺยุํ, มํเยว มนุสฺสา นิมเนฺตยฺยุ’’นฺติ เอวํ เถรานํ กุปฺปติฯ

    Bhattaggeti bhojanaṭṭhāne. Aggāsananti saṅghattherāsanaṃ. Aggodakanti dakkhiṇodakaṃ. Aggapiṇḍanti saṅghattherapiṇḍaṃ. Sabbattha vā agganti paṇītādhivacanametaṃ. Tattha ahameva labheyyanti icchā nātimahāsāvajjā. Na añño bhikkhu labheyyāti pana atimahāsāvajjā . Ayampi lābhatthiko pāsādiko hoti cīvaradhāraṇādīhi, kadāci pabbajati, kadāci vibbhamati. Tena so pubbe laddhapubbaṃ āsanādiṃ pacchā alabhanto evaṃ cintesi. Na so bhikkhu labheyyāti na so bhikkhu therānaṃ aggāsanādīsu tadanusārena majjhimānaṃ aññesañca navānaṃ kadāci yaṃ vā taṃ vā sabbanihīnaṃ āsanādiṃ labhati. Kupitoti ayampi dvīsu ṭhānesu kuppati manussānañca therānañca. Kathaṃ manussānaṃ? ‘‘Ime maṅgalādīsu maṃ nissāya bhikkhū labhanti, ete, ‘bhante, ettake bhikkhū gahetvā amhākaṃ anukampaṃ karothā’ti vadanti, idāni taṃmuhuttaṃ diṭṭhamattakaṃ mahallakattheraṃ gahetvā gatā, hotu idāni, nesaṃ kicce uppanne jānissāmī’’ti evaṃ manussānaṃ kuppati. Kathaṃ therānaṃ? ‘‘Ime nāma yadi na bhaveyyuṃ, maṃyeva manussā nimanteyyu’’nti evaṃ therānaṃ kuppati.

    อนุโมเทยฺยนฺติ อนุโมทนํ กเรยฺยํฯ อยมฺปิ ลาภตฺถิโก ยํ วา ตํ วา ขณฺฑานุโมทนํ ชานาติ, ‘‘โส อนุโมทนฎฺฐาเน พหู มาตุคามา อาคจฺฉนฺติ, ตา มํ สญฺชานิตฺวา ตโต ปภุติ ถาลกภิกฺขํ ทสฺสนฺตี’’ติ ปเตฺถโนฺต เอวํ จิเนฺตสิฯ ฐานนฺติ พหุสฺสุตานํ อนุโมทนา ภาโร, เตน พหุสฺสุโต อนุโมเทยฺยาติ วุตฺตํ โหติฯ กุปิโตติ อยมฺปิ ตีสุ ฐาเนสุ กุปฺปติ มนุสฺสานํ เถรสฺส ธมฺมกถิกสฺส จฯ กถํ มนุสฺสานํ? ‘‘อิเม ปุเพฺพ มํเยว อุปสงฺกมิตฺวา ยาจนฺติ ‘อมฺหากํ นาคเตฺถโร อมฺหากํ สุมนเตฺถโร อนุโมทตู’ติ, อชฺช ปน นาโวจุ’’นฺติ เอวํ มนุสฺสานํ กุปฺปติฯ กถํ เถรสฺส? ‘‘อยํ สงฺฆเตฺถโร ‘ตุมฺหากํ กุลุปกํ นาคเตฺถรํ สุมนเตฺถรํ อุปสงฺกมถ, อยํ อนุโมทิสฺสตี’ติ น ภณตี’’ติ เอวํ เถรสฺส กุปฺปติฯ กถํ ธมฺมกถิกสฺส? ‘‘เถเรน วุตฺตมเตฺตเยว ปหารํ ลทฺธกุกฺกุโฎ วิย ตุริตตุริตํ วสฺสติ, อิมํ นาม นิกฺกฑฺฒนฺตา นตฺถิ, อิมสฺมิญฺหิ อสติ อหเมว อนุโมเทยฺย’’นฺติ เอวํ ธมฺมกถิกสฺส กุปฺปติฯ

    Anumodeyyanti anumodanaṃ kareyyaṃ. Ayampi lābhatthiko yaṃ vā taṃ vā khaṇḍānumodanaṃ jānāti, ‘‘so anumodanaṭṭhāne bahū mātugāmā āgacchanti, tā maṃ sañjānitvā tato pabhuti thālakabhikkhaṃ dassantī’’ti patthento evaṃ cintesi. Ṭhānanti bahussutānaṃ anumodanā bhāro, tena bahussuto anumodeyyāti vuttaṃ hoti. Kupitoti ayampi tīsu ṭhānesu kuppati manussānaṃ therassa dhammakathikassa ca. Kathaṃ manussānaṃ? ‘‘Ime pubbe maṃyeva upasaṅkamitvā yācanti ‘amhākaṃ nāgatthero amhākaṃ sumanatthero anumodatū’ti, ajja pana nāvocu’’nti evaṃ manussānaṃ kuppati. Kathaṃ therassa? ‘‘Ayaṃ saṅghatthero ‘tumhākaṃ kulupakaṃ nāgattheraṃ sumanattheraṃ upasaṅkamatha, ayaṃ anumodissatī’ti na bhaṇatī’’ti evaṃ therassa kuppati. Kathaṃ dhammakathikassa? ‘‘Therena vuttamatteyeva pahāraṃ laddhakukkuṭo viya turitaturitaṃ vassati, imaṃ nāma nikkaḍḍhantā natthi, imasmiñhi asati ahameva anumodeyya’’nti evaṃ dhammakathikassa kuppati.

    อารามคตานนฺติ วิหาเร สนฺนิปติตานํฯ อยมฺปิ ลาภตฺถิโก ยํ วา ตํ วา ขณฺฑธมฺมกถํ ชานาติ, โส ปสฺสติ ตาทิเสสุ ฐาเนสุ ทฺวิโยชนติโยชนโต สนฺนิปติตฺวา ภิกฺขู สพฺพรตฺติกานิ ธมฺมสฺสวนานิ สุณเนฺต, ตุฎฺฐจิเตฺต จ ทหเร วา สามเณเร วา สาธุ สาธูติ มหาสเทฺทน สาธุการํ เทเนฺต, ตโต ทุติยทิวเส อโนฺตคามคเต ภิกฺขู อุปาสกา ปุจฺฉนฺติ ‘‘เก, ภเนฺต, ธมฺมํ กเถสุ’’นฺติฯ เต ภณนฺติ ‘‘อสุโก จ อสุโก จา’’ติฯ ตํ สุตฺวา ปสนฺนา มนุสฺสา ธมฺมกถิกานํ มหาสกฺการํ กโรนฺติฯ โส ตํ อิจฺฉมาโน เอวํ จิเนฺตสิฯ ฐานนฺติ พหุสฺสุตานํ วินิจฺฉยกุสลานํ ธมฺมเทสนา ภาโร, เตน พหุสฺสุโต เทเสยฺยาติ วุตฺตํ โหติฯ กุปิโตติ จตุปฺปทิกํ คาถมฺปิ วตฺตุํ โอกาสํ อลภมาโน กุปิโต โหติ อตฺตโน มนฺทภาวสฺส ‘‘อหญฺหิ มโนฺท ทุปฺปโญฺญ กุโต ลภิสฺสามิ เทเสตุ’’นฺติฯ

    Ārāmagatānanti vihāre sannipatitānaṃ. Ayampi lābhatthiko yaṃ vā taṃ vā khaṇḍadhammakathaṃ jānāti, so passati tādisesu ṭhānesu dviyojanatiyojanato sannipatitvā bhikkhū sabbarattikāni dhammassavanāni suṇante, tuṭṭhacitte ca dahare vā sāmaṇere vā sādhu sādhūti mahāsaddena sādhukāraṃ dente, tato dutiyadivase antogāmagate bhikkhū upāsakā pucchanti ‘‘ke, bhante, dhammaṃ kathesu’’nti. Te bhaṇanti ‘‘asuko ca asuko cā’’ti. Taṃ sutvā pasannā manussā dhammakathikānaṃ mahāsakkāraṃ karonti. So taṃ icchamāno evaṃ cintesi. Ṭhānanti bahussutānaṃ vinicchayakusalānaṃ dhammadesanā bhāro, tena bahussuto deseyyāti vuttaṃ hoti. Kupitoti catuppadikaṃ gāthampi vattuṃ okāsaṃ alabhamāno kupito hoti attano mandabhāvassa ‘‘ahañhi mando duppañño kuto labhissāmi desetu’’nti.

    ภิกฺขุนีนนฺติ โอวาทตฺถํ วา อุเทฺทสตฺถํ วา ปริปุจฺฉตฺถํ วา ปูชากรณตฺถํ วา อารามํ อาคนฺตฺวา สนฺนิปติตภิกฺขุนีนํฯ อยมฺปิ ลาภตฺถิโก, ตเสฺสวํ โหติ อิมา มหากุลา ปพฺพชิตา ภิกฺขุนิโย, ตาสุ กุเลสุ ปวิเสตฺวา นิสินฺนาสุ มนุสฺสา ปุจฺฉิสฺสนฺติ ‘‘กสฺส สนฺติเก โอวาทํ วา อุเทฺทสํ วา ปริปุจฺฉํ วา คณฺหถา’’ติฯ ตโต วกฺขนฺติ ‘‘อสุโก นาม อโยฺย พหุสฺสุโต, ตสฺส เทถ กโรถา’’ติ, เตนสฺส เอวํ อิจฺฉา อุปฺปชฺชติฯ ฐานนฺติ โอวาทาทโย นาม พหุสฺสุตานํ ภาโร, เตน พหุสฺสุโต เทเสยฺยาติ วุตฺตํ โหติฯ กุปิโตติ อยมฺปิ ทฺวีสุ ฐาเนสุ กุปฺปติ, ตาสญฺจ ภิกฺขุนีนํ ‘‘อิมา ปุเพฺพ มํ นิสฺสาย อุโปสถปฺปวารณาทีนิ ลภนฺติ, ตา อิทานิ ตํมุหุตฺตํ ทิฎฺฐมตฺตกมหลฺลกเตฺถรสฺส สนฺติกํ คตา’’ติฯ ธมฺมกถิกสฺส จ ‘‘เอส อิมาสํ สหสา โอวาทํ อทาสิเยวา’’ติฯ

    Bhikkhunīnanti ovādatthaṃ vā uddesatthaṃ vā paripucchatthaṃ vā pūjākaraṇatthaṃ vā ārāmaṃ āgantvā sannipatitabhikkhunīnaṃ. Ayampi lābhatthiko, tassevaṃ hoti imā mahākulā pabbajitā bhikkhuniyo, tāsu kulesu pavisetvā nisinnāsu manussā pucchissanti ‘‘kassa santike ovādaṃ vā uddesaṃ vā paripucchaṃ vā gaṇhathā’’ti. Tato vakkhanti ‘‘asuko nāma ayyo bahussuto, tassa detha karothā’’ti, tenassa evaṃ icchā uppajjati. Ṭhānanti ovādādayo nāma bahussutānaṃ bhāro, tena bahussuto deseyyāti vuttaṃ hoti. Kupitoti ayampi dvīsu ṭhānesu kuppati, tāsañca bhikkhunīnaṃ ‘‘imā pubbe maṃ nissāya uposathappavāraṇādīni labhanti, tā idāni taṃmuhuttaṃ diṭṭhamattakamahallakattherassa santikaṃ gatā’’ti. Dhammakathikassa ca ‘‘esa imāsaṃ sahasā ovādaṃ adāsiyevā’’ti.

    อุปาสกานนฺติ, อารามคตานํ อุปาสกานํฯ นิสฺสฎฺฐกมฺมนฺตา นาม มหาอุปาสกา โหนฺติ, เต ปุตฺตภาตุกานํ กมฺมํ นิยฺยาเตตฺวา ธมฺมํ สุณนฺตา วิจรนฺติ, อยํ เตสํ เทเสตุํ อิจฺฉติ, กิํ การณา? อิเม ปสีทิตฺวา อุปาสิกานมฺปิ อาโรเจสฺสนฺติ, ตโต สทฺธิํ อุปาสิกาหิ มยฺหเมว ลาภสกฺการํ อุปหริสฺสนฺตีติฯ ฐานํ พหุสฺสุเตเนว โยเชตพฺพํฯ กุปิโตติ อยมฺปิ ทฺวีสุ ฐาเนสุ กุปฺปติ, อุปาสกานญฺจ ‘‘อิเม อญฺญตฺถ สุณนฺติ, อมฺหากํ กุลุปกสฺส สนฺติเก สุณามาติ นาคจฺฉนฺติ, โหตุ อิทานิ, เตสํ อุปฺปเนฺน กิเจฺจ ชานิสฺสามี’’ติ ธมฺมกถิกสฺส จ, ‘‘อยเมเตสํ เทเสตี’’ติฯ

    Upāsakānanti, ārāmagatānaṃ upāsakānaṃ. Nissaṭṭhakammantā nāma mahāupāsakā honti, te puttabhātukānaṃ kammaṃ niyyātetvā dhammaṃ suṇantā vicaranti, ayaṃ tesaṃ desetuṃ icchati, kiṃ kāraṇā? Ime pasīditvā upāsikānampi ārocessanti, tato saddhiṃ upāsikāhi mayhameva lābhasakkāraṃ upaharissantīti. Ṭhānaṃ bahussuteneva yojetabbaṃ. Kupitoti ayampi dvīsu ṭhānesu kuppati, upāsakānañca ‘‘ime aññattha suṇanti, amhākaṃ kulupakassa santike suṇāmāti nāgacchanti, hotu idāni, tesaṃ uppanne kicce jānissāmī’’ti dhammakathikassa ca, ‘‘ayametesaṃ desetī’’ti.

    อุปาสิกานนฺติ อารามคตานํฯ อุปาสิกา นาม อาสนปูชาทิกรณตฺถํ วา อุโปสถทิวเส วา ธมฺมสฺสวนตฺถํ สนฺนิปติตาฯ เสสํ อุปาสกวาเร วุตฺตนยเมวฯ

    Upāsikānanti ārāmagatānaṃ. Upāsikā nāma āsanapūjādikaraṇatthaṃ vā uposathadivase vā dhammassavanatthaṃ sannipatitā. Sesaṃ upāsakavāre vuttanayameva.

    สกฺกเรยฺยุนฺติ สกฺกจฺจญฺจ กเรยฺยุํ, สุนฺทรญฺจ กเรยฺยุํฯ อิมินา อตฺตนิ การํ กรียมานํ สกฺกจฺจํ กตญฺจ สุนฺทรญฺจ ปเตฺถติฯ ครุํ กเรยฺยุนฺติ ภาริยํ กเรยฺยุํฯ อิมินา ภิกฺขูหิ อตฺตานํ ครุฎฺฐาเน ฐปียมานํ ปเตฺถติฯ มาเนยฺยุนฺติ ปิยาเยยฺยุํฯ ปูเชยฺยุนฺติ เอวํ สกฺกโรนฺตา ครุํ กโรนฺตา มาเนนฺตา ปจฺจเยหิ ปูเชยฺยุนฺติ ปจฺจยปูชํ ปเตฺถติฯ ฐานนฺติ ‘‘ปิโย ครุ ภาวนิโย’’ติ วุตฺตปฺปกาโร พหุสฺสุโต จ สีลวา จ เอตํ วิธิํ อรหติ เตน ภิกฺขู เอวรูปํ เอวํ กเรยฺยุนฺติ วุตฺตํ โหติฯ กุปิโตติ อยมฺปิ ทฺวีสุ ฐาเนสุ กุปฺปติ ภิกฺขูนญฺจ ‘‘อิเม เอตํ สกฺกโรนฺตี’’ติ เถรสฺส จ ‘‘อิมสฺมิํ อสติ มํเยว สกฺกเรยฺยุ’’นฺติฯ เอส นโย อิโต ปเรสุ ตีสุ วาเรสุฯ

    Sakkareyyunti sakkaccañca kareyyuṃ, sundarañca kareyyuṃ. Iminā attani kāraṃ karīyamānaṃ sakkaccaṃ katañca sundarañca pattheti. Garuṃ kareyyunti bhāriyaṃ kareyyuṃ. Iminā bhikkhūhi attānaṃ garuṭṭhāne ṭhapīyamānaṃ pattheti. Māneyyunti piyāyeyyuṃ. Pūjeyyunti evaṃ sakkarontā garuṃ karontā mānentā paccayehi pūjeyyunti paccayapūjaṃ pattheti. Ṭhānanti ‘‘piyo garu bhāvaniyo’’ti vuttappakāro bahussuto ca sīlavā ca etaṃ vidhiṃ arahati tena bhikkhū evarūpaṃ evaṃ kareyyunti vuttaṃ hoti. Kupitoti ayampi dvīsu ṭhānesu kuppati bhikkhūnañca ‘‘ime etaṃ sakkarontī’’ti therassa ca ‘‘imasmiṃ asati maṃyeva sakkareyyu’’nti. Esa nayo ito paresu tīsu vāresu.

    ปณีตานํ จีวรานนฺติ ปฎฺฎทุกูลปฎฺฎุณฺณโกเสยฺยาทีนํ มหคฺฆสุขุมสุขสมฺผสฺสานํ จีวรานํฯ อิธาปิ อหเมว ลาภี อสฺสนฺติ อิจฺฉา นาติมหาสาวชฺชาฯ น อโญฺญ ภิกฺขุ ลาภี อสฺสาติ ปน มหาสาวชฺชาฯ

    Paṇītānaṃcīvarānanti paṭṭadukūlapaṭṭuṇṇakoseyyādīnaṃ mahagghasukhumasukhasamphassānaṃ cīvarānaṃ. Idhāpi ahameva lābhī assanti icchā nātimahāsāvajjā. Na añño bhikkhu lābhī assāti pana mahāsāvajjā.

    ปณีตานํ ปิณฺฑปาตานนฺติ สปฺปิเตลมธุสกฺกราทิปูริตานํ เสฎฺฐปิณฺฑปาตานํฯ ปณีตานํ เสนาสนานนฺติ อเนกสตสหสฺสคฺฆนกานํ มญฺจปีฐาทีนํ ปณีตานํฯ คิลานปฺปจฺจยเภสชฺชปริกฺขารานนฺติ สปฺปิเตลมธุผาณิตาทีนํ อุตฺตมเภสชฺชานํฯ สพฺพตฺถาปิ ฐานํ พหุสฺสุเตหิ ปุญฺญวเนฺตหิ จ โยเชตพฺพํฯ กุปิโตติ สพฺพตฺถาปิ ทฺวีสุ ฐาเนสุ กุปฺปติ, มนุสฺสานญฺจ ‘‘อิเมสํ นาม ปริจิตภาโวปิ นตฺถิ, ทีฆรตฺตํ เอกโต วสนฺตสฺส ปํสุกูลตฺถาย วา ปิณฺฑปาตตฺถาย วา สปฺปิเตลาทิการณา วา ฆรปฎิปาฎิยา จรนฺตสฺสาปิ เม เอกทิวสมฺปิ กิญฺจิ ปณีตํ ปจฺจยํ น เทนฺติฯ อาคนฺตุกํ มหลฺลกํ ปน ทิสฺวาว ยํ อิจฺฉติ, ตํ เทนฺตี’’ติ, เถรสฺส จ ‘‘อยมฺปิ มหลฺลโก อิเมสํ อตฺตานํ ทเสฺสโนฺตเยว จรติ, กุทาสฺสุ นาม นํ ธมฺมกมฺมิกา นิกฺกเฑฺฒยฺยุํ, เอวํ อิมสฺมิํ อสติ อหเมว ลาภี อสฺส’’นฺติฯ

    Paṇītānaṃ piṇḍapātānanti sappitelamadhusakkarādipūritānaṃ seṭṭhapiṇḍapātānaṃ. Paṇītānaṃ senāsanānanti anekasatasahassagghanakānaṃ mañcapīṭhādīnaṃ paṇītānaṃ. Gilānappaccayabhesajjaparikkhārānanti sappitelamadhuphāṇitādīnaṃ uttamabhesajjānaṃ. Sabbatthāpi ṭhānaṃ bahussutehi puññavantehi ca yojetabbaṃ. Kupitoti sabbatthāpi dvīsu ṭhānesu kuppati, manussānañca ‘‘imesaṃ nāma paricitabhāvopi natthi, dīgharattaṃ ekato vasantassa paṃsukūlatthāya vā piṇḍapātatthāya vā sappitelādikāraṇā vā gharapaṭipāṭiyā carantassāpi me ekadivasampi kiñci paṇītaṃ paccayaṃ na denti. Āgantukaṃ mahallakaṃ pana disvāva yaṃ icchati, taṃ dentī’’ti, therassa ca ‘‘ayampi mahallako imesaṃ attānaṃ dassentoyeva carati, kudāssu nāma naṃ dhammakammikā nikkaḍḍheyyuṃ, evaṃ imasmiṃ asati ahameva lābhī assa’’nti.

    อิเมสํ โข, เอตํ อาวุโสติ อิเมสํ เหฎฺฐา เอกูนวีสติวาเรหิ วุตฺตานํ อิจฺฉาวจรานํฯ

    Imesaṃ kho, etaṃ āvusoti imesaṃ heṭṭhā ekūnavīsativārehi vuttānaṃ icchāvacarānaṃ.

    ๖๑. ทิสฺสนฺติ เจว สูยนฺติ จาติ น อิจฺฉาวจรา จกฺขุนา ทิสฺสนฺติ, น โสเตน สูยนฺติ, มโนวิญฺญาณวิสยตฺตาฯ อปฺปหีนอิจฺฉาวจรสฺส ปน ปุคฺคลสฺส อิจฺฉาวจรวเสน ปวตฺตกายกมฺมํ ทิสฺวา ทิฎฺฐา วิย วจีกมฺมํ สุตฺวา สุตา วิย จ โหนฺติ, เตน วุตฺตํ ‘‘ทิสฺสนฺติ เจว สูยนฺติ จา’’ติฯ ปจฺจกฺขกาเล ทิสฺสนฺติ, ‘‘อสุโก กิร ภิกฺขุ อีทิโส’’ติ ติโรกฺขกาเล สูยนฺติฯ กิญฺจาปีติ อนุคฺคหครหวจนํฯ เตน อารญฺญิกตฺตํ อนุคฺคณฺหาติ, อิจฺฉาวจรานํ อปฺปหานํ ครหติฯ

    61.Dissanti ceva sūyanti cāti na icchāvacarā cakkhunā dissanti, na sotena sūyanti, manoviññāṇavisayattā. Appahīnaicchāvacarassa pana puggalassa icchāvacaravasena pavattakāyakammaṃ disvā diṭṭhā viya vacīkammaṃ sutvā sutā viya ca honti, tena vuttaṃ ‘‘dissanti ceva sūyanti cā’’ti. Paccakkhakāle dissanti, ‘‘asuko kira bhikkhu īdiso’’ti tirokkhakāle sūyanti. Kiñcāpīti anuggahagarahavacanaṃ. Tena āraññikattaṃ anuggaṇhāti, icchāvacarānaṃ appahānaṃ garahati.

    ตตฺรายํ โยชนา, กิญฺจาปิ โส ภิกฺขุ คามนฺตเสนาสนํ ปฎิกฺขิปิตฺวา อารญฺญิโก โหติ, อเนฺต ปนฺตเสนาสเน วสติ, อิเม จสฺส เอตฺตกา อิจฺฉาวจรา อปฺปหีนาฯ กิญฺจาปิ โส อติเรกลาภํ ปฎิกฺขิปิตฺวา ปิณฺฑปาติโก โหติฯ กิญฺจาปิ โส โลลุปฺปจารํ วเชฺชตฺวา สปทานจารี โหติฯ กิญฺจาปิ โส คหปติจีวรํ ปฎิกฺขิปิตฺวา ปํสุกูลิโก โหติฯ

    Tatrāyaṃ yojanā, kiñcāpi so bhikkhu gāmantasenāsanaṃ paṭikkhipitvā āraññiko hoti, ante pantasenāsane vasati, ime cassa ettakā icchāvacarā appahīnā. Kiñcāpi so atirekalābhaṃ paṭikkhipitvā piṇḍapātiko hoti. Kiñcāpi so loluppacāraṃ vajjetvā sapadānacārī hoti. Kiñcāpi so gahapaticīvaraṃ paṭikkhipitvā paṃsukūliko hoti.

    ลูขจีวรธโรติ เอตฺถ ปน ลูขนฺติ สตฺถลูขํ สุตฺตลูขํ รชนลูขนฺติ ตีหิ การเณหิ ลูขํ เวทิตพฺพํฯ ตตฺถ สเตฺถน ขณฺฑาขณฺฑิกํ ฉินฺนํ สตฺถลูขํ นาม, ตํ อเคฺฆน ปริหายติ, ถูลทีฆสุตฺตเกน สิพฺพิตํ สุตฺตลูขํ นาม, ตํ ผเสฺสน ปริหายติ ขรสมฺผสฺสํ โหติฯ รชเนน รตฺตํ รชนลูขํ นาม, ตํ วเณฺณน ปริหายติ ทุพฺพณฺณํ โหติฯ กิญฺจาปิ โส ภิกฺขุ เอวํ สตฺถลูขสุตฺตลูขรชนลูขจีวรธโร โหติ, อิเม จสฺส เอตฺตกา อิจฺฉาวจรา อปฺปหีนา ทิสฺสนฺติ เจว สูยนฺติ จ, อถ โข นํ วิญฺญู สพฺรหฺมจารี เนว สกฺกโรนฺติ…เป.… น ปูเชนฺตีติฯ ตํ กิสฺส เหตูติ เอตฺถ นฺติ นิปาตมตฺตํ, กิสฺส เหตูติ กิํ การณาฯ เต หิ ตสฺส…เป.… สูยนฺติ จ ยสฺมา ตสฺส เต ปาปกา สูยนฺติ จาติ วุตฺตํ โหติฯ อิเมสํ อิจฺฉาวจรานํ อปฺปหีนตฺตาติ อยเมตฺถ อธิปฺปาโยฯ

    Lūkhacīvaradharoti ettha pana lūkhanti satthalūkhaṃ suttalūkhaṃ rajanalūkhanti tīhi kāraṇehi lūkhaṃ veditabbaṃ. Tattha satthena khaṇḍākhaṇḍikaṃ chinnaṃ satthalūkhaṃ nāma, taṃ agghena parihāyati, thūladīghasuttakena sibbitaṃ suttalūkhaṃ nāma, taṃ phassena parihāyati kharasamphassaṃ hoti. Rajanena rattaṃ rajanalūkhaṃ nāma, taṃ vaṇṇena parihāyati dubbaṇṇaṃ hoti. Kiñcāpi so bhikkhu evaṃ satthalūkhasuttalūkharajanalūkhacīvaradharo hoti, ime cassa ettakā icchāvacarā appahīnā dissanti ceva sūyanti ca, atha kho naṃ viññū sabrahmacārī neva sakkaronti…pe… na pūjentīti. Taṃ kissa hetūti ettha tanti nipātamattaṃ, kissa hetūti kiṃ kāraṇā. Te hi tassa…pe… sūyanti ca yasmā tassa te pāpakā sūyanti cāti vuttaṃ hoti. Imesaṃ icchāvacarānaṃ appahīnattāti ayamettha adhippāyo.

    อิทานิ ตมตฺถํ อุปมาย ปากฎํ กโรโนฺต เสยฺยถาปีติอาทิมาหฯ ตตฺถ กุณปนฺติ มตกเฬวรํฯ อหิสฺส กุณปํ อหิกุณปํฯ เอวํ อิตรานิฯ อติปฎิกูลชิคุจฺฉนียภาวโต เจตฺถ อิมาเนว ตีณิ วุตฺตานีติ เวทิตพฺพานิฯ อเญฺญสญฺหิ สสสูกราทีนํ กุณปํ มนุสฺสา กฎุกภณฺฑาทีหิ อภิสงฺขริตฺวา ปริภุญฺชนฺติปิฯ อิเมสํ ปน กุณปํ อภินวมฺปิ ชิคุจฺฉนฺติเยว, โก ปน วาโท กาลาติกฺกเมน ปูติภูเตฯ รจยิตฺวาติ วเฑฺฒตฺวา, ปริปูเรตฺวาติ อโตฺถ, กุณปํ คเหตฺวา กํสปาติยํ ปกฺขิปิตฺวาติ วุตฺตํ โหติฯ อญฺญิสฺสาติ อปรายฯ ปฎิกุชฺชิตฺวาติ ปิทหิตฺวา ฯ อนฺตราปณนฺติ อาปณานมนฺตเร มหาชนสํกิณฺณํ รจฺฉามุขํฯ ปฎิปเชฺชยฺยุนฺติ คเจฺฉยฺยุํฯ ชญฺญชญฺญํ วิยาติ โจกฺขโจกฺขํ วิย มนาปมนาปํ วิยฯ อปิจ วธุกาปณฺณาการํ วิยาติ วุตฺตํ โหติฯ วธุกาติ ชเนตฺติ วุจฺจติ, ตสฺสา นียมานํ ปณฺณาการํ ชญฺญํ, อุภยตฺถาปิ อาทรวเสน วา ปสํสาวเสน วา ปุนรุตฺตํฯ ‘‘ชญฺญชญฺญํ พฺยา’’ติปิ ปาโฐฯ

    Idāni tamatthaṃ upamāya pākaṭaṃ karonto seyyathāpītiādimāha. Tattha kuṇapanti matakaḷevaraṃ. Ahissa kuṇapaṃ ahikuṇapaṃ. Evaṃ itarāni. Atipaṭikūlajigucchanīyabhāvato cettha imāneva tīṇi vuttānīti veditabbāni. Aññesañhi sasasūkarādīnaṃ kuṇapaṃ manussā kaṭukabhaṇḍādīhi abhisaṅkharitvā paribhuñjantipi. Imesaṃ pana kuṇapaṃ abhinavampi jigucchantiyeva, ko pana vādo kālātikkamena pūtibhūte. Racayitvāti vaḍḍhetvā, paripūretvāti attho, kuṇapaṃ gahetvā kaṃsapātiyaṃ pakkhipitvāti vuttaṃ hoti. Aññissāti aparāya. Paṭikujjitvāti pidahitvā . Antarāpaṇanti āpaṇānamantare mahājanasaṃkiṇṇaṃ racchāmukhaṃ. Paṭipajjeyyunti gaccheyyuṃ. Jaññajaññaṃ viyāti cokkhacokkhaṃ viya manāpamanāpaṃ viya. Apica vadhukāpaṇṇākāraṃ viyāti vuttaṃ hoti. Vadhukāti janetti vuccati, tassā nīyamānaṃ paṇṇākāraṃ jaññaṃ, ubhayatthāpi ādaravasena vā pasaṃsāvasena vā punaruttaṃ. ‘‘Jaññajaññaṃ byā’’tipi pāṭho.

    อปาปุริตฺวาติ วิวริตฺวาฯ ตสฺส สห ทสฺสเนน อมนาปตา จ สณฺฐเหยฺยาติ ตสฺส กุณปสฺส ทสฺสเนน สเหว ตสฺส ชนสฺส อมนาปตา ติเฎฺฐยฺยฯ อมนาปตาติ จ ‘‘อมนาปมิท’’นฺติ อุปฺปนฺนจิตฺตเจตสิกานเมตํ อธิวจนํฯ เอส นโย ปฎิกุลฺยเชคุจฺฉตาสุฯ ชิฆจฺฉิตานมฺปีติ ฉาตานมฺปิฯ น โภตฺตุกมฺยตา อสฺสาติ ภุญฺชิตุกามตา น ภเวยฺยฯ ปเคว สุหิตานนฺติ ธาตานํ ปน ปฐมตรเมว ภุญฺชิตุกามตา น ภเวยฺยาติ วุตฺตํ โหติฯ

    Apāpuritvāti vivaritvā. Tassa saha dassanena amanāpatā ca saṇṭhaheyyāti tassa kuṇapassa dassanena saheva tassa janassa amanāpatā tiṭṭheyya. Amanāpatāti ca ‘‘amanāpamida’’nti uppannacittacetasikānametaṃ adhivacanaṃ. Esa nayo paṭikulyajegucchatāsu. Jighacchitānampīti chātānampi. Na bhottukamyatā assāti bhuñjitukāmatā na bhaveyya. Pageva suhitānanti dhātānaṃ pana paṭhamatarameva bhuñjitukāmatā na bhaveyyāti vuttaṃ hoti.

    ตตฺรายํ อุปมาสํสนฺทนา – ปริสุทฺธกํสปาติสทิสํ อิมสฺส ปพฺพชฺชาลิงฺคํ, กุณปรจนํ วิย อิจฺฉาวจรานํ อปฺปหานํ, อปรกํสปาติยา ปฎิกุชฺฌนํ วิย อารญฺญิกงฺคาทีหิ อิจฺฉาวจรปฺปฎิจฺฉาทนํ, กํสปาติํ วิวริตฺวา กุณปทสฺสเนน ชนสฺส อมนาปตา วิย อารญฺญิกงฺคาทีนิ อนาทิยิตฺวา อิจฺฉาวจรทสฺสเนน สพฺรหฺมจารีนํ อสกฺการกรณาทิตาติฯ

    Tatrāyaṃ upamāsaṃsandanā – parisuddhakaṃsapātisadisaṃ imassa pabbajjāliṅgaṃ, kuṇaparacanaṃ viya icchāvacarānaṃ appahānaṃ, aparakaṃsapātiyā paṭikujjhanaṃ viya āraññikaṅgādīhi icchāvacarappaṭicchādanaṃ, kaṃsapātiṃ vivaritvā kuṇapadassanena janassa amanāpatā viya āraññikaṅgādīni anādiyitvā icchāvacaradassanena sabrahmacārīnaṃ asakkārakaraṇāditāti.

    ๖๒. สุกฺกปเกฺข ปน, กิญฺจาปีติ อนุคฺคหปสํสาวจนํ, เตน อารญฺญิกตฺตํ อนุคฺคณฺหาติ, อิจฺฉาวจรปฺปหานํ ปสํสติฯ เนมนฺตนิโกติ นิมนฺตนปฎิคฺคาหโกฯ วิจิตกาฬกนฺติ วิจินิตฺวา อปนีตกาฬกํฯ อเนกสูปํ อเนกพฺยญฺชนนฺติ เอตฺถ สูโป นาม หตฺถหาริโย วุจฺจติฯ พฺยญฺชนนฺติ อุตฺตริภงฺคํ, เตน มจฺฉมํสมุคฺคสูปาทีหิ อเนกสูปํ, นานปฺปการมํสาทิพฺยญฺชเนหิ อเนกพฺยญฺชนนฺติ วุตฺตํ โหติฯ เสสํ วุตฺตนเยเนว เวทิตพฺพํฯ

    62. Sukkapakkhe pana, kiñcāpīti anuggahapasaṃsāvacanaṃ, tena āraññikattaṃ anuggaṇhāti, icchāvacarappahānaṃ pasaṃsati. Nemantanikoti nimantanapaṭiggāhako. Vicitakāḷakanti vicinitvā apanītakāḷakaṃ. Anekasūpaṃ anekabyañjananti ettha sūpo nāma hatthahāriyo vuccati. Byañjananti uttaribhaṅgaṃ, tena macchamaṃsamuggasūpādīhi anekasūpaṃ, nānappakāramaṃsādibyañjanehi anekabyañjananti vuttaṃ hoti. Sesaṃ vuttanayeneva veditabbaṃ.

    อุปมาสํสนฺทเน จ สาลิวรภตฺตรจนํ วิย อิจฺฉาวจรปฺปหานํ, อปรกํสปาติยา ปฎิกุชฺฌนํ วิย อปฺปิจฺฉตาสมุฎฺฐาเนหิ คามนฺตวิหาราทีหิ อิจฺฉาวจรปฺปหานปฺปฎิจฺฉาทกํ, กํสปาติํ วิวริตฺวา สาลิวรภตฺตทสฺสเนน ชนสฺส มนาปตา วิย คามนฺตวิหาราทีนิ อนาทิยิตฺวา อิจฺฉาวจรปฺปหานทสฺสเนน สพฺรหฺมจารีนํ สกฺการกรณาทิตา เวทิตพฺพาฯ

    Upamāsaṃsandane ca sālivarabhattaracanaṃ viya icchāvacarappahānaṃ, aparakaṃsapātiyā paṭikujjhanaṃ viya appicchatāsamuṭṭhānehi gāmantavihārādīhi icchāvacarappahānappaṭicchādakaṃ, kaṃsapātiṃ vivaritvā sālivarabhattadassanena janassa manāpatā viya gāmantavihārādīni anādiyitvā icchāvacarappahānadassanena sabrahmacārīnaṃ sakkārakaraṇāditā veditabbā.

    ๖๓. อุปมา มํ, อาวุโส สาริปุตฺต, ปฎิภาตีติ มยฺหํ, อาวุโส สาริปุตฺต, อุปมา อุปฎฺฐาติฯ เอกํ อุปมํ วตฺตุกาโม อหนฺติ อธิปฺปาโยฯ ปฎิภาตุ ตนฺติ ตุยฺหํ ปฎิภาตุ อุปฎฺฐาตุ, วท ตฺวนฺติ อธิปฺปาโยฯ เอกมิทาหนฺติ เอตฺถ อิทาติ นิปาตมตฺตํ, เอกสฺมิํ สมเย อหนฺติ วุตฺตํ โหติ, ภุมฺมเตฺถ อุปโยควจนํฯ ราชคเห วิหรามิ คิริพฺพเชติ, ราชคหนฺติ ตสฺส นครสฺส นามํฯ สมนฺตโต ปน คิริปริเกฺขเปน วโช วิย สณฺฐิตตฺตา คิริพฺพชนฺติ วุจฺจติฯ ตสฺมิํ นคเร วิหรามิ, ตํ นิสฺสาย อหํ วิหรามีติ วุตฺตํ โหติฯ อถ ขฺวาหนฺติ อถ โข อหํฯ เอตฺถ จ อถาติ อญฺญาธิการวจนารเมฺภ นิปาโตฯ โขติ ปทปูรณมเตฺตฯ ปุพฺพณฺหสมยนฺติ ทิวสสฺส ปุพฺพภาคสมยํฯ ปุพฺพณฺหสมเยติ อโตฺถ, ปุพฺพเณฺห วา สมยํ ปุพฺพณฺหสมยํ, ปุพฺพเณฺห เอกํ ขณนฺติ วุตฺตํ โหติ, เอวํ อจฺจนฺตสํโยเค อุปโยควจนํ ลพฺภติฯ นิวาเสตฺวาติ ปริทหิตฺวา, วิหารนิวาสนปริวตฺตนวเสเนตํ เวทิตพฺพํฯ คามปฺปเวสนตฺถาย วา สณฺฐเปตฺวา นิวาสนวเสน, น หิ โส ตโต ปุเพฺพ อนิวโตฺถ อโหสิฯ

    63.Upamā maṃ, āvuso sāriputta, paṭibhātīti mayhaṃ, āvuso sāriputta, upamā upaṭṭhāti. Ekaṃ upamaṃ vattukāmo ahanti adhippāyo. Paṭibhātu tanti tuyhaṃ paṭibhātu upaṭṭhātu, vada tvanti adhippāyo. Ekamidāhanti ettha idāti nipātamattaṃ, ekasmiṃ samaye ahanti vuttaṃ hoti, bhummatthe upayogavacanaṃ. Rājagahe viharāmi giribbajeti, rājagahanti tassa nagarassa nāmaṃ. Samantato pana giriparikkhepena vajo viya saṇṭhitattā giribbajanti vuccati. Tasmiṃ nagare viharāmi, taṃ nissāya ahaṃ viharāmīti vuttaṃ hoti. Atha khvāhanti atha kho ahaṃ. Ettha ca athāti aññādhikāravacanārambhe nipāto. Khoti padapūraṇamatte. Pubbaṇhasamayanti divasassa pubbabhāgasamayaṃ. Pubbaṇhasamayeti attho, pubbaṇhe vā samayaṃ pubbaṇhasamayaṃ, pubbaṇhe ekaṃ khaṇanti vuttaṃ hoti, evaṃ accantasaṃyoge upayogavacanaṃ labbhati. Nivāsetvāti paridahitvā, vihāranivāsanaparivattanavasenetaṃ veditabbaṃ. Gāmappavesanatthāya vā saṇṭhapetvā nivāsanavasena, na hi so tato pubbe anivattho ahosi.

    ปตฺตจีวรมาทายาติ ปตฺตํ หเตฺถน จีวรํ กาเยน อาทิยิตฺวาฯ ปิณฺฑายาติ ปิณฺฑปาตตฺถายฯ สมีตีติ ตสฺส นามํฯ ยานการปุโตฺตติ รถการปุโตฺตฯ ปณฺฑุปุโตฺตติ ปณฺฑุสฺส ปุโตฺตฯ อาชีวโกติ นคฺคสมณโกฯ ปุราณยานการปุโตฺตติ โปราณยานการกุลสฺส ปุโตฺตฯ ปจฺจุปฎฺฐิโตติ อุปคนฺตฺวา ฐิโตฯ วงฺกํ นาม เอกโต กุฎิลํฯ ชิมฺหํ นาม สปฺปคตมคฺคสทิสํฯ โทสนฺติ เผคฺคุวิสมคณฺฐิกาทิฯ ยถา ยถาติ กาลเตฺถ นิปาโต, ยทา ยทา ยสฺมิํ ตสฺมิํ กาเลติ วุตฺตํ โหติฯ ตถา ตถาติ อยมฺปิ กาลโตฺถเยว, ตสฺมิํ ตสฺมิํ กาเลติ วุตฺตํ โหติฯ โส อตฺตโน สุตฺตานุโลเมน จิเนฺตสิ, อิตโร เตน จินฺติตกฺขเณ จินฺติตฎฺฐานเมว ตจฺฉติฯ อตฺตมโนติ สกมโน ตุฎฺฐมโน ปีติโสมนเสฺสหิ คหิตมโนฯ อตฺตมนวาจํ นิจฺฉาเรสีติ อตฺตมนตาย วาจํ , อตฺตมนภาวสฺส วา ยุตฺตํ วาจํ นิจฺฉาเรสิ อุทีรยิ, ปพฺยาหรีติ วุตฺตํ โหติฯ หทยา หทยํ มเญฺญ อญฺญายาติ จิเตฺตน จิตฺตํ ชานิตฺวา วิยฯ

    Pattacīvaramādāyāti pattaṃ hatthena cīvaraṃ kāyena ādiyitvā. Piṇḍāyāti piṇḍapātatthāya. Samītīti tassa nāmaṃ. Yānakāraputtoti rathakāraputto. Paṇḍuputtoti paṇḍussa putto. Ājīvakoti naggasamaṇako. Purāṇayānakāraputtoti porāṇayānakārakulassa putto. Paccupaṭṭhitoti upagantvā ṭhito. Vaṅkaṃ nāma ekato kuṭilaṃ. Jimhaṃ nāma sappagatamaggasadisaṃ. Dosanti phegguvisamagaṇṭhikādi. Yathā yathāti kālatthe nipāto, yadā yadā yasmiṃ tasmiṃ kāleti vuttaṃ hoti. Tathā tathāti ayampi kālatthoyeva, tasmiṃ tasmiṃ kāleti vuttaṃ hoti. So attano suttānulomena cintesi, itaro tena cintitakkhaṇe cintitaṭṭhānameva tacchati. Attamanoti sakamano tuṭṭhamano pītisomanassehi gahitamano. Attamanavācaṃ nicchāresīti attamanatāya vācaṃ , attamanabhāvassa vā yuttaṃ vācaṃ nicchāresi udīrayi, pabyāharīti vuttaṃ hoti. Hadayā hadayaṃ maññe aññāyāti cittena cittaṃ jānitvā viya.

    อสฺสทฺธาติ พุทฺธธมฺมสเงฺฆสุ สทฺธาวิรหิตาฯ ชีวิกตฺถาติ อิณภยาทีหิ ปีฬิตา พหิ ชีวิตุํ อสโกฺกนฺตา อิธ ชีวิกตฺถิกา หุตฺวาฯ น สทฺธาติ น สทฺธายฯ สฐา มายาวิโนติ มายาสาเฐเยฺยหิ ยุตฺตาฯ เกตพิโนติ สิกฺขิตเกราฎิกา, นิปฺผนฺนถามคตสาเฐยฺยาติ วุตฺตํ โหติฯ สาเฐยฺยญฺหิ อภูตคุณทสฺสนโต อภูตภณฺฑคุณทสฺสนสมํ กตฺวา ‘‘เกราฎิย’’นฺติ วุจฺจติฯ อุนฺนฬาติ อุคฺคตนฬา, อุฎฺฐิตตุจฺฉมานาติ วุตฺตํ โหติ ฯ จปลาติ ปตฺตจีวรมณฺฑนาทินา จาปเลฺลน ยุตฺตาฯ มุขราติ มุขขรา, ขรวจนาติ วุตฺตํ โหติ, วิกิณฺณวาจาติ อสํยตวจนา, ทิวสมฺปิ นิรตฺถกวจนปฺปลาปิโนฯ อินฺทฺริเยสุ อคุตฺตทฺวาราติ ฉสุ อินฺทฺริเยสุ อสํวุตกมฺมทฺวาราฯ โภชเน อมตฺตญฺญุโนติ โภชเน ยา มตฺตา ชานิตพฺพา ปริเยสนปฎิคฺคหณปริโภเคสุ ยุตฺตตา, ตสฺสา อชานนกาฯ ชาคริยํ อนนุยุตฺตาติ ชาคเร อนนุยุตฺตาฯ สามเญฺญ อนเปกฺขวโนฺตติ สมณธเมฺม นิรเปกฺขา, ธมฺมานุธมฺมปฺปฎิปตฺติรหิตาติ อโตฺถฯ สิกฺขาย น ติพฺพคารวาติ สิกฺขาปเทสุ พหุลคารวา น โหนฺติ, อาปตฺติวีติกฺกมพหุลา วาฯ พาหุลิกาติอาทิ ธมฺมทายาเท วุตฺตํ, กุสีตาติอาทิ ภยเภรเวฯ ธมฺมปริยาเยนาติ ธมฺมเทสนายฯ

    Assaddhāti buddhadhammasaṅghesu saddhāvirahitā. Jīvikatthāti iṇabhayādīhi pīḷitā bahi jīvituṃ asakkontā idha jīvikatthikā hutvā. Na saddhāti na saddhāya. Saṭhā māyāvinoti māyāsāṭheyyehi yuttā. Ketabinoti sikkhitakerāṭikā, nipphannathāmagatasāṭheyyāti vuttaṃ hoti. Sāṭheyyañhi abhūtaguṇadassanato abhūtabhaṇḍaguṇadassanasamaṃ katvā ‘‘kerāṭiya’’nti vuccati. Unnaḷāti uggatanaḷā, uṭṭhitatucchamānāti vuttaṃ hoti . Capalāti pattacīvaramaṇḍanādinā cāpallena yuttā. Mukharāti mukhakharā, kharavacanāti vuttaṃ hoti, vikiṇṇavācāti asaṃyatavacanā, divasampi niratthakavacanappalāpino. Indriyesu aguttadvārāti chasu indriyesu asaṃvutakammadvārā. Bhojane amattaññunoti bhojane yā mattā jānitabbā pariyesanapaṭiggahaṇaparibhogesu yuttatā, tassā ajānanakā. Jāgariyaṃ ananuyuttāti jāgare ananuyuttā. Sāmaññe anapekkhavantoti samaṇadhamme nirapekkhā, dhammānudhammappaṭipattirahitāti attho. Sikkhāya na tibbagāravāti sikkhāpadesu bahulagāravā na honti, āpattivītikkamabahulā vā. Bāhulikātiādi dhammadāyāde vuttaṃ, kusītātiādi bhayabherave. Dhammapariyāyenāti dhammadesanāya.

    สทฺธา อคารสฺมาติ ปกติยาปิ สทฺธา, ปพฺพชิตาปิ สทฺธาย อคารสฺมา อนคาริยํ ปพฺพชิตาฯ ปิวนฺติ มเญฺญ ฆสนฺติ มเญฺญติ ปิวนฺติ วิย ฆสนฺติ วิยฯ อตฺตมนวาจํ นิจฺฉาเรนฺตา วจสา ปิวนฺติ วิย, อพฺภนุโมทนฺตา มนสา ฆสนฺติ วิยฯ สาธุ วตาติ สุนฺทรํ วต ฯ สพฺรหฺมจารีติ รสฺสมฺปิ วฎฺฎติ ทีฆมฺปิฯ รเสฺส สติ สาริปุตฺตสฺส อุปริ โหติ, ทีเฆ สติ สพฺรหฺมจารีนํฯ ยทา สาริปุตฺตสฺส อุปริ โหติ, ตทา สพฺรหฺมจารี สาริปุโตฺต อเมฺห อกุสลา วุฎฺฐาเปตฺวาติ อโตฺถฯ ยทา สพฺรหฺมจารีนํ, ตทา สพฺรหฺมจารโย อกุสลา วุฎฺฐาเปตฺวาติ อโตฺถฯ ทหโรติ ตรุโณฯ ยุวาติ โยพฺพนภาเว ฐิโตฯ มณฺฑนกชาติโกติ อลงฺการกสภาโวฯ ตตฺถ โกจิ ตรุโณปิ ยุวา น โหติ ยถา อติตรุโณ, โกจิ ยุวาปิ มณฺฑนกชาติโก น โหติ ยถา อุปสนฺตสภาโว, อาลสิยพฺยสนาทีหิ วา อภิภูโต, อิธ ปน ทหโร เจว ยุวา จ มณฺฑนกชาติโก จ อธิเปฺปโต, ตสฺมา เอวมาหฯ อุปฺปลาทีนิ โลกสมฺมตตฺตา วุตฺตานิฯ อิติห เตติ เอวํ เตฯ อุโภ มหานาคาติ เทฺวปิ มหานาคา, เทฺวปิ หิ เอเต อคฺคสาวกา ‘‘มหานาคา’’ติ วุจฺจนฺติฯ ตตฺรายํ วจนโตฺถ, ฉนฺทาทีหิ น คจฺฉนฺตีติ นาคา, เตน เตน มเคฺคน ปหีเน กิเลเส น อาคจฺฉนฺตีติ นาคา, นานปฺปการกํ อาคุํ น กโรนฺตีติ นาคา, อยเมตฺถ สเงฺขโปฯ วิตฺถาโร ปน มหานิเทฺทเส (มหานิ. ๘๐) วุตฺตนเยเนว เวทิตโพฺพฯ อปิจ –

    Saddhā agārasmāti pakatiyāpi saddhā, pabbajitāpi saddhāya agārasmā anagāriyaṃ pabbajitā. Pivanti maññe ghasanti maññeti pivanti viya ghasanti viya. Attamanavācaṃ nicchārentā vacasā pivanti viya, abbhanumodantā manasā ghasanti viya. Sādhu vatāti sundaraṃ vata . Sabrahmacārīti rassampi vaṭṭati dīghampi. Rasse sati sāriputtassa upari hoti, dīghe sati sabrahmacārīnaṃ. Yadā sāriputtassa upari hoti, tadā sabrahmacārī sāriputto amhe akusalā vuṭṭhāpetvāti attho. Yadā sabrahmacārīnaṃ, tadā sabrahmacārayo akusalā vuṭṭhāpetvāti attho. Daharoti taruṇo. Yuvāti yobbanabhāve ṭhito. Maṇḍanakajātikoti alaṅkārakasabhāvo. Tattha koci taruṇopi yuvā na hoti yathā atitaruṇo, koci yuvāpi maṇḍanakajātiko na hoti yathā upasantasabhāvo, ālasiyabyasanādīhi vā abhibhūto, idha pana daharo ceva yuvā ca maṇḍanakajātiko ca adhippeto, tasmā evamāha. Uppalādīni lokasammatattā vuttāni. Itiha teti evaṃ te. Ubho mahānāgāti dvepi mahānāgā, dvepi hi ete aggasāvakā ‘‘mahānāgā’’ti vuccanti. Tatrāyaṃ vacanattho, chandādīhi na gacchantīti nāgā, tena tena maggena pahīne kilese na āgacchantīti nāgā, nānappakārakaṃ āguṃ na karontīti nāgā, ayamettha saṅkhepo. Vitthāro pana mahāniddese (mahāni. 80) vuttanayeneva veditabbo. Apica –

    ‘‘อาคุํ น กโรติ กิญฺจิ โลเก,

    ‘‘Āguṃ na karoti kiñci loke,

    สพฺพสํโยเค วิสชฺช พนฺธนานิ;

    Sabbasaṃyoge visajja bandhanāni;

    สพฺพตฺถ น สชฺชตี วิมุโตฺต,

    Sabbattha na sajjatī vimutto,

    นาโค ตาทิ ปวุจฺจเต ตถตฺตา’’ติฯ (สุ. นิ. ๕๒๗; มหานิ. ๘๐);

    Nāgo tādi pavuccate tathattā’’ti. (su. ni. 527; mahāni. 80);

    เอวเมตฺถ อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ มหนฺตา นาคา มหานาคา, อเญฺญหิ ขีณาสวนาเคหิ ปุชฺชตรา จ ปาสํสตรา จาติ อโตฺถฯ อญฺญมญฺญสฺสาติ อโญฺญ อญฺญสฺสฯ สมนุโมทิํสูติ สมํ อนุโมทิํสุฯ ตตฺถ อิมาย อุปมาย มหาโมคฺคลฺลาโน อนุโมทิ, ปฎิภาตุ ตํ อาวุโสติ ธมฺมเสนาปติฯ เตน วุตฺตํ ‘‘อญฺญมญฺญสฺส สุภาสิตํ สมนุโมทิํสู’’ติฯ

    Evamettha attho veditabbo. Mahantā nāgā mahānāgā, aññehi khīṇāsavanāgehi pujjatarā ca pāsaṃsatarā cāti attho. Aññamaññassāti añño aññassa. Samanumodiṃsūti samaṃ anumodiṃsu. Tattha imāya upamāya mahāmoggallāno anumodi, paṭibhātu taṃ āvusoti dhammasenāpati. Tena vuttaṃ ‘‘aññamaññassa subhāsitaṃ samanumodiṃsū’’ti.

    สมฺมุติปรมตฺถเทสนากถาวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Sammutiparamatthadesanākathāvaṇṇanā niṭṭhitā.

    ปปญฺจสูทนิยา มชฺฌิมนิกายฎฺฐกถาย

    Papañcasūdaniyā majjhimanikāyaṭṭhakathāya

    อนงฺคณสุตฺตวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Anaṅgaṇasuttavaṇṇanā niṭṭhitā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / มชฺฌิมนิกาย • Majjhimanikāya / ๕. อนงฺคณสุตฺตํ • 5. Anaṅgaṇasuttaṃ

    ฎีกา • Tīkā / สุตฺตปิฎก (ฎีกา) • Suttapiṭaka (ṭīkā) / มชฺฌิมนิกาย (ฎีกา) • Majjhimanikāya (ṭīkā) / ๕. อนงฺคณสุตฺตวณฺณนา • 5. Anaṅgaṇasuttavaṇṇanā


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact