Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / มชฺฌิมนิกาย (ฎีกา) • Majjhimanikāya (ṭīkā) |
๕. อนงฺคณสุตฺตวณฺณนา
5. Anaṅgaṇasuttavaṇṇanā
๕๗. อายสฺมา สาริปุโตฺตติ เอตฺถ อิติ-สโทฺท อาทิอโตฺถ, เอวมาทิกนฺติ อโตฺถฯ เตน ‘‘ภิกฺขู อามเนฺตสี’’ติอาทิกํ สพฺพํ สุตฺตํ สงฺคณฺหาติฯ เตนาห ‘‘อนงฺคณสุตฺต’’นฺติฯ ตสฺส โก นิเกฺขโป? อตฺตชฺฌาสโยฯ ปเรหิ อนชฺฌิโฎฺฐเยว หิ มหาเถโร อิมํ เทสนํ อารภิฯ เกจิ ปนาหุ ‘‘เอกเจฺจ ภิกฺขู สํกิลิฎฺฐจิเตฺต ทิสฺวา เตสํ จิตฺตสํกิเลสปฺปหานาย เจว เอกจฺจานํ อายติํ อนุปฺปาทนาย จ อยํ เทสนา อารทฺธา’’ติฯ เอวํ สพฺพสุเตฺตสูติ ยถา เอตฺถ อนงฺคณสุเตฺต, เอวํ อิโต ปเรสูติ สเพฺพสุปิ สุเตฺตสุ อนุตฺตานอปุพฺพปทวณฺณนา เอว กรียติฯ เตนาห ‘‘ตสฺมา’’ติอาทิฯ คณนปริเจฺฉโทติ คณเนน ปริจฺฉินฺทนํฯ อิทญฺหิ อปฺปรชกฺขมหารชกฺขตาวเสน ทุวิเธ สเตฺต ปเจฺจกํ อตฺถญฺญุตานตฺถญฺญุตาวเสน ทฺวิธา กตฺวา ‘‘จตฺตาโร’’ติ อนวเสสปริยาทานํฯ วชฺชีปุตฺตกาทโย วิย ปุคฺคลวาทีติ น คเหตพฺพํ โลกสมญฺญานุสาเรน อตฺถํ ปฎิวิชฺฌิตุํ สมตฺถานํ วเสน เทสนาย อารทฺธตฺตา, อยญฺจ เทสนานโย สตฺถุ นิสฺสาย เอวาติ ทเสฺสโนฺต ‘‘อยญฺหี’’ติอาทิมาหฯ
57.Āyasmāsāriputtoti ettha iti-saddo ādiattho, evamādikanti attho. Tena ‘‘bhikkhū āmantesī’’tiādikaṃ sabbaṃ suttaṃ saṅgaṇhāti. Tenāha ‘‘anaṅgaṇasutta’’nti. Tassa ko nikkhepo? Attajjhāsayo. Parehi anajjhiṭṭhoyeva hi mahāthero imaṃ desanaṃ ārabhi. Keci panāhu ‘‘ekacce bhikkhū saṃkiliṭṭhacitte disvā tesaṃ cittasaṃkilesappahānāya ceva ekaccānaṃ āyatiṃ anuppādanāya ca ayaṃ desanā āraddhā’’ti. Evaṃ sabbasuttesūti yathā ettha anaṅgaṇasutte, evaṃ ito paresūti sabbesupi suttesu anuttānaapubbapadavaṇṇanā eva karīyati. Tenāha ‘‘tasmā’’tiādi. Gaṇanaparicchedoti gaṇanena paricchindanaṃ. Idañhi apparajakkhamahārajakkhatāvasena duvidhe satte paccekaṃ atthaññutānatthaññutāvasena dvidhā katvā ‘‘cattāro’’ti anavasesapariyādānaṃ. Vajjīputtakādayo viya puggalavādīti na gahetabbaṃ lokasamaññānusārena atthaṃ paṭivijjhituṃ samatthānaṃ vasena desanāya āraddhattā, ayañca desanānayo satthu nissāya evāti dassento ‘‘ayañhī’’tiādimāha.
สมฺมุติปรมตฺถเทสนากถาวณฺณนา
Sammutiparamatthadesanākathāvaṇṇanā
ตตฺถ (อ. นิ. ฎี. ๑.๑.๑๗๐) สมฺมุติยา เทสนา สมฺมุติเทสนา, ปรมตฺถสฺส เทสนา ปรมตฺถเทสนาฯ ตตฺถาติ สมฺมุติปรมตฺถเทสนาสุ, น สมฺมุติปรมเตฺถสุฯ เตนาห ‘‘เอวรูปา สมฺมุติเทสนา, เอวรูปา ปรมตฺถเทสนา’’ติฯ ตตฺริทํ สมฺมุติปรมตฺถานํ ลกฺขณํ – ยสฺมิํ ภิเนฺน, พุทฺธิยา อวยววินิโพฺภเค วา กเต น ตํสมญฺญา, สา ฆฎปฎาทิปฺปเภทา สมฺมุติ, ตพฺพิปริยายโต ปรมโตฺถฯ น หิ กกฺขฬผุสนาทิสภาเว อยํ นโย ลพฺภติ, ตตฺถ รูปาทิธมฺมํ สมูหสนฺตานวเสน ปวตฺตมานํ อุปาทาย ปุคฺคลโวหาโรติ อาห ‘‘ปุคฺคโลติ สมฺมุติเทสนา’’ติฯ เสสปเทสุปิ เอเสว นโยฯ อุปฺปาทวยวโนฺต สภาวธมฺมา น นิจฺจาติ อาห ‘‘อนิจฺจนฺติ ปรมตฺถเทสนา’’ติฯ เอส นโย เสสปเทสุปิฯ นนุ ขนฺธเทสนาปิ สมฺมุติเทสนาวฯ ขนฺธโฎฺฐ หิ ราสโฎฺฐ, โกฎฺฐาสโฎฺฐ วาติ? สจฺจเมตํ, อยํ ปน ขนฺธสมญฺญา ผสฺสาทีสุ ตชฺชาปญฺญตฺติ วิย ปรมตฺถสนฺนิสฺสยา ตสฺส อาสนฺนตรา, ปุคฺคลสมญฺญาทโย วิย น ทูเรติ ปรมตฺถสงฺคหตา วุตฺตา, ขนฺธสีเสน วา ตทุปาทานา สภาวธมฺมา เอว คหิตาฯ นนุ จ สภาวธมฺมา สเพฺพปิ สมฺมุติมุเขเนว เทสนํ อาโรหนฺติ, น สมุเขนาติ สพฺพาปิ เทสนา สมฺมุติเทสนาว สิยาติ? นยิทเมวํ เทเสตพฺพธมฺมวิภาเคน เทสนาวิภาคสฺส อธิเปฺปตตฺตา, น จ สโทฺท เกนจิ ปวตฺตินิมิเตฺตน วินา อตฺถํ ปกาเสตีติฯ
Tattha (a. ni. ṭī. 1.1.170) sammutiyā desanā sammutidesanā, paramatthassa desanā paramatthadesanā. Tatthāti sammutiparamatthadesanāsu, na sammutiparamatthesu. Tenāha ‘‘evarūpā sammutidesanā, evarūpā paramatthadesanā’’ti. Tatridaṃ sammutiparamatthānaṃ lakkhaṇaṃ – yasmiṃ bhinne, buddhiyā avayavavinibbhoge vā kate na taṃsamaññā, sā ghaṭapaṭādippabhedā sammuti, tabbipariyāyato paramattho. Na hi kakkhaḷaphusanādisabhāve ayaṃ nayo labbhati, tattha rūpādidhammaṃ samūhasantānavasena pavattamānaṃ upādāya puggalavohāroti āha ‘‘puggaloti sammutidesanā’’ti. Sesapadesupi eseva nayo. Uppādavayavanto sabhāvadhammā na niccāti āha ‘‘aniccanti paramatthadesanā’’ti. Esa nayo sesapadesupi. Nanu khandhadesanāpi sammutidesanāva. Khandhaṭṭho hi rāsaṭṭho, koṭṭhāsaṭṭho vāti? Saccametaṃ, ayaṃ pana khandhasamaññā phassādīsu tajjāpaññatti viya paramatthasannissayā tassa āsannatarā, puggalasamaññādayo viya na dūreti paramatthasaṅgahatā vuttā, khandhasīsena vā tadupādānā sabhāvadhammā eva gahitā. Nanu ca sabhāvadhammā sabbepi sammutimukheneva desanaṃ ārohanti, na samukhenāti sabbāpi desanā sammutidesanāva siyāti? Nayidamevaṃ desetabbadhammavibhāgena desanāvibhāgassa adhippetattā, na ca saddo kenaci pavattinimittena vinā atthaṃ pakāsetīti.
สมฺมุติวเสน เทสนํ สุตฺวาติ ‘‘อิเธกโจฺจ ปุคฺคโล อตฺตนฺตโป โหติ อตฺตปริตาปานุโยคมนุยุโตฺต’’ติอาทินา (ม. นิ. ๒.๔๑๓; ปุ. ป. ๑๐.๒๕ มาติกา) สมฺมุติมุเขน ปวตฺติตํ เทสนํ สุตมยญาณุปฺปาทนวเสน สุตฺวาฯ อตฺถํ ปฎิวิชฺฌิตฺวาติ ตทนุสาเรน จตุสจฺจสงฺขาตํ อตฺถํ สห วิปสฺสนาย มเคฺคน ปฎิวิชฺฌิตฺวาฯ โมหํ ปหายาติ ตเทกเฎฺฐหิ กิเลเสหิ สทฺธิํ อนวเสสํ โมหํ ปชหิตฺวาฯ วิเสสนฺติ นิพฺพานสงฺขาตํ อรหตฺตสงฺขาตญฺจ วิเสสํฯ เตสนฺติ ตาทิสานํ วิเนยฺยานํฯ ปรมตฺถวเสนาติ ‘‘ปญฺจิมานิ, ภิกฺขเว, อินฺทฺริยานี’’ติอาทินา (สํ. นิ. ๕.๔๗๒-๔๗๔) ปรมตฺถธมฺมวเสนฯ เสสํ อนนฺตรนเย วุตฺตสทิสเมวฯ ตตฺถาติ ตสฺสํ สมฺมุติวเสน ปรมตฺถวเสน จ เทสนายํฯ เทสภาสากุสโลติ นานาเทสภาสาสุ กุสโลฯ ติณฺณํ เวทานนฺติ นิทสฺสนมตฺตํ, ติณฺณํ เวทานํ สิปฺปคนฺถานมฺปีติ อธิปฺปาโย สิปฺปุคฺคหณญฺหิ ปรโต วกฺขติฯ สิปฺปานิ วา เวทโนฺตคเธ กตฺวา ‘‘ติณฺณํ เวทาน’’นฺติ วุตฺตํฯ กเถตพฺพภาเวน ฐิตานิ, น กตฺถจิ สนฺนิหิตภาเวนาติ เวทานมฺปิ กเถตพฺพภาเวเนว อวฎฺฐานํ ทีเปโนฺต ‘‘คุยฺหา ตยี นิหิตา คยฺหตี’’ติ มิจฺฉาวาทํ ปฎิกฺขิปติฯ นานาวิธา เทสภาสา เอเตสนฺติ นานาเทสภาสาฯ
Sammutivasena desanaṃ sutvāti ‘‘idhekacco puggalo attantapo hoti attaparitāpānuyogamanuyutto’’tiādinā (ma. ni. 2.413; pu. pa. 10.25 mātikā) sammutimukhena pavattitaṃ desanaṃ sutamayañāṇuppādanavasena sutvā. Atthaṃ paṭivijjhitvāti tadanusārena catusaccasaṅkhātaṃ atthaṃ saha vipassanāya maggena paṭivijjhitvā. Mohaṃ pahāyāti tadekaṭṭhehi kilesehi saddhiṃ anavasesaṃ mohaṃ pajahitvā. Visesanti nibbānasaṅkhātaṃ arahattasaṅkhātañca visesaṃ. Tesanti tādisānaṃ vineyyānaṃ. Paramatthavasenāti ‘‘pañcimāni, bhikkhave, indriyānī’’tiādinā (saṃ. ni. 5.472-474) paramatthadhammavasena. Sesaṃ anantaranaye vuttasadisameva. Tatthāti tassaṃ sammutivasena paramatthavasena ca desanāyaṃ. Desabhāsākusaloti nānādesabhāsāsu kusalo. Tiṇṇaṃ vedānanti nidassanamattaṃ, tiṇṇaṃ vedānaṃ sippaganthānampīti adhippāyo sippuggahaṇañhi parato vakkhati. Sippāni vā vedantogadhe katvā ‘‘tiṇṇaṃ vedāna’’nti vuttaṃ. Kathetabbabhāvena ṭhitāni, na katthaci sannihitabhāvenāti vedānampi kathetabbabhāveneva avaṭṭhānaṃ dīpento ‘‘guyhā tayī nihitā gayhatī’’ti micchāvādaṃ paṭikkhipati. Nānāvidhā desabhāsā etesanti nānādesabhāsā.
ปรโม อุตฺตโม อโตฺถ ปรมโตฺถ, ธมฺมานํ ยถาภูตสภาโวฯ โลกสเงฺกตมตฺตสิทฺธา สมฺมุติฯ ยทิ เอวํ กถํ สมฺมุติกถาย สจฺจตาติอาห ‘‘โลกสมฺมุติการณา’’ติ, โลกสมญฺญํ นิสฺสาย ปวตฺตนโตฯ โลกสมญฺญาย หิ อภินิเวเสน วินา ญาปนา เอกจฺจสฺส สุตสฺส สาวนา วิย น มุสา อนติธาวิตพฺพโต ตสฺสาฯ เตนาห ภควา ‘‘ชนปทนิรุตฺติํ นาภินิเวเสยฺย, สมญฺญํ นาติธาเวยฺยา’’ติ (ม. นิ. ๓.๓๓๒)ฯ ธมฺมานนฺติ สภาวธมฺมานํฯ ภูตการณาติ ยถาภูตสภาวํ นิสฺสาย ปวตฺตนโตฯ สมฺมุติํ โวหรนฺตสฺสาติ ‘‘ปุคฺคโล สโตฺต’’ติอาทินา โลกสมญฺญํ กเถนฺตสฺสฯ
Paramo uttamo attho paramattho, dhammānaṃ yathābhūtasabhāvo. Lokasaṅketamattasiddhā sammuti. Yadi evaṃ kathaṃ sammutikathāya saccatātiāha ‘‘lokasammutikāraṇā’’ti, lokasamaññaṃ nissāya pavattanato. Lokasamaññāya hi abhinivesena vinā ñāpanā ekaccassa sutassa sāvanā viya na musā anatidhāvitabbato tassā. Tenāha bhagavā ‘‘janapadaniruttiṃ nābhiniveseyya, samaññaṃ nātidhāveyyā’’ti (ma. ni. 3.332). Dhammānanti sabhāvadhammānaṃ. Bhūtakāraṇāti yathābhūtasabhāvaṃ nissāya pavattanato. Sammutiṃ voharantassāti ‘‘puggalo satto’’tiādinā lokasamaññaṃ kathentassa.
หิโรตฺตปฺปทีปนตฺถนฺติ โลกปาลนกิเจฺจ หิโรตฺตปฺปธเมฺม กิจฺจโต ปกาเสตุํฯ เตสญฺหิ กิจฺจํ สตฺตสนฺตาเนเยว ปากฎํ โหตีติ ปุคฺคลาธิฎฺฐานาย กถาย ตํ วตฺตพฺพํฯ เอส นโย เสเสสุปิฯ ยสฺมิญฺหิ จิตฺตุปฺปาเท กมฺมํ อุปฺปนฺนํ, ตํสนฺตาเน เอว ตสฺส ผลสฺส อุปฺปตฺติ กมฺมสฺสกตาฯ เอวญฺหิ กตวิญฺญาณนาโส อกตาคโม วา นตฺถีติ สา ปุคฺคลาธิฎฺฐานาย เอว กถาย ทีเปตพฺพาฯ เตหิ สเตฺตหิ กาตพฺพา ปุญฺญาทิกิริยา ปจฺจตฺตปุริสกาโรปิ สนฺตานวเสน นิปฺผาเทตพฺพโต ปุคฺคลาธิฎฺฐานาย เอว กถาย ทีเปตโพฺพฯ
Hirottappadīpanatthanti lokapālanakicce hirottappadhamme kiccato pakāsetuṃ. Tesañhi kiccaṃ sattasantāneyeva pākaṭaṃ hotīti puggalādhiṭṭhānāya kathāya taṃ vattabbaṃ. Esa nayo sesesupi. Yasmiñhi cittuppāde kammaṃ uppannaṃ, taṃsantāne eva tassa phalassa uppatti kammassakatā. Evañhi kataviññāṇanāso akatāgamo vā natthīti sā puggalādhiṭṭhānāya eva kathāya dīpetabbā. Tehi sattehi kātabbā puññādikiriyā paccattapurisakāropi santānavasena nipphādetabbato puggalādhiṭṭhānāya eva kathāya dīpetabbo.
อานนฺตริยทีปนตฺถนฺติ จุติอนนฺตรํ ผลํ อนนฺตรํ นาม, ตสฺมิํ อนนฺตเร นิยุตฺตานิ, ตนฺนิพฺพตฺตเนน อนนฺตรกรณสีลานิ, อนนฺตรปโยชนานิ วาติ อานนฺตริยานิ, มาตุฆาตาทีนิ, เตสํ ทีปนตฺถํฯ ตานิปิ หิ สนฺตานวเสน นิปฺผาเทตพฺพโต ‘‘มาตรํ ชีวิตา โวโรเปตี’’ติอาทินา (ปฎฺฐา. ๑.๑.๔๒๓) ปุคฺคลาธิฎฺฐานาย เอว กถาย ทีเปตพฺพานิ, ตถา ‘‘โส เมตฺตาสหคเตน เจตสา เอกํ ทิสํ ผริตฺวา วิหรตี’’ติอาทินา (ที. นิ. ๑.๕๕๖; ๓.๓๐๘; ม. นิ. ๑.๗๗; ๒.๓๐๙; ๓.๒๓๐; วิภ. ๖๔๒, ๖๔๓) ‘‘โส อเนกวิหิตํ ปุเพฺพนิวาสํ อนุสฺสรติ เอกมฺปิ ชาติ’’นฺติอาทินา (ที. นิ. ๑.๒๔๔, ๒๔๕; ม. นิ. ๑.๑๔๘, ๓๘๔, ๔๓๑; ปารา. ๑๒) ‘‘อตฺถิ ทกฺขิณา ทายกโต วิสุชฺฌติ, โน ปฎิคฺคาหกโต’’ติอาทินา (ม. นิ. ๓.๓๘๑) จ ปวตฺตา พฺรหฺมวิหารปุเพฺพนิวาสทกฺขิณาวิสุทฺธิกถา ปุคฺคลาธิฎฺฐานาย เอว กถาย ทีเปตพฺพา สตฺตสนฺตานวิสยตฺตาฯ ‘‘อฎฺฐ ปุริสปุคฺคลา (สํ. นิ. ๑.๒๔๙), น สมยวิมุโตฺต ปุคฺคโล’’ติอาทินา (ปุ. ป. ๑) จ ปรมตฺถํ กเถโนฺตปิ โลกสมฺมุติยา อปฺปหานตฺถํ ปุคฺคลกถํ กเถสิฯ เอเตน วุตฺตาวเสสาย กถาย ปุคฺคลาธิฎฺฐานภาเว ปโยชนํ สามญฺญวเสน สงฺคหิตนฺติ ทฎฺฐพฺพํฯ กามเญฺจตํ สพฺพํ อปริญฺญาตวตฺถุกานํ วเสน วุตฺตํ, ปริญฺญาตวตฺถุกานมฺปิ ปน เอวํ เทสนา สุขาวหา โหติฯ
Ānantariyadīpanatthanti cutianantaraṃ phalaṃ anantaraṃ nāma, tasmiṃ anantare niyuttāni, tannibbattanena anantarakaraṇasīlāni, anantarapayojanāni vāti ānantariyāni, mātughātādīni, tesaṃ dīpanatthaṃ. Tānipi hi santānavasena nipphādetabbato ‘‘mātaraṃ jīvitā voropetī’’tiādinā (paṭṭhā. 1.1.423) puggalādhiṭṭhānāya eva kathāya dīpetabbāni, tathā ‘‘so mettāsahagatena cetasā ekaṃ disaṃ pharitvā viharatī’’tiādinā (dī. ni. 1.556; 3.308; ma. ni. 1.77; 2.309; 3.230; vibha. 642, 643) ‘‘so anekavihitaṃ pubbenivāsaṃ anussarati ekampi jāti’’ntiādinā (dī. ni. 1.244, 245; ma. ni. 1.148, 384, 431; pārā. 12) ‘‘atthi dakkhiṇā dāyakato visujjhati, no paṭiggāhakato’’tiādinā (ma. ni. 3.381) ca pavattā brahmavihārapubbenivāsadakkhiṇāvisuddhikathā puggalādhiṭṭhānāya eva kathāya dīpetabbā sattasantānavisayattā. ‘‘Aṭṭha purisapuggalā (saṃ. ni. 1.249), na samayavimutto puggalo’’tiādinā (pu. pa. 1) ca paramatthaṃ kathentopi lokasammutiyā appahānatthaṃ puggalakathaṃ kathesi. Etena vuttāvasesāya kathāya puggalādhiṭṭhānabhāve payojanaṃ sāmaññavasena saṅgahitanti daṭṭhabbaṃ. Kāmañcetaṃ sabbaṃ apariññātavatthukānaṃ vasena vuttaṃ, pariññātavatthukānampi pana evaṃ desanā sukhāvahā hoti.
มหาชโนติ โลกิยมหาชโนฯ น ชานาติ ฆนวินิโพฺภคาภาเวน ธมฺมกิจฺจสฺส อสลฺลกฺขเณนฯ ตตฺถ ‘‘กิํ นาเมตํ, กถํ นาเมต’’นฺติ สํสยปกฺขนฺทตาย สโมฺมหํ อาปชฺชติฯ วิรุทฺธาภินิเวสิตาย ปฎิสตฺตุ โหติฯ ชานาติ จิรปริจิตตฺถา โวหารกถายฯ ตโต เอว น สโมฺมหมาปชฺชติ, น ปฎิสตฺตุ โหติฯ
Mahājanoti lokiyamahājano. Na jānāti ghanavinibbhogābhāvena dhammakiccassa asallakkhaṇena. Tattha ‘‘kiṃ nāmetaṃ, kathaṃ nāmeta’’nti saṃsayapakkhandatāya sammohaṃ āpajjati. Viruddhābhinivesitāya paṭisattu hoti. Jānāti ciraparicitatthā vohārakathāya. Tato eva na sammohamāpajjati, na paṭisattu hoti.
นปฺปชหนฺติ โวหารมุเขน ปรมตฺถสฺส ทีปนโตฯ สมญฺญาคหณวเสน โลเกน ญายติ สมญฺญายติ โวหรียตีติ โลกสมญฺญา, ตาย โลกสมญฺญายฯ ตสฺส ตสฺส อตฺถสฺส วิภาวเน โลเกน นิจฺฉิตํ, นิยตํ วา วุจฺจติ โวหรียตีติ โลกนิรุตฺติ, ตสฺสํ โลกนิรุตฺติยํฯ ตถา โลเกน อภิลปียตีติ โลกสมญฺญตาย โลกาภิลาโป, ตสฺมิํ โลกาภิลาเป ฐิตาเยว อปฺปหานโตฯ ปุคฺคลวาทิโน วิย ปรมตฺถวเสน อคฺคเหตฺวาฯ
Nappajahanti vohāramukhena paramatthassa dīpanato. Samaññāgahaṇavasena lokena ñāyati samaññāyati voharīyatīti lokasamaññā, tāya lokasamaññāya. Tassa tassa atthassa vibhāvane lokena nicchitaṃ, niyataṃ vā vuccati voharīyatīti lokanirutti, tassaṃ lokaniruttiyaṃ. Tathā lokena abhilapīyatīti lokasamaññatāya lokābhilāpo, tasmiṃ lokābhilāpe ṭhitāyeva appahānato. Puggalavādino viya paramatthavasena aggahetvā.
สโนฺตติ เอตฺถ สนฺตสโทฺท ‘‘ทีฆํ สนฺตสฺส โยชน’’นฺติอาทีสุ (ธ. ป. ๗๐) กิลนฺตภาเว อาคโต, ‘‘อยญฺจ วิตโกฺก อยญฺจ วิจาโร สนฺตา โหนฺติ สมิตา’’ติอาทีสุ (วิภ. ๕๗๖) นิรุทฺธภาเว อาคโต, ‘‘อธิคโต โข มฺยายํ ธโมฺม คมฺภีโร ทุทฺทโส ทุรนุโพโธ สโนฺต ปณีโต’’ติอาทีสุ (ที. นิ. ๒.๖๗; ม. นิ. ๑.๒๘๑; ๒.๓๓๗; สํ. นิ. ๒.๑๗๒; มหาว. ๗) สนฺตญาณโคจรตาย, ‘‘อุปสนฺตสฺส สทา สติมโต’’ติอาทีสุ (อุทา. ๒๗) กิเลสวูปสเม, ‘‘สโนฺต หเว สพฺภิ ปเวทยนฺตี’’ติอาทีสุ (ธ. ป. ๑๕) สาธูสุ, ‘‘ปญฺจิเม, ภิกฺขเว, มหาโจรา สโนฺต สํวิชฺชมานา’’ติอาทีสุ (ปารา. ๑๙๕) อตฺถิภาเว, อิธาปิ อตฺถิภาเวเยวฯ โส จ ปุคฺคลสมฺพเนฺธน วุตฺตตฺตา โลกสมญฺญาวเสนาติ ทเสฺสโนฺต ‘‘โลกสเงฺกตวเสน อตฺถี’’ติ อาหฯ อตฺถีติ เจตํ นิปาตปทํ ทฎฺฐพฺพํ ‘‘อตฺถิ อิมสฺมิํ กาเย เกสา’’ติอาทีสุ (ที. นิ. ๒.๓๗๓-๓๗๔; ม. นิ. ๑.๑๑๐; ๓.๑๕๔; อ. นิ. ๖.๒๙; ๑๐.๖๐) วิยฯ สํวิชฺชมานาติ ปทสฺส อตฺถํ ทเสฺสโนฺต ‘‘อุปลพฺภมานา’’ติ อาหฯ ยญฺหิ สํวิชฺชติ, ตํ อุปลพฺภตีติฯ องฺคนฺติ เอเตหิ ตํสมงฺคิปุคฺคลา นิหีนภาวํ คจฺฉนฺตีติ องฺคณานิ, ราคาทโยฯ อญฺชติ มเกฺขตีติ องฺคณํ, มลาทิฯ อเญฺชติ ตตฺถ ฐิตํ อหุนฺทรตาย อภิพฺยเญฺชตีติ องฺคณํ, วิวโฎ ภูมิปเทโสฯ โทสาทีนํ ปวตฺติอาการวิเสสตาย นานปฺปการา พหุลปฺปวตฺติยา ติพฺพกิเลสาฯ ปาปกานนฺติ ลามกานํฯ อกุสลานนฺติ อโกสลฺลสมฺภูตานํฯ อิจฺฉาวจรานนฺติ อิจฺฉาวเสน ปวตฺตานํฯ สห องฺคเณนาติ องฺคณนฺติ ลทฺธนาเมน ยถาวุตฺตกิเลเสน สห วตฺตติฯ
Santoti ettha santasaddo ‘‘dīghaṃ santassa yojana’’ntiādīsu (dha. pa. 70) kilantabhāve āgato, ‘‘ayañca vitakko ayañca vicāro santā honti samitā’’tiādīsu (vibha. 576) niruddhabhāve āgato, ‘‘adhigato kho myāyaṃ dhammo gambhīro duddaso duranubodho santo paṇīto’’tiādīsu (dī. ni. 2.67; ma. ni. 1.281; 2.337; saṃ. ni. 2.172; mahāva. 7) santañāṇagocaratāya, ‘‘upasantassa sadā satimato’’tiādīsu (udā. 27) kilesavūpasame, ‘‘santo have sabbhi pavedayantī’’tiādīsu (dha. pa. 15) sādhūsu, ‘‘pañcime, bhikkhave, mahācorā santo saṃvijjamānā’’tiādīsu (pārā. 195) atthibhāve, idhāpi atthibhāveyeva. So ca puggalasambandhena vuttattā lokasamaññāvasenāti dassento ‘‘lokasaṅketavasena atthī’’ti āha. Atthīti cetaṃ nipātapadaṃ daṭṭhabbaṃ ‘‘atthi imasmiṃ kāye kesā’’tiādīsu (dī. ni. 2.373-374; ma. ni. 1.110; 3.154; a. ni. 6.29; 10.60) viya. Saṃvijjamānāti padassa atthaṃ dassento ‘‘upalabbhamānā’’ti āha. Yañhi saṃvijjati, taṃ upalabbhatīti. Aṅganti etehi taṃsamaṅgipuggalā nihīnabhāvaṃ gacchantīti aṅgaṇāni, rāgādayo. Añjati makkhetīti aṅgaṇaṃ, malādi. Añjeti tattha ṭhitaṃ ahundaratāya abhibyañjetīti aṅgaṇaṃ, vivaṭo bhūmipadeso. Dosādīnaṃ pavattiākāravisesatāya nānappakārā bahulappavattiyā tibbakilesā. Pāpakānanti lāmakānaṃ. Akusalānanti akosallasambhūtānaṃ. Icchāvacarānanti icchāvasena pavattānaṃ. Saha aṅgaṇenāti aṅgaṇanti laddhanāmena yathāvuttakilesena saha vattati.
อตฺถีติปิ น ชานาติ ตาทิสสฺส โยนิโสมนสิการสฺส อภาวาฯ เยสํ กิเลสานํ อตฺถิตา, เตสํ สปฺปฎิภยตา วิเสสโต ชานิตพฺพาติ ทเสฺสตุํ ‘‘อิเม กิเลสา นามา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ ตตฺถ กกฺขฬาติ ผรุสาฯ วาฬาติ กุรุราฯ น คหิตพฺพาติ น อุปฺปาเทตพฺพาฯ ยาถาวสรสโตติ ยถาภูตสภาวโตฯ เอวญฺจาติ ‘‘อิเม กิเลสา นามา’’ติอาทินา วุตฺตปฺปกาเรนฯ เยน วา เตน วาติ นวกเมฺมสุ วา ปริยตฺติธุตงฺคาทีสุ วา เยน วา เตน วาฯ ตตฺราติ นิทฺธารเณ ภุมฺมํฯ ตํ ปน นิทฺธารณํ สงฺคณานงฺคณสมุทายโตติ ทเสฺสโนฺต ‘‘จตูสุ ปุคฺคเลสู’’ติ วตฺวา ปุน ตเทกเทสโต ทเสฺสโนฺต ‘‘เตสุ วา ทฺวีสุ สางฺคเณสู’’ติ อาหฯ ตญฺหิ ทฺวยํ ปฐมํ หีนเสฎฺฐภาเวน นิทฺธารียติ ปฐมํ อุทฺทิฎฺฐตฺตาฯ นิทฺธารณญฺหิ กฺวจิ กุโตจิ เกนจิ โหตีติฯ
Atthītipi na jānāti tādisassa yonisomanasikārassa abhāvā. Yesaṃ kilesānaṃ atthitā, tesaṃ sappaṭibhayatā visesato jānitabbāti dassetuṃ ‘‘ime kilesā nāmā’’tiādi vuttaṃ. Tattha kakkhaḷāti pharusā. Vāḷāti kururā. Na gahitabbāti na uppādetabbā. Yāthāvasarasatoti yathābhūtasabhāvato. Evañcāti ‘‘ime kilesā nāmā’’tiādinā vuttappakārena. Yena vā tena vāti navakammesu vā pariyattidhutaṅgādīsu vā yena vā tena vā. Tatrāti niddhāraṇe bhummaṃ. Taṃ pana niddhāraṇaṃ saṅgaṇānaṅgaṇasamudāyatoti dassento ‘‘catūsu puggalesū’’ti vatvā puna tadekadesato dassento ‘‘tesu vā dvīsu sāṅgaṇesū’’ti āha. Tañhi dvayaṃ paṭhamaṃ hīnaseṭṭhabhāvena niddhārīyati paṭhamaṃ uddiṭṭhattā. Niddhāraṇañhi kvaci kutoci kenaci hotīti.
๕๘. กิญฺจาปิ อญฺญตฺถ ‘‘ชนโก เหตุ, ปริคฺคาหโต ปจฺจโย, อสาธารโณ เหตุ, สาธารโณ ปจฺจโย, สภาโค เหตุ, อสภาโค ปจฺจโย, ปุพฺพกาลิโก เหตุ, สหปฺปวโตฺต ปจฺจโย’’ติอาทินา เหตุปจฺจยา วิภชฺช วุจฺจนฺติ, อิธ ปน ‘‘จตฺตาโร โข, ภิกฺขเว, มหาภูตา เหตู, จตฺตาโร มหาภูตา ปจฺจยา รูปกฺขนฺธสฺส ปญฺญาปนายา’’ติอาทีสุ (ม. นิ. ๓.๘๕) วิย เหตุปจฺจยสทฺทา สมานตฺถาติ ทเสฺสตุํ ‘‘อุภเยนปิ การณเมว ปุจฺฉตี’’ติ วุตฺตํฯ ตตฺถ อุภเยนาติ เหตุปจฺจยวจนทฺวเยนฯ ปุจฺฉติ อายสฺมา มหาโมคฺคลฺลาโน เทสนํ วเฑฺฒตุกาโมฯ กิญฺจาปีติ อนุชานนสมฺภาวนเตฺถ นิปาโตฯ กิํ อนุชานาติ? สมาเนปิ ทฺวินฺนํ สางฺคณภาเว ตสฺสา ปชานนาปฺปชานนเหตุกตํ เตสํ เสฎฺฐหีนตํฯ กิํ สมฺภาเวติ? เถรสฺส วิจิตฺตปฎิภานตาย นานาเหตูปมาหิ อลงฺกตฺวา ยถาปุจฺฉิตสฺส อตฺถสฺส ปากฎกรณํฯ เตนาห ‘‘นปฺปชานาตี’’ติอาทิฯ เหตุ เจว ปจฺจโย จ เสฎฺฐหีนภาเวฯ ตถาอกฺขาตพฺพตาปิ หิ เตสํ ตนฺนิมิตฺตา เอวาติฯ
58. Kiñcāpi aññattha ‘‘janako hetu, pariggāhato paccayo, asādhāraṇo hetu, sādhāraṇo paccayo, sabhāgo hetu, asabhāgo paccayo, pubbakāliko hetu, sahappavatto paccayo’’tiādinā hetupaccayā vibhajja vuccanti, idha pana ‘‘cattāro kho, bhikkhave, mahābhūtā hetū, cattāro mahābhūtā paccayā rūpakkhandhassa paññāpanāyā’’tiādīsu (ma. ni. 3.85) viya hetupaccayasaddā samānatthāti dassetuṃ ‘‘ubhayenapi kāraṇamevapucchatī’’ti vuttaṃ. Tattha ubhayenāti hetupaccayavacanadvayena. Pucchati āyasmā mahāmoggallāno desanaṃ vaḍḍhetukāmo. Kiñcāpīti anujānanasambhāvanatthe nipāto. Kiṃ anujānāti? Samānepi dvinnaṃ sāṅgaṇabhāve tassā pajānanāppajānanahetukataṃ tesaṃ seṭṭhahīnataṃ. Kiṃ sambhāveti? Therassa vicittapaṭibhānatāya nānāhetūpamāhi alaṅkatvā yathāpucchitassa atthassa pākaṭakaraṇaṃ. Tenāha ‘‘nappajānātī’’tiādi. Hetu ceva paccayo ca seṭṭhahīnabhāve. Tathāakkhātabbatāpi hi tesaṃ tannimittā evāti.
๕๙. ตนฺติ เตสํ ทฺวินฺนํ ปุคฺคลานํ หีนเสฎฺฐตาย การณํฯ โอปเมฺมหิ ปากฎตรํ กตฺวา ทเสฺสตุํฯ เอตนฺติ สุเตฺต อนนฺตรํ วุจฺจมานํ วีริยารมฺภาภาเวน องฺคณสฺส อปฺปหานํฯ เตนาห ‘‘น ฉนฺทํ…เป.… สนฺธายาหา’’ติฯ กตฺตุกมฺยตาฉนฺธนฺติ กตฺตุกมฺยตาสงฺขาตํ องฺคณสฺส ปหาตุกมฺยตาวเสน อุปฺปชฺชนกกุสลธมฺมจฺฉนฺทํฯ น ชเนสฺสตีติ น อุปฺปาเทสฺสติฯ กุสโล วายาโม นาม ฉนฺทโต พลวาติ อาห ‘‘ตโต พลวตรํ วายามํ น กริสฺสตี’’ติ, ฉนฺทมฺปิ อนุปฺปาเทโนฺต กถํ ตชฺชํ วายามํ กริสฺสตีติ อธิปฺปาโยฯ ถามคตวีริยํ อุโสฺสฬฺหีภาวปฺปตฺตํ ทฬฺหํ วีริยํฯ สางฺคณคฺคหเณเนว องฺคณานํ กิเลสวตฺถุตาย จิตฺตสฺส สํกิลิฎฺฐตาย สทฺธาย ปุน สํกิลิฎฺฐคฺคหณํ สวิเสสํ กิลิฎฺฐภาววิภาวนนฺติ อาห ‘‘สุฎฺฐุตรํ กิลิฎฺฐจิโตฺต’’ติฯ มลินจิโตฺตติอาทีสุปิ ‘‘เตหิเยวา’’ติ อาเนตฺวา สมฺพนฺธิตพฺพํฯ อุกฺขลิปุจฺฉนโจฬกสฺส วิย วสาปีตปิโลติกา วิย จ ทุโมฺมจนียภาเวน มลคฺคหณํ มลีนตา, ปีฬนํ หิํสนํ อวิปฺผาริกตากรณํ วิพาธนํ ทรถปริฬาหุปฺปาทเนน ปริทหนํ อุปตาปนํ, กาลนฺติ กาลนํ, ยถาคหิตสฺส อตฺตภาวสฺส เขปนํ อายุกฺขยนฺติ อโตฺถฯ กริสฺสตีติ ปวเตฺตสฺสติ, ปาปุณิสฺสตีติ วุตฺตํ โหติฯ ตถาภูโต จ ปาณํ จชิสฺสติ นามาติ อาห ‘‘มริสฺสตี’’ติฯ
59.Tanti tesaṃ dvinnaṃ puggalānaṃ hīnaseṭṭhatāya kāraṇaṃ. Opammehi pākaṭataraṃ katvā dassetuṃ. Etanti sutte anantaraṃ vuccamānaṃ vīriyārambhābhāvena aṅgaṇassa appahānaṃ. Tenāha ‘‘na chandaṃ…pe… sandhāyāhā’’ti. Kattukamyatāchandhanti kattukamyatāsaṅkhātaṃ aṅgaṇassa pahātukamyatāvasena uppajjanakakusaladhammacchandaṃ. Na janessatīti na uppādessati. Kusalo vāyāmo nāma chandato balavāti āha ‘‘tato balavataraṃ vāyāmaṃ na karissatī’’ti, chandampi anuppādento kathaṃ tajjaṃ vāyāmaṃ karissatīti adhippāyo. Thāmagatavīriyaṃ ussoḷhībhāvappattaṃ daḷhaṃ vīriyaṃ. Sāṅgaṇaggahaṇeneva aṅgaṇānaṃ kilesavatthutāya cittassa saṃkiliṭṭhatāya saddhāya puna saṃkiliṭṭhaggahaṇaṃ savisesaṃ kiliṭṭhabhāvavibhāvananti āha ‘‘suṭṭhutaraṃ kiliṭṭhacitto’’ti. Malinacittotiādīsupi ‘‘tehiyevā’’ti ānetvā sambandhitabbaṃ. Ukkhalipucchanacoḷakassa viya vasāpītapilotikā viya ca dummocanīyabhāvena malaggahaṇaṃ malīnatā, pīḷanaṃ hiṃsanaṃ avipphārikatākaraṇaṃ vibādhanaṃ darathapariḷāhuppādanena paridahanaṃ upatāpanaṃ, kālanti kālanaṃ, yathāgahitassa attabhāvassa khepanaṃ āyukkhayanti attho. Karissatīti pavattessati, pāpuṇissatīti vuttaṃ hoti. Tathābhūto ca pāṇaṃ cajissati nāmāti āha ‘‘marissatī’’ti.
เสยฺยถาปีติ อุปมานิทสฺสเน นิปาโตฯ ตทตฺถํ ทเสฺสโนฺต ‘‘ยถา นามา’’ติ อาหฯ ปํสุอาทินาติ อาทิ-สเทฺทน ชลฺลาทีนํ สงฺคโห, ฆํสนาทีหีติ อาทิ-สเทฺทน ฉาริกาปริมชฺชนาทีนํ สงฺคโหติฯ ‘‘อภิรูปาย กญฺญา ทาตพฺพา’’ติอาทีสุ วิย อนฺตเรนปิ อติสยตฺถโพธกสเทฺทน อติสยโตฺถ ญายตีติ อาห ‘‘มลคฺคหิตตราติ วุตฺตํ โหตี’’ติฯ ปฎิปุจฺฉาวจนนฺติ อนุมติปุจฺฉาวิเสโสฯ เอวํ กริยมานาติ อปริโภค-อปริโยทปนรโชปถนิกฺขิปเนหิ กิลิฎฺฐภาวํ อาปาทิยมานาฯ โอปมฺมํ สมฺปฎิปาเทโนฺตติ ยถูปนีตํ อุปมํ อุปเมยฺยเตฺถน สมํ กตฺวา ปฎิปาเทโนฺต, สํสเนฺทโนฺตติ อโตฺถฯ สางฺคโณ ปุคฺคโลติ สางฺคโณ ตสฺมิํ อตฺตภาเว อสุชฺฌนกปุคฺคโลฯ อาปณาทิโต กุลฆรํ อานีตสฺส มลคฺคหิตกํสภาชนสฺส ตตฺถ ลทฺธพฺพาย วิสุทฺธิยา อลาภโต ยถา อนุกฺกเมน สํกิลิฎฺฐตรภาโว, เอวํ ฆรโต นิกฺขนฺตสฺส ปุคฺคลสฺส ปพฺพชฺชาย ลทฺธพฺพาย วิสุทฺธิยา อลาภโต อนุกฺกเมน สํกิลิฎฺฐตรภาโวติ ทเสฺสโนฺต ‘‘สํกิลิฎฺฐกํสปาติยา’’ติอาทิมาหฯ สํกิลิฎฺฐตรภาโว จ นาม ปพฺพชิตสฺส อาชีววิปตฺติวเสน วา สิยา อาจารทิฎฺฐิสีลวิปตฺตีสุ อญฺญตรวเสน วาติ ตํ สพฺพํ สงฺคเหตฺวา ทเสฺสตุํ ‘‘ตสฺส ปุคฺคลสฺสา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ ปาจิตฺติยวีติกฺกมนคฺคหเณน หิ เอกจฺจทิฎฺฐิวิปตฺติยาปิ สงฺคโห โหตีติฯ เอตฺถ ฐิตสฺสาติ เอติสฺสํ อาชีววิปตฺติยํ ฐิตสฺสฯ อิมินา นเยน เสเสสุปิ ยถารหํ วตฺตพฺพํฯ สพฺพปริสสาธารณา มหาเถรสฺส เทสนา, ตสฺมา คหปติวเสนปิ โยเชตพฺพํฯ ตตฺถ อุกฺกํสคตสํกิลิฎฺฐตรภาวํ ทเสฺสโนฺต ‘‘มาตุฆาตาทิอานนฺตริยกรณ’’นฺติ อาหฯ อวิโสเธตฺวาติ ยถา อตฺตโน สีเล วา ทิฎฺฐิยา วา วิสุทฺธิ โหติ, เอวํ กิเลสมลินจิตฺตสนฺตานํ อวิโสเธตฺวาฯ
Seyyathāpīti upamānidassane nipāto. Tadatthaṃ dassento ‘‘yathā nāmā’’ti āha. Paṃsuādināti ādi-saddena jallādīnaṃ saṅgaho, ghaṃsanādīhīti ādi-saddena chārikāparimajjanādīnaṃ saṅgahoti. ‘‘Abhirūpāya kaññā dātabbā’’tiādīsu viya antarenapi atisayatthabodhakasaddena atisayattho ñāyatīti āha ‘‘malaggahitatarāti vuttaṃ hotī’’ti. Paṭipucchāvacananti anumatipucchāviseso. Evaṃkariyamānāti aparibhoga-apariyodapanarajopathanikkhipanehi kiliṭṭhabhāvaṃ āpādiyamānā. Opammaṃ sampaṭipādentoti yathūpanītaṃ upamaṃ upameyyatthena samaṃ katvā paṭipādento, saṃsandentoti attho. Sāṅgaṇo puggaloti sāṅgaṇo tasmiṃ attabhāve asujjhanakapuggalo. Āpaṇādito kulagharaṃ ānītassa malaggahitakaṃsabhājanassa tattha laddhabbāya visuddhiyā alābhato yathā anukkamena saṃkiliṭṭhatarabhāvo, evaṃ gharato nikkhantassa puggalassa pabbajjāya laddhabbāya visuddhiyā alābhato anukkamena saṃkiliṭṭhatarabhāvoti dassento ‘‘saṃkiliṭṭhakaṃsapātiyā’’tiādimāha. Saṃkiliṭṭhatarabhāvo ca nāma pabbajitassa ājīvavipattivasena vā siyā ācāradiṭṭhisīlavipattīsu aññataravasena vāti taṃ sabbaṃ saṅgahetvā dassetuṃ ‘‘tassa puggalassā’’tiādi vuttaṃ. Pācittiyavītikkamanaggahaṇena hi ekaccadiṭṭhivipattiyāpi saṅgaho hotīti. Ettha ṭhitassāti etissaṃ ājīvavipattiyaṃ ṭhitassa. Iminā nayena sesesupi yathārahaṃ vattabbaṃ. Sabbaparisasādhāraṇā mahātherassa desanā, tasmā gahapativasenapi yojetabbaṃ. Tattha ukkaṃsagatasaṃkiliṭṭhatarabhāvaṃ dassento ‘‘mātughātādiānantariyakaraṇa’’nti āha. Avisodhetvāti yathā attano sīle vā diṭṭhiyā vā visuddhi hoti, evaṃ kilesamalinacittasantānaṃ avisodhetvā.
ภพฺพปุคฺคโลติ อุปนิสฺสยาทิสมฺปตฺติยา ตสฺมิํ อตฺตภาเว วิสุทฺธปุคฺคโลฯ อาทิํ กตฺวาติ อิมินา โธวนฆํสนาทีหิ ปริโยทปนํ อาทิมนฺตํ กตฺวา วทติฯ สุทฺธฎฺฐานํ ยตฺถ วา น รเชน โอกิรียติฯ ทณฺฑกมฺมํ กตฺวาติ ‘‘เอตฺตกา อุทกา, วาลุกา วา อาเนตพฺพา’’ติ ทณฺฑกมฺมํ กตฺวาฯ เอตฺถ ฐิตสฺสาติ ปริสุเทฺธ สีเล ฐิตสฺสฯ สมฺมาวตฺตปฎิปตฺติสีเลหิ สีลวิสุทฺธิ ทสฺสิตาฯ วตฺตปฎิปตฺติยาปิ หิ องฺคณานํ วิกฺขมฺภนํ สิยาฯ ตถา หิสฺสา สํกิลิฎฺฐกํสปาติยา ปริสุทฺธปริโยทาตภาโว อุปมาภาเวน วุโตฺตฯ ปนฺตเสนาสนวาโส กิเลสวิกฺขมฺภนํ กิเลสานํ ตทงฺคนิวารณํฯ โสตาปตฺติผลาธิคโม…เป.… อรหตฺตสจฺฉิกิริยาติ สตฺตสุปิ ฐาเนสุ ‘‘ปริสุทฺธปริโยทาตภาโว วิยา’’ติ ปทํ อาเนตฺวา สมฺพนฺธิตพฺพํฯ ปพฺพชิตสฺส หิ วิสุทฺธิ นาม เหฎฺฐิมเนฺตน สีลวิสุทฺธิยา วา สิยา กมฺมฎฺฐานานุโยควเสน วิเวกวาเสน ฌานสฺสาธิคเมน วา วิปสฺสนาภาวนาย วา สามญฺญผลาธิคเมน วาติฯ
Bhabbapuggaloti upanissayādisampattiyā tasmiṃ attabhāve visuddhapuggalo. Ādiṃ katvāti iminā dhovanaghaṃsanādīhi pariyodapanaṃ ādimantaṃ katvā vadati. Suddhaṭṭhānaṃ yattha vā na rajena okirīyati. Daṇḍakammaṃ katvāti ‘‘ettakā udakā, vālukā vā ānetabbā’’ti daṇḍakammaṃ katvā. Ettha ṭhitassāti parisuddhe sīle ṭhitassa. Sammāvattapaṭipattisīlehi sīlavisuddhi dassitā. Vattapaṭipattiyāpi hi aṅgaṇānaṃ vikkhambhanaṃ siyā. Tathā hissā saṃkiliṭṭhakaṃsapātiyā parisuddhapariyodātabhāvo upamābhāvena vutto. Pantasenāsanavāso kilesavikkhambhanaṃ kilesānaṃ tadaṅganivāraṇaṃ. Sotāpattiphalādhigamo…pe… arahattasacchikiriyāti sattasupi ṭhānesu ‘‘parisuddhapariyodātabhāvo viyā’’ti padaṃ ānetvā sambandhitabbaṃ. Pabbajitassa hi visuddhi nāma heṭṭhimantena sīlavisuddhiyā vā siyā kammaṭṭhānānuyogavasena vivekavāsena jhānassādhigamena vā vipassanābhāvanāya vā sāmaññaphalādhigamena vāti.
ราคฎฺฐานิยนฺติ ราคุปฺปตฺติเหตุภูตํฯ วิสภาคารมฺมณํ สนฺธาย วทติ ‘‘อิฎฺฐารมฺมณ’’นฺติฯ ตสฺมินฺติ อิฎฺฐารมฺมเณฯ วิปนฺนสฺสตีติ มุฎฺฐสฺสติฯ ตํ นิมิตฺตนฺติ สุภนิมิตฺตํฯ อาวชฺชิสฺสตีติ อโยนิโส อาวชฺชิสฺสติฯ สยเมว อเญฺญน อโวมิโสฺสฯ กุสลวารปจฺฉินฺทนเมว เจตฺถ อนุทฺธํสนํ ทฎฺฐพฺพํฯ เสสนฺติ ‘‘สางฺคโณ สํกิลิฎฺฐจิโตฺต’’ติอาทิฯ วุตฺตนยานุสาเรนาติ ปฐมวาเร วุตฺตนยานุสาเรนฯ สพฺพนฺติ มาตุฆาตาทิอานนฺตริยกรณปริโยสานํ สพฺพํ อุปมาสํสนฺทนวจนํฯ
Rāgaṭṭhāniyanti rāguppattihetubhūtaṃ. Visabhāgārammaṇaṃ sandhāya vadati ‘‘iṭṭhārammaṇa’’nti. Tasminti iṭṭhārammaṇe. Vipannassatīti muṭṭhassati. Taṃ nimittanti subhanimittaṃ. Āvajjissatīti ayoniso āvajjissati. Sayameva aññena avomisso. Kusalavārapacchindanameva cettha anuddhaṃsanaṃ daṭṭhabbaṃ. Sesanti ‘‘sāṅgaṇo saṃkiliṭṭhacitto’’tiādi. Vuttanayānusārenāti paṭhamavāre vuttanayānusārena. Sabbanti mātughātādiānantariyakaraṇapariyosānaṃ sabbaṃ upamāsaṃsandanavacanaṃ.
อติวิรหาภาวโตติ สติสโมฺมสาภาวโต, อุปฎฺฐิตสฺสติ ภาวโตติ อโตฺถฯ เสสนฺติ ‘‘โส อราโค’’ติอาทิฯ ‘‘โธวนฆํสนสณฺหฉาริกาปริมชฺชนาทีหี’’ติอาทินา ทุติยวารานุสาเรนฯ ‘‘โก นุ โข’’ติอาทิ ปุจฺฉาวเสน อาคตํ, อิทํ นิคมนวเสนาติ อยเมว วิเสโสฯ
Ativirahābhāvatoti satisammosābhāvato, upaṭṭhitassati bhāvatoti attho. Sesanti ‘‘so arāgo’’tiādi. ‘‘Dhovanaghaṃsanasaṇhachārikāparimajjanādīhī’’tiādinā dutiyavārānusārena. ‘‘Ko nu kho’’tiādi pucchāvasena āgataṃ, idaṃ nigamanavasenāti ayameva viseso.
๖๐. องฺคณนฺติ ตตฺถ ตตฺถ นามโต เอว วิภาวิตํ, น ปน สภาวโต, ปเภทโต วาติ สภาวาทิโต วิภาวนํ สนฺธายาห ‘‘นานปฺปการโต ปากฎํ การาเปตุกาเมนา’’ติฯ อิจฺฉาย อวจรานนฺติ อิจฺฉาวเสน อวจรณานํฯ โอติณฺณานนฺติ จิตฺตสนฺตานํ อนุปวิฎฺฐานํฯ เต ปน ตตฺถ ปจฺจยวเสน นิพฺพตฺตตฺตา ปวตฺตา นาม โหนฺตีติ อาห ‘‘ปวตฺตาน’’นฺติฯ นานปฺปการานนฺติ วิสยเภเทน ปวตฺติอาการเภเทน จ นานาวิธานํฯ เยนการเณนฯ น เกวลํ ลาภตฺถิกตา เอว, อถ โข ปุญฺญวนฺตตา สกฺกตครุกตา จ เอตฺถ การณภาเวน คเหตพฺพาติ ทเสฺสโนฺต ‘‘ปกติยาปิ จา’’ติอาทิมาหฯ เตน ลาภตฺถิโกปิ น โย โกจิ เอวํ จิตฺตํ อุปฺปาเทติ ปุญฺญวา สมฺภาวนีโยติ ทเสฺสติฯ เถรา อวชฺชปฎิจฺฉาทนภเยน มชฺฌิมานํ อาโรเจนฺติ, ตถา มชฺฌิมา นวกานํ, นวกา ปน อตฺตโน นวกภาเวน วิฆาสาทาทีนํ อาโรเจนฺติ ‘‘ปสฺสถ ตุมฺหากํ เถรสฺส กมฺม’’นฺติฯ วิฆาสาทาทโย นาม ‘‘อีทิสสฺส สนฺติเก โอวาทตฺถํ ตุเมฺห อาคตา’’ติ ภิกฺขุนีนํ อาโรเจนฺติฯ น จ มํ ภิกฺขู ชาเนยฺยุนฺติ น จ วต มํ ภิกฺขู ชาเนยฺยุํ, อโห วต มํ ภิกฺขู น ชาเนยฺยุนฺติ โยชนาฯ ฐานํ โข ปเนตนฺติ เอตฺถ โข-สโทฺท อวธารณโตฺถ, ปน-สโทฺท วจนาลงฺกาโรติ อาห ‘‘อตฺถิเยวา’’ติฯ ปุเพฺพ อิจฺฉุปฺปาทวารวณฺณนาย วุตฺตนเยนฯ อิติ-สโทฺท อิธ อาสนฺนการณโตฺถติ ตํ ทเสฺสโนฺต ‘‘อิมินา การเณนา’’ติ อาห ฯ อิทญฺจ โกปอปฺปจฺจยานเมว คหณํฯ ตาทิสานนฺติ โกปอปฺปจฺจยาธิภูตานนฺติ อธิปฺปาโยฯ
60.Aṅgaṇanti tattha tattha nāmato eva vibhāvitaṃ, na pana sabhāvato, pabhedato vāti sabhāvādito vibhāvanaṃ sandhāyāha ‘‘nānappakārato pākaṭaṃ kārāpetukāmenā’’ti. Icchāya avacarānanti icchāvasena avacaraṇānaṃ. Otiṇṇānanti cittasantānaṃ anupaviṭṭhānaṃ. Te pana tattha paccayavasena nibbattattā pavattā nāma hontīti āha ‘‘pavattāna’’nti. Nānappakārānanti visayabhedena pavattiākārabhedena ca nānāvidhānaṃ. Yenakāraṇena. Na kevalaṃ lābhatthikatā eva, atha kho puññavantatā sakkatagarukatā ca ettha kāraṇabhāvena gahetabbāti dassento ‘‘pakatiyāpi cā’’tiādimāha. Tena lābhatthikopi na yo koci evaṃ cittaṃ uppādeti puññavā sambhāvanīyoti dasseti. Therā avajjapaṭicchādanabhayena majjhimānaṃ ārocenti, tathā majjhimā navakānaṃ, navakā pana attano navakabhāvena vighāsādādīnaṃ ārocenti ‘‘passatha tumhākaṃ therassa kamma’’nti. Vighāsādādayo nāma ‘‘īdisassa santike ovādatthaṃ tumhe āgatā’’ti bhikkhunīnaṃ ārocenti. Na ca maṃ bhikkhū jāneyyunti na ca vata maṃ bhikkhū jāneyyuṃ, aho vata maṃ bhikkhū na jāneyyunti yojanā. Ṭhānaṃ kho panetanti ettha kho-saddo avadhāraṇattho, pana-saddo vacanālaṅkāroti āha ‘‘atthiyevā’’ti. Pubbe icchuppādavāravaṇṇanāya vuttanayena. Iti-saddo idha āsannakāraṇatthoti taṃ dassento ‘‘iminā kāraṇenā’’ti āha . Idañca kopaappaccayānameva gahaṇaṃ. Tādisānanti kopaappaccayādhibhūtānanti adhippāyo.
อนุรโหติ อนุรูเป รหสิฯ เอวเมว หิ อตฺถํ ทเสฺสตุํ ‘‘วิหารปจฺจเนฺต’’ติอาทิ วุตฺตํฯ ปุริมสทิสเมวาติ ‘‘ลาภตฺถิโก หี’’ติอาทินา วุเตฺตน ปุริเมน โยชนานเยน สทิสเมวฯ
Anurahoti anurūpe rahasi. Evameva hi atthaṃ dassetuṃ ‘‘vihārapaccante’’tiādi vuttaṃ. Purimasadisamevāti ‘‘lābhatthiko hī’’tiādinā vuttena purimena yojanānayena sadisameva.
โจทนาย ปฎิปุคฺคลภาโว, โจทนา จ อาปตฺติยาติ จุทิตเกน โจทกสฺส สมานภาโว อาปตฺติอาปนฺนตายาติ อาห ‘‘สมาโนติ สาปตฺติโก’’ติฯ สปฺปฎิปุคฺคเลเนวสฺส โจทนิจฺฉาย การณํ วิภาเวตุํ ‘‘อย’’นฺติอาทิ วุตฺตํฯ น จายํ สาปตฺติกตาย เอว สมานตํ อิจฺฉติ, อถ โข อญฺญถาปีติ ทเสฺสโนฺต ‘‘อปิจา’’ติอาทิมาหฯ อเญฺญน วา ปฎิปุคฺคเลน สปฺปฎิปุคฺคโลฯ อยญฺหิ ‘‘สปฺปฎิปุคฺคโลว มํ โจเทยฺยา’’ติ อิจฺฉติ ‘‘เอวาหํ ตสฺส ปฎิปุคฺคเลหิ สทฺธิํ เอกชฺฌาสโย หุตฺวา ตสฺส อุปริ กิญฺจิ วตฺตุํ กาตุํ วา ลภิสฺสามี’’ติ มญฺญมาโน ฯ อิมสฺมิํ ปน ปเกฺข โน อปฺปฎิปุคฺคโลติ นตฺถิ เอตสฺส ปฎิปุคฺคโลติ อปฺปฎิปุคฺคโลติ เอวมโตฺถ เวทิตโพฺพฯ
Codanāya paṭipuggalabhāvo, codanā ca āpattiyāti cuditakena codakassa samānabhāvo āpattiāpannatāyāti āha ‘‘samānoti sāpattiko’’ti. Sappaṭipuggalenevassa codanicchāya kāraṇaṃ vibhāvetuṃ ‘‘aya’’ntiādi vuttaṃ. Na cāyaṃ sāpattikatāya eva samānataṃ icchati, atha kho aññathāpīti dassento ‘‘apicā’’tiādimāha. Aññena vā paṭipuggalena sappaṭipuggalo. Ayañhi ‘‘sappaṭipuggalova maṃ codeyyā’’ti icchati ‘‘evāhaṃ tassa paṭipuggalehi saddhiṃ ekajjhāsayo hutvā tassa upari kiñci vattuṃ kātuṃ vā labhissāmī’’ti maññamāno. Imasmiṃ pana pakkhe no appaṭipuggaloti natthi etassa paṭipuggaloti appaṭipuggaloti evamattho veditabbo.
‘‘อโห วตา’’ติ อิทํ ปทํ ทิสฺสตีติ สมฺพโนฺธ, อิมสฺส ปุคฺคลสฺส อิจฺฉาจาเร ฐิตตฺตา ภิกฺขูนํ ธมฺมํ เทเสยฺยาติ วจนโต ‘‘ตญฺจ โข อนุมติปุจฺฉายา’’ติ วุตฺตํฯ น เหส ‘‘สจฺจํ กิร ตฺวํ ภิกฺขู’’ติอาทินา กิญฺจิ วีติกฺกมํ อุทฺทิสฺส ภควตา ปุจฺฉิตพฺพตํ อิจฺฉติฯ โน มคฺคํ วา ผลํ วา วิปสฺสนํ วา อนฺตรํ กตฺวาติ มคฺคภาวนํ วา ผลสจฺฉิกิริยํ วา สิขาปฺปตฺตวิปสฺสนานุโยคํ วา นิโรธสมาปชฺชนํ วา ฌานสมาปชฺชนเมว วา อนฺตรํ การณํ กตฺวา ภควตา อตฺตานํ ปฎิปุจฺฉิตพฺพํ โน อิจฺฉติฯ นิจฺจํ อนิจฺจนฺติอาทินา อนุมติคฺคหณวเสน ปุจฺฉิตพฺพํ อิจฺฉติ, อุตฺตานเมว กตฺวา ปุจฺฉิตพฺพํ อิจฺฉตีติ อโตฺถฯ อุปหรเนฺต ปสฺสตีติ สมฺพโนฺธฯ อภพฺพฎฺฐานภิกฺขุตาย นิหริสฺสนฺติ สาสนโตฯ
‘‘Aho vatā’’ti idaṃ padaṃ dissatīti sambandho, imassa puggalassa icchācāre ṭhitattā bhikkhūnaṃ dhammaṃ deseyyāti vacanato ‘‘tañca kho anumatipucchāyā’’ti vuttaṃ. Na hesa ‘‘saccaṃ kira tvaṃ bhikkhū’’tiādinā kiñci vītikkamaṃ uddissa bhagavatā pucchitabbataṃ icchati. No maggaṃ vā phalaṃ vā vipassanaṃ vā antaraṃ katvāti maggabhāvanaṃ vā phalasacchikiriyaṃ vā sikhāppattavipassanānuyogaṃ vā nirodhasamāpajjanaṃ vā jhānasamāpajjanameva vā antaraṃ kāraṇaṃ katvā bhagavatā attānaṃ paṭipucchitabbaṃ no icchati. Niccaṃ aniccantiādinā anumatiggahaṇavasena pucchitabbaṃ icchati, uttānameva katvā pucchitabbaṃ icchatīti attho. Upaharante passatīti sambandho. Abhabbaṭṭhānabhikkhutāya niharissanti sāsanato.
ตํ สมฺปตฺตินฺติ ปริวารสมฺปตฺติเญฺจว ภิกฺขูหิ กริยมานํ สกฺการครุการสมฺปตฺติญฺจฯ คเหตฺวา ปริภุญฺชนฺติ มยา สํวิภาเค กริยมาเนฯ สยเมว ปญฺญายตีติ สยเมว คนฺตฺวา ภิกฺขูนํ ปุรโต อตฺตานํ ทเสฺสติ, ปุรโต วสนฺตํ ปน ภิกฺขุ ปุรกฺขตฺวา คจฺฉนฺติเยวาติ อธิปฺปาโยฯ
Taṃ sampattinti parivārasampattiñceva bhikkhūhi kariyamānaṃ sakkāragarukārasampattiñca. Gahetvā paribhuñjanti mayā saṃvibhāge kariyamāne. Sayameva paññāyatīti sayameva gantvā bhikkhūnaṃ purato attānaṃ dasseti, purato vasantaṃ pana bhikkhu purakkhatvā gacchantiyevāti adhippāyo.
ทกฺขิโณทกนฺติ อคฺคโต อุปนียมานํ ทกฺขิโณทกํฯ ยโต เอว-กาโร, ตโต อญฺญตฺถ นิยโม อิจฺฉิโตฯ อวธารณตฺถํ วา เอว-การคฺคหณนฺติ กตฺวา อหเมว ลเภยฺยนฺติ อหํ ลเภยฺยเมวาติ เอวเมตํ อวธารณํ ทฎฺฐพฺพนฺติ อธิปฺปาเยนาห ‘‘อหเมว ลเภยฺยนฺติ อิจฺฉา นาติมหาสาวชฺชา’’ติ, อญฺญถา ยถารุตวเสน อวธารเณ คยฺหมาเน ‘‘น อเญฺญ ลเภยฺยุ’’นฺติ อยเมเวตฺถ อโตฺถ สิยาติฯ ปาสาทิโก โหตีติ อิทํ ตสฺส อคฺคาสนาทิปจฺจาสีสนาย การณทสฺสนํฯ
Dakkhiṇodakanti aggato upanīyamānaṃ dakkhiṇodakaṃ. Yato eva-kāro, tato aññattha niyamo icchito. Avadhāraṇatthaṃ vā eva-kāraggahaṇanti katvā ahameva labheyyanti ahaṃ labheyyamevāti evametaṃ avadhāraṇaṃ daṭṭhabbanti adhippāyenāha ‘‘ahameva labheyyanti icchā nātimahāsāvajjā’’ti, aññathā yathārutavasena avadhāraṇe gayhamāne ‘‘na aññe labheyyu’’nti ayamevettha attho siyāti. Pāsādiko hotīti idaṃ tassa aggāsanādipaccāsīsanāya kāraṇadassanaṃ.
อนุโมทนนฺติ มงฺคลามงฺคเลสุ อนุโมทนาวเสน ปวเตฺตตพฺพธมฺมกถํฯ ขณฺฑานุโมทนนฺติ อนุโมทเนกเทสํฯ ‘‘ปุเพฺพ อนุโมทิตปุโพฺพ อนุโมทตู’’ติ อวตฺวา เถเรน วุตฺตมเตฺตเยวฯ
Anumodananti maṅgalāmaṅgalesu anumodanāvasena pavattetabbadhammakathaṃ. Khaṇḍānumodananti anumodanekadesaṃ. ‘‘Pubbe anumoditapubbo anumodatū’’ti avatvā therena vuttamatteyeva.
ตาทิเสสุ ฐาเนสูติ ตาทิเสสุ เปสลานํ พหุสฺสุตานํ วสนฎฺฐาเนสุฯ สพฺพมฺปิ รติํ ปวตฺตนโต สพฺพรตฺติกานิฯ วินิจฺฉยกุสลานนฺติ อเนกวิหิเตสุ กงฺขฎฺฐานิเยสุ กงฺขาวินยนาย ตํ ตํ ปญฺหานํ วินิจฺฉเย กุสลานํ เฉกานํฯ เตสุ เตสุ ธมฺมกถิเกสุ อชฺฌิเฎฺฐสุ วาเรน ธมฺมํ กเถเนฺตสุ ‘‘อยํ พฺยโตฺต’’ติ ธมฺมเชฺฌสเกน อชฺฌิฎฺฐตฺตา โอกาสํ อลภมาโนฯ
Tādisesu ṭhānesūti tādisesu pesalānaṃ bahussutānaṃ vasanaṭṭhānesu. Sabbampi ratiṃ pavattanato sabbarattikāni. Vinicchayakusalānanti anekavihitesu kaṅkhaṭṭhāniyesu kaṅkhāvinayanāya taṃ taṃ pañhānaṃ vinicchaye kusalānaṃ chekānaṃ. Tesu tesu dhammakathikesu ajjhiṭṭhesu vārena dhammaṃ kathentesu ‘‘ayaṃ byatto’’ti dhammajjhesakena ajjhiṭṭhattā okāsaṃ alabhamāno.
สกฺกจฺจญฺจ กเรยฺยุนฺติ ภิกฺขู ยํ มม อภิวาทนปจฺจุฎฺฐานญฺชลิกมฺมสามีจิกมฺมาทิํ กโรนฺติฯ ตํ อาทเรเนว กเรยฺยุํ, ยญฺจ เม ปริกฺขารชาตํ ปฎิยาเทนฺติ, ตมฺปิ สุนฺทรํ สมฺมเทว อภิสงฺขตํ กเรยฺยุนฺติ อโตฺถฯ ภาริยนฺติ ปาสาณจฺฉตฺตํ วิย ครุกาตพฺพํฯ เอตํ วิธินฺติ เอตํ ‘‘สกฺกเรยฺยุ’’นฺติอาทินา วุตฺตสกฺการาทิวิธิํฯ เตนาติ เตน การเณน, พาหุสจฺจาทิคุณวิเสสวโต เอว สกฺการาทีนํ อรหตฺตาติ อโตฺถฯ เอวรูปนฺติ อีทิสํ ‘‘ปิโย ครู’’ติอาทินา (อ. นิ. ๗.๓๗) วุตฺตปฺปการํฯ เอวํ กเรยฺยุนฺติ เอวํ ‘‘สกฺกเรยฺยุ’’นฺติอาทินา วุตฺตปฺปการํ สกฺการาทิํ กเรยฺยุํฯ เอส นโยติ โยยํ ภิกฺขุวาเร วุตฺตวิธิ, เอเสว นโยฯ อิโต ปเรสุ ภิกฺขุนีวาราทีสุ วาเรสุฯ
Sakkaccañcakareyyunti bhikkhū yaṃ mama abhivādanapaccuṭṭhānañjalikammasāmīcikammādiṃ karonti. Taṃ ādareneva kareyyuṃ, yañca me parikkhārajātaṃ paṭiyādenti, tampi sundaraṃ sammadeva abhisaṅkhataṃ kareyyunti attho. Bhāriyanti pāsāṇacchattaṃ viya garukātabbaṃ. Etaṃ vidhinti etaṃ ‘‘sakkareyyu’’ntiādinā vuttasakkārādividhiṃ. Tenāti tena kāraṇena, bāhusaccādiguṇavisesavato eva sakkārādīnaṃ arahattāti attho. Evarūpanti īdisaṃ ‘‘piyo garū’’tiādinā (a. ni. 7.37) vuttappakāraṃ. Evaṃ kareyyunti evaṃ ‘‘sakkareyyu’’ntiādinā vuttappakāraṃ sakkārādiṃ kareyyuṃ. Esa nayoti yoyaṃ bhikkhuvāre vuttavidhi, eseva nayo. Ito paresu bhikkhunīvārādīsu vāresu.
อหเมว ลาภี อสฺสนฺติ เอตฺถาปิ เหฎฺฐา วุตฺตนเยเนว อวธารณํ คเหตพฺพํฯ ปิณฺฑปาตสฺส ปณีตตา อุปเสจนาทิวเสนาติ อาห ‘‘สปฺปิเตลมธุสกฺขราทิปูริตาน’’นฺติ ฯ มญฺจปีฐาทีนนฺติ นิทสฺสนมตฺตํ อุตุสปฺปายานํ นิวาตานํ ผสฺสิตตลานํ ปิหิตทฺวารกวาฬวาตปานาทีนมฺปิ ปณีตเสนาสนภาวโตฯ อาทิ-สเทฺทน วา เตสมฺปิ คหณํ ทฎฺฐพฺพํฯ สพฺพตฺถาปีติ สเพฺพสุ เตสุ จตูสุปิ ปจฺจยวาเรสุฯ
Ahameva lābhī assanti etthāpi heṭṭhā vuttanayeneva avadhāraṇaṃ gahetabbaṃ. Piṇḍapātassa paṇītatā upasecanādivasenāti āha ‘‘sappitelamadhusakkharādipūritāna’’nti . Mañcapīṭhādīnanti nidassanamattaṃ utusappāyānaṃ nivātānaṃ phassitatalānaṃ pihitadvārakavāḷavātapānādīnampi paṇītasenāsanabhāvato. Ādi-saddena vā tesampi gahaṇaṃ daṭṭhabbaṃ. Sabbatthāpīti sabbesu tesu catūsupi paccayavāresu.
๖๑. กายกมฺมํ ทิสฺวาติ อิทํ น กายกมฺมํ จกฺขุวิเญฺญยฺยํ, กายกมฺมุนา ปน สห ปวตฺตํ โอฎฺฐปริปฺผนฺทนํ ภากุฎิกรณํ กายงฺคาทิทสฺสนํ กายกมฺมทสฺสนํ วิย โหตีติ กตฺวา วุตฺตํฯ วจีกมฺมํ สุตฺวาติ เอตฺถาปิ เอเสว นโย, ตสฺมา กายวิการชนกา ธมฺมา ‘‘ทิสฺสนฺตี’’ติ วุตฺตา, วจีวิการชนกา ‘‘สูยนฺตี’’ติฯ ตโต เอว จ เต ปจฺจกฺขกาเล สมฺมุขกาเล ทิสฺสนฺติ นามฯ ติโรกฺขกาเล อสมฺมุขกาเล สูยนฺติ นามฯ อนุรูปโต คหณํ อนุคฺคโหฯ อารญฺญิกตฺตนฺติ ตสฺส ภิกฺขุโน ธุตคุณตฺตานุรูปโต คณฺหาติฯ เตนาห ‘‘อารญฺญิกตฺตํ อนุคฺคณฺหาตี’’ติฯ อรเญฺญ นิวาโส อสฺสาติ อารญฺญิโกฯ ปนฺตํ ปริยนฺตํ ทูรตรํ เสนาสนํ อสฺสาติ ปนฺตเสนาสโนฯ ตํ ปน อตฺถมเตฺตน ทเสฺสเนฺตน ‘‘ปนฺตเสนาสเน วสตี’’ติ วุตฺตํฯ ภิกฺขาสงฺขาตานํ ปิณฺฑานํ ปาโต ปิณฺฑาปาโต, ตํ ปิณฺฑปาตํ อุญฺฉติ คเวสตีติ ปิณฺฑปาติโกฯ ปิณฺฑาย ปติตุํ จริตุํ วตเมตสฺสาติ วา ปิณฺฑปาติ, โส เอว ปิณฺฑปาติโกฯ ทานโต อวขณฺฑนโต อเปตํ อปทานํ, สห อปทาเนน สปทานํ, อนวขณฺฑนํฯ อนุฆรํ จรณสีโล สปทานจารีฯ อุนฺนตภาเวน ปํสุกูลํ วิย ปํสุกูลํ, ปํสุ วิย วา กุจฺฉิตภาวํ อุลติ คจฺฉตีติ ปํสุกูลํ, ตสฺส ธารณํ อิธ ปํสุกูลํ, ตํ สีลมสฺสาติ ปํสุกูลิโกฯ
61.Kāyakammaṃ disvāti idaṃ na kāyakammaṃ cakkhuviññeyyaṃ, kāyakammunā pana saha pavattaṃ oṭṭhaparipphandanaṃ bhākuṭikaraṇaṃ kāyaṅgādidassanaṃ kāyakammadassanaṃ viya hotīti katvā vuttaṃ. Vacīkammaṃ sutvāti etthāpi eseva nayo, tasmā kāyavikārajanakā dhammā ‘‘dissantī’’ti vuttā, vacīvikārajanakā ‘‘sūyantī’’ti. Tato eva ca te paccakkhakāle sammukhakāle dissanti nāma. Tirokkhakāle asammukhakāle sūyanti nāma. Anurūpato gahaṇaṃ anuggaho. Āraññikattanti tassa bhikkhuno dhutaguṇattānurūpato gaṇhāti. Tenāha ‘‘āraññikattaṃ anuggaṇhātī’’ti. Araññe nivāso assāti āraññiko. Pantaṃ pariyantaṃ dūrataraṃ senāsanaṃ assāti pantasenāsano. Taṃ pana atthamattena dassentena ‘‘pantasenāsane vasatī’’ti vuttaṃ. Bhikkhāsaṅkhātānaṃ piṇḍānaṃ pāto piṇḍāpāto, taṃ piṇḍapātaṃ uñchati gavesatīti piṇḍapātiko. Piṇḍāya patituṃ carituṃ vatametassāti vā piṇḍapāti, so eva piṇḍapātiko. Dānato avakhaṇḍanato apetaṃ apadānaṃ, saha apadānena sapadānaṃ, anavakhaṇḍanaṃ. Anugharaṃ caraṇasīlo sapadānacārī. Unnatabhāvena paṃsukūlaṃ viya paṃsukūlaṃ, paṃsu viya vā kucchitabhāvaṃ ulati gacchatīti paṃsukūlaṃ, tassa dhāraṇaṃ idha paṃsukūlaṃ, taṃ sīlamassāti paṃsukūliko.
ตีหิ การเณหิ ลูขํ เวทิตพฺพํ อคฺฆผสฺสวณฺณปริหานิโต อปํสุกูลมฺปิ, โก ปน วาโท ปํสุกูลนฺติ อธิปฺปาโยฯ ถูลทีฆสุตฺตเกนาติ ถูเลน โอลมฺพมาเนน ทีฆสุตฺตเกนฯ วเณฺณนาติ เอตฺถ ผเสฺสนปิ ปริหายตีติ วตฺตพฺพํฯ ตญฺหิ ตตฺถ ขรผสฺสมฺปิ โหติเยวาติฯ กสฺมา ปน ปาฬิยํ อารญฺญิกาทิคฺคหเณน จตฺตาโรว ธุตคุณา วุตฺตาติ? ปธานตฺตา, ตคฺคหเณเนว จ อิโต ปเรสมฺปิ สุขปริโภคตาย คหณสมฺภวโตฯ โย หิ อารญฺญิโก ปนฺตเสนาสโน, ตสฺส อโพฺภกาสิก-รุกฺขมูลิก-เนสชฺชิก-ยถาสนฺถติก-โสสานิกงฺคานิ สุปริปูรานิฯ โย จ ปิณฺฑปาติโก สปทานจารี จ, ตสฺส ปตฺตปิณฺฑิกขลุปจฺฉาภตฺติกเอกาสนิกงฺคานิฯ โย ปน ปํสุกูลิโก, ตสฺส เตจีวริกงฺคํ สุปริหรเมวาติฯ ปธานตฺตา หิ ภควตาปิ ‘‘กทาหํ นนฺทํ ปเสฺสยฺยํ, อารญฺญํ ปํสุกูลิก’’นฺติอาทินา (สํ. นิ. ๒.๒๔๒; เนตฺติ. ๑๐๐) ตตฺถ ตตฺถ อารญฺญิกาทโย เอว คยฺหนฺติฯ เอตฺตกาติ ปาฬิยํ อาคตานํ ปริจฺฉิชฺช คหณเมตํ, น เอตฺตกา สเพฺพปิ เอกสฺส เอกํสโต สมฺภวนฺติ, นาปิ เอตฺตกาเยว ปาปธมฺมา ปหาตพฺพาฯ น หิ มกฺขปฬาสาทีนํ อปฺปหีนภาเวปิ สพฺรหฺมจารี เนว สกฺกโรนฺติ…เป.… น ปูเชนฺตีติฯ
Tīhikāraṇehi lūkhaṃ veditabbaṃ agghaphassavaṇṇaparihānito apaṃsukūlampi, ko pana vādo paṃsukūlanti adhippāyo. Thūladīghasuttakenāti thūlena olambamānena dīghasuttakena. Vaṇṇenāti ettha phassenapi parihāyatīti vattabbaṃ. Tañhi tattha kharaphassampi hotiyevāti. Kasmā pana pāḷiyaṃ āraññikādiggahaṇena cattārova dhutaguṇā vuttāti? Padhānattā, taggahaṇeneva ca ito paresampi sukhaparibhogatāya gahaṇasambhavato. Yo hi āraññiko pantasenāsano, tassa abbhokāsika-rukkhamūlika-nesajjika-yathāsanthatika-sosānikaṅgāni suparipūrāni. Yo ca piṇḍapātiko sapadānacārī ca, tassa pattapiṇḍikakhalupacchābhattikaekāsanikaṅgāni. Yo pana paṃsukūliko, tassa tecīvarikaṅgaṃ supariharamevāti. Padhānattā hi bhagavatāpi ‘‘kadāhaṃ nandaṃ passeyyaṃ, āraññaṃ paṃsukūlika’’ntiādinā (saṃ. ni. 2.242; netti. 100) tattha tattha āraññikādayo eva gayhanti. Ettakāti pāḷiyaṃ āgatānaṃ paricchijja gahaṇametaṃ, na ettakā sabbepi ekassa ekaṃsato sambhavanti, nāpi ettakāyeva pāpadhammā pahātabbā. Na hi makkhapaḷāsādīnaṃ appahīnabhāvepi sabrahmacārī neva sakkaronti…pe… na pūjentīti.
ตมตฺถนฺติ ‘‘ยสฺส กสฺสจี’’ติอาทินา วุตฺตมตฺถํฯ อุปมาย ปากฎํ กโรโนฺตติ อนฺวยโต พฺยติเรกโต จ อุทาหรเณน วิภาเวโนฺตฯ อหิกุณปาทีนํ อติปฎิกูลชิคุจฺฉนียตา อติวิย ทุคฺคนฺธตายฯ สา จ อหีนํ ติขิณโกปตาย, กุกฺกุรมนุสฺสานํ โอทนกุมฺมาสูปจยตาย สรีรสฺส โหตีติ วทนฺติฯ อิเมสนฺติ อหิอาทีนํฯ วเฑฺฒตฺวาติ อุปรูปริ ขิปเนน รจิตํ กตฺวาฯ ตํ ปน วฑฺฒิตํ เตน จ ภาชนํ ปูริตํ โหตีติ อาห ‘‘วเฑฺฒตฺวา ปริปูเรตฺวา’’ติฯ ชนสฺส ทสฺสนโยคฺยํ ทสฺสนียํ ชญฺญํ, ตํ ปรมปริสุทฺธํ มโนหรญฺจ โหตีติ อาห ‘‘โจกฺขโจกฺข’’นฺติฯ อภินวนิวิฎฺฐา มหามาตา วธุกาฯ สา ปน ปุตฺตลาภโยคฺยตํ อุปาทาย มงฺคลวจเนน ‘‘ชนี’’ติ วุจฺจติ, ตสฺสา นิยฺยมานํ ปณฺณาการํ ชนิยา หรตีติ ชญฺญํฯ อุภยตฺถาติ อตฺถทฺวเยฯ ปุนรุตฺตนฺติ อาเมฑิตวจนมาหฯ น มนาปํ เอตสฺสาติ อมนาโป, ตสฺส ภาโว อมนาปตา, ตถาปวโตฺต จิตฺตุปฺปาโทติ อาห ‘‘อมนาปํ อิทนฺติ…เป.… อธิวจน’’นฺติฯ พุทฺธเวสตฺตา ลิงฺคสฺส ปริสุทฺธกํสปาติสทิสกาฯ กุณปรจนํ วิย อิจฺฉาวจเรหิ สนฺตานสฺส ภริตภาโวฯ โส ปน เตสํ อปฺปหีนตายาติ อาห ‘‘อิจฺฉาวจรานํ อปฺปหาน’’นฺติฯ
Tamatthanti ‘‘yassa kassacī’’tiādinā vuttamatthaṃ. Upamāya pākaṭaṃ karontoti anvayato byatirekato ca udāharaṇena vibhāvento. Ahikuṇapādīnaṃ atipaṭikūlajigucchanīyatā ativiya duggandhatāya. Sā ca ahīnaṃ tikhiṇakopatāya, kukkuramanussānaṃ odanakummāsūpacayatāya sarīrassa hotīti vadanti. Imesanti ahiādīnaṃ. Vaḍḍhetvāti uparūpari khipanena racitaṃ katvā. Taṃ pana vaḍḍhitaṃ tena ca bhājanaṃ pūritaṃ hotīti āha ‘‘vaḍḍhetvā paripūretvā’’ti. Janassa dassanayogyaṃ dassanīyaṃ jaññaṃ, taṃ paramaparisuddhaṃ manoharañca hotīti āha ‘‘cokkhacokkha’’nti. Abhinavaniviṭṭhā mahāmātā vadhukā. Sā pana puttalābhayogyataṃ upādāya maṅgalavacanena ‘‘janī’’ti vuccati, tassā niyyamānaṃ paṇṇākāraṃ janiyā haratīti jaññaṃ. Ubhayatthāti atthadvaye. Punaruttanti āmeḍitavacanamāha. Na manāpaṃ etassāti amanāpo, tassa bhāvo amanāpatā, tathāpavatto cittuppādoti āha ‘‘amanāpaṃ idanti…pe… adhivacana’’nti. Buddhavesattā liṅgassa parisuddhakaṃsapātisadisakā. Kuṇaparacanaṃ viya icchāvacarehi santānassa bharitabhāvo. So pana tesaṃ appahīnatāyāti āha ‘‘icchāvacarānaṃ appahāna’’nti.
๖๒. ‘‘เตน คามนฺตวิหารํ อนุคฺคณฺหาตี’’ติ วตฺตเพฺพ ‘‘อารญฺญิกตฺต’’นฺติ ปน โปตฺถเก ลิขิตํฯ น หิ สุกฺกปเกฺข ปาฬิยํ อารญฺญิกคฺคหณํ อตฺถิ, สติ จ อิจฺฉาวจรปฺปหาเน คามนฺตวิหาโร เอกเนฺตน น ปฎิกฺขิปิตโพฺพ, อิจฺฉิตโพฺพว ตาทิสานํ อุตฺตริมนุสฺสธมฺมปฎิจฺฉาทนโต ฯ ตถา หิ วกฺขติ ‘‘อปฺปิจฺฉตาสมุฎฺฐาเนหี’’ติอาทิฯ สาลิวรภตฺตรจนํ วิย อิจฺฉาวจรปฺปหานํ มนุญฺญภาวโต ติตฺติเหตุโต จฯ
62. ‘‘Tena gāmantavihāraṃ anuggaṇhātī’’ti vattabbe ‘‘āraññikatta’’nti pana potthake likhitaṃ. Na hi sukkapakkhe pāḷiyaṃ āraññikaggahaṇaṃ atthi, sati ca icchāvacarappahāne gāmantavihāro ekantena na paṭikkhipitabbo, icchitabbova tādisānaṃ uttarimanussadhammapaṭicchādanato . Tathā hi vakkhati ‘‘appicchatāsamuṭṭhānehī’’tiādi. Sālivarabhattaracanaṃ viya icchāvacarappahānaṃ manuññabhāvato tittihetuto ca.
๖๓. มํ ตนฺติ จ อุปโยควจนํ ปฎิ-สทฺทโยเคน, อโตฺถ ปน สมฺปทานเมวาติ อาห ‘‘มยฺหํ ตุยฺห’’นฺติ จฯ ‘‘สมเย’’ติ ภุมฺมเตฺถ ‘‘สมย’’นฺติ อุปโยควจนํฯ คิชฺฌกูฎปณฺฑวอิสิคิลิเวภารเวปุลฺลปพฺพตานํ วเสน สมนฺตโต คิริปริเกฺขเปนฯ ราชคเหติ สมีปเตฺถ ภุมฺมวจนนฺติ อาห ‘‘ตํ นิสฺสาย วิหรามี’’ติฯ
63.Maṃtanti ca upayogavacanaṃ paṭi-saddayogena, attho pana sampadānamevāti āha ‘‘mayhaṃ tuyha’’nti ca. ‘‘Samaye’’ti bhummatthe ‘‘samaya’’nti upayogavacanaṃ. Gijjhakūṭapaṇḍavaisigilivebhāravepullapabbatānaṃ vasena samantato giriparikkhepena. Rājagaheti samīpatthe bhummavacananti āha ‘‘taṃ nissāya viharāmī’’ti.
ปุราณยานการปุโตฺตติ ปุราเณ ปพฺพชิตโต ปุเพฺพ ยานการปุโตฺต ตถาปญฺญาโตฯ ชิมฺหนฺติ โคมุตฺตกุฎิลํฯ เตนาห ‘‘สปฺปคตมคฺคสทิส’’นฺติฯ โสติ ปณฺฑุปุโตฺตฯ อิตโรติ สมิติฯ จินฺติตฎฺฐานเมวาติ จินฺติตจินฺติตฎฺฐานเมว ตจฺฉติ, ตญฺจ โข น ตสฺส จิตฺตานุสาเรน, อถ โข อตฺตโน สุตฺตานุสาเรน ตจฺฉโนฺต ยานการปุโตฺตฯ จิตฺตนฺติ อตฺตโน จิเตฺตน มม จิตฺตํ ชานิตฺวา วิยฯ
Purāṇayānakāraputtoti purāṇe pabbajitato pubbe yānakāraputto tathāpaññāto. Jimhanti gomuttakuṭilaṃ. Tenāha ‘‘sappagatamaggasadisa’’nti. Soti paṇḍuputto. Itaroti samiti. Cintitaṭṭhānamevāti cintitacintitaṭṭhānameva tacchati, tañca kho na tassa cittānusārena, atha kho attano suttānusārena tacchanto yānakāraputto. Cittanti attano cittena mama cittaṃ jānitvā viya.
‘‘น สทฺธาย ปพฺพชิโต’’ติ อิมินาว กมฺมผลสทฺธาย อภาโว เนสํ ปกาสิโตติ อาห ‘‘อสฺสทฺธาติ พุทฺธธมฺมสเงฺฆสุ สทฺธาวิรหิตา’’ติฯ ปพฺพชิตานํ ชีวิกา อโตฺถ เอเตสนฺติ ชีวิกตฺถาฯ เตนาห ‘‘อิณภยาทีหี’’ติอาทิฯ เกราฎิกํ วุจฺจติ สาเฐยฺยํฯ สฐานํ คุณวาณิชกานํ กมฺมํ สาเฐยฺยนฺติ อาห ‘‘สาเฐยฺยญฺหี’’ติอาทิฯ ตุจฺฉสภาเวน มาโน นโฬ วิยาติ นโฬ, มานสงฺขาโต อุคฺคโต นโฬ เอเตสนฺติ อุนฺนฬาฯ เตนาห ‘‘อุฎฺฐิตตุจฺฉมานา’’ติฯ ลหุกตาย วา จปลาฯ ผรุสวจนตาย ขรวจนาฯ ติรจฺฉานกถาพหุลตาย นิรตฺถกวจนปลาปิโนฯ อสํวุตกมฺมทฺวาราติ อิทํ กมฺมทฺวาราทีนํ อสํวุตภาโว อุปฺปตฺติทฺวารานํ อสํวุตตาย เอว โหตีติ กตฺวา วุตฺตํฯ อถ วา ฉสุ อินฺทฺริเยสูติ นิมิเตฺต ภุมฺมํ, ฉสุ อินฺทฺริเยสุ นิมิตฺตภูเตสุ อสํวุตกมฺมทฺวาราติ อโตฺถฯ ยา มตฺตาติ โภชเน อยุตฺตปริเยสน-อยุตฺตปฎิคฺคหณ-อยุตฺตปริโภเค วเชฺชตฺวา ยุตฺตปริเยสน-ยุตฺตปฎิคฺคหณ-ยุตฺตปริโภคสงฺขาตา ยา มตฺตา อปฺปมเตฺตหิ ชานิตพฺพาฯ เตนาห ‘‘ยุตฺตตา’’ติฯ ชาคเรติ รตฺตินฺทิวํ อาวรณิเยหิ ธเมฺมหิ จิตฺตปริโสธนสงฺขาเต ชาคเรฯ เตสํ ชาคริตาย อธิสีลสิกฺขาย คารวรหิตานํ อิตรสิกฺขาสุ ปติฎฺฐา เอว นตฺถีติ ทเสฺสโนฺต ‘‘สิกฺขาปเทสุ พหุลคารวา น โหนฺตี’’ติ วตฺวา ตเมว คารวาภาวํ สรูเปน วิภาเวโนฺต ‘‘อาปตฺติวีติกฺกมพหุลา’’ติ อาหฯ
‘‘Na saddhāya pabbajito’’ti imināva kammaphalasaddhāya abhāvo nesaṃ pakāsitoti āha ‘‘assaddhāti buddhadhammasaṅghesu saddhāvirahitā’’ti. Pabbajitānaṃ jīvikā attho etesanti jīvikatthā. Tenāha ‘‘iṇabhayādīhī’’tiādi. Kerāṭikaṃ vuccati sāṭheyyaṃ. Saṭhānaṃ guṇavāṇijakānaṃ kammaṃ sāṭheyyanti āha ‘‘sāṭheyyañhī’’tiādi. Tucchasabhāvena māno naḷo viyāti naḷo, mānasaṅkhāto uggato naḷo etesanti unnaḷā. Tenāha ‘‘uṭṭhitatucchamānā’’ti. Lahukatāya vā capalā. Pharusavacanatāya kharavacanā. Tiracchānakathābahulatāya niratthakavacanapalāpino. Asaṃvutakammadvārāti idaṃ kammadvārādīnaṃ asaṃvutabhāvo uppattidvārānaṃ asaṃvutatāya eva hotīti katvā vuttaṃ. Atha vā chasu indriyesūti nimitte bhummaṃ, chasu indriyesu nimittabhūtesu asaṃvutakammadvārāti attho. Yā mattāti bhojane ayuttapariyesana-ayuttapaṭiggahaṇa-ayuttaparibhoge vajjetvā yuttapariyesana-yuttapaṭiggahaṇa-yuttaparibhogasaṅkhātā yā mattā appamattehi jānitabbā. Tenāha ‘‘yuttatā’’ti. Jāgareti rattindivaṃ āvaraṇiyehi dhammehi cittaparisodhanasaṅkhāte jāgare. Tesaṃ jāgaritāya adhisīlasikkhāya gāravarahitānaṃ itarasikkhāsu patiṭṭhā eva natthīti dassento ‘‘sikkhāpadesu bahulagāravā na hontī’’ti vatvā tameva gāravābhāvaṃ sarūpena vibhāvento ‘‘āpattivītikkamabahulā’’ti āha.
ปกติยาปิ สิทฺธาย รตนตฺตยสทฺธาย กมฺมผลสทฺธาย จ สทฺธาฯ ปิวนฺติ มเญฺญ ยถา ตํ ทฺรวภูตํ อมตํ ลทฺธาฯ ฆสนฺติ มเญฺญ ยถา ตํ พหลปิณฺฑิกสุธาโภชนํ ลทฺธาฯ อตฺตมนวาจํ นิจฺฉาเรนฺตา ‘‘สาธุ สาธู’’ติฯ ตเมว ปน สาธุการํ หทเย ฐเปตฺวา อพฺภนุโมทนฺตาฯ เอตฺถ จ อตฺตมนวาจานิจฺฉารณํ ปิวนสทิสํ กตฺวา วุตฺตํ พหิทฺธาภาวโต, มนสา อพฺภนุโมทนํ ปน อพฺภนฺตรภาวโต ฆสนสทิสํ วุตฺตํฯ สงฺขาทนโชฺฌหรณญฺหิ ฆสนนฺติฯ รสฺสญฺจ เอกวจนํ โหตีติ อาห ‘‘รเสฺส สติ สาริปุตฺตสฺส อุปริ โหตี’’ติฯ ทีฆญฺจ พหุวจนํ โหตีติ อาห ‘‘ทีเฆ สติ สพฺรหฺมจารีน’’นฺติฯ ‘‘อุปริ โหตี’’ติ อาเนตฺวา สมฺพโนฺธฯ อาลสิยพฺยสนาทีหีติ อาลสิเยน วา ญาติพฺยสนาทีหิ วาฯ ‘‘มหานาคาติ วุจฺจนฺตี’’ติ วตฺวา ตตฺถ การณํ วิภาเวโนฺต ‘‘ตตฺรา’’ติอาทิมาหฯ ตตฺถ ‘‘น คจฺฉนฺตีติ นาคา, น อาคจฺฉนฺตีติ นาคา, น อาคุํ กโรนฺตีติ นาคา’’ติ โย วิวิโธ วจนโตฺถ อิจฺฉิโต, ตํ วิจาเรตฺวา ทเสฺสตุํ ‘‘ฉนฺทาทีหี’’ติอาทิ วุตฺตํ, ตํ ปน เญยฺยาวโพธาย วจนโต อปฺปมตฺตการณํฯ
Pakatiyāpi siddhāya ratanattayasaddhāya kammaphalasaddhāya ca saddhā. Pivanti maññe yathā taṃ dravabhūtaṃ amataṃ laddhā. Ghasanti maññe yathā taṃ bahalapiṇḍikasudhābhojanaṃ laddhā. Attamanavācaṃ nicchārentā ‘‘sādhu sādhū’’ti. Tameva pana sādhukāraṃ hadaye ṭhapetvā abbhanumodantā. Ettha ca attamanavācānicchāraṇaṃ pivanasadisaṃ katvā vuttaṃ bahiddhābhāvato, manasā abbhanumodanaṃ pana abbhantarabhāvato ghasanasadisaṃ vuttaṃ. Saṅkhādanajjhoharaṇañhi ghasananti. Rassañca ekavacanaṃ hotīti āha ‘‘rasse sati sāriputtassa upari hotī’’ti. Dīghañca bahuvacanaṃ hotīti āha ‘‘dīghe sati sabrahmacārīna’’nti. ‘‘Upari hotī’’ti ānetvā sambandho. Ālasiyabyasanādīhīti ālasiyena vā ñātibyasanādīhi vā. ‘‘Mahānāgāti vuccantī’’ti vatvā tattha kāraṇaṃ vibhāvento ‘‘tatrā’’tiādimāha. Tattha ‘‘na gacchantīti nāgā, na āgacchantīti nāgā, na āguṃ karontīti nāgā’’ti yo vividho vacanattho icchito, taṃ vicāretvā dassetuṃ ‘‘chandādīhī’’tiādi vuttaṃ, taṃ pana ñeyyāvabodhāya vacanato appamattakāraṇaṃ.
สยเมว อาคุํ น กโรติ สพฺพถา มเคฺคน ปหีนอาคุตฺตาฯ โส กามโยคาทิเก สพฺพสํโยเค ทสวิธสํโยชนปฺปเภทานิ จ สพฺพพนฺธนานิ วิสชฺช ชหิตฺวา สพฺพตฺถ ยกฺขาทีสุ, สเพฺพสุ วา ภเวสุ เกนจิ สเงฺคน น สชฺชติ ตีหิ จ วิมุตฺตีหิ วิมุโตฺต, ตโต เอว อิฎฺฐาทีสุ ตาทิภาวปฺปตฺติยา ตาทิ, โส วุตฺตลกฺขเณน ตถตฺตา ตํสภาวตฺตา นาโค ปวุจฺจเตติ อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ เตนาห ‘‘เอวเมตฺถ อโตฺถ เวทิตโพฺพ’’ติฯ อเญฺญหิ ขีณาสวนาเคหิ อคฺคสาวกตฺตา คุณวิเสสโยคโต ปุชฺชตรา จ ปาสํสตรา จฯ สมํ อนุโมทิสุนฺติ อญฺญมญฺญสฺส สุภาสิตโต สมฺปฎิจฺฉเนน สมปฺปวตฺตโมทตาย สมํ สทิสํ อพฺภนุโมทิํสุฯ ตํ ปน สมนุโมทนํ ‘‘ตตฺถา’’ติอาทินา ปาฬิวเสเนว ทเสฺสติฯ
Sayameva āguṃ na karoti sabbathā maggena pahīnaāguttā. So kāmayogādike sabbasaṃyoge dasavidhasaṃyojanappabhedāni ca sabbabandhanāni visajja jahitvā sabbattha yakkhādīsu, sabbesu vā bhavesu kenaci saṅgena na sajjati tīhi ca vimuttīhi vimutto, tato eva iṭṭhādīsu tādibhāvappattiyā tādi, so vuttalakkhaṇena tathattā taṃsabhāvattā nāgo pavuccateti attho veditabbo. Tenāha ‘‘evamettha attho veditabbo’’ti. Aññehi khīṇāsavanāgehi aggasāvakattā guṇavisesayogato pujjatarā ca pāsaṃsatarā ca. Samaṃ anumodisunti aññamaññassa subhāsitato sampaṭicchanena samappavattamodatāya samaṃ sadisaṃ abbhanumodiṃsu. Taṃ pana samanumodanaṃ ‘‘tatthā’’tiādinā pāḷivaseneva dasseti.
สมฺมุติปรมตฺถเทสนากถาวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Sammutiparamatthadesanākathāvaṇṇanā niṭṭhitā.
อนงฺคณสุตฺตวณฺณนาย ลีนตฺถปฺปกาสนา สมตฺตาฯ
Anaṅgaṇasuttavaṇṇanāya līnatthappakāsanā samattā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / มชฺฌิมนิกาย • Majjhimanikāya / ๕. อนงฺคณสุตฺตํ • 5. Anaṅgaṇasuttaṃ
อฎฺฐกถา • Aṭṭhakathā / สุตฺตปิฎก (อฎฺฐกถา) • Suttapiṭaka (aṭṭhakathā) / มชฺฌิมนิกาย (อฎฺฐกถา) • Majjhimanikāya (aṭṭhakathā) / ๕. อนงฺคณสุตฺตวณฺณนา • 5. Anaṅgaṇasuttavaṇṇanā