Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / สารตฺถทีปนี-ฎีกา • Sāratthadīpanī-ṭīkā

    อานาปานสฺสติสมาธิกถาวณฺณนา

    Ānāpānassatisamādhikathāvaṇṇanā

    ๑๖๕. อรหตฺตปฺปตฺติยาติ อรหตฺตปฺปตฺติอตฺถายฯ อญฺญํ ปริยายนฺติ อรหตฺตาธิคมตฺถาย อญฺญมฺปิ การณํฯ อาจิกฺขโนฺตติ ปสํสาปุพฺพกํ เทเสโนฺต, ปสํสา จ ตตฺถ อภิรุจิชนเนน อุสฺสาหนตฺถาฯ ตญฺหิ สุตฺวา ภิกฺขู ‘‘ภควา อิมํ สมาธิํ อเนเกหิ อากาเรหิ ปสํสติ, สโนฺต กิรายํ สมาธิ ปณีโต จ อเสจนโก จ สุโข จ วิหาโร, ปาปธเมฺม จ ฐานโส อนฺตรธาเปตี’’ติ สญฺชาตาภิรุจิโน อุสฺสาหชาตา สกฺกจฺจํ อนุยุญฺชิตพฺพํ ปฎิปชฺชิตพฺพํ มญฺญนฺติฯ

    165.Arahattappattiyāti arahattappattiatthāya. Aññaṃ pariyāyanti arahattādhigamatthāya aññampi kāraṇaṃ. Ācikkhantoti pasaṃsāpubbakaṃ desento, pasaṃsā ca tattha abhirucijananena ussāhanatthā. Tañhi sutvā bhikkhū ‘‘bhagavā imaṃ samādhiṃ anekehi ākārehi pasaṃsati, santo kirāyaṃ samādhi paṇīto ca asecanako ca sukho ca vihāro, pāpadhamme ca ṭhānaso antaradhāpetī’’ti sañjātābhirucino ussāhajātā sakkaccaṃ anuyuñjitabbaṃ paṭipajjitabbaṃ maññanti.

    อตฺถโยชนกฺกมนฺติ อตฺถญฺจ โยชนกฺกมญฺจฯ ภควา อตฺตโน ปจฺจกฺขภูตํ สมาธิํ เทสนานุภาเวน เตสมฺปิ ภิกฺขูนํ อาสนฺนํ ปจฺจกฺขญฺจ กโรโนฺต สมฺปิณฺฑนวเสน ‘‘อยมฺปิ โข’’ติอาทิมาหฯ อสฺสาสปสฺสาสปริคฺคาหิกาติ ทีฆรสฺสาทิวิเสเสหิ สทฺธิํ อสฺสาสปสฺสาเส ปริจฺฉิชฺช คาหิกา, เต อารพฺภ ปวตฺตาติ อโตฺถฯ

    Atthayojanakkamanti atthañca yojanakkamañca. Bhagavā attano paccakkhabhūtaṃ samādhiṃ desanānubhāvena tesampi bhikkhūnaṃ āsannaṃ paccakkhañca karonto sampiṇḍanavasena ‘‘ayampi kho’’tiādimāha. Assāsapassāsapariggāhikāti dīgharassādivisesehi saddhiṃ assāsapassāse paricchijja gāhikā, te ārabbha pavattāti attho.

    อิทานิ ยถาวุตฺตมตฺถํ ปาฬิยา วิภาเวโนฺต อาห ‘‘วุตฺตเญฺหต’’นฺติอาทิฯ ตตฺถ โน ปสฺสาโส โน อสฺสาโสติ โส โสเยว อโตฺถ ปฎิเสเธน วิเสเสตฺวา วุโตฺตฯ อสฺสาสวเสนาติ อสฺสาสํ อารมฺมณํ กตฺวาติ วุตฺตํ โหติฯ ปสฺสาสวเสนาติ เอตฺถาปิ เอเสว นโยฯ อุปฎฺฐานํ สตีติ อสมฺมุสฺสนตาย ตเมว อสฺสาสํ ปสฺสาสญฺจ อุปคนฺตฺวา ฐานํ สติ นามาติ อโตฺถฯ เอตฺตาวตา อานาปาเนสุ สติ อานาปานสฺสตีติ อยมโตฺถ วุโตฺต โหติฯ อิทานิ สติวเสเนว ปุคฺคลํ นิทฺทิสิตุกาเมน ‘‘โย อสฺสสติ, ตสฺสุปฎฺฐาติ, โย ปสฺสสติ, ตสฺสุปฎฺฐาตี’’ติ วุตฺตํฯ โย อสฺสสติ, ตสฺส สติ อสฺสาสํ อุปคนฺตฺวา ติฎฺฐติฯ โย ปสฺสสติ, ตสฺส สติ ปสฺสาสํ อุปคนฺตฺวา ติฎฺฐตีติ อโตฺถฯ

    Idāni yathāvuttamatthaṃ pāḷiyā vibhāvento āha ‘‘vuttañheta’’ntiādi. Tattha no passāsono assāsoti so soyeva attho paṭisedhena visesetvā vutto. Assāsavasenāti assāsaṃ ārammaṇaṃ katvāti vuttaṃ hoti. Passāsavasenāti etthāpi eseva nayo. Upaṭṭhānaṃ satīti asammussanatāya tameva assāsaṃ passāsañca upagantvā ṭhānaṃ sati nāmāti attho. Ettāvatā ānāpānesu sati ānāpānassatīti ayamattho vutto hoti. Idāni sativaseneva puggalaṃ niddisitukāmena ‘‘yo assasati, tassupaṭṭhāti, yo passasati, tassupaṭṭhātī’’ti vuttaṃ. Yo assasati, tassa sati assāsaṃ upagantvā tiṭṭhati. Yo passasati, tassa sati passāsaṃ upagantvā tiṭṭhatīti attho.

    ยุโตฺตติ สมฺปยุโตฺตฯ อานาปานสฺสติยนฺติ อานาปานสฺสติยํ ปจฺจยภูตายนฺติ อโตฺถฯ ปุริมสฺมิญฺหิ อเตฺถ สมาธิสฺส สติยา สหชาตาทิปจฺจยภาโว วุโตฺต สมฺปยุตฺตวจนโต, ทุติยสฺมิํ ปน อุปนิสฺสยภาโวปิฯ อุปจารชฺฌานสหคตา หิ สติ อปฺปนาสมาธิสฺส อุปนิสฺสโย โหตีติ อุภยถาปิ สหชาตาทีนํ สตฺตนฺนมฺปิ ปจฺจยานํ วเสน ปจฺจยภาวํ ทเสฺสติฯ ‘‘ปุน จปรํ, อุทายิ, อกฺขาตา มยา สาวกานํ ปฎิปทา, ยถาปฎิปนฺนา เม สาวกา จตฺตาโร สติปฎฺฐาเน ภาเวนฺตี’’ติอาทีสุ (ม. นิ. ๒.๒๔๗) อุปฺปาทนวฑฺฒนเฎฺฐน ภาวนาติ วุจฺจตีติ ตทุภยวเสน อตฺถํ ทเสฺสโนฺต ‘‘ภาวิโตติ อุปฺปาทิโต วฑฺฒิโต จา’’ติ อาหฯ ตตฺถ ภาวํ วิชฺชมานตํ อิโต คโตติ ภาวิโต, อุปฺปาทิโต ปฎิลทฺธมโตฺตติ อโตฺถฯ อุปฺปโนฺน ปน ลทฺธาเสวโน ภาวิโต, ปคุณภาวํ อาปาทิโต วฑฺฒิโตติ อโตฺถฯ พหุลีกโตติ พหุลํ ปวตฺติโตฯ เตน อาวชฺชนาทิวสีภาวปฺปตฺติมาหฯ โย หิ วสีภาวํ อาปาทิโต, โส อิจฺฉิติจฺฉิตกฺขเณ สมาปชฺชิตพฺพโต ปุนปฺปุนํ ปวตฺติสฺสติฯ เตน วุตฺตํ ‘‘ปุนปฺปุนํ กโต’’ติฯ ยถา ‘‘อิเธว, ภิกฺขเว, สมโณ (ม. นิ. ๑.๑๓๙; อ. นิ. ๔.๒๔๑) วิวิเจฺจว กาเมหี’’ติ (ที. นิ. ๑.๒๒๖; สํ. นิ. ๒.๑๕๒) จ เอวมาทีสุ ปฐมปเท วุโตฺต เอว-สโทฺท ทุติยาทีสุปิ วุโตฺตเยว โหติ, เอวมิธาปีติ อาห ‘‘อุภยตฺถ เอว-สเทฺทน นิยโม เวทิตโพฺพ’’ติฯ

    Yuttoti sampayutto. Ānāpānassatiyanti ānāpānassatiyaṃ paccayabhūtāyanti attho. Purimasmiñhi atthe samādhissa satiyā sahajātādipaccayabhāvo vutto sampayuttavacanato, dutiyasmiṃ pana upanissayabhāvopi. Upacārajjhānasahagatā hi sati appanāsamādhissa upanissayo hotīti ubhayathāpi sahajātādīnaṃ sattannampi paccayānaṃ vasena paccayabhāvaṃ dasseti. ‘‘Puna caparaṃ, udāyi, akkhātā mayā sāvakānaṃ paṭipadā, yathāpaṭipannā me sāvakā cattāro satipaṭṭhāne bhāventī’’tiādīsu (ma. ni. 2.247) uppādanavaḍḍhanaṭṭhena bhāvanāti vuccatīti tadubhayavasena atthaṃ dassento ‘‘bhāvitoti uppādito vaḍḍhito cā’’ti āha. Tattha bhāvaṃ vijjamānataṃ ito gatoti bhāvito, uppādito paṭiladdhamattoti attho. Uppanno pana laddhāsevano bhāvito, paguṇabhāvaṃ āpādito vaḍḍhitoti attho. Bahulīkatoti bahulaṃ pavattito. Tena āvajjanādivasībhāvappattimāha. Yo hi vasībhāvaṃ āpādito, so icchiticchitakkhaṇe samāpajjitabbato punappunaṃ pavattissati. Tena vuttaṃ ‘‘punappunaṃ kato’’ti. Yathā ‘‘idheva, bhikkhave, samaṇo (ma. ni. 1.139; a. ni. 4.241) vivicceva kāmehī’’ti (dī. ni. 1.226; saṃ. ni. 2.152) ca evamādīsu paṭhamapade vutto eva-saddo dutiyādīsupi vuttoyeva hoti, evamidhāpīti āha ‘‘ubhayattha eva-saddena niyamo veditabbo’’ti.

    อุภยปทนิยเมน ลทฺธคุณํ ทเสฺสตุํ ‘‘อยํ หี’’ติอาทิ วุตฺตํฯ อสุภกมฺมฎฺฐานนฺติ อสุภารมฺมณํ ฌานมาหฯ ตญฺหิ อสุเภสุ โยคกมฺมภาวโต โยคิโน สุขวิเสสานํ การณภาวโต จ ‘‘อสุภกมฺมฎฺฐาน’’นฺติ วุจฺจติฯ เกวลนฺติ อิมินา อารมฺมณํ นิวเตฺตติฯ ปฎิเวธวเสนาติ ฌานปฎิเวธวเสนฯ ฌานญฺหิ ภาวนาวิเสเสน อิชฺฌนฺตํ อตฺตโน วิสยํ ปฎิวิชฺฌนฺตเมว ปวตฺตติ ยถาสภาวโต ปฎิวิชฺฌียติ จาติ ปฎิเวโธติ วุจฺจติฯ โอฬาริการมฺมณตฺตาติ พีภจฺฉารมฺมณตฺตาฯ ปฎิกูลารมฺมณตฺตาติ ชิคุจฺฉิตพฺพารมฺมณตฺตาฯ ปริยาเยนาติ การเณน เลสนฺตเรน วาฯ อารมฺมณสนฺตตายปีติ อนุกฺกเมน วิเจตพฺพตํ ปตฺตารมฺมณสฺส ปรมสุขุมตํ สนฺธายาหฯ สเนฺต หิ สนฺนิสิเนฺน อารมฺมเณ ปวตฺตมาโน ธโมฺม สยมฺปิ สนฺนิสิโนฺนว โหติฯ เตนาห – ‘‘สโนฺต วูปสโนฺต นิพฺพุโต’’ติ, นิพฺพุตสพฺพปริฬาโหติ อโตฺถฯ อารมฺมณสนฺตตาย ตทารมฺมณานํ ธมฺมานํ สนฺตตา โลกุตฺตรธมฺมารมฺมณาหิ ปจฺจเวกฺขณาหิ ทีเปตพฺพาฯ

    Ubhayapadaniyamena laddhaguṇaṃ dassetuṃ ‘‘ayaṃ hī’’tiādi vuttaṃ. Asubhakammaṭṭhānanti asubhārammaṇaṃ jhānamāha. Tañhi asubhesu yogakammabhāvato yogino sukhavisesānaṃ kāraṇabhāvato ca ‘‘asubhakammaṭṭhāna’’nti vuccati. Kevalanti iminā ārammaṇaṃ nivatteti. Paṭivedhavasenāti jhānapaṭivedhavasena. Jhānañhi bhāvanāvisesena ijjhantaṃ attano visayaṃ paṭivijjhantameva pavattati yathāsabhāvato paṭivijjhīyati cāti paṭivedhoti vuccati. Oḷārikārammaṇattāti bībhacchārammaṇattā. Paṭikūlārammaṇattāti jigucchitabbārammaṇattā. Pariyāyenāti kāraṇena lesantarena vā. Ārammaṇasantatāyapīti anukkamena vicetabbataṃ pattārammaṇassa paramasukhumataṃ sandhāyāha. Sante hi sannisinne ārammaṇe pavattamāno dhammo sayampi sannisinnova hoti. Tenāha – ‘‘santo vūpasanto nibbuto’’ti, nibbutasabbapariḷāhoti attho. Ārammaṇasantatāya tadārammaṇānaṃ dhammānaṃ santatā lokuttaradhammārammaṇāhi paccavekkhaṇāhi dīpetabbā.

    นาสฺส สนฺตปณีตภาวาวหํ กิญฺจิ เสจนนฺติ อเสจนโก, อเสจนกตฺตา อนาสิตฺตโก, อนาสิตฺตกตฺตา เอว อโพฺพกิโณฺณ อสมฺมิโสฺส ปริกมฺมาทินา, ตโตเยว ปาฎิเยโกฺก, วิสุํเยเวโก อาเวณิโก อสาธารโณฯ สพฺพเมตํ สรสโต เอว สนฺตภาวํ ทเสฺสตุํ วุตฺตํ, ปริกมฺมํ วา สนฺตภาวนิมิตฺตํฯ ปริกมฺมนฺติ จ กสิณกรณาทินิมิตฺตุปฺปาทปริโยสานํ, ตาทิสํ อิธ นตฺถีติ อธิปฺปาโยฯ ตทา หิ กมฺมฎฺฐานํ นิรสฺสาทตฺตา อสนฺตํ อปฺปณีตํ สิยาฯ อุปจาเรน วา นตฺถิ เอตฺถ สนฺตตาติ โยชนาฯ ยถา อุปจารกฺขเณ นีวรณวิคเมน องฺคปาตุภาเวน จ ปเรสํ สนฺตตา โหติ, น เอวมิมสฺสฯ อยํ ปน อาทิมนสิ…เป.… ปณีโต จาติ โยชนาฯ เกจีติ อุตฺตรวิหารวาสิเก สนฺธายาหฯ อนาสิตฺตโกติ อุปเสจเนน อนาสิตฺตโกฯ เตนาห ‘‘โอชวโนฺต’’ติ, โอชวนฺตสทิโสติ อโตฺถฯ มธุโรติ อิโฎฺฐฯ เจตสิกสุขปฺปฎิลาภสํวตฺตนํ ติกจตุกฺกชฺฌานวเสน อุเปกฺขาย วา สนฺตภาเวน สุขคติกตฺตา สเพฺพสมฺปิ วเสน เวทิตพฺพํฯ ฌานสมุฎฺฐานปณีตรูปผุฎสรีรตาวเสน ปน กายิกสุขปฺปฎิลาภสํวตฺตนํ ทฎฺฐพฺพํ, ตญฺจ โข ฌานโต วุฎฺฐิตกาเลฯ อิมสฺมิํ ปเกฺข อปฺปิตปฺปิตกฺขเณติ อิทํ เหตุมฺหิ ภุมฺมวจนํ ทฎฺฐพฺพํฯ

    Nāssa santapaṇītabhāvāvahaṃ kiñci secananti asecanako, asecanakattā anāsittako, anāsittakattā eva abbokiṇṇo asammisso parikammādinā, tatoyeva pāṭiyekko, visuṃyeveko āveṇiko asādhāraṇo. Sabbametaṃ sarasato eva santabhāvaṃ dassetuṃ vuttaṃ, parikammaṃ vā santabhāvanimittaṃ. Parikammanti ca kasiṇakaraṇādinimittuppādapariyosānaṃ, tādisaṃ idha natthīti adhippāyo. Tadā hi kammaṭṭhānaṃ nirassādattā asantaṃ appaṇītaṃ siyā. Upacārena vā natthi ettha santatāti yojanā. Yathā upacārakkhaṇe nīvaraṇavigamena aṅgapātubhāvena ca paresaṃ santatā hoti, na evamimassa. Ayaṃ pana ādimanasi…pe… paṇīto cāti yojanā. Kecīti uttaravihāravāsike sandhāyāha. Anāsittakoti upasecanena anāsittako. Tenāha ‘‘ojavanto’’ti, ojavantasadisoti attho. Madhuroti iṭṭho. Cetasikasukhappaṭilābhasaṃvattanaṃ tikacatukkajjhānavasena upekkhāya vā santabhāvena sukhagatikattā sabbesampi vasena veditabbaṃ. Jhānasamuṭṭhānapaṇītarūpaphuṭasarīratāvasena pana kāyikasukhappaṭilābhasaṃvattanaṃ daṭṭhabbaṃ, tañca kho jhānato vuṭṭhitakāle. Imasmiṃ pakkhe appitappitakkhaṇeti idaṃ hetumhi bhummavacanaṃ daṭṭhabbaṃ.

    อวิกฺขมฺภิเตติ ฌาเนน สกสนฺตานโต อนีหเฎ อปฺปหีเนฯ อโกสลฺลสมฺภูเตติ อโกสลฺลํ วุจฺจติ อวิชฺชา, ตโต สมฺภูเตฯ อวิชฺชาปุพฺพงฺคมา หิ สเพฺพ ปาปธมฺมาฯ ขเณเนวาติ อตฺตโน ปวตฺติกฺขเณเนวฯ อนฺตรธาเปตีติ เอตฺถ อนฺตรธาปนํ วินาสนํฯ ตํ ปน ฌานกตฺตุกสฺส อิธาธิเปฺปตตฺตา ปริยุฎฺฐานปฺปหานํ โหตีติ อาห ‘‘วิกฺขเมฺภตี’’ติฯ วูปสเมตีติ วิเสเสน อุปสเมติฯ วิเสเสน อุปสมนํ ปน สมฺมเทว อุปสมนํ โหตีติ อาห ‘‘สุฎฺฐุ อุปสเมตี’’ติฯ

    Avikkhambhiteti jhānena sakasantānato anīhaṭe appahīne. Akosallasambhūteti akosallaṃ vuccati avijjā, tato sambhūte. Avijjāpubbaṅgamā hi sabbe pāpadhammā. Khaṇenevāti attano pavattikkhaṇeneva. Antaradhāpetīti ettha antaradhāpanaṃ vināsanaṃ. Taṃ pana jhānakattukassa idhādhippetattā pariyuṭṭhānappahānaṃ hotīti āha ‘‘vikkhambhetī’’ti. Vūpasametīti visesena upasameti. Visesena upasamanaṃ pana sammadeva upasamanaṃ hotīti āha ‘‘suṭṭhu upasametī’’ti.

    นนุ จ อโญฺญปิ สมาธิ อตฺตโน ปวตฺติกฺขเณเนว ปฎิปกฺขธเมฺม อนฺตรธาเปติ วูปสเมติ, อถ กสฺมา อยเมว สมาธิ เอวํ วิเสเสตฺวา วุโตฺตติ? ปุพฺพภาคโต ปฎฺฐาย นานาวิตกฺกวูปสมนสพฺภาวโตฯ วุตฺตเญฺหตํ ‘‘อานาปานสฺสติ ภาเวตพฺพา วิตกฺกุปเจฺฉทายา’’ติ (อ. นิ. ๙.๑; อุทา. ๓๑)ฯ อปิจ ติกฺขปญฺญสฺส ญาณุตฺตรเสฺสตํ กมฺมฎฺฐานํ, ญาณุตฺตรสฺส จ กิเลสปฺปหานํ อิตเรหิ สาติสยํ ยถา สทฺธาธิมุเตฺตหิ ทิฎฺฐิปฺปตฺตสฺส, ตสฺมา อิมํ วิเสสํ สนฺธาย ‘‘ฐานโส อนฺตรธาเปติ วูปสเมตี’’ติ วุตฺตํฯ อถ วา นิมิตฺตปาตุภาเว สติ ขเณเนว องฺคปาตุภาวสพฺภาวโต อยเมว สมาธิ ‘‘ฐานโส อนฺตรธาเปติ วูปสเมตี’’ติ วุโตฺต ยถา ตํ มหโต อกาลเมฆสฺส อุฎฺฐิตสฺส ธารานิปาเต ขเณเนว ปถวิยํ รโชชลฺลสฺส วูปสโมฯ เตเนวาห ‘‘เสยฺยถาปิ, ภิกฺขเว, มหา อกาลเมโฆ อุฎฺฐิโต’’ติอาทิฯ สาสนิกสฺส ฌานภาวนา เยภุเยฺยน นิเพฺพธภาคิยาว โหตีติ อาห ‘‘นิเพฺพธภาคิยตฺตา’’ติฯ พุทฺธานํ ปน เอกํเสน นิเพฺพธภาคิยาว โหติฯ อิมเมว หิ กมฺมฎฺฐานํ ภาเวตฺวา สเพฺพปิ สมฺมาสมฺพุทฺธา สมฺมาสโมฺพธิํ อธิคจฺฉนฺติ, อริยมคฺคสฺส ปาทกภูโต อยํ สมาธิ อนุกฺกเมน วฑฺฒิตฺวา อริยมคฺคภาวํ อุปคโต วิย โหตีติ อาห ‘‘อนุปุเพฺพน อริยมคฺควุฑฺฒิปฺปโตฺต’’ติฯ อยํ ปนโตฺถ วิราคนิโรธปฎินิสฺสคฺคานุปสฺสนานํ วเสน สมฺมเทว ยุชฺชติฯ

    Nanu ca aññopi samādhi attano pavattikkhaṇeneva paṭipakkhadhamme antaradhāpeti vūpasameti, atha kasmā ayameva samādhi evaṃ visesetvā vuttoti? Pubbabhāgato paṭṭhāya nānāvitakkavūpasamanasabbhāvato. Vuttañhetaṃ ‘‘ānāpānassati bhāvetabbā vitakkupacchedāyā’’ti (a. ni. 9.1; udā. 31). Apica tikkhapaññassa ñāṇuttarassetaṃ kammaṭṭhānaṃ, ñāṇuttarassa ca kilesappahānaṃ itarehi sātisayaṃ yathā saddhādhimuttehi diṭṭhippattassa, tasmā imaṃ visesaṃ sandhāya ‘‘ṭhānaso antaradhāpeti vūpasametī’’ti vuttaṃ. Atha vā nimittapātubhāve sati khaṇeneva aṅgapātubhāvasabbhāvato ayameva samādhi ‘‘ṭhānaso antaradhāpeti vūpasametī’’ti vutto yathā taṃ mahato akālameghassa uṭṭhitassa dhārānipāte khaṇeneva pathaviyaṃ rajojallassa vūpasamo. Tenevāha ‘‘seyyathāpi, bhikkhave, mahā akālamegho uṭṭhito’’tiādi. Sāsanikassa jhānabhāvanā yebhuyyena nibbedhabhāgiyāva hotīti āha ‘‘nibbedhabhāgiyattā’’ti. Buddhānaṃ pana ekaṃsena nibbedhabhāgiyāva hoti. Imameva hi kammaṭṭhānaṃ bhāvetvā sabbepi sammāsambuddhā sammāsambodhiṃ adhigacchanti, ariyamaggassa pādakabhūto ayaṃ samādhi anukkamena vaḍḍhitvā ariyamaggabhāvaṃ upagato viya hotīti āha ‘‘anupubbena ariyamaggavuḍḍhippatto’’ti. Ayaṃ panattho virāganirodhapaṭinissaggānupassanānaṃ vasena sammadeva yujjati.

    กถนฺติ อิทํ ปุจฺฉนาการวิภาวนปทํ, ปุจฺฉา เจตฺถ กเถตุกมฺยตาวเสน อเญฺญสํ อสมฺภวโต, สา จ อุปริ เทสนํ อารุฬฺหานํ สเพฺพสํ ปการวิเสสานํ อามสนวเสนาติ อิมมตฺถํ ทเสฺสโนฺต ‘‘กถนฺติ…เป.… วิตฺถาเรตุกมฺยตาปุจฺฉา’’ติ อาหฯ กถํ พหุลีกโตติ เอตฺถาปิ อานาปานสฺสติสมาธีติ ปทํ อาเนตฺวา สมฺพนฺธิตพฺพํฯ ตตฺถ กถนฺติ อานาปานสฺสติสมาธิพหุลีการํ นานปฺปการโต วิตฺถาเรตุกมฺยตาปุจฺฉาฯ พหุลีกโต อานาปานสฺสติสมาธีติ ตถา ปุฎฺฐธมฺมนิทสฺสนนฺติ อิมมตฺถํ ‘‘เอเสว นโย’’ติ อิมินาเยว อติทิสฺสติฯ เหฎฺฐา ปปญฺจวเสน วุตฺตมตฺถํ สุขคฺคหณตฺถํ สงฺคเหตฺวา ทเสฺสโนฺต ‘‘อยํ ปเนตฺถ สเงฺขปโตฺถ’’ติ อาห, ปิณฺฑโตฺถติ วุตฺตํ โหติฯ

    Kathanti idaṃ pucchanākāravibhāvanapadaṃ, pucchā cettha kathetukamyatāvasena aññesaṃ asambhavato, sā ca upari desanaṃ āruḷhānaṃ sabbesaṃ pakāravisesānaṃ āmasanavasenāti imamatthaṃ dassento ‘‘kathanti…pe… vitthāretukamyatāpucchā’’ti āha. Kathaṃ bahulīkatoti etthāpi ānāpānassatisamādhīti padaṃ ānetvā sambandhitabbaṃ. Tattha kathanti ānāpānassatisamādhibahulīkāraṃ nānappakārato vitthāretukamyatāpucchā. Bahulīkato ānāpānassatisamādhīti tathā puṭṭhadhammanidassananti imamatthaṃ ‘‘eseva nayo’’ti imināyeva atidissati. Heṭṭhā papañcavasena vuttamatthaṃ sukhaggahaṇatthaṃ saṅgahetvā dassento ‘‘ayaṃ panettha saṅkhepattho’’ti āha, piṇḍatthoti vuttaṃ hoti.

    ตมตฺถนฺติ ตํ ‘‘กถํ ภาวิโต’’ติอาทินา ปุจฺฉาวเสน สเงฺขปโต วุตฺตมตฺถํฯ ‘‘อิธ ตถาคโต โลเก อุปฺปชฺชตี’’ติอาทีสุ (ม. นิ. ๑.๒๙๑; อ. นิ. ๓.๖๑) อิธ-สโทฺท โลกํ อุปาทาย วุโตฺตฯ ‘‘อิเธว ติฎฺฐมานสฺสา’’ติอาทีสุ (ที. นิ. ๒.๓๖๙) โอกาสํฯ ‘‘อิธาหํ, ภิกฺขเว, ภุตฺตาวี อสฺสํ ปวาริโต’’ติอาทีสุ (ม. นิ. ๑.๓๐) ปทปูรณมตฺตํฯ ‘‘อิธ ภิกฺขุ ธมฺมํ ปริยาปุณาตี’’ติอาทีสุ (อ. นิ. ๕.๗๓) ปน สาสนํฯ ‘‘อิธ, ภิกฺขเว, ภิกฺขู’’ติ อิธาปิ สาสนเมวาติ ทเสฺสโนฺต ‘‘ภิกฺขเว, อิมสฺมิํ สาสเน ภิกฺขู’’ติ วตฺวา ตเมวตฺถํ ปากฎํ กตฺวา ทเสฺสตุํ ‘‘อยํ หี’’ติอาทิมาหฯ ตตฺถ สพฺพปฺปการอานาปานสฺสติสมาธินิพฺพตฺตกสฺสาติ สพฺพปฺปการคฺคหณํ โสฬส ปกาเร สนฺธายฯ เต หิ อิมสฺมิํเยว สาสเนฯ พาหิรกา หิ ชานนฺตา อาทิโต จตุปฺปการเมว ชานนฺติฯ เตนาห ‘‘อญฺญสาสนสฺส ตถาภาวปฺปฎิเสธโน’’ติ, ยถาวุตฺตสฺส ปุคฺคลสฺส นิสฺสยภาวปฺปฎิเสธโนติ อโตฺถฯ เอเตน ‘‘อิธ, ภิกฺขเว’’ติ อิทํ อโนฺตคธเอว-สทฺทนฺติ ทเสฺสติฯ สนฺติ หิ เอกปทานิปิ อวธารณานิ ยถา วายุภโกฺขติฯ เตเนวาห ‘‘อิเธว, ภิกฺขเว, สมโณ’’ติอาทิฯ ปริปุณฺณสมณกรณธโมฺม หิ โย, โส สพฺพปฺปการอานาปานสฺสติสมาธินิพฺพตฺตโกฯ ปรปฺปวาทาติ ปเรสํ อญฺญติตฺถิยานํ นานปฺปการวาทา ติตฺถายตนานิฯ

    Tamatthanti taṃ ‘‘kathaṃ bhāvito’’tiādinā pucchāvasena saṅkhepato vuttamatthaṃ. ‘‘Idha tathāgato loke uppajjatī’’tiādīsu (ma. ni. 1.291; a. ni. 3.61) idha-saddo lokaṃ upādāya vutto. ‘‘Idheva tiṭṭhamānassā’’tiādīsu (dī. ni. 2.369) okāsaṃ. ‘‘Idhāhaṃ, bhikkhave, bhuttāvī assaṃ pavārito’’tiādīsu (ma. ni. 1.30) padapūraṇamattaṃ. ‘‘Idha bhikkhu dhammaṃ pariyāpuṇātī’’tiādīsu (a. ni. 5.73) pana sāsanaṃ. ‘‘Idha, bhikkhave, bhikkhū’’ti idhāpi sāsanamevāti dassento ‘‘bhikkhave, imasmiṃ sāsane bhikkhū’’ti vatvā tamevatthaṃ pākaṭaṃ katvā dassetuṃ ‘‘ayaṃ hī’’tiādimāha. Tattha sabbappakāraānāpānassatisamādhinibbattakassāti sabbappakāraggahaṇaṃ soḷasa pakāre sandhāya. Te hi imasmiṃyeva sāsane. Bāhirakā hi jānantā ādito catuppakārameva jānanti. Tenāha ‘‘aññasāsanassa tathābhāvappaṭisedhano’’ti, yathāvuttassa puggalassa nissayabhāvappaṭisedhanoti attho. Etena ‘‘idha, bhikkhave’’ti idaṃ antogadhaeva-saddanti dasseti. Santi hi ekapadānipi avadhāraṇāni yathā vāyubhakkhoti. Tenevāha ‘‘idheva, bhikkhave, samaṇo’’tiādi. Paripuṇṇasamaṇakaraṇadhammo hi yo, so sabbappakāraānāpānassatisamādhinibbattako. Parappavādāti paresaṃ aññatitthiyānaṃ nānappakāravādā titthāyatanāni.

    อรญฺญาทิกเสฺสว ภาวนานุรูปเสนาสนตํ ทเสฺสตุํ ‘‘อิมสฺส หี’’ติอาทิ วุตฺตํฯ ทุทฺทโม ทมถํ อนุปคโต โคโณ กูฎโคโณฯ ยถา ถเนหิ สพฺพโส ขีรํ น ปคฺฆรติ, เอวํ โทหปฎิพนฺธินี กูฎเธนุอสฺสาติ โคปสฺสฯ รูปสทฺทาทิเก ปฎิจฺจ อุปฺปชฺชนกอสฺสาโท รูปารมฺมณาทิรโสปุเพฺพ อาจิณฺณารมฺมณนฺติ ปพฺพชิตโต ปุเพฺพ, อนาทิมติ วา สํสาเร ปริจิตารมฺมณํฯ อุปจารวเสน อุปนิสีทติ, อปฺปนาวเสน อุปนิปชฺชตีติ โยเชตพฺพํฯ

    Araññādikasseva bhāvanānurūpasenāsanataṃ dassetuṃ ‘‘imassa hī’’tiādi vuttaṃ. Duddamo damathaṃ anupagato goṇo kūṭagoṇo. Yathā thanehi sabbaso khīraṃ na paggharati, evaṃ dohapaṭibandhinī kūṭadhenu. Assāti gopassa. Rūpasaddādike paṭicca uppajjanakaassādo rūpārammaṇādiraso. Pubbe āciṇṇārammaṇanti pabbajitato pubbe, anādimati vā saṃsāre paricitārammaṇaṃ. Upacāravasena upanisīdati, appanāvasena upanipajjatīti yojetabbaṃ.

    อิธาติ อิมสฺมิํ สาสเนฯ นิพเนฺธยฺยาติ พเนฺธยฺยฯ สติยาติ สมฺมเทว กมฺมฎฺฐานสลฺลกฺขณวสปฺปวตฺตาย สติยาฯ อารมฺมเณติ กมฺมฎฺฐานารมฺมเณฯ ทฬฺหนฺติ ถิรํ, ยถา สโตการิสฺส อุปจารปฺปนาเภโท สมาธิ อิชฺฌติ, ตถา ถามคตํ กตฺวาติ อโตฺถฯ

    Idhāti imasmiṃ sāsane. Nibandheyyāti bandheyya. Satiyāti sammadeva kammaṭṭhānasallakkhaṇavasappavattāya satiyā. Ārammaṇeti kammaṭṭhānārammaṇe. Daḷhanti thiraṃ, yathā satokārissa upacārappanābhedo samādhi ijjhati, tathā thāmagataṃ katvāti attho.

    มุทฺธภูตนฺติ สนฺตตาทิวิเสสคุณวนฺตตาย พุทฺธาทีหิ อริเยหิ สมาเสวิตภาวโต จ มุทฺธสทิสํ, อุตฺตมนฺติ อโตฺถฯ วิเสสาธิคมทิฎฺฐธมฺมสุขวิหารปทฎฺฐานนฺติ สเพฺพสํ พุทฺธานํ เอกจฺจานํ ปเจฺจกพุทฺธานํ พุทฺธสาวกานญฺจ วิเสสาธิคมสฺส เจว อญฺญกมฺมฎฺฐาเนน อธิคตวิเสสานํ ทิฎฺฐธมฺมสุขวิหารสฺส จ ปทฎฺฐานภูตํฯ วตฺถุวิชฺชาจริโย วิย ภควา โยคีนํ อนุรูปนิวาสฎฺฐานุปทิสฺสนโตฯ ภิกฺขุ ทีปิสทิโส อรเญฺญ เอกโก วิหริตฺวา ปฎิปกฺขนิมฺมถเนน อิจฺฉิตตฺถสาธนโตฯ ผลมุตฺตมนฺติ สามญฺญผลมาหฯ ปรกฺกมชวโยคฺคภูมินฺติ ภาวนุสฺสาหชวสฺส โยคฺคกรณภูมิภูตํฯ

    Muddhabhūtanti santatādivisesaguṇavantatāya buddhādīhi ariyehi samāsevitabhāvato ca muddhasadisaṃ, uttamanti attho. Visesādhigamadiṭṭhadhammasukhavihārapadaṭṭhānanti sabbesaṃ buddhānaṃ ekaccānaṃ paccekabuddhānaṃ buddhasāvakānañca visesādhigamassa ceva aññakammaṭṭhānena adhigatavisesānaṃ diṭṭhadhammasukhavihārassa ca padaṭṭhānabhūtaṃ. Vatthuvijjācariyo viya bhagavā yogīnaṃ anurūpanivāsaṭṭhānupadissanato. Bhikkhu dīpisadiso araññe ekako viharitvā paṭipakkhanimmathanena icchitatthasādhanato. Phalamuttamanti sāmaññaphalamāha. Parakkamajavayoggabhūminti bhāvanussāhajavassa yoggakaraṇabhūmibhūtaṃ.

    เอวํ วุตฺตลกฺขเณสูติ อภิธมฺมปริยาเยน สุตฺตนฺตปริยาเยน วุตฺตลกฺขเณสุฯ รุกฺขสมีปนฺติ ‘‘ยาวตา มชฺฌนฺหิเก กาเล สมนฺตา ฉายา ผรติ, นิวาเต ปณฺณานิ ปตนฺติ, เอตฺตาวตา รุกฺขมูลนฺติ วุจฺจตี’’ติ เอวํ วุตฺตํ รุกฺขสฺส สมีปฎฺฐานํฯ อวเสสสตฺตวิธเสนาสนนฺติ ปพฺพตํ กนฺทรํ คิริคุหํ สุสานํ วนปฺปตฺถํ อโพฺภกาสํ ปลาลปุญฺชนฺติ เอวํ วุตฺตํฯ อุตุตฺตยานุกูลํ ธาตุจริยานุกูลนฺติ คิมฺหาทิอุตุตฺตยสฺส เสมฺหาทิธาตุตฺตยสฺส โมหาทิจริตตฺตยสฺส จ อนุกูลํฯ ตถา หิ คิมฺหกาเล อรญฺญํ อนุกูลํ โสมฺมสีตลภาวโต, เหมเนฺต รุกฺขมูลํ หิมปาตนิวารณโต, วสฺสกาเล สุญฺญาคารํ วสฺสนิวารณเคหสมฺภวโตฯ เสมฺหธาตุกสฺส เสมฺหปกติกสฺส อรญฺญํ อนุกูลํ ทูรํ คนฺตฺวา ภิกฺขาจรเณน เสมฺหสฺส วูปสมนโต, ปิตฺตธาตุกสฺส รุกฺขมูลํ อนุกูลํ สีตวาตสมฺผสฺสสมฺภวโต , วาตธาตุกสฺส สุญฺญาคารํ อนุกูลํ วาตนิวารณโตฯ โมหจริตสฺส อรญฺญํ อนุกูลํฯ มหาอรเญฺญ หิ จิตฺตํ น สงฺกุจติ วิวฎงฺคณภาวโต, โทสจริตสฺส รุกฺขมูลํ อนุกูลํ ปสาทนียภาวโต, ราคจริตสฺส สุญฺญาคารํ อนุกูลํ วิสภาคารมฺมณานํ ปเวสนิวารณโตฯ อลีนานุทฺธจฺจปกฺขิกนฺติ อสโงฺกจาวิเกฺขปปกฺขิกํฯ สยนญฺหิ โกสชฺชปกฺขิกํ, ฐานจงฺกมนานิ อุทฺธจฺจปกฺขิกานิ, น เอวํ นิสชฺชาฯ ตโต เอว ตสฺสา สนฺตตาฯ นิสชฺชาย ทฬฺหภาวํ ปลฺลงฺกาภุชเนน, อสฺสาสปสฺสาสานํ ปวตฺตนสุขตํ อุปริมกายสฺส อุชุกฎฺฐปเนน, อารมฺมณปริคฺคหูปายํ ปริมุขํ สติยา ฐปเนน ทเสฺสโนฺตฯ

    Evaṃ vuttalakkhaṇesūti abhidhammapariyāyena suttantapariyāyena vuttalakkhaṇesu. Rukkhasamīpanti ‘‘yāvatā majjhanhike kāle samantā chāyā pharati, nivāte paṇṇāni patanti, ettāvatā rukkhamūlanti vuccatī’’ti evaṃ vuttaṃ rukkhassa samīpaṭṭhānaṃ. Avasesasattavidhasenāsananti pabbataṃ kandaraṃ giriguhaṃ susānaṃ vanappatthaṃ abbhokāsaṃ palālapuñjanti evaṃ vuttaṃ. Ututtayānukūlaṃ dhātucariyānukūlanti gimhādiututtayassa semhādidhātuttayassa mohādicaritattayassa ca anukūlaṃ. Tathā hi gimhakāle araññaṃ anukūlaṃ sommasītalabhāvato, hemante rukkhamūlaṃ himapātanivāraṇato, vassakāle suññāgāraṃ vassanivāraṇagehasambhavato. Semhadhātukassa semhapakatikassa araññaṃ anukūlaṃ dūraṃ gantvā bhikkhācaraṇena semhassa vūpasamanato, pittadhātukassa rukkhamūlaṃ anukūlaṃ sītavātasamphassasambhavato , vātadhātukassa suññāgāraṃ anukūlaṃ vātanivāraṇato. Mohacaritassa araññaṃ anukūlaṃ. Mahāaraññe hi cittaṃ na saṅkucati vivaṭaṅgaṇabhāvato, dosacaritassa rukkhamūlaṃ anukūlaṃ pasādanīyabhāvato, rāgacaritassa suññāgāraṃ anukūlaṃ visabhāgārammaṇānaṃ pavesanivāraṇato. Alīnānuddhaccapakkhikanti asaṅkocāvikkhepapakkhikaṃ. Sayanañhi kosajjapakkhikaṃ, ṭhānacaṅkamanāni uddhaccapakkhikāni, na evaṃ nisajjā. Tato eva tassā santatā. Nisajjāya daḷhabhāvaṃ pallaṅkābhujanena, assāsapassāsānaṃ pavattanasukhataṃ uparimakāyassa ujukaṭṭhapanena, ārammaṇapariggahūpāyaṃ parimukhaṃ satiyā ṭhapanena dassento.

    อูรุพทฺธาสนนฺติ อูรูนมโธพนฺธนวเสน นิสชฺชาฯ เหฎฺฐิมกายสฺส อนุชุกํ ฐปนํ นิสชฺชาวจเนเนว โพธิตนฺติฯ อุชุํ กายนฺติ เอตฺถ กาย-สโทฺท อุปริมกายวิสโยติ อาห – ‘‘อุปริมํ สรีรํ อุชุกํ ฐเปตฺวา’’ติฯ ตํ ปน อุชุกฎฺฐปนํ สรูปโต ปโยชนโต จ ทเสฺสตุํ ‘‘อฎฺฐารสา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ น ปณมนฺตีติ น โอณมนฺติฯ น ปริปตตีติ น วิคจฺฉติ วีถิํ น วิลเงฺฆติ, ตโต เอว ปุเพฺพนาปรํ วิเสสุปฺปตฺติยา วุฑฺฒิํ ผาติํ อุปคจฺฉติฯ อิธ ปริ-สโทฺท อภิ-สเทฺทน สมานโตฺถติ อาห ‘‘กมฺมฎฺฐานาภิมุข’’นฺติ, พหิทฺธา ปุถุตฺตารมฺมณโต นิวาเรตฺวา กมฺมฎฺฐานํเยว ปุรกฺขตฺวาติ อโตฺถฯ ปรีติ ปริคฺคหโฎฺฐ ‘‘ปริณายิกา’’ติอาทีสุ (ธ. ส. ๑๖, ๒๐) วิยฯ นิยฺยานโฎฺฐ ปฎิปกฺขโต นิคฺคมนโฎฺฐ, ตสฺมา ปริคฺคหิตนิยฺยานนฺติ สพฺพถา คหิตาสโมฺมสํ ปริจฺจตฺตสโมฺมสํ สติํ กตฺวา, ปรมํ สติเนปกฺกํ อุปฎฺฐเปตฺวาติ อโตฺถฯ สโตวาติ สติยา สมนฺนาคโต เอว สรโนฺต เอว อสฺสสติ, นาสฺส กาจิ สติวิรหิตา อสฺสาสปฺปวตฺติ โหตีติ อโตฺถฯ สโต ปสฺสสตีติ เอตฺถาปิ สโตว ปสฺสสตีติ เอว-สโทฺท อาเนตฺวา วตฺตโพฺพฯ สโตการีติ สโต เอว หุตฺวา สติยา เอว วา กาตพฺพสฺส กตฺตา, กรณสีโล วาฯ

    Ūrubaddhāsananti ūrūnamadhobandhanavasena nisajjā. Heṭṭhimakāyassa anujukaṃ ṭhapanaṃ nisajjāvacaneneva bodhitanti. Ujuṃ kāyanti ettha kāya-saddo uparimakāyavisayoti āha – ‘‘uparimaṃ sarīraṃ ujukaṃ ṭhapetvā’’ti. Taṃ pana ujukaṭṭhapanaṃ sarūpato payojanato ca dassetuṃ ‘‘aṭṭhārasā’’tiādi vuttaṃ. Na paṇamantīti na oṇamanti. Na paripatatīti na vigacchati vīthiṃ na vilaṅgheti, tato eva pubbenāparaṃ visesuppattiyā vuḍḍhiṃ phātiṃ upagacchati. Idha pari-saddo abhi-saddena samānatthoti āha ‘‘kammaṭṭhānābhimukha’’nti, bahiddhā puthuttārammaṇato nivāretvā kammaṭṭhānaṃyeva purakkhatvāti attho. Parīti pariggahaṭṭho ‘‘pariṇāyikā’’tiādīsu (dha. sa. 16, 20) viya. Niyyānaṭṭho paṭipakkhato niggamanaṭṭho, tasmā pariggahitaniyyānanti sabbathā gahitāsammosaṃ pariccattasammosaṃ satiṃ katvā, paramaṃ satinepakkaṃ upaṭṭhapetvāti attho. Satovāti satiyā samannāgato eva saranto eva assasati, nāssa kāci sativirahitā assāsappavatti hotīti attho. Sato passasatīti etthāpi satova passasatīti eva-saddo ānetvā vattabbo. Satokārīti sato eva hutvā satiyā eva vā kātabbassa kattā, karaṇasīlo vā.

    พาตฺติํสาย อากาเรหีติ จตูสุ จตุเกฺกสุ อาคตานิ ทีฆรสฺสาทีนิ โสฬส ปทานิ อสฺสาสปสฺสาสวเสน ทฺวิธา วิภชิตฺวา วุเตฺตหิ ทีฆมสฺสาสํ อาทิํ กตฺวา ปฎินิสฺสคฺคานุปสฺสิปสฺสาสปริยเนฺตหิ พาตฺติํสากาเรหิฯ ยทิ ‘‘สโตว อสฺสสติ, สโต ปสฺสสตี’’ติ เอตสฺส วิภเงฺค วุตฺตํ, อถ กสฺมา ‘‘อสฺสสติ ปสฺสสติ’’เจฺจว อวตฺวา ‘‘สโตการี’’ติ วุตฺตํ? เอกรสํ เทสนํ กาตุกามตายฯ ปฐมจตุเกฺก ปททฺวยเมว หิ วตฺตมานกาลวเสน อาคตํ, อิตรานิ อนาคตกาลวเสน, ตสฺมา เอกรสํ เทสนํ กาตุกามตาย สพฺพตฺถ ‘‘สโตการิ’’เจฺจว วุตฺตํฯ ทีฆํอสฺสาสวเสนาติ ทีฆอสฺสาสวเสน, วิภตฺติอโลปํ กตฺวา นิเทฺทโสฯ ทีฆนฺติ วา ภควตา วุตฺตอสฺสาสวเสนฯ จิตฺตสฺส เอกคฺคตํ อวิเกฺขปนฺติ วิเกฺขปสฺส ปฎิปกฺขภาวโต อวิเกฺขโปติ ลทฺธนามํ จิตฺตสฺส เอกคฺคภาวํ ปชานโต สติ อุปฎฺฐิตา อารมฺมณํ อุปคนฺตฺวา ฐิตา โหติฯ ตาย สติยา เตน ญาเณนาติ ยถาวุตฺตาย สติยา ยถาวุเตฺตน จ ญาเณนฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – ทีฆํ อสฺสาสํ อารมฺมณภูตํ อวิกฺขิตฺตจิตฺตสฺส อสโมฺมหโต วา สมฺปชานนฺตสฺส ตตฺถ สติ อุปฎฺฐิตาว โหติ, ตํ สมฺปชานนฺตสฺส อารมฺมณกรณวเสน อสโมฺมหวเสน วา สมฺปชญฺญํ, ตทธีนสติสมฺปชเญฺญน ตํสมงฺคี โยคาวจโร สโตการี นาม โหตีติฯ ปฎินิสฺสคฺคานุปสฺสี อสฺสาสวเสนาติ ปฎินิสฺสคฺคานุปสฺสี หุตฺวา อสฺสสนสฺส วเสนฯ ‘‘ปฎินิสฺสคฺคานุปสฺสิอสฺสาสวเสนา’’ติ วา ปาโฐ, ตสฺส ปฎินิสฺสคฺคานุปสฺสิโน อสฺสาสา ปฎินิสฺสคฺคานุปสฺสิอสฺสาสา, เตสํ วเสนาติ อโตฺถฯ

    Bāttiṃsāya ākārehīti catūsu catukkesu āgatāni dīgharassādīni soḷasa padāni assāsapassāsavasena dvidhā vibhajitvā vuttehi dīghamassāsaṃ ādiṃ katvā paṭinissaggānupassipassāsapariyantehi bāttiṃsākārehi. Yadi ‘‘satova assasati, sato passasatī’’ti etassa vibhaṅge vuttaṃ, atha kasmā ‘‘assasati passasati’’cceva avatvā ‘‘satokārī’’ti vuttaṃ? Ekarasaṃ desanaṃ kātukāmatāya. Paṭhamacatukke padadvayameva hi vattamānakālavasena āgataṃ, itarāni anāgatakālavasena, tasmā ekarasaṃ desanaṃ kātukāmatāya sabbattha ‘‘satokāri’’cceva vuttaṃ. Dīghaṃassāsavasenāti dīghaassāsavasena, vibhattialopaṃ katvā niddeso. Dīghanti vā bhagavatā vuttaassāsavasena. Cittassa ekaggataṃ avikkhepanti vikkhepassa paṭipakkhabhāvato avikkhepoti laddhanāmaṃ cittassa ekaggabhāvaṃ pajānato sati upaṭṭhitā ārammaṇaṃ upagantvā ṭhitā hoti. Tāya satiyā tena ñāṇenāti yathāvuttāya satiyā yathāvuttena ca ñāṇena. Idaṃ vuttaṃ hoti – dīghaṃ assāsaṃ ārammaṇabhūtaṃ avikkhittacittassa asammohato vā sampajānantassa tattha sati upaṭṭhitāva hoti, taṃ sampajānantassa ārammaṇakaraṇavasena asammohavasena vā sampajaññaṃ, tadadhīnasatisampajaññena taṃsamaṅgī yogāvacaro satokārī nāma hotīti. Paṭinissaggānupassī assāsavasenāti paṭinissaggānupassī hutvā assasanassa vasena. ‘‘Paṭinissaggānupassiassāsavasenā’’ti vā pāṭho, tassa paṭinissaggānupassino assāsā paṭinissaggānupassiassāsā, tesaṃ vasenāti attho.

    อโนฺต อุฎฺฐิตสสนํ อสฺสาโส, พหิ อุฎฺฐิตสสนํ ปสฺสาโสติ อาห – ‘‘อสฺสาโสติ พหินิกฺขมนวาโต’’ติอาทิฯ สุตฺตนฺตฎฺฐกถายํ ปน พหิ อุฎฺฐหิตฺวาปิ อโนฺต สสนโต อสฺสาโส, อโนฺต อุฎฺฐหิตฺวาปิ พหิ สสนโต ปสฺสาโสติ กตฺวา อุปฺปฎิปาฎิยา วุตฺตํฯ อถ วา มาตุกุจฺฉิยํ พหิ นิกฺขมิตุํ อลโทฺธกาโส นาสิกาวาโต มาตุกุจฺฉิโต นิกฺขนฺตมเตฺต ปฐมํ พหิ นิกฺขมตีติ วินยฎฺฐกถายํ อุปฺปตฺติกฺกเมน ‘‘อาทิมฺหิ สาโส อสฺสาโส’’ติ พหินิกฺขมนวาโต วุโตฺตฯ เตเนวาห ‘‘สเพฺพสมฺปิ คพฺภเสยฺยกาน’’นฺติอาทิฯ สุตฺตนฺตฎฺฐกถายํ ปน ปวตฺติยํ ภาวนารมฺภสมเย ปฐมํ นาสิกาวาตสฺส อโนฺต อากฑฺฒิตฺวา ปจฺฉา พหิ วิสฺสชฺชนโต ปวตฺติกฺกเมน ‘‘อาทิมฺหิ สาโส อสฺสาโส’’ติ อโนฺตปวิสนวาโต วุโตฺตฯ สุตฺตนฺตนโยเยว เจตฺถ ‘‘อสฺสาสาทิมชฺฌปริโยสานํ สติยา อนุคจฺฉโต อชฺฌตฺตํ วิเกฺขปคเตน จิเตฺตน กาโยปิ จิตฺตมฺปิ สารทฺธา จ โหนฺติ อิญฺชิตา จ ผนฺทิตา จ, ปสฺสาสาทิมชฺฌปริโยสานํ สติยา อนุคจฺฉโต พหิทฺธา วิเกฺขปคเตน จิเตฺตน กาโยปิ จิตฺตมฺปิ สารทฺธา จ โหนฺติ อิญฺชิตา จ ผนฺทิตา จา’’ติ (ปฎิ. ม. ๑.๑๕๗) อิมาย ปาฬิยา สเมติฯ ‘‘ภาวนารเมฺภ ปวตฺติกฺกมเสฺสว อิจฺฉิตตฺตา สุนฺทรตโร’’ติ วทนฺติฯ ตาลุํ อาหจฺจ นิพฺพายตีติ ตาลุํ อาหจฺจ นิรุชฺฌติฯ เตน กิร สมฺปติชาโต พาลทารโก ขิปิตํ กโรติฯ เอวํ ตาวาติอาทิ ยถาวุตฺตสฺส อตฺถสฺส นิคมนํฯ เกจิ ‘‘เอวํ ตาวาติ อเนน ปวตฺติกฺกเมน อสฺสาโส พหินิกฺขมนวาโตติ คเหตพฺพนฺติ อธิปฺปาโย’’ติ วทนฺติฯ

    Anto uṭṭhitasasanaṃ assāso, bahi uṭṭhitasasanaṃ passāsoti āha – ‘‘assāsoti bahinikkhamanavāto’’tiādi. Suttantaṭṭhakathāyaṃ pana bahi uṭṭhahitvāpi anto sasanato assāso, anto uṭṭhahitvāpi bahi sasanato passāsoti katvā uppaṭipāṭiyā vuttaṃ. Atha vā mātukucchiyaṃ bahi nikkhamituṃ aladdhokāso nāsikāvāto mātukucchito nikkhantamatte paṭhamaṃ bahi nikkhamatīti vinayaṭṭhakathāyaṃ uppattikkamena ‘‘ādimhi sāso assāso’’ti bahinikkhamanavāto vutto. Tenevāha ‘‘sabbesampi gabbhaseyyakāna’’ntiādi. Suttantaṭṭhakathāyaṃ pana pavattiyaṃ bhāvanārambhasamaye paṭhamaṃ nāsikāvātassa anto ākaḍḍhitvā pacchā bahi vissajjanato pavattikkamena ‘‘ādimhi sāso assāso’’ti antopavisanavāto vutto. Suttantanayoyeva cettha ‘‘assāsādimajjhapariyosānaṃ satiyā anugacchato ajjhattaṃ vikkhepagatena cittena kāyopi cittampi sāraddhā ca honti iñjitā ca phanditā ca, passāsādimajjhapariyosānaṃ satiyā anugacchato bahiddhā vikkhepagatena cittena kāyopi cittampi sāraddhā ca honti iñjitā ca phanditā cā’’ti (paṭi. ma. 1.157) imāya pāḷiyā sameti. ‘‘Bhāvanārambhe pavattikkamasseva icchitattā sundarataro’’ti vadanti. Tāluṃ āhacca nibbāyatīti tāluṃ āhacca nirujjhati. Tena kira sampatijāto bāladārako khipitaṃ karoti. Evaṃ tāvātiādi yathāvuttassa atthassa nigamanaṃ. Keci ‘‘evaṃ tāvāti anena pavattikkamena assāso bahinikkhamanavātoti gahetabbanti adhippāyo’’ti vadanti.

    อทฺธานวเสนาติ กาลทฺธานวเสนฯ อยญฺหิ อทฺธาน-สโทฺท กาลสฺส เทสสฺส จ วาจโกติฯ ตตฺถ เทสทฺธานํ อุทาหรณภาเวน ทเสฺสตฺวา กาลทฺธานสฺส วเสน อสฺสาสปสฺสาสานํ ทีฆรสฺสตํ วิภาเวตุํ ‘‘ยถา หี’’ติอาทิ วุตฺตํฯ ตตฺถ โอกาสทฺธานนฺติ โอกาสภูตํ อทฺธานํฯ ผริตฺวาติ พฺยาเปตฺวาฯ จุณฺณวิจุณฺณาปิ อเนกกลาปภาเวน, ทีฆมทฺธานนฺติ ทีฆํ ปเทสํฯ ตสฺมาติ สณิกํ ปวตฺติยา ทีฆสนฺตานตาย ทีฆาติ วุจฺจนฺติฯ เอตฺถ จ หตฺถิอาทิสรีเร สุนขาทิสรีเร จ อสฺสาสปสฺสาสานํ เทสทฺธานวิสิเฎฺฐน กาลทฺธานวเสเนว ทีฆรสฺสตา วุตฺตาติ เวทิตพฺพา ‘‘สณิกํ ปูเรตฺวา สณิกเมว นิกฺขมนฺติ, สีฆํ ปูเรตฺวา สีฆเมว นิกฺขมนฺตี’’ติ วจนโตฯ มนุเสฺสสูติ สมานปฺปมาเณสุปิ มนุสฺสสรีเรสุฯ ทีฆํ อสฺสสนฺตีติ ทีฆํ อสฺสาสปฺปพนฺธํ ปวเตฺตนฺตีติ อโตฺถฯ ปสฺสสนฺตีติ เอตฺถาปิ เอเสว นโยฯ สุนขสสาทโย วิย รสฺสํ อสฺสสนฺติ ปสฺสสนฺติ จาติ โยชนาฯ อิทํ ปน ทีฆํ รสฺสญฺจ อสฺสสนํ ปสฺสสนญฺจ เตสํ สตฺตานํ สรีรสฺส สภาโวติ ทฎฺฐพฺพํฯ เตสนฺติ เตสํ สตฺตานํฯ เตติ อสฺสาสปสฺสาสาฯ อิตฺตรมทฺธานนฺติ อปฺปกํ กาลํฯ นวหากาเรหีติ ภาวนมนุยุญฺชนฺตสฺส ปุเพฺพนาปรํ อลทฺธวิเสสสฺส เกวลํ อทฺธานวเสน อาทิโต วุตฺตา ตโย อาการา, เต จ โข เอกโจฺจ อสฺสาสํ สุฎฺฐุ สลฺลเกฺขติ, เอกโจฺจ ปสฺสาสํ, เอกโจฺจ ตทุภยนฺติ อิเมสํ ติณฺณํ ปุคฺคลานํ วเสนฯ เกจิ ปน ‘‘อสฺสสติปิ ปสฺสสติปีติ เอกชฺฌํ วจนํ ภาวนาย นิรนฺตรํ ปวตฺติทสฺสนตฺถ’’นฺติ วทนฺติฯ ฉนฺทวเสน ปุเพฺพ วิย ตโย, ตถา ปาโมชฺชวเสนาติ อิเมหิ นวหิ อากาเรหิฯ

    Addhānavasenāti kāladdhānavasena. Ayañhi addhāna-saddo kālassa desassa ca vācakoti. Tattha desaddhānaṃ udāharaṇabhāvena dassetvā kāladdhānassa vasena assāsapassāsānaṃ dīgharassataṃ vibhāvetuṃ ‘‘yathā hī’’tiādi vuttaṃ. Tattha okāsaddhānanti okāsabhūtaṃ addhānaṃ. Pharitvāti byāpetvā. Cuṇṇavicuṇṇāpi anekakalāpabhāvena, dīghamaddhānanti dīghaṃ padesaṃ. Tasmāti saṇikaṃ pavattiyā dīghasantānatāya dīghāti vuccanti. Ettha ca hatthiādisarīre sunakhādisarīre ca assāsapassāsānaṃ desaddhānavisiṭṭhena kāladdhānavaseneva dīgharassatā vuttāti veditabbā ‘‘saṇikaṃ pūretvā saṇikameva nikkhamanti, sīghaṃ pūretvā sīghameva nikkhamantī’’ti vacanato. Manussesūti samānappamāṇesupi manussasarīresu. Dīghaṃ assasantīti dīghaṃ assāsappabandhaṃ pavattentīti attho. Passasantīti etthāpi eseva nayo. Sunakhasasādayo viya rassaṃ assasanti passasanti cāti yojanā. Idaṃ pana dīghaṃ rassañca assasanaṃ passasanañca tesaṃ sattānaṃ sarīrassa sabhāvoti daṭṭhabbaṃ. Tesanti tesaṃ sattānaṃ. Teti assāsapassāsā. Ittaramaddhānanti appakaṃ kālaṃ. Navahākārehīti bhāvanamanuyuñjantassa pubbenāparaṃ aladdhavisesassa kevalaṃ addhānavasena ādito vuttā tayo ākārā, te ca kho ekacco assāsaṃ suṭṭhu sallakkheti, ekacco passāsaṃ, ekacco tadubhayanti imesaṃ tiṇṇaṃ puggalānaṃ vasena. Keci pana ‘‘assasatipi passasatipīti ekajjhaṃ vacanaṃ bhāvanāya nirantaraṃ pavattidassanattha’’nti vadanti. Chandavasena pubbe viya tayo, tathā pāmojjavasenāti imehi navahi ākārehi.

    กามเญฺจตฺถ เอกสฺส ปุคฺคลสฺส ตโย เอว อาการา ลพฺภนฺติ, ตนฺติวเสน ปน สเพฺพสํ ปาฬิอารุฬฺหตฺตา เตสํ วเสน ปริกมฺมสฺส กาตพฺพตฺตา จ ‘‘ตตฺรายํ ภิกฺขุ นวหากาเรหี’’ติ วุตฺตํฯ เอวํ ปชานโตติ เอวํ ยถาวุเตฺตหิ อากาเรหิ อสฺสาสปสฺสาเส ปชานโต, ตตฺถ มนสิการํ ปวเตฺตนฺตสฺสฯ เอเกนากาเรนาติ ทีฆํอสฺสาสาทีสุ จตูสุ อากาเรสุ เอเกน อากาเรน, นวสุ ตีสุ วา เอเกนฯ ตถา หิ วกฺขติ –

    Kāmañcettha ekassa puggalassa tayo eva ākārā labbhanti, tantivasena pana sabbesaṃ pāḷiāruḷhattā tesaṃ vasena parikammassa kātabbattā ca ‘‘tatrāyaṃbhikkhu navahākārehī’’ti vuttaṃ. Evaṃ pajānatoti evaṃ yathāvuttehi ākārehi assāsapassāse pajānato, tattha manasikāraṃ pavattentassa. Ekenākārenāti dīghaṃassāsādīsu catūsu ākāresu ekena ākārena, navasu tīsu vā ekena. Tathā hi vakkhati –

    ‘‘ทีโฆ รโสฺส จ อสฺสาโส,

    ‘‘Dīgho rasso ca assāso,

    ปสฺสาโสปิ จ ตาทิโส;

    Passāsopi ca tādiso;

    จตฺตาโร วณฺณา วตฺตนฺติ,

    Cattāro vaṇṇā vattanti,

    นาสิกเคฺคว ภิกฺขุโน’’ติฯ (ปารา. อฎฺฐ. ๒.๑๖๕);

    Nāsikaggeva bhikkhuno’’ti. (pārā. aṭṭha. 2.165);

    อยํ ภาวนา อสฺสาสปสฺสาสกายานุปสฺสนาติ กตฺวา วุตฺตํ ‘‘กายานุปสฺสนาสติปฎฺฐานภาวนา สมฺปชฺชตี’’ติฯ

    Ayaṃ bhāvanā assāsapassāsakāyānupassanāti katvā vuttaṃ ‘‘kāyānupassanāsatipaṭṭhānabhāvanā sampajjatī’’ti.

    อิทานิ ปาฬิวเสเนว เต นว อากาเร ภาวนาวิธิญฺจ ทเสฺสตุํ ‘‘ยถาหา’’ติอาทิ อารทฺธํฯ ตตฺถ ‘‘กถํ ปชานาตี’’ติ ปชานนวิธิํ กเถตุกมฺยตาย ปุจฺฉติฯ ทีฆํ อสฺสาสนฺติ วุตฺตลกฺขณํ ทีฆํ อสฺสาสํฯ อทฺธานสงฺขาเตติ อทฺธานนฺติ สงฺขํ คเต ทีเฆ กาเล, ทีฆํ ขณนฺติ อโตฺถฯ โกฎฺฐาสปริยาโย วา สงฺขาต-สโทฺท ‘‘เถยฺยสงฺขาต’’นฺติอาทีสุ วิย, ตสฺมา อทฺธานสงฺขาเตติ อทฺธานโกฎฺฐาเส เทสภาเคติ อโตฺถฯ ฉโนฺท อุปฺปชฺชตีติ ภาวนาย ปุเพฺพนาปรํ วิเสสํ อาวหนฺติยา ลทฺธสฺสาทตฺตา ตตฺถ สาติสโย กตฺตุกามตาลกฺขโณ กุสลจฺฉโนฺท อุปฺปชฺชติฯ ฉนฺทวเสนาติ ตถาปวตฺตฉนฺทสฺส วเสน วิเสสภาวนมนุยุญฺชนฺตสฺส กมฺมฎฺฐานํ วุฑฺฒิํ ผาติํ คเมนฺตสฺสฯ ตโต สุขุมตรนฺติ ยถาวุตฺตฉนฺทปฺปวตฺติยา ปุริมกโต สุขุมตรํฯ ภาวนาพเลน หิ ปฎิปฺปสฺสทฺธทรถปริฬาหตาย กายสฺส อสฺสาสปสฺสาสา สุขุมตรา หุตฺวา ปวตฺตนฺติฯ ปาโมชฺชํ อุปฺปชฺชตีติ อสฺสาสปสฺสาสานํ สุขุมตรภาเวน อารมฺมณสฺส สนฺตตรตาย กมฺมฎฺฐานสฺส จ วีถิปฺปฎิปนฺนตาย ภาวนาจิตฺตสหคโต ปโมโท ขุทฺทิกาทิเภทา ตรุณปีติ อุปฺปชฺชติฯ จิตฺตํ วิวตฺตตีติ อนุกฺกเมน อสฺสาสปสฺสาสานํ อติวิย สุขุมตรภาวปฺปตฺติยา อนุปฎฺฐหเน วิเจตพฺพาการปฺปเตฺตหิ เตหิ จิตฺตํ วินิวตฺตตีติ เกจิฯ ภาวนาพเลน ปน สุขุมตรภาวปฺปเตฺตสุ อสฺสาสปสฺสาเสสุ ตตฺถ ปฎิภาคนิมิเตฺต อุปฺปเนฺน ปกติอสฺสาสปสฺสาสโต จิตฺตํ นิวตฺตติฯ อุเปกฺขา สณฺฐาตีติ ตสฺมิํ ปฎิภาคนิมิเตฺต อุปจารปฺปนาเภเท สมาธิมฺหิ อุปฺปเนฺน ปุน ฌานนิพฺพตฺตนตฺถํ พฺยาปาราภาวโต อชฺฌุเปกฺขนํ โหติ, สา ปนายํ อุเปกฺขา ตตฺรมชฺฌตฺตุเปกฺขาติ เวทิตพฺพาฯ

    Idāni pāḷivaseneva te nava ākāre bhāvanāvidhiñca dassetuṃ ‘‘yathāhā’’tiādi āraddhaṃ. Tattha ‘‘kathaṃ pajānātī’’ti pajānanavidhiṃ kathetukamyatāya pucchati. Dīghaṃ assāsanti vuttalakkhaṇaṃ dīghaṃ assāsaṃ. Addhānasaṅkhāteti addhānanti saṅkhaṃ gate dīghe kāle, dīghaṃ khaṇanti attho. Koṭṭhāsapariyāyo vā saṅkhāta-saddo ‘‘theyyasaṅkhāta’’ntiādīsu viya, tasmā addhānasaṅkhāteti addhānakoṭṭhāse desabhāgeti attho. Chando uppajjatīti bhāvanāya pubbenāparaṃ visesaṃ āvahantiyā laddhassādattā tattha sātisayo kattukāmatālakkhaṇo kusalacchando uppajjati. Chandavasenāti tathāpavattachandassa vasena visesabhāvanamanuyuñjantassa kammaṭṭhānaṃ vuḍḍhiṃ phātiṃ gamentassa. Tato sukhumataranti yathāvuttachandappavattiyā purimakato sukhumataraṃ. Bhāvanābalena hi paṭippassaddhadarathapariḷāhatāya kāyassa assāsapassāsā sukhumatarā hutvā pavattanti. Pāmojjaṃ uppajjatīti assāsapassāsānaṃ sukhumatarabhāvena ārammaṇassa santataratāya kammaṭṭhānassa ca vīthippaṭipannatāya bhāvanācittasahagato pamodo khuddikādibhedā taruṇapīti uppajjati. Cittaṃ vivattatīti anukkamena assāsapassāsānaṃ ativiya sukhumatarabhāvappattiyā anupaṭṭhahane vicetabbākārappattehi tehi cittaṃ vinivattatīti keci. Bhāvanābalena pana sukhumatarabhāvappattesu assāsapassāsesu tattha paṭibhāganimitte uppanne pakatiassāsapassāsato cittaṃ nivattati. Upekkhā saṇṭhātīti tasmiṃ paṭibhāganimitte upacārappanābhede samādhimhi uppanne puna jhānanibbattanatthaṃ byāpārābhāvato ajjhupekkhanaṃ hoti, sā panāyaṃ upekkhā tatramajjhattupekkhāti veditabbā.

    อิเมหิ นวหิ อากาเรหีติ อิเมหิ ยถาวุเตฺตหิ นวหิ ปกาเรหิ ปวตฺตาฯ ทีฆํ อสฺสาสปสฺสาสา กาโยติ ทีฆาการา อสฺสาสปสฺสาสา จุณฺณวิจุณฺณาปิ สมูหเฎฺฐน กาโยฯ อสฺสาสปสฺสาเส นิสฺสาย อุปฺปนฺนนิมิตฺตมฺปิ เอตฺถ อสฺสาสปสฺสาสสามญฺญวเสน วุตฺตํฯ อุปฎฺฐานํ สตีติ ตํ อารมฺมณํ อุปคนฺตฺวา ติฎฺฐตีติ สติ อุปฎฺฐานํ นามฯ อนุปสฺสนา ญาณนฺติ สมถวเสน นิมิตฺตสฺส อนุปสฺสนา วิปสฺสนาวเสน อสฺสาสปสฺสาเส ตนฺนิสฺสยญฺจ กายํ ‘‘รูป’’นฺติ, จิตฺตํ ตํสมฺปยุตฺตธเมฺม จ ‘‘อรูป’’นฺติ ววตฺถเปตฺวา นามรูปสฺส อนุปสฺสนา จ ญาณํ ตตฺถ ยถาภูตาวโพโธฯ กาโย อุปฎฺฐานนฺติ โส กาโย อารมฺมณกรณวเสน อุปคนฺตฺวา สติ เอตฺถ ติฎฺฐตีติ อุปฎฺฐานํ นามฯ เอตฺถ จ ‘‘กาโย อุปฎฺฐาน’’นฺติ อิมินา อิตรกายสฺสปิ สงฺคโหติ ตถา วุตฺตํ สมฺมสนจารสฺสปิ อิธ อิจฺฉิตตฺตาฯ โน สตีติ โส กาโย สติ นาม น โหติฯ สติ อุปฎฺฐานเญฺจว สติ จ สรณเฎฺฐน อุปฎฺฐานเฎฺฐน จฯ ตาย สติยาติ ยถาวุตฺตาย สติยาฯ เตน ญาเณนาติ ยถาวุเตฺตเนว ญาเณนฯ ตํ กายนฺติ ตํ อสฺสาสปสฺสาสกายเญฺจว ตนฺนิสฺสยรูปกายญฺจฯ อนุปสฺสตีติ ฌานสมฺปยุตฺตญาเณน เจว วิปสฺสนาญาเณน จ อนุ อนุ ปสฺสติฯ เตน วุจฺจติ กาเย กายานุปสฺสนา สติปฎฺฐานภาวนาติ เตน อนุปสฺสเนน ยถาวุเตฺต กาเย อยํ กายานุปสฺสนาสติปฎฺฐานภาวนาติ วุจฺจติฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – ยา อยํ ยถาวุเตฺต อสฺสาสปสฺสาสกาเย ตสฺส นิสฺสยภูเต กรชกาเย จ กายเสฺสว อนุปสฺสนา อนุทกภูตาย มรีจิยา อุทกานุปสฺสนา วิย น อนิจฺจาทิสภาเว กาเย นิจฺจาทิภาวานุปสฺสนา, อถ โข ยถารหํ อนิจฺจทุกฺขานตฺตา สุภภาวเสฺสว อนุปสฺสนาฯ อถ วา กาเย ‘‘อหนฺติ วา, มมนฺติ วา, อิตฺถีติ วา, ปุริโส’’ติ วา คเหตพฺพสฺส กสฺสจิ อภาวโต ตาทิสํ อนนุปสฺสิตฺวา กายมตฺตเสฺสว อนุปสฺสนา กายานุปสฺสนา, ตาย กายานุปสฺสนาย สมฺปยุตฺตา สติเยว อุปฎฺฐานํ สติปฎฺฐานํ, ตสฺส ภาวนา วฑฺฒนา กายานุปสฺสนา สติปฎฺฐานภาวนาติฯ

    Imehi navahi ākārehīti imehi yathāvuttehi navahi pakārehi pavattā. Dīghaṃ assāsapassāsā kāyoti dīghākārā assāsapassāsā cuṇṇavicuṇṇāpi samūhaṭṭhena kāyo. Assāsapassāse nissāya uppannanimittampi ettha assāsapassāsasāmaññavasena vuttaṃ. Upaṭṭhānaṃ satīti taṃ ārammaṇaṃ upagantvā tiṭṭhatīti sati upaṭṭhānaṃ nāma. Anupassanā ñāṇanti samathavasena nimittassa anupassanā vipassanāvasena assāsapassāse tannissayañca kāyaṃ ‘‘rūpa’’nti, cittaṃ taṃsampayuttadhamme ca ‘‘arūpa’’nti vavatthapetvā nāmarūpassa anupassanā ca ñāṇaṃ tattha yathābhūtāvabodho. Kāyo upaṭṭhānanti so kāyo ārammaṇakaraṇavasena upagantvā sati ettha tiṭṭhatīti upaṭṭhānaṃ nāma. Ettha ca ‘‘kāyo upaṭṭhāna’’nti iminā itarakāyassapi saṅgahoti tathā vuttaṃ sammasanacārassapi idha icchitattā. No satīti so kāyo sati nāma na hoti. Sati upaṭṭhānañceva sati ca saraṇaṭṭhena upaṭṭhānaṭṭhena ca. Tāya satiyāti yathāvuttāya satiyā. Tena ñāṇenāti yathāvutteneva ñāṇena. Taṃ kāyanti taṃ assāsapassāsakāyañceva tannissayarūpakāyañca. Anupassatīti jhānasampayuttañāṇena ceva vipassanāñāṇena ca anu anu passati. Tena vuccati kāye kāyānupassanā satipaṭṭhānabhāvanāti tena anupassanena yathāvutte kāye ayaṃ kāyānupassanāsatipaṭṭhānabhāvanāti vuccati. Idaṃ vuttaṃ hoti – yā ayaṃ yathāvutte assāsapassāsakāye tassa nissayabhūte karajakāye ca kāyasseva anupassanā anudakabhūtāya marīciyā udakānupassanā viya na aniccādisabhāve kāye niccādibhāvānupassanā, atha kho yathārahaṃ aniccadukkhānattā subhabhāvasseva anupassanā. Atha vā kāye ‘‘ahanti vā, mamanti vā, itthīti vā, puriso’’ti vā gahetabbassa kassaci abhāvato tādisaṃ ananupassitvā kāyamattasseva anupassanā kāyānupassanā, tāya kāyānupassanāya sampayuttā satiyeva upaṭṭhānaṃ satipaṭṭhānaṃ, tassa bhāvanā vaḍḍhanā kāyānupassanā satipaṭṭhānabhāvanāti.

    เอเสว นโยติ ‘‘นวหิ อากาเรหี’’ติอาทินา วุตฺตวิธิํ รสฺส-ปเท อติทิสฺสติฯ เอตฺถาติ เอตสฺมิํ ยถาทสฺสิเต ‘‘กถํ ทีฆํ อสฺสสโนฺต’’ติอาทินา อาคเต ปาฬินเยฯ อิธาติ อิมสฺมิํ รสฺสปทวเสน อาคเต ปาฬินเยฯ อยนฺติ โยคาวจโรฯ อทฺธานวเสนาติ ทีฆกาลวเสนฯ อิตฺตรวเสนาติ ปริตฺตกาลวเสนฯ อิเมหิ อากาเรหีติ อิเมหิ นวหิ อากาเรหิฯ

    Eseva nayoti ‘‘navahi ākārehī’’tiādinā vuttavidhiṃ rassa-pade atidissati. Etthāti etasmiṃ yathādassite ‘‘kathaṃ dīghaṃ assasanto’’tiādinā āgate pāḷinaye. Idhāti imasmiṃ rassapadavasena āgate pāḷinaye. Ayanti yogāvacaro. Addhānavasenāti dīghakālavasena. Ittaravasenāti parittakālavasena. Imehi ākārehīti imehi navahi ākārehi.

    ตาทิโสติ ทีโฆ รโสฺส จฯ จตฺตาโร วณฺณาติ จตฺตาโร อาการา เต จ ทีฆาทโย เอวฯ นาสิกเคฺคว ภิกฺขุโนติ คาถาสุขตฺถํ รสฺสํ กตฺวา วุตฺตํฯ นาสิกเคฺค วาติ วา-สโทฺท อนิยมโตฺถ, เตน อุตฺตโรฎฺฐํ สงฺคณฺหาติฯ

    Tādisoti dīgho rasso ca. Cattāro vaṇṇāti cattāro ākārā te ca dīghādayo eva. Nāsikaggeva bhikkhunoti gāthāsukhatthaṃ rassaṃ katvā vuttaṃ. Nāsikagge vāti -saddo aniyamattho, tena uttaroṭṭhaṃ saṅgaṇhāti.

    สพฺพกายปฺปฎิสํเวทีติ สพฺพสฺส กายสฺส ปฎิ ปฎิ ปเจฺจกํ สมฺมเทว เวทนสีโล ชานนสีโล, ตสฺส วา ปฎิ ปฎิ สมฺมเทว เวโท เอตสฺส อตฺถิ, ตํ วา ปฎิ ปฎิ สมฺมเทว เวทมาโนติ อโตฺถฯ ตตฺถ ตตฺถ สพฺพ-คฺคหเณน อสฺสาสาทิกายสฺส อนวเสสปริยาทาเน สิเทฺธปิ อเนกกลาปสมุทายภาวโต ตสฺส สเพฺพสมฺปิ ภาคานํ สํเวทนทสฺสนตฺถํ ปฎิ-สทฺทคฺคหณํ, ตตฺถ สกฺกจฺจการิภาวทสฺสนตฺถํ สํ-สทฺทคฺคหณนฺติ อิมมตฺถํ ทเสฺสโนฺต ‘‘สกลสฺสา’’ติอาทิมาหฯ ตตฺถ ยถา สมาเนสุปิ อสฺสาสปสฺสาเสสุ โยคิโน ปฎิปตฺติวิธาเน ปเจฺจกํ สกฺกจฺจํเยว ปฎิปชฺชิตพฺพนฺติ ทเสฺสตุํ วิสุํ เทสนา กตา, เอวํ ตเมวตฺถํ ทีเปตุํ สติปิ อตฺถสฺส สมานตาย ‘‘สกลสฺสา’’ติอาทินา ปททฺวยสฺส วิสุํ วิสุํ อตฺถวณฺณนา กตาติ เวทิตพฺพาฯ ปากฎํ กโรโนฺตติ วิภูตํ กโรโนฺต, สพฺพโส วิภาเวโนฺตติ อโตฺถฯ ปากฎีกรณํ วิภาวนํ ตตฺถ อสมฺมุยฺหนญาเณเนว เนสํ ปวตฺตเนน โหตีติ ทเสฺสโนฺต ‘‘เอวํ วิทิตํ กโรโนฺต’’ติอาทิมาห ฯ ตตฺถ ตสฺมาติ ยสฺมา ญาณสมฺปยุตฺตจิเตฺตเนว อสฺสาสปสฺสาเส ปวเตฺตติ, น วิปฺปยุตฺตจิเตฺตน, ตสฺมา เอวํภูโต สพฺพกายปฺปฎิสํเวที อสฺสสิสฺสามิ ปสฺสสิสฺสามีติ สิกฺขตีติ วุจฺจติ พุทฺธาทีหีติ โยชนาฯ จุณฺณวิจุณฺณวิสเฎติ อเนกกลาปตาย จุณฺณวิจุณฺณภาเวน วิสเฎฯ อาทิ ปากโฎ โหติ สติยา ญาณสฺส จ วเสน กตปุพฺพาภิสงฺขารสฺส ปวตฺตตฺตาฯ ตาทิเสน ภวิตพฺพนฺติ จตุตฺถปุคฺคลสทิเสน ภวิตพฺพํ, ปเคว สติํ ญาณญฺจ ปจฺจุปฎฺฐเปตฺวา ตีสุปิ ฐาเนสุ ญาณสมฺปยุตฺตเมว จิตฺตํ ปวเตฺตตพฺพนฺติ อธิปฺปาโยฯ

    Sabbakāyappaṭisaṃvedīti sabbassa kāyassa paṭi paṭi paccekaṃ sammadeva vedanasīlo jānanasīlo, tassa vā paṭi paṭi sammadeva vedo etassa atthi, taṃ vā paṭi paṭi sammadeva vedamānoti attho. Tattha tattha sabba-ggahaṇena assāsādikāyassa anavasesapariyādāne siddhepi anekakalāpasamudāyabhāvato tassa sabbesampi bhāgānaṃ saṃvedanadassanatthaṃ paṭi-saddaggahaṇaṃ, tattha sakkaccakāribhāvadassanatthaṃ saṃ-saddaggahaṇanti imamatthaṃ dassento ‘‘sakalassā’’tiādimāha. Tattha yathā samānesupi assāsapassāsesu yogino paṭipattividhāne paccekaṃ sakkaccaṃyeva paṭipajjitabbanti dassetuṃ visuṃ desanā katā, evaṃ tamevatthaṃ dīpetuṃ satipi atthassa samānatāya ‘‘sakalassā’’tiādinā padadvayassa visuṃ visuṃ atthavaṇṇanā katāti veditabbā. Pākaṭaṃ karontoti vibhūtaṃ karonto, sabbaso vibhāventoti attho. Pākaṭīkaraṇaṃ vibhāvanaṃ tattha asammuyhanañāṇeneva nesaṃ pavattanena hotīti dassento ‘‘evaṃ viditaṃ karonto’’tiādimāha . Tattha tasmāti yasmā ñāṇasampayuttacitteneva assāsapassāse pavatteti, na vippayuttacittena, tasmā evaṃbhūto sabbakāyappaṭisaṃvedī assasissāmi passasissāmīti sikkhatīti vuccati buddhādīhīti yojanā. Cuṇṇavicuṇṇavisaṭeti anekakalāpatāya cuṇṇavicuṇṇabhāvena visaṭe. Ādi pākaṭohoti satiyā ñāṇassa ca vasena katapubbābhisaṅkhārassa pavattattā. Tādisena bhavitabbanti catutthapuggalasadisena bhavitabbaṃ, pageva satiṃ ñāṇañca paccupaṭṭhapetvā tīsupi ṭhānesu ñāṇasampayuttameva cittaṃ pavattetabbanti adhippāyo.

    เอวนฺติ วุตฺตปฺปกาเรน สพฺพกายปฺปฎิสํเวทนวเสเนวฯ ฆฎตีติ อุสฺสหติฯ วายมตีติ วายามํ กโรติ, มนสิการํ ปวเตฺตตีติ อโตฺถฯ ตถาภูตสฺสาติ อานาปานสฺสติํ ภาเวนฺตสฺสฯ สํวโรติ สติ วีริยมฺปิ วาฯ ตาย สติยาติ ยา สา อานาปาเน อารพฺภ ปวตฺตา สติ, ตายฯ เตน มนสิกาเรนาติ โย โส ตตฺถ สติปุพฺพงฺคโม ภาวนามนสิกาโร, เตน สทฺธินฺติ อธิปฺปาโยฯ อาเสวตีติ ‘‘ติโสฺส สิกฺขาโย’’ติ วุเตฺต อธิกุสลธเมฺม อาเสวติฯ ตทาเสวนเญฺหตฺถ สิกฺขนนฺติ อธิเปฺปตํฯ ปุริมนเยติ ปุริมสฺมิํ ภาวนานเย, ปฐมวตฺถุทฺวเยติ อธิปฺปาโยฯ ตตฺถาปิ กามํ ญาณุปฺปาทนํ ลพฺภเตว อสฺสาสปสฺสาสานํ ยาถาวโต ทีฆรสฺสภาวาวโพธสพฺภาวโต, ตถาปิ ตํ น ทุกฺกรํ ยถาปวตฺตานํ เตสํ คหณมตฺตภาวโตติ ตตฺถ วตฺตมานกาลปฺปโยโค กโตฯ อิทํ ปน ทุกฺกรํ ปุริสสฺส ขุรธารายํ คมนสทิสํ, ตสฺมา สาติสเยเนตฺถ ปุพฺพาภิสงฺขาเรน ภวิตพฺพนฺติ ทีเปตุํ อนาคตกาลปฺปโยโค กโตติ อิมมตฺถํ ทเสฺสตุํ ‘‘ตตฺถ ยสฺมา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ ตตฺถ ญาณุปฺปาทนาทีสูติ อาทิ-สเทฺทน กายสงฺขารปสฺสมฺภนปีติปฎิสํเวทนาทิํ สงฺคณฺหาติฯ เกจิ ปเนตฺถ ‘‘สํวรสมาทานานํ สงฺคโห’’ติ วทนฺติฯ

    Evanti vuttappakārena sabbakāyappaṭisaṃvedanavaseneva. Ghaṭatīti ussahati. Vāyamatīti vāyāmaṃ karoti, manasikāraṃ pavattetīti attho. Tathābhūtassāti ānāpānassatiṃ bhāventassa. Saṃvaroti sati vīriyampi vā. Tāya satiyāti yā sā ānāpāne ārabbha pavattā sati, tāya. Tena manasikārenāti yo so tattha satipubbaṅgamo bhāvanāmanasikāro, tena saddhinti adhippāyo. Āsevatīti ‘‘tisso sikkhāyo’’ti vutte adhikusaladhamme āsevati. Tadāsevanañhettha sikkhananti adhippetaṃ. Purimanayeti purimasmiṃ bhāvanānaye, paṭhamavatthudvayeti adhippāyo. Tatthāpi kāmaṃ ñāṇuppādanaṃ labbhateva assāsapassāsānaṃ yāthāvato dīgharassabhāvāvabodhasabbhāvato, tathāpi taṃ na dukkaraṃ yathāpavattānaṃ tesaṃ gahaṇamattabhāvatoti tattha vattamānakālappayogo kato. Idaṃ pana dukkaraṃ purisassa khuradhārāyaṃ gamanasadisaṃ, tasmā sātisayenettha pubbābhisaṅkhārena bhavitabbanti dīpetuṃ anāgatakālappayogo katoti imamatthaṃ dassetuṃ ‘‘tattha yasmā’’tiādi vuttaṃ. Tattha ñāṇuppādanādīsūti ādi-saddena kāyasaṅkhārapassambhanapītipaṭisaṃvedanādiṃ saṅgaṇhāti. Keci panettha ‘‘saṃvarasamādānānaṃ saṅgaho’’ti vadanti.

    กายสงฺขารนฺติ อสฺสาสปสฺสาสํฯ โส หิ จิตฺตสมุฎฺฐาโนปิ สมาโน กรชกายปฎิพทฺธวุตฺติตาย เตน สงฺขรียตีติ กายสงฺขาโรติ วุจฺจติฯ โย ปน ‘‘กายสงฺขาโร วจีสงฺขาโร’’ติ (ม. นิ. ๑.๑๐๒) เอวมาคโต กายสงฺขาโร เจตนาลกฺขโณ สติปิ ทฺวารนฺตรุปฺปตฺติยํ เยภุยฺยวุตฺติยา ตพฺพหุลวุตฺติยา จ กายทฺวาเรน ลกฺขิโต, โส อิธ นาธิเปฺปโตฯ ปสฺสเมฺภโนฺตติอาทีสุ ปจฺฉิมํ ปจฺฉิมํ ปทํ ปุริมสฺส ปุริมสฺส อตฺถวจนํฯ ตสฺมา ปสฺสมฺภนํ นาม วูปสมนํ, ตญฺจ ตถาปโยเค อสติ อุปฺปชฺชนารหสฺส โอฬาริกสฺส กายสงฺขารสฺส ปโยคสมฺปตฺติยา อนุปฺปาทนนฺติ ทฎฺฐพฺพํ ฯ ตตฺราติ ‘‘โอฬาริกํ กายสงฺขารํ ปสฺสเมฺภโนฺต’’ติ เอตฺถฯ อปริคฺคหิตกาเลติ กมฺมฎฺฐานสฺส อนารทฺธกาเล, ตโต เอว กายจิตฺตานมฺปิ อปริคฺคหิตกาเลฯ ‘‘นิสีทติ ปลฺลงฺกํ อาภุชิตฺวา อุชุํ กายํ ปณิธายา’’ติ หิ อิมินา กายปริคฺคโห , ‘‘ปริมุขํ สติํ อุปฎฺฐเปตฺวา’’ติ อิมินา จิตฺตปริคฺคโห วุโตฺตฯ เตเนวาห – ‘‘กาโยปิ จิตฺตมฺปิ ปริคฺคหิตา โหนฺตี’’ติฯ กาโยติ กรชกาโยฯ สทรถาติ สปริฬาหาฯ สา จ เนสํ สทรถตา ครุภาเวน วิย โอฬาริกตาย อวินาภาวินีติ อาห ‘‘โอฬาริกา’’ติฯ พลวตราติ สพลา ถูลาฯ สนฺตา โหนฺตีติ จิตฺตํ ตาว พหิทฺธา วิเกฺขปาภาเวน เอกคฺคํ หุตฺวา กมฺมฎฺฐานํ ปริคฺคเหตฺวา ปวตฺตมานํ สนฺตํ โหติ วูปสนฺตํ, ตโต เอว ตํสมุฎฺฐานา รูปธมฺมา ลหุมุทุกมฺมญฺญภาวปฺปตฺตา, ตทนุคุณตาย เสสํ ติสนฺตติรูปนฺติ เอวํ จิเตฺต กาเย จ วูปสเนฺต ปวตฺตมาเน ตนฺนิสฺสิตา อสฺสาสปสฺสาสา สนฺตสภาวา อนุกฺกเมน สุขุมสุขุมตรสุขุมตมา หุตฺวา ปวตฺตนฺติฯ เตน วุตฺตํ ‘‘ยทา ปนสฺส กาโยปี’’ติอาทิฯ ปสฺสเมฺภมีติ ปฐมาวชฺชนาฯ อาภุชนํ อาโภโค, สมฺมา อนุ อนุ อาหรณํ สมนฺนาหาโร, ตสฺมิํเยว อเตฺถ อปราปรํ ปวตฺตอาวชฺชนา ตเสฺสว อตฺถสฺส มนสิกรณํ จิเตฺต ฐปนํ มนสิกาโร, วีมํสา ปจฺจเวกฺขณา

    Kāyasaṅkhāranti assāsapassāsaṃ. So hi cittasamuṭṭhānopi samāno karajakāyapaṭibaddhavuttitāya tena saṅkharīyatīti kāyasaṅkhāroti vuccati. Yo pana ‘‘kāyasaṅkhāro vacīsaṅkhāro’’ti (ma. ni. 1.102) evamāgato kāyasaṅkhāro cetanālakkhaṇo satipi dvārantaruppattiyaṃ yebhuyyavuttiyā tabbahulavuttiyā ca kāyadvārena lakkhito, so idha nādhippeto. Passambhentotiādīsu pacchimaṃ pacchimaṃ padaṃ purimassa purimassa atthavacanaṃ. Tasmā passambhanaṃ nāma vūpasamanaṃ, tañca tathāpayoge asati uppajjanārahassa oḷārikassa kāyasaṅkhārassa payogasampattiyā anuppādananti daṭṭhabbaṃ . Tatrāti ‘‘oḷārikaṃ kāyasaṅkhāraṃ passambhento’’ti ettha. Apariggahitakāleti kammaṭṭhānassa anāraddhakāle, tato eva kāyacittānampi apariggahitakāle. ‘‘Nisīdati pallaṅkaṃ ābhujitvā ujuṃ kāyaṃ paṇidhāyā’’ti hi iminā kāyapariggaho , ‘‘parimukhaṃ satiṃ upaṭṭhapetvā’’ti iminā cittapariggaho vutto. Tenevāha – ‘‘kāyopi cittampi pariggahitā hontī’’ti. Kāyoti karajakāyo. Sadarathāti sapariḷāhā. Sā ca nesaṃ sadarathatā garubhāvena viya oḷārikatāya avinābhāvinīti āha ‘‘oḷārikā’’ti. Balavatarāti sabalā thūlā. Santā hontīti cittaṃ tāva bahiddhā vikkhepābhāvena ekaggaṃ hutvā kammaṭṭhānaṃ pariggahetvā pavattamānaṃ santaṃ hoti vūpasantaṃ, tato eva taṃsamuṭṭhānā rūpadhammā lahumudukammaññabhāvappattā, tadanuguṇatāya sesaṃ tisantatirūpanti evaṃ citte kāye ca vūpasante pavattamāne tannissitā assāsapassāsā santasabhāvā anukkamena sukhumasukhumatarasukhumatamā hutvā pavattanti. Tena vuttaṃ ‘‘yadā panassa kāyopī’’tiādi. Passambhemīti paṭhamāvajjanā. Ābhujanaṃ ābhogo, sammā anu anu āharaṇaṃ samannāhāro, tasmiṃyeva atthe aparāparaṃ pavattaāvajjanā tasseva atthassa manasikaraṇaṃ citte ṭhapanaṃ manasikāro, vīmaṃsā paccavekkhaṇā.

    สารเทฺธติ สทรเถ สปริฬาเหฯ อธิมตฺตนฺติ พลวํ โอฬาริกํ, ลิงฺควิปลฺลาเสน วุตฺตํฯ กายสงฺขาโร หิ อธิเปฺปโตฯ ‘‘อธิมตฺตํ หุตฺวา ปวตฺตตี’’ติ กิริยาวิเสสนํ วา เอตํฯ สุขุมนฺติ เอตฺถาปิ เอเสว นโยฯ กายมฺหีติ เอตฺถ จิเตฺต จาติ อาเนตฺวา สมฺพนฺธิตพฺพํฯ

    Sāraddheti sadarathe sapariḷāhe. Adhimattanti balavaṃ oḷārikaṃ, liṅgavipallāsena vuttaṃ. Kāyasaṅkhāro hi adhippeto. ‘‘Adhimattaṃ hutvā pavattatī’’ti kiriyāvisesanaṃ vā etaṃ. Sukhumanti etthāpi eseva nayo. Kāyamhīti ettha citte cāti ānetvā sambandhitabbaṃ.

    ปฐมชฺฌานโต วุฎฺฐาย กริยมานํ ทุติยชฺฌานสฺส นานาวชฺชนํ ปริกมฺมํ ปฐมชฺฌานํ วิย ทูรสมุสฺสาริตปฎิปกฺขนฺติ กตฺวา ตํสมุฎฺฐาโน กายสงฺขาโร ปฐมชฺฌาเน จ ทุติยชฺฌานูปจาเร จ โอฬาริโกติ สทิโส วุโตฺตฯ เอส นโย เสสุปจารทฺวเยปิฯ อถ วา ทุติยชฺฌานาทีนํ อธิคมาย ปฎิปชฺชโต ทุกฺขาปฎิปทาทิวเสน กิลมโต โยคิโน กายกิลมถจิตฺตุปฆาตาทิวเสน วิตกฺกาทิสโงฺขเภน สปริปฺผนฺทตาย จ จิตฺตปฺปวตฺติยา ทุติยชฺฌานาทิอุปจาเรสุ กายสงฺขารสฺส โอฬาริกตา เวทิตพฺพาฯ อติสุขุโมติ อญฺญตฺถ ลพฺภมาโน กายสงฺขาโร จตุตฺถชฺฌาเน อติกฺกนฺตสุขุโมฯ สุขุมภาโวปิสฺส ตตฺถ นตฺถิ กุโต โอฬาริกตา อปฺปวตฺตนโตฯ เตนาห ‘‘อปฺปวตฺติเมว ปาปุณาตี’’ติฯ

    Paṭhamajjhānato vuṭṭhāya kariyamānaṃ dutiyajjhānassa nānāvajjanaṃ parikammaṃ paṭhamajjhānaṃ viya dūrasamussāritapaṭipakkhanti katvā taṃsamuṭṭhāno kāyasaṅkhāro paṭhamajjhāne ca dutiyajjhānūpacāre ca oḷārikoti sadiso vutto. Esa nayo sesupacāradvayepi. Atha vā dutiyajjhānādīnaṃ adhigamāya paṭipajjato dukkhāpaṭipadādivasena kilamato yogino kāyakilamathacittupaghātādivasena vitakkādisaṅkhobhena saparipphandatāya ca cittappavattiyā dutiyajjhānādiupacāresu kāyasaṅkhārassa oḷārikatā veditabbā. Atisukhumoti aññattha labbhamāno kāyasaṅkhāro catutthajjhāne atikkantasukhumo. Sukhumabhāvopissa tattha natthi kuto oḷārikatā appavattanato. Tenāha ‘‘appavattimeva pāpuṇātī’’ti.

    ลาภิสฺส สโต อนุปุพฺพสมาปตฺติสมาปชฺชนเวลํ เอกาสเนเนว วา สเพฺพสํ ฌานานํ ปฎิลาภํ สนฺธาย มชฺฌิมภาณกา เหฎฺฐิมเหฎฺฐิมชฺฌานโต อุปรูปริฌานูปจาเรปิ สุขุมตรํ อิจฺฉนฺติฯ ตตฺถ หิ โสปจารานํ ฌานานํ อุปรูปริ วิเสสวนฺตตา สนฺตตา จ สมฺภเวยฺย, เอกาวชฺชนูปจารํ วา สนฺธาย เอวํ วุตฺตํฯ เอวญฺหิ เหฎฺฐา วุตฺตวาเทน อิมสฺส วาทสฺส อวิโรโธ สิโทฺธ ภินฺนวิสยตฺตาฯ สเพฺพสํเยวาติ อุภเยสมฺปิฯ ยสฺมา เต สเพฺพปิ วุจฺจมาเนน วิธินา ปสฺสทฺธิมิจฺฉนฺติเยว ฯ อปริคฺคหิตกาเล ปวตฺตกายสงฺขาโร ปริคฺคหิตกาเล ปฎิปฺปสฺสมฺภตีติ อิทํ สทิสสนฺตานตาย วุตฺตํฯ น หิ เต เอว โอฬาริกา อสฺสาสาทโย สุขุมา โหนฺติฯ ปสฺสมฺภนากาโร ปน เตสํ เหฎฺฐา วุโตฺตเยวฯ

    Lābhissa sato anupubbasamāpattisamāpajjanavelaṃ ekāsaneneva vā sabbesaṃ jhānānaṃ paṭilābhaṃ sandhāya majjhimabhāṇakā heṭṭhimaheṭṭhimajjhānato uparūparijhānūpacārepi sukhumataraṃ icchanti. Tattha hi sopacārānaṃ jhānānaṃ uparūpari visesavantatā santatā ca sambhaveyya, ekāvajjanūpacāraṃ vā sandhāya evaṃ vuttaṃ. Evañhi heṭṭhā vuttavādena imassa vādassa avirodho siddho bhinnavisayattā. Sabbesaṃyevāti ubhayesampi. Yasmā te sabbepi vuccamānena vidhinā passaddhimicchantiyeva . Apariggahitakāle pavattakāyasaṅkhāro pariggahitakāle paṭippassambhatīti idaṃ sadisasantānatāya vuttaṃ. Na hi te eva oḷārikā assāsādayo sukhumā honti. Passambhanākāro pana tesaṃ heṭṭhā vuttoyeva.

    มหาภูตปริคฺคเห สุขุโมติ จตุธาตุมุเขน วิปสฺสนาภินิเวสํ สนฺธาย วุตฺตํฯ สกลรูปปริคฺคเห สุขุโม ภาวนาย อุปรูปริ ปณีตภาวโตฯ เตเนวาห ‘‘รูปารูปปริคฺคเห สุขุโม’’ติฯ ลกฺขณารมฺมณิกวิปสฺสนายาติ กลาปสมฺมสนมาหฯ นิพฺพิทานุปสฺสนาโต ปฎฺฐาย พลววิปสฺสนา, ตโต โอรํ ทุพฺพลวิปสฺสนาปุเพฺพ วุตฺตนเยนาติ ‘‘อปริคฺคหิตกาเล’’ติอาทินา สมถนเย วุตฺตนเยนฯ ‘‘อปริคฺคเห ปวโตฺต กายสงฺขาโร มหาภูตปริคฺคเห ปฎิปฺปสฺสมฺภตี’’ติอาทินา วิปสฺสนานเยปิ ปฎิปฺปสฺสทฺธิ โยเชตพฺพาติ วุตฺตํ โหติฯ

    Mahābhūtapariggahe sukhumoti catudhātumukhena vipassanābhinivesaṃ sandhāya vuttaṃ. Sakalarūpapariggahe sukhumo bhāvanāya uparūpari paṇītabhāvato. Tenevāha ‘‘rūpārūpapariggahe sukhumo’’ti. Lakkhaṇārammaṇikavipassanāyāti kalāpasammasanamāha. Nibbidānupassanāto paṭṭhāya balavavipassanā, tato oraṃ dubbalavipassanā. Pubbe vuttanayenāti ‘‘apariggahitakāle’’tiādinā samathanaye vuttanayena. ‘‘Apariggahe pavatto kāyasaṅkhāro mahābhūtapariggahe paṭippassambhatī’’tiādinā vipassanānayepi paṭippassaddhi yojetabbāti vuttaṃ hoti.

    อสฺสาติ อิมสฺส ‘‘ปสฺสมฺภยํ กายสงฺขาร’’นฺติ ปทสฺสฯ โจทนาโสธนาหีติ อนุโยคปริหาเรหิฯ เอวนฺติ อิทานิ วุจฺจมานากาเรนฯ กถนฺติ ยํ อิทํ ‘‘ปสฺสมฺภยํ…เป.… สิกฺขตี’’ติ วุตฺตํ, ตํ กถํ เกน ปกาเรน กายสงฺขารสฺส ปสฺสมฺภนํ โยคิโน จ สิกฺขนํ โหตีติ กเถตุกามตาย ปุจฺฉิตฺวา กายสงฺขาเร สรูปโต โอฬาริกสุขุมโต วูปสมโต อนุโยคปริหารโต จ ทเสฺสตุํ ‘‘กตเม กายสงฺขารา’’ติอาทิ อารทฺธํฯ ตตฺถ กายิกาติ รูปกาเย ภวาฯ กายปฺปฎิพทฺธาติ กายสนฺนิสฺสิตาฯ กาเย สติ โหนฺติ, อสติ น โหนฺติ, ตโต เอว เต อกายสมุฎฺฐานาปิ กาเยน สงฺขรียนฺตีติ กายสงฺขาราปสฺสเมฺภโนฺตติ โอฬาริโกฬาริกํ ปสฺสเมฺภโนฺตฯ

    Assāti imassa ‘‘passambhayaṃ kāyasaṅkhāra’’nti padassa. Codanāsodhanāhīti anuyogaparihārehi. Evanti idāni vuccamānākārena. Kathanti yaṃ idaṃ ‘‘passambhayaṃ…pe… sikkhatī’’ti vuttaṃ, taṃ kathaṃ kena pakārena kāyasaṅkhārassa passambhanaṃ yogino ca sikkhanaṃ hotīti kathetukāmatāya pucchitvā kāyasaṅkhāre sarūpato oḷārikasukhumato vūpasamato anuyogaparihārato ca dassetuṃ ‘‘katame kāyasaṅkhārā’’tiādi āraddhaṃ. Tattha kāyikāti rūpakāye bhavā. Kāyappaṭibaddhāti kāyasannissitā. Kāye sati honti, asati na honti, tato eva te akāyasamuṭṭhānāpi kāyena saṅkharīyantīti kāyasaṅkhārā. Passambhentoti oḷārikoḷārikaṃ passambhento.

    เสสปททฺวยํ ตเสฺสว เววจนํฯ โอฬาริกญฺหิ กายสงฺขารํ อวูปสนฺตสภาวํ สนฺนิสีทาเปโนฺต ‘‘ปสฺสเมฺภโนฺต’’ติ วุจฺจติ, อนุปฺปาทนิโรธํ ปาเปโนฺต ‘‘นิโรเธโนฺต’’ติ, สุฎฺฐุ สนฺตสภาวํ นยโนฺต ‘‘วูปสเมโนฺต’’ติฯ

    Sesapadadvayaṃ tasseva vevacanaṃ. Oḷārikañhi kāyasaṅkhāraṃ avūpasantasabhāvaṃ sannisīdāpento ‘‘passambhento’’ti vuccati, anuppādanirodhaṃ pāpento ‘‘nirodhento’’ti, suṭṭhu santasabhāvaṃ nayanto ‘‘vūpasamento’’ti.

    ยถารูเปหีติ ยาทิเสหิฯ กายสงฺขาเรหีติ โอฬาริเกหิ กายสงฺขาเรหิฯ อานมนาติ อภิมุเขน กายสฺส นมนาฯ วินมนาติ วิสุํ วิสุํ ปสฺสโต นมนาฯ สนฺนมนาติ สพฺพโต, สุฎฺฐุ วา นมนาฯ ปณมนาติ ปจฺฉโต นมนาฯ อิญฺชนาทีนิ อานมนาทีนํ เววจนานิ, อธิมตฺตานิ วา อภิมุขจลนาทีนิ อานมนาทโย, มนฺทานิ อิญฺชนาทโยฯ ปสฺสมฺภยํ กายสงฺขารนฺติ ตถารูปํ อานมนาทีนํ การณภูตํ โอฬาริกํ กายสงฺขารํ ปฎิปฺปสฺสเมฺภโนฺตฯ ตสฺมิญฺหิ ปสฺสมฺภิเต อานมนาทโยปิ ปสฺสมฺภิตา เอว โหนฺติฯ

    Yathārūpehīti yādisehi. Kāyasaṅkhārehīti oḷārikehi kāyasaṅkhārehi. Ānamanāti abhimukhena kāyassa namanā. Vinamanāti visuṃ visuṃ passato namanā. Sannamanāti sabbato, suṭṭhu vā namanā. Paṇamanāti pacchato namanā. Iñjanādīni ānamanādīnaṃ vevacanāni, adhimattāni vā abhimukhacalanādīni ānamanādayo, mandāni iñjanādayo. Passambhayaṃ kāyasaṅkhāranti tathārūpaṃ ānamanādīnaṃ kāraṇabhūtaṃ oḷārikaṃ kāyasaṅkhāraṃ paṭippassambhento. Tasmiñhi passambhite ānamanādayopi passambhitā eva honti.

    สนฺตํ สุขุมนฺติ ยถารูเปหิ กายสงฺขาเรหิ กายสฺส อปริปฺผนฺทนเหตูหิ อานมนาทโย น โหนฺติ, ตถารูปํ ทรถาภาวโต สนฺตํ, อโนฬาริกตาย สุขุมํฯ ปสฺสมฺภยํ กายสงฺขารนฺติ สามญฺญโต เอกํ กตฺวา วทติฯ อถ วา ปุเพฺพ โอฬาริโกฬาริกํ กายสงฺขารํ ปฎิปฺปสฺสเมฺภโนฺต อนุกฺกเมน กายสฺส อปริปฺผนฺทนเหตุภูเต สุขุมสุขุมตเร อุปฺปาเทตฺวา เตปิ ปฎิปฺปสฺสเมฺภตฺวา ปรมสุขุมตาย โกฎิปฺปตฺตํ ยํ กายสงฺขารํ ปฎิปฺปสฺสเมฺภติ, ตํ สนฺธาย วุตฺตํ ‘‘สนฺตํ สุขุมํ ปสฺสมฺภยํ กายสงฺขาร’’นฺติฯ

    Santaṃ sukhumanti yathārūpehi kāyasaṅkhārehi kāyassa aparipphandanahetūhi ānamanādayo na honti, tathārūpaṃ darathābhāvato santaṃ, anoḷārikatāya sukhumaṃ. Passambhayaṃ kāyasaṅkhāranti sāmaññato ekaṃ katvā vadati. Atha vā pubbe oḷārikoḷārikaṃ kāyasaṅkhāraṃ paṭippassambhento anukkamena kāyassa aparipphandanahetubhūte sukhumasukhumatare uppādetvā tepi paṭippassambhetvā paramasukhumatāya koṭippattaṃ yaṃ kāyasaṅkhāraṃ paṭippassambheti, taṃ sandhāya vuttaṃ ‘‘santaṃ sukhumaṃ passambhayaṃ kāyasaṅkhāra’’nti.

    อิตีติอาทิ โจทกวจนํฯ ตตฺถ อิตีติ ปการเตฺถ นิปาโต, กิราติ อรุจิสูจเน, เอวเญฺจติ อโตฺถฯ อยเญฺหตฺถ อธิปฺปาโย ‘‘วุตฺตปฺปกาเรน ยทิ อติสุขุมมฺปิ กายสงฺขารํ ปสฺสเมฺภตี’’ติฯ เอวํ สเนฺตติ เอวํ สติ ตยา วุตฺตากาเร ลพฺภมาเนฯ วาตูปลทฺธิยาติ วาตสฺส อุปลทฺธิยาฯ -สโทฺท สมุจฺจยโตฺถ, อสฺสาสาทิวาตารมฺมณสฺส จิตฺตสฺส ปภาวนา อุปฺปาทนา ปวตฺตนา น โหติ, เต จ เตน ปสฺสเมฺภตพฺพาติ อธิปฺปาโยฯ อสฺสาสปสฺสาสานญฺจ ปภาวนาติ โอฬาริเก อสฺสาสปสฺสาเส ภาวนาย ปฎิปฺปสฺสเมฺภตฺวา สุขุมานํ เตสํ ปภาวนา จ น โหติ อุภเยสํ เตสํ เตน ปฎิปฺปสฺสเมฺภตพฺพโตฯ อานาปานสฺสติยาติ อานาปานารมฺมณาย สติยา จ ปวตฺตนํ น โหติ อานาปานานํ อภาวโตฯ ตโต เอว ตํสมฺปยุตฺตสฺส อานาปานสฺสติสมาธิสฺส จ ปภาวนา อุปฺปาทนาปิ น โหติฯ น หิ กทาจิ อารมฺมเณน วินา สารมฺมณา ธมฺมา สมฺภวนฺติฯ น จ นํ ตนฺติ เอตฺถ นฺติ นิปาตมตฺตํฯ ตํ วุตฺตวิธานํ สมาปตฺติํ ปณฺฑิตา ปญฺญวโนฺต น เจว สมาปชฺชนฺติปิ ตโต น วุฎฺฐหนฺติปีติ โยชนาฯ เอวํ โจทโก สเพฺพน สพฺพํ อภาวูปนยนํ ปสฺสมฺภนนฺติ อธิปฺปาเยน โจเทติฯ

    Itītiādi codakavacanaṃ. Tattha itīti pakāratthe nipāto, kirāti arucisūcane, evañceti attho. Ayañhettha adhippāyo ‘‘vuttappakārena yadi atisukhumampi kāyasaṅkhāraṃ passambhetī’’ti. Evaṃ santeti evaṃ sati tayā vuttākāre labbhamāne. Vātūpaladdhiyāti vātassa upaladdhiyā. Ca-saddo samuccayattho, assāsādivātārammaṇassa cittassa pabhāvanā uppādanā pavattanā na hoti, te ca tena passambhetabbāti adhippāyo. Assāsapassāsānañca pabhāvanāti oḷārike assāsapassāse bhāvanāya paṭippassambhetvā sukhumānaṃ tesaṃ pabhāvanā ca na hoti ubhayesaṃ tesaṃ tena paṭippassambhetabbato. Ānāpānassatiyāti ānāpānārammaṇāya satiyā ca pavattanaṃ na hoti ānāpānānaṃ abhāvato. Tato eva taṃsampayuttassa ānāpānassatisamādhissa ca pabhāvanā uppādanāpi na hoti. Na hi kadāci ārammaṇena vinā sārammaṇā dhammā sambhavanti. Na ca naṃ tanti ettha nanti nipātamattaṃ. Taṃ vuttavidhānaṃ samāpattiṃ paṇḍitā paññavanto na ceva samāpajjantipi tato na vuṭṭhahantipīti yojanā. Evaṃ codako sabbena sabbaṃ abhāvūpanayanaṃ passambhananti adhippāyena codeti.

    ปุน อิติ กิราติอาทิ ยถาวุตฺตาย โจทนาย วิสฺสชฺชนาฯ ตตฺถ กิราติ ยทีติ เอตสฺส อเตฺถ นิปาโตฯ อิติ กิร สิกฺขติ, มยา วุตฺตากาเรน ยทิ สิกฺขตีติ อโตฺถฯ เอวํ สเนฺตติ เอวํ ปสฺสมฺภเน สติฯ ปภาวนา โหตีติ ยทิปิ โอฬาริกา กายสงฺขารา ปฎิปฺปสฺสมฺภนฺติ, สุขุมา ปน อเตฺถวาติ อนุกฺกเมน ปรมสุขุมภาวปฺปตฺตสฺส วเสน นิมิตฺตุปฺปตฺติยา อานาปานสฺสติยา อานาปานสฺสติสมาธิสฺส จ ปภาวนา อิชฺฌเตวาติ อธิปฺปาโยฯ

    Puna iti kirātiādi yathāvuttāya codanāya vissajjanā. Tattha kirāti yadīti etassa atthe nipāto. Iti kira sikkhati, mayā vuttākārena yadi sikkhatīti attho. Evaṃ santeti evaṃ passambhane sati. Pabhāvanā hotīti yadipi oḷārikā kāyasaṅkhārā paṭippassambhanti, sukhumā pana atthevāti anukkamena paramasukhumabhāvappattassa vasena nimittuppattiyā ānāpānassatiyā ānāpānassatisamādhissa ca pabhāvanā ijjhatevāti adhippāyo.

    ยถา กถํ วิยาติ ยถาวุตฺตวิธานํ ตํ กถํ วิย ทฎฺฐพฺพํ, อตฺถิ กิญฺจิ ตทตฺถสมฺปฎิปาทเน โอปมฺมนฺติ อธิปฺปาโยฯ อิทานิ โอปมฺมํ ทเสฺสตุํ ‘‘เสยฺยถาปี’’ติอาทิ วุตฺตํฯ ตตฺถ เสยฺยถาปีติ โอปมฺมเตฺถ นิปาโตฯ กํเสติ กํสภาชเนฯ นิมิตฺตนฺติ นิมิตฺตสฺส, เตสํ สทฺทานํ ปวตฺตาการสฺสาติ อโตฺถฯ สามิอเตฺถ หิ อิทํ อุปโยควจนํฯ สุคฺคหิตตฺตาติ สุฎฺฐุ คหิตตฺตาฯ สุมนสิกตตฺตาติ สุฎฺฐุ จิเตฺต ฐปิตตฺตาฯ สูปธาริตตฺตาติ สมฺมเทว อุปธาริตตฺตา สลฺลกฺขิตตฺตาฯ สุขุมกา สทฺทาติ อนุรเว อาห, เย อปฺปกาฯ อปฺปโตฺถ หิ อยํ -สโทฺทฯ สุขุมสทฺทนิมิตฺตารมฺมณตาปีติ สุขุโม สโทฺทว นิมิตฺตํ สุขุมสทฺทนิมิตฺตํ, ตทารมฺมณตายปีติ วุตฺตํ โหติฯ กามํ ตทา สุขุมาปิ สทฺทา นิรุทฺธา, สทฺทนิมิตฺตสฺส ปน สุคฺคหิตตฺตา สุขุมตรสทฺทนิมิตฺตารมฺมณภาเวนปิ จิตฺตํ ปวตฺตติฯ อาทิโต ปฎฺฐาย หิ ตสฺส ตสฺส นิรุทฺธสฺส สทฺทสฺส นิมิตฺตํ อวิกฺขิเตฺตน จิเตฺตน อุปธาเรนฺตสฺส อนุกฺกเมน ปริโยสาเน อติสุขุมสทฺทนิมิตฺตมฺปิ อารมฺมณํ กตฺวา จิตฺตํ ปวตฺตเตวฯ จิตฺตํ น วิเกฺขปํ คจฺฉติ ตสฺมิํ ยถาอุปฎฺฐิเต นิมิเตฺต สมาธานสพฺภาวโตฯ

    Yathākathaṃ viyāti yathāvuttavidhānaṃ taṃ kathaṃ viya daṭṭhabbaṃ, atthi kiñci tadatthasampaṭipādane opammanti adhippāyo. Idāni opammaṃ dassetuṃ ‘‘seyyathāpī’’tiādi vuttaṃ. Tattha seyyathāpīti opammatthe nipāto. Kaṃseti kaṃsabhājane. Nimittanti nimittassa, tesaṃ saddānaṃ pavattākārassāti attho. Sāmiatthe hi idaṃ upayogavacanaṃ. Suggahitattāti suṭṭhu gahitattā. Sumanasikatattāti suṭṭhu citte ṭhapitattā. Sūpadhāritattāti sammadeva upadhāritattā sallakkhitattā. Sukhumakā saddāti anurave āha, ye appakā. Appattho hi ayaṃ ka-saddo. Sukhumasaddanimittārammaṇatāpīti sukhumo saddova nimittaṃ sukhumasaddanimittaṃ, tadārammaṇatāyapīti vuttaṃ hoti. Kāmaṃ tadā sukhumāpi saddā niruddhā, saddanimittassa pana suggahitattā sukhumatarasaddanimittārammaṇabhāvenapi cittaṃ pavattati. Ādito paṭṭhāya hi tassa tassa niruddhassa saddassa nimittaṃ avikkhittena cittena upadhārentassa anukkamena pariyosāne atisukhumasaddanimittampi ārammaṇaṃ katvā cittaṃ pavattateva. Cittaṃ na vikkhepaṃ gacchati tasmiṃ yathāupaṭṭhite nimitte samādhānasabbhāvato.

    เอวํ สเนฺตติอาทิ วุตฺตเสฺสวตฺถสฺส นิคมนวเสน วุตฺตํฯ ตตฺถ ยสฺส สุตฺตปทสฺส สทฺธิํ โจทนาโสธนาหิ อโตฺถ วุโตฺต, ตํ อุทฺธริตฺวา กายานุปสฺสนาสติปฎฺฐานานิ วิภาคโต ทเสฺสตุํ ‘‘ปสฺสมฺภย’’นฺติอาทิ วุตฺตํ ฯ ตตฺถ ปสฺสมฺภยํ กายสงฺขารนฺติ วุตฺตอสฺสาสปสฺสาสา กาโยติ โยชนา เวทิตพฺพาฯ อถ วา ปสฺสมฺภยํ กายสงฺขารนฺติ เอตฺถ อสฺสาสปสฺสาสา กาโยติ เอวมโตฺถ ทฎฺฐโพฺพฯ มหาสติปฎฺฐานสุเตฺต (ที. นิ. ๒.๓๗๒ อาทโย; ม. นิ. ๑.๑๐๕ อาทโย) กายานุปสฺสนํ กเถเนฺตน ปฐมจตุกฺกเสฺสว วุตฺตตฺตา, อานาปานสฺสติสุเตฺตปิ ‘‘ยสฺมิํ สมเย, ภิกฺขเว, ภิกฺขุ ทีฆํ วา อสฺสสโนฺต ทีฆํ อสฺสสามีติ ปชานาติ…เป.… ปสฺสมฺภยํ กายสงฺขารํ ปสฺสสิสฺสามีติ สิกฺขติฯ กาเย กายานุปสฺสี, ภิกฺขเว, ตสฺมิํ สมเย ภิกฺขุ วิหรตี’’ติ (ม. นิ. ๒.๑๔๙) วุตฺตตฺตา จ ‘‘กายานุปสฺสนาวเสน วุตฺตสฺส ปฐมจตุกฺกสฺสา’’ติ วุตฺตํฯ

    Evaṃ santetiādi vuttassevatthassa nigamanavasena vuttaṃ. Tattha yassa suttapadassa saddhiṃ codanāsodhanāhi attho vutto, taṃ uddharitvā kāyānupassanāsatipaṭṭhānāni vibhāgato dassetuṃ ‘‘passambhaya’’ntiādi vuttaṃ . Tattha passambhayaṃ kāyasaṅkhāranti vuttaassāsapassāsā kāyoti yojanā veditabbā. Atha vā passambhayaṃ kāyasaṅkhāranti ettha assāsapassāsā kāyoti evamattho daṭṭhabbo. Mahāsatipaṭṭhānasutte (dī. ni. 2.372 ādayo; ma. ni. 1.105 ādayo) kāyānupassanaṃ kathentena paṭhamacatukkasseva vuttattā, ānāpānassatisuttepi ‘‘yasmiṃ samaye, bhikkhave, bhikkhu dīghaṃ vā assasanto dīghaṃ assasāmīti pajānāti…pe… passambhayaṃ kāyasaṅkhāraṃ passasissāmīti sikkhati. Kāye kāyānupassī, bhikkhave, tasmiṃ samaye bhikkhu viharatī’’ti (ma. ni. 2.149) vuttattā ca ‘‘kāyānupassanāvasena vuttassa paṭhamacatukkassā’’ti vuttaṃ.

    อาทิกมฺมิกสฺส กมฺมฎฺฐานวเสนาติ สมถกมฺมฎฺฐานํ สนฺธาย วุตฺตํ, วิปสฺสนากมฺมฎฺฐานํ ปน อิตรจตุเกฺกสุปิ ลพฺภเตวฯ เอตฺถาติ ปฐมจตุเกฺกฯ สห ปฎิสมฺภิทาหีติ นิทสฺสนมตฺตเมตํ, ปุญฺญวนฺตานํ ปน อุปนิสฺสยสมฺปนฺนานํ อภิญฺญาปิ สิชฺฌติเยวฯ จตุพฺพิธนฺติ ปาติโมกฺขสํวราทิวเสน จตุพฺพิธํฯ อนาปชฺชนนฺติ สตฺตนฺนํ อาปตฺติกฺขนฺธานํ อญฺญตรสฺส อนาปชฺชนํฯ อาปนฺนวุฎฺฐานนฺติ อาปนฺนสปฺปฎิกมฺมาปตฺติโต ยถาธมฺมํ ปฎิกมฺมกรเณน วุฎฺฐานํ, เทสนาคามินิโต เทสนาย, วุฎฺฐานคามินิโต ปริวาสาทิวินยกมฺมกรเณน วุฎฺฐานนฺติ วุตฺตํ โหติ ฯ เทสนายปิ หิ อาปนฺนาปตฺติโต วุฎฺฐานํ โหตีติ สาปิ วุฎฺฐาเนเนว สงฺคหิตาฯ กิเลเสหิ จ อปฺปฎิปีฬนนฺติ โกโธ อุปนาโห มโกฺข ปลาโส อิสฺสา มจฺฉริยํ มายา สาเฐยฺยํ ถโมฺภ สารโมฺภ มาโน อติมาโน มโท ปมาโทติ เอวมาทีหิ ปาปธเมฺมหิ อปฺปฎิปีฬนํ, เตสํ อนุปฺปาทนนฺติ วุตฺตํ โหติฯ

    Ādikammikassa kammaṭṭhānavasenāti samathakammaṭṭhānaṃ sandhāya vuttaṃ, vipassanākammaṭṭhānaṃ pana itaracatukkesupi labbhateva. Etthāti paṭhamacatukke. Saha paṭisambhidāhīti nidassanamattametaṃ, puññavantānaṃ pana upanissayasampannānaṃ abhiññāpi sijjhatiyeva. Catubbidhanti pātimokkhasaṃvarādivasena catubbidhaṃ. Anāpajjananti sattannaṃ āpattikkhandhānaṃ aññatarassa anāpajjanaṃ. Āpannavuṭṭhānanti āpannasappaṭikammāpattito yathādhammaṃ paṭikammakaraṇena vuṭṭhānaṃ, desanāgāminito desanāya, vuṭṭhānagāminito parivāsādivinayakammakaraṇena vuṭṭhānanti vuttaṃ hoti . Desanāyapi hi āpannāpattito vuṭṭhānaṃ hotīti sāpi vuṭṭhāneneva saṅgahitā. Kilesehi ca appaṭipīḷananti kodho upanāho makkho palāso issā macchariyaṃ māyā sāṭheyyaṃ thambho sārambho māno atimāno mado pamādoti evamādīhi pāpadhammehi appaṭipīḷanaṃ, tesaṃ anuppādananti vuttaṃ hoti.

    ยมิทํ อาภิสมาจาริกสีลํ วุจฺจตีติ สมฺพโนฺธฯ เทฺวอสีติ ขนฺธกวตฺตานิ จุทฺทสวิธํ มหาวตฺตนฺติ เอตฺถ มหาวตฺตํ นาม วตฺตกฺขนฺธเก วุตฺตานิ อาคนฺตุกวตฺตํ อาวาสิกคมิกอนุโมทนภตฺตคฺคปิณฺฑจาริกอารญฺญิกเสนาสนชนฺตาฆรวจฺจกุฎิอุปชฺฌายสทฺธิวิหาริกอาจริยอเนฺตวาสิกวตฺตนฺติ จุทฺทส วตฺตานิฯ ตโต อญฺญานิ ปน กทาจิ ตชฺชนียกมฺมกตาทิกาเลเยว จริตพฺพานิ ทฺวาสีติ ขนฺธกวตฺตานิ, น สพฺพาสุ อวตฺถาสุ จริตพฺพานิ, ตสฺมา มหาวเตฺตสุ อคณิตานิฯ ตตฺถ ‘‘ปาริวาสิกานํ ภิกฺขูนํ วตฺตํ ปญฺญเปสฺสามี’’ติ อารภิตฺวา ‘‘น อุปสมฺปาเทตพฺพํ…เป.… น ฉมายํ จงฺกมเนฺต จงฺกเม จงฺกมิตพฺพ’’นฺติ (จูฬว. ๗๖) วุตฺตวตฺตานิ ฉสฎฺฐิ, ตโต ปรํ ‘‘น, ภิกฺขเว, ปาริวาสิเกน ภิกฺขุนา ปาริวาสิกวุฑฺฒตเรน ภิกฺขุนา สทฺธิํ มูลายปฎิกสฺสนารเหน, มานตฺตารเหน, มานตฺตจาริเกน, อพฺภานารเหน ภิกฺขุนา สทฺธิํ เอกจฺฉเนฺน อาวาเส วตฺถพฺพ’’นฺติอาทินา (จูฬว. ๘๒) วุตฺตานิ ปกตเตฺต จริตเพฺพหิ อนญฺญตฺตา วิสุํ ตานิ อคเณตฺวา ปาริวาสิกวุฑฺฒตราทีสุ ปุคฺคลนฺตเรสุ จริตพฺพตฺตา เตสํ วเสน สมฺปิเณฺฑตฺวา เอเกกํ กตฺวา คณิตานิ ปญฺจาติ เอกสตฺตติ วตฺตานิ, อุเกฺขปนียกมฺมกตวเตฺตสุ วตฺตปญฺญาปนวเสน วุตฺตํ ‘‘น ปกตตฺตสฺส ภิกฺขุโน อภิวาทนํ…เป.… นหาเน ปิฎฺฐิปริกมฺมํ สาทิตพฺพ’’นฺติ (จูฬว. ๕๑) อิทํ อภิวาทนาทีนํ อสาทิยนํ เอกํ, ‘‘น ปกตโตฺต ภิกฺขุ สีลวิปตฺติยา อนุทฺธํเสตโพฺพ’’ติอาทีนิ (จูฬว. ๕๑) จ ทสาติ เอวเมตานิ ทฺวาสีติฯ เอเตเสฺวว ปน กานิจิ ตชฺชนียกมฺมาทิวตฺตานิ กานิจิ ปาริวาสิกาทิวตฺตานีติ อคฺคหิตคฺคหเณน ทฺวาสีติ เอวฯ อญฺญตฺถ ปน อฎฺฐกถาปเทเส อปฺปกํ อูนมธิกํ วา คณนูปคํ น โหตีติ อสีติ ขนฺธกวตฺตานีติ วุจฺจติฯ อาภิสมาจาริกสีลนฺติ เอตฺถ อภิสมาจาโรติ อุตฺตมสมาจาโร, อภิสมาจาโรว อาภิสมาจาริกํ, อภิสมาจารํ วา อารพฺภ ปญฺญตฺตํ อาภิสมาจาริกํ, ตเทว สีลนฺติ อาภิสมาจาริกสีลํฯ ขนฺธกวตฺตปริยาปนฺนสฺส สีลเสฺสตํ อธิวจนํฯ อหํ สีลํ รกฺขามิ, กิํ อาภิสมาจาริเกนาติอาทีสุ สีลนฺติ อุภโตวิภงฺคปริยาปนฺนเมว คเหตพฺพํ ขนฺธกวตฺตปริยาปนฺนสฺส อาภิสมาจาริกคฺคหเณน คหิตตฺตาฯ ปริปูเรติ ปริปุเณฺณ, ปริปูริเตติ วา อโตฺถฯ

    Yamidaṃ ābhisamācārikasīlaṃ vuccatīti sambandho. Dveasīti khandhakavattāni cuddasavidhaṃ mahāvattanti ettha mahāvattaṃ nāma vattakkhandhake vuttāni āgantukavattaṃ āvāsikagamikaanumodanabhattaggapiṇḍacārikaāraññikasenāsanajantāgharavaccakuṭiupajjhāyasaddhivihārikaācariyaantevāsikavattanti cuddasa vattāni. Tato aññāni pana kadāci tajjanīyakammakatādikāleyeva caritabbāni dvāsīti khandhakavattāni, na sabbāsu avatthāsu caritabbāni, tasmā mahāvattesu agaṇitāni. Tattha ‘‘pārivāsikānaṃ bhikkhūnaṃ vattaṃ paññapessāmī’’ti ārabhitvā ‘‘na upasampādetabbaṃ…pe… na chamāyaṃ caṅkamante caṅkame caṅkamitabba’’nti (cūḷava. 76) vuttavattāni chasaṭṭhi, tato paraṃ ‘‘na, bhikkhave, pārivāsikena bhikkhunā pārivāsikavuḍḍhatarena bhikkhunā saddhiṃ mūlāyapaṭikassanārahena, mānattārahena, mānattacārikena, abbhānārahena bhikkhunā saddhiṃ ekacchanne āvāse vatthabba’’ntiādinā (cūḷava. 82) vuttāni pakatatte caritabbehi anaññattā visuṃ tāni agaṇetvā pārivāsikavuḍḍhatarādīsu puggalantaresu caritabbattā tesaṃ vasena sampiṇḍetvā ekekaṃ katvā gaṇitāni pañcāti ekasattati vattāni, ukkhepanīyakammakatavattesu vattapaññāpanavasena vuttaṃ ‘‘na pakatattassa bhikkhuno abhivādanaṃ…pe… nahāne piṭṭhiparikammaṃ sāditabba’’nti (cūḷava. 51) idaṃ abhivādanādīnaṃ asādiyanaṃ ekaṃ, ‘‘na pakatatto bhikkhu sīlavipattiyā anuddhaṃsetabbo’’tiādīni (cūḷava. 51) ca dasāti evametāni dvāsīti. Etesveva pana kānici tajjanīyakammādivattāni kānici pārivāsikādivattānīti aggahitaggahaṇena dvāsīti eva. Aññattha pana aṭṭhakathāpadese appakaṃ ūnamadhikaṃ vā gaṇanūpagaṃ na hotīti asīti khandhakavattānīti vuccati. Ābhisamācārikasīlanti ettha abhisamācāroti uttamasamācāro, abhisamācārova ābhisamācārikaṃ, abhisamācāraṃ vā ārabbha paññattaṃ ābhisamācārikaṃ, tadeva sīlanti ābhisamācārikasīlaṃ. Khandhakavattapariyāpannassa sīlassetaṃ adhivacanaṃ. Ahaṃ sīlaṃ rakkhāmi, kiṃ ābhisamācārikenātiādīsu sīlanti ubhatovibhaṅgapariyāpannameva gahetabbaṃ khandhakavattapariyāpannassa ābhisamācārikaggahaṇena gahitattā. Paripūreti paripuṇṇe, paripūriteti vā attho.

    ตโตติ ยถาวุตฺตสีลวิโสธนโต ปรํฯ อาวาโสติ อาวาสปลิโพโธฯ กุลนฺติอาทีสุปิ เอเสว นโยฯ ตตฺถ (วิสุทฺธิ. ๑.๔๑) อาวาโสติ เอโกปิ โอวรโก วุจฺจติ เอกมฺปิ ปริเวณํ สกโลปิ สงฺฆาราโมฯ สฺวายํ น สพฺพเสฺสว ปลิโพโธ โหติ, โย ปเนตฺถ นวกมฺมาทิอุสฺสุกฺกํ วา อาปชฺชติ, พหุภณฺฑสนฺนิจโย วา โหติ, เยน เกนจิ วา การเณน อเปกฺขวา ปฎิพทฺธจิโตฺต, ตเสฺสว ปลิโพโธ โหติ, น อิตรสฺสฯ

    Tatoti yathāvuttasīlavisodhanato paraṃ. Āvāsoti āvāsapalibodho. Kulantiādīsupi eseva nayo. Tattha (visuddhi. 1.41) āvāsoti ekopi ovarako vuccati ekampi pariveṇaṃ sakalopi saṅghārāmo. Svāyaṃ na sabbasseva palibodho hoti, yo panettha navakammādiussukkaṃ vā āpajjati, bahubhaṇḍasannicayo vā hoti, yena kenaci vā kāraṇena apekkhavā paṭibaddhacitto, tasseva palibodho hoti, na itarassa.

    กุลนฺติ ญาติกุลํ วา อุปฎฺฐากกุลํ วาฯ เอกจฺจสฺส หิ อุปฎฺฐากกุลมฺปิ ‘‘สุขิเต สุขิโต’’ติอาทินา นเยน สํสฎฺฐสฺส วิหรโต ปลิโพโธ โหติ, โส กุลมานุสเกหิ วินา ธมฺมสฺสวนาย สามนฺตวิหารมฺปิ น คจฺฉติฯ เอกจฺจสฺส มาตาปิตโรปิ ปลิโพธา น โหนฺติ โกรณฺฑกวิหารวาสิเตฺถรสฺส ภาคิเนยฺยทหรภิกฺขุโน วิยฯ

    Kulanti ñātikulaṃ vā upaṭṭhākakulaṃ vā. Ekaccassa hi upaṭṭhākakulampi ‘‘sukhite sukhito’’tiādinā nayena saṃsaṭṭhassa viharato palibodho hoti, so kulamānusakehi vinā dhammassavanāya sāmantavihārampi na gacchati. Ekaccassa mātāpitaropi palibodhā na honti koraṇḍakavihāravāsittherassa bhāgineyyadaharabhikkhuno viya.

    ลาโภติ จตฺตาโร ปจฺจยาฯ เต กถํ ปลิโพธา โหนฺติ? ปุญฺญวนฺตสฺส หิ ภิกฺขุโน คตคตฎฺฐาเน มนุสฺสา มหาปริวาเร ปจฺจเย เทนฺติ, โส เตสํ อนุโมเทโนฺต ธมฺมํ เทเสโนฺต สมณธมฺมํ กาตุํ โอกาสํ น ลภติ, อรุณุคฺคมนโต ยาว ปฐมยาโม, ตาว มนุสฺสสํสโคฺค น อุปจฺฉิชฺชติ, ปุน พลวปจฺจูเสเยว พาหุลฺลิกปิณฺฑปาติกา อาคนฺตฺวา ‘‘ภเนฺต, อสุโก อุปฎฺฐาโก อุปาสโก อุปาสิกา อมโจฺจ อมจฺจธีตา ตุมฺหากํ ทสฺสนกามา’’ติ วทนฺติ, โส ‘‘คณฺหาวุโส ปตฺตจีวร’’นฺติ คมนสโชฺชว โหติ นิจฺจพฺยาวโฎ, ตเสฺสว เต ปจฺจยา ปลิโพธา โหนฺติฯ เตน คณํ ปหาย ยตฺถ นํ น ชานนฺติ, ตตฺถ เอกเกน จริตพฺพํฯ เอวํ โส ปลิโพโธ อุปจฺฉิชฺชติฯ

    Lābhoti cattāro paccayā. Te kathaṃ palibodhā honti? Puññavantassa hi bhikkhuno gatagataṭṭhāne manussā mahāparivāre paccaye denti, so tesaṃ anumodento dhammaṃ desento samaṇadhammaṃ kātuṃ okāsaṃ na labhati, aruṇuggamanato yāva paṭhamayāmo, tāva manussasaṃsaggo na upacchijjati, puna balavapaccūseyeva bāhullikapiṇḍapātikā āgantvā ‘‘bhante, asuko upaṭṭhāko upāsako upāsikā amacco amaccadhītā tumhākaṃ dassanakāmā’’ti vadanti, so ‘‘gaṇhāvuso pattacīvara’’nti gamanasajjova hoti niccabyāvaṭo, tasseva te paccayā palibodhā honti. Tena gaṇaṃ pahāya yattha naṃ na jānanti, tattha ekakena caritabbaṃ. Evaṃ so palibodho upacchijjati.

    คโณติ สุตฺตนฺติกคโณ วา อาภิธมฺมิกคโณ วาฯ โย ตสฺส อุเทฺทสํ วา ปริปุจฺฉํ วา เทโนฺต สมณธมฺมสฺส โอกาสํ น ลภติ, ตสฺส คโณ ปลิโพโธ โหติฯ เตน โส เอวํ อุปจฺฉินฺทิตโพฺพ – สเจ เตสํ ภิกฺขูนํ พหุ กตํ โหติ, อปฺปํ อวสิฎฺฐํ, ตํ นิฎฺฐเปตฺวา อรญฺญํ ปวิสิตพฺพํฯ สเจ อปฺปํ กตํ, พหุ อวสิฎฺฐํ, โยชนโต ปรํ อคนฺตฺวา อโนฺตโยชนปริเจฺฉเท อญฺญํ คณวาจกํ อุปสงฺกมิตฺวา ‘‘อิเม อายสฺมา อุเทฺทสาทีหิ สงฺคณฺหตู’’ติ วตฺตพฺพํฯ เอวมฺปิ อลภมาเนน ‘‘มยฺหํ, อาวุโส, เอกํ กิจฺจํ อตฺถิ, ตุเมฺห ยถาผาสุกฎฺฐานานิ คจฺฉถา’’ติ คณํ ปหาย อตฺตโน กมฺมํ กาตพฺพํฯ

    Gaṇoti suttantikagaṇo vā ābhidhammikagaṇo vā. Yo tassa uddesaṃ vā paripucchaṃ vā dento samaṇadhammassa okāsaṃ na labhati, tassa gaṇo palibodho hoti. Tena so evaṃ upacchinditabbo – sace tesaṃ bhikkhūnaṃ bahu kataṃ hoti, appaṃ avasiṭṭhaṃ, taṃ niṭṭhapetvā araññaṃ pavisitabbaṃ. Sace appaṃ kataṃ, bahu avasiṭṭhaṃ, yojanato paraṃ agantvā antoyojanaparicchede aññaṃ gaṇavācakaṃ upasaṅkamitvā ‘‘ime āyasmā uddesādīhi saṅgaṇhatū’’ti vattabbaṃ. Evampi alabhamānena ‘‘mayhaṃ, āvuso, ekaṃ kiccaṃ atthi, tumhe yathāphāsukaṭṭhānāni gacchathā’’ti gaṇaṃ pahāya attano kammaṃ kātabbaṃ.

    กเมฺมนาติ กมฺมปลิโพเธนฯ ‘‘กมฺมญฺจ ปญฺจม’’นฺติปิ ปาโฐฯ ตตฺถ กมฺมนฺติ นวกมฺมํฯ ตํ กโรเนฺตน วฑฺฒกีอาทีหิ ลทฺธาลทฺธํ ชานิตพฺพํ, กตากเต อุสฺสุกฺกํ อาปชฺชิตพฺพนฺติ สพฺพถาปิ ปลิโพโธ โหติฯ โสปิ เอวํ อุปจฺฉินฺทิตโพฺพ – สเจ อปฺปํ อวสิฎฺฐํ โหติ, นิฎฺฐเปตพฺพํฯ สเจ พหุ, สงฺฆิกํ เจ, นวกมฺมํ สงฺฆสฺส วา ภารหารกภิกฺขูนํ วา นิยฺยาเตตพฺพํฯ อตฺตโน สนฺตกํ เจ, อตฺตโน ภารหารกานํ นิยฺยาเตตพฺพํฯ ตาทิสํ อลภเนฺตน สงฺฆสฺส ปริจฺจชิตฺวา คนฺตพฺพํฯ

    Kammenāti kammapalibodhena. ‘‘Kammañca pañcama’’ntipi pāṭho. Tattha kammanti navakammaṃ. Taṃ karontena vaḍḍhakīādīhi laddhāladdhaṃ jānitabbaṃ, katākate ussukkaṃ āpajjitabbanti sabbathāpi palibodho hoti. Sopi evaṃ upacchinditabbo – sace appaṃ avasiṭṭhaṃ hoti, niṭṭhapetabbaṃ. Sace bahu, saṅghikaṃ ce, navakammaṃ saṅghassa vā bhārahārakabhikkhūnaṃ vā niyyātetabbaṃ. Attano santakaṃ ce, attano bhārahārakānaṃ niyyātetabbaṃ. Tādisaṃ alabhantena saṅghassa pariccajitvā gantabbaṃ.

    อทฺธานนฺติ มคฺคคมนํฯ ยสฺส หิ กตฺถจิ ปพฺพชฺชาเปโกฺข วา โหติ, ปจฺจยชาตํ วา กิญฺจิ ลทฺธพฺพํ โหติฯ สเจ ตํ อลภโนฺต น สโกฺกติ อธิวาเสตุํ, อรญฺญํ ปวิสิตฺวา สมณธมฺมํ กโรนฺตสฺสปิ คมิกจิตฺตํ นาม ทุปฺปฎิวิโนทยํ โหติ, ตสฺมา คนฺตฺวา ตํ กิจฺจํ ตีเรตฺวาว สมณธเมฺม อุสฺสุกฺกํ กาตพฺพํฯ

    Addhānanti maggagamanaṃ. Yassa hi katthaci pabbajjāpekkho vā hoti, paccayajātaṃ vā kiñci laddhabbaṃ hoti. Sace taṃ alabhanto na sakkoti adhivāsetuṃ, araññaṃ pavisitvā samaṇadhammaṃ karontassapi gamikacittaṃ nāma duppaṭivinodayaṃ hoti, tasmā gantvā taṃ kiccaṃ tīretvāva samaṇadhamme ussukkaṃ kātabbaṃ.

    ญาตีติ วิหาเร อาจริยุปชฺฌายสทฺธิวิหาริกอเนฺตวาสิกสมานุปชฺฌายกสมานาจริยกา, ฆเร มาตา ปิตา ภาตาติ เอวมาทิกาฯ เต คิลานา อิมสฺส ปลิโพธา โหนฺติฯ ตสฺมา โส ปลิโพโธ เต อุปฎฺฐหิตฺวา เตสํ ปากติกกรเณน อุปจฺฉินฺทิตโพฺพฯ ตตฺถ อุปชฺฌาโย ตาว คิลาโน สเจ ลหุํ น วุฎฺฐาติ, ยาวชีวํ ปฎิชคฺคิตโพฺพ, ตถา ปพฺพชฺชาจริโย อุปสมฺปทาจริโย สทฺธิวิหาริโก อุปสมฺปาทิตปพฺพาชิตอเนฺตวาสิกสมานุปชฺฌายกา จฯ นิสฺสยาจริยอุเทฺทสาจริยนิสฺสยเนฺตวาสิกอุเทฺทสเนฺตวาสิกสมานาจริยกา ปน ยาว นิสฺสยอุเทฺทสา อนุปจฺฉินฺนา, ตาว ปฎิชคฺคิตพฺพาฯ ปโหเนฺตน ตโต อุทฺธมฺปิ ปฎิชคฺคิตพฺพา เอวฯ มาตาปิตูสุ อุปชฺฌาเย วิย ปฎิชคฺคิตพฺพํฯ สเจปิ หิ เต รเชฺช ฐิตา โหนฺติ, ปุตฺตโต จ อุปฎฺฐานํ ปจฺจาสีสนฺติ, กาตพฺพเมวฯ อถ เตสํ เภสชฺชํ นตฺถิ, อตฺตโน สนฺตกํ ทาตพฺพํฯ อสติ, ภิกฺขาจริยาย ปริเยสิตฺวาปิ ทาตพฺพเมวฯ ภาตุภคินีนํ ปน เตสํ สนฺตกเมว โยเชตฺวา ทาตพฺพํฯ สเจ นตฺถิ, อตฺตโน สนฺตกํ ตาวกาลิกํ ทตฺวา ปจฺฉา ลภเนฺตน คณฺหิตพฺพํ, อลภเนฺตน น โจเทตพฺพาฯ อญฺญาตกสฺส ภคินิยา สามิกสฺส เภสชฺชํ เนว กาตุํ, น ทาตุํ วฎฺฎติ, ‘‘ตุยฺหํ สามิกสฺส เทหี’’ติ วตฺวา ปน ภคินิยา ทาตพฺพํฯ ภาตุ ชายายปิ เอเสว นโย, เตสํ ปน ปุตฺตา อิมสฺส ญาตกาเยวาติ เตสํ กาตุํ วฎฺฎติฯ

    Ñātīti vihāre ācariyupajjhāyasaddhivihārikaantevāsikasamānupajjhāyakasamānācariyakā, ghare mātā pitā bhātāti evamādikā. Te gilānā imassa palibodhā honti. Tasmā so palibodho te upaṭṭhahitvā tesaṃ pākatikakaraṇena upacchinditabbo. Tattha upajjhāyo tāva gilāno sace lahuṃ na vuṭṭhāti, yāvajīvaṃ paṭijaggitabbo, tathā pabbajjācariyo upasampadācariyo saddhivihāriko upasampāditapabbājitaantevāsikasamānupajjhāyakā ca. Nissayācariyauddesācariyanissayantevāsikauddesantevāsikasamānācariyakā pana yāva nissayauddesā anupacchinnā, tāva paṭijaggitabbā. Pahontena tato uddhampi paṭijaggitabbā eva. Mātāpitūsu upajjhāye viya paṭijaggitabbaṃ. Sacepi hi te rajje ṭhitā honti, puttato ca upaṭṭhānaṃ paccāsīsanti, kātabbameva. Atha tesaṃ bhesajjaṃ natthi, attano santakaṃ dātabbaṃ. Asati, bhikkhācariyāya pariyesitvāpi dātabbameva. Bhātubhaginīnaṃ pana tesaṃ santakameva yojetvā dātabbaṃ. Sace natthi, attano santakaṃ tāvakālikaṃ datvā pacchā labhantena gaṇhitabbaṃ, alabhantena na codetabbā. Aññātakassa bhaginiyā sāmikassa bhesajjaṃ neva kātuṃ, na dātuṃ vaṭṭati, ‘‘tuyhaṃ sāmikassa dehī’’ti vatvā pana bhaginiyā dātabbaṃ. Bhātu jāyāyapi eseva nayo, tesaṃ pana puttā imassa ñātakāyevāti tesaṃ kātuṃ vaṭṭati.

    อาพาโธติ โย โกจิ โรโคฯ โส พาธยมาโน ปลิโพโธ โหติ, ตสฺมา เภสชฺชกรเณน อุปจฺฉินฺทิตโพฺพฯ สเจ ปน กติปาหํ เภสชฺชํ กโรนฺตสฺสปิ น วูปสมฺมติ, ‘‘นาหํ ตุยฺหํ ทาโส, น ภตโก, ตํเยวมฺหิ โปเสโนฺต อนมตเคฺค สํสารวเฎฺฎ ทุกฺขปฺปโตฺต’’ติ อตฺตภาวํ ครหิตฺวา สมณธโมฺม กาตโพฺพฯ

    Ābādhoti yo koci rogo. So bādhayamāno palibodho hoti, tasmā bhesajjakaraṇena upacchinditabbo. Sace pana katipāhaṃ bhesajjaṃ karontassapi na vūpasammati, ‘‘nāhaṃ tuyhaṃ dāso, na bhatako, taṃyevamhi posento anamatagge saṃsāravaṭṭe dukkhappatto’’ti attabhāvaṃ garahitvā samaṇadhammo kātabbo.

    คโนฺถติ ปริยตฺติปริหรณํฯ ตํ สชฺฌายาทีหิ นิจฺจพฺยาวฎเสฺสว ปลิโพโธ โหติ, น อิตรสฺสฯ

    Ganthoti pariyattipariharaṇaṃ. Taṃ sajjhāyādīhi niccabyāvaṭasseva palibodho hoti, na itarassa.

    อิทฺธิยาติ อิทฺธิปลิโพเธนฯ ‘‘อิทฺธีติ เต ทสา’’ติปิ ปาโฐฯ ตตฺถ อิทฺธีติ โปถุชฺชนิกา อิทฺธิฯ สา หิ อุตฺตานเสยฺยกทารโก วิย ตรุณสสฺสํ วิย จ ทุปฺปริหารา โหติ, อปฺปมตฺตเกน จ ภิชฺชติฯ สา ปน วิปสฺสนาย ปลิโพโธ โหติ, น สมาธิสฺส สมาธิํ ปตฺวา ปตฺตพฺพโต, ตสฺมา วิปสฺสนาตฺถิเกน อิทฺธิปลิโพโธ อุปจฺฉินฺทิตโพฺพ, อิตเรน อวเสสาติฯ กมฺมฎฺฐานภาวนํ ปริพุเนฺธติ อุปโรเธติ ปวตฺติตุํ น เทตีติ ปลิโพโธ, ร-การสฺส ล-การํ กตฺวา วุโตฺต, ปริปโนฺถติ อโตฺถฯ อุปจฺฉินฺทิตโพฺพติ สมาปเนน สงฺคหเณน อุปรุนฺธิตโพฺพ, อปลิโพโธ กาตโพฺพติ อโตฺถฯ

    Iddhiyāti iddhipalibodhena. ‘‘Iddhīti te dasā’’tipi pāṭho. Tattha iddhīti pothujjanikā iddhi. Sā hi uttānaseyyakadārako viya taruṇasassaṃ viya ca dupparihārā hoti, appamattakena ca bhijjati. Sā pana vipassanāya palibodho hoti, na samādhissa samādhiṃ patvā pattabbato, tasmā vipassanātthikena iddhipalibodho upacchinditabbo, itarena avasesāti. Kammaṭṭhānabhāvanaṃ paribundheti uparodheti pavattituṃ na detīti palibodho, ra-kārassa la-kāraṃ katvā vutto, paripanthoti attho. Upacchinditabboti samāpanena saṅgahaṇena uparundhitabbo, apalibodho kātabboti attho.

    กมฺมฎฺฐาเน นิยุโตฺต กมฺมฎฺฐานิโก, ภาวนมนุยุญฺชโนฺตฯ เตน กมฺมฎฺฐานิเกนฯ ปริจฺฉินฺทิตฺวาติ ‘‘อิมสฺมิํ วิหาเร สเพฺพปิ ภิกฺขู’’ติ เอวํ ปริจฺฉินฺทิตฺวาฯ สหวาสีนนฺติ สหวาสีนํ ภิกฺขูนํฯ มุทุจิตฺตตํ ชเนตีติ อตฺตนิ มุทุจิตฺตตํ อุปฺปาเทติฯ อยญฺจ สหวาสีนํ จิตฺตมทฺทวชนนาทิอโตฺถ ‘‘มนุสฺสานํ ปิโย โหตี’’ติอาทินยปฺปวเตฺตน เมตฺตานิสํสสุเตฺตน (อ. นิ. ๘.๑) ทีเปตโพฺพฯ

    Kammaṭṭhāne niyutto kammaṭṭhāniko, bhāvanamanuyuñjanto. Tena kammaṭṭhānikena. Paricchinditvāti ‘‘imasmiṃ vihāre sabbepi bhikkhū’’ti evaṃ paricchinditvā. Sahavāsīnanti sahavāsīnaṃ bhikkhūnaṃ. Muducittataṃ janetīti attani muducittataṃ uppādeti. Ayañca sahavāsīnaṃ cittamaddavajananādiattho ‘‘manussānaṃ piyo hotī’’tiādinayappavattena mettānisaṃsasuttena (a. ni. 8.1) dīpetabbo.

    อโนลีนวุตฺติโก โหตีติ สมฺมาปฎิปตฺติยํ โอลีนวุตฺติโก หีนวีริโย น โหติ, อารทฺธวีริโย โหตีติ อโตฺถฯ ทิเพฺพสุปิ อารมฺมเณสุ, ปเคว อิตเรสูติ อธิปฺปาโยฯ สพฺพตฺถาติ สพฺพสฺมิํ สมณกรณีเย, สพฺพสฺมิํ วา กมฺมฎฺฐานานุโยเคฯ อตฺถยิตพฺพนฺติ ปุพฺพาเสวนวเสน อตฺถยิตพฺพํฯ โยคสฺส ภาวนาย อนุยุญฺชนํ โยคานุโยโค, ตเทว กรณียเฎฺฐน กมฺมํ, ตสฺส โยคานุโยคกมฺมสฺสปทฎฺฐานตฺตาติ นิปฺผตฺติเหตุตฺตาฯ

    Anolīnavuttiko hotīti sammāpaṭipattiyaṃ olīnavuttiko hīnavīriyo na hoti, āraddhavīriyo hotīti attho. Dibbesupi ārammaṇesu, pageva itaresūti adhippāyo. Sabbatthāti sabbasmiṃ samaṇakaraṇīye, sabbasmiṃ vā kammaṭṭhānānuyoge. Atthayitabbanti pubbāsevanavasena atthayitabbaṃ. Yogassa bhāvanāya anuyuñjanaṃ yogānuyogo, tadeva karaṇīyaṭṭhena kammaṃ, tassa yogānuyogakammassa. Padaṭṭhānattāti nipphattihetuttā.

    โอทาตกสิเณ อาโลกกสิณํ, กสิณุคฺฆาฎิมากาสกสิเณ ปริจฺฉินฺนากาสกสิณญฺจ อโนฺตคธํ กตฺวา ปาฬิยํ ปถวีกสิณาทีนํ รูปชฺฌานารมฺมณานํ อฎฺฐนฺนํเยว กสิณานํ สรูปโต วุตฺตตฺตา อากาสกสิณํ อาโลกกสิณญฺจ วเชฺชตฺวา ‘‘อฎฺฐติํสารมฺมเณสู’’ติ ปาฬิยํ อาคตนเยเนว วุตฺตํฯ อฎฺฐกถานเยน ปน อากาสกสิเณ อาโลกกสิเณ จ วิสุํ คหิเต จตฺตาลีสํเยว กมฺมฎฺฐานานิฯ ตตฺริมานิ จตฺตาลีส กมฺมฎฺฐานานิ – ทส กสิณา, ทส อสุภา , ทส อนุสฺสติโย, จตฺตาโร พฺรหฺมวิหารา, จตฺตาโร อารุปฺปา, เอกา สญฺญา, เอกํ ววตฺถานนฺติฯ ตตฺถ ปถวีกสิณํ อาโปกสิณํ เตโชกสิณํ วาโยกสิณํ นีลกสิณํ ปีตกสิณํ โลหิตกสิณํ โอทาตกสิณํ อาโลกกสิณํ ปริจฺฉินฺนากาสกสิณนฺติ อิเม ทส กสิณาฯ อุทฺธุมาตกํ วินีลกํ วิปุพฺพกํ วิจฺฉิทฺทกํ วิกฺขายิตกํ วิกฺขิตฺตกํ หตวิกฺขิตฺตกํ โลหิตกํ ปุฬวกํ อฎฺฐิกนฺติ อิเม ทส อสุภาฯ พุทฺธานุสฺสติ ธมฺม สงฺฆ สีล จาค เทวตานุสฺสติ มรณสฺสติ กายคตาสติ อานาปานสฺสติ อุปสมานุสฺสตีติ อิมา ทส อนุสฺสติโยฯ เมตฺตา กรุณา มุทิตา อุเปกฺขาติ อิเม จตฺตาโร พฺรหฺมวิหาราฯ อากาสานญฺจายตนํ วิญฺญาณญฺจายตนํ อากิญฺจญฺญายตนํ เนวสญฺญานาสญฺญายตนนฺติ อิเม จตฺตาโร อารุปฺปาฯ อาหาเร ปฎิกูลสญฺญา เอกา สญฺญาฯ จตุธาตุววตฺถานํ เอกํ ววตฺถานนฺติฯ

    Odātakasiṇe ālokakasiṇaṃ, kasiṇugghāṭimākāsakasiṇe paricchinnākāsakasiṇañca antogadhaṃ katvā pāḷiyaṃ pathavīkasiṇādīnaṃ rūpajjhānārammaṇānaṃ aṭṭhannaṃyeva kasiṇānaṃ sarūpato vuttattā ākāsakasiṇaṃ ālokakasiṇañca vajjetvā ‘‘aṭṭhatiṃsārammaṇesū’’ti pāḷiyaṃ āgatanayeneva vuttaṃ. Aṭṭhakathānayena pana ākāsakasiṇe ālokakasiṇe ca visuṃ gahite cattālīsaṃyeva kammaṭṭhānāni. Tatrimāni cattālīsa kammaṭṭhānāni – dasa kasiṇā, dasa asubhā , dasa anussatiyo, cattāro brahmavihārā, cattāro āruppā, ekā saññā, ekaṃ vavatthānanti. Tattha pathavīkasiṇaṃ āpokasiṇaṃ tejokasiṇaṃ vāyokasiṇaṃ nīlakasiṇaṃ pītakasiṇaṃ lohitakasiṇaṃ odātakasiṇaṃ ālokakasiṇaṃ paricchinnākāsakasiṇanti ime dasa kasiṇā. Uddhumātakaṃ vinīlakaṃ vipubbakaṃ vicchiddakaṃ vikkhāyitakaṃ vikkhittakaṃ hatavikkhittakaṃ lohitakaṃ puḷavakaṃ aṭṭhikanti ime dasa asubhā. Buddhānussati dhamma saṅgha sīla cāga devatānussati maraṇassati kāyagatāsati ānāpānassati upasamānussatīti imā dasa anussatiyo. Mettā karuṇā muditā upekkhāti ime cattāro brahmavihārā. Ākāsānañcāyatanaṃ viññāṇañcāyatanaṃ ākiñcaññāyatanaṃ nevasaññānāsaññāyatananti ime cattāro āruppā. Āhāre paṭikūlasaññā ekā saññā. Catudhātuvavatthānaṃ ekaṃ vavatthānanti.

    ยํ ยสฺส จริตานุกูลนฺติ เอตฺถ ราคจริตสฺส ตาว ทส อสุภา กายคตาสตีติ เอกาทส กมฺมฎฺฐานานิ อนุกูลานิ, โทสจริตสฺส จตฺตาโร พฺรหฺมวิหารา จตฺตาริ วณฺณกสิณานีติ อฎฺฐ, โมหจริตสฺส จ วิตกฺกจริตสฺส จ เอกํ อานาปานสฺสติกมฺมฎฺฐานเมว, สทฺธาจริตสฺส ปุริมา ฉ อนุสฺสติโย, พุทฺธิจริตสฺส มรณสฺสติ อุปสมานุสฺสติ จตุธาตุววตฺถานํ อาหาเร ปฎิกูลสญฺญาติ จตฺตาริ, เสสกสิณานิ จตฺตาโร จ อารุปฺปา สพฺพจริตานํ อนุกูลานิฯ กสิเณสุ จ ยํ กิญฺจิ ปริตฺตํ วิตกฺกจริตสฺส, อปฺปมาณํ โมหจริตสฺส อนุกูลนฺติ เวทิตพฺพํฯ ยถาวุเตฺตเนว นเยนาติ ‘‘โยคานุโยคกมฺมสฺส ปทฎฺฐานตฺตา’’ติ อิมมตฺถํ อติทิสติฯ

    Yaṃ yassa caritānukūlanti ettha rāgacaritassa tāva dasa asubhā kāyagatāsatīti ekādasa kammaṭṭhānāni anukūlāni, dosacaritassa cattāro brahmavihārā cattāri vaṇṇakasiṇānīti aṭṭha, mohacaritassa ca vitakkacaritassa ca ekaṃ ānāpānassatikammaṭṭhānameva, saddhācaritassa purimā cha anussatiyo, buddhicaritassa maraṇassati upasamānussati catudhātuvavatthānaṃ āhāre paṭikūlasaññāti cattāri, sesakasiṇāni cattāro ca āruppā sabbacaritānaṃ anukūlāni. Kasiṇesu ca yaṃ kiñci parittaṃ vitakkacaritassa, appamāṇaṃ mohacaritassa anukūlanti veditabbaṃ. Yathāvutteneva nayenāti ‘‘yogānuyogakammassa padaṭṭhānattā’’ti imamatthaṃ atidisati.

    ยํ กมฺมฎฺฐานํ คเหตุกาโม โหติ, ตเสฺสว วเสน จตุกฺกปญฺจกชฺฌานานิ นิพฺพเตฺตตฺวา ฌานปทฎฺฐานํ วิปสฺสนํ วเฑฺฒตฺวา อาสวกฺขยปฺปตฺตสฺส ขีณาสวสฺส สนฺติเก คเหตพฺพนฺติ อาห – ‘‘อิมินาว กมฺมฎฺฐาเนน…เป.… อุคฺคเหตพฺพ’’นฺติฯ อรหนฺตาทโย หีติอาทิ เอกจฺจขีณาสวโต พหุสฺสุโตว กมฺมฎฺฐานทาเน เสโยฺยติ ทสฺสนตฺถํ อารทฺธํฯ มหาหตฺถิปถํ นีหรโนฺต วิยาติ กมฺมฎฺฐานปถวิํ มหาหตฺถิปถํ กตฺวา ทเสฺสโนฺต วิยฯ สปฺปายาสปฺปายํ ปริจฺฉินฺทิตฺวาติ ยสฺส กมฺมฎฺฐานํ อาจิกฺขติ, ตสฺส อุปการานุปการํ ยุตฺติมคฺคเนน ปริจฺฉินฺทิตฺวาฯ

    Yaṃ kammaṭṭhānaṃ gahetukāmo hoti, tasseva vasena catukkapañcakajjhānāni nibbattetvā jhānapadaṭṭhānaṃ vipassanaṃ vaḍḍhetvā āsavakkhayappattassa khīṇāsavassa santike gahetabbanti āha – ‘‘imināva kammaṭṭhānena…pe… uggahetabba’’nti. Arahantādayo hītiādi ekaccakhīṇāsavato bahussutova kammaṭṭhānadāne seyyoti dassanatthaṃ āraddhaṃ. Mahāhatthipathaṃ nīharanto viyāti kammaṭṭhānapathaviṃ mahāhatthipathaṃ katvā dassento viya. Sappāyāsappāyaṃ paricchinditvāti yassa kammaṭṭhānaṃ ācikkhati, tassa upakārānupakāraṃ yuttimagganena paricchinditvā.

    อิทานิ กมฺมฎฺฐานทายกสฺส สนฺติกํ คจฺฉเนฺตน โธตมกฺขิเตหิ ปาเทหิ อุปาหนา อารุหิตฺวา ฉตฺตํ คเหตฺวา เตลนาฬิมธุผาณิตาทีนิ คาหาเปตฺวา อเนฺตวาสิกปริวุเตน น คนฺตพฺพํ, คมิกวตฺตํ ปน ปูเรตฺวา อตฺตโน ปตฺตจีวรํ สยเมว คเหตฺวา อนฺตรามเคฺค ยํ ยํ วิหารํ ปวิสติ, สพฺพตฺถ ปวิฎฺฐกาเล อาคนฺตุกวตฺตํ, นิกฺขมนกาเล คมิกวตฺตนฺติ ยถารหํ ตํ ตํ วตฺตํ ปูเรเนฺตน สลฺลหุกปริกฺขาเรน ปรมสเลฺลขวุตฺตินา หุตฺวา คนฺตพฺพนฺติ อิมมตฺถํ สงฺขิปิตฺวา ทเสฺสโนฺต ‘‘สลฺลหุกวุตฺตินา วินยาจารสมฺปเนฺนนา’’ติ อาหฯ เอวํ ปน คนฺตฺวา ตํ วิหารํ ปวิสเนฺตน อนฺตราเยว ทนฺตกฎฺฐํ กปฺปิยํ การาเปตฺวา คเหตฺวา ปวิสิตพฺพํ, น จ มุหุตฺตํ วิสฺสมิตฺวา ปาทโธวนมกฺขนาทีนิ กตฺวา อาจริยสฺส สนฺติกํ คมิสฺสามีติ อญฺญํ ปริเวณํ ปวิสิตพฺพํฯ กสฺมา? สเจ หิสฺส ตตฺร อาจริยสฺส วิสภาคา ภิกฺขู ภเวยฺยุํ, ตํ เต อาคมนการณํ ปุจฺฉิตฺวา อาจริยสฺส อวณฺณํ ปกาเสตฺวา ‘‘นโฎฺฐสิ, สเจ ตสฺส สนฺติกํ อาคโต’’ติ วิปฺปฎิสารํ อุปฺปาเทยฺยุํ, เยน ตโตว ปฎินิวเตฺตยฺย, ตสฺมา อาจริยสฺส วสนฎฺฐานํ ปุจฺฉิตฺวา อุชุกํ ตเตฺถว คนฺตพฺพํฯ

    Idāni kammaṭṭhānadāyakassa santikaṃ gacchantena dhotamakkhitehi pādehi upāhanā āruhitvā chattaṃ gahetvā telanāḷimadhuphāṇitādīni gāhāpetvā antevāsikaparivutena na gantabbaṃ, gamikavattaṃ pana pūretvā attano pattacīvaraṃ sayameva gahetvā antarāmagge yaṃ yaṃ vihāraṃ pavisati, sabbattha paviṭṭhakāle āgantukavattaṃ, nikkhamanakāle gamikavattanti yathārahaṃ taṃ taṃ vattaṃ pūrentena sallahukaparikkhārena paramasallekhavuttinā hutvā gantabbanti imamatthaṃ saṅkhipitvā dassento ‘‘sallahukavuttinā vinayācārasampannenā’’ti āha. Evaṃ pana gantvā taṃ vihāraṃ pavisantena antarāyeva dantakaṭṭhaṃ kappiyaṃ kārāpetvā gahetvā pavisitabbaṃ, na ca muhuttaṃ vissamitvā pādadhovanamakkhanādīni katvā ācariyassa santikaṃ gamissāmīti aññaṃ pariveṇaṃ pavisitabbaṃ. Kasmā? Sace hissa tatra ācariyassa visabhāgā bhikkhū bhaveyyuṃ, taṃ te āgamanakāraṇaṃ pucchitvā ācariyassa avaṇṇaṃ pakāsetvā ‘‘naṭṭhosi, sace tassa santikaṃ āgato’’ti vippaṭisāraṃ uppādeyyuṃ, yena tatova paṭinivatteyya, tasmā ācariyassa vasanaṭṭhānaṃ pucchitvā ujukaṃ tattheva gantabbaṃ.

    วุตฺตปฺปการมาจริยนฺติ –

    Vuttappakāramācariyanti –

    ‘‘ปิโย ครุ ภาวนีโย, วตฺตา จ วจนกฺขโม;

    ‘‘Piyo garu bhāvanīyo, vattā ca vacanakkhamo;

    คมฺภีรญฺจ กถํ กตฺตา, โน จฎฺฐาเน นิโยชโก’’ติฯ (อ. นิ. ๗.๓๗; เนตฺติ. ๑๑๓) –

    Gambhīrañca kathaṃ kattā, no caṭṭhāne niyojako’’ti. (a. ni. 7.37; netti. 113) –

    เอวมาทินา วุตฺตปฺปการํ สทฺธาทิคุณสมนฺนาคตํ เอกนฺตหิเตสิํ วุฑฺฒิปเกฺข ฐิตํ กลฺยาณมิตฺตํ อาจริยํฯ วตฺตปฎิปตฺติยา อาราธิตจิตฺตสฺสาติ เอตฺถ สเจ อาจริโย ทหรตโร โหติ, ปตฺตจีวรปฎิคฺคหณาทีนิ น สาทิตพฺพานิฯ สเจ วุฑฺฒตโร, คนฺตฺวา อาจริยํ วนฺทิตฺวา ฐาตพฺพํฯ ‘‘นิกฺขิปาวุโส, ปตฺตจีวร’’นฺติ วุเตฺตน นิกฺขิปิตพฺพํฯ ‘‘ปานียํ ปิวา’’ติ วุเตฺตน สเจ อิจฺฉติ, ปาตพฺพํฯ ‘‘ปาเท โธวา’’ติ วุเตฺตน น ตาว โธวิตพฺพาฯ สเจ หิ อาจริเยน อาภตมุทกํ ภเวยฺย, น สารุปฺปํ สิยาฯ ‘‘โธวาวุโส, น มยา อาภตํ, อเญฺญหิ อาภต’’นฺติ วุเตฺตน ปน ยตฺถ อาจริโย น ปสฺสติ, เอวรูเป ปฎิจฺฉเนฺน วา โอกาเส อโพฺภกาสวิหารสฺสปิ วา เอกมเนฺต นิสีทิตฺวา ปาทา โธวิตพฺพาฯ สเจ อาจริโย เตลนาฬิํ อาหรติ, อุฎฺฐหิตฺวา อุโภหิ หเตฺถหิ สกฺกจฺจํ คเหตพฺพาฯ สเจ หิ น คเณฺหยฺย, ‘‘อยํ ภิกฺขุ อิโต เอว ปฎฺฐาย สโมฺภคํ โกเปตี’’ติ อาจริยสฺส อญฺญถตฺตํ ภเวยฺยฯ คเหตฺวา ปน น อาทิโตว ปาทา มเกฺขตพฺพาฯ สเจ หิ ตํ อาจริยสฺส คตฺตพฺภญฺชนเตลํ ภเวยฺย, น สารุปฺปํ สิยา, ตสฺมา ปฐมํ สีสํ มเกฺขตฺวา ขนฺธาทีนิ มเกฺขตพฺพานิฯ ‘‘สพฺพปาริหาริยเตลมิทํ, อาวุโส, ปาเทปิ มเกฺขหี’’ติ วุเตฺตน ปน ปาเท มเกฺขตฺวา ‘‘อิมํ เตลนาฬิํ ฐเปมิ, ภเนฺต’’ติ วตฺวา อาจริเย คณฺหเนฺต ทาตพฺพาฯ

    Evamādinā vuttappakāraṃ saddhādiguṇasamannāgataṃ ekantahitesiṃ vuḍḍhipakkhe ṭhitaṃ kalyāṇamittaṃ ācariyaṃ. Vattapaṭipattiyā ārādhitacittassāti ettha sace ācariyo daharataro hoti, pattacīvarapaṭiggahaṇādīni na sāditabbāni. Sace vuḍḍhataro, gantvā ācariyaṃ vanditvā ṭhātabbaṃ. ‘‘Nikkhipāvuso, pattacīvara’’nti vuttena nikkhipitabbaṃ. ‘‘Pānīyaṃ pivā’’ti vuttena sace icchati, pātabbaṃ. ‘‘Pāde dhovā’’ti vuttena na tāva dhovitabbā. Sace hi ācariyena ābhatamudakaṃ bhaveyya, na sāruppaṃ siyā. ‘‘Dhovāvuso, na mayā ābhataṃ, aññehi ābhata’’nti vuttena pana yattha ācariyo na passati, evarūpe paṭicchanne vā okāse abbhokāsavihārassapi vā ekamante nisīditvā pādā dhovitabbā. Sace ācariyo telanāḷiṃ āharati, uṭṭhahitvā ubhohi hatthehi sakkaccaṃ gahetabbā. Sace hi na gaṇheyya, ‘‘ayaṃ bhikkhu ito eva paṭṭhāya sambhogaṃ kopetī’’ti ācariyassa aññathattaṃ bhaveyya. Gahetvā pana na āditova pādā makkhetabbā. Sace hi taṃ ācariyassa gattabbhañjanatelaṃ bhaveyya, na sāruppaṃ siyā, tasmā paṭhamaṃ sīsaṃ makkhetvā khandhādīni makkhetabbāni. ‘‘Sabbapārihāriyatelamidaṃ, āvuso, pādepi makkhehī’’ti vuttena pana pāde makkhetvā ‘‘imaṃ telanāḷiṃ ṭhapemi, bhante’’ti vatvā ācariye gaṇhante dātabbā.

    คตทิวสโต ปฎฺฐาย ‘‘กมฺมฎฺฐานํ เม, ภเนฺต, กเถถ’’อิเจฺจวํ น วตฺตพฺพํฯ ทุติยทิวสโต ปน ปฎฺฐาย สเจ อาจริยสฺส ปกติอุปฎฺฐาโก อตฺถิ, ตํ ยาจิตฺวา วตฺตํ กาตพฺพํฯ สเจ ยาจิโตปิ น เทติ, โอกาเส ลเทฺธเยว กาตพฺพํฯ กโรเนฺตน จ ขุทฺทกมชฺฌิมมหนฺตานิ ตีณิ ทนฺตกฎฺฐานิ อุปนาเมตพฺพานิฯ สีตํ อุณฺหนฺติ ทุวิธํ มุขโธวนุทกญฺจ นฺหาโนทกญฺจ ปฎิยาเทตพฺพํฯ ตโต ยํ อาจริโย ตีณิ ทิวสานิ ปริภุญฺชติ, ตาทิสเมว นิจฺจํ อุปฎฺฐาเปตพฺพํ, นิยมํ อกตฺวา ยํ วา ตํ วา ปริภุญฺชนฺตสฺส ยถาลทฺธํ อุปนาเมตพฺพํฯ กิํ พหุนา วุเตฺตน, ยํ ตํ ภควตา ‘‘อเนฺตวาสิเกน, ภิกฺขเว, อาจริยมฺหิ สมฺมา วตฺติตพฺพํฯ ตตฺรายํ สมฺมาวตฺตนา – กาลเสฺสว วุฎฺฐาย อุปาหนา โอมุญฺจิตฺวา เอกํสํ อุตฺตราสงฺคํ กริตฺวา ทนฺตกฎฺฐํ ทาตพฺพํ, มุโขทกํ ทาตพฺพํ, อาสนํ ปญฺญเปตพฺพํฯ สเจ ยาคุ โหติ, ภาชนํ โธวิตฺวา ยาคุ อุปนาเมตพฺพา’’ติอาทิกํ (มหาว. ๖๖) ขนฺธเก วตฺตํ ปญฺญตฺตํ, ตํ สพฺพมฺปิ กาตพฺพํฯ อิติ อิมินา ยถาวุเตฺตน นเยน ปฎิปชฺชโนฺต วตฺตปฎิปตฺติยา จิตฺตํ อาราเธตีติ ทฎฺฐพฺพํฯ

    Gatadivasato paṭṭhāya ‘‘kammaṭṭhānaṃ me, bhante, kathetha’’iccevaṃ na vattabbaṃ. Dutiyadivasato pana paṭṭhāya sace ācariyassa pakatiupaṭṭhāko atthi, taṃ yācitvā vattaṃ kātabbaṃ. Sace yācitopi na deti, okāse laddheyeva kātabbaṃ. Karontena ca khuddakamajjhimamahantāni tīṇi dantakaṭṭhāni upanāmetabbāni. Sītaṃ uṇhanti duvidhaṃ mukhadhovanudakañca nhānodakañca paṭiyādetabbaṃ. Tato yaṃ ācariyo tīṇi divasāni paribhuñjati, tādisameva niccaṃ upaṭṭhāpetabbaṃ, niyamaṃ akatvā yaṃ vā taṃ vā paribhuñjantassa yathāladdhaṃ upanāmetabbaṃ. Kiṃ bahunā vuttena, yaṃ taṃ bhagavatā ‘‘antevāsikena, bhikkhave, ācariyamhi sammā vattitabbaṃ. Tatrāyaṃ sammāvattanā – kālasseva vuṭṭhāya upāhanā omuñcitvā ekaṃsaṃ uttarāsaṅgaṃ karitvā dantakaṭṭhaṃ dātabbaṃ, mukhodakaṃ dātabbaṃ, āsanaṃ paññapetabbaṃ. Sace yāgu hoti, bhājanaṃ dhovitvā yāgu upanāmetabbā’’tiādikaṃ (mahāva. 66) khandhake vattaṃ paññattaṃ, taṃ sabbampi kātabbaṃ. Iti iminā yathāvuttena nayena paṭipajjanto vattapaṭipattiyā cittaṃ ārādhetīti daṭṭhabbaṃ.

    ปญฺจสนฺธิกนฺติ ปญฺจปพฺพํ, ปญฺจภาคนฺติ อโตฺถฯ กมฺมฎฺฐานสฺส อุคฺคณฺหนนฺติ กมฺมฎฺฐานคนฺถสฺส อุคฺคณฺหนํ, ตทตฺถปริปุจฺฉา กมฺมฎฺฐานสฺส ปริปุจฺฉนาฯ อถ วา คนฺถโต อตฺถโต จ กมฺมฎฺฐานสฺส อุคฺคณฺหนํ อุคฺคโห, ตตฺถ สํสยปริปุจฺฉนา ปริปุจฺฉากมฺมฎฺฐานสฺส อุปฎฺฐานนฺติ นิมิตฺตุปฎฺฐานํ, เอวํ ภาวนมนุยุญฺชนฺตสฺส ‘‘เอวมิทํ นิมิตฺตํ อุปฎฺฐาตี’’ติ อุปธารณํ, ตถา กมฺมฎฺฐานปฺปนา ‘‘เอวํ ฌานมเปฺปตี’’ติฯ กมฺมฎฺฐานสฺส ลกฺขณนฺติ คณนานุพนฺธนาผุสนานํ วเสน ภาวนํ อุสฺสุกฺกาเปตฺวา ฐปนาย สมฺปตฺติ, ตโต ปรมฺปิ วา สลฺลกฺขณาทิวเสน มตฺถกปฺปตฺตีติ กมฺมฎฺฐานสภาวสฺส สลฺลกฺขณํฯ เตนาห – ‘‘กมฺมฎฺฐานสภาวุปธารณนฺติ วุตฺตํ โหตี’’ติฯ

    Pañcasandhikanti pañcapabbaṃ, pañcabhāganti attho. Kammaṭṭhānassa uggaṇhananti kammaṭṭhānaganthassa uggaṇhanaṃ, tadatthaparipucchā kammaṭṭhānassa paripucchanā. Atha vā ganthato atthato ca kammaṭṭhānassa uggaṇhanaṃ uggaho, tattha saṃsayaparipucchanā paripucchā. Kammaṭṭhānassa upaṭṭhānanti nimittupaṭṭhānaṃ, evaṃ bhāvanamanuyuñjantassa ‘‘evamidaṃ nimittaṃ upaṭṭhātī’’ti upadhāraṇaṃ, tathā kammaṭṭhānappanā ‘‘evaṃ jhānamappetī’’ti. Kammaṭṭhānassa lakkhaṇanti gaṇanānubandhanāphusanānaṃ vasena bhāvanaṃ ussukkāpetvā ṭhapanāya sampatti, tato parampi vā sallakkhaṇādivasena matthakappattīti kammaṭṭhānasabhāvassa sallakkhaṇaṃ. Tenāha – ‘‘kammaṭṭhānasabhāvupadhāraṇanti vuttaṃ hotī’’ti.

    อตฺตนาปิ น กิลมติ โอธิโส กมฺมฎฺฐานสฺส อุคฺคณฺหนโต, ตโต เอว อาจริยมฺปิ น วิเหเฐติ ธมฺมาธิกรณมฺปิ ภาวนาย มตฺถกํ ปาปนโตฯ ตสฺมาติ ตํนิมิตฺตํ อตฺตโนอกิลมนอาจริยาวิเหฐนเหตุฯ โถกนฺติ โถกํ โถกํฯ ตตฺถาติ ยตฺถ อาจริโย วสติ, ตตฺถฯ สปฺปายํ โหตีติ อาวาสสปฺปายาทิลาเภน มนสิการผาสุตา ภาวนานุกูลตา โหติฯ โยชนปรมนฺติ อิมินา คาวุตอฑฺฒโยชนานิปิ สงฺคณฺหาติฯ ยสฺมา ปน มนฺทปโญฺญ คาวุเต อฑฺฒโยชเน โยชนมเตฺต วา วสโนฺต กมฺมฎฺฐานสฺส กิสฺมิญฺจิเทว ฐาเน สเนฺทเห วา สติสโมฺมเส วา ชาเต กาลเสฺสว วิหาเร วตฺตํ กตฺวา อนฺตรามเคฺค ปิณฺฑาย จริตฺวา ภตฺตกิจฺจปริโยสาเนเยว อาจริยสฺส วสนฎฺฐานํ คนฺตฺวา ตํ ทิวสํ อาจริยสฺส สนฺติเก กมฺมฎฺฐานํ โสเธตฺวา ทุติยทิวเส อาจริยํ วนฺทิตฺวา นิกฺขมิตฺวา อนฺตรามเคฺค ปิณฺฑาย จริตฺวา อกิลมโนฺตเยว อตฺตโน วสนฎฺฐานํ อาคนฺตุํ สกฺขิสฺสติ, ตสฺมา วุตฺตํ ‘‘มนฺทปโญฺญ โยชนปรมํ คนฺตฺวา’’ติฯ สเจ ติกฺขปโญฺญ โยชนปรเม ผาสุกฎฺฐานํ น ลภติ, เตน กมฺมฎฺฐาเน สพฺพํ คณฺฐิฎฺฐานํ ฉินฺทิตฺวา วิสุทฺธํ อาวชฺชนปฎิพทฺธํ กมฺมฎฺฐานํ กตฺวา โยชนปรมโต ทูรมฺปิ คนฺตุํ วฎฺฎตีติ อาห ‘‘ติกฺขปโญฺญ ทูรมฺปิ คนฺตฺวา’’ติฯ

    Attanāpina kilamati odhiso kammaṭṭhānassa uggaṇhanato, tato eva ācariyampi na viheṭheti dhammādhikaraṇampi bhāvanāya matthakaṃ pāpanato. Tasmāti taṃnimittaṃ attanoakilamanaācariyāviheṭhanahetu. Thokanti thokaṃ thokaṃ. Tatthāti yattha ācariyo vasati, tattha. Sappāyaṃ hotīti āvāsasappāyādilābhena manasikāraphāsutā bhāvanānukūlatā hoti. Yojanaparamanti iminā gāvutaaḍḍhayojanānipi saṅgaṇhāti. Yasmā pana mandapañño gāvute aḍḍhayojane yojanamatte vā vasanto kammaṭṭhānassa kismiñcideva ṭhāne sandehe vā satisammose vā jāte kālasseva vihāre vattaṃ katvā antarāmagge piṇḍāya caritvā bhattakiccapariyosāneyeva ācariyassa vasanaṭṭhānaṃ gantvā taṃ divasaṃ ācariyassa santike kammaṭṭhānaṃ sodhetvā dutiyadivase ācariyaṃ vanditvā nikkhamitvā antarāmagge piṇḍāya caritvā akilamantoyeva attano vasanaṭṭhānaṃ āgantuṃ sakkhissati, tasmā vuttaṃ ‘‘mandapañño yojanaparamaṃ gantvā’’ti. Sace tikkhapañño yojanaparame phāsukaṭṭhānaṃ na labhati, tena kammaṭṭhāne sabbaṃ gaṇṭhiṭṭhānaṃ chinditvā visuddhaṃ āvajjanapaṭibaddhaṃ kammaṭṭhānaṃ katvā yojanaparamato dūrampi gantuṃ vaṭṭatīti āha ‘‘tikkhapañño dūrampi gantvā’’ti.

    อฎฺฐารสเสนาสนโทสวิวชฺชิตนฺติ มหตฺตํ, นวตฺตํ, ชิณฺณตฺตํ, ปนฺถนิสฺสิตตฺตํ, โสณฺฑี, ปณฺณํ, ปุปฺผํ, ผลํ, ปตฺถนียตา, นครสนฺนิสฺสิตตา, ทารุสนฺนิสฺสิตตา, เขตฺตสนฺนิสฺสิตตา, วิสภาคานํ ปุคฺคลานํ อตฺถิตา, ปฎฺฎนสนฺนิสฺสิตตา, ปจฺจนฺตสนฺนิสฺสิตตา, รชฺชสีมสนฺนิสฺสิตตา, อสปฺปายตา, กลฺยาณมิตฺตานํ อลาโภติ อิเมหิ อฎฺฐารสหิ เสนาสนโทเสหิ วิวชฺชิตํฯ อิเมสญฺหิ อฎฺฐารสนฺนํ โทสานํ อญฺญตเรน สมนฺนาคตํ เสนาสนํ ภาวนาย อนนุรูปํฯ

    Aṭṭhārasasenāsanadosavivajjitanti mahattaṃ, navattaṃ, jiṇṇattaṃ, panthanissitattaṃ, soṇḍī, paṇṇaṃ, pupphaṃ, phalaṃ, patthanīyatā, nagarasannissitatā, dārusannissitatā, khettasannissitatā, visabhāgānaṃ puggalānaṃ atthitā, paṭṭanasannissitatā, paccantasannissitatā, rajjasīmasannissitatā, asappāyatā, kalyāṇamittānaṃ alābhoti imehi aṭṭhārasahi senāsanadosehi vivajjitaṃ. Imesañhi aṭṭhārasannaṃ dosānaṃ aññatarena samannāgataṃ senāsanaṃ bhāvanāya ananurūpaṃ.

    กสฺมา? มหาวิหาเร (วิสุทฺธิ. ๑.๕๒) ตาว พหู นานาฉนฺทา สนฺนิปตนฺติ, เต อญฺญมญฺญํ ปฎิวิรุทฺธตาย วตฺตํ น กโรนฺติ, โพธิยงฺคณาทีนิ อสมฺมฎฺฐาเนว โหนฺติ, อนุปฎฺฐาปิตํ ปานียํ ปริโภชนียํฯ ตตฺรายํ ‘‘โคจรคาเม ปิณฺฑาย จริสฺสามี’’ติ ปตฺตจีวรมาทาย นิกฺขโนฺตปิ สเจ ปสฺสติ วตฺตํ อกตํ, ปานียฆฎํ วา ริตฺตํ, อถาเนน วตฺตํ กาตพฺพํ โหติ, ปานียํ อุปฎฺฐาเปตพฺพํ , อกโรโนฺต วตฺตเภเท ทุกฺกฎํ อาปชฺชติฯ กโรนฺตสฺส กาโล อติกฺกมติ, อติทิวา ปวิโฎฺฐ นิฎฺฐิตาย ภิกฺขาย กิญฺจิ น ลภติฯ ปฎิสลฺลานคโตปิ สามเณรทหรภิกฺขูนํ อุจฺจาสเทฺทน สงฺฆกเมฺมหิ จ วิกฺขิปติฯ ยตฺถ ปน สพฺพํ วตฺตํ กตเมว โหติ, อวเสสาปิ จ ฆฎฺฎนา นตฺถิ, เอวรูเป มหาวิหาเรปิ วิหาตพฺพํฯ

    Kasmā? Mahāvihāre (visuddhi. 1.52) tāva bahū nānāchandā sannipatanti, te aññamaññaṃ paṭiviruddhatāya vattaṃ na karonti, bodhiyaṅgaṇādīni asammaṭṭhāneva honti, anupaṭṭhāpitaṃ pānīyaṃ paribhojanīyaṃ. Tatrāyaṃ ‘‘gocaragāme piṇḍāya carissāmī’’ti pattacīvaramādāya nikkhantopi sace passati vattaṃ akataṃ, pānīyaghaṭaṃ vā rittaṃ, athānena vattaṃ kātabbaṃ hoti, pānīyaṃ upaṭṭhāpetabbaṃ , akaronto vattabhede dukkaṭaṃ āpajjati. Karontassa kālo atikkamati, atidivā paviṭṭho niṭṭhitāya bhikkhāya kiñci na labhati. Paṭisallānagatopi sāmaṇeradaharabhikkhūnaṃ uccāsaddena saṅghakammehi ca vikkhipati. Yattha pana sabbaṃ vattaṃ katameva hoti, avasesāpi ca ghaṭṭanā natthi, evarūpe mahāvihārepi vihātabbaṃ.

    นววิหาเร พหุ นวกมฺมํ โหติ, อกโรนฺตํ อุชฺฌายนฺติฯ ยตฺถ ปน ภิกฺขู เอวํ วทนฺติ ‘‘อายสฺมา ยถาสุขํ สมณธมฺมํ กโรตุ, มยํ นวกมฺมํ กริสฺสามา’’ติ, เอวรูเป วิหาตพฺพํฯ

    Navavihāre bahu navakammaṃ hoti, akarontaṃ ujjhāyanti. Yattha pana bhikkhū evaṃ vadanti ‘‘āyasmā yathāsukhaṃ samaṇadhammaṃ karotu, mayaṃ navakammaṃ karissāmā’’ti, evarūpe vihātabbaṃ.

    ชิณฺณวิหาเร ปน พหุ ปฎิชคฺคิตพฺพํ โหติ, อนฺตมโส อตฺตโน เสนาสนมตฺตมฺปิ อปฺปฎิชคฺคนฺตํ อุชฺฌายนฺติ, ปฎิชคฺคนฺตสฺส กมฺมฎฺฐานํ ปริหายติฯ

    Jiṇṇavihāre pana bahu paṭijaggitabbaṃ hoti, antamaso attano senāsanamattampi appaṭijaggantaṃ ujjhāyanti, paṭijaggantassa kammaṭṭhānaṃ parihāyati.

    ปนฺถนิสฺสิเต มหาปถวิหาเร รตฺตินฺทิวํ อาคนฺตุกา สนฺนิปตนฺติฯ วิกาเล อาคตานํ อตฺตโน เสนาสนํ ทตฺวา รุกฺขมูเล วา ปาสาณปิเฎฺฐ วา วสิตพฺพํ โหติ, ปุนทิวเสปิ เอวเมวาติ กมฺมฎฺฐานสฺส โอกาโส น โหติฯ ยตฺถ ปน เอวรูโป อาคนฺตุกสมฺพาโธ น โหติ, ตตฺถ วิหาตพฺพํฯ

    Panthanissite mahāpathavihāre rattindivaṃ āgantukā sannipatanti. Vikāle āgatānaṃ attano senāsanaṃ datvā rukkhamūle vā pāsāṇapiṭṭhe vā vasitabbaṃ hoti, punadivasepi evamevāti kammaṭṭhānassa okāso na hoti. Yattha pana evarūpo āgantukasambādho na hoti, tattha vihātabbaṃ.

    โสณฺฑี นาม ปาสาณโปกฺขรณี โหติฯ ตตฺถ ปานียตฺถํ มหาชโน สโมสรติ, นครวาสีนํ ราชกุลูปกเตฺถรานํ อเนฺตวาสิกา รชนกมฺมตฺถาย อาคจฺฉนฺติ, เตสํ ภาชนทารุโทณิกาทีนิ ปุจฺฉนฺตานํ ‘‘อสุเก จ อสุเก จ ฐาเน’’ติ ทเสฺสตพฺพานิ โหนฺติฯ เอวํ สพฺพกาลมฺปิ นิจฺจพฺยาวโฎ โหติฯ

    Soṇḍī nāma pāsāṇapokkharaṇī hoti. Tattha pānīyatthaṃ mahājano samosarati, nagaravāsīnaṃ rājakulūpakattherānaṃ antevāsikā rajanakammatthāya āgacchanti, tesaṃ bhājanadārudoṇikādīni pucchantānaṃ ‘‘asuke ca asuke ca ṭhāne’’ti dassetabbāni honti. Evaṃ sabbakālampi niccabyāvaṭo hoti.

    ยตฺถ นานาวิธํ สากปณฺณํ โหติ, ตตฺถสฺส กมฺมฎฺฐานํ คเหตฺวา ทิวาวิหารํ นิสินฺนสฺสปิ สนฺติเก สากหาริกา คายมานา ปณฺณํ อุจฺจินนฺติโย วิสภาคสทฺทสงฺฆฎฺฎเนน กมฺมฎฺฐานนฺตรายํ กโรนฺติฯ

    Yattha nānāvidhaṃ sākapaṇṇaṃ hoti, tatthassa kammaṭṭhānaṃ gahetvā divāvihāraṃ nisinnassapi santike sākahārikā gāyamānā paṇṇaṃ uccinantiyo visabhāgasaddasaṅghaṭṭanena kammaṭṭhānantarāyaṃ karonti.

    ยตฺถ ปน นานาวิธา มาลาคจฺฉา สุปุปฺผิตา โหนฺติ, ตตฺราปิ ตาทิโสเยว อุปทฺทโวฯ

    Yattha pana nānāvidhā mālāgacchā supupphitā honti, tatrāpi tādisoyeva upaddavo.

    ยตฺถ นานาวิธํ อมฺพชมฺพุปนสาทิผลํ โหติ, ตตฺถ ผลตฺถิกา อาคนฺตฺวา ยาจนฺติ, อเทนฺตสฺส กุชฺฌนฺติ, พลกฺกาเรน วา คณฺหนฺติ, สายนฺหสมเย วิหารมเชฺฌ จงฺกมเนฺตน เต ทิสฺวา ‘‘กิํ อุปาสกา เอวํ กโรถา’’ติ วุตฺตา ยถารุจิ อโกฺกสนฺติ, อวาสายปิสฺส ปรกฺกมนฺติฯ

    Yattha nānāvidhaṃ ambajambupanasādiphalaṃ hoti, tattha phalatthikā āgantvā yācanti, adentassa kujjhanti, balakkārena vā gaṇhanti, sāyanhasamaye vihāramajjhe caṅkamantena te disvā ‘‘kiṃ upāsakā evaṃ karothā’’ti vuttā yathāruci akkosanti, avāsāyapissa parakkamanti.

    ปตฺถนีเย ปน โลกสมฺมเต ทกฺขิณคิริหตฺถิกุจฺฉิเจติยคิริจิตฺตลปพฺพตสทิเส วิหาเร วิหรนฺตํ ‘‘อยํ อรหา’’ติ สมฺภาเวตฺวา วนฺทิตุกามา มนุสฺสา สมนฺตา โอสรนฺติ, เตนสฺส น ผาสุ โหติฯ ยสฺส ปน ตํ สปฺปายํ โหติ, เตน ทิวา อญฺญตฺถ คนฺตฺวา รตฺติํ วสิตพฺพํฯ

    Patthanīye pana lokasammate dakkhiṇagirihatthikucchicetiyagiricittalapabbatasadise vihāre viharantaṃ ‘‘ayaṃ arahā’’ti sambhāvetvā vanditukāmā manussā samantā osaranti, tenassa na phāsu hoti. Yassa pana taṃ sappāyaṃ hoti, tena divā aññattha gantvā rattiṃ vasitabbaṃ.

    นครสนฺนิสฺสิเต วิสภาคารมฺมณานิ อาปาถมาคจฺฉนฺติ, กุมฺภทาสิโยปิ ฆเฎหิ นิฆํสนฺติโย คจฺฉนฺติ, โอกฺกมิตฺวา มคฺคํ น เทนฺติ, อิสฺสรมนุสฺสาปิ วิหารมเชฺฌ สาณิํ ปริกฺขิปิตฺวา นิสีทนฺติฯ

    Nagarasannissite visabhāgārammaṇāni āpāthamāgacchanti, kumbhadāsiyopi ghaṭehi nighaṃsantiyo gacchanti, okkamitvā maggaṃ na denti, issaramanussāpi vihāramajjhe sāṇiṃ parikkhipitvā nisīdanti.

    ทารุสนฺนิสฺสเย ปน ยตฺถ กฎฺฐานิ จ ทพฺพุปกรณรุกฺขา จ สนฺติ, ตตฺถ กฎฺฐหาริกา ปุเพฺพ วุตฺตสากปุปฺผหาริกา วิย อผาสุกํ กโรนฺติฯ วิหาเร รุกฺขา สนฺติ, เต ‘‘ฉินฺทิตฺวา ฆรานิ กริสฺสามา’’ติ มนุสฺสา อาคนฺตฺวา ฉินฺทนฺติฯ สเจ สายนฺหสมเย ปธานฆรา นิกฺขมิตฺวา วิหารมเชฺฌ จงฺกมโนฺต เต ทิสฺวา ‘‘กิํ อุปาสกา เอวํ กโรถา’’ติ วทติ, ยถารุจิ อโกฺกสนฺติ, อวาสายปิสฺส ปรกฺกมนฺติฯ

    Dārusannissaye pana yattha kaṭṭhāni ca dabbupakaraṇarukkhā ca santi, tattha kaṭṭhahārikā pubbe vuttasākapupphahārikā viya aphāsukaṃ karonti. Vihāre rukkhā santi, te ‘‘chinditvā gharāni karissāmā’’ti manussā āgantvā chindanti. Sace sāyanhasamaye padhānagharā nikkhamitvā vihāramajjhe caṅkamanto te disvā ‘‘kiṃ upāsakā evaṃ karothā’’ti vadati, yathāruci akkosanti, avāsāyapissa parakkamanti.

    โย ปน เขตฺตสนฺนิสฺสิโต โหติ สมนฺตา เขเตฺตหิ ปริวาริโต, ตตฺถ มนุสฺสา วิหารมเชฺฌเยว ขลํ กตฺวา ธญฺญํ มทฺทนฺติ, ปมุเขสุ สยนฺติ, อญฺญมฺปิ พหุํ อผาสุํ กโรนฺติฯ ยตฺรปิ มหาสงฺฆโภโค โหติ, อารามิกกุลานํ คาโว รุนฺธนฺติ, อุทกวารํ ปฎิเสเธนฺติ, มนุสฺสา วีหิสีสํ คเหตฺวา ‘‘ปสฺสถ ตุมฺหากํ อารามิกกุลานํ กมฺม’’นฺติ สงฺฆสฺส ทเสฺสนฺติฯ เตน เตน การเณน ราชราชมหามตฺตานํ ฆรทฺวารํ คนฺตพฺพํ โหติ, อยมฺปิ เขตฺตสนฺนิสฺสิเตเนว สงฺคหิโตฯ

    Yo pana khettasannissito hoti samantā khettehi parivārito, tattha manussā vihāramajjheyeva khalaṃ katvā dhaññaṃ maddanti, pamukhesu sayanti, aññampi bahuṃ aphāsuṃ karonti. Yatrapi mahāsaṅghabhogo hoti, ārāmikakulānaṃ gāvo rundhanti, udakavāraṃ paṭisedhenti, manussā vīhisīsaṃ gahetvā ‘‘passatha tumhākaṃ ārāmikakulānaṃ kamma’’nti saṅghassa dassenti. Tena tena kāraṇena rājarājamahāmattānaṃ gharadvāraṃ gantabbaṃ hoti, ayampi khettasannissiteneva saṅgahito.

    ยตฺถ อญฺญมญฺญวิสภาคา เวรี ภิกฺขู วิหรนฺติ, เย กลหํ กโรนฺตา ‘‘มา, ภเนฺต, เอวํ กโรถา’’ติ วาริยมานา ‘‘เอตสฺส ปํสุกูลิกสฺส อาคตกาลโต ปฎฺฐาย นฎฺฐามฺหา’’ติ วตฺตาโร ภวนฺติฯ

    Yattha aññamaññavisabhāgā verī bhikkhū viharanti, ye kalahaṃ karontā ‘‘mā, bhante, evaṃ karothā’’ti vāriyamānā ‘‘etassa paṃsukūlikassa āgatakālato paṭṭhāya naṭṭhāmhā’’ti vattāro bhavanti.

    โยปิ อุทกปฎฺฎนํ วา ถลปฎฺฎนํ วา สนฺนิสฺสิโต โหติ, ตตฺถ อภิณฺหํ นาวาหิ จ สเตฺถหิ จ อาคตมนุสฺสา ‘‘โอกาสํ เทถ, ปานียํ เทถ, โลณํ เทถา’’ติ ฆฎฺฎยนฺตา อผาสุํ กโรนฺติฯ

    Yopi udakapaṭṭanaṃ vā thalapaṭṭanaṃ vā sannissito hoti, tattha abhiṇhaṃ nāvāhi ca satthehi ca āgatamanussā ‘‘okāsaṃ detha, pānīyaṃ detha, loṇaṃ dethā’’ti ghaṭṭayantā aphāsuṃ karonti.

    ปจฺจนฺตสนฺนิสฺสิเต ปน มนุสฺสา พุทฺธาทีสุ อปฺปสนฺนา โหนฺติฯ

    Paccantasannissite pana manussā buddhādīsu appasannā honti.

    รชฺชสีมสนฺนิสฺสิเต ราชภยํ โหติฯ ตญฺหิ ปเทสํ เอโก ราชา ‘‘น มยฺหํ วเส วตฺตตี’’ติ ปหรติ, อิตโรปิ ‘‘น มยฺหํ วเส วตฺตตี’’ติฯ ตตฺรายํ ภิกฺขุ กทาจิ อิมสฺส รโญฺญ วิชิเต วิจรติ, กทาจิ เอตสฺส, อถ นํ ‘‘จรปุริโส อย’’นฺติ มญฺญมานา อนยพฺยสนํ ปาเปนฺติฯ

    Rajjasīmasannissite rājabhayaṃ hoti. Tañhi padesaṃ eko rājā ‘‘na mayhaṃ vase vattatī’’ti paharati, itaropi ‘‘na mayhaṃ vase vattatī’’ti. Tatrāyaṃ bhikkhu kadāci imassa rañño vijite vicarati, kadāci etassa, atha naṃ ‘‘carapuriso aya’’nti maññamānā anayabyasanaṃ pāpenti.

    อสปฺปายตาติ วิสภาครูปาทิอารมฺมณสโมสรเณน วา อมนุสฺสปริคฺคหิตตาย วา อสปฺปายตาฯ ตตฺริทํ วตฺถุ – เอโก กิร เถโร อรเญฺญ วสติฯ อถสฺส เอกา ยกฺขินี ปณฺณสาลทฺวาเร ฐตฺวา คายิฯ โส นิกฺขมิตฺวา ทฺวาเร อฎฺฐาสิ, สา คนฺตฺวา จงฺกมนสีเส คายิฯ เถโร จงฺกมนสีสํ อคมาสิ, สา สตโปริเส ปปาเต ฐตฺวา คายิฯ เถโร ปฎินิวตฺติ, อถ นํ สา เวเคน คนฺตฺวา คเหตฺวา ‘‘มยา, ภเนฺต, น เอโก, น เทฺว ตุมฺหาทิสา ขาทิตา’’ติ อาหฯ

    Asappāyatāti visabhāgarūpādiārammaṇasamosaraṇena vā amanussapariggahitatāya vā asappāyatā. Tatridaṃ vatthu – eko kira thero araññe vasati. Athassa ekā yakkhinī paṇṇasāladvāre ṭhatvā gāyi. So nikkhamitvā dvāre aṭṭhāsi, sā gantvā caṅkamanasīse gāyi. Thero caṅkamanasīsaṃ agamāsi, sā sataporise papāte ṭhatvā gāyi. Thero paṭinivatti, atha naṃ sā vegena gantvā gahetvā ‘‘mayā, bhante, na eko, na dve tumhādisā khāditā’’ti āha.

    ยตฺถ น สกฺกา โหติ อาจริยํ วา อาจริยสมํ วา อุปชฺฌายํ วา อุปชฺฌายสมํ วา กลฺยาณมิตฺตํ ลทฺธุํ, ตตฺถ โส กลฺยาณมิตฺตานํ อลาโภ มหาโทโสเยวฯ ตสฺมา อิเมสํ อฎฺฐารสนฺนํ โทสานํ อญฺญตเรน สมนฺนาคตํ เสนาสนํ ภาวนาย อนนุรูปนฺติ เวทิตพฺพํฯ วุตฺตมฺปิ เจตํ อฎฺฐกถาสุ

    Yattha na sakkā hoti ācariyaṃ vā ācariyasamaṃ vā upajjhāyaṃ vā upajjhāyasamaṃ vā kalyāṇamittaṃ laddhuṃ, tattha so kalyāṇamittānaṃ alābho mahādosoyeva. Tasmā imesaṃ aṭṭhārasannaṃ dosānaṃ aññatarena samannāgataṃ senāsanaṃ bhāvanāya ananurūpanti veditabbaṃ. Vuttampi cetaṃ aṭṭhakathāsu

    ‘‘มหาวาสํ นวาวาสํ, ชราวาสญฺจ ปนฺถนิํ;

    ‘‘Mahāvāsaṃ navāvāsaṃ, jarāvāsañca panthaniṃ;

    โสณฺฑิํ ปณฺณญฺจ ปุปฺผญฺจ, ผลํ ปตฺถิตเมว จฯ

    Soṇḍiṃ paṇṇañca pupphañca, phalaṃ patthitameva ca.

    ‘‘นครํ ทารุนา เขตฺตํ, วิสภาเคน ปฎฺฎนํ;

    ‘‘Nagaraṃ dārunā khettaṃ, visabhāgena paṭṭanaṃ;

    ปจฺจนฺตสีมาสปฺปายํ, ยตฺถ มิโตฺต น ลพฺภติฯ

    Paccantasīmāsappāyaṃ, yattha mitto na labbhati.

    ‘‘อฎฺฐารเสตานิ ฐานานิ, อิติ วิญฺญาย ปณฺฑิโต;

    ‘‘Aṭṭhārasetāni ṭhānāni, iti viññāya paṇḍito;

    อารกา ปริวเชฺชยฺย, มคฺคํ สปฺปฎิภยํ ยถา’’ติฯ (วิสุทฺธิ. ๑.๕๒);

    Ārakā parivajjeyya, maggaṃ sappaṭibhayaṃ yathā’’ti. (visuddhi. 1.52);

    ปญฺจเสนาสนงฺคสมนฺนาคตนฺติ คามโต นาติทูรนาจฺจาสนฺนตาทีหิ ปญฺจหิ เสนาสนเงฺคหิ สมนฺนาคตํฯ วุตฺตเญฺหตํ ภควตา –

    Pañcasenāsanaṅgasamannāgatanti gāmato nātidūranāccāsannatādīhi pañcahi senāsanaṅgehi samannāgataṃ. Vuttañhetaṃ bhagavatā –

    ‘‘กถญฺจ, ภิกฺขเว, เสนาสนํ ปญฺจงฺคสมนฺนาคตํ โหติ? อิธ, ภิกฺขเว, เสนาสนํ นาติทูรํ โหติ นาจฺจาสนฺนํ คมนาคมนสมฺปนฺนํ, ทิวา อปฺปากิณฺณํ รตฺติํ อปฺปสทฺทํ อปฺปนิโคฺฆสํ, อปฺปฑํสมกสวาตาตปสรีสปสมฺผสฺสํ, ตสฺมิํ โข ปน เสนาสเน วิหรนฺตสฺส อปฺปกสิเรน อุปฺปชฺชนฺติ จีวรปิณฺฑปาตเสนาสนคิลานปจฺจยเภสชฺชปริกฺขารา, ตสฺมิํ โข ปน เสนาสเน เถรา ภิกฺขู วิหรนฺติ พหุสฺสุตา อาคตาคมา ธมฺมธรา วินยธรา มาติกาธรา, เต กาเลน กาลํ อุปสงฺกมิตฺวา ปริปุจฺฉติ ปริปญฺหติ ‘อิทํ, ภเนฺต, กถํ, อิมสฺส โก อโตฺถ’ติฯ ตสฺส เต อายสฺมโนฺต อวิวฎเญฺจว วิวรนฺติ, อนุตฺตานีกตญฺจ อุตฺตานิํ กโรนฺติ, อเนกวิหิเตสุ จ กงฺขาฐานิเยสุ ธเมฺมสุ กงฺขํ ปฎิวิโนเทนฺติฯ เอวํ โข, ภิกฺขเว, เสนาสนํ ปญฺจงฺคสมนฺนาคตํ โหตี’’ติ (อ. นิ. ๑๐.๑๑)ฯ

    ‘‘Kathañca, bhikkhave, senāsanaṃ pañcaṅgasamannāgataṃ hoti? Idha, bhikkhave, senāsanaṃ nātidūraṃ hoti nāccāsannaṃ gamanāgamanasampannaṃ, divā appākiṇṇaṃ rattiṃ appasaddaṃ appanigghosaṃ, appaḍaṃsamakasavātātapasarīsapasamphassaṃ, tasmiṃ kho pana senāsane viharantassa appakasirena uppajjanti cīvarapiṇḍapātasenāsanagilānapaccayabhesajjaparikkhārā, tasmiṃ kho pana senāsane therā bhikkhū viharanti bahussutā āgatāgamā dhammadharā vinayadharā mātikādharā, te kālena kālaṃ upasaṅkamitvā paripucchati paripañhati ‘idaṃ, bhante, kathaṃ, imassa ko attho’ti. Tassa te āyasmanto avivaṭañceva vivaranti, anuttānīkatañca uttāniṃ karonti, anekavihitesu ca kaṅkhāṭhāniyesu dhammesu kaṅkhaṃ paṭivinodenti. Evaṃ kho, bhikkhave, senāsanaṃ pañcaṅgasamannāgataṃ hotī’’ti (a. ni. 10.11).

    เอตฺถ จ นาติทูรํ นาจฺจาสนฺนํ คมนาคมนสมฺปนฺนนฺติ เอกํ องฺคํ, ทิวา อปฺปากิณฺณํ รตฺติํ อปฺปสทฺทํ อปฺปนิโคฺฆสนฺติ เอกํ, อปฺปฑํสมกสวาตาตปสรีสปสมฺผสฺสนฺติ เอกํ, ตสฺมิํ โข ปน เสนาสเน วิหรนฺตสฺส…เป.… ปริกฺขาราติ เอกํ, ตสฺมิํ โข ปน เสนาสเน เถรา…เป.… กงฺขํ ปฎิวิโนเทนฺตีติ เอกํฯ เอวํ ปญฺจงฺคานิ เวทิตพฺพานิฯ

    Ettha ca nātidūraṃ nāccāsannaṃ gamanāgamanasampannanti ekaṃ aṅgaṃ, divā appākiṇṇaṃ rattiṃ appasaddaṃ appanigghosanti ekaṃ, appaḍaṃsamakasavātātapasarīsapasamphassanti ekaṃ, tasmiṃ kho pana senāsane viharantassa…pe… parikkhārāti ekaṃ, tasmiṃ kho pana senāsane therā…pe… kaṅkhaṃ paṭivinodentīti ekaṃ. Evaṃ pañcaṅgāni veditabbāni.

    อุปจฺฉินฺนขุทฺทกปลิโพเธนาติ เอตฺถ ปน ขุทฺทกปลิโพเธ อุปจฺฉินฺทเนฺตน ทีฆานิ เกสนขโลมานิ ฉินฺทิตพฺพานิ, ชิณฺณจีวเรสุ อคฺคฬอนุวาตปริภณฺฑทานาทินา ทฬฺหีกมฺมํ วา ตนฺตุเจฺฉทาทีสุ ตุนฺนกมฺมํ วา กาตพฺพํ, กิลิฎฺฐานิ วา รชิตพฺพานิฯ สเจ ปเตฺต มลํ โหติ, ปโตฺต ปจิตโพฺพ, มญฺจปีฐาทีนิ โสเธตพฺพานิฯ ภตฺตสมฺมทํ ปฎิวิโนเทตฺวาติ โภชนนิมิตฺตํ ปริสฺสมํ วิโนเทตฺวาฯ อาหาเร หิ อาสยํ ปวิฎฺฐมเตฺต ตสฺส อาคนฺตุกตาย เยภุเยฺยน สิยา สรีรสฺส โกจิ ปริสฺสโม, ตํ วูปสเมตฺวาฯ ตสฺมิญฺหิ อวูปสเนฺต สรีรเขเทน จิตฺตํ เอกคฺคตํ น ลเภยฺยาติฯ อุคฺคเหตพฺพโต อุคฺคโห, สโพฺพปิ กมฺมฎฺฐานวิธิ, น ปุเพฺพ วุตฺตอุคฺคหมตฺตํฯ อาจริยโต อุคฺคโห อาจริยุคฺคโห, ตโตฯ เอกปทมฺปีติ เอกโกฎฺฐาสมฺปิฯ

    Upacchinnakhuddakapalibodhenāti ettha pana khuddakapalibodhe upacchindantena dīghāni kesanakhalomāni chinditabbāni, jiṇṇacīvaresu aggaḷaanuvātaparibhaṇḍadānādinā daḷhīkammaṃ vā tantucchedādīsu tunnakammaṃ vā kātabbaṃ, kiliṭṭhāni vā rajitabbāni. Sace patte malaṃ hoti, patto pacitabbo, mañcapīṭhādīni sodhetabbāni. Bhattasammadaṃ paṭivinodetvāti bhojananimittaṃ parissamaṃ vinodetvā. Āhāre hi āsayaṃ paviṭṭhamatte tassa āgantukatāya yebhuyyena siyā sarīrassa koci parissamo, taṃ vūpasametvā. Tasmiñhi avūpasante sarīrakhedena cittaṃ ekaggataṃ na labheyyāti. Uggahetabbato uggaho, sabbopi kammaṭṭhānavidhi, na pubbe vuttauggahamattaṃ. Ācariyato uggaho ācariyuggaho, tato. Ekapadampīti ekakoṭṭhāsampi.

    อนุพนฺธนาติ อสฺสาสปสฺสาสานํ อนุคมนวเสน สติยา นิรนฺตรํ อนุปวตฺตนาฯ ผุสนาติ อสฺสาสปสฺสาเส คเณนฺตสฺส คณนํ ปฎิสํหริตฺวา เต สติยา อนุพนฺธนฺตสฺส ยถา อปฺปนา โหติ, ตถา จิตฺตํ ฐเปนฺตสฺส จ นาสิกคฺคาทิฎฺฐานสฺส เนสํ ผุสนาฯ ยสฺมา ปน คณนาทิวเสน วิย ผุสนาทิวเสน วิสุํ มนสิกาโร นตฺถิ, ผุฎฺฐผุฎฺฐฎฺฐาเนเยว คณนา กาตพฺพาติ ทเสฺสตุํ อิธ ผุสนาคหณนฺติ ทีเปโนฺต ‘‘ผุสนาติ ผุฎฺฐฎฺฐาน’’นฺติ อาหฯ ฐปนาติ สมาธานํฯ ตญฺหิ สมฺมเทว อารมฺมเณ จิตฺตสฺส อาธานํ ฐปนํ โหติฯ ตถา หิ สมาธิ ‘‘จิตฺตสฺส ฐิติ สณฺฐิตี’’ติ นิทฺทิโฎฺฐฯ สมาธิปฺปธานา ปน อปฺปนาติ อาห ‘‘ฐปนาติ อปฺปนา’’ติฯ อนิจฺจตาทีนํ สํลกฺขณโต สลฺลกฺขณา วิปสฺสนาฯ ปวตฺตโต นิมิตฺตโต จ วินิวฎฺฎนโต วินิวฎฺฎนา มโคฺคฯ สกลสํกิเลสปฎิปฺปสฺสทฺธิภาวโต สพฺพโส สุทฺธีติ ปาริสุทฺธิ ผลํเตสนฺติ วิวฎฺฎนาปาริสุทฺธีนํฯ ปฎิปสฺสนาติ ปติ ปติ ทสฺสนํ เปกฺขนํฯ เตนาห ‘‘ปจฺจเวกฺขณา’’ติฯ

    Anubandhanāti assāsapassāsānaṃ anugamanavasena satiyā nirantaraṃ anupavattanā. Phusanāti assāsapassāse gaṇentassa gaṇanaṃ paṭisaṃharitvā te satiyā anubandhantassa yathā appanā hoti, tathā cittaṃ ṭhapentassa ca nāsikaggādiṭṭhānassa nesaṃ phusanā. Yasmā pana gaṇanādivasena viya phusanādivasena visuṃ manasikāro natthi, phuṭṭhaphuṭṭhaṭṭhāneyeva gaṇanā kātabbāti dassetuṃ idha phusanāgahaṇanti dīpento ‘‘phusanāti phuṭṭhaṭṭhāna’’nti āha. Ṭhapanāti samādhānaṃ. Tañhi sammadeva ārammaṇe cittassa ādhānaṃ ṭhapanaṃ hoti. Tathā hi samādhi ‘‘cittassa ṭhiti saṇṭhitī’’ti niddiṭṭho. Samādhippadhānā pana appanāti āha ‘‘ṭhapanāti appanā’’ti. Aniccatādīnaṃ saṃlakkhaṇato sallakkhaṇā vipassanā. Pavattato nimittato ca vinivaṭṭanato vinivaṭṭanā maggo. Sakalasaṃkilesapaṭippassaddhibhāvato sabbaso suddhīti pārisuddhi phalaṃ. Tesanti vivaṭṭanāpārisuddhīnaṃ. Paṭipassanāti pati pati dassanaṃ pekkhanaṃ. Tenāha ‘‘paccavekkhaṇā’’ti.

    ขณฺฑนฺติ เอกํ ตีณิ ปญฺจาติ เอวํ คณนาย ขณฺฑนํฯ โอกาเสติ คณนาวิธิํ สนฺธายาห, คณนานิสฺสิโตว น กมฺมฎฺฐานนิสฺสิโตฯ สิขาปฺปตฺตํ นุ โขติ อิทํ จิรตรํ คณนาย มนสิกโรนฺตสฺส วเสน วุตฺตํฯ โส หิ ตถา ลทฺธํ อวิเกฺขปมตฺตํ นิสฺสาย เอวํ มเญฺญยฺยฯ อสฺสาสปสฺสาเสสุ โย อุปฎฺฐาติ, ตํ คเหตฺวาติ อิทํ อสฺสาสปสฺสาเสสุ ยสฺส เอโกว ปฐมํ อุปฎฺฐาติ, ตํ สนฺธาย วุตฺตํฯ ยสฺส ปน อุโภปิ อุปฎฺฐหนฺติ, เตน อุภยมฺปิ คเหตฺวา คเณตพฺพํ ฯ โย อุปฎฺฐาตีติ อิมินา จ ทฺวีสุ นาสาปุฎวาเตสุ โย ปากฎตโร อุปฎฺฐาติ, โส คเหตโพฺพติ อยมฺปิ อโตฺถ ทีปิโตติ ทฎฺฐพฺพํฯ ปวตฺตมานํ ปวตฺตมานนฺติ อาเมฑิตวจเนน นิรนฺตรํ อสฺสาสปสฺสาสานํ อุปลกฺขณํ ทเสฺสติฯ เอวนฺติ วุตฺตปฺปกาเรน อุปลเกฺขตฺวาวาติ อโตฺถฯ ปฐมํ เอเกกสฺมิํ อุปฎฺฐิเตปิ อุปลเกฺขตฺวาว คเณนฺตสฺส กเมน อุโภปิ ปากฎา โหนฺตีติ อาห – ‘‘อสฺสาสปสฺสาสา ปากฎา โหนฺตี’’ติฯ เตน ‘‘อุปลเกฺขตฺวาว คเณตพฺพ’’นฺติ อิมสฺส ‘‘ตเสฺสวํ คณยโต…เป.… ปากฎา โหนฺตี’’ติ อิทํ การณวจนํ ทฎฺฐพฺพํฯ ตตฺถ ปากฎา โหนฺตีติ คณนาวเสน พหิทฺธา วิเกฺขปาภาวโต วิภูตา โหนฺติฯ

    Khaṇḍanti ekaṃ tīṇi pañcāti evaṃ gaṇanāya khaṇḍanaṃ. Okāseti gaṇanāvidhiṃ sandhāyāha, gaṇanānissitova na kammaṭṭhānanissito. Sikhāppattaṃ nu khoti idaṃ cirataraṃ gaṇanāya manasikarontassa vasena vuttaṃ. So hi tathā laddhaṃ avikkhepamattaṃ nissāya evaṃ maññeyya. Assāsapassāsesu yo upaṭṭhāti, taṃ gahetvāti idaṃ assāsapassāsesu yassa ekova paṭhamaṃ upaṭṭhāti, taṃ sandhāya vuttaṃ. Yassa pana ubhopi upaṭṭhahanti, tena ubhayampi gahetvā gaṇetabbaṃ . Yo upaṭṭhātīti iminā ca dvīsu nāsāpuṭavātesu yo pākaṭataro upaṭṭhāti, so gahetabboti ayampi attho dīpitoti daṭṭhabbaṃ. Pavattamānaṃ pavattamānanti āmeḍitavacanena nirantaraṃ assāsapassāsānaṃ upalakkhaṇaṃ dasseti. Evanti vuttappakārena upalakkhetvāvāti attho. Paṭhamaṃ ekekasmiṃ upaṭṭhitepi upalakkhetvāva gaṇentassa kamena ubhopi pākaṭā hontīti āha – ‘‘assāsapassāsā pākaṭā hontī’’ti. Tena ‘‘upalakkhetvāva gaṇetabba’’nti imassa ‘‘tassevaṃ gaṇayato…pe… pākaṭā hontī’’ti idaṃ kāraṇavacanaṃ daṭṭhabbaṃ. Tattha pākaṭā hontīti gaṇanāvasena bahiddhā vikkhepābhāvato vibhūtā honti.

    ปลิฆาย ปริวตฺตนกํ ยตฺถ นิกฺขิปนฺติ, โส ปลิฆตฺถโมฺภติยามรตฺตินฺติ อจฺจนฺตสํโยเค อุปโยควจนํฯ ปุริมนเยนาติ สีฆคณนาย, โคปาลกคณนายาติ อโตฺถฯ เอโก เทฺว ตีณิ จตฺตาริ ปญฺจาติ คณนาวิธิทสฺสนํฯ ตสฺมา อฎฺฐาติอาทีสุปิ เอกโต ปฎฺฐาเยว ปเจฺจกํ อฎฺฐาทีนิ ปาเปตพฺพานิฯ ‘‘สีฆํ สีฆํ คเณตพฺพเมวา’’ติ วตฺวา ตตฺถ การณํ นิทสฺสนญฺจ ทเสฺสติ ‘‘คณนาปฎิพเทฺธ หี’’ติอาทินาฯ ตตฺถ อรียติ เตน นาวาติ อริตฺตํ, ปาชนทโณฺฑฯ อริเตฺตน อุปตฺถมฺภนํ อริตฺตุปตฺถมฺภนํ, ตสฺส วเสน

    Palighāya parivattanakaṃ yattha nikkhipanti, so palighatthambho. Tiyāmarattinti accantasaṃyoge upayogavacanaṃ. Purimanayenāti sīghagaṇanāya, gopālakagaṇanāyāti attho. Eko dve tīṇi cattāri pañcāti gaṇanāvidhidassanaṃ. Tasmā aṭṭhātiādīsupi ekato paṭṭhāyeva paccekaṃ aṭṭhādīni pāpetabbāni. ‘‘Sīghaṃ sīghaṃ gaṇetabbamevā’’ti vatvā tattha kāraṇaṃ nidassanañca dasseti ‘‘gaṇanāpaṭibaddhe hī’’tiādinā. Tattha arīyati tena nāvāti arittaṃ, pājanadaṇḍo. Arittena upatthambhanaṃ arittupatthambhanaṃ, tassa vasena.

    นิปฺปริยายโต นิรนฺตรปฺปวตฺติ นาม ฐปนายเมวาติ อาห ‘‘นิรนฺตรปฺปวตฺตํ วิยา’’ติฯ อโนฺต ปวิสนฺตํ มนสิกโรโนฺต อโนฺต จิตฺตํ ปเวเสติ นามฯ พหิ จิตฺตนีหรเณปิ เอเสว นโยฯ วาตพฺภาหตนฺติ อพฺภนฺตรคตวาตํ พหุลํ มนสิกโรนฺตสฺส วาเตน ตํ ฐานํ อพฺภาหตํ วิย เมเทน ปูริตํ วิย จ โหติ, ตถา อุปฎฺฐาติฯ นีหรโตติ ผุโฎฺฐกาสํ มุญฺจิตฺวา นีหรโตฯ ตถา ปน นีหรโต วาตสฺส คติสมเนฺวสนมุเขน นานารมฺมเณสุ จิตฺตํ วิธาวตีติ อาห ‘‘ปุถุตฺตารมฺมเณ จิตฺตํ วิกฺขิปตี’’ติฯ

    Nippariyāyato nirantarappavatti nāma ṭhapanāyamevāti āha ‘‘nirantarappavattaṃ viyā’’ti. Anto pavisantaṃ manasikaronto anto cittaṃ paveseti nāma. Bahi cittanīharaṇepi eseva nayo. Vātabbhāhatanti abbhantaragatavātaṃ bahulaṃ manasikarontassa vātena taṃ ṭhānaṃ abbhāhataṃ viya medena pūritaṃ viya ca hoti, tathā upaṭṭhāti. Nīharatoti phuṭṭhokāsaṃ muñcitvā nīharato. Tathā pana nīharato vātassa gatisamanvesanamukhena nānārammaṇesu cittaṃ vidhāvatīti āha ‘‘puthuttārammaṇe cittaṃ vikkhipatī’’ti.

    เอตนฺติ เอตํ อสฺสาสปสฺสาสชาตํฯ อนุคมนนฺติ ปวตฺตปวตฺตานํ อสฺสาสปสฺสาสานํ อารมฺมณกรณวเสน สติยา อนุ อนุ ปวตฺตนํ อนุคจฺฉนํฯ เตเนวาห – ‘‘ตญฺจ โข อาทิมชฺฌปริโยสานานุคมนวเสนา’’ติฯ นาภิ อาทิ ตตฺถ ปฐมํ อุปฺปชฺชนโตฯ ปฐมุปฺปตฺติวเสน หิ อิธ อาทิจินฺตา, น อุปฺปตฺติมตฺตวเสนฯ ตถา หิ เต นาภิโต ปฎฺฐาย ยาว นาสิกคฺคา สพฺพตฺถ อุปฺปชฺชเนฺตวฯ ยตฺถ ยตฺถ จ อุปฺปชฺชนฺติ, ตตฺถ ตเตฺถว ภิชฺชนฺติ ธมฺมานํ คมนาภาวโตฯ ยถาปจฺจยํ ปน เทสนฺตรปฺปตฺติยํ คติสมญฺญาฯ หทยํ มชฺฌนฺติ หทยสมีปํ ตสฺส อุปริภาโค มชฺฌํฯ นาสิกคฺคํ ปริโยสานนฺติ นาสิกฎฺฐานํ ตสฺส ปริโยสานํ อสฺสาสปสฺสาสานํ สมญฺญาย ตทวธิภาวโตฯ ตถา เหเต จิตฺตสมุฎฺฐานา วุตฺตา, น จ พหิทฺธา จิตฺตสมุฎฺฐานานํ สมฺภโว อตฺถิฯ เตนาห ‘‘อพฺภนฺตรปวิสนวาตสฺส นาสิกคฺคํ อาที’’ติฯ ปวิสนนิกฺขมนปริยาโย ปน ตํสทิสวเสเนว วุโตฺตติ เวทิตโพฺพฯ วิเกฺขปคตนฺติ วิเกฺขปํ อุปคตํ, วิกฺขิตฺตํ อสมาหิตนฺติ อโตฺถฯ สารทฺธายาติ สทรถภาวายฯ อิญฺชนายาติ กมฺมฎฺฐานมนสิการสฺส จลนายฯ วิเกฺขปคเตน จิเตฺตนาติ เหตุมฺหิ กรณวจนํ, อิตฺถมฺภูตลกฺขเณ วาฯ สารทฺธาติ สทรถาฯ อิญฺชิตาติ อิญฺชนกา จลนกา, ตถา ผนฺทิตา

    Etanti etaṃ assāsapassāsajātaṃ. Anugamananti pavattapavattānaṃ assāsapassāsānaṃ ārammaṇakaraṇavasena satiyā anu anu pavattanaṃ anugacchanaṃ. Tenevāha – ‘‘tañca kho ādimajjhapariyosānānugamanavasenā’’ti. Nābhi ādi tattha paṭhamaṃ uppajjanato. Paṭhamuppattivasena hi idha ādicintā, na uppattimattavasena. Tathā hi te nābhito paṭṭhāya yāva nāsikaggā sabbattha uppajjanteva. Yattha yattha ca uppajjanti, tattha tattheva bhijjanti dhammānaṃ gamanābhāvato. Yathāpaccayaṃ pana desantarappattiyaṃ gatisamaññā. Hadayaṃ majjhanti hadayasamīpaṃ tassa uparibhāgo majjhaṃ. Nāsikaggaṃ pariyosānanti nāsikaṭṭhānaṃ tassa pariyosānaṃ assāsapassāsānaṃ samaññāya tadavadhibhāvato. Tathā hete cittasamuṭṭhānā vuttā, na ca bahiddhā cittasamuṭṭhānānaṃ sambhavo atthi. Tenāha ‘‘abbhantarapavisanavātassa nāsikaggaṃ ādī’’ti. Pavisananikkhamanapariyāyo pana taṃsadisavaseneva vuttoti veditabbo. Vikkhepagatanti vikkhepaṃ upagataṃ, vikkhittaṃ asamāhitanti attho. Sāraddhāyāti sadarathabhāvāya. Iñjanāyāti kammaṭṭhānamanasikārassa calanāya. Vikkhepagatena cittenāti hetumhi karaṇavacanaṃ, itthambhūtalakkhaṇe vā. Sāraddhāti sadarathā. Iñjitāti iñjanakā calanakā, tathā phanditā.

    อาทิมชฺฌปริโยสานวเสนาติอาทิมชฺฌปริโยสานานุคมนวเสน น มนสิ กาตพฺพนฺติ สมฺพโนฺธฯ ‘‘อนุพนฺธนาย มนสิกโรเนฺตน ผุสนาวเสน ฐปนาวเสน จ มนสิ กาตพฺพ’’นฺติ เยน อธิปฺปาเยน วุตฺตํ, ตํ วิวริตุํ ‘‘คณนานุพนฺธนาวเสน วิยา’’ติอาทิมาหฯ ตตฺถ วิสุํ มนสิกาโร นตฺถีติ คณนาย อนุพนฺธนาย จ วินา ยถากฺกมํ เกวลํ ผุสนาวเสน ฐปนาวเสน จ กมฺมฎฺฐานมนสิกาโร นตฺถิฯ นนุ ผุสนาย วินา ฐปนาย วิย ผุสนาย วินา คณนายปิ มนสิกาโร นตฺถิเยวาติ? ยทิปิ นตฺถิ, คณนา ปน ยถา กมฺมฎฺฐานมนสิการสฺส มูลภาวโต ปธานภาเวน คเหตพฺพา, เอวํ อนุพนฺธนา ฐปนาย ตาย วินา ฐปนาย อสมฺภวโตฯ ตสฺมา สติปิ ผุสนาย นานนฺตริกภาเว คณนานุพนฺธนา เอว มูลภาวโต ปธานภาเวน คเหตฺวา อิตราสํ ตทภาวํ ทเสฺสโนฺต อาห – ‘‘คณนานุพนฺธนาวเสน วิย หิ ผุสนาฐปนาวเสน วิสุํ มนสิกาโร นตฺถี’’ติฯ ยทิ เอวํ ตา กสฺมา อุเทฺทเส วิสุํ คหิตาติ อาห ‘‘ผุฎฺฐผุฎฺฐฎฺฐาเนเยวา’’ติอาทิฯ ตตฺถ ผุฎฺฐผุฎฺฐฎฺฐาเนเยว คเณโนฺตติ อิมินา คณนาย ผุสนา องฺคนฺติ ทเสฺสติฯ เตนาห – ‘‘คณนาย จ ผุสนาย จ มนสิ กโรตี’’ติฯ ตเตฺถวาติ ผุฎฺฐผุฎฺฐฎฺฐาเนเยวฯ เตติ อสฺสาสปสฺสาเสฯ สติยา อนุพนฺธโนฺตติ คณนาวิธิํ อนุคนฺตฺวา สติยา นิพนฺธโนฺต, ผุโฎฺฐกาเสเยว เต นิรนฺตรํ อุปธาเรโนฺตติ อโตฺถฯ อปฺปนาวเสน จิตฺตํ ฐเปโนฺตติ ยถา อปฺปนา โหติ, เอวํ ยถาอุปฎฺฐิเต นิมิเตฺต จิตฺตํ ฐเปโนฺต สมาทหโนฺตฯ อนุพนฺธนาย จาติอาทีสุ อนุพนฺธนาย จ ผุสนาย จ ฐปนาย จ มนสิ กโรตีติ วุจฺจตีติ โยชนาฯ สฺวายมโตฺถติ ยฺวายํ ‘‘ผุฎฺฐผุฎฺฐฎฺฐาเนเยว คเณโนฺต ตเตฺถว คณนํ ปฎิสํหริตฺวา เต สติยา อนุพนฺธโนฺต’’ติ วุโตฺต, โส อยมโตฺถฯ ยา อจฺจนฺตาย น มิโนติ น วินิจฺฉินติ, สา มานสฺส สมีเปติ อุปมา ยถา โคโณ วิย ควโยติฯ

    Ādimajjhapariyosānavasenātiādimajjhapariyosānānugamanavasena na manasi kātabbanti sambandho. ‘‘Anubandhanāya manasikarontena phusanāvasena ṭhapanāvasena ca manasi kātabba’’nti yena adhippāyena vuttaṃ, taṃ vivarituṃ ‘‘gaṇanānubandhanāvasena viyā’’tiādimāha. Tattha visuṃ manasikāro natthīti gaṇanāya anubandhanāya ca vinā yathākkamaṃ kevalaṃ phusanāvasena ṭhapanāvasena ca kammaṭṭhānamanasikāro natthi. Nanu phusanāya vinā ṭhapanāya viya phusanāya vinā gaṇanāyapi manasikāro natthiyevāti? Yadipi natthi, gaṇanā pana yathā kammaṭṭhānamanasikārassa mūlabhāvato padhānabhāvena gahetabbā, evaṃ anubandhanā ṭhapanāya tāya vinā ṭhapanāya asambhavato. Tasmā satipi phusanāya nānantarikabhāve gaṇanānubandhanā eva mūlabhāvato padhānabhāvena gahetvā itarāsaṃ tadabhāvaṃ dassento āha – ‘‘gaṇanānubandhanāvasena viya hi phusanāṭhapanāvasena visuṃ manasikāro natthī’’ti. Yadi evaṃ tā kasmā uddese visuṃ gahitāti āha ‘‘phuṭṭhaphuṭṭhaṭṭhāneyevā’’tiādi. Tattha phuṭṭhaphuṭṭhaṭṭhāneyeva gaṇentoti iminā gaṇanāya phusanā aṅganti dasseti. Tenāha – ‘‘gaṇanāya ca phusanāya ca manasi karotī’’ti. Tatthevāti phuṭṭhaphuṭṭhaṭṭhāneyeva. Teti assāsapassāse. Satiyā anubandhantoti gaṇanāvidhiṃ anugantvā satiyā nibandhanto, phuṭṭhokāseyeva te nirantaraṃ upadhārentoti attho. Appanāvasena cittaṃ ṭhapentoti yathā appanā hoti, evaṃ yathāupaṭṭhite nimitte cittaṃ ṭhapento samādahanto. Anubandhanāya cātiādīsu anubandhanāya ca phusanāya ca ṭhapanāya ca manasi karotīti vuccatīti yojanā. Svāyamatthoti yvāyaṃ ‘‘phuṭṭhaphuṭṭhaṭṭhāneyeva gaṇento tattheva gaṇanaṃ paṭisaṃharitvā te satiyā anubandhanto’’ti vutto, so ayamattho. Yā accantāya na minoti na vinicchinati, sā mānassa samīpeti upamā yathā goṇo viya gavayoti.

    ปงฺคุโฬติ ปีฐสปฺปีฯ โทลาติ เปโงฺขโลฯ กีฬตนฺติ กีฬนฺตานํฯ มาตาปุตฺตานนฺติ อตฺตโน ภริยาย ปุตฺตสฺส จฯ อุโภ โกฎิโยติ อาคจฺฉนฺตสฺส ปุริมโกฎิํ, คจฺฉนฺตสฺส ปจฺฉิมโกฎินฺติ เทฺวปิ โกฎิโยฯ มชฺฌญฺจาติ โทลาผลกเสฺสว มชฺฌํฯ อุปนิพนฺธนตฺถโมฺภ วิยาติ อุปนิพนฺธนตฺถโมฺภ, นาสิกคฺคํ มุขนิมิตฺตํ วา, ตสฺส มูเล สมีเป ฐตฺวาฯ กถํ ฐตฺวา ? สติยา วเสนฯ สติญฺหิ ตตฺถ สูปฎฺฐิตํ กโรโนฺต โยคาวจโร ตตฺถ ฐิโต นาม โหติ อวยวธเมฺมน สมุทายสฺส อปทิสิตพฺพโต ฯ นิมิเตฺตติ นาสิกคฺคาทินิมิเตฺตฯ สติยา นิสิโนฺนติ สติวเสน นิสีทโนฺตฯ ‘‘สติญฺหิ ตตฺถา’’ติอาทินา ฐาเน วิย วตฺตพฺพํฯ ตตฺถาติ ผุฎฺฐฎฺฐาเนฯ เตติ นครสฺส อโนฺต พหิ จ คตา มนุสฺสา เตสํ สงฺคหา จ หตฺถคตาฯ อาทิโต ปภุตีติ อุปเมยฺยตฺถทสฺสนโต ปฎฺฐายฯ

    Paṅguḷoti pīṭhasappī. Dolāti peṅkholo. Kīḷatanti kīḷantānaṃ. Mātāputtānanti attano bhariyāya puttassa ca. Ubho koṭiyoti āgacchantassa purimakoṭiṃ, gacchantassa pacchimakoṭinti dvepi koṭiyo. Majjhañcāti dolāphalakasseva majjhaṃ. Upanibandhanatthambho viyāti upanibandhanatthambho, nāsikaggaṃ mukhanimittaṃ vā, tassa mūle samīpe ṭhatvā. Kathaṃ ṭhatvā ? Satiyā vasena. Satiñhi tattha sūpaṭṭhitaṃ karonto yogāvacaro tattha ṭhito nāma hoti avayavadhammena samudāyassa apadisitabbato . Nimitteti nāsikaggādinimitte. Satiyā nisinnoti sativasena nisīdanto. ‘‘Satiñhi tatthā’’tiādinā ṭhāne viya vattabbaṃ. Tatthāti phuṭṭhaṭṭhāne. Teti nagarassa anto bahi ca gatā manussā tesaṃ saṅgahā ca hatthagatā. Ādito pabhutīti upameyyatthadassanato paṭṭhāya.

    คาถายํ นิมิตฺตนฺติ อุปนิพนฺธนนิมิตฺตํฯ อนารมฺมณเมกจิตฺตสฺสาติ เอกสฺส จิตฺตสฺส น อารมฺมณํ, อารมฺมณํ น โหนฺตีติ อโตฺถฯ อชานโต จ ตโย ธเมฺมติ นิมิตฺตํ อสฺสาโส ปสฺสาโสติ อิเม นิมิตฺตาทโย ตโย ธเมฺม อารมฺมณกรณวเสน อวินฺทนฺตสฺสฯ -สโทฺท พฺยติเรเกฯ ภาวนาติ อานาปานสฺสติสมาธิภาวนาฯ นุปลพฺภตีติ น อุปลพฺภติ น สิชฺฌตีติ อยํ โจทนาคาถาย อโตฺถฯ ทุติยา ปน ปริหารคาถา สุวิเญฺญยฺยาวฯ

    Gāthāyaṃ nimittanti upanibandhananimittaṃ. Anārammaṇamekacittassāti ekassa cittassa na ārammaṇaṃ, ārammaṇaṃ na hontīti attho. Ajānato ca tayo dhammeti nimittaṃ assāso passāsoti ime nimittādayo tayo dhamme ārammaṇakaraṇavasena avindantassa. Ca-saddo byatireke. Bhāvanāti ānāpānassatisamādhibhāvanā. Nupalabbhatīti na upalabbhati na sijjhatīti ayaṃ codanāgāthāya attho. Dutiyā pana parihāragāthā suviññeyyāva.

    กถนฺติ ตาสํ โจทนาปริหารคาถานํ อตฺถํ วิวริตุํ กเถตุกมฺยตาปุจฺฉาฯ อิเม ตโย ธมฺมาติอาทีสุ ปทโยชนาย สทฺธิํ อยมตฺถนิเทฺทโส – อิเม นิมิตฺตาทโย ตโย ธมฺมา เอกจิตฺตสฺส กถํ อารมฺมณํ น โหนฺติ, อสติปิ อารมฺมณภาเว น จิเม น จ อิเม ตโย ธมฺมา อวิทิตา โหนฺติ, กถญฺจ น โหนฺติ อวิทิตา, เตสญฺหิ อวิทิตเตฺต จิตฺตญฺจ กถํ วิเกฺขปํ น คจฺฉติ, ปธานญฺจ ภาวนาย นิปฺผาทกํ วีริยญฺจ กถํ ปญฺญายติ, นีวรณานํ วิกฺขมฺภกํ สมฺมเทว สมาธานาวหํ ภาวนานุโยคสงฺขาตํ ปโยคญฺจ โยคี กถํ สาเธติ, อุปรูปริ โลกิยโลกุตฺตรญฺจ วิเสสํ กถมธิคจฺฉตีติฯ

    Kathanti tāsaṃ codanāparihāragāthānaṃ atthaṃ vivarituṃ kathetukamyatāpucchā. Ime tayo dhammātiādīsu padayojanāya saddhiṃ ayamatthaniddeso – ime nimittādayo tayo dhammā ekacittassa kathaṃ ārammaṇaṃ na honti, asatipi ārammaṇabhāve na cime na ca ime tayo dhammā aviditā honti, kathañca na honti aviditā, tesañhi aviditatte cittañca kathaṃ vikkhepaṃ na gacchati, padhānañca bhāvanāya nipphādakaṃ vīriyañca kathaṃ paññāyati, nīvaraṇānaṃ vikkhambhakaṃ sammadeva samādhānāvahaṃ bhāvanānuyogasaṅkhātaṃ payogañca yogī kathaṃ sādheti, uparūpari lokiyalokuttarañca visesaṃ kathamadhigacchatīti.

    อิทานิ ตมตฺถํ กกโจปมาย สาเธตุํ ‘‘เสยฺยถาปี’’ติอาทิ วุตฺตํฯ ภูมิภาคสฺส วิสมตาย จญฺจเล รุเกฺข เฉทนกิริยา น สุกรา สิยา, ตถา จ สติ กกจทนฺตคติ ทุวิเญฺญยฺยาติ อาห – ‘‘สเม ภูมิภาเค’’ติฯ กกเจนาติ ขุทฺทเกน ขรปเตฺตนฯ เตนาห ‘‘ปุริโส’’ติฯ ผุฎฺฐกกจทนฺตานนฺติ ผุฎฺฐผุฎฺฐกกจทนฺตานํ วเสนฯ เตน กกจทเนฺตหิ ผุฎฺฐผุฎฺฐฎฺฐาเนเยว ปุริสสฺส สติยา อุปฎฺฐานํ ทเสฺสติฯ เตนาห – ‘‘น อาคเต วา คเต วา กกจทเนฺต มนสิ กโรตี’’ติฯ

    Idāni tamatthaṃ kakacopamāya sādhetuṃ ‘‘seyyathāpī’’tiādi vuttaṃ. Bhūmibhāgassa visamatāya cañcale rukkhe chedanakiriyā na sukarā siyā, tathā ca sati kakacadantagati duviññeyyāti āha – ‘‘same bhūmibhāge’’ti. Kakacenāti khuddakena kharapattena. Tenāha ‘‘puriso’’ti. Phuṭṭhakakacadantānanti phuṭṭhaphuṭṭhakakacadantānaṃ vasena. Tena kakacadantehi phuṭṭhaphuṭṭhaṭṭhāneyeva purisassa satiyā upaṭṭhānaṃ dasseti. Tenāha – ‘‘na āgate vā gate vā kakacadante manasi karotī’’ti.

    กกจสฺส อากฑฺฒนกาเล ปุริสาภิมุขํ ปวตฺตา อาคตา, เปลฺลนกาเล ตโต วิคตา คตาติ วุตฺตา, น จ อาคตา วา คตา วา กกจทนฺตา อวิทิตา โหนฺติ สพฺพตฺถ สติยา อุปฎฺฐิตตฺตา ฉินฺทิตพฺพฎฺฐานํ อผุสิตฺวา คจฺฉนฺตานํ อาคจฺฉนฺตานญฺจ กกจทนฺตานํ อภาวโตฯ ปธานนฺติ รุกฺขสฺส เฉทนวีริยํฯ ปโยคนฺติ ตเสฺสว เฉทนกิริยํฯ อุปมายํ ‘‘วิเสสมธิคจฺฉตี’’ติ ปทํ ปาฬิยํ นตฺถิ, โยเชตฺวา ปน ทเสฺสตพฺพํฯ เตเนว วิสุทฺธิมเคฺค (วิสุทฺธิ. ๑.๒๒๗) อุปมายมฺปิ ‘‘วิเสสมธิคจฺฉตี’’ติ ปทํ โยเชตฺวาว วุตฺตํฯ ตํสํวณฺณนายญฺจ ‘‘วิเสสนฺติ อเนกภาวาปาทนํ, เตน จ สาเธตพฺพํ ปโยชนวิเสส’’นฺติ อโตฺถ วุโตฺตฯ

    Kakacassa ākaḍḍhanakāle purisābhimukhaṃ pavattā āgatā, pellanakāle tato vigatā gatāti vuttā, na ca āgatā vā gatā vā kakacadantā aviditā honti sabbattha satiyā upaṭṭhitattā chinditabbaṭṭhānaṃ aphusitvā gacchantānaṃ āgacchantānañca kakacadantānaṃ abhāvato. Padhānanti rukkhassa chedanavīriyaṃ. Payoganti tasseva chedanakiriyaṃ. Upamāyaṃ ‘‘visesamadhigacchatī’’ti padaṃ pāḷiyaṃ natthi, yojetvā pana dassetabbaṃ. Teneva visuddhimagge (visuddhi. 1.227) upamāyampi ‘‘visesamadhigacchatī’’ti padaṃ yojetvāva vuttaṃ. Taṃsaṃvaṇṇanāyañca ‘‘visesanti anekabhāvāpādanaṃ, tena ca sādhetabbaṃ payojanavisesa’’nti attho vutto.

    ยถา รุโกฺขติอาทิ อุปมาสํสนฺทนํฯ อุปนิพนฺธติ อารมฺมเณ จิตฺตํ เอตายาติ สติ อุปนิพนฺธนา นาม, ตสฺสา อสฺสาสปสฺสาสานํ สลฺลกฺขณสฺส นิมิตฺตนฺติ อุปนิพนฺธนานิมิตฺตํ, นาสิกคฺคํ มุขนิมิตฺตํ วาฯ เอวเมวนฺติ ยถา โส ปุริโส กกเจน รุกฺขํ ฉินฺทโนฺต อาคตคเต กกจทเนฺต อมนสิกโรโนฺตปิ ผุฎฺฐผุฎฺฐฎฺฐาเนเยว สติยา อุปฎฺฐปเนน อาคตคเต กกจทเนฺต ชานาติ, สุตฺตปทญฺจ อวิรชฺฌโนฺต อตฺถกิจฺจํ สาเธติ, เอวเมวํฯ นาสิกเคฺค มุขนิมิเตฺตติ ทีฆนาสิโก นาสิกเคฺค, อิตโร มุขํ อสนํ นิมียติ ฉาทียติ เอเตนาติ มุขนิมิตฺตนฺติ ลทฺธนาเม อุตฺตโรเฎฺฐฯ

    Yathā rukkhotiādi upamāsaṃsandanaṃ. Upanibandhati ārammaṇe cittaṃ etāyāti sati upanibandhanā nāma, tassā assāsapassāsānaṃ sallakkhaṇassa nimittanti upanibandhanānimittaṃ, nāsikaggaṃ mukhanimittaṃ vā. Evamevanti yathā so puriso kakacena rukkhaṃ chindanto āgatagate kakacadante amanasikarontopi phuṭṭhaphuṭṭhaṭṭhāneyeva satiyā upaṭṭhapanena āgatagate kakacadante jānāti, suttapadañca avirajjhanto atthakiccaṃ sādheti, evamevaṃ. Nāsikagge mukhanimitteti dīghanāsiko nāsikagge, itaro mukhaṃ asanaṃ nimīyati chādīyati etenāti mukhanimittanti laddhanāme uttaroṭṭhe.

    อิทํ ปธานนฺติ เยน วีริยารเมฺภน อารทฺธวีริยสฺส โยคิโน กาโยปิ จิตฺตมฺปิ กมฺมนิยํ ภาวนากมฺมกฺขมํ ภาวนากมฺมโยคฺคํ โหติ, อิทํ วีริยํ ปธานนฺติ ผเลน เหตุํ ทเสฺสติฯ อุปกฺกิเลสา ปหียนฺตีติ จิตฺตสฺส อุปกฺกิเลสภูตานิ นีวรณานิ วิกฺขมฺภนวเสน ปหียนฺติฯ วิตกฺกา วูปสมฺมนฺตีติ ตโต เอว กามวิตกฺกาทโย มิจฺฉาวิตกฺกา อุปสมํ คจฺฉนฺติ, นีวรณปฺปหาเนน วา ปฐมชฺฌานาธิคมํ ทเสฺสตฺวา วิตกฺกวูปสมาปเทเสน ทุติยชฺฌานาทีนมธิคมมาหฯ อยํ ปโยโคติ อยํ ฌานาธิคมสฺส เหตุภูโต กมฺมฎฺฐานานุโยโค ปโยโคฯ สํโยชนา ปหียนฺตีติ ทสปิ สํโยชนานิ มคฺคปฺปฎิปาฎิยา สมุเจฺฉทวเสน ปหียนฺติฯ อนุสยา พฺยนฺตี โหนฺตีติ ตถา สตฺตปิ อนุสยา อนุปฺปตฺติธมฺมตาปาทเนน ภงฺคมตฺตสฺสปิ อนวเสสโต วิคตนฺตา โหนฺติฯ เอตฺถ จ สํโยชนปฺปหานํ นาม อนุสยนิโรเธเนว โหติ, ปหีเนสุ จ สํโยชเนสุ อนุสยานํ เลโสปิ น ภวิสฺสตีติ จ ทสฺสนตฺถํ ‘‘สํโยชนา ปหียนฺติ, อนุสยา พฺยนฺตี โหนฺตี’’ติ วุตฺตํฯ อยํ วิเสโสติ อิมํ สมาธิํ นิสฺสาย อนุกฺกเมน ลพฺภมาโน อยํ สํโยชนปฺปหานาทิโก อิมสฺส สมาธิสฺส วิเสโสติ อโตฺถฯ

    Idaṃ padhānanti yena vīriyārambhena āraddhavīriyassa yogino kāyopi cittampi kammaniyaṃ bhāvanākammakkhamaṃ bhāvanākammayoggaṃ hoti, idaṃ vīriyaṃ padhānanti phalena hetuṃ dasseti. Upakkilesā pahīyantīti cittassa upakkilesabhūtāni nīvaraṇāni vikkhambhanavasena pahīyanti. Vitakkā vūpasammantīti tato eva kāmavitakkādayo micchāvitakkā upasamaṃ gacchanti, nīvaraṇappahānena vā paṭhamajjhānādhigamaṃ dassetvā vitakkavūpasamāpadesena dutiyajjhānādīnamadhigamamāha. Ayaṃ payogoti ayaṃ jhānādhigamassa hetubhūto kammaṭṭhānānuyogo payogo. Saṃyojanā pahīyantīti dasapi saṃyojanāni maggappaṭipāṭiyā samucchedavasena pahīyanti. Anusayā byantī hontīti tathā sattapi anusayā anuppattidhammatāpādanena bhaṅgamattassapi anavasesato vigatantā honti. Ettha ca saṃyojanappahānaṃ nāma anusayanirodheneva hoti, pahīnesu ca saṃyojanesu anusayānaṃ lesopi na bhavissatīti ca dassanatthaṃ ‘‘saṃyojanā pahīyanti, anusayā byantī hontī’’ti vuttaṃ. Ayaṃ visesoti imaṃ samādhiṃ nissāya anukkamena labbhamāno ayaṃ saṃyojanappahānādiko imassa samādhissa visesoti attho.

    ยสฺสาติ เยนฯ อนุปุพฺพนฺติ อนุกฺกเมนฯ ปริจิตาติ ปริจิณฺณาฯ อยเญฺหตฺถ สเงฺขปโตฺถ – อานาปานสฺสติ ยถา พุเทฺธน ภควตา เทสิตา, ตถา เยน ทีฆรสฺสปชอานนาทิวิธินา อนุปุพฺพํ ปริจิตา สุฎฺฐุ ภาวิตา, ตโต เอว ปริปุณฺณา โสฬสนฺนํ วตฺถูนํ ปาริปูริยา สพฺพโส ปุณฺณา, โส ภิกฺขุ อิมํ อตฺตโน ขนฺธาทิโลกํ ปโญฺญภาเสน ปภาเสติฯ ยถา กิํ? อพฺภา มุโตฺตว จนฺทิมา อพฺภาทิอุปกฺกิเลสวิมุโตฺต จนฺทิมา ตารกราชา วิยาติฯ ‘‘อพฺภา มุโตฺตว จนฺทิมา’’ติ หิ ปทสฺส นิเทฺทเส มหิกาทีนมฺปิ วุตฺตตฺตา เอตฺถ อาทิ-สทฺทโลโป กโตติ เวทิตโพฺพฯ

    Yassāti yena. Anupubbanti anukkamena. Paricitāti pariciṇṇā. Ayañhettha saṅkhepattho – ānāpānassati yathā buddhena bhagavatā desitā, tathā yena dīgharassapajaānanādividhinā anupubbaṃ paricitā suṭṭhu bhāvitā, tato eva paripuṇṇā soḷasannaṃ vatthūnaṃ pāripūriyā sabbaso puṇṇā, so bhikkhu imaṃ attano khandhādilokaṃ paññobhāsena pabhāseti. Yathā kiṃ? Abbhā muttova candimā abbhādiupakkilesavimutto candimā tārakarājā viyāti. ‘‘Abbhā muttova candimā’’ti hi padassa niddese mahikādīnampi vuttattā ettha ādi-saddalopo katoti veditabbo.

    อิธาติ กกจูปมายฯ อสฺสาติ โยคิโนฯ อิธาติ วา อิมสฺมิํ ฐาเนฯ อสฺสาติ อุปมาภูตสฺส กกจสฺสฯ อาคตคตวเสน ยถา ตสฺส ปุริสสฺส อมนสิกาโร, เอวํ อสฺสาสปสฺสาสานํ อาคตคตวเสน อมนสิการมตฺตเมว อานยนปฺปโยชนํฯ น จิเรเนวาติ อิทํ กตาธิการํ สนฺธาย วุตฺตํฯ นิมิตฺตนฺติ ปฎิภาคนิมิตฺตํฯ อวเสสชฺฌานงฺคปฎิมณฺฑิตาติ วิตกฺกาทิอวเสสชฺฌานงฺคปฎิมณฺฑิตาติ วทนฺติ, วิจาราทีติ ปน วตฺตพฺพํ นิปฺปริยาเยน วิตกฺกสฺส อปฺปนาภาวโตฯ โส หิ ปาฬิยํ ‘‘อปฺปนา พฺยปฺปนา’’ติ นิทฺทิโฎฺฐ, ตํสมฺปโยคโต วา ยสฺมา ฌานํ อปฺปนาติ อฎฺฐกถาโวหาโร, ฌานเงฺคสุ จ สมาธิ ปธานํ, ตสฺมา ตํ อปฺปนาติ ทเสฺสโนฺต ‘‘อวเสสชฺฌานงฺคปฎิมณฺฑิตา อปฺปนาสงฺขาตา ฐปนา จ สมฺปชฺชตี’’ติ อาหฯ กสฺสจิ ปน คณนาวเสเนว มนสิการกาลโต ปภุตีติ เอตฺถ ‘‘อนุกฺกมโต…เป.… ปตฺตํ วิย โหตี’’ติ เอตฺตโกว คโนฺถ ปริหีโน, ปุราณโปตฺถเกสุ ปน กตฺถจิ โส คโนฺถ ลิขิโตเยว ติฎฺฐติฯ

    Idhāti kakacūpamāya. Assāti yogino. Idhāti vā imasmiṃ ṭhāne. Assāti upamābhūtassa kakacassa. Āgatagatavasena yathā tassa purisassa amanasikāro, evaṃ assāsapassāsānaṃ āgatagatavasena amanasikāramattameva ānayanappayojanaṃ. Na cirenevāti idaṃ katādhikāraṃ sandhāya vuttaṃ. Nimittanti paṭibhāganimittaṃ. Avasesajjhānaṅgapaṭimaṇḍitāti vitakkādiavasesajjhānaṅgapaṭimaṇḍitāti vadanti, vicārādīti pana vattabbaṃ nippariyāyena vitakkassa appanābhāvato. So hi pāḷiyaṃ ‘‘appanā byappanā’’ti niddiṭṭho, taṃsampayogato vā yasmā jhānaṃ appanāti aṭṭhakathāvohāro, jhānaṅgesu ca samādhi padhānaṃ, tasmā taṃ appanāti dassento ‘‘avasesajjhānaṅgapaṭimaṇḍitā appanāsaṅkhātā ṭhapanā ca sampajjatī’’ti āha. Kassaci pana gaṇanāvaseneva manasikārakālato pabhutīti ettha ‘‘anukkamato…pe… pattaṃ viya hotī’’ti ettakova gantho parihīno, purāṇapotthakesu pana katthaci so gantho likhitoyeva tiṭṭhati.

    สารทฺธกายสฺส กสฺสจิ ปุคฺคลสฺสฯ โอนมติ วตฺถิกาทิปลมฺพเนนฯ วิกูชตีติ สทฺทํ กโรติฯ วลิํ คณฺหาตีติฯ ตตฺถ ตตฺถ วลินํ โหติฯ กสฺมา? ยสฺมา สารทฺธกาโย ครุโก โหตีติฯ กายทรถวูปสเมน สทฺธิํ สิชฺฌมาโน โอฬาริกอสฺสาสปสฺสาสนิโรโธ พฺยติเรกมุเขน ตสฺส สาธนํ วิย วุโตฺตฯ โอฬาริกอสฺสาสปสฺสาสนิโรธวเสนาติ อนฺวยวเสน ตทตฺถสฺส สาธนํฯ กายทรเถ วูปสเนฺตติ จิตฺตชรูปานํ ลหุมุทุกมฺมญฺญภาเวน โย เสสติสนฺตติรูปานมฺปิ ลหุอาทิภาโว, โส อิธ กายสฺส ลหุภาโวติ อธิเปฺปโตฯ สฺวายํ ยสฺมา จิตฺตสฺส ลหุอาทิภาเวน วินา นตฺถิ, ตสฺมา วุตฺตํ ‘‘กาโยปิ จิตฺตมฺปิ ลหุกํ โหตี’’ติฯ

    Sāraddhakāyassa kassaci puggalassa. Onamati vatthikādipalambanena. Vikūjatīti saddaṃ karoti. Valiṃ gaṇhātīti. Tattha tattha valinaṃ hoti. Kasmā? Yasmā sāraddhakāyo garuko hotīti. Kāyadarathavūpasamena saddhiṃ sijjhamāno oḷārikaassāsapassāsanirodho byatirekamukhena tassa sādhanaṃ viya vutto. Oḷārikaassāsapassāsanirodhavasenāti anvayavasena tadatthassa sādhanaṃ. Kāyadarathe vūpasanteti cittajarūpānaṃ lahumudukammaññabhāvena yo sesatisantatirūpānampi lahuādibhāvo, so idha kāyassa lahubhāvoti adhippeto. Svāyaṃ yasmā cittassa lahuādibhāvena vinā natthi, tasmā vuttaṃ ‘‘kāyopi cittampi lahukaṃ hotī’’ti.

    โอฬาริเก อสฺสาสปสฺสาเส นิรุเทฺธติอาทิ เหฎฺฐา วุตฺตนยมฺหิ วิเจตพฺพาการปฺปตฺตสฺส กายสงฺขารสฺส วิจยนวิธิํ ทเสฺสตุํ อานีตํฯ

    Oḷārike assāsapassāse niruddhetiādi heṭṭhā vuttanayamhi vicetabbākārappattassa kāyasaṅkhārassa vicayanavidhiṃ dassetuṃ ānītaṃ.

    อุปรูปริ วิภูตานีติ ภาวนาพเลน อุทฺธํ อุทฺธํ ปากฎานิ โหนฺติฯ เทสโตติ ปกติยา ผุสนเทสโต, ปุเพฺพ อตฺตโน ผุสนวเสน อุปธาริตฎฺฐานโตฯ

    Uparūparivibhūtānīti bhāvanābalena uddhaṃ uddhaṃ pākaṭāni honti. Desatoti pakatiyā phusanadesato, pubbe attano phusanavasena upadhāritaṭṭhānato.

    ‘‘กตฺถ นตฺถี’’ติ ฐานวเสน ‘‘กสฺส นตฺถี’’ติ ปุคฺคลวเสน จ วีมํสิยมานมตฺถํ เอกชฺฌํ กตฺวา วิภาเวตุํ ‘‘อโนฺตมาตุกุจฺฉิย’’นฺติอาทิ วุตฺตํฯ ตตฺถ ‘‘ยถา อุทเก นิมุคฺคสฺส นิรุโทฺธกาสตาย อสฺสาสปสฺสาสา น ปวตฺตนฺติ, เอวํ อโนฺตมาตุกุจฺฉิยํฯ ยถา มตานํ สมุฎฺฐาปกจิตฺตาภาวโต, เอวํ อสญฺญีภูตานํ มุจฺฉาปเรตานํ อสญฺญีสุ วา ชาตานํ, ตถา นิโรธสมาปนฺนาน’’นฺติ อาจริยธมฺมปาลเตฺถเรน วุตฺตํฯ มหาคณฺฐิปเท ปน ‘‘มุจฺฉาปเรตานํ จิตฺตปฺปวตฺติยา ทุพฺพลภาวโต’’ติ การณํ วุตฺตํฯ จตุตฺถชฺฌานสมาปนฺนานํ ธมฺมตาวเสเนว เนสํ อนุปฺปชฺชนํ, ตถา รูปารูปภวสมงฺคีนํฯ เกจิ ปน ‘‘อนุปุพฺพโต สุขุมภาวปฺปตฺติยา จตุตฺถชฺฌานสมาปนฺนสฺส, รูปภเว รูปานํ ภวงฺคสฺส จ สุขุมภาวโต รูปภวสมงฺคีนํ นตฺถี’’ติ การณํ วทนฺติฯ อตฺถิเยว เต อสฺสาสปสฺสาสา ปาริเสสโตติ อธิปฺปาโย ยถาวุตฺตสตฺตฎฺฐานวินิมุตฺตสฺส อสฺสาสปสฺสาสานํ อนุปฺปชฺชนฎฺฐานสฺส อภาวโตฯ ปกติผุฎฺฐวเสนาติ ปกติยา ผุสนฎฺฐานวเสนฯ นิมิตฺตํ ฐเปตพฺพนฺติ สติยา ตตฺถ สุขปฺปวตฺตนตฺถํ ถิรตรํ สญฺญาณํ ปวเตฺตตพฺพํฯ ถิรสญฺญาปทฎฺฐานา หิ สติฯ อิมเมวาติ อิมํ เอว อนุปฎฺฐหนฺตสฺส กายสงฺขารสฺส กณฺฎกุฎฺฐาปนญาเยน อุปฎฺฐาปนวิธิเมวฯ อตฺถวสนฺติ เหตุํฯ อโตฺถ หิ ผลํฯ โส ยสฺส วเสน ปวตฺตติ, โส อตฺถวโสติฯ มุฎฺฐสฺสติสฺสาติ วินฎฺฐสฺสติสฺสฯ อสมฺปชานสฺสาติ สมฺปชญฺญวิรหิตสฺส, ภาเวนฺตสฺส อนุกฺกเมน อนุปฎฺฐหเนฺต อสฺสาสปสฺสาเส วีมํสิตฺวา ‘‘อิเม เต’’ติ อุปธาเรตุํ สมฺมเทว ชานิตุญฺจ สมตฺถาหิ สติปญฺญาหิ วิรหิตสฺสาติ อธิปฺปาโยฯ อิโต อญฺญํ กมฺมฎฺฐานํฯ ครุกนฺติ ภาริยํฯ สา จสฺส ครุกตา ภาวนาย สุทุกฺกรภาเวนาติ อาห ‘‘ครุกภาวน’’นฺติฯ

    ‘‘Kattha natthī’’ti ṭhānavasena ‘‘kassa natthī’’ti puggalavasena ca vīmaṃsiyamānamatthaṃ ekajjhaṃ katvā vibhāvetuṃ ‘‘antomātukucchiya’’ntiādi vuttaṃ. Tattha ‘‘yathā udake nimuggassa niruddhokāsatāya assāsapassāsā na pavattanti, evaṃ antomātukucchiyaṃ. Yathā matānaṃ samuṭṭhāpakacittābhāvato, evaṃ asaññībhūtānaṃ mucchāparetānaṃ asaññīsu vā jātānaṃ, tathā nirodhasamāpannāna’’nti ācariyadhammapālattherena vuttaṃ. Mahāgaṇṭhipade pana ‘‘mucchāparetānaṃ cittappavattiyā dubbalabhāvato’’ti kāraṇaṃ vuttaṃ. Catutthajjhānasamāpannānaṃ dhammatāvaseneva nesaṃ anuppajjanaṃ, tathā rūpārūpabhavasamaṅgīnaṃ. Keci pana ‘‘anupubbato sukhumabhāvappattiyā catutthajjhānasamāpannassa, rūpabhave rūpānaṃ bhavaṅgassa ca sukhumabhāvato rūpabhavasamaṅgīnaṃ natthī’’ti kāraṇaṃ vadanti. Atthiyeva te assāsapassāsā pārisesatoti adhippāyo yathāvuttasattaṭṭhānavinimuttassa assāsapassāsānaṃ anuppajjanaṭṭhānassa abhāvato. Pakatiphuṭṭhavasenāti pakatiyā phusanaṭṭhānavasena. Nimittaṃ ṭhapetabbanti satiyā tattha sukhappavattanatthaṃ thirataraṃ saññāṇaṃ pavattetabbaṃ. Thirasaññāpadaṭṭhānā hi sati. Imamevāti imaṃ eva anupaṭṭhahantassa kāyasaṅkhārassa kaṇṭakuṭṭhāpanañāyena upaṭṭhāpanavidhimeva. Atthavasanti hetuṃ. Attho hi phalaṃ. So yassa vasena pavattati, so atthavasoti. Muṭṭhassatissāti vinaṭṭhassatissa. Asampajānassāti sampajaññavirahitassa, bhāventassa anukkamena anupaṭṭhahante assāsapassāse vīmaṃsitvā ‘‘ime te’’ti upadhāretuṃ sammadeva jānituñca samatthāhi satipaññāhi virahitassāti adhippāyo. Ito aññaṃ kammaṭṭhānaṃ. Garukanti bhāriyaṃ. Sā cassa garukatā bhāvanāya sudukkarabhāvenāti āha ‘‘garukabhāvana’’nti.

    อุปรูปริ สนฺตสุขุมภาวาปตฺติโต ‘‘พลวตี สุวิสทา สูรา จ สติ ปญฺญา จ อิจฺฉิตพฺพา’’ติ วตฺวา สุขุมสฺส นาม อตฺถสฺส สาธเนนปิ สุขุเมเนว ภวิตพฺพนฺติ ทเสฺสตุํ ‘‘ยถา หี’’ติอาทิ วุตฺตํฯ อิทานิ อนุปฎฺฐหนฺตานํ อสฺสาสปสฺสาสานํ ปริเยสนุปายํ ทเสฺสโนฺต ‘‘ตาหิ จ ปนา’’ติอาทิมาหฯ ตตฺถ อนุปทนฺติ ปทานุปทํฯ จริตฺวาติ โคจรํ คเหตฺวาฯ ตสฺมิํเยว ฐาเนติ อุปนิพนฺธนนิมิตฺตสญฺญิเต ฐาเนฯ โยเชตฺวาติ มนสิกาเรน โยเชตฺวาฯ ‘‘สติรสฺมิยา พนฺธิตฺวา’’ติ วา วุตฺตเมวตฺถมาห ‘‘ตสฺมิํเยว ฐาเน โยเชตฺวา’’ติฯ น หิ อุปเมเยฺย พนฺธนโยชนฎฺฐานานิ วิสุํ ลพฺภนฺติฯ นิมิตฺตนฺติ อุคฺคหนิมิตฺตํ ปฎิภาคนิมิตฺตํ วาฯ อุภยมฺปิ หิ อิธ เอกชฺฌํ วุตฺตํฯ ตถา หิ ตูลปิจุอาทิ อุปมตฺตยํ อุคฺคเห ยุชฺชติ, เสสํ อุภยตฺถฯ เอกเจฺจติ เอเก อาจริยาฯ

    Uparūpari santasukhumabhāvāpattito ‘‘balavatī suvisadā sūrā ca sati paññā ca icchitabbā’’ti vatvā sukhumassa nāma atthassa sādhanenapi sukhumeneva bhavitabbanti dassetuṃ ‘‘yathā hī’’tiādi vuttaṃ. Idāni anupaṭṭhahantānaṃ assāsapassāsānaṃ pariyesanupāyaṃ dassento ‘‘tāhi ca panā’’tiādimāha. Tattha anupadanti padānupadaṃ. Caritvāti gocaraṃ gahetvā. Tasmiṃyeva ṭhāneti upanibandhananimittasaññite ṭhāne. Yojetvāti manasikārena yojetvā. ‘‘Satirasmiyā bandhitvā’’ti vā vuttamevatthamāha ‘‘tasmiṃyeva ṭhāne yojetvā’’ti. Na hi upameyye bandhanayojanaṭṭhānāni visuṃ labbhanti. Nimittanti uggahanimittaṃ paṭibhāganimittaṃ vā. Ubhayampi hi idha ekajjhaṃ vuttaṃ. Tathā hi tūlapicuādi upamattayaṃ uggahe yujjati, sesaṃ ubhayattha. Ekacceti eke ācariyā.

    ตารกรูปํ วิยาติ ตารกาย ปภารูปํ วิยฯ มณิคุฬิกาทิอุปมา ปฎิภาเค วฎฺฎนฺติฯ กถํ ปเนตํ เอกํเยว กมฺมฎฺฐานํ อเนกาการโต อุปฎฺฐาตีติ อาห ‘‘ตญฺจ ปเนต’’นฺติอาทิฯ สุตฺตนฺตนฺติ เอกํ สุตฺตํฯ ปคุณปฺปวตฺติภาเวน อวิเจฺฉทํ มหาวิสยตญฺจ สนฺธายาห ‘‘มหตี ปพฺพเตยฺยา นที วิยา’’ติฯ ตตฺถ พฺยญฺชนสมฺปตฺติยา สมนฺตภทฺทกํ สุตฺตํ สพฺพภาคมโนหรา สพฺพปาลิผุลฺลา วนฆฎา วิยาติ อาห ‘‘เอกา วนราชิ วิยา’’ติฯ เตนาห ภควา ‘‘วนปฺปคุเมฺพ ยถ ผุสฺสิตเคฺค’’ติ (ขุ. ปา. ๖.๑๓; สุ. นิ. ๒๓๖) นานานุสนฺธิยํ นานาเปยฺยาลํ วิวิธนยนิปุณํ พหุวิธกมฺมฎฺฐานมุขํ สุตฺตนฺตํ อตฺถิเกหิ สกฺกจฺจํ สมุปปชฺชิตพฺพนฺติ อาห – ‘‘สีตจฺฉาโย…เป.… รุโกฺข วิยา’’ติฯ สญฺญานานตายาติ นิมิตฺตุปฎฺฐานโต ปุเพฺพ ปวตฺตสญฺญานํ นานาวิธภาวโตฯ สญฺญชนฺติ ภาวนาสญฺญาชนิตํ ภาวนาสญฺญาย สญฺชานนมตฺตํฯ น หิ อสภาวสฺส กุโตจิ สมุฎฺฐานํ อตฺถิฯ เตนาห – ‘‘นานโต อุปฎฺฐาตี’’ติ, อุปฎฺฐานาการมตฺตนฺติ วุตฺตํ โหติฯ

    Tārakarūpaṃ viyāti tārakāya pabhārūpaṃ viya. Maṇiguḷikādiupamā paṭibhāge vaṭṭanti. Kathaṃ panetaṃ ekaṃyeva kammaṭṭhānaṃ anekākārato upaṭṭhātīti āha ‘‘tañca paneta’’ntiādi. Suttantanti ekaṃ suttaṃ. Paguṇappavattibhāvena avicchedaṃ mahāvisayatañca sandhāyāha ‘‘mahatī pabbateyyā nadī viyā’’ti. Tattha byañjanasampattiyā samantabhaddakaṃ suttaṃ sabbabhāgamanoharā sabbapāliphullā vanaghaṭā viyāti āha ‘‘ekā vanarāji viyā’’ti. Tenāha bhagavā ‘‘vanappagumbe yatha phussitagge’’ti (khu. pā. 6.13; su. ni. 236) nānānusandhiyaṃ nānāpeyyālaṃ vividhanayanipuṇaṃ bahuvidhakammaṭṭhānamukhaṃ suttantaṃ atthikehi sakkaccaṃ samupapajjitabbanti āha – ‘‘sītacchāyo…pe… rukkhoviyā’’ti. Saññānānatāyāti nimittupaṭṭhānato pubbe pavattasaññānaṃ nānāvidhabhāvato. Saññajanti bhāvanāsaññājanitaṃ bhāvanāsaññāya sañjānanamattaṃ. Na hi asabhāvassa kutoci samuṭṭhānaṃ atthi. Tenāha – ‘‘nānato upaṭṭhātī’’ti, upaṭṭhānākāramattanti vuttaṃ hoti.

    อิเม ตโย ธมฺมาติ อสฺสาโส ปสฺสาโส นิมิตฺตนฺติ อิเม ตโย ธมฺมาฯ นตฺถีติ กมฺมฎฺฐานวเสน มนสิกาตพฺพภาเวน นตฺถิ น อุปลพฺภติฯ น อุปจารนฺติ อุปจารมฺปิ น ปาปุณาติ, ปเคว อปฺปนนฺติ อธิปฺปาโยฯ ยสฺส ปนาติ วิชฺชมานปโกฺข วุตฺตนยานุสาเรเนว เวทิตโพฺพฯ

    Ime tayo dhammāti assāso passāso nimittanti ime tayo dhammā. Natthīti kammaṭṭhānavasena manasikātabbabhāvena natthi na upalabbhati. Na upacāranti upacārampi na pāpuṇāti, pageva appananti adhippāyo. Yassa panāti vijjamānapakkho vuttanayānusāreneva veditabbo.

    อิทานิ วุตฺตเสฺสว อตฺถสฺส สมตฺถนตฺถํ กกจูปมายํ อาคตา ‘‘นิมิตฺต’’นฺติอาทิกา คาถา ปจฺจานีตาฯ นิมิเตฺตติ ยถาวุเตฺต ปฎิภาคนิมิเตฺตฯ เอวํ โหตีติ ภาวนมนุยุตฺตสฺส เอวํ โหติ, ตสฺมา ‘‘ปุนปฺปุนํ เอวํ มนสิ กโรหี’’ติ วตฺตโพฺพฯ โวสานํ อาปเชฺชยฺยาติ ‘‘นิมิตฺตํ นาม ทุกฺกรํ อุปฺปาเทตุํ, ตยิทํ ลทฺธํ, หนฺทาหํ ทานิ ยทา วา ตทา วา วิเสสํ นิพฺพเตฺตสฺสามี’’ติ สโงฺกจํ อาปเชฺชยฺยฯ วิสีเทยฺยาติ ‘‘เอตฺตกํ กาลํ ภาวนมนุยุตฺตสฺส นิมิตฺตมฺปิ น อุปฺปนฺนํ, อภโพฺพ มเญฺญ วิเสสสฺสา’’ติ วิสาทํ อาปเชฺชยฺยฯ ‘‘อิมาย ปฎิปทาย ชรามรณโต มุจฺจิสฺสามีติ ปฎิปนฺนสฺส นิมิตฺต’’นฺติ วุเตฺต กถํ สโงฺกจาปตฺติ, ภิโยฺยโส มตฺตาย อุสฺสาหเมว กเรยฺยาติ ‘‘นิมิตฺตมิทํ…เป.… วตฺตโพฺพ’’ติ มชฺฌิมภาณกา อาหุฯ เอวนฺติ วุตฺตปฺปกาเรน ปฎิภาคนิมิเตฺตเยว ภาวนาจิตฺตสฺส ฐปเนนฯ อิโต ปภุตีติ อิโต ปฎิภาคนิมิตฺตุปฺปตฺติโต ปฎฺฐายฯ ปุเพฺพ ยํ วุตฺตํ ‘‘อนุพนฺธนาย ผุสนาย ฐปนาย จ มนสิ กโรตี’’ติ (ปารา. อฎฺฐ. ๒.อานาปานสฺสติสมาธิกถา), ตตฺถ อนุพนฺธนํ ผุสนญฺจ วิสฺสเชฺชตฺวา ฐปนาวเสเนว ภาเวตพฺพนฺติ อาห ‘‘ฐปนาวเสน ภาวนา โหตี’’ติฯ

    Idāni vuttasseva atthassa samatthanatthaṃ kakacūpamāyaṃ āgatā ‘‘nimitta’’ntiādikā gāthā paccānītā. Nimitteti yathāvutte paṭibhāganimitte. Evaṃ hotīti bhāvanamanuyuttassa evaṃ hoti, tasmā ‘‘punappunaṃ evaṃ manasi karohī’’ti vattabbo. Vosānaṃ āpajjeyyāti ‘‘nimittaṃ nāma dukkaraṃ uppādetuṃ, tayidaṃ laddhaṃ, handāhaṃ dāni yadā vā tadā vā visesaṃ nibbattessāmī’’ti saṅkocaṃ āpajjeyya. Visīdeyyāti ‘‘ettakaṃ kālaṃ bhāvanamanuyuttassa nimittampi na uppannaṃ, abhabbo maññe visesassā’’ti visādaṃ āpajjeyya. ‘‘Imāya paṭipadāya jarāmaraṇato muccissāmīti paṭipannassa nimitta’’nti vutte kathaṃ saṅkocāpatti, bhiyyoso mattāya ussāhameva kareyyāti ‘‘nimittamidaṃ…pe… vattabbo’’ti majjhimabhāṇakā āhu. Evanti vuttappakārena paṭibhāganimitteyeva bhāvanācittassa ṭhapanena. Ito pabhutīti ito paṭibhāganimittuppattito paṭṭhāya. Pubbe yaṃ vuttaṃ ‘‘anubandhanāya phusanāya ṭhapanāya ca manasi karotī’’ti (pārā. aṭṭha. 2.ānāpānassatisamādhikathā), tattha anubandhanaṃ phusanañca vissajjetvā ṭhapanāvaseneva bhāvetabbanti āha ‘‘ṭhapanāvasena bhāvanā hotī’’ti.

    โปราเณหิ วุโตฺตวายมโตฺถติ ทเสฺสโนฺต ‘‘นิมิเตฺต’’ติ คาถมาหฯ ตตฺถ นิมิเตฺตติ ปฎิภาคนิมิเตฺตฯ ฐปยํ จิตฺตนฺติ ภาวนาจิตฺตํ ฐเปโนฺต, ฐปนาวเสน มนสิกโรโนฺตติ อโตฺถฯ นานาการนฺติ ‘‘จตฺตาโร วณฺณา’’ติ เอวํ วุตฺตํ นานาการํฯ อาการสามญฺญวเสน เหตํ เอกวจนํฯ วิภาวยนฺติ วิภาเวโนฺต อนฺตรธาเปโนฺตฯ นิมิตฺตุปฺปตฺติโต ปฎฺฐาย หิ เต อาการา อมนสิการโต อนฺตรหิตา วิย โหนฺติฯ อสฺสาสปสฺสาเสติ อสฺสาสปสฺสาเส โย นานากาโร, ตํ วิภาวยํ, อสฺสาสปสฺสาสสมฺภูเต วา นิมิเตฺตฯ สกํ จิตฺตํ นิพนฺธตีติ ตาย เอว ฐปนาย อตฺตโน จิตฺตํ อุปนิพนฺธติ, อเปฺปตีติ อโตฺถฯ เกจิ ปน ‘‘วิภาวยนฺติ วิภาเวโนฺต, วิทิตํ ปากฎํ กโรโนฺต’’ติ อตฺถํ วทนฺติ, ตํ ปุพฺพภาควเสน ยุเชฺชยฺยฯ อยเญฺหตฺถ อโตฺถ – ธิติสมฺปนฺนตฺตา ธีโร โยคี อสฺสาสปสฺสาเส นานาการํ วิภาเวโนฺต นานาการโต เต ปชานโนฺต วิทิเต ปากเฎ กโรโนฺต นานาการํ วา โอฬาริโกฬาริเก ปสฺสเมฺภโนฺต วูปสเมโนฺต ตตฺถ ยํ ลทฺธํ นิมิตฺตํ, ตสฺมิํ จิตฺตํ ฐเปโนฺต อนุกฺกเมน สกํ จิตฺตํ นิพนฺธติ อเปฺปตีติฯ

    Porāṇehi vuttovāyamatthoti dassento ‘‘nimitte’’ti gāthamāha. Tattha nimitteti paṭibhāganimitte. Ṭhapayaṃ cittanti bhāvanācittaṃ ṭhapento, ṭhapanāvasena manasikarontoti attho. Nānākāranti ‘‘cattāro vaṇṇā’’ti evaṃ vuttaṃ nānākāraṃ. Ākārasāmaññavasena hetaṃ ekavacanaṃ. Vibhāvayanti vibhāvento antaradhāpento. Nimittuppattito paṭṭhāya hi te ākārā amanasikārato antarahitā viya honti. Assāsapassāseti assāsapassāse yo nānākāro, taṃ vibhāvayaṃ, assāsapassāsasambhūte vā nimitte. Sakaṃ cittaṃ nibandhatīti tāya eva ṭhapanāya attano cittaṃ upanibandhati, appetīti attho. Keci pana ‘‘vibhāvayanti vibhāvento, viditaṃ pākaṭaṃ karonto’’ti atthaṃ vadanti, taṃ pubbabhāgavasena yujjeyya. Ayañhettha attho – dhitisampannattā dhīro yogī assāsapassāse nānākāraṃ vibhāvento nānākārato te pajānanto vidite pākaṭe karonto nānākāraṃ vā oḷārikoḷārike passambhento vūpasamento tattha yaṃ laddhaṃ nimittaṃ, tasmiṃ cittaṃ ṭhapento anukkamena sakaṃ cittaṃ nibandhati appetīti.

    ยทา สทฺธาทีนิ อินฺทฺริยานิ สุวิสทานิ ติกฺขานิ ปวตฺตนฺติ, ตทา อสฺสทฺธิยาทีนํ ทูรีภาเวน สาติสยํ ถามปฺปเตฺตหิ สตฺตหิ พเลหิ ลทฺธุปตฺถมฺภานิ วิตกฺกาทีนิ กามาวจราเนว ฌานงฺคานิ พหูนิ หุตฺวา ปาตุภวนฺติฯ ตโต เอว เตสํ อุชุวิปจฺจนีกภูตา กามจฺฉนฺทาทโย สทฺธิํ ตเทกเฎฺฐหิ ปาปธเมฺมหิ วิทูรี ภวนฺติ ปฎิภาคนิมิตฺตุปฺปตฺติยา สทฺธิํ, ตํ อารพฺภ อุปจารชฺฌานํ อุปฺปชฺชติฯ เตน วุตฺตํ ‘‘นิมิตฺตุปฎฺฐานโต ปภุติ นีวรณานิ วิกฺขมฺภิตาเนว โหนฺตี’’ติอาทิฯ ตตฺถ สนฺนิสินฺนาวาติ สมฺมเทว นิสีทิํสุ เอว, อุปสนฺตาเยวาติ อโตฺถฯ วิกฺขมฺภิตาเนว สนฺนิสินฺนาวาติ อวธารเณน ปน ตทตฺถํ อุสฺสาโห กาตโพฺพติ ทเสฺสติฯ ทฺวีหากาเรหีติ ฌานธมฺมานํ ปฎิปกฺขทูรีภาโว ถิรภาวปฺปตฺติ จาติ อิเมหิ ทฺวีหิ การเณหิฯ อิทานิ ตานิ การณานิ อวตฺถามุเขน ทเสฺสตุํ ‘‘อุปจารภูมิยํ วา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ ตตฺถ อุปจารภูมิยนฺติ อุปจาราวตฺถายํฯ ยทิปิ หิ ตทา ฌานงฺคานิ ปฎุตรานิ มหคฺคตภาวปฺปตฺตานิ นุปฺปชฺชนฺติ, เตสํ ปน ปฎิปกฺขธมฺมานํ วิกฺขมฺภเนน จิตฺตํ สมาธิยติฯ เตนาห ‘‘นีวรณปฺปหาเนนา’’ติฯ ปฎิลาภภูมิยนฺติ ฌานสฺส อธิคมาวตฺถายํฯ ตทา หิ อปฺปนาปฺปตฺตานํ ฌานธมฺมานํ อุปฺปตฺติยา จิตฺตํ สมาธิยติฯ เตนาห ‘‘องฺคปาตุภาเวนา’’ติฯ

    Yadā saddhādīni indriyāni suvisadāni tikkhāni pavattanti, tadā assaddhiyādīnaṃ dūrībhāvena sātisayaṃ thāmappattehi sattahi balehi laddhupatthambhāni vitakkādīni kāmāvacarāneva jhānaṅgāni bahūni hutvā pātubhavanti. Tato eva tesaṃ ujuvipaccanīkabhūtā kāmacchandādayo saddhiṃ tadekaṭṭhehi pāpadhammehi vidūrī bhavanti paṭibhāganimittuppattiyā saddhiṃ, taṃ ārabbha upacārajjhānaṃ uppajjati. Tena vuttaṃ ‘‘nimittupaṭṭhānato pabhuti nīvaraṇāni vikkhambhitāneva hontī’’tiādi. Tattha sannisinnāvāti sammadeva nisīdiṃsu eva, upasantāyevāti attho. Vikkhambhitāneva sannisinnāvāti avadhāraṇena pana tadatthaṃ ussāho kātabboti dasseti. Dvīhākārehīti jhānadhammānaṃ paṭipakkhadūrībhāvo thirabhāvappatti cāti imehi dvīhi kāraṇehi. Idāni tāni kāraṇāni avatthāmukhena dassetuṃ ‘‘upacārabhūmiyaṃ vā’’tiādi vuttaṃ. Tattha upacārabhūmiyanti upacārāvatthāyaṃ. Yadipi hi tadā jhānaṅgāni paṭutarāni mahaggatabhāvappattāni nuppajjanti, tesaṃ pana paṭipakkhadhammānaṃ vikkhambhanena cittaṃ samādhiyati. Tenāha ‘‘nīvaraṇappahānenā’’ti. Paṭilābhabhūmiyanti jhānassa adhigamāvatthāyaṃ. Tadā hi appanāppattānaṃ jhānadhammānaṃ uppattiyā cittaṃ samādhiyati. Tenāha ‘‘aṅgapātubhāvenā’’ti.

    อุปจาเร องฺคานิ น ถามชาตานิ โหนฺติ องฺคานํ อถามชาตตฺตาฯ ยถา นาม ทหโร กุมารโก อุกฺขิปิตฺวา ฐปิยมาโน ปุนปฺปุนํ ภูมิยํ ปตติ, เอวเมว อุปจาเร อุปฺปเนฺน จิตฺตํ กาเลน นิมิตฺตํ อารมฺมณํ กโรติ, กาเลน ภวงฺคํ โอตรติฯ เตน วุตฺตํ ‘‘อุปจารสมาธิ กุสลวีถิยํ ชวิตฺวา ภวงฺคํ โอตรตี’’ติฯ อปฺปนายํ ปน องฺคานิ ถามชาตานิ โหนฺติ เตสํ ถามชาตตฺตาฯ ยถา นาม พลวา ปุริโส อาสนา วุฎฺฐาย ทิวสมฺปิ ติเฎฺฐยฺย, เอวเมว อปฺปนาสมาธิมฺหิ อุปฺปเนฺน จิตฺตํ สกิํ ภวงฺควารํ ฉินฺทิตฺวา เกวลมฺปิ รตฺติํ เกวลมฺปิ ทิวสํ ติฎฺฐติ, กุสลชวนปฎิปาฎิวเสเนว ปวตฺตติฯ เตนาห – ‘‘อปฺปนาสมาธิ…เป.… น ภวงฺคํ โอตรตี’’ติฯ วณฺณโตติ ปิจุปิณฺฑตารกรูปาทีสุ วิย อุปฎฺฐิตวณฺณโตฯ ลกฺขณโตติ ขรภาวาทิสภาวโต อนิจฺจาทิสภาวโต วาฯ รกฺขิตพฺพํ ตํ นิมิตฺตนฺติ สมฺพโนฺธฯ

    Upacāre aṅgāni na thāmajātāni honti aṅgānaṃ athāmajātattā. Yathā nāma daharo kumārako ukkhipitvā ṭhapiyamāno punappunaṃ bhūmiyaṃ patati, evameva upacāre uppanne cittaṃ kālena nimittaṃ ārammaṇaṃ karoti, kālena bhavaṅgaṃ otarati. Tena vuttaṃ ‘‘upacārasamādhi kusalavīthiyaṃ javitvā bhavaṅgaṃ otaratī’’ti. Appanāyaṃ pana aṅgāni thāmajātāni honti tesaṃ thāmajātattā. Yathā nāma balavā puriso āsanā vuṭṭhāya divasampi tiṭṭheyya, evameva appanāsamādhimhi uppanne cittaṃ sakiṃ bhavaṅgavāraṃ chinditvā kevalampi rattiṃ kevalampi divasaṃ tiṭṭhati, kusalajavanapaṭipāṭivaseneva pavattati. Tenāha – ‘‘appanāsamādhi…pe… na bhavaṅgaṃ otaratī’’ti. Vaṇṇatoti picupiṇḍatārakarūpādīsu viya upaṭṭhitavaṇṇato. Lakkhaṇatoti kharabhāvādisabhāvato aniccādisabhāvato vā. Rakkhitabbaṃ taṃ nimittanti sambandho.

    ลทฺธปริหานีติ ลทฺธอุปจารชฺฌานปริหานิฯ นิมิเตฺต อวินสฺสเนฺต ตทารมฺมณํ ฌานํ อปริหีนเมว โหติ, นิมิเตฺต ปน อารกฺขาภาเวน วินเฎฺฐ ลทฺธํ ลทฺธํ ฌานมฺปิ วินสฺสติ ตทายตฺตวุตฺติโตฯ เตนาห ‘‘อารกฺขมฺหี’’ติอาทิฯ

    Laddhaparihānīti laddhaupacārajjhānaparihāni. Nimitte avinassante tadārammaṇaṃ jhānaṃ aparihīnameva hoti, nimitte pana ārakkhābhāvena vinaṭṭhe laddhaṃ laddhaṃ jhānampi vinassati tadāyattavuttito. Tenāha ‘‘ārakkhamhī’’tiādi.

    อิทานิ ตตฺรายํ รกฺขณูปาโยติอาทินา –

    Idāni tatrāyaṃ rakkhaṇūpāyotiādinā –

    ‘‘อาวาโส โคจโร ภสฺสํ, ปุคฺคโล โภชนํ อุตุ;

    ‘‘Āvāso gocaro bhassaṃ, puggalo bhojanaṃ utu;

    อิริยาปโถติ สเตฺตเต, อสปฺปาเย วิวชฺชเยฯ

    Iriyāpathoti sattete, asappāye vivajjaye.

    ‘‘สปฺปาเย สตฺต เสเวถ, เอวญฺหิ ปฎิปชฺชโต;

    ‘‘Sappāye satta sevetha, evañhi paṭipajjato;

    น จิเรเนว กาเลน, โหติ กสฺสจิ อปฺปนา’’ติฯ (วิสุทฺธิ. ๑.๕๙) –

    Na cireneva kālena, hoti kassaci appanā’’ti. (visuddhi. 1.59) –

    เอวํ วุตฺตํ รกฺขณวิธิํ สเงฺขปโต วิภาเวติฯ ตตฺรายํ วิตฺถาโร – ยสฺมิํ อาวาเส วสนฺตสฺส อนุปฺปนฺนํ วา นิมิตฺตํ นุปฺปชฺชติ, อุปฺปนฺนํ วา วินสฺสติ, อนุปฎฺฐิตา จ สติ น อุปฎฺฐาติ, อสมาหิตญฺจ จิตฺตํ น สมาธิยติ, อยํ อสปฺปาโยฯ ยตฺถ นิมิตฺตํ อุปฺปชฺชติ เจว ถาวรญฺจ โหติ, สติ อุปฎฺฐาติ, จิตฺตํ สมาธิยติ, อยํ สปฺปาโยฯ ตสฺมา ยสฺมิํ วิหาเร พหู อาวาสา โหนฺติ, ตตฺถ เอกเมกสฺมิํ ตีณิ ตีณิ ทิวสานิ วสิตฺวา ยตฺถสฺส จิตฺตํ เอกคฺคํ โหติ, ตตฺถ วสิตพฺพํฯ

    Evaṃ vuttaṃ rakkhaṇavidhiṃ saṅkhepato vibhāveti. Tatrāyaṃ vitthāro – yasmiṃ āvāse vasantassa anuppannaṃ vā nimittaṃ nuppajjati, uppannaṃ vā vinassati, anupaṭṭhitā ca sati na upaṭṭhāti, asamāhitañca cittaṃ na samādhiyati, ayaṃ asappāyo. Yattha nimittaṃ uppajjati ceva thāvarañca hoti, sati upaṭṭhāti, cittaṃ samādhiyati, ayaṃ sappāyo. Tasmā yasmiṃ vihāre bahū āvāsā honti, tattha ekamekasmiṃ tīṇi tīṇi divasāni vasitvā yatthassa cittaṃ ekaggaṃ hoti, tattha vasitabbaṃ.

    โคจรคาโม ปน โย เสนาสนโต อุตฺตเรน วา ทกฺขิเณน วา นาติทูเร ทิยฑฺฒโกสพฺภนฺตเร โหติ สุลภสมฺปนฺนภิโกฺข, โส สปฺปาโย, วิปรีโต อสปฺปาโยฯ

    Gocaragāmo pana yo senāsanato uttarena vā dakkhiṇena vā nātidūre diyaḍḍhakosabbhantare hoti sulabhasampannabhikkho, so sappāyo, viparīto asappāyo.

    ภสฺสนฺติ ทฺวตฺติํสติรจฺฉานกถาปริยาปนฺนํ อสปฺปายํฯ ตญฺหิสฺส นิมิตฺตนฺตรธานาย สํวตฺตติฯ ทสกถาวตฺถุนิสฺสิตํ สปฺปายํ, ตมฺปิมตฺตาย ภาสิตพฺพํฯ

    Bhassanti dvattiṃsatiracchānakathāpariyāpannaṃ asappāyaṃ. Tañhissa nimittantaradhānāya saṃvattati. Dasakathāvatthunissitaṃ sappāyaṃ, tampimattāya bhāsitabbaṃ.

    ปุคฺคโลปิ อติรจฺฉานกถิโก สีลาทิคุณสมฺปโนฺน, ยํ นิสฺสาย อสมาหิตํ วา จิตฺตํ สมาธิยติ, สมาหิตํ วา จิตฺตํ ถิรตรํ โหติ, เอวรูโป สปฺปาโยฯ กายทฬฺหีพหุโล ปน ติรจฺฉานกถิโก อสปฺปาโยฯ โส หิ ตํ กทฺทโมทกมิว อจฺฉํ อุทกํ มลีนเมว กโรติ, ตาทิสญฺจ อาคมฺม โกฎปพฺพตวาสีทหรเสฺสว สมาปตฺติ วินสฺสติ, ปเคว นิมิตฺตํฯ

    Puggalopi atiracchānakathiko sīlādiguṇasampanno, yaṃ nissāya asamāhitaṃ vā cittaṃ samādhiyati, samāhitaṃ vā cittaṃ thirataraṃ hoti, evarūpo sappāyo. Kāyadaḷhībahulo pana tiracchānakathiko asappāyo. So hi taṃ kaddamodakamiva acchaṃ udakaṃ malīnameva karoti, tādisañca āgamma koṭapabbatavāsīdaharasseva samāpatti vinassati, pageva nimittaṃ.

    โภชนํ ปน กสฺสจิ มธุรํ, กสฺสจิ อมฺพิลํ สปฺปายํ โหติฯ อุตุปิ กสฺสจิ สีโต, กสฺสจิ อุโณฺห สปฺปาโย โหติฯ ตสฺมา ยํ โภชนํ วา อุตุํ วา เสวนฺตสฺส ผาสุ โหติ, อสมาหิตํ วา จิตฺตํ สมาธิยติ, สมาหิตํ วา ถิรตรํ โหติฯ ตํ โภชนํ, โส จ อุตุ สปฺปาโยฯ อิตรํ โภชนํ, อิตโร จ อุตุ อสปฺปาโยฯ

    Bhojanaṃ pana kassaci madhuraṃ, kassaci ambilaṃ sappāyaṃ hoti. Utupi kassaci sīto, kassaci uṇho sappāyo hoti. Tasmā yaṃ bhojanaṃ vā utuṃ vā sevantassa phāsu hoti, asamāhitaṃ vā cittaṃ samādhiyati, samāhitaṃ vā thirataraṃ hoti. Taṃ bhojanaṃ, so ca utu sappāyo. Itaraṃ bhojanaṃ, itaro ca utu asappāyo.

    อิริยาปเถสุปิ กสฺสจิ จงฺกโม สปฺปาโย โหติ, กสฺสจิ สยนฎฺฐานนิสชฺชานํ อญฺญตโรฯ ตสฺมา ตํ อาวาสํ วิย ตีณิ ทิวสานิ อุปปริกฺขิตฺวา ยสฺมิํ อิริยาปเถ อสมาหิตํ จิตฺตํ สมาธิยติ, สมาหิตํ วา ถิรตรํ โหติ, โส สปฺปาโย, อิตโร อสปฺปาโยติ เวทิตโพฺพฯ อิติ อิมํ สตฺตวิธํ อสปฺปายํ วเชฺชตฺวา สปฺปายํ เสวิตพฺพํฯ เอวํ ปฎิปนฺนสฺส หิ นิมิตฺตาเสวนพหุลสฺส น จิเรเนว กาเลน โหติ กสฺสจิ อปฺปนาฯ

    Iriyāpathesupi kassaci caṅkamo sappāyo hoti, kassaci sayanaṭṭhānanisajjānaṃ aññataro. Tasmā taṃ āvāsaṃ viya tīṇi divasāni upaparikkhitvā yasmiṃ iriyāpathe asamāhitaṃ cittaṃ samādhiyati, samāhitaṃ vā thirataraṃ hoti, so sappāyo, itaro asappāyoti veditabbo. Iti imaṃ sattavidhaṃ asappāyaṃ vajjetvā sappāyaṃ sevitabbaṃ. Evaṃ paṭipannassa hi nimittāsevanabahulassa na cireneva kālena hoti kassaci appanā.

    ยสฺส ปน เอวมฺปิ ปฎิปชฺชโต น โหติ, เตน ทสวิธํ อปฺปนาโกสลฺลํ สมฺปาเทตพฺพนฺติ ทเสฺสตุํ ‘‘วตฺถุวิสทกิริยา’’ติอาทิมาหฯ ตตฺถ (ที. นิ. อฎฺฐ. ๒.๓๘๕; ม. นิ. อฎฺฐ. ๑.๑๑๘; สํ. นิ. อฎฺฐ. ๓.๕.๒๓๒; อ. นิ. อฎฺฐ. ๑.๑.๔๑๘) วิตฺถุวิสทกิริยา นาม อชฺฌตฺติกพาหิรานํ วตฺถูนํ วิสทภาวกรณํฯ ยทา หิสฺส เกสนขโลมานิ ทีฆานิ โหนฺติ, สรีรํ วา เสทมลคฺคหิตํ, ตทา อชฺฌตฺติกํ วตฺถุ อวิสทํ โหติ อปริสุทฺธํฯ ยทา ปนสฺส จีวรํ ชิณฺณํ กิลิฎฺฐํ ทุคฺคนฺธํ โหติ, เสนาสนํ วา อุกฺลาปํ, ตทา พาหิรํ วตฺถุ อวิสทํ โหติ อปริสุทฺธํฯ อชฺฌตฺติกพาหิเร หิ วตฺถุมฺหิ อวิสเท อุปฺปเนฺนสุ จิตฺตเจตสิเกสุ ญาณมฺปิ อปริสุทฺธํ โหติ อปริสุทฺธานิ ทีปกปลฺลิกวฎฺฎิเตลานิ นิสฺสาย อุปฺปนฺนทีปสิขาย โอภาโส วิยฯ อปริสุเทฺธน จ ญาเณน สงฺขาเร สมฺมสโต สงฺขาราปิ อวิภูตา โหนฺติ, กมฺมฎฺฐานมนุยุญฺชโต กมฺมฎฺฐานมฺปิ วุทฺธิํ วิรุฬฺหิํ เวปุลฺลํ น คจฺฉติฯ วิสเท ปน อชฺฌตฺติกพาหิเร วตฺถุมฺหิ อุปฺปเนฺนสุ จิตฺตเจตสิเกสุ ญาณมฺปิ วิสทํ โหติ ปริสุทฺธานิ ทีปกปลฺลิกวฎฺฎิเตลานิ นิสฺสาย อุปฺปนฺนทีปสิขาย โอภาโส วิยฯ ปริสุเทฺธน จ ญาเณน สงฺขาเร สมฺมสโต สงฺขาราปิ วิภูตาโหนฺติ, กมฺมฎฺฐานมนุยุญฺชโต กมฺมฎฺฐานมฺปิ วุทฺธิํ วิรุฬฺหิํ เวปุลฺลํ คจฺฉติฯ

    Yassa pana evampi paṭipajjato na hoti, tena dasavidhaṃ appanākosallaṃ sampādetabbanti dassetuṃ ‘‘vatthuvisadakiriyā’’tiādimāha. Tattha (dī. ni. aṭṭha. 2.385; ma. ni. aṭṭha. 1.118; saṃ. ni. aṭṭha. 3.5.232; a. ni. aṭṭha. 1.1.418) vitthuvisadakiriyā nāma ajjhattikabāhirānaṃ vatthūnaṃ visadabhāvakaraṇaṃ. Yadā hissa kesanakhalomāni dīghāni honti, sarīraṃ vā sedamalaggahitaṃ, tadā ajjhattikaṃ vatthu avisadaṃ hoti aparisuddhaṃ. Yadā panassa cīvaraṃ jiṇṇaṃ kiliṭṭhaṃ duggandhaṃ hoti, senāsanaṃ vā uklāpaṃ, tadā bāhiraṃ vatthu avisadaṃ hoti aparisuddhaṃ. Ajjhattikabāhire hi vatthumhi avisade uppannesu cittacetasikesu ñāṇampi aparisuddhaṃ hoti aparisuddhāni dīpakapallikavaṭṭitelāni nissāya uppannadīpasikhāya obhāso viya. Aparisuddhena ca ñāṇena saṅkhāre sammasato saṅkhārāpi avibhūtā honti, kammaṭṭhānamanuyuñjato kammaṭṭhānampi vuddhiṃ viruḷhiṃ vepullaṃ na gacchati. Visade pana ajjhattikabāhire vatthumhi uppannesu cittacetasikesu ñāṇampi visadaṃ hoti parisuddhāni dīpakapallikavaṭṭitelāni nissāya uppannadīpasikhāya obhāso viya. Parisuddhena ca ñāṇena saṅkhāre sammasato saṅkhārāpi vibhūtāhonti, kammaṭṭhānamanuyuñjato kammaṭṭhānampi vuddhiṃ viruḷhiṃ vepullaṃ gacchati.

    อินฺทฺริยสมตฺตปฎิปาทนตา นาม สทฺธาทีนํ อินฺทฺริยานํ สมภาวกรณํฯ สเจ หิสฺส สทฺธินฺทฺริยํ พลวํ โหติ, อิตรานิ มนฺทานิ, ตโต วีริยินฺทฺริยํ ปคฺคหกิจฺจํ, สตินฺทฺริยํ อุปฎฺฐานกิจฺจํ, สมาธินฺทฺริยํ อวิเกฺขปกิจฺจํ, ปญฺญินฺทฺริยํ ทสฺสนกิจฺจํ กาตุํ น สโกฺกติฯ ตสฺมา ตํ ธมฺมสภาวปจฺจเวกฺขเณน วา ยถา วา มนสิกโรโต พลวํ ชาตํ, ตถา อมนสิกาเรน หาเปตพฺพํฯ วกฺกลิเตฺถรวตฺถุ เจตฺถ นิทสฺสนํฯ สเจ ปน วีริยินฺทฺริยํ พลวํ โหติ, อถ เนว สทฺธินฺทฺริยํ อธิโมกฺขกิจฺจํ กาตุํ สโกฺกติ, น อิตรานิ อิตรกิจฺจเภทํฯ ตสฺมา ตํ ปสฺสทฺธาทิภาวนาย หาเปตพฺพํฯ ตตฺราปิ โสณเตฺถรวตฺถุ ทเสฺสตพฺพํฯ เอวํ เสเสสุปิ เอกสฺส พลวภาเว สติ อิตเรสํ อตฺตโน กิเจฺจสุ อสมตฺถตา เวทิตพฺพาฯ

    Indriyasamattapaṭipādanatā nāma saddhādīnaṃ indriyānaṃ samabhāvakaraṇaṃ. Sace hissa saddhindriyaṃ balavaṃ hoti, itarāni mandāni, tato vīriyindriyaṃ paggahakiccaṃ, satindriyaṃ upaṭṭhānakiccaṃ, samādhindriyaṃ avikkhepakiccaṃ, paññindriyaṃ dassanakiccaṃ kātuṃ na sakkoti. Tasmā taṃ dhammasabhāvapaccavekkhaṇena vā yathā vā manasikaroto balavaṃ jātaṃ, tathā amanasikārena hāpetabbaṃ. Vakkalittheravatthu cettha nidassanaṃ. Sace pana vīriyindriyaṃ balavaṃ hoti, atha neva saddhindriyaṃ adhimokkhakiccaṃ kātuṃ sakkoti, na itarāni itarakiccabhedaṃ. Tasmā taṃ passaddhādibhāvanāya hāpetabbaṃ. Tatrāpi soṇattheravatthu dassetabbaṃ. Evaṃ sesesupi ekassa balavabhāve sati itaresaṃ attano kiccesu asamatthatā veditabbā.

    วิเสสโต ปเนตฺถ สทฺธาปญฺญานํ สมาธิวีริยานญฺจ สมตํ ปสํสนฺติฯ พลวสโทฺธ หิ มนฺทปโญฺญ มุธปฺปสโนฺน โหติ, อวตฺถุสฺมิํ ปสีทติฯ พลวปโญฺญ มนฺทสโทฺธ เกราฎิกปกฺขํ ภชติ, เภสชฺชสมุฎฺฐิโต วิย โรโค อเตกิโจฺฉ โหติฯ อุภินฺนํ สมตาย วตฺถุสฺมิํเยว ปสีทติฯ พลวสมาธิํ ปน มนฺทวีริยํ สมาธิสฺส โกสชฺชปกฺขตฺตา โกสชฺชํ อภิภวติ, พลววีริยํ มนฺทสมาธิํวีริยสฺส อุทฺธจฺจปกฺขตฺตา อุทฺธจฺจํ อภิภวติฯ สมาธิ ปน วีริเยน สํโยชิโต โกสเชฺช ปติตุํ น ลภติ, วีริยํ สมาธินา สํโยชิตํ อุทฺธเจฺจ ปติตุํ น ลภติฯ ตสฺมา ตทุภยํ สมํ กาตพฺพํฯ อุภยสมตาย หิ อปฺปนา โหติฯ อปิจ สมาธิกมฺมิกสฺส พลวตีปิ สทฺธา วฎฺฎติฯ เอวญฺหิ สทฺทหโนฺต โอกเปฺปโนฺต อปฺปนํ ปาปุณิสฺสติ, สมาธิปญฺญาสุ ปน สมาธิกมฺมิกสฺส เอกคฺคตา พลวตี วฎฺฎติฯ เอวญฺหิ โส อปฺปนํ ปาปุณาติ, วิปสฺสนากมฺมิกสฺส ปญฺญา พลวตี วฎฺฎติ ฯ เอวญฺหิ โส ลกฺขณปฺปฎิเวธํ ปาปุณาติ, อุภินฺนํ ปน สมตายปิ อปฺปนา โหติเยวฯ สติ ปน สพฺพตฺถ พลวตี วฎฺฎติฯ สติ หิ จิตฺตํ อุทฺธจฺจปกฺขิกานํ สทฺธาวีริยปญฺญานํ วเสน อุทฺธจฺจปาตโต โกสชฺชปเกฺขน จ สมาธินา โกสชฺชปาตโต รกฺขติฯ ตสฺมา สา โลณธูปนํ วิย สพฺพพฺยญฺชเนสุ, สพฺพกมฺมิกอมโจฺจ วิย จ สพฺพราชกิเจฺจสุ สพฺพตฺถ อิจฺฉิตพฺพาฯ

    Visesato panettha saddhāpaññānaṃ samādhivīriyānañca samataṃ pasaṃsanti. Balavasaddho hi mandapañño mudhappasanno hoti, avatthusmiṃ pasīdati. Balavapañño mandasaddho kerāṭikapakkhaṃ bhajati, bhesajjasamuṭṭhito viya rogo atekiccho hoti. Ubhinnaṃ samatāya vatthusmiṃyeva pasīdati. Balavasamādhiṃ pana mandavīriyaṃ samādhissa kosajjapakkhattā kosajjaṃ abhibhavati, balavavīriyaṃ mandasamādhiṃvīriyassa uddhaccapakkhattā uddhaccaṃ abhibhavati. Samādhi pana vīriyena saṃyojito kosajje patituṃ na labhati, vīriyaṃ samādhinā saṃyojitaṃ uddhacce patituṃ na labhati. Tasmā tadubhayaṃ samaṃ kātabbaṃ. Ubhayasamatāya hi appanā hoti. Apica samādhikammikassa balavatīpi saddhā vaṭṭati. Evañhi saddahanto okappento appanaṃ pāpuṇissati, samādhipaññāsu pana samādhikammikassa ekaggatā balavatī vaṭṭati. Evañhi so appanaṃ pāpuṇāti, vipassanākammikassa paññā balavatī vaṭṭati . Evañhi so lakkhaṇappaṭivedhaṃ pāpuṇāti, ubhinnaṃ pana samatāyapi appanā hotiyeva. Sati pana sabbattha balavatī vaṭṭati. Sati hi cittaṃ uddhaccapakkhikānaṃ saddhāvīriyapaññānaṃ vasena uddhaccapātato kosajjapakkhena ca samādhinā kosajjapātato rakkhati. Tasmā sā loṇadhūpanaṃ viya sabbabyañjanesu, sabbakammikaamacco viya ca sabbarājakiccesu sabbattha icchitabbā.

    นิมิตฺตกุสลตา นาม ปถวีกสิณาทิกสฺส จิเตฺตกคฺคตานิมิตฺตสฺส อกตสฺส กรณโกสลฺลํ, กตสฺส ภาวนาโกสลฺลํ, ภาวนาย ลทฺธสฺส รกฺขณโกสลฺลญฺจ, ตํ อิธ อธิเปฺปตํฯ

    Nimittakusalatā nāma pathavīkasiṇādikassa cittekaggatānimittassa akatassa karaṇakosallaṃ, katassa bhāvanākosallaṃ, bhāvanāya laddhassa rakkhaṇakosallañca, taṃ idha adhippetaṃ.

    กถํ ยสฺมิํ สมเย จิตฺตํ นิคฺคเหตพฺพํ, ตสฺมิํ สมเย จิตฺตํ นิคฺคณฺหาติ? ยทาสฺส อจฺจารทฺธวีริยตาทีหิ อุทฺธตํ จิตฺตํ โหติ, ตทา ธมฺมวิจยสโมฺพชฺฌงฺคาทโย ตโย อภาเวตฺวา ปสฺสทฺธิสโมฺพชฺฌงฺคาทโย ภาเวติฯ วุตฺตเญฺหตํ ภควตา (สํ. นิ. ๕.๒๓๔) –

    Kathaṃ yasmiṃ samaye cittaṃ niggahetabbaṃ, tasmiṃ samaye cittaṃ niggaṇhāti? Yadāssa accāraddhavīriyatādīhi uddhataṃ cittaṃ hoti, tadā dhammavicayasambojjhaṅgādayo tayo abhāvetvā passaddhisambojjhaṅgādayo bhāveti. Vuttañhetaṃ bhagavatā (saṃ. ni. 5.234) –

    ‘‘เสยฺยถาปิ, ภิกฺขเว, ปุริโส มหนฺตํ อคฺคิกฺขนฺธํ นิพฺพาเปตุกาโม อสฺส, โส ตตฺถ สุกฺขานิ เจว ติณานิ ปกฺขิเปยฺย, สุกฺขานิ จ โคมยานิ ปกฺขิเปยฺย, สุกฺขานิ จ กฎฺฐานิ ปกฺขิเปยฺย, มุขวาตญฺจ ทเทยฺย, น จ ปํสุเกน โอกิเรยฺย, ภโพฺพ นุ โข โส ปุริโส ตํ มหนฺตํ อคฺคิกฺขนฺธํ นิพฺพาเปตุนฺติฯ โน เหตํ, ภเนฺตฯ เอวเมว โข, ภิกฺขเว, ยสฺมิํ สมเย อุทฺธตํ จิตฺตํ โหติ, อกาโล ตสฺมิํ สมเย ธมฺมวิจยสโมฺพชฺฌงฺคสฺส ภาวนายฯ อกาโล วีริย…เป.… อกาโล ปีติสโมฺพชฺฌงฺคสฺส ภาวนายฯ ตํ กิสฺส เหตุ? อุทฺธตํ, ภิกฺขเว, จิตฺตํ, ตํ เอเตหิ ธเมฺมหิ ทุวูปสมยํ โหติฯ

    ‘‘Seyyathāpi, bhikkhave, puriso mahantaṃ aggikkhandhaṃ nibbāpetukāmo assa, so tattha sukkhāni ceva tiṇāni pakkhipeyya, sukkhāni ca gomayāni pakkhipeyya, sukkhāni ca kaṭṭhāni pakkhipeyya, mukhavātañca dadeyya, na ca paṃsukena okireyya, bhabbo nu kho so puriso taṃ mahantaṃ aggikkhandhaṃ nibbāpetunti. No hetaṃ, bhante. Evameva kho, bhikkhave, yasmiṃ samaye uddhataṃ cittaṃ hoti, akālo tasmiṃ samaye dhammavicayasambojjhaṅgassa bhāvanāya. Akālo vīriya…pe… akālo pītisambojjhaṅgassa bhāvanāya. Taṃ kissa hetu? Uddhataṃ, bhikkhave, cittaṃ, taṃ etehi dhammehi duvūpasamayaṃ hoti.

    ‘‘ยสฺมิํ โข, ภิกฺขเว, สมเย อุทฺธตํ จิตฺตํ โหติ, กาโล ตสฺมิํ สมเย ปสฺสทฺธิสโมฺพชฺฌงฺคสฺส ภาวนายฯ กาโล สมาธิ…เป.… กาโล อุเปกฺขาสโมฺพชฺฌงฺคสฺส ภาวนายฯ ตํ กิสฺส เหตุ? อุทฺธตํ, ภิกฺขเว, จิตฺตํ, ตํ เอเตหิ ธเมฺมหิ สุวูปสมยํ โหติฯ เสยฺยถาปิ, ภิกฺขเว, ปุริโส มหนฺตํ อคฺคิกฺขนฺธํ นิพฺพาเปตุกาโม อสฺส, โส ตตฺถ อลฺลานิ เจว ติณานิ ปกฺขิเปยฺย, อลฺลานิ จ โคมยานิ ปกฺขิเปยฺย, อลฺลานิ จ กฎฺฐานิ ปกฺขิเปยฺย, อุทกวาตญฺจ ทเทยฺย, ปํสุเกน จ โอกิเรยฺย, ภโพฺพ นุ โข โส ปุริโส ตํ มหนฺตํ อคฺคิกฺขนฺธํ นิพฺพาเปตุนฺติฯ เอวํ, ภเนฺต’’ติฯ

    ‘‘Yasmiṃ kho, bhikkhave, samaye uddhataṃ cittaṃ hoti, kālo tasmiṃ samaye passaddhisambojjhaṅgassa bhāvanāya. Kālo samādhi…pe… kālo upekkhāsambojjhaṅgassa bhāvanāya. Taṃ kissa hetu? Uddhataṃ, bhikkhave, cittaṃ, taṃ etehi dhammehi suvūpasamayaṃ hoti. Seyyathāpi, bhikkhave, puriso mahantaṃ aggikkhandhaṃ nibbāpetukāmo assa, so tattha allāni ceva tiṇāni pakkhipeyya, allāni ca gomayāni pakkhipeyya, allāni ca kaṭṭhāni pakkhipeyya, udakavātañca dadeyya, paṃsukena ca okireyya, bhabbo nu kho so puriso taṃ mahantaṃ aggikkhandhaṃ nibbāpetunti. Evaṃ, bhante’’ti.

    เอตฺถ จ ยถาสกํ อาหารวเสน ปสฺสทฺธิสโมฺพชฺฌงฺคาทีนํ ภาวนา เวทิตพฺพาฯ วุตฺตเญฺหตํ ภควตา –

    Ettha ca yathāsakaṃ āhāravasena passaddhisambojjhaṅgādīnaṃ bhāvanā veditabbā. Vuttañhetaṃ bhagavatā –

    ‘‘อตฺถิ, ภิกฺขเว, กายปฺปสฺสทฺธิ จิตฺตปฺปสฺสทฺธิ, ตตฺถ โยนิโสมนสิการพหุลีกาโร อยมาหาโร อนุปฺปนฺนสฺส วา ปสฺสทฺธิสโมฺพชฺฌงฺคสฺส อุปฺปาทาย , อุปฺปนฺนสฺส วา ปสฺสทฺธิสโมฺพชฺฌงฺคสฺส ภิโยฺยภาวาย เวปุลฺลาย ภาวนาย ปาริปูริยา สํวตฺตติฯ ตถา อตฺถิ, ภิกฺขเว, สมถนิมิตฺตํ อพฺยคฺคนิมิตฺตํ, ตตฺถ โยนิโสมนสิการพหุลีกาโร อยมาหาโร อนุปฺปนฺนสฺส วา สมาธิสโมฺพชฺฌงฺคสฺส อุปฺปาทาย, อุปฺปนฺนสฺส วา สมาธิสโมฺพชฺฌงฺคสฺส ภิโยฺยภาวาย เวปุลฺลาย ภาวนาย ปาริปูริยา สํวตฺตติ…เป.… ตถา อตฺถิ, ภิกฺขเว, อุเปกฺขาสโมฺพชฺฌงฺคฎฺฐานียา ธมฺมา, ตตฺถ โยนิโสมนสิการพหุลีกาโร อยมาหาโร อนุปฺปนฺนสฺส วา อุเปกฺขาสโมฺพชฺฌงฺคสฺส อุปฺปาทาย, อุปฺปนฺนสฺส วา อุเปกฺขาสโมฺพชฺฌงฺคสฺส ภิโยฺยภาวาย เวปุลฺลาย ภาวนาย ปาริปูริยา สํวตฺตตี’’ติ (สํ. นิ. ๕.๒๓๒)ฯ

    ‘‘Atthi, bhikkhave, kāyappassaddhi cittappassaddhi, tattha yonisomanasikārabahulīkāro ayamāhāro anuppannassa vā passaddhisambojjhaṅgassa uppādāya , uppannassa vā passaddhisambojjhaṅgassa bhiyyobhāvāya vepullāya bhāvanāya pāripūriyā saṃvattati. Tathā atthi, bhikkhave, samathanimittaṃ abyagganimittaṃ, tattha yonisomanasikārabahulīkāro ayamāhāro anuppannassa vā samādhisambojjhaṅgassa uppādāya, uppannassa vā samādhisambojjhaṅgassa bhiyyobhāvāya vepullāya bhāvanāya pāripūriyā saṃvattati…pe… tathā atthi, bhikkhave, upekkhāsambojjhaṅgaṭṭhānīyā dhammā, tattha yonisomanasikārabahulīkāro ayamāhāro anuppannassa vā upekkhāsambojjhaṅgassa uppādāya, uppannassa vā upekkhāsambojjhaṅgassa bhiyyobhāvāya vepullāya bhāvanāya pāripūriyā saṃvattatī’’ti (saṃ. ni. 5.232).

    ตตฺถ ยถาสฺส ปสฺสทฺธิอาทโย อุปฺปนฺนปุพฺพา, ตํ อาการํ สลฺลเกฺขตฺวา เตสํ อุปฺปาทนวเสน ปวตฺตมนสิกาโรว ตีสุ ปเทสุปิ โยนิโสมนสิกาโร นามฯ สมถนิมิตฺตนฺติ จ สมถเสฺสเวตํ อธิวจนํ, อวิเกฺขปเฎฺฐน จ ตเสฺสว อพฺยคฺคนิมิตฺตนฺติฯ

    Tattha yathāssa passaddhiādayo uppannapubbā, taṃ ākāraṃ sallakkhetvā tesaṃ uppādanavasena pavattamanasikārova tīsu padesupi yonisomanasikāro nāma. Samathanimittanti ca samathassevetaṃ adhivacanaṃ, avikkhepaṭṭhena ca tasseva abyagganimittanti.

    อปิจ สตฺต ธมฺมา ปสฺสทฺธิสโมฺพชฺฌงฺคสฺส อุปฺปาทาย สํวตฺตนฺติ – ปณีตโภชนเสวนตา, อุตุสุขเสวนตา, อิริยาปถสุขเสวนตา, มชฺฌตฺตปฺปโยคตา, สารทฺธกายปุคฺคลปริวชฺชนตา, ปสฺสทฺธกายปุคฺคลเสวนตา, ตทธิมุตฺตตาติฯ

    Apica satta dhammā passaddhisambojjhaṅgassa uppādāya saṃvattanti – paṇītabhojanasevanatā, utusukhasevanatā, iriyāpathasukhasevanatā, majjhattappayogatā, sāraddhakāyapuggalaparivajjanatā, passaddhakāyapuggalasevanatā, tadadhimuttatāti.

    เอกาทส ธมฺมา สมาธิสโมฺพชฺฌงฺคสฺส อุปฺปาทาย สํวตฺตนฺติ – วตฺถุวิสทตา, นิมิตฺตกุสลตา, อินฺทฺริยสมตฺตปฎิปาทนตา, สมเย จิตฺตสฺส นิคฺคหณตา, สมเย จิตฺตสฺส ปคฺคหณตา, นิรสฺสาทสฺส จิตฺตสฺส สทฺธาสํเวควเสน สมฺปหํสนตา, สมปฺปวตฺตสฺส อชฺฌุเปกฺขนตา, อสมาหิตปุคฺคลปริวชฺชนตา, สมาหิตปุคฺคลเสวนตา, ฌานวิโมกฺขปจฺจเวกฺขณตา, ตทธิมุตฺตตาติฯ

    Ekādasa dhammā samādhisambojjhaṅgassa uppādāya saṃvattanti – vatthuvisadatā, nimittakusalatā, indriyasamattapaṭipādanatā, samaye cittassa niggahaṇatā, samaye cittassa paggahaṇatā, nirassādassa cittassa saddhāsaṃvegavasena sampahaṃsanatā, samappavattassa ajjhupekkhanatā, asamāhitapuggalaparivajjanatā, samāhitapuggalasevanatā, jhānavimokkhapaccavekkhaṇatā, tadadhimuttatāti.

    ปญฺจ ธมฺมา อุเปกฺขาสโมฺพชฺฌงฺคสฺส อุปฺปาทาย สํวตฺตนฺติ – สตฺตมชฺฌตฺตตา, สงฺขารมชฺฌตฺตตา, สตฺตสงฺขารเกลายนปุคฺคลปริวชฺชนตา, สตฺตสงฺขารมชฺฌตฺตปุคฺคลเสวนตา, ตทธิมุตฺตตาติฯ อิติ อิเมหิ อากาเรหิ เอเต ธเมฺม อุปฺปาเทโนฺต ปสฺสทฺธิสโมฺพชฺฌงฺคาทโย ภาเวติ นามฯ เอวํ ยสฺมิํ สมเย จิตฺตํ นิคฺคเหตพฺพํ, ตสฺมิํ สมเย จิตฺตํ นิคฺคณฺหาติฯ

    Pañca dhammā upekkhāsambojjhaṅgassa uppādāya saṃvattanti – sattamajjhattatā, saṅkhāramajjhattatā, sattasaṅkhārakelāyanapuggalaparivajjanatā, sattasaṅkhāramajjhattapuggalasevanatā, tadadhimuttatāti. Iti imehi ākārehi ete dhamme uppādento passaddhisambojjhaṅgādayo bhāveti nāma. Evaṃ yasmiṃ samaye cittaṃ niggahetabbaṃ, tasmiṃ samaye cittaṃ niggaṇhāti.

    กถญฺจ ยสฺมิํ สมเย จิตฺตํ ปคฺคเหตพฺพํ, ตสฺมิํ สมเย จิตฺตํ ปคฺคณฺหาติ? ยทาสฺส อติสิถิลวีริยตาทีหิ จิตฺตํ ลีนํ โหติ, ตทา ปสฺสทฺธิสโมฺพชฺฌงฺคาทโย ตโย อภาเวตฺวา ธมฺมวิจยสโมฺพชฺฌงฺคาทโย ภาเวติฯ วุตฺตเญฺหตํ ภควตา (สํ. นิ. ๕.๒๓๔) –

    Kathañca yasmiṃ samaye cittaṃ paggahetabbaṃ, tasmiṃ samaye cittaṃ paggaṇhāti? Yadāssa atisithilavīriyatādīhi cittaṃ līnaṃ hoti, tadā passaddhisambojjhaṅgādayo tayo abhāvetvā dhammavicayasambojjhaṅgādayo bhāveti. Vuttañhetaṃ bhagavatā (saṃ. ni. 5.234) –

    ‘‘เสยฺยถาปิ, ภิกฺขเว, ปุริโส ปริตฺตํ อคฺคิํ อุชฺชาเลตุกาโม อสฺส, โส ตตฺถ อลฺลานิ เจว ติณานิ ปกฺขิเปยฺย…เป.… ปํสุเกน จ โอกิเรยฺย, ภโพฺพ นุ โข โส ปุริโส ตํ ปริตฺตํ อคฺคิํ อุชฺชาเลตุนฺติฯ โน เหตํ, ภเนฺตฯ เอวเมว โข, ภิกฺขเว, ยสฺมิํ สมเย ลีนํ จิตฺตํ โหติฯ อกาโล ตสฺมิํ สมเย ปสฺสทฺธิสโมฺพชฺฌงฺคสฺส ภาวนายฯ อกาโล สมาธิ…เป.… อกาโล อุเปกฺขาสโมฺพชฺฌงฺคสฺส ภาวนายฯ ตํ กิสฺส เหตุ? ลีนํ, ภิกฺขเว, จิตฺตํ, ตํ เอเตหิ ธเมฺมหิ ทุสมุฎฺฐาปยํ โหติฯ

    ‘‘Seyyathāpi, bhikkhave, puriso parittaṃ aggiṃ ujjāletukāmo assa, so tattha allāni ceva tiṇāni pakkhipeyya…pe… paṃsukena ca okireyya, bhabbo nu kho so puriso taṃ parittaṃ aggiṃ ujjāletunti. No hetaṃ, bhante. Evameva kho, bhikkhave, yasmiṃ samaye līnaṃ cittaṃ hoti. Akālo tasmiṃ samaye passaddhisambojjhaṅgassa bhāvanāya. Akālo samādhi…pe… akālo upekkhāsambojjhaṅgassa bhāvanāya. Taṃ kissa hetu? Līnaṃ, bhikkhave, cittaṃ, taṃ etehi dhammehi dusamuṭṭhāpayaṃ hoti.

    ‘‘ยสฺมิญฺจ โข, ภิกฺขเว, สมเย ลีนํ จิตฺตํ โหติ, กาโล ตสฺมิํ สมเย ธมฺมวิจยสโมฺพชฺฌงฺคสฺส ภาวนาย, กาโล วีริย…เป.… กาโล ปีติสโมฺพชฺฌงฺคสฺส ภาวนายฯ ตํ กิสฺส เหตุ? ลีนํ, ภิกฺขเว, จิตฺตํ, ตํ เอเตหิ ธเมฺมหิ สุสมุฎฺฐาปยํ โหติฯ เสยฺยถาปิ, ภิกฺขเว, ปุริโส ปริตฺตํ อคฺคิํ อุชฺชาเลตุกาโม อสฺส, โส ตตฺถ สุกฺขานิ เจว ติณานิ ปกฺขิเปยฺย…เป.… น จ ปํสุเกน โอกิเรยฺย, ภโพฺพ นุ โข โส ปุริโส ตํ ปริตฺตํ อคฺคิํ อุชฺชาเลตุนฺติฯ เอวํ, ภเนฺต’’ติฯ

    ‘‘Yasmiñca kho, bhikkhave, samaye līnaṃ cittaṃ hoti, kālo tasmiṃ samaye dhammavicayasambojjhaṅgassa bhāvanāya, kālo vīriya…pe… kālo pītisambojjhaṅgassa bhāvanāya. Taṃ kissa hetu? Līnaṃ, bhikkhave, cittaṃ, taṃ etehi dhammehi susamuṭṭhāpayaṃ hoti. Seyyathāpi, bhikkhave, puriso parittaṃ aggiṃ ujjāletukāmo assa, so tattha sukkhāni ceva tiṇāni pakkhipeyya…pe… na ca paṃsukena okireyya, bhabbo nu kho so puriso taṃ parittaṃ aggiṃ ujjāletunti. Evaṃ, bhante’’ti.

    เอตฺถาปิ ยถาสกํ อาหารวเสน ธมฺมวิจยสโมฺพชฺฌงฺคาทีนํ ภาวนา เวทิตพฺพาฯ วุตฺตเญฺหตํ ภควตา (สํ. นิ. ๕.๒๓๒) –

    Etthāpi yathāsakaṃ āhāravasena dhammavicayasambojjhaṅgādīnaṃ bhāvanā veditabbā. Vuttañhetaṃ bhagavatā (saṃ. ni. 5.232) –

    ‘‘อตฺถิ, ภิกฺขเว, กุสลากุสลา ธมฺมา สาวชฺชานวชฺชา ธมฺมา หีนปฺปณีตา ธมฺมา กณฺหสุกฺกสปฺปฎิภาคา ธมฺมา, ตตฺถ โยนิโสมนสิการพหุลีกาโร อยมาหาโร อนุปฺปนฺนสฺส วา ธมฺมวิจยสโมฺพชฺฌงฺคสฺส อุปฺปาทาย, อุปฺปนฺนสฺส วา ธมฺมวิจยสโมฺพชฺฌงฺคสฺส ภิโยฺยภาวาย เวปุลฺลาย ภาวนาย ปาริปูริยา สํวตฺตติฯ ตถา อตฺถิ, ภิกฺขเว, อารมฺภธาตุ นิกฺกมธาตุ ปรกฺกมธาตุ, ตตฺถ โยนิโสมนสิการพหุลีกาโร อยมาหาโร อนุปฺปนฺนสฺส วา วีริยสโมฺพชฺฌงฺคสฺส อุปฺปาทาย, อุปฺปนฺนสฺส วา วีริยสโมฺพชฺฌงฺคสฺส ภิโยฺยภาวาย เวปุลฺลาย ภาวนาย ปาริปูริยา สํวตฺตติฯ ตถา อตฺถิ, ภิกฺขเว, ปีติสโมฺพชฺฌงฺคฎฺฐานียา ธมฺมา, ตตฺถ โยนิโสมนสิการพหุลีกาโร อยมาหาโร อนุปฺปนฺนสฺส วา ปีติสโมฺพชฺฌงฺคสฺส อุปฺปาทาย, อุปฺปนฺนสฺส วา ปีติสโมฺพชฺฌงฺคสฺส ภิโยฺยภาวาย เวปุลฺลาย ภาวนาย ปาริปูริยา สํวตฺตตี’’ติฯ

    ‘‘Atthi, bhikkhave, kusalākusalā dhammā sāvajjānavajjā dhammā hīnappaṇītā dhammā kaṇhasukkasappaṭibhāgā dhammā, tattha yonisomanasikārabahulīkāro ayamāhāro anuppannassa vā dhammavicayasambojjhaṅgassa uppādāya, uppannassa vā dhammavicayasambojjhaṅgassa bhiyyobhāvāya vepullāya bhāvanāya pāripūriyā saṃvattati. Tathā atthi, bhikkhave, ārambhadhātu nikkamadhātu parakkamadhātu, tattha yonisomanasikārabahulīkāro ayamāhāro anuppannassa vā vīriyasambojjhaṅgassa uppādāya, uppannassa vā vīriyasambojjhaṅgassa bhiyyobhāvāya vepullāya bhāvanāya pāripūriyā saṃvattati. Tathā atthi, bhikkhave, pītisambojjhaṅgaṭṭhānīyā dhammā, tattha yonisomanasikārabahulīkāro ayamāhāro anuppannassa vā pītisambojjhaṅgassa uppādāya, uppannassa vā pītisambojjhaṅgassa bhiyyobhāvāya vepullāya bhāvanāya pāripūriyā saṃvattatī’’ti.

    ตตฺถ สภาวสามญฺญลกฺขณปฺปฎิเวธวเสน ปวตฺตมนสิกาโร กุสลาทีสุ โยนิโสมนสิกาโร นามฯ อารมฺภธาตุอาทีนํ อุปฺปาทวเสน ปวตฺตมนสิกาโร อารมฺภธาตุอาทีสุ โยนิโสมนสิกาโร นามฯ ตตฺถ อารมฺภธาตูติ ปฐมวีริยํ วุจฺจติฯ นิกฺกมธาตูติ โกสชฺชโต นิกฺขนฺตตฺตา ตโต พลวตรํฯ ปรกฺกมธาตูติ ปรํ ปรํ ฐานํ อกฺกมนโต ตโตปิ พลวตรํฯ ปีติสโมฺพชฺฌงฺคฎฺฐานียา ธมฺมาติ ปน ปีติยา เอเวตํ นามํ, ตสฺสาปิ อุปฺปาทกมนสิกาโร โยนิโสมนสิกาโร นามฯ

    Tattha sabhāvasāmaññalakkhaṇappaṭivedhavasena pavattamanasikāro kusalādīsu yonisomanasikāro nāma. Ārambhadhātuādīnaṃ uppādavasena pavattamanasikāro ārambhadhātuādīsu yonisomanasikāro nāma. Tattha ārambhadhātūti paṭhamavīriyaṃ vuccati. Nikkamadhātūti kosajjato nikkhantattā tato balavataraṃ. Parakkamadhātūti paraṃ paraṃ ṭhānaṃ akkamanato tatopi balavataraṃ. Pītisambojjhaṅgaṭṭhānīyā dhammāti pana pītiyā evetaṃ nāmaṃ, tassāpi uppādakamanasikāro yonisomanasikāro nāma.

    อปิจ สตฺต ธมฺมา ธมฺมวิจยสโมฺพชฺฌงฺคสฺส อุปฺปาทาย สํวตฺตนฺติ – ปริปุจฺฉกตา, วตฺถุวิสทกิริยา, อินฺทฺริยสมตฺตปฎิปาทนา, ทุปฺปญฺญปุคฺคลปริวชฺชนา, ปญฺญวนฺตปุคฺคลเสวนา, คมฺภีรญาณจริยปจฺจเวกฺขณา, ตทธิมุตฺตตาติฯ

    Apica satta dhammā dhammavicayasambojjhaṅgassa uppādāya saṃvattanti – paripucchakatā, vatthuvisadakiriyā, indriyasamattapaṭipādanā, duppaññapuggalaparivajjanā, paññavantapuggalasevanā, gambhīrañāṇacariyapaccavekkhaṇā, tadadhimuttatāti.

    เอกาทส ธมฺมา วีริยสโมฺพชฺฌงฺคสฺส อุปฺปาทาย สํวตฺตนฺติ – อปายาทิภยปจฺจเวกฺขณตา, วีริยายตฺตโลกิยโลกุตฺตรวิเสสาธิคมานิสํสทสฺสิตา, ‘‘พุทฺธปเจฺจกพุทฺธมหอาสาวเกหิ คตมโคฺค มยา คนฺตโพฺพ, โส จ น สกฺกา กุสีเตน คนฺตุ’’นฺติ เอวํ คมนวีถิปจฺจเวกฺขณตา, ทายกานํ มหปฺผลตากรเณน ปิณฺฑาปจายนตา, ‘‘วีริยารมฺภสฺส วณฺณวาที เม สตฺถา, โส จ อนติกฺกมนียสาสโน, อมฺหากญฺจ พหูปกาโร, ปฎิปตฺติยา จ ปูชิยมาโน ปูชิโต โหติ, น อิตรถา’’ติ เอวํ สตฺถุ มหตฺตปจฺจเวกฺขณตา, ‘‘สทฺธมฺมสงฺขาตํ เม มหาทายชฺชํ คเหตพฺพํ, ตญฺจ น สกฺกา กุสีเตน คเหตุ’’นฺติ เอวํ ทายชฺชมหตฺตปจฺจเวกฺขณตา, อาโลกสญฺญามนสิการอิริยาปถปริวตฺตนอโพฺภกาสเสวนาทีหิ ถินมิทฺธวิโนทนตา, กุสีตปุคฺคลปริวชฺชนตา, อารทฺธวีริยปุคฺคลเสวนตา, สมฺมปฺปธานปจฺจเวกฺขณตา, ตทธิมุตฺตตาติฯ

    Ekādasa dhammā vīriyasambojjhaṅgassa uppādāya saṃvattanti – apāyādibhayapaccavekkhaṇatā, vīriyāyattalokiyalokuttaravisesādhigamānisaṃsadassitā, ‘‘buddhapaccekabuddhamahaāsāvakehi gatamaggo mayā gantabbo, so ca na sakkā kusītena gantu’’nti evaṃ gamanavīthipaccavekkhaṇatā, dāyakānaṃ mahapphalatākaraṇena piṇḍāpacāyanatā, ‘‘vīriyārambhassa vaṇṇavādī me satthā, so ca anatikkamanīyasāsano, amhākañca bahūpakāro, paṭipattiyā ca pūjiyamāno pūjito hoti, na itarathā’’ti evaṃ satthu mahattapaccavekkhaṇatā, ‘‘saddhammasaṅkhātaṃ me mahādāyajjaṃ gahetabbaṃ, tañca na sakkā kusītena gahetu’’nti evaṃ dāyajjamahattapaccavekkhaṇatā, ālokasaññāmanasikārairiyāpathaparivattanaabbhokāsasevanādīhi thinamiddhavinodanatā, kusītapuggalaparivajjanatā, āraddhavīriyapuggalasevanatā, sammappadhānapaccavekkhaṇatā, tadadhimuttatāti.

    เอกาทส ธมฺมา ปีติสโมฺพชฺฌงฺคสฺส อุปฺปาทาย สํวตฺตนฺติ – พุทฺธานุสฺสติ, ธมฺมสงฺฆสีลจาคเทวตานุสฺสติ, อุปสมานุสฺสติ, ลูขปุคฺคลปริวชฺชนตา, สินิทฺธปุคฺคลเสวนตา, ปสาทนียสุตฺตนฺตปจฺจเวกฺขณตา, ตทธิมุตฺตตาติฯ อิติ อิเมหิ อากาเรหิ เอเต ธเมฺม อุปฺปาเทโนฺต ธมฺมวิจยสโมฺพชฺฌงฺคาทโย ภาเวติ นามฯ เอวํ ยสฺมิํ สมเย จิตฺตํ ปคฺคเหตพฺพํ, ตสฺมิํ สมเย จิตฺตํ ปคฺคณฺหาติฯ

    Ekādasa dhammā pītisambojjhaṅgassa uppādāya saṃvattanti – buddhānussati, dhammasaṅghasīlacāgadevatānussati, upasamānussati, lūkhapuggalaparivajjanatā, siniddhapuggalasevanatā, pasādanīyasuttantapaccavekkhaṇatā, tadadhimuttatāti. Iti imehi ākārehi ete dhamme uppādento dhammavicayasambojjhaṅgādayo bhāveti nāma. Evaṃ yasmiṃ samaye cittaṃ paggahetabbaṃ, tasmiṃ samaye cittaṃ paggaṇhāti.

    กถํ ยสฺมิํ สมเย จิตฺตํ สมฺปหํเสตพฺพํ, ตสฺมิํ สมเย จิตฺตํ สมฺปหํเสติ? ยทาสฺส ปญฺญาปโยคมนฺทตาย วา อุปสมสุขานธิคเมน วา นิรสฺสาทํ จิตฺตํ โหติ, ตทา นํ อฎฺฐสํเวควตฺถุปจฺจเวกฺขเณน สํเวเชติฯ อฎฺฐ สํเวควตฺถูนิ นาม ชาติชราพฺยาธิมรณานิ จตฺตาริ, อปายทุกฺขํ ปญฺจมํ, อตีเต วฎฺฎมูลกํ ทุกฺขํ, อนาคเต วฎฺฎมูลกํ ทุกฺขํ, ปจฺจุปฺปเนฺน อาหารปริเยฎฺฐิมูลกํ ทุกฺขนฺติฯ พุทฺธธมฺมสงฺฆคุณานุสฺสรเณน จสฺส ปสาทํ ชเนติฯ เอวํ ยสฺมิํ สมเย จิตฺตํ สมฺปหํเสตพฺพํ, ตสฺมิํ สมเย จิตฺตํ สมฺปหํเสติฯ

    Kathaṃ yasmiṃ samaye cittaṃ sampahaṃsetabbaṃ, tasmiṃ samaye cittaṃ sampahaṃseti? Yadāssa paññāpayogamandatāya vā upasamasukhānadhigamena vā nirassādaṃ cittaṃ hoti, tadā naṃ aṭṭhasaṃvegavatthupaccavekkhaṇena saṃvejeti. Aṭṭha saṃvegavatthūni nāma jātijarābyādhimaraṇāni cattāri, apāyadukkhaṃ pañcamaṃ, atīte vaṭṭamūlakaṃ dukkhaṃ, anāgate vaṭṭamūlakaṃ dukkhaṃ, paccuppanne āhārapariyeṭṭhimūlakaṃ dukkhanti. Buddhadhammasaṅghaguṇānussaraṇena cassa pasādaṃ janeti. Evaṃ yasmiṃ samaye cittaṃ sampahaṃsetabbaṃ, tasmiṃ samaye cittaṃ sampahaṃseti.

    กถํ ยสฺมิํ สมเย จิตฺตํ อชฺฌุเปกฺขิตพฺพํ, ตสฺมิํ สมเย จิตฺตํ อชฺฌุเปกฺขติ? ยทาสฺส เอวํ ปฎิปชฺชโต อลีนํ อนุทฺธตํ อนิรสฺสาทํ อารมฺมเณ สมปฺปวตฺตํ สมถวีถิปฺปฎิปนฺนํ จิตฺตํ โหติ, ตทา ตสฺส ปคฺคหนิคฺคหสมฺปหํสเนสุ อพฺยาปารํ อาปชฺชติ สารถิ วิย จ สมปฺปวเตฺตสุ อเสฺสสุฯ เอวํ ยสฺมิํ สมเย จิตฺตํ อชฺฌุเปกฺขิตพฺพํ, ตสฺมิํ สมเย จิตฺตํ อชฺฌุเปกฺขติฯ

    Kathaṃ yasmiṃ samaye cittaṃ ajjhupekkhitabbaṃ, tasmiṃ samaye cittaṃ ajjhupekkhati? Yadāssa evaṃ paṭipajjato alīnaṃ anuddhataṃ anirassādaṃ ārammaṇe samappavattaṃ samathavīthippaṭipannaṃ cittaṃ hoti, tadā tassa paggahaniggahasampahaṃsanesu abyāpāraṃ āpajjati sārathi viya ca samappavattesu assesu. Evaṃ yasmiṃ samaye cittaṃ ajjhupekkhitabbaṃ, tasmiṃ samaye cittaṃ ajjhupekkhati.

    อสมาหิตปุคฺคลปริวชฺชนา นาม เนกฺขมฺมปฎิปทํ อนารุฬฺหปุพฺพานํ อเนกกิจฺจปฺปสุตานํ วิกฺขิตฺตหทยานํ ปุคฺคลานํ อารกา ปริจฺจาโคฯ สมาหิตปุคฺคลเสวนา นาม เนกฺขมฺมปฎิปทํ ปฎิปนฺนานํ สมาธิลาภีนํ ปุคฺคลานํ กาเลน กาลํ อุปสงฺกมนํฯ ตทธิมุตฺตตา นาม สมาธิมุตฺตตา, สมาธิครุสมาธินินฺนสมาธิโปณสมาธิปพฺภารตาติ อโตฺถฯ เอวเมตํ ทสวิธํ อปฺปนาโกสลฺลํ สมฺปาเทตพฺพํฯ เตนาห – ‘‘อิมานิ ทส อปฺปนาโกสลฺลานิ อวิชหเนฺตนา’’ติฯ ตตฺถ เยน วิธินา อปฺปนาย กุสโล โหติ, โส ทสวิโธปิ วิธิ อปฺปนาโกสลฺลํ ตนฺนิพฺพตฺตํ วา ญาณํ, เอวเมตํ ทสวิธํ อปฺปนาโกสลฺลํ สมฺปาเทนฺตสฺส ปฎิลทฺธนิมิตฺตสฺมิํ อปฺปนา อุปฺปชฺชติฯ วุตฺตเญฺหตํ –

    Asamāhitapuggalaparivajjanā nāma nekkhammapaṭipadaṃ anāruḷhapubbānaṃ anekakiccappasutānaṃ vikkhittahadayānaṃ puggalānaṃ ārakā pariccāgo. Samāhitapuggalasevanā nāma nekkhammapaṭipadaṃ paṭipannānaṃ samādhilābhīnaṃ puggalānaṃ kālena kālaṃ upasaṅkamanaṃ. Tadadhimuttatā nāma samādhimuttatā, samādhigarusamādhininnasamādhipoṇasamādhipabbhāratāti attho. Evametaṃ dasavidhaṃ appanākosallaṃ sampādetabbaṃ. Tenāha – ‘‘imāni dasa appanākosallāni avijahantenā’’ti. Tattha yena vidhinā appanāya kusalo hoti, so dasavidhopi vidhi appanākosallaṃ tannibbattaṃ vā ñāṇaṃ, evametaṃ dasavidhaṃ appanākosallaṃ sampādentassa paṭiladdhanimittasmiṃ appanā uppajjati. Vuttañhetaṃ –

    ‘‘เอวญฺหิ สมฺปาทยโต, อปฺปนาโกสลฺลํ อิมํ;

    ‘‘Evañhi sampādayato, appanākosallaṃ imaṃ;

    ปฎิลเทฺธ นิมิตฺตสฺมิํ, อปฺปนา สมฺปวตฺตตี’’ติฯ (วิสุทฺธิ. ๑.๖๗);

    Paṭiladdhe nimittasmiṃ, appanā sampavattatī’’ti. (visuddhi. 1.67);

    โยโค กรณีโยติ อปฺปนาโกสลฺลํ สมฺปาเทนฺตสฺสปิ ยทิ อปฺปนา น โหติ, เตน กมฺมฎฺฐานานุโยคํ อวิชหิตฺวา เรณุอาทีสุ มธุกราทีนํ ปวตฺติ อาการํ สลฺลเกฺขตฺวา ลีนุทฺธตภาเวหิ มานสํ โมเจตฺวา วีริยสมตํ โยเชเนฺตน ปุนปฺปุนํ โยโค กาตโพฺพฯ วุตฺตเญฺหตํ –

    Yogo karaṇīyoti appanākosallaṃ sampādentassapi yadi appanā na hoti, tena kammaṭṭhānānuyogaṃ avijahitvā reṇuādīsu madhukarādīnaṃ pavatti ākāraṃ sallakkhetvā līnuddhatabhāvehi mānasaṃ mocetvā vīriyasamataṃ yojentena punappunaṃ yogo kātabbo. Vuttañhetaṃ –

    ‘‘เอวญฺหิ ปฎิปนฺนสฺส, สเจ สา นปฺปวตฺตติ;

    ‘‘Evañhi paṭipannassa, sace sā nappavattati;

    ตถาปิ น ชเห โยคํ, วายเมเถว ปณฺฑิโตฯ

    Tathāpi na jahe yogaṃ, vāyametheva paṇḍito.

    ‘‘หิตฺวา หิ สมฺมวายามํ, วิเสสํ นาม มาณโว;

    ‘‘Hitvā hi sammavāyāmaṃ, visesaṃ nāma māṇavo;

    อธิคเจฺฉ ปริตฺตมฺปิ, ฐานเมตํ น วิชฺชติฯ

    Adhigacche parittampi, ṭhānametaṃ na vijjati.

    ‘‘จิตฺตปฺปวตฺติอาการํ, ตสฺมา สลฺลกฺขยํ พุโธ;

    ‘‘Cittappavattiākāraṃ, tasmā sallakkhayaṃ budho;

    สมตํ วีริยเสฺสว, โยชเยถ ปุนปฺปุนํฯ

    Samataṃ vīriyasseva, yojayetha punappunaṃ.

    ‘‘อีสกมฺปิ ลยํ ยนฺตํ, ปคฺคเณฺหเถว มานสํ;

    ‘‘Īsakampi layaṃ yantaṃ, paggaṇhetheva mānasaṃ;

    อจฺจารทฺธํ นิเสเธตฺวา, สมเมว ปวตฺตเยฯ

    Accāraddhaṃ nisedhetvā, samameva pavattaye.

    ‘‘เรณุมฺหิ อุปฺปลทเล, สุเตฺต นาวาย นาฬิยา;

    ‘‘Reṇumhi uppaladale, sutte nāvāya nāḷiyā;

    ยถา มธุกราทีนํ, ปวตฺติ สมฺมวณฺณิตาฯ

    Yathā madhukarādīnaṃ, pavatti sammavaṇṇitā.

    ‘‘ลีนอุทฺธตภาเวหิ, โมจยิตฺวาน สพฺพโส;

    ‘‘Līnauddhatabhāvehi, mocayitvāna sabbaso;

    เอวํ นิมิตฺตาภิมุขํ, มานสํ ปฎิปาทเย’’ติฯ (วิสุทฺธิ. ๑.๖๗);

    Evaṃ nimittābhimukhaṃ, mānasaṃ paṭipādaye’’ti. (visuddhi. 1.67);

    ยถา หิ อเฉโก มธุกโร ‘‘อสุกสฺมิํ รุเกฺข ปุปฺผํ ปุปฺผิต’’นฺติ ญตฺวา ติเกฺขน เวเคน ปกฺขโนฺท ตํ อติกฺกมิตฺวา ปฎินิวเตฺตโนฺต ขีเณ เรณุมฺหิ สมฺปาปุณาติ, อปโร อเฉโก มเนฺทน ชเวน ปกฺขโนฺท ขีเณเยว สมฺปาปุณาติ, เฉโก ปน สเมน ชเวน ปกฺขโนฺท สุเขน ปุปฺผราสิํ สมฺปตฺวา ยาวทิจฺฉกํ เรณุํ อาทาย มธุํ สมฺปาเทตฺวา มธุํ อนุภวติ, ยถา จ สลฺลกตฺตอเนฺตวาสิเกสุ อุทกถาลคเต อุปฺปลปเตฺต สตฺถกมฺมํ สิกฺขเนฺตสุ เอโก อเฉโก เวเคน สตฺถํ ปาเตโนฺต อุปฺปลปตฺตํ ทฺวิธา วา ฉินฺทติ, อุทเก วา ปเวเสติ, อปโร อเฉโก ฉิชฺชนปเวสนภยา สตฺถเกน ผุสิตุมฺปิ น วิสหติ, เฉโก ปน สเมน ปโยเคน ตตฺถ สตฺถปทํ ทเสฺสตฺวา ปริโยทาตสิโปฺป หุตฺวา ตถารูเปสุ ฐาเนสุ กมฺมํ กตฺวา ลาภํ ลภติ, ยถา จ ‘‘โย จตุพฺยามปฺปมาณํ มกฺกฎกสุตฺตํ อาหรติ, โส จตฺตาริ สหสฺสานิ ลภตี’’ติ รญฺญา วุเตฺต เอโก อเฉกปุริโส เวเคน มกฺกฎกสุตฺตํ อากฑฺฒโนฺต ตหิํ ตหิํ ฉินฺทติเยว, อปโร อเฉโก เฉทนภยา หเตฺถน ผุสิตุมฺปิ น วิสหติ, เฉโก ปน โกฎิโต ปฎฺฐาย สเมน ปโยเคน ทณฺฑเก เวเฐตฺวา อาหริตฺวา ลาภํ ลภติ, ยถา จ อเฉโก นิยามโก พลววาเต ลงฺการํ ปูเรโนฺต นาวํ วิเทสํ ปกฺขนฺทาเปติ, อปโร อเฉโก มนฺทวาเต ลงฺการํ โอโรเปโนฺต นาวํ ตเตฺถว ฐเปติ, เฉโก ปน มนฺทวาเต ปูเรตฺวา พลววาเต อฑฺฒลงฺการํ กตฺวา โสตฺถินา อิจฺฉิตฎฺฐานํ ปาปุณาติ, ยถา จ ‘‘โย เตเลน อฉเฑฺฑโนฺต นาฬิํ ปูเรติ, โส ลาภํ ลภตี’’ติ อาจริเยน อเนฺตวาสิกานํ วุเตฺต เอโก อเฉโก ลาภลุโทฺธ เวเคน ปูเรโนฺต เตลํ ฉเฑฺฑติ, อปโร อเฉโก เตลฉฑฺฑนภยา อาสิญฺจิตุมฺปิ น วิสหติ, เฉโก ปน สเมน ปโยเคน ปูเรตฺวา ลาภํ ลภติ, เอวเมว เอโก ภิกฺขุ อุปฺปเนฺน นิมิเตฺต ‘‘สีฆเมว อปฺปนํ ปาปุณิสฺสามี’’ติ คาฬฺหํ วีริยํ กโรติ, ตสฺส จิตฺตํ อจฺจารทฺธวีริยตฺตา อุทฺธเจฺจ ปตติ, โส น สโกฺกติ อปฺปนํ ปาปุณิตุํฯ เอโก อจฺจารทฺธวีริยตาย โทสํ ทิสฺวา ‘‘กิํ ทานิ เม อปฺปนายา’’ติ วีริยํ หาเปติ, ตสฺส จิตฺตํ อติลีนวีริยตฺตา โกสเชฺช ปตติ, โสปิ น สโกฺกติ อปฺปนํ ปาปุณิตุํฯ โย ปน อีสกมฺปิ ลีนํ ลีนภาวโต, อุทฺธตํ อุทฺธจฺจโต โมเจตฺวา สเมน ปโยเคน นิมิตฺตาภิมุขํ ปวเตฺตติ, โส อปฺปนํ ปาปุณาติ, ตาทิเสน ภวิตพฺพํฯ

    Yathā hi acheko madhukaro ‘‘asukasmiṃ rukkhe pupphaṃ pupphita’’nti ñatvā tikkhena vegena pakkhando taṃ atikkamitvā paṭinivattento khīṇe reṇumhi sampāpuṇāti, aparo acheko mandena javena pakkhando khīṇeyeva sampāpuṇāti, cheko pana samena javena pakkhando sukhena puppharāsiṃ sampatvā yāvadicchakaṃ reṇuṃ ādāya madhuṃ sampādetvā madhuṃ anubhavati, yathā ca sallakattaantevāsikesu udakathālagate uppalapatte satthakammaṃ sikkhantesu eko acheko vegena satthaṃ pātento uppalapattaṃ dvidhā vā chindati, udake vā paveseti, aparo acheko chijjanapavesanabhayā satthakena phusitumpi na visahati, cheko pana samena payogena tattha satthapadaṃ dassetvā pariyodātasippo hutvā tathārūpesu ṭhānesu kammaṃ katvā lābhaṃ labhati, yathā ca ‘‘yo catubyāmappamāṇaṃ makkaṭakasuttaṃ āharati, so cattāri sahassāni labhatī’’ti raññā vutte eko achekapuriso vegena makkaṭakasuttaṃ ākaḍḍhanto tahiṃ tahiṃ chindatiyeva, aparo acheko chedanabhayā hatthena phusitumpi na visahati, cheko pana koṭito paṭṭhāya samena payogena daṇḍake veṭhetvā āharitvā lābhaṃ labhati, yathā ca acheko niyāmako balavavāte laṅkāraṃ pūrento nāvaṃ videsaṃ pakkhandāpeti, aparo acheko mandavāte laṅkāraṃ oropento nāvaṃ tattheva ṭhapeti, cheko pana mandavāte pūretvā balavavāte aḍḍhalaṅkāraṃ katvā sotthinā icchitaṭṭhānaṃ pāpuṇāti, yathā ca ‘‘yo telena achaḍḍento nāḷiṃ pūreti, so lābhaṃ labhatī’’ti ācariyena antevāsikānaṃ vutte eko acheko lābhaluddho vegena pūrento telaṃ chaḍḍeti, aparo acheko telachaḍḍanabhayā āsiñcitumpi na visahati, cheko pana samena payogena pūretvā lābhaṃ labhati, evameva eko bhikkhu uppanne nimitte ‘‘sīghameva appanaṃ pāpuṇissāmī’’ti gāḷhaṃ vīriyaṃ karoti, tassa cittaṃ accāraddhavīriyattā uddhacce patati, so na sakkoti appanaṃ pāpuṇituṃ. Eko accāraddhavīriyatāya dosaṃ disvā ‘‘kiṃ dāni me appanāyā’’ti vīriyaṃ hāpeti, tassa cittaṃ atilīnavīriyattā kosajje patati, sopi na sakkoti appanaṃ pāpuṇituṃ. Yo pana īsakampi līnaṃ līnabhāvato, uddhataṃ uddhaccato mocetvā samena payogena nimittābhimukhaṃ pavatteti, so appanaṃ pāpuṇāti, tādisena bhavitabbaṃ.

    อิทานิ เอวํ ปฎิปนฺนสฺส อปฺปนาปวตฺติํ ทเสฺสโนฺต ‘‘ตเสฺสวํ อนุยุตฺตสฺสา’’ติอาทิมาหฯ ตตฺถ ปฐมํ ปริกมฺมนฺติอาทิ อคฺคหิตคฺคหเณน วุตฺตํ, คหิตคฺคหเณน ปน อวิเสเสน สเพฺพสํ สพฺพา สมญฺญาฯ สพฺพานิปิ หิ อปฺปนาย ปริกมฺมตฺตา ปฎิสงฺขารกตฺตา ‘‘ปริกมฺมานี’’ติปิ, ยถา คามาทีนํ อาสนฺนปฺปเทโส ‘‘คามูปจาโร ฆรูปจาโร’’ติ วุจฺจติ, เอวํ อปฺปนาย อาสนฺนตฺตา สมีปจาริตฺตา วา ‘‘อุปจารานี’’ติปิ, อิโต ปุเพฺพ ปริกมฺมานํ อุปริ อปฺปนาย จ อนุโลมนโต ‘‘อนุโลมานี’’ติปิ วุจฺจนฺติฯ ยเญฺจตฺถ สพฺพนฺติมํ, ตํ ปริตฺตโคตฺตาภิภวนโต มหคฺคตโคตฺตภาวนโต จ ‘‘โคตฺรภู’’ติปิ วุจฺจติฯ คํ ตายตีติ หิ โคตฺตํ, ปริตฺตนฺติ ปวตฺตมานํ อภิธานํ พุทฺธิญฺจ เอกํสิกวิสยตาย รกฺขตีติ ปริตฺตโคตฺตํฯ ยถา หิ พุทฺธิ อารมฺมณภูเตน อเตฺถน วินา น วตฺตติ, เอวํ อภิธานํ อภิเธยฺยภูเตน, ตสฺมา โส ตานิ ตายติ รกฺขตีติ วุจฺจติฯ ตํ ปน มหคฺคตานุตฺตรวิธุรํ กามตณฺหาย โคจรภูตํ กามาวจรธมฺมานํ อาเวณิกรูปํ ทฎฺฐพฺพํฯ มหคฺคตโคเตฺตปิ อิมินา นเยน อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ อิติ เอวรูปสฺส ปริตฺตโคตฺตสฺส อภิภวนโต มหคฺคตโคตฺตสฺส จ ภาวนโต อุปฺปาทนโต อนฺติมํ ‘‘โคตฺรภู’’ติปิ วุจฺจติฯ จตุตฺถเมว หิ ปญฺจมํ วาติ ขิปฺปาภิญฺญทนฺธาภิญฺญานํ วเสน วุตฺตํฯ ขิปฺปาภิญฺญสฺส หิ จตุตฺถํ อเปฺปติ, ทนฺธาภิญฺญสฺส ปญฺจมํฯ กสฺมา ปน จตุตฺถํ ปญฺจมํ วา อเปฺปติ, น ฉฎฺฐํ วา สตฺตมํ วาติ อาห ‘‘อาสนฺนภวงฺคปาตตฺตา’’ติฯ ยถา หิ ปุริโส ฉินฺนปปาตาภิมุโข ธาวโนฺต ฐาตุกาโมปิ ปริยเนฺต ปาทํ กตฺวา ฐาตุํ น สโกฺกติ, ปปาเต เอว ปตติ, เอวํ ฉฎฺฐํ วา สตฺตมํ วา อเปฺปตุํ น สโกฺกติ ภวงฺคสฺส อาสนฺนตฺตาฯ ตสฺมา จตุตฺถปญฺจเมสุเยว อปฺปนา โหตีติ เวทิตพฺพาฯ

    Idāni evaṃ paṭipannassa appanāpavattiṃ dassento ‘‘tassevaṃ anuyuttassā’’tiādimāha. Tattha paṭhamaṃ parikammantiādi aggahitaggahaṇena vuttaṃ, gahitaggahaṇena pana avisesena sabbesaṃ sabbā samaññā. Sabbānipi hi appanāya parikammattā paṭisaṅkhārakattā ‘‘parikammānī’’tipi, yathā gāmādīnaṃ āsannappadeso ‘‘gāmūpacāro gharūpacāro’’ti vuccati, evaṃ appanāya āsannattā samīpacārittā vā ‘‘upacārānī’’tipi, ito pubbe parikammānaṃ upari appanāya ca anulomanato ‘‘anulomānī’’tipi vuccanti. Yañcettha sabbantimaṃ, taṃ parittagottābhibhavanato mahaggatagottabhāvanato ca ‘‘gotrabhū’’tipi vuccati. Gaṃ tāyatīti hi gottaṃ, parittanti pavattamānaṃ abhidhānaṃ buddhiñca ekaṃsikavisayatāya rakkhatīti parittagottaṃ. Yathā hi buddhi ārammaṇabhūtena atthena vinā na vattati, evaṃ abhidhānaṃ abhidheyyabhūtena, tasmā so tāni tāyati rakkhatīti vuccati. Taṃ pana mahaggatānuttaravidhuraṃ kāmataṇhāya gocarabhūtaṃ kāmāvacaradhammānaṃ āveṇikarūpaṃ daṭṭhabbaṃ. Mahaggatagottepi iminā nayena attho veditabbo. Iti evarūpassa parittagottassa abhibhavanato mahaggatagottassa ca bhāvanato uppādanato antimaṃ ‘‘gotrabhū’’tipi vuccati. Catutthameva hi pañcamaṃ vāti khippābhiññadandhābhiññānaṃ vasena vuttaṃ. Khippābhiññassa hi catutthaṃ appeti, dandhābhiññassa pañcamaṃ. Kasmā pana catutthaṃ pañcamaṃ vā appeti, na chaṭṭhaṃ vā sattamaṃ vāti āha ‘‘āsannabhavaṅgapātattā’’ti. Yathā hi puriso chinnapapātābhimukho dhāvanto ṭhātukāmopi pariyante pādaṃ katvā ṭhātuṃ na sakkoti, papāte eva patati, evaṃ chaṭṭhaṃ vā sattamaṃ vā appetuṃ na sakkoti bhavaṅgassa āsannattā. Tasmā catutthapañcamesuyeva appanā hotīti veditabbā.

    ‘‘ปุริมา ปุริมา กุสลา ธมฺมา ปจฺฉิมานํ ปจฺฉิมานํ กุสลานํ ธมฺมานํ อาเสวนปจฺจเยน ปจฺจโย’’ติ (ปฎฺฐา. ๑.๑.๑๒) วุตฺตตฺตา ‘‘อาเสวนปจฺจเยน กุสลา ธมฺมา พลวโนฺต โหนฺตี’’ติ อาหฯ ยถา อลทฺธาเสวนํ ปฐมํ ชวนํ ทุพฺพลตฺตา โคตฺรภุํ น อุปฺปาเทติ, ลทฺธาเสวนํ ปน พลวภาวโต ทุติยํ วา ตติยํ วา โคตฺรภุํ อุปฺปาเทติ, เอวํ ลทฺธาเสวนตาย พลวภาวโต ฉฎฺฐมฺปิ สตฺตมมฺปิ อเปฺปตีติ เถรสฺส อธิปฺปาโยฯ เตนาห – ‘‘ตสฺมา ฉฎฺฐํ สตฺตมํ วา อเปฺปตี’’ติฯ นฺติ เถรสฺส วจนํฯ ปฎิกฺขิตฺตนฺติ สุตฺตสุตฺตานุโลมอาจริยวาเทหิ อนุปตฺถมฺภิตตฺตา ‘‘อตฺตโนมติมตฺตํ เถรเสฺสต’’นฺติ วตฺวา ปฎิกฺขิตฺตํฯ ‘‘ปุริมา ปุริมา กุสลา ธมฺมา’’ติ ปน สุตฺตปทมการณํ อาเสวนปจฺจยลาภสฺส พลวภาเว อเนกนฺติกตฺตาฯ ตถา หิ อลทฺธาเสวนาปิ ปฐมเจตนา ทิฎฺฐธมฺมเวทนียา โหติ, ลทฺธาเสวนา ทุติยเจตนา ยาว ฉฎฺฐเจตนา อปราปริยเวทนียาฯ ยทิ ฉฎฺฐํ สตฺตมญฺจ ปริกฺขีณชวตฺตา ทุพฺพลํ, น อาเสวนปจฺจเยน พลวํ, กถํ สตฺตมชวนเจตนา อุปปชฺชเวทนียา อานนฺตริยา จ โหตีติ? นายํ วิเสโส อาเสวนปจฺจยลาเภน พลวปฺปตฺติยา กิญฺจรหิ กิริยาวตฺถาวิเสสโตฯ กิริยาวตฺถา หิ อาทิมชฺฌปริโยสานวเสน ติวิธาฯ ตตฺถ ปริโยสานาวตฺถาย สนฺนิฎฺฐาปกเจตนาภาเวน อุปปชฺชเวทนียาทิตา โหติ, น พลวภาเวนาติ ทฎฺฐพฺพํฯ ‘‘ปฎิสนฺธิยา อนนฺตรปจฺจยภาวิโน วิปากสนฺตานสฺส อนนฺตรปจฺจยภาเวน ตถา อภิสงฺขตตฺตา’’ติ จ วทนฺติ, ตสฺมา ฉฎฺฐสตฺตมานํ ปปาตาภิมุขตาย ปริกฺขีณชวตา น สกฺกา นิวาเรตุํฯ ปุพฺพภาคจิตฺตานีติ ตีณิ จตฺตาริ วา จิตฺตานิฯ

    ‘‘Purimā purimā kusalā dhammā pacchimānaṃ pacchimānaṃ kusalānaṃ dhammānaṃ āsevanapaccayena paccayo’’ti (paṭṭhā. 1.1.12) vuttattā ‘‘āsevanapaccayena kusalā dhammā balavanto hontī’’ti āha. Yathā aladdhāsevanaṃ paṭhamaṃ javanaṃ dubbalattā gotrabhuṃ na uppādeti, laddhāsevanaṃ pana balavabhāvato dutiyaṃ vā tatiyaṃ vā gotrabhuṃ uppādeti, evaṃ laddhāsevanatāya balavabhāvato chaṭṭhampi sattamampi appetīti therassa adhippāyo. Tenāha – ‘‘tasmā chaṭṭhaṃ sattamaṃ vā appetī’’ti. Tanti therassa vacanaṃ. Paṭikkhittanti suttasuttānulomaācariyavādehi anupatthambhitattā ‘‘attanomatimattaṃ therasseta’’nti vatvā paṭikkhittaṃ. ‘‘Purimā purimā kusalā dhammā’’ti pana suttapadamakāraṇaṃ āsevanapaccayalābhassa balavabhāve anekantikattā. Tathā hi aladdhāsevanāpi paṭhamacetanā diṭṭhadhammavedanīyā hoti, laddhāsevanā dutiyacetanā yāva chaṭṭhacetanā aparāpariyavedanīyā. Yadi chaṭṭhaṃ sattamañca parikkhīṇajavattā dubbalaṃ, na āsevanapaccayena balavaṃ, kathaṃ sattamajavanacetanā upapajjavedanīyā ānantariyā ca hotīti? Nāyaṃ viseso āsevanapaccayalābhena balavappattiyā kiñcarahi kiriyāvatthāvisesato. Kiriyāvatthā hi ādimajjhapariyosānavasena tividhā. Tattha pariyosānāvatthāya sanniṭṭhāpakacetanābhāvena upapajjavedanīyāditā hoti, na balavabhāvenāti daṭṭhabbaṃ. ‘‘Paṭisandhiyā anantarapaccayabhāvino vipākasantānassa anantarapaccayabhāvena tathā abhisaṅkhatattā’’ti ca vadanti, tasmā chaṭṭhasattamānaṃ papātābhimukhatāya parikkhīṇajavatā na sakkā nivāretuṃ. Pubbabhāgacittānīti tīṇi cattāri vā cittāni.

    เอตฺถาติ เอติสฺสํ กายานุปสฺสนายํฯ ปาริสุทฺธิํ ปตฺตุกาโมติ อธิคนฺตุกาโม สมาปชฺชิตุกาโม จฯ ตตฺถ สลฺลกฺขณาวิวฎฺฎนาวเสน อธิคนฺตุกาโม, สลฺลกฺขณวเสน สมาปชฺชิตุกาโมติ โยเชตพฺพํฯ อาวชฺชนสมาปชฺชน…เป.… วสิปฺปตฺตนฺติ เอตฺถ เอวํ ตาว ปญฺจ วสิโย เวทิตพฺพา – ปฐมชฺฌานโต วุฎฺฐาย ปฐมํ วิตกฺกํ อาวชฺชยโต ภวงฺคํ อุปจฺฉินฺทิตฺวา อุปฺปนฺนาวชฺชนานนฺตรํ วิตกฺการมฺมณาเนว จตฺตาริ ปญฺจ ชวนานิ ชวนฺติ, ตโต เทฺว ภวงฺคานิ, ตโต ปน วิจารารมฺมณํ อาวชฺชนํ วุตฺตนเยเนว ชวนานีติ เอวํ ปญฺจสุ ฌานเงฺคสุ ยทา นิรนฺตรํ จิตฺตํ เปเสตุํ สโกฺกติ, อถสฺส อาวชฺชนวสี สิทฺธา โหติฯ อยํ ปน ภวงฺคทฺวยนฺตริตา มตฺถกปฺปตฺตา วสี ภควโต ยมกปาฎิหาริเย ลพฺภติ, อเญฺญสํ วา ธมฺมเสนาปติอาทีนํ เอวรูเป อุฎฺฐาย สมุฎฺฐาย ลหุตรํ อาวชฺชนวสีนิพฺพตฺตนกาเลฯ สา จ โข อิตฺตรา ปริตฺตกาลา, น สตฺถุ ยมกปาฎิหาริเย วิย จิรตรปฺปพนฺธวตีฯ ตถา หิ ตํ สาวเกหิ อสาธารณํ วุตฺตํฯ อิโต ปรํ สีฆตรา อาวชฺชนวสี นาม นตฺถิฯ

    Etthāti etissaṃ kāyānupassanāyaṃ. Pārisuddhiṃ pattukāmoti adhigantukāmo samāpajjitukāmo ca. Tattha sallakkhaṇāvivaṭṭanāvasena adhigantukāmo, sallakkhaṇavasena samāpajjitukāmoti yojetabbaṃ. Āvajjanasamāpajjana…pe… vasippattanti ettha evaṃ tāva pañca vasiyo veditabbā – paṭhamajjhānato vuṭṭhāya paṭhamaṃ vitakkaṃ āvajjayato bhavaṅgaṃ upacchinditvā uppannāvajjanānantaraṃ vitakkārammaṇāneva cattāri pañca javanāni javanti, tato dve bhavaṅgāni, tato pana vicārārammaṇaṃ āvajjanaṃ vuttanayeneva javanānīti evaṃ pañcasu jhānaṅgesu yadā nirantaraṃ cittaṃ pesetuṃ sakkoti, athassa āvajjanavasī siddhā hoti. Ayaṃ pana bhavaṅgadvayantaritā matthakappattā vasī bhagavato yamakapāṭihāriye labbhati, aññesaṃ vā dhammasenāpatiādīnaṃ evarūpe uṭṭhāya samuṭṭhāya lahutaraṃ āvajjanavasīnibbattanakāle. Sā ca kho ittarā parittakālā, na satthu yamakapāṭihāriye viya ciratarappabandhavatī. Tathā hi taṃ sāvakehi asādhāraṇaṃ vuttaṃ. Ito paraṃ sīghatarā āvajjanavasī nāma natthi.

    อายสฺมโต ปน มหาโมคฺคลฺลานสฺส นโนฺทปนนฺทนาคราชทมเน วิย สีฆํ สมาปชฺชนสมตฺถตา สมาปชฺชนวสี นามฯ เอตฺถ จ สมาปชฺชิตุกามตานนฺตรํ ทฺวีสุ ภวเงฺคสุ อุปฺปเนฺนสุ ภวงฺคํ อุปจฺฉินฺทิตฺวา อุปฺปนฺนาวชฺชนานนฺตรํ สมาปชฺชนํ สีฆํ สมาปชฺชนสมตฺถตาฯ อยญฺจ มตฺถกปฺปตฺตา สมาปชฺชนวสี สตฺถุ ธมฺมเทสนายํ ลพฺภติ, ตํ สนฺธาย วุตฺตํ ‘‘โส โข อหํ, อคฺคิเวสฺสน, ตสฺสาเยว กถาย ปริโยสาเน ตสฺมิํเยว ปุริมสฺมิํ สมาธินิมิเตฺต อชฺฌตฺตเมว จิตฺตํ สณฺฐเปมิ สนฺนิสาเทมิ เอโกทิํ กโรมิ สมาทหามิ, เยน สุทํ นิจฺจกปฺปํ วิหรามี’’ติ (ม. นิ. ๑.๓๘๗)ฯ อิโต สีฆตรา หิ สมาปชฺชนวสี นาม นตฺถิฯ

    Āyasmato pana mahāmoggallānassa nandopanandanāgarājadamane viya sīghaṃ samāpajjanasamatthatā samāpajjanavasī nāma. Ettha ca samāpajjitukāmatānantaraṃ dvīsu bhavaṅgesu uppannesu bhavaṅgaṃ upacchinditvā uppannāvajjanānantaraṃ samāpajjanaṃ sīghaṃ samāpajjanasamatthatā. Ayañca matthakappattā samāpajjanavasī satthu dhammadesanāyaṃ labbhati, taṃ sandhāya vuttaṃ ‘‘so kho ahaṃ, aggivessana, tassāyeva kathāya pariyosāne tasmiṃyeva purimasmiṃ samādhinimitte ajjhattameva cittaṃ saṇṭhapemi sannisādemi ekodiṃ karomi samādahāmi, yena sudaṃ niccakappaṃ viharāmī’’ti (ma. ni. 1.387). Ito sīghatarā hi samāpajjanavasī nāma natthi.

    อจฺฉรามตฺตํ วา ทสจฺฉรามตฺตํ วา ขณํ ฌานํ ฐเปตุํ สมตฺถตา อธิฎฺฐานวสี นามฯ ตเถว อจฺฉรามตฺตํ วา ทสจฺฉรามตฺตํ วา ลหุกํ ขณํ ฌานสมงฺคี หุตฺวา ฌานโต วุฎฺฐาตุํ สมตฺถตา วุฎฺฐานวสี นามฯ ภวงฺคจิตฺตปฺปวตฺติเยว เหตฺถ ฌานโต วุฎฺฐานํ นามฯ เอตฺถ จ ยถา ‘‘เอตฺตกเมว ขณํ ฌานํ ฐเปสฺสามี’’ติ ปุพฺพปริกมฺมวเสน อธิฎฺฐานสมตฺถตา อธิฎฺฐานวสี, เอวํ ‘‘เอตฺตกเมว ขณํ ฌานสมงฺคี หุตฺวา ฌานโต วุฎฺฐหิสฺสามี’’ติ ปุพฺพปริกมฺมวเสน วุฎฺฐานสมตฺถตา วุฎฺฐานวสีติ เวทิตพฺพา, ยา สมาปตฺติวุฎฺฐานกุสลตาติ วุจฺจติฯ ปจฺจเวกฺขณวสี ปน อาวชฺชนวสิยา เอว วุตฺตาฯ ปจฺจเวกฺขณชวนาเนว หิ ตตฺถ อาวชฺชนานนฺตรานิฯ ยทเคฺคน หิ อาวชฺชนวสีสิทฺธิ, ตทเคฺคน ปจฺจเวกฺขณวสีสิทฺธิ เวทิตพฺพาฯ

    Accharāmattaṃ vā dasaccharāmattaṃ vā khaṇaṃ jhānaṃ ṭhapetuṃ samatthatā adhiṭṭhānavasī nāma. Tatheva accharāmattaṃ vā dasaccharāmattaṃ vā lahukaṃ khaṇaṃ jhānasamaṅgī hutvā jhānato vuṭṭhātuṃ samatthatā vuṭṭhānavasī nāma. Bhavaṅgacittappavattiyeva hettha jhānato vuṭṭhānaṃ nāma. Ettha ca yathā ‘‘ettakameva khaṇaṃ jhānaṃ ṭhapessāmī’’ti pubbaparikammavasena adhiṭṭhānasamatthatā adhiṭṭhānavasī, evaṃ ‘‘ettakameva khaṇaṃ jhānasamaṅgī hutvā jhānato vuṭṭhahissāmī’’ti pubbaparikammavasena vuṭṭhānasamatthatā vuṭṭhānavasīti veditabbā, yā samāpattivuṭṭhānakusalatāti vuccati. Paccavekkhaṇavasī pana āvajjanavasiyā eva vuttā. Paccavekkhaṇajavanāneva hi tattha āvajjanānantarāni. Yadaggena hi āvajjanavasīsiddhi, tadaggena paccavekkhaṇavasīsiddhi veditabbā.

    อรูปปุพฺพงฺคมํ วา…เป.… วิปสฺสนํ ปฎฺฐเปตีติ สเงฺขปโต วุตฺตมตฺถํ วิตฺถารโต ทเสฺสตุํ ‘‘กถ’’นฺติอาทิ วุตฺตํฯ ตตฺถ ฌานงฺคานิ ปริคฺคเหตฺวาติ วิตกฺกาทีนิ ฌานงฺคานิ ตํสมฺปยุเตฺต จ ธเมฺม สลกฺขณรสาทิวเสน ปริคฺคเหตฺวาฯ ‘‘ฌานงฺคานี’’ติ หิ อิทํ นิทสฺสนมตฺตํ, ฌานงฺคานิ ปน ปสฺสโนฺต ตํสมฺปยุเตฺต จ ธเมฺม ปสฺสติฯ เตสํ นิสฺสยํ หทยวตฺถุนฺติ ยถา นาม ปุริโส อโนฺตเคเห สปฺปํ ทิสฺวา อนุพนฺธมาโน ตสฺส อาสยํ ปสฺสติ, เอวเมว โข อยมฺปิ โยคาวจโร เต อรูปธเมฺม อุปปริกฺขโนฺต ‘‘อิเม ธมฺมา กิํ นิสฺสาย ปวตฺตนฺตี’’ติ ปริเยสมาโน เตสํ นิสฺสยํ หทยวตฺถุํ ปสฺสติฯ ฌานงฺคานิ อรูปนฺติ เอตฺถ ตํสมฺปยุตฺตธมฺมานมฺปิ คหณํ เวทิตพฺพํฯ

    Arūpapubbaṅgamaṃ vā…pe… vipassanaṃ paṭṭhapetīti saṅkhepato vuttamatthaṃ vitthārato dassetuṃ ‘‘katha’’ntiādi vuttaṃ. Tattha jhānaṅgāni pariggahetvāti vitakkādīni jhānaṅgāni taṃsampayutte ca dhamme salakkhaṇarasādivasena pariggahetvā. ‘‘Jhānaṅgānī’’ti hi idaṃ nidassanamattaṃ, jhānaṅgāni pana passanto taṃsampayutte ca dhamme passati. Tesaṃ nissayaṃ hadayavatthunti yathā nāma puriso antogehe sappaṃ disvā anubandhamāno tassa āsayaṃ passati, evameva kho ayampi yogāvacaro te arūpadhamme upaparikkhanto ‘‘ime dhammā kiṃ nissāya pavattantī’’ti pariyesamāno tesaṃ nissayaṃ hadayavatthuṃ passati. Jhānaṅgāni arūpanti ettha taṃsampayuttadhammānampi gahaṇaṃ veditabbaṃ.

    อรูปปุพฺพงฺคมํ รูปปริคฺคหํ ทเสฺสตฺวา อิทานิ รูปปุพฺพงฺคมํ อรูปปริคฺคหํ ทเสฺสโนฺต ‘‘อถ วา’’ติอาทิมาหฯ เกสาทีสุ โกฎฺฐาเสสุ…เป.… ตํนิสฺสิตรูปานิ จ ปริคฺคเหตฺวาติ เอตฺถ ปน เกเส ตาว ถทฺธลกฺขณํ ปถวีธาตูติ ปริคฺคเหตพฺพํ, ตเตฺถว อาพนฺธนลกฺขณํ อาโปธาตูติ, ปริปาจนลกฺขณํ เตโชธาตูติ, วิตฺถมฺภนลกฺขณํ วาโยธาตูติ เอวํ สพฺพโกฎฺฐาเสสุ เอเกกสฺมิํ โกฎฺฐาเส จตฺตาริ จตฺตาริ มหาภูตานิ ปริคฺคเหตพฺพานิฯ อถาเนน ยาถาวโต สรสลกฺขณโต อาวิภูตาสุ ธาตูสุ กมฺมสมุฎฺฐานมฺหิ ตาว เกเส วุตฺตลกฺขณา ตา จตโสฺส จ ธาตุโย ตํนิสฺสิโต จ วโณฺณ คโนฺธ รโส โอชา ชีวิตํ กายปสาโทติ เอวํ กายทสกวเสน ทส รูปานิ, ตเตฺถว ภาวสฺส อตฺถิตาย ภาวทสกวเสน ทส รูปานิ, อาหารสมุฎฺฐานํ โอชฎฺฐมกํ, อุตุสมุฎฺฐานํ จิตฺตสมุฎฺฐานนฺติ อปรานิปิ จตุวีสตีติ เอวํ จตุสมุฎฺฐาเนสุ จตุวีสติโกฎฺฐาเสสุ จตุจตฺตาลีส รูปานิ ปริคฺคเหตพฺพานิฯ เสโท อสฺสุ เขโฬ สิงฺฆาณิกาติ อิเม ปน จตูสุ อุตุจิตฺตสมุฎฺฐาเนสุ ทฺวินฺนํ โอชฎฺฐมกานํ วเสน โสฬส โสฬส รูปานิฯ อุทริยํ กรีสํ ปุพฺพํ มุตฺตนฺติ อิเมสุ จตูสุ อุตุสมุฎฺฐาเนสุ อุตุสมุฎฺฐานเสฺสว โอชฎฺฐมกสฺส วเสน อฎฺฐ อฎฺฐ รูปานิ ปริคฺคเหตพฺพานิฯ เอส ตาว ทฺวตฺติํสากาเร นโยฯ

    Arūpapubbaṅgamaṃ rūpapariggahaṃ dassetvā idāni rūpapubbaṅgamaṃ arūpapariggahaṃ dassento ‘‘atha vā’’tiādimāha. Kesādīsu koṭṭhāsesu…pe… taṃnissitarūpāni ca pariggahetvāti ettha pana kese tāva thaddhalakkhaṇaṃ pathavīdhātūti pariggahetabbaṃ, tattheva ābandhanalakkhaṇaṃ āpodhātūti, paripācanalakkhaṇaṃ tejodhātūti, vitthambhanalakkhaṇaṃ vāyodhātūti evaṃ sabbakoṭṭhāsesu ekekasmiṃ koṭṭhāse cattāri cattāri mahābhūtāni pariggahetabbāni. Athānena yāthāvato sarasalakkhaṇato āvibhūtāsu dhātūsu kammasamuṭṭhānamhi tāva kese vuttalakkhaṇā tā catasso ca dhātuyo taṃnissito ca vaṇṇo gandho raso ojā jīvitaṃ kāyapasādoti evaṃ kāyadasakavasena dasa rūpāni, tattheva bhāvassa atthitāya bhāvadasakavasena dasa rūpāni, āhārasamuṭṭhānaṃ ojaṭṭhamakaṃ, utusamuṭṭhānaṃ cittasamuṭṭhānanti aparānipi catuvīsatīti evaṃ catusamuṭṭhānesu catuvīsatikoṭṭhāsesu catucattālīsa rūpāni pariggahetabbāni. Sedo assu kheḷo siṅghāṇikāti ime pana catūsu utucittasamuṭṭhānesu dvinnaṃ ojaṭṭhamakānaṃ vasena soḷasa soḷasa rūpāni. Udariyaṃ karīsaṃ pubbaṃ muttanti imesu catūsu utusamuṭṭhānesu utusamuṭṭhānasseva ojaṭṭhamakassa vasena aṭṭha aṭṭha rūpāni pariggahetabbāni. Esa tāva dvattiṃsākāre nayo.

    เย ปน อิมสฺมิํ ทฺวตฺติํสากาเร อาวิภูเต อปเร จตฺตาโร เตโชโกฎฺฐาสา, ฉ วาโยโกฎฺฐาสาติ ทส อาการา อาวิ ภวนฺติ, ตตฺถ อสิตาทิปริปาจเก ตาว กมฺมชเตโชโกฎฺฐาสมฺหิ โอชฎฺฐมกเญฺจว ชีวิตญฺจาติ นว รูปานิ, ตถา จิตฺตเช อสฺสาสปสฺสาสโกฎฺฐาเส โอชฎฺฐมกเญฺจว สโทฺท จาติ นว, เสเสสุ จตุสมุฎฺฐาเนสุ อฎฺฐสุ ชีวิตนวกเญฺจว ตีณิ จ โอชฎฺฐมกานีติ เตตฺติํส เตตฺติํส รูปานิ ปริคฺคเหตพฺพานิฯ เอวํ วิตฺถารโต ทฺวาจตฺตาลีสาการวเสน อิเมสุ ภูตุปาทายรูเปสุ ปากเฎสุ ชาเตสุ วตฺถุทฺวารวเสน ปญฺจ จกฺขุทสกาทโย หทยวตฺถุทสกญฺจาติ อปรานิปิ สฎฺฐิ รูปานิ ปริคฺคเหตพฺพานิฯ สเจ ปนสฺส เตน เตน มุเขน รูปํ ปริคฺคเหตฺวา อรูปํ ปริคฺคณฺหโต สุขุมตฺตา อรูปํ น อุปฎฺฐาติ, เตน ธุรนิเกฺขปํ อกตฺวา รูปเมว ปุนปฺปุนํ สมฺมสิตพฺพํ มนสิ กาตพฺพํ ปริคฺคเหตพฺพํ ววตฺถเปตพฺพํฯ ยถา ยถา หิสฺส รูปํ สุวิกฺขาลิตํ โหติ นิชฺชฎํ สุปริสุทฺธํ, ตถา ตถา ตทารมฺมณา อรูปธมฺมา สยเมว ปากฎา โหนฺติฯ

    Ye pana imasmiṃ dvattiṃsākāre āvibhūte apare cattāro tejokoṭṭhāsā, cha vāyokoṭṭhāsāti dasa ākārā āvi bhavanti, tattha asitādiparipācake tāva kammajatejokoṭṭhāsamhi ojaṭṭhamakañceva jīvitañcāti nava rūpāni, tathā cittaje assāsapassāsakoṭṭhāse ojaṭṭhamakañceva saddo cāti nava, sesesu catusamuṭṭhānesu aṭṭhasu jīvitanavakañceva tīṇi ca ojaṭṭhamakānīti tettiṃsa tettiṃsa rūpāni pariggahetabbāni. Evaṃ vitthārato dvācattālīsākāravasena imesu bhūtupādāyarūpesu pākaṭesu jātesu vatthudvāravasena pañca cakkhudasakādayo hadayavatthudasakañcāti aparānipi saṭṭhi rūpāni pariggahetabbāni. Sace panassa tena tena mukhena rūpaṃ pariggahetvā arūpaṃ pariggaṇhato sukhumattā arūpaṃ na upaṭṭhāti, tena dhuranikkhepaṃ akatvā rūpameva punappunaṃ sammasitabbaṃ manasi kātabbaṃ pariggahetabbaṃ vavatthapetabbaṃ. Yathā yathā hissa rūpaṃ suvikkhālitaṃ hoti nijjaṭaṃ suparisuddhaṃ, tathā tathā tadārammaṇā arūpadhammā sayameva pākaṭā honti.

    ยถา หิ จกฺขุมโต ปุริสสฺส อปริสุเทฺธ อาทาเส มุขนิมิตฺตํ โอโลเกนฺตสฺส นิมิตฺตํ น ปญฺญายตีติ น อาทาสํ ฉเฑฺฑติ, อถ โข นํ ปุนปฺปุนํ ปริมชฺชติ, ตสฺส ปริสุเทฺธ อาทาเส นิมิตฺตํ สยเมว ปากฎํ โหติ, เอวเมว เตน ภิกฺขุนา ธุรนิเกฺขปํ อกตฺวา รูปเมว ปุนปฺปุนํ สมฺมสิตพฺพํ มนสิ กาตพฺพํ ปริคฺคเหตพฺพํ ววตฺถเปตพฺพํฯ ยถา ยถา หิสฺส รูปํ สุวิกฺขาลิตํ โหติ นิชฺชฎํ สุปริสุทฺธํ, ตถา ตถา ตทารมฺมณา อรูปธมฺมา สยเมว ปากฎา โหนฺติฯ เอวํ สุวิสุทฺธรูปปริคฺคหสฺส ปนสฺส อรูปธมฺมา ตีหากาเรหิ อุปฎฺฐหนฺติ ผสฺสวเสน วา เวทนาวเสน วา วิญฺญาณวเสน วาฯ

    Yathā hi cakkhumato purisassa aparisuddhe ādāse mukhanimittaṃ olokentassa nimittaṃ na paññāyatīti na ādāsaṃ chaḍḍeti, atha kho naṃ punappunaṃ parimajjati, tassa parisuddhe ādāse nimittaṃ sayameva pākaṭaṃ hoti, evameva tena bhikkhunā dhuranikkhepaṃ akatvā rūpameva punappunaṃ sammasitabbaṃ manasi kātabbaṃ pariggahetabbaṃ vavatthapetabbaṃ. Yathā yathā hissa rūpaṃ suvikkhālitaṃ hoti nijjaṭaṃ suparisuddhaṃ, tathā tathā tadārammaṇā arūpadhammā sayameva pākaṭā honti. Evaṃ suvisuddharūpapariggahassa panassa arūpadhammā tīhākārehi upaṭṭhahanti phassavasena vā vedanāvasena vā viññāṇavasena vā.

    กถํ ? เอกสฺส ตาว ‘‘เกเส ปถวีธาตุ กกฺขฬลกฺขณา…เป.… อสฺสาสปสฺสาเส ปถวีธาตุ กกฺขฬลกฺขณา’’ติอาทินา นเยน ธาตุโย ปริคฺคณฺหนฺตสฺส ปฐมาภินิปาโต ผโสฺส, ตํสมฺปยุตฺตา เวทนา เวทนากฺขโนฺธ, สญฺญา สญฺญากฺขโนฺธ, สทฺธิํ ผเสฺสน เจตนา สงฺขารกฺขโนฺธ, จิตฺตํ วิญฺญาณกฺขโนฺธติ อุปฎฺฐาติฯ เอวํ อรูปธมฺมา ผสฺสวเสน อุปฎฺฐหนฺติฯ เอกสฺส ‘‘เกเส ปถวีธาตุ กกฺขฬลกฺขณา…เป.… อสฺสาสปสฺสาเส ปถวีธาตุ กกฺขฬลกฺขณา’’ติ ตทารมฺมณรสานุภวนกเวทนา เวทนากฺขโนฺธ, ตํสมฺปยุตฺตา สญฺญา สญฺญากฺขโนฺธ, ตํสมฺปยุโตฺต ผโสฺส จ เจตนา จ สงฺขารกฺขโนฺธ, ตํสมฺปยุตฺตํ จิตฺตํ วิญฺญาณกฺขโนฺธติ อุปฎฺฐาติฯ เอวํ เวทนาวเสน อรูปธมฺมา อุปฎฺฐหนฺติฯ อปรสฺส ‘‘เกเส ปถวีธาตุ กกฺขฬลกฺขณา…เป.… อสฺสาสปสฺสาเส ปถวีธาตุ กกฺขฬลกฺขณา’’ติ อารมฺมณปฎิวิชานนํ วิญฺญาณกฺขโนฺธ, ตํสมฺปยุตฺตา เวทนา เวทนากฺขโนฺธ, สญฺญา สญฺญากฺขโนฺธ, ผโสฺส จ เจตนา จ สงฺขารกฺขโนฺธติ อุปฎฺฐาติฯ เอวํ วิญฺญาณวเสน อรูปธมฺมา อุปฎฺฐหนฺติฯ เอเตเนวุปาเยน ‘‘กมฺมสมุฎฺฐาเน เกเส ปถวีธาตุ กกฺขฬลกฺขณา’’ติอาทินา นเยน ทฺวาจตฺตาลีสาย ธาตุโกฎฺฐาเสสุ จตุนฺนํ จตุนฺนํ ธาตูนํ วเสน เสเสสุปิ วตฺถุ จกฺขาทีสุ ทสเกสุ มโนธาตุมโนวิญฺญาณธาตูนํ นิสฺสยลกฺขณํ หทยวตฺถุ รูปาภิฆาตารหภูตปฺปสาทลกฺขณํ จกฺขูติอาทินา วตฺถุทฺวารวเสน ปริคฺคณฺหนฺตสฺส ปฐมาภินิปาโต ผโสฺส, ตํสมฺปยุตฺตา เวทนา เวทนากฺขโนฺธติอาทินา ผสฺสาทิวเสน ตีหิ อากาเรหิ อรูปธมฺมา อุปฎฺฐหนฺติฯ เตน วุตฺตํ ‘‘ยถาปริคฺคหิตรูปารมฺมณํ ยถาปริคฺคหิตรูปวตฺถุทฺวารารมฺมณํ วา สสมฺปยุตฺตธมฺมํ วิญฺญาณญฺจ ปสฺสตี’’ติฯ

    Kathaṃ ? Ekassa tāva ‘‘kese pathavīdhātu kakkhaḷalakkhaṇā…pe… assāsapassāse pathavīdhātu kakkhaḷalakkhaṇā’’tiādinā nayena dhātuyo pariggaṇhantassa paṭhamābhinipāto phasso, taṃsampayuttā vedanā vedanākkhandho, saññā saññākkhandho, saddhiṃ phassena cetanā saṅkhārakkhandho, cittaṃ viññāṇakkhandhoti upaṭṭhāti. Evaṃ arūpadhammā phassavasena upaṭṭhahanti. Ekassa ‘‘kese pathavīdhātu kakkhaḷalakkhaṇā…pe… assāsapassāse pathavīdhātu kakkhaḷalakkhaṇā’’ti tadārammaṇarasānubhavanakavedanā vedanākkhandho, taṃsampayuttā saññā saññākkhandho, taṃsampayutto phasso ca cetanā ca saṅkhārakkhandho, taṃsampayuttaṃ cittaṃ viññāṇakkhandhoti upaṭṭhāti. Evaṃ vedanāvasena arūpadhammā upaṭṭhahanti. Aparassa ‘‘kese pathavīdhātu kakkhaḷalakkhaṇā…pe… assāsapassāse pathavīdhātu kakkhaḷalakkhaṇā’’ti ārammaṇapaṭivijānanaṃ viññāṇakkhandho, taṃsampayuttā vedanā vedanākkhandho, saññā saññākkhandho, phasso ca cetanā ca saṅkhārakkhandhoti upaṭṭhāti. Evaṃ viññāṇavasena arūpadhammā upaṭṭhahanti. Etenevupāyena ‘‘kammasamuṭṭhāne kese pathavīdhātu kakkhaḷalakkhaṇā’’tiādinā nayena dvācattālīsāya dhātukoṭṭhāsesu catunnaṃ catunnaṃ dhātūnaṃ vasena sesesupi vatthu cakkhādīsu dasakesu manodhātumanoviññāṇadhātūnaṃ nissayalakkhaṇaṃ hadayavatthu rūpābhighātārahabhūtappasādalakkhaṇaṃ cakkhūtiādinā vatthudvāravasena pariggaṇhantassa paṭhamābhinipāto phasso, taṃsampayuttā vedanā vedanākkhandhotiādinā phassādivasena tīhi ākārehi arūpadhammā upaṭṭhahanti. Tena vuttaṃ ‘‘yathāpariggahitarūpārammaṇaṃ yathāpariggahitarūpavatthudvārārammaṇaṃ vā sasampayuttadhammaṃ viññāṇañca passatī’’ti.

    อิทานิ อญฺญถาปิ รูปปุพฺพงฺคมํ อรูปปริคฺคหํ ทเสฺสโนฺต ‘‘อถ วา’’ติอาทิมาหฯ ตตฺถ ยถา หีติอาทิ กายสฺส จิตฺตสฺส จ อสฺสาสปสฺสาสานํ สมุทยภาวทสฺสนํฯ กมฺมารคคฺครีติ กมฺมารานํ อุกฺกาย อคฺคิธมนภสฺตาฯ ธมมานายาติ ธูมายนฺติยา, วาตํ คาหาเปนฺติยาติ อโตฺถฯ ตชฺชนฺติ ตทนุรูปํฯ เอวเมวนฺติ เอตฺถ กมฺมารคคฺครี วิย กรชกาโย, วายาโม วิย จิตฺตํ ทฎฺฐพฺพํฯ กิญฺจาปิ อสฺสาสปสฺสาสา จิตฺตสมุฎฺฐานา, กรชกายํ ปน วินา เตสํ อปฺปวตฺตนโต ‘‘กายญฺจ จิตฺตญฺจ ปฎิจฺจ อสฺสาสปสฺสาสา’’ติ วุตฺตํฯ

    Idāni aññathāpi rūpapubbaṅgamaṃ arūpapariggahaṃ dassento ‘‘atha vā’’tiādimāha. Tattha yathā hītiādi kāyassa cittassa ca assāsapassāsānaṃ samudayabhāvadassanaṃ. Kammāragaggarīti kammārānaṃ ukkāya aggidhamanabhastā. Dhamamānāyāti dhūmāyantiyā, vātaṃ gāhāpentiyāti attho. Tajjanti tadanurūpaṃ. Evamevanti ettha kammāragaggarī viya karajakāyo, vāyāmo viya cittaṃ daṭṭhabbaṃ. Kiñcāpi assāsapassāsā cittasamuṭṭhānā, karajakāyaṃ pana vinā tesaṃ appavattanato ‘‘kāyañca cittañca paṭicca assāsapassāsā’’ti vuttaṃ.

    ตสฺสาติ นามรูปสฺสฯ ปจฺจยํ ปริเยสตีติ ‘‘อวิชฺชาสมุทยา รูปสมุทโย’’ติอาทินา อวิชฺชาทิกํ ปจฺจยํ ปริเยสติ วีมํสติ ปริคฺคณฺหาติฯ กงฺขํ วิตรตีติ ‘‘อโหสิํ นุ โข อหํ อตีตมทฺธาน’’นฺติอาทินยปฺปวตฺตํ โสฬสวตฺถุกํ วิจิกิจฺฉํ อติกฺกมติ ปชหติฯ ‘‘ยํ กิญฺจิ รูปํ อตีตานาคตปจฺจุปฺปนฺน’’นฺติอาทินยปฺปวตฺตํ กลาปสมฺมสนํปุพฺพภาเคติ ปฎิปทาญาณทสฺสนวิสุทฺธิปริยาปนฺนาย อุทยพฺพยานุปสฺสนาย ปุพฺพภาเค อุปฺปเนฺนฯ โอภาสาทโยติ โอภาโส ญาณํ ปีติ ปสฺสทฺธิ สุขํ อธิโมโกฺข ปคฺคโห อุเปกฺขา อุปฎฺฐานํ นิกนฺตีติ อิเม โอภาสาทโย ทสฯ

    Tassāti nāmarūpassa. Paccayaṃ pariyesatīti ‘‘avijjāsamudayā rūpasamudayo’’tiādinā avijjādikaṃ paccayaṃ pariyesati vīmaṃsati pariggaṇhāti. Kaṅkhaṃ vitaratīti ‘‘ahosiṃ nu kho ahaṃ atītamaddhāna’’ntiādinayappavattaṃ soḷasavatthukaṃ vicikicchaṃ atikkamati pajahati. ‘‘Yaṃ kiñci rūpaṃ atītānāgatapaccuppanna’’ntiādinayappavattaṃ kalāpasammasanaṃ. Pubbabhāgeti paṭipadāñāṇadassanavisuddhipariyāpannāya udayabbayānupassanāya pubbabhāge uppanne. Obhāsādayoti obhāso ñāṇaṃ pīti passaddhi sukhaṃ adhimokkho paggaho upekkhā upaṭṭhānaṃ nikantīti ime obhāsādayo dasa.

    ตตฺถ (วิสุทฺธิ. ๒.๗๓๓; ปฎิ. ม. อฎฺฐ. ๒.๒.๖) โอภาโสติ วิปสฺสโนภาโส, โส จ วิปสฺสนาจิตฺตสมุฎฺฐิตํ สนฺตติปติตํ อุตุสมุฎฺฐานญฺจ ปภสฺสรรูปํฯ ตตฺถ วิปสฺสนาจิตฺตสมุฎฺฐิตํ โยคิโน สรีรฎฺฐเมว ปภสฺสรํ หุตฺวา ติฎฺฐติ จิตฺตชรูปานํ สรีรํ มุญฺจิตฺวา พหิ อปฺปวตฺตนโต, อิตรํ สรีรํ มุญฺจิตฺวา ญาณานุภาวานุรูปํ สมนฺตโต ปตฺถรติ, ตํ ตเสฺสว ปญฺญายติฯ เตน ผุโฎฺฐกาเส รูปคตมฺปิ ปสฺสติ, ปสฺสโนฺต จ จกฺขุวิญฺญาเณน ปสฺสติ, อุทาหุ มโนวิญฺญาเณนาติ วีมํสิตพฺพนฺติ วทนฺติฯ ทิพฺพจกฺขุลาภิโน วิย ตํ มโนวิญฺญาณวิเญฺญยฺยเมวาติ วตฺตุํ ยุตฺตํ วิย ทิสฺสติฯ โส โข ปนายํ โอภาโส กสฺสจิ ภิกฺขุโน ปลฺลงฺกฎฺฐานมตฺตเมว โอภาเสโนฺต อุปฺปชฺชติ, กสฺสจิ อโนฺตคพฺภํ, กสฺสจิ พหิคพฺภมฺปิ, กสฺสจิ สกลวิหารํ, คาวุตํ, อฑฺฒโยชนํ, โยชนํ, ทฺวิโยชนํ, ติโยชนํ, กสฺสจิ ปถวีตลโต ยาว อกนิฎฺฐพฺรหฺมโลกา เอกาโลกํ กุรุมาโนฯ ภควโต ปน ทสสหสฺสิโลกธาตุํ โอภาเสโนฺต อุทปาทิฯ ตสฺมิํ ปน อุปฺปเนฺน โยคาวจโร ‘‘น วต เม อิโต ปุเพฺพ เอวรูโป โอภาโส อุปฺปนฺนปุโพฺพ, อทฺธา มคฺคปฺปโตฺตสฺมิ ผลปฺปโตฺตสฺมี’’ติ อมคฺคเมว ‘‘มโคฺค’’ติ, อผลเมว จ ‘‘ผล’’นฺติ คณฺหาติฯ ตสฺส อมคฺคํ ‘‘มโคฺค’’ติ อผลํ วา ‘‘ผล’’นฺติ คณฺหโต วิปสฺสนาวีถิ อุกฺกนฺตา นาม โหติฯ โส อตฺตโน มูลกมฺมฎฺฐานํ วิสฺสเชฺชตฺวา โอภาสเมว อสฺสาเทโนฺต นิสีทติฯ

    Tattha (visuddhi. 2.733; paṭi. ma. aṭṭha. 2.2.6) obhāsoti vipassanobhāso, so ca vipassanācittasamuṭṭhitaṃ santatipatitaṃ utusamuṭṭhānañca pabhassararūpaṃ. Tattha vipassanācittasamuṭṭhitaṃ yogino sarīraṭṭhameva pabhassaraṃ hutvā tiṭṭhati cittajarūpānaṃ sarīraṃ muñcitvā bahi appavattanato, itaraṃ sarīraṃ muñcitvā ñāṇānubhāvānurūpaṃ samantato pattharati, taṃ tasseva paññāyati. Tena phuṭṭhokāse rūpagatampi passati, passanto ca cakkhuviññāṇena passati, udāhu manoviññāṇenāti vīmaṃsitabbanti vadanti. Dibbacakkhulābhino viya taṃ manoviññāṇaviññeyyamevāti vattuṃ yuttaṃ viya dissati. So kho panāyaṃ obhāso kassaci bhikkhuno pallaṅkaṭṭhānamattameva obhāsento uppajjati, kassaci antogabbhaṃ, kassaci bahigabbhampi, kassaci sakalavihāraṃ, gāvutaṃ, aḍḍhayojanaṃ, yojanaṃ, dviyojanaṃ, tiyojanaṃ, kassaci pathavītalato yāva akaniṭṭhabrahmalokā ekālokaṃ kurumāno. Bhagavato pana dasasahassilokadhātuṃ obhāsento udapādi. Tasmiṃ pana uppanne yogāvacaro ‘‘na vata me ito pubbe evarūpo obhāso uppannapubbo, addhā maggappattosmi phalappattosmī’’ti amaggameva ‘‘maggo’’ti, aphalameva ca ‘‘phala’’nti gaṇhāti. Tassa amaggaṃ ‘‘maggo’’ti aphalaṃ vā ‘‘phala’’nti gaṇhato vipassanāvīthi ukkantā nāma hoti. So attano mūlakammaṭṭhānaṃ vissajjetvā obhāsameva assādento nisīdati.

    ญาณนฺติ วิปสฺสนาญาณํฯ ตสฺส กิร รูปารูปธเมฺม ตุลยนฺตสฺส ตีรยนฺตสฺส วิสฺสฎฺฐอินฺทวชิรมิว อวิหตเวคํ ติขิณํ สูรํ อติวิสทํ ญาณํ อุปฺปชฺชติฯ

    Ñāṇanti vipassanāñāṇaṃ. Tassa kira rūpārūpadhamme tulayantassa tīrayantassa vissaṭṭhaindavajiramiva avihatavegaṃ tikhiṇaṃ sūraṃ ativisadaṃ ñāṇaṃ uppajjati.

    ปีตีติ วิปสฺสนาปีติฯ ตสฺส กิร ตสฺมิํ สมเย ขุทฺทิกา ปีติ ขณิกา ปีติ โอกฺกนฺติกา ปีติ อุเพฺพคา ปีติ ผรณา ปีตีติ อยํ ปญฺจวิธา ปีติ สกลสรีรํ ปูรยมานา อุปฺปชฺชติฯ

    Pītīti vipassanāpīti. Tassa kira tasmiṃ samaye khuddikā pīti khaṇikā pīti okkantikā pīti ubbegā pīti pharaṇā pītīti ayaṃ pañcavidhā pīti sakalasarīraṃ pūrayamānā uppajjati.

    ปสฺสทฺธีติ วิปสฺสนาปสฺสทฺธิฯ ตสฺส กิร ตสฺมิํ สมเย รตฺติฎฺฐาเน วา ทิวาฎฺฐาเน วา นิสินฺนสฺส กายจิตฺตานํ เนว ทรโถ, น คารวํ, น กกฺขฬตา, น อกมฺมญฺญตา, น เคลญฺญํ, น วงฺกตา โหติ, อถ โข ปนสฺส กายจิตฺตานิ ปสฺสทฺธานิ ลหูนิ มุทูนิ กมฺมญฺญานิ สุวิสทานิ อุชุกานิเยว โหนฺติฯ โส อิเมหิ ปสฺสทฺธาทีหิ อนุคฺคหิตกายจิโตฺต ตสฺมิํ สมเย อมานุสิํ นาม รติํ อนุภวติฯ ยํ สนฺธาย วุตฺตํ –

    Passaddhīti vipassanāpassaddhi. Tassa kira tasmiṃ samaye rattiṭṭhāne vā divāṭṭhāne vā nisinnassa kāyacittānaṃ neva daratho, na gāravaṃ, na kakkhaḷatā, na akammaññatā, na gelaññaṃ, na vaṅkatā hoti, atha kho panassa kāyacittāni passaddhāni lahūni mudūni kammaññāni suvisadāni ujukāniyeva honti. So imehi passaddhādīhi anuggahitakāyacitto tasmiṃ samaye amānusiṃ nāma ratiṃ anubhavati. Yaṃ sandhāya vuttaṃ –

    ‘‘สุญฺญาคารํ ปวิฎฺฐสฺส, สนฺตจิตฺตสฺส ภิกฺขุโน;

    ‘‘Suññāgāraṃ paviṭṭhassa, santacittassa bhikkhuno;

    อมานุสี รตี โหติ, สมฺมา ธมฺมํ วิปสฺสโตฯ

    Amānusī ratī hoti, sammā dhammaṃ vipassato.

    ‘‘ยโต ยโต สมฺมสติ, ขนฺธานํ อุทยพฺพยํ;

    ‘‘Yato yato sammasati, khandhānaṃ udayabbayaṃ;

    ลภตี ปีติปาโมชฺชํ, อมตํ ตํ วิชานต’’นฺติฯ (ธ. ป. ๓๗๓-๓๗๔);

    Labhatī pītipāmojjaṃ, amataṃ taṃ vijānata’’nti. (dha. pa. 373-374);

    เอวมสฺส อิมํ อมานุสิํ รติํ สาธยมานา ลหุตาทิสมฺปยุตฺตา ปสฺสทฺธิ อุปฺปชฺชติฯ

    Evamassa imaṃ amānusiṃ ratiṃ sādhayamānā lahutādisampayuttā passaddhi uppajjati.

    สุขนฺติ วิปสฺสนาสุขํฯ ตสฺส กิร ตสฺมิํ สมเย สกลสรีรํ อภิสนฺทยมานํ อติปณีตํ สุขมุปฺปชฺชติฯ

    Sukhanti vipassanāsukhaṃ. Tassa kira tasmiṃ samaye sakalasarīraṃ abhisandayamānaṃ atipaṇītaṃ sukhamuppajjati.

    อธิโมโกฺขติ สทฺธาฯ วิปสฺสนาสมฺปยุตฺตาเยว หิสฺส จิตฺตเจตสิกานํ อติสยปฺปสาทภูตา พลวตี สทฺธา อุปฺปชฺชติฯ

    Adhimokkhoti saddhā. Vipassanāsampayuttāyeva hissa cittacetasikānaṃ atisayappasādabhūtā balavatī saddhā uppajjati.

    ปคฺคโหติ วีริยํฯ วิปสฺสนาสมฺปยุตฺตเมว หิสฺส อสิถิลมนจฺจารทฺธํ สุปคฺคหิตํ วีริยํ อุปฺปชฺชติฯ

    Paggahoti vīriyaṃ. Vipassanāsampayuttameva hissa asithilamanaccāraddhaṃ supaggahitaṃ vīriyaṃ uppajjati.

    อุปฎฺฐานนฺติ สติฯ วิปสฺสนาสมฺปยุตฺตาเยว หิสฺส สูปฎฺฐิตา สุปฺปติฎฺฐิตา นิขาตา อจลา ปพฺพตราชสทิสา สติ อุปฺปชฺชติฯ โส ยํ ยํ ฐานํ อาวชฺชติ สมนฺนาหรติ มนสิ กโรติ ปจฺจเวกฺขติ, ตํ ตํ ฐานมสฺส โอกฺกนฺติตฺวา ปกฺขนฺทิตฺวา ทิพฺพจกฺขุโน ปรโลโก วิย สติยา อุปฎฺฐาติฯ

    Upaṭṭhānanti sati. Vipassanāsampayuttāyeva hissa sūpaṭṭhitā suppatiṭṭhitā nikhātā acalā pabbatarājasadisā sati uppajjati. So yaṃ yaṃ ṭhānaṃ āvajjati samannāharati manasi karoti paccavekkhati, taṃ taṃ ṭhānamassa okkantitvā pakkhanditvā dibbacakkhuno paraloko viya satiyā upaṭṭhāti.

    อุเปกฺขาติ วิปสฺสนุเปกฺขา เจว อาวชฺชนุเปกฺขา จฯ ตสฺมิญฺหิสฺส สมเย สพฺพสงฺขาเรสุ มชฺฌตฺตภูตา วิปสฺสนุเปกฺขา พลวตี อุปฺปชฺชติ, มโนทฺวาเร อาวชฺชนุเปกฺขาปิฯ สา หิสฺส ตํ ตํ ฐานํ อาวเชฺชนฺตสฺส วิสฺสฎฺฐอินฺทวชิรมิว ปตฺตปุเฎ ปกฺขนฺทตตฺตนาราโจ วิย จ สูรา ติขิณา หุตฺวา วหติฯ

    Upekkhāti vipassanupekkhā ceva āvajjanupekkhā ca. Tasmiñhissa samaye sabbasaṅkhāresu majjhattabhūtā vipassanupekkhā balavatī uppajjati, manodvāre āvajjanupekkhāpi. Sā hissa taṃ taṃ ṭhānaṃ āvajjentassa vissaṭṭhaindavajiramiva pattapuṭe pakkhandatattanārāco viya ca sūrā tikhiṇā hutvā vahati.

    นิกนฺตีติ วิปสฺสนานิกนฺติฯ เอวํ โอภาสาทิปฎิมณฺฑิตาย หิสฺส วิปสฺสนาย อาลยํ กุรุมานา สุขุมา สนฺตาการา นิกนฺติ อุปฺปชฺชติ, ยา ‘‘กิเลโส’’ติ ปริคฺคเหตุมฺปิ น สกฺกา โหติฯ

    Nikantīti vipassanānikanti. Evaṃ obhāsādipaṭimaṇḍitāya hissa vipassanāya ālayaṃ kurumānā sukhumā santākārā nikanti uppajjati, yā ‘‘kileso’’ti pariggahetumpi na sakkā hoti.

    ยถา จ โอภาเส, เอวํ เอเตสุปิ อญฺญตรสฺมิํ อุปฺปเนฺน โยคาวจโร ‘‘น วต เม อิโต ปุเพฺพ เอวรูปํ ญาณํ อุปฺปนฺนปุพฺพํ, เอวรูปา ปีติ, ปสฺสทฺธิ, สุขํ, อธิโมโกฺข, ปคฺคโห, อุปฎฺฐานํ, อุเปกฺขา, นิกนฺติ อุปฺปนฺนปุพฺพา, อทฺธา มคฺคปฺปโตฺตสฺมิ ผลปฺปโตฺตสฺมี’’ติ อมคฺคเมว ‘‘มโคฺค’’ติ อผลเมว จ ‘‘ผล’’นฺติ คณฺหาติ, ตสฺส อมคฺคํ ‘‘มโคฺค’’ติ อผลํ ‘‘ผล’’นฺติ คณฺหโต วิปสฺสนาวีถิ อุกฺกนฺตา นาม โหติฯ โส อตฺตโน มูลกมฺมฎฺฐานํ วิสฺสเชฺชตฺวา นิกนฺติเมว อสฺสาเทโนฺต นิสีทติฯ

    Yathā ca obhāse, evaṃ etesupi aññatarasmiṃ uppanne yogāvacaro ‘‘na vata me ito pubbe evarūpaṃ ñāṇaṃ uppannapubbaṃ, evarūpā pīti, passaddhi, sukhaṃ, adhimokkho, paggaho, upaṭṭhānaṃ, upekkhā, nikanti uppannapubbā, addhā maggappattosmi phalappattosmī’’ti amaggameva ‘‘maggo’’ti aphalameva ca ‘‘phala’’nti gaṇhāti, tassa amaggaṃ ‘‘maggo’’ti aphalaṃ ‘‘phala’’nti gaṇhato vipassanāvīthi ukkantā nāma hoti. So attano mūlakammaṭṭhānaṃ vissajjetvā nikantimeva assādento nisīdati.

    เอตฺถ จ โอภาสาทโย อุปกฺกิเลสวตฺถุตาย ‘‘อุปกฺกิเลสา’’ติ วุตฺตา, น อกุสลตฺตา, นิกนฺติ ปน อุปกฺกิเลโส เจว อุปกฺกิเลสวตฺถุ จ ฯ วตฺถุวเสเนว เจเต ทส, คาหวเสน ปน สมติํส โหนฺติฯ กถํ? ‘‘มม โอภาโส อุปฺปโนฺน’’ติ คณฺหโต หิ ทิฎฺฐิคฺคาโห โหติ, ‘‘มนาโป วต โอภาโส อุปฺปโนฺน’’ติ คณฺหโต มานคฺคาโห, โอภาสํ อสฺสาทยโต ตณฺหาคาโหฯ อิติ โอภาเส ทิฎฺฐิมานตณฺหาวเสน ตโย คาหาฯ ตถา เสเสสุปีติ เอวํ คาหวเสน สมติํส อุปกฺกิเลสา โหนฺติฯ เตสํ วเสน อกุสโล อพฺยโตฺต โยคาวจโร โอภาสาทีสุ กมฺปติ วิกฺขิปติ, โอภาสาทีสุ เอเกกํ ‘‘เอตํ มม, เอโสหมสฺมิ, เอโส เม อตฺตา’’ติ สมนุปสฺสติฯ เตนาหุ โปราณา –

    Ettha ca obhāsādayo upakkilesavatthutāya ‘‘upakkilesā’’ti vuttā, na akusalattā, nikanti pana upakkileso ceva upakkilesavatthu ca . Vatthuvaseneva cete dasa, gāhavasena pana samatiṃsa honti. Kathaṃ? ‘‘Mama obhāso uppanno’’ti gaṇhato hi diṭṭhiggāho hoti, ‘‘manāpo vata obhāso uppanno’’ti gaṇhato mānaggāho, obhāsaṃ assādayato taṇhāgāho. Iti obhāse diṭṭhimānataṇhāvasena tayo gāhā. Tathā sesesupīti evaṃ gāhavasena samatiṃsa upakkilesā honti. Tesaṃ vasena akusalo abyatto yogāvacaro obhāsādīsu kampati vikkhipati, obhāsādīsu ekekaṃ ‘‘etaṃ mama, esohamasmi, eso me attā’’ti samanupassati. Tenāhu porāṇā –

    ‘‘โอภาเส เจว ญาเณ จ, ปีติยา จ วิกมฺปติ;

    ‘‘Obhāse ceva ñāṇe ca, pītiyā ca vikampati;

    ปสฺสทฺธิยา สุเข เจว, เยหิ จิตฺตํ ปเวธติฯ

    Passaddhiyā sukhe ceva, yehi cittaṃ pavedhati.

    ‘‘อธิโมเกฺข จ ปคฺคาเห, อุปฎฺฐาเน จ กมฺปติ;

    ‘‘Adhimokkhe ca paggāhe, upaṭṭhāne ca kampati;

    อุเปกฺขาวชฺชนาย เจว, อุเปกฺขาย จ นิกนฺติยา’’ติฯ (ปฎิ. ม. ๒.๗)

    Upekkhāvajjanāya ceva, upekkhāya ca nikantiyā’’ti. (paṭi. ma. 2.7)

    กุสโล ปณฺฑิโต พฺยโตฺต พุทฺธิสมฺปโนฺน โยคาวจโร โอภาสาทีสุ อุปฺปเนฺนสุ ‘‘อยํ โข เม โอภาโส อุปฺปโนฺน, โส โข ปนายํ อนิโจฺจ สงฺขโต ปฎิจฺจสมุปฺปโนฺน ขยธโมฺม วยธโมฺม วิราคธโมฺม นิโรธธโมฺม’’ติ อิติ วา ตํ ปญฺญาย ปริจฺฉินฺทติ อุปปริกฺขติฯ อถ วา ปนสฺส เอวํ โหติ – สเจ โอภาโส อตฺตา ภเวยฺย, อตฺตาติ คเหตุํ วเฎฺฎยฺย, อนตฺตาว ปนายํ ‘‘อตฺตา’’ติ คหิโตฯ ตสฺมา โส อวสวตฺตนเฎฺฐน อนตฺตา, หุตฺวา อภาวเฎฺฐน อนิโจฺจ, อุปฺปาทวยปฎิปีฬนเฎฺฐน ทุโกฺขติ อุปปริกฺขติฯ ยถา จ โอภาเส, เอวํ เสเสสุปิฯ โส เอวํ อุปปริกฺขิตฺวา โอภาสํ ‘‘เนตํ มม, เนโสหมสฺมิ, น เมโส อตฺตา’’ติ สมนุปสฺสติฯ ญาณํ…เป.… นิกนฺติํ ‘‘เนตํ มม, เนโสหมสฺมิ, น เมโส อตฺตา’’ติ สมนุปสฺสติฯ เอวํ สมนุปสฺสโนฺต โอภาสาทีสุ น กมฺปติ น เวธติฯ เตนาหุ โปราณา –

    Kusalo paṇḍito byatto buddhisampanno yogāvacaro obhāsādīsu uppannesu ‘‘ayaṃ kho me obhāso uppanno, so kho panāyaṃ anicco saṅkhato paṭiccasamuppanno khayadhammo vayadhammo virāgadhammo nirodhadhammo’’ti iti vā taṃ paññāya paricchindati upaparikkhati. Atha vā panassa evaṃ hoti – sace obhāso attā bhaveyya, attāti gahetuṃ vaṭṭeyya, anattāva panāyaṃ ‘‘attā’’ti gahito. Tasmā so avasavattanaṭṭhena anattā, hutvā abhāvaṭṭhena anicco, uppādavayapaṭipīḷanaṭṭhena dukkhoti upaparikkhati. Yathā ca obhāse, evaṃ sesesupi. So evaṃ upaparikkhitvā obhāsaṃ ‘‘netaṃ mama, nesohamasmi, na meso attā’’ti samanupassati. Ñāṇaṃ…pe… nikantiṃ ‘‘netaṃ mama, nesohamasmi, na meso attā’’ti samanupassati. Evaṃ samanupassanto obhāsādīsu na kampati na vedhati. Tenāhu porāṇā –

    ‘‘อิมานิ ทส ฐานานิ, ปญฺญา ยสฺส ปริจฺจิตา;

    ‘‘Imāni dasa ṭhānāni, paññā yassa pariccitā;

    ธมฺมุทฺธจฺจกุสโล โหติ, น จ วิเกฺขป คจฺฉตี’’ติฯ (ปฎิ. ม. ๒.๗);

    Dhammuddhaccakusalo hoti, na ca vikkhepa gacchatī’’ti. (paṭi. ma. 2.7);

    โส เอวํ วิเกฺขปํ อคจฺฉโนฺต ตํ สมติํสวิธํ อุปกฺกิเลสชฎํ วิชเฎตฺวา ‘‘โอภาสาทโย ธมฺมา น มโคฺค, อุปกฺกิเลสวิมุตฺตํ ปน วีถิปฺปฎิปนฺนํ วิปสฺสนาญาณํ มโคฺค’’ติ อมคฺคํ มคฺคญฺจ ววตฺถเปติฯ ยํ สนฺธาเยตํ วุตฺตํ ‘‘โอภาสาทโย ทส วิปสฺสนุปกฺกิเลเส ปหาย อุปกฺกิเลสวิมุตฺตํ ปฎิปทาญาณํ มโคฺคติ ววตฺถเปตฺวา’’ติฯ อุทยํ ปหายาติ อุทยพฺพยานุปสฺสนาย คหิตํ สงฺขารานํ อุทยํ วิสฺสเชฺชตฺวา เตสํ ภงฺคเสฺสว อนุปสฺสนโต ภงฺคานุปสฺสนาญาณํ ปตฺวา อาทีนวานุปสฺสนาปุพฺพงฺคมาย นิพฺพิทานุปสฺสนาย นิพฺพินฺทโนฺต มุญฺจิตุกมฺยตาปฎิสงฺขานุปสฺสนาสงฺขารุเปกฺขานุโลมญาณานํ จิณฺณปริยเนฺต อุปฺปนฺนโคตฺรภุญาณานนฺตรํ อุปฺปเนฺนน มคฺคญาเณน สพฺพสงฺขาเรสุ วิรชฺชโนฺต วิมุจฺจโนฺตฯ มคฺคกฺขเณ หิ อริโย วิรชฺชติ วิมุจฺจตีติ จ วุจฺจติฯ เตนาห – ‘‘ยถากฺกมํ จตฺตาโร อริยมเคฺค ปาปุณิตฺวา’’ติฯ มคฺคผลนิพฺพานปหีนาวสิฎฺฐกิเลสสงฺขาตสฺส ปจฺจเวกฺขิตพฺพสฺส ปเภเทน เอกูนวีสติเภทสฺสฯ อรหโต หิ อวสิฎฺฐกิเลสาภาเวน เอกูนวีสติ ปจฺจเวกฺขณญาณานิฯ อสฺสาติ อานาปานสฺสติกมฺมฎฺฐานิกสฺสฯ

    So evaṃ vikkhepaṃ agacchanto taṃ samatiṃsavidhaṃ upakkilesajaṭaṃ vijaṭetvā ‘‘obhāsādayo dhammā na maggo, upakkilesavimuttaṃ pana vīthippaṭipannaṃ vipassanāñāṇaṃ maggo’’ti amaggaṃ maggañca vavatthapeti. Yaṃ sandhāyetaṃ vuttaṃ ‘‘obhāsādayo dasa vipassanupakkilese pahāya upakkilesavimuttaṃ paṭipadāñāṇaṃ maggoti vavatthapetvā’’ti. Udayaṃ pahāyāti udayabbayānupassanāya gahitaṃ saṅkhārānaṃ udayaṃ vissajjetvā tesaṃ bhaṅgasseva anupassanato bhaṅgānupassanāñāṇaṃ patvā ādīnavānupassanāpubbaṅgamāya nibbidānupassanāya nibbindanto muñcitukamyatāpaṭisaṅkhānupassanāsaṅkhārupekkhānulomañāṇānaṃ ciṇṇapariyante uppannagotrabhuñāṇānantaraṃ uppannena maggañāṇena sabbasaṅkhāresu virajjanto vimuccanto. Maggakkhaṇe hi ariyo virajjati vimuccatīti ca vuccati. Tenāha – ‘‘yathākkamaṃ cattāro ariyamagge pāpuṇitvā’’ti. Maggaphalanibbānapahīnāvasiṭṭhakilesasaṅkhātassa paccavekkhitabbassa pabhedena ekūnavīsatibhedassa. Arahato hi avasiṭṭhakilesābhāvena ekūnavīsati paccavekkhaṇañāṇāni. Assāti ānāpānassatikammaṭṭhānikassa.

    วิสุํ กมฺมฎฺฐานภาวนานโย นาม นตฺถีติ ปฐมจตุกฺกวเสน อธิคตชฺฌานสฺส เวทนาจิตฺตธมฺมานุปสฺสนาวเสน เทสิตตฺตา วุตฺตํฯ เตสนฺติ ติณฺณํ จตุกฺกานํฯ ปีติปฺปฎิสํเวทีติ ปีติยา ปฎิ ปฎิ สมฺมเทว เวทนสีโล, ตสฺสา วา ปฎิ ปฎิ สมฺมเทว เวโท เอตสฺส อตฺถิ, ตํ วา ปฎิ ปฎิ สมฺมเทว เวทยมาโนฯ ตตฺถ กามํ สํเวทนคฺคหเณเนว ปีติยา สกฺกจฺจํ วิทิตภาโว โพธิโต โหติ, เยหิ ปน ปกาเรหิ ตสฺสา สํเวทนํ อิจฺฉิตํ, ตํ ทเสฺสตุํ ปฎิ-สทฺทคฺคหณํ ‘‘ปฎิ ปฎิ สํเวทีติ ปฎิสํเวที’’ติฯ เตนาห ‘‘ทฺวีหากาเรหี’’ติอาทิฯ

    Visuṃ kammaṭṭhānabhāvanānayo nāma natthīti paṭhamacatukkavasena adhigatajjhānassa vedanācittadhammānupassanāvasena desitattā vuttaṃ. Tesanti tiṇṇaṃ catukkānaṃ. Pītippaṭisaṃvedīti pītiyā paṭi paṭi sammadeva vedanasīlo, tassā vā paṭi paṭi sammadeva vedo etassa atthi, taṃ vā paṭi paṭi sammadeva vedayamāno. Tattha kāmaṃ saṃvedanaggahaṇeneva pītiyā sakkaccaṃ viditabhāvo bodhito hoti, yehi pana pakārehi tassā saṃvedanaṃ icchitaṃ, taṃ dassetuṃ paṭi-saddaggahaṇaṃ ‘‘paṭi paṭi saṃvedīti paṭisaṃvedī’’ti. Tenāha ‘‘dvīhākārehī’’tiādi.

    ตตฺถ กถํ อารมฺมณโต ปีติ ปฎิสํวิทิตา โหตีติ ปุจฺฉาวจนํฯ สปฺปีติเก เทฺว ฌาเน สมาปชฺชตี’’ติ ปีติสหคตานิ เทฺว ปฐมทุติยชฺฌานานิ ปฎิปาฎิยา สมาปชฺชติฯ ตสฺสาติ เตนฯ ‘‘ปฎิสํวิทิตา’’ติ หิ ปทํ อเปกฺขิตฺวา กตฺตุอเตฺถ เอตํ สามิวจนํฯ สมาปตฺติกฺขเณติ สมาปนฺนกฺขเณฯ ฌานปฎิลาเภนาติ ฌาเนน สมงฺคิภาเวนฯ อารมฺมณโตติ อารมฺมณมุเขน, ตทารมฺมณชฺฌานปริยาปนฺนา ปีติ ปฎิสํวิทิตา โหติ อารมฺมณสฺส ปฎิสํวิทิตตฺตาฯ กิํ วุตฺตํ โหติ? ยถา นาม สปฺปปริเยสนํ จรเนฺตน ตสฺส อาสเย ปฎิสํวิทิเต โสปิ ปฎิสํวิทิโต เอว โหติ มนฺตาคทพเลน ตสฺส คหณสฺส สุกรตฺตา, เอวํ ปีติยา อาสยภูเต อารมฺมเณ ปฎิสํวิทิเต สา ปีติ ปฎิสํวิทิตา เอว โหติ สลกฺขณโต สามญฺญลกฺขณโต จ ตสฺสา คหณสฺส สุกรตฺตาติฯ

    Tattha kathaṃ ārammaṇato pīti paṭisaṃviditā hotīti pucchāvacanaṃ. Sappītike dve jhāne samāpajjatī’’ti pītisahagatāni dve paṭhamadutiyajjhānāni paṭipāṭiyā samāpajjati. Tassāti tena. ‘‘Paṭisaṃviditā’’ti hi padaṃ apekkhitvā kattuatthe etaṃ sāmivacanaṃ. Samāpattikkhaṇeti samāpannakkhaṇe. Jhānapaṭilābhenāti jhānena samaṅgibhāvena. Ārammaṇatoti ārammaṇamukhena, tadārammaṇajjhānapariyāpannā pīti paṭisaṃviditā hoti ārammaṇassa paṭisaṃviditattā. Kiṃ vuttaṃ hoti? Yathā nāma sappapariyesanaṃ carantena tassa āsaye paṭisaṃvidite sopi paṭisaṃvidito eva hoti mantāgadabalena tassa gahaṇassa sukarattā, evaṃ pītiyā āsayabhūte ārammaṇe paṭisaṃvidite sā pīti paṭisaṃviditā eva hoti salakkhaṇato sāmaññalakkhaṇato ca tassā gahaṇassa sukarattāti.

    กถํ อสโมฺมหโต ปีติ ปฎิสํวิทิตา โหตีติ อาเนตฺวา สมฺพนฺธิตพฺพํฯ วิปสฺสนากฺขเณติ วิปสฺสนาปญฺญาย ติกฺขวิสทปฺปวตฺตาย วิสยโต ทสฺสนกฺขเณฯ ลกฺขณปฎิเวเธนาติ ปีติยา สลกฺขณสฺส สามญฺญลกฺขณสฺส จ ปฎิวิชฺฌเนนฯ ยญฺหิ ยสฺส วิเสสโต สามญฺญโต จ ลกฺขณํ, ตสฺมิํ วิทิเต โส ยาถาวโต วิทิโต เอว โหติฯ เตนาห – ‘‘อสโมฺมหโต ปีติ ปฎิสํวิทิตา โหตี’’ติฯ

    Kathaṃ asammohato pīti paṭisaṃviditā hotīti ānetvā sambandhitabbaṃ. Vipassanākkhaṇeti vipassanāpaññāya tikkhavisadappavattāya visayato dassanakkhaṇe. Lakkhaṇapaṭivedhenāti pītiyā salakkhaṇassa sāmaññalakkhaṇassa ca paṭivijjhanena. Yañhi yassa visesato sāmaññato ca lakkhaṇaṃ, tasmiṃ vidite so yāthāvato vidito eva hoti. Tenāha – ‘‘asammohato pīti paṭisaṃviditā hotī’’ti.

    อิทานิ ตมตฺถํ ปาฬิยา เอว วิภาเวตุํ ‘‘วุตฺตเญฺหต’’นฺติอาทิมาหฯ ตตฺถ ทีฆํอสฺสาสวเสนาติอาทีสุ ยํ วตฺตพฺพํ, ตํ เหฎฺฐา วุตฺตเมวฯ ตตฺถ ปน สโตการิตาทสฺสนวเสน ปาฬิ อาคตา, อิธ ปีติปฺปฎิสํวิทิตาวเสนฯ ปีติปฺปฎิสํวิทิตา จ อตฺถโต วิภตฺตา เอวฯ อปิจ อยเมตฺถ สเงฺขปโตฺถ – ทีฆํอสฺสาสวเสนาติ ทีฆสฺส อสฺสาสสฺส อารมฺมณภูตสฺส วเสน ปชานโต สา ปีติ ปฎิสํวิทิตา โหตีติ สมฺพโนฺธฯ จิตฺตสฺส เอกคฺคตํ อวิเกฺขปํ ปชานโตติ ฌานปริยาปนฺนํ อวิเกฺขโปติ ลทฺธนามํ จิตฺตเสฺสกคฺคตํ ตํสมฺปยุตฺตาย ปญฺญาย ปชานโตฯ ยเถว หิ อารมฺมณมุเขน ปีติ ปฎิสํวิทิตา โหติ, เอวํ ตํสมฺปยุตฺตธมฺมาปิ อารมฺมณมุเขน ปฎิสํวิทิตา เอว โหนฺตีติฯ สติ อุปฎฺฐิตา โหตีติ ทีฆํอสฺสาสวเสน ฌานสมฺปยุตฺตา สติ ตสฺส อารมฺมเณ อุปฎฺฐิตา อารมฺมณมุเขน ฌาเนปิ อุปฎฺฐิตา นาม โหติฯ ตาย สติยาติ เอวํ อุปฎฺฐิตาย ตาย สติยา ยถาวุเตฺตน เตน ญาเณน สุปฺปฎิวิทิตตฺตา อารมฺมณสฺส ตสฺส วเสน ตทารมฺมณา สา ปีติ ปฎิสํวิทิตา โหติทีฆํปสฺสาสวเสนาติอาทีสุปิ อิมินาว นเยน อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ

    Idāni tamatthaṃ pāḷiyā eva vibhāvetuṃ ‘‘vuttañheta’’ntiādimāha. Tattha dīghaṃassāsavasenātiādīsu yaṃ vattabbaṃ, taṃ heṭṭhā vuttameva. Tattha pana satokāritādassanavasena pāḷi āgatā, idha pītippaṭisaṃviditāvasena. Pītippaṭisaṃviditā ca atthato vibhattā eva. Apica ayamettha saṅkhepattho – dīghaṃassāsavasenāti dīghassa assāsassa ārammaṇabhūtassa vasena pajānato sā pīti paṭisaṃviditā hotīti sambandho. Cittassa ekaggataṃ avikkhepaṃ pajānatoti jhānapariyāpannaṃ avikkhepoti laddhanāmaṃ cittassekaggataṃ taṃsampayuttāya paññāya pajānato. Yatheva hi ārammaṇamukhena pīti paṭisaṃviditā hoti, evaṃ taṃsampayuttadhammāpi ārammaṇamukhena paṭisaṃviditā eva hontīti. Sati upaṭṭhitā hotīti dīghaṃassāsavasena jhānasampayuttā sati tassa ārammaṇe upaṭṭhitā ārammaṇamukhena jhānepi upaṭṭhitā nāma hoti. Tāya satiyāti evaṃ upaṭṭhitāya tāya satiyā yathāvuttena tena ñāṇena suppaṭividitattā ārammaṇassa tassa vasena tadārammaṇā sā pīti paṭisaṃviditā hoti. Dīghaṃpassāsavasenātiādīsupi imināva nayena attho veditabbo.

    เอวํ ปฐมจตุกฺกวเสน ทสฺสิตํ ปีติปฺปฎิสํเวทนํ อารมฺมณโต อสโมฺมหโต จ วิภาคโส ทเสฺสตุํ ‘‘อาวชฺชโต’’ติอาทิ วุตฺตํฯ ตตฺถ อาวชฺชโตติ ฌานํ อาวเชฺชนฺตสฺสฯ สา ปีตีติ สา ฌานปริยาปนฺนา ปีติฯ ชานโตติ สมาปนฺนกฺขเณ อารมฺมณมุเขน ชานโตฯ ตสฺส สา ปีติ ปฎิสํวิทิตา โหตีติ สมฺพโนฺธฯ ปสฺสโตติ ทสฺสนภูเตน ญาเณน ฌานโต วุฎฺฐาย ปสฺสนฺตสฺสฯ ปจฺจเวกฺขโตติ ฌานํ ปจฺจเวกฺขนฺตสฺสฯ จิตฺตํ อธิฎฺฐหโตติ ‘‘เอตฺตกํ เวลํ ฌานสมงฺคี ภวิสฺสามี’’ติ ฌานจิตฺตํ อธิฎฺฐหนฺตสฺสฯ เอวํ ปญฺจนฺนํ วสีภาวานํ วเสน ฌานสฺส ปชานนมุเขน อารมฺมณโต ปีติยา ปฎิสํเวทนา ทสฺสิตาฯ

    Evaṃ paṭhamacatukkavasena dassitaṃ pītippaṭisaṃvedanaṃ ārammaṇato asammohato ca vibhāgaso dassetuṃ ‘‘āvajjato’’tiādi vuttaṃ. Tattha āvajjatoti jhānaṃ āvajjentassa. Sā pītīti sā jhānapariyāpannā pīti. Jānatoti samāpannakkhaṇe ārammaṇamukhena jānato. Tassa sā pīti paṭisaṃviditā hotīti sambandho. Passatoti dassanabhūtena ñāṇena jhānato vuṭṭhāya passantassa. Paccavekkhatoti jhānaṃ paccavekkhantassa. Cittaṃ adhiṭṭhahatoti ‘‘ettakaṃ velaṃ jhānasamaṅgī bhavissāmī’’ti jhānacittaṃ adhiṭṭhahantassa. Evaṃ pañcannaṃ vasībhāvānaṃ vasena jhānassa pajānanamukhena ārammaṇato pītiyā paṭisaṃvedanā dassitā.

    อิทานิ เยหิ ธเมฺมหิ ฌานํ วิปสฺสนา จ สิชฺฌนฺติ, เตสํ ฌานปริยาปนฺนานํ วิปสฺสนามคฺคปริยาปนฺนานญฺจ สทฺธาทีนํ วเสน ปีติปฺปฎิสํเวทนํ ทเสฺสตุํ ‘‘สทฺธาย อธิมุจฺจโต’’ติอาทิ วุตฺตํฯ ตตฺถ อธิมุจฺจโตติ สทฺทหนฺตสฺส, สมถวิปสฺสนาวเสนาติ อธิปฺปาโยฯ วีริยํ ปคฺคณฺหโตติอาทีสุปิ เอเสว นโยฯ อภิเญฺญยฺยนฺติ อภิวิสิฎฺฐาย ปญฺญาย ชานิตพฺพํฯ อภิชานโตติ วิปสฺสนาปญฺญาปุพฺพงฺคมาย มคฺคปญฺญาย ชานโตฯ ปริเญฺญยฺยนฺติ ทุกฺขสจฺจํ ตีรณปริญฺญาย มคฺคปญฺญาย จ ปริชานโตฯ ปหาตพฺพนฺติ สมุทยสจฺจํ ปหานปริญฺญาย มคฺคปญฺญาย จ ปชหโตภาวยโต สจฺฉิกโรโต ภาเวตพฺพํ มคฺคสจฺจํ, สจฺฉิกาตพฺพํ นิโรธสจฺจํฯ เกจิ ปเนตฺถ ปีติยา เอว วเสน อภิเญฺญยฺยาทีนิ อุทฺธรนฺติ, ตํ อยุตฺตํ ฌานาทิสมุทายํ อุทฺธริตฺวา ตโต ปีติยา นิทฺธารณสฺส อธิเปฺปตตฺตาฯ

    Idāni yehi dhammehi jhānaṃ vipassanā ca sijjhanti, tesaṃ jhānapariyāpannānaṃ vipassanāmaggapariyāpannānañca saddhādīnaṃ vasena pītippaṭisaṃvedanaṃ dassetuṃ ‘‘saddhāya adhimuccato’’tiādi vuttaṃ. Tattha adhimuccatoti saddahantassa, samathavipassanāvasenāti adhippāyo. Vīriyaṃ paggaṇhatotiādīsupi eseva nayo. Abhiññeyyanti abhivisiṭṭhāya paññāya jānitabbaṃ. Abhijānatoti vipassanāpaññāpubbaṅgamāya maggapaññāya jānato. Pariññeyyanti dukkhasaccaṃ tīraṇapariññāya maggapaññāya ca parijānato. Pahātabbanti samudayasaccaṃ pahānapariññāya maggapaññāya ca pajahato. Bhāvayato sacchikaroto bhāvetabbaṃ maggasaccaṃ, sacchikātabbaṃ nirodhasaccaṃ. Keci panettha pītiyā eva vasena abhiññeyyādīni uddharanti, taṃ ayuttaṃ jhānādisamudāyaṃ uddharitvā tato pītiyā niddhāraṇassa adhippetattā.

    เอตฺถ จ ‘‘ทีฆํอสฺสาสวเสนา’’ติอาทินา ปฐมจตุกฺกวเสน อารมฺมณโต ปีติปฺปฎิสํเวทนํ วุตฺตํ, ตถา ‘‘อาวชฺชโต’’ติอาทีหิ ปญฺจหิ ปเทหิฯ ‘‘อภิเญฺญยฺยํ อภิชานโต’’ติอาทีหิ ปน อสโมฺมหโต, ‘‘สทฺธาย อธิมุจฺจโต’’ติอาทีหิ อุภยถาปิ สเงฺขปโต สมถวเสน อารมฺมณโต วิปสฺสนาวเสน อสโมฺมหโต ปีติปฺปฎิสํเวทนํ วุตฺตนฺติ ทฎฺฐพฺพํฯ กสฺมา ปเนตฺถ เวทนานุปสฺสนายํ ปีติสีเสน เวทนา คหิตา, น สรูปโต เอวาติ? ภูมิวิภาคาทิวเสน เวทนํ ภินฺทิตฺวา จตุธา เวทนานุปสฺสนํ ทเสฺสตุํฯ อปิจ เวทนากมฺมฎฺฐานํ ทเสฺสโนฺต ภควา ปีติยา โอฬาริกตฺตา ตํสมฺปยุตฺตสุขํ สุขคฺคหณตฺถํ ปีติสีเสน ทเสฺสติฯ

    Ettha ca ‘‘dīghaṃassāsavasenā’’tiādinā paṭhamacatukkavasena ārammaṇato pītippaṭisaṃvedanaṃ vuttaṃ, tathā ‘‘āvajjato’’tiādīhi pañcahi padehi. ‘‘Abhiññeyyaṃ abhijānato’’tiādīhi pana asammohato, ‘‘saddhāya adhimuccato’’tiādīhi ubhayathāpi saṅkhepato samathavasena ārammaṇato vipassanāvasena asammohato pītippaṭisaṃvedanaṃ vuttanti daṭṭhabbaṃ. Kasmā panettha vedanānupassanāyaṃ pītisīsena vedanā gahitā, na sarūpato evāti? Bhūmivibhāgādivasena vedanaṃ bhinditvā catudhā vedanānupassanaṃ dassetuṃ. Apica vedanākammaṭṭhānaṃ dassento bhagavā pītiyā oḷārikattā taṃsampayuttasukhaṃ sukhaggahaṇatthaṃ pītisīsena dasseti.

    เอเตเนว นเยน อวเสสปทานีติ สุขปฺปฎิสํเวที จิตฺตสงฺขารปฺปฎิสํเวทีติ ปทานิ ปีติปฺปฎิสํเวที-ปเท อาคตนเยเนว อตฺถโต เวทิตพฺพานิฯ สกฺกา หิ ‘‘ทฺวีหากาเรหิ สุขปฺปฎิสํวิทิตา โหติ, จิตฺตสงฺขารปฺปฎิสํวิทิตา โหติ อารมฺมณโต’’ติอาทินา ปีติฎฺฐาเน สุขาทิปทานิ ปกฺขิปิตฺวา ‘‘สุขสหคตานิ ตีณิ ฌานานิ จตฺตาริ วา ฌานานิ สมาปชฺชตี’’ติอาทินา อตฺถํ วิญฺญาตุํฯ เตนาห ‘‘ติณฺณํ ฌานานํ วเสนา’’ติอาทิฯ เวทนาทโยติ อาทิ-สเทฺทน สญฺญา คหิตาฯ เตนาห ‘‘เทฺว ขนฺธา’’ติฯ วิปสฺสนาภูมิทสฺสนตฺถนฺติ ปกิณฺณกสงฺขารสมฺมสนวเสน วิปสฺสนาย ภูมิทสฺสนตฺถํ ‘‘สุขนฺติ เทฺว สุขานี’’ติอาทิ วุตฺตํ สมเถ กายิกสุขาภาวโตฯ โสติ โส ปสฺสมฺภนปริยาเยน วุโตฺต นิโรโธฯ ‘‘อิมสฺส หิ ภิกฺขุโน อปริคฺคหิตกาเล’’ติอาทินา วิตฺถารโต กายสงฺขาเร วุโตฺต, ตสฺมา ตตฺถ วุตฺตนเยเนว เวทิตโพฺพฯ ตตฺถ กายสงฺขารวเสน อาคโต, อิธ จิตฺตสงฺขารวเสนาติ อยเมว วิเสโสฯ

    Eteneva nayena avasesapadānīti sukhappaṭisaṃvedī cittasaṅkhārappaṭisaṃvedīti padāni pītippaṭisaṃvedī-pade āgatanayeneva atthato veditabbāni. Sakkā hi ‘‘dvīhākārehi sukhappaṭisaṃviditā hoti, cittasaṅkhārappaṭisaṃviditā hoti ārammaṇato’’tiādinā pītiṭṭhāne sukhādipadāni pakkhipitvā ‘‘sukhasahagatāni tīṇi jhānāni cattāri vā jhānāni samāpajjatī’’tiādinā atthaṃ viññātuṃ. Tenāha ‘‘tiṇṇaṃ jhānānaṃ vasenā’’tiādi. Vedanādayoti ādi-saddena saññā gahitā. Tenāha ‘‘dve khandhā’’ti. Vipassanābhūmidassanatthanti pakiṇṇakasaṅkhārasammasanavasena vipassanāya bhūmidassanatthaṃ ‘‘sukhanti dve sukhānī’’tiādi vuttaṃ samathe kāyikasukhābhāvato. Soti so passambhanapariyāyena vutto nirodho. ‘‘Imassa hi bhikkhuno apariggahitakāle’’tiādinā vitthārato kāyasaṅkhāre vutto, tasmā tattha vuttanayeneva veditabbo. Tattha kāyasaṅkhāravasena āgato, idha cittasaṅkhāravasenāti ayameva viseso.

    เอวํ จิตฺตสงฺขารสฺส ปสฺสมฺภนํ อติเทเสน ทเสฺสตฺวา ยทญฺญํ อิมสฺมิํ จตุเกฺก วตฺตพฺพํ, ตํ ทเสฺสตุํ ‘‘อปิจา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ ตตฺถ ปีติปเทติ ‘‘ปีติปฺปฎิสํเวที’’ติอาทินา เทสิตโกฎฺฐาเสฯ ปีติสีเสน เวทนา วุตฺตาติ ปีติอปเทเสน ตํสมฺปยุตฺตา เวทนา วุตฺตา, น ปีตีติ อธิปฺปาโยฯ ตตฺถ การณํ เหฎฺฐา วุตฺตเมวฯ ทฺวีสุ จิตฺตสงฺขารปเทสูติ ‘‘จิตฺตสงฺขารปฺปฎิสํเวที ปสฺสมฺภยํ จิตฺตสงฺขาร’’นฺติ จิตฺตสงฺขารปฎิสํยุเตฺตสุ ทฺวีสุ ปเทสุฯ ‘‘วิญฺญาณปจฺจยา นามรูป’’นฺติ วจนโต จิเตฺตน ปฎิพทฺธาติ จิตฺตปฎิพทฺธาฯ ตโต เอว กามํ จิเตฺตน สงฺขรียนฺตีติ จิตฺตสงฺขารา, สญฺญาเวทนาทโย, อิธ ปน อุปลกฺขณมตฺตํ, สญฺญาเวทนาว อธิเปฺปตาติ อาห ‘‘สญฺญาสมฺปยุตฺตา เวทนา’’ติฯ

    Evaṃ cittasaṅkhārassa passambhanaṃ atidesena dassetvā yadaññaṃ imasmiṃ catukke vattabbaṃ, taṃ dassetuṃ ‘‘apicā’’tiādi vuttaṃ. Tattha pītipadeti ‘‘pītippaṭisaṃvedī’’tiādinā desitakoṭṭhāse. Pītisīsena vedanā vuttāti pītiapadesena taṃsampayuttā vedanā vuttā, na pītīti adhippāyo. Tattha kāraṇaṃ heṭṭhā vuttameva. Dvīsu cittasaṅkhārapadesūti ‘‘cittasaṅkhārappaṭisaṃvedī passambhayaṃ cittasaṅkhāra’’nti cittasaṅkhārapaṭisaṃyuttesu dvīsu padesu. ‘‘Viññāṇapaccayā nāmarūpa’’nti vacanato cittena paṭibaddhāti cittapaṭibaddhā. Tato eva kāmaṃ cittena saṅkharīyantīti cittasaṅkhārā, saññāvedanādayo, idha pana upalakkhaṇamattaṃ, saññāvedanāva adhippetāti āha ‘‘saññāsampayuttā vedanā’’ti.

    จิตฺตปฺปฎิสํเวทีติ เอตฺถ ทฺวีหากาเรหิ จิตฺตปฎิสํวิทิตา โหติ อารมฺมณโต อสโมฺมหโต จฯ กถํ อารมฺมณโต? จตฺตาริ ฌานานิ สมาปชฺชติ, ตสฺส สมาปตฺติกฺขเณ ฌานปฎิลาเภนาติอาทินา วุตฺตนยานุสาเรน สพฺพํ สุวิเญฺญยฺยนฺติ อาห – ‘‘จตุนฺนํ ฌานานํ วเสน จิตฺตปฎิสํวิทิตา เวทิตพฺพา’’ติฯ จิตฺตํ โมเทโนฺตติ ฌานสมฺปยุตฺตํ จิตฺตํ สมฺปยุตฺตาย ปีติยา โมทยมาโน, ตํ วา ปีติํ อารมฺมณํ กตฺวา ปวตฺตํ วิปสฺสนาจิตฺตํ ตาย เอว อารมฺมณภูตาย ปีติยาโมทยมาโนฯ ปโมเทโนฺตติอาทีนิ ปทานิ ตเสฺสว เววจนานิ ปีติปริยายภาวโตฯ

    Cittappaṭisaṃvedīti ettha dvīhākārehi cittapaṭisaṃviditā hoti ārammaṇato asammohato ca. Kathaṃ ārammaṇato? Cattāri jhānāni samāpajjati, tassa samāpattikkhaṇe jhānapaṭilābhenātiādinā vuttanayānusārena sabbaṃ suviññeyyanti āha – ‘‘catunnaṃ jhānānaṃ vasena cittapaṭisaṃviditā veditabbā’’ti. Cittaṃ modentoti jhānasampayuttaṃ cittaṃ sampayuttāya pītiyā modayamāno, taṃ vā pītiṃ ārammaṇaṃ katvā pavattaṃ vipassanācittaṃ tāya eva ārammaṇabhūtāya pītiyāmodayamāno. Pamodentotiādīni padāni tasseva vevacanāni pītipariyāyabhāvato.

    สมฺปยุตฺตาย ปีติยา จิตฺตํ อาโมเทตีติ ฌานจิตฺตสมฺปยุตฺตาย ปีติสโมฺพชฺฌงฺคภูตาย โอทคฺยลกฺขณาย ฌานปีติยา ตเมว ฌานจิตฺตํ สหชาตาทิปจฺจยวเสน เจว ฌานปจฺจยวเสน จ ปริพฺรูเหโนฺต หฎฺฐปฺปหฎฺฐาการํ ปาเปโนฺต อาโมเทติ ปโมเทติ จฯ อารมฺมณํ กตฺวาติ อุฬารํ ฌานสมฺปยุตฺตํ ปีติํ อารมฺมณํ กตฺวา ปวตฺตมานํ วิปสฺสนาจิตฺตํ ตาย เอว อารมฺมณภูตาย ปีติยา โยคาวจโร หฎฺฐปฺปหฎฺฐาการํ ปาเปโนฺต ‘‘อาโมเทติ ปโมเทตี’’ติ วุจฺจติฯ

    Sampayuttāya pītiyā cittaṃ āmodetīti jhānacittasampayuttāya pītisambojjhaṅgabhūtāya odagyalakkhaṇāya jhānapītiyā tameva jhānacittaṃ sahajātādipaccayavasena ceva jhānapaccayavasena ca paribrūhento haṭṭhappahaṭṭhākāraṃ pāpento āmodeti pamodeti ca. Ārammaṇaṃ katvāti uḷāraṃ jhānasampayuttaṃ pītiṃ ārammaṇaṃ katvā pavattamānaṃ vipassanācittaṃ tāya eva ārammaṇabhūtāya pītiyā yogāvacaro haṭṭhappahaṭṭhākāraṃ pāpento ‘‘āmodeti pamodetī’’ti vuccati.

    สมํ ฐเปโนฺตติ ยถา อีสกมฺปิ ลีนปกฺขํ อุทฺธจฺจปกฺขญฺจ อนุปคฺคมฺม อโนนตํ อนุนฺนตํ ยถา อินฺทฺริยานํ สมตฺตปฎิปตฺติยา อวิสมํ, สมาธิสฺส วา อุกฺกํสคมเนน อาเนญฺชปฺปตฺติยา สมฺมเทว ฐิตํ โหติ, เอวํ อปฺปนาวเสน ฐเปโนฺตฯ ลกฺขณปฺปฎิเวเธนาติ อนิจฺจาทิกสฺส ลกฺขณสฺส ปฎิ ปฎิ วิชฺฌเนน ขเณ ขเณ อวโพเธนฯ ขณิกจิเตฺตกคฺคตาติ ขณมตฺตฎฺฐิติโก สมาธิฯ โสปิ หิ อารมฺมเณ นิรนฺตรํ เอกากาเรน ปวตฺตมาโน ปฎิปเกฺขน อนภิภูโต อปฺปิโต วิย จิตฺตํ นิจฺจลํ ฐเปติฯ เตน วุตฺตํ ‘‘เอวํ อุปฺปนฺนายา’’ติอาทิฯ

    Samaṃṭhapentoti yathā īsakampi līnapakkhaṃ uddhaccapakkhañca anupaggamma anonataṃ anunnataṃ yathā indriyānaṃ samattapaṭipattiyā avisamaṃ, samādhissa vā ukkaṃsagamanena āneñjappattiyā sammadeva ṭhitaṃ hoti, evaṃ appanāvasena ṭhapento. Lakkhaṇappaṭivedhenāti aniccādikassa lakkhaṇassa paṭi paṭi vijjhanena khaṇe khaṇe avabodhena. Khaṇikacittekaggatāti khaṇamattaṭṭhitiko samādhi. Sopi hi ārammaṇe nirantaraṃ ekākārena pavattamāno paṭipakkhena anabhibhūto appito viya cittaṃ niccalaṃ ṭhapeti. Tena vuttaṃ ‘‘evaṃ uppannāyā’’tiādi.

    โมเจโนฺตติ วิกฺขมฺภนวิมุตฺติวเสน วิเวเจโนฺต วิสุํ กโรโนฺต, นีวรณานิ ปชหโนฺตติ อโตฺถฯ วิปสฺสนากฺขเณติ ภงฺคานุปสฺสนากฺขเณฯ ภโงฺค หิ นาม อนิจฺจตาย ปรมา โกฎิ, ตสฺมา ตาย ภงฺคานุปสฺสโก โยคาวจโร จิตฺตมุเขน สพฺพํ สงฺขารคตํ อนิจฺจโต ปสฺสติ, โน นิจฺจโต, อนิจฺจสฺส ทุกฺขตฺตา ทุกฺขสฺส จ อนตฺตตฺตา ตเทว ทุกฺขโต อนุปสฺสติ, โน สุขโต, อนตฺตโต อนุปสฺสติ, โน อตฺตโตฯ ยสฺมา ปน ยํ อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา, น ตํ อภินนฺทิตพฺพํ, ยญฺจ น อภินนฺทิตพฺพํ, น ตํ รญฺชิตพฺพํ, ตสฺมา ภงฺคทสฺสนานุสาเรน ‘‘อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา’’ติ สงฺขารคเต ทิเฎฺฐ ตสฺมิํ นิพฺพินฺทติ, โน นนฺทติ, วิรชฺชติ, โน รชฺชติ, โส เอวํ นิพฺพินฺทโนฺต วิรชฺชโนฺต โลกิเยเนว ตาว ญาเณน ราคํ นิโรเธติ โน สมุเทติ, นาสฺส สมุทยํ กโรตีติ อโตฺถฯ อถ วา โส เอวํ วิรโตฺต ยถา ทิฎฺฐํ สงฺขารคตํ, ตํ ตถา ทิฎฺฐํ อตฺตโน ญาเณน นิโรเธติ โน สมุเทติ, นิโรธเมวสฺส มนสิ กโรติ, โน สมุทยนฺติ อโตฺถ, โส เอวํ ปฎิปโนฺน ปฎินิสฺสชฺชติ, โน อาทิยตีติ วุตฺตํ โหติฯ อยญฺหิ อนิจฺจาทิอนุปสฺสนา สทฺธิํ ขนฺธาภิสงฺขาเรหิ กิเลสานํ ปริจฺจชนโต สงฺขตโทสทสฺสเนน ตพฺพิปรีเต นิพฺพาเน ตนฺนินฺนตาย ปกฺขนฺทนโต จ ปริจฺจาคปฎินิสฺสโคฺค เจว ปกฺขนฺทนปฎินิสฺสโคฺค จาติ วุจฺจติฯ ตสฺมา ตาย สมนฺนาคโต โยคาวจโร วุตฺตนเยน กิเลเส จ ปริจฺจชติ, นิพฺพาเน จ ปกฺขนฺทติฯ เตน วุตฺตํ ‘‘โส วิปสฺสนากฺขเณ อนิจฺจานุปสฺสนาย นิจฺจสญฺญาโต จิตฺตํ โมเจโนฺต วิโมเจโนฺต…เป.… ปฎินิสฺสคฺคานุปสฺสนาย อาทานโต จิตฺตํ โมเจโนฺต วิโมเจโนฺต อสฺสสติ เจว ปสฺสสติ จา’’ติฯ

    Mocentoti vikkhambhanavimuttivasena vivecento visuṃ karonto, nīvaraṇāni pajahantoti attho. Vipassanākkhaṇeti bhaṅgānupassanākkhaṇe. Bhaṅgo hi nāma aniccatāya paramā koṭi, tasmā tāya bhaṅgānupassako yogāvacaro cittamukhena sabbaṃ saṅkhāragataṃ aniccato passati, no niccato, aniccassa dukkhattā dukkhassa ca anattattā tadeva dukkhato anupassati, no sukhato, anattato anupassati, no attato. Yasmā pana yaṃ aniccaṃ dukkhaṃ anattā, na taṃ abhinanditabbaṃ, yañca na abhinanditabbaṃ, na taṃ rañjitabbaṃ, tasmā bhaṅgadassanānusārena ‘‘aniccaṃ dukkhaṃ anattā’’ti saṅkhāragate diṭṭhe tasmiṃ nibbindati, no nandati, virajjati, no rajjati, so evaṃ nibbindanto virajjanto lokiyeneva tāva ñāṇena rāgaṃ nirodheti no samudeti, nāssa samudayaṃ karotīti attho. Atha vā so evaṃ viratto yathā diṭṭhaṃ saṅkhāragataṃ, taṃ tathā diṭṭhaṃ attano ñāṇena nirodheti no samudeti, nirodhamevassa manasi karoti, no samudayanti attho, so evaṃ paṭipanno paṭinissajjati, no ādiyatīti vuttaṃ hoti. Ayañhi aniccādianupassanā saddhiṃ khandhābhisaṅkhārehi kilesānaṃ pariccajanato saṅkhatadosadassanena tabbiparīte nibbāne tanninnatāya pakkhandanato ca pariccāgapaṭinissaggo ceva pakkhandanapaṭinissaggoti vuccati. Tasmā tāya samannāgato yogāvacaro vuttanayena kilese ca pariccajati, nibbāne ca pakkhandati. Tena vuttaṃ ‘‘so vipassanākkhaṇe aniccānupassanāya niccasaññāto cittaṃ mocento vimocento…pe… paṭinissaggānupassanāya ādānato cittaṃ mocento vimocento assasati ceva passasati cā’’ti.

    ตตฺถ อนิจฺจสฺส, อนิจฺจนฺติ วา อนุปสฺสนา อนิจฺจานุปสฺสนาฯ เตภูมกธมฺมานํ อนิจฺจตํ คเหตฺวา ปวตฺตาย วิปสฺสนาย เอตํ นามํฯ นิจฺจสญฺญาโตติ สงฺขตธเมฺม ‘‘นิจฺจา สสฺสตา’’ติ ปวตฺตาย มิจฺฉาสญฺญายฯ สญฺญาสีเสน จิตฺตทิฎฺฐีนมฺปิ คหณํ ทฎฺฐพฺพํฯ เอส นโย สุขสญฺญาทีสุปิฯ นิพฺพิทานุปสฺสนายาติ สงฺขาเรสุ นิพฺพินฺทนากาเรน ปวตฺตาย อนุปสฺสนาย ฯ นนฺทิโตติ สปฺปีติกตณฺหาโตฯ วิราคานุปสฺสนายาติ ตถา วิรชฺชนากาเรน ปวตฺตาย อนุปสฺสนายฯ เตน วุตฺตํ ‘‘ราคโต โมเจโนฺต’’ติฯ นิโรธานุปสฺสนายาติ สงฺขารานํ นิโรธสฺส อนุปสฺสนายฯ ยถา สงฺขารา นิรุชฺฌนฺติเยว อายติํ ปุนพฺภววเสน นุปฺปชฺชนฺติ, เอวํ วา อนุปสฺสนา นิโรธานุปสฺสนาฯ มุญฺจิตุกมฺยตา หิ อยํ พลปฺปตฺตาฯ เตนาห ‘‘สมุทยโต โมเจโนฺต’’ติฯ ปฎินิสฺสชฺชนากาเรน ปวตฺตา อนุปสฺสนา ปฎินิสฺสคฺคานุปสฺสนาอาทานโตติ นิจฺจาทิวเสน คหณโต, ปฎิสนฺธิคฺคหณโต วาติ เอวเมตฺถ อโตฺถ ทฎฺฐโพฺพฯ

    Tattha aniccassa, aniccanti vā anupassanā aniccānupassanā. Tebhūmakadhammānaṃ aniccataṃ gahetvā pavattāya vipassanāya etaṃ nāmaṃ. Niccasaññātoti saṅkhatadhamme ‘‘niccā sassatā’’ti pavattāya micchāsaññāya. Saññāsīsena cittadiṭṭhīnampi gahaṇaṃ daṭṭhabbaṃ. Esa nayo sukhasaññādīsupi. Nibbidānupassanāyāti saṅkhāresu nibbindanākārena pavattāya anupassanāya . Nanditoti sappītikataṇhāto. Virāgānupassanāyāti tathā virajjanākārena pavattāya anupassanāya. Tena vuttaṃ ‘‘rāgato mocento’’ti. Nirodhānupassanāyāti saṅkhārānaṃ nirodhassa anupassanāya. Yathā saṅkhārā nirujjhantiyeva āyatiṃ punabbhavavasena nuppajjanti, evaṃ vā anupassanā nirodhānupassanā. Muñcitukamyatā hi ayaṃ balappattā. Tenāha ‘‘samudayato mocento’’ti. Paṭinissajjanākārena pavattā anupassanā paṭinissaggānupassanā. Ādānatoti niccādivasena gahaṇato, paṭisandhiggahaṇato vāti evamettha attho daṭṭhabbo.

    อนิจฺจนฺติ อนุปสฺสี, อนิจฺจสฺส วา อนุปสฺสนสีโล อนิจฺจานุปสฺสีติ เอตฺถ กิํ ปน ตํ อนิจฺจํ, กถํ วา อนิจฺจํ, กา วา อนิจฺจานุปสฺสนา, กสฺส วา อนิจฺจานุปสฺสนาติ จตุกฺกํ วิภาเวตพฺพนฺติ ตํ ทเสฺสโนฺต ‘‘อนิจฺจํ เวทิตพฺพ’’นฺติอาทิมาหฯ ตตฺถ นิจฺจํ นาม ธุวํ สสฺสตํ ยถา ตํ นิพฺพานํ, น นิจฺจนฺติ อนิจฺจํ, อุทยพฺพยวนฺตํ, อตฺถโต สงฺขตา ธมฺมาติ อาห อนิจฺจนฺติ ปญฺจกฺขนฺธาฯ กสฺมา? อุปฺปาทวยญฺญถตฺตภาวาติ, อุปฺปาทวยญฺญถตฺตสพฺภาวาติ อโตฺถฯ ตตฺถ สงฺขตธมฺมานํ เหตุปจฺจเยหิ อุปฺปชฺชนํ อหุตฺวา สมฺภโว อตฺตลาโภ อุปฺปาโท, อุปฺปนฺนานํ เตสํ ขณนิโรโธ วินาโส วโย, ชราย อญฺญถาภาโว อญฺญถตฺตํฯ ยถา หิ อุปฺปาทาวตฺถาย ภินฺนาย ภงฺคาวตฺถายํ วตฺถุเภโท นตฺถิ, เอวํ ฐิติสงฺขาตายํ ภงฺคาภิมุขาวตฺถายมฺปิ วตฺถุเภโท นตฺถิฯ ยตฺถ ชราโวหาโร, ตสฺมา เอกสฺสปิ ธมฺมสฺส ชรา ยุชฺชติ, ยา ขณิกชราติ วุจฺจติฯ เอกํเสน จ อุปฺปาทภงฺคาวตฺถาสุ วตฺถุโน อเภโท อิจฺฉิตโพฺพ, อญฺญถา ‘‘อโญฺญ อุปฺปชฺชติ, อโญฺญ ภิชฺชตี’’ติ อาปเชฺชยฺยฯ ตยิทํ ขณิกชรํ สนฺธายาห ‘‘อญฺญถตฺต’’นฺติฯ

    Aniccanti anupassī, aniccassa vā anupassanasīlo aniccānupassīti ettha kiṃ pana taṃ aniccaṃ, kathaṃ vā aniccaṃ, kā vā aniccānupassanā, kassa vā aniccānupassanāti catukkaṃ vibhāvetabbanti taṃ dassento ‘‘aniccaṃ veditabba’’ntiādimāha. Tattha niccaṃ nāma dhuvaṃ sassataṃ yathā taṃ nibbānaṃ, na niccanti aniccaṃ, udayabbayavantaṃ, atthato saṅkhatā dhammāti āha aniccanti pañcakkhandhā. Kasmā? Uppādavayaññathattabhāvāti, uppādavayaññathattasabbhāvāti attho. Tattha saṅkhatadhammānaṃ hetupaccayehi uppajjanaṃ ahutvā sambhavo attalābho uppādo, uppannānaṃ tesaṃ khaṇanirodho vināso vayo, jarāya aññathābhāvo aññathattaṃ. Yathā hi uppādāvatthāya bhinnāya bhaṅgāvatthāyaṃ vatthubhedo natthi, evaṃ ṭhitisaṅkhātāyaṃ bhaṅgābhimukhāvatthāyampi vatthubhedo natthi. Yattha jarāvohāro, tasmā ekassapi dhammassa jarā yujjati, yā khaṇikajarāti vuccati. Ekaṃsena ca uppādabhaṅgāvatthāsu vatthuno abhedo icchitabbo, aññathā ‘‘añño uppajjati, añño bhijjatī’’ti āpajjeyya. Tayidaṃ khaṇikajaraṃ sandhāyāha ‘‘aññathatta’’nti.

    ยสฺส ลกฺขณตฺตยสฺส ภาวา ขเนฺธสุ อนิจฺจสมญฺญา, ตสฺมิํ ลกฺขณตฺตเย อนิจฺจตา สมญฺญาติ ‘‘อนิจฺจตาติ เตสํเยว อุปฺปาทวยญฺญถตฺต’’นฺติ วตฺวา วิเสสโต ธมฺมานํ ขณิกนิโรเธ อนิจฺจตาโวหาโรติ ทเสฺสโนฺต ‘‘หุตฺวา อภาโว วา’’ติอาทิมาหฯ ตตฺถ อุปฺปาทปุพฺพกตฺตา อภาวสฺส หุตฺวา-คหณํฯ เตน ปากฎภาวปุพฺพกตฺตํ วินาสภาวสฺส ทเสฺสติฯ เตเนวากาเรนาติ นิพฺพตฺตนากาเรนฯ ขณภเงฺคนาติ ขณิกนิโรเธนฯ ตสฺสา อนิจฺจตายาติ ขณิกภงฺคสงฺขาตาย อนิจฺจตายฯ ตาย อนุปสฺสนายาติ ยถาวุตฺตาย อนิจฺจานุปสฺสนายฯ สมนฺนาคโตติ สมงฺคิภูโต โยคาวจโรฯ

    Yassa lakkhaṇattayassa bhāvā khandhesu aniccasamaññā, tasmiṃ lakkhaṇattaye aniccatā samaññāti ‘‘aniccatāti tesaṃyeva uppādavayaññathatta’’nti vatvā visesato dhammānaṃ khaṇikanirodhe aniccatāvohāroti dassento ‘‘hutvā abhāvo vā’’tiādimāha. Tattha uppādapubbakattā abhāvassa hutvā-gahaṇaṃ. Tena pākaṭabhāvapubbakattaṃ vināsabhāvassa dasseti. Tenevākārenāti nibbattanākārena. Khaṇabhaṅgenāti khaṇikanirodhena. Tassā aniccatāyāti khaṇikabhaṅgasaṅkhātāya aniccatāya. Tāya anupassanāyāti yathāvuttāya aniccānupassanāya. Samannāgatoti samaṅgibhūto yogāvacaro.

    ขโยติ สงฺขารานํ วินาโสฯ วิรชฺชนํ เตสํเยว วิลุชฺชนํ วิราโค, ขโย เอว วิราโค ขยวิราโค, ขณิกนิโรโธฯ อจฺจนฺตเมตฺถ เอตสฺมิํ อธิคเต สงฺขารา วิรชฺชนฺติ นิรุชฺฌนฺตีติ อจฺจนฺตวิราโค, นิพฺพานํฯ เตนาห ‘‘ขยวิราโคติ สงฺขารานํ ขณภโงฺคฯ อจฺจนฺตวิราโคติ นิพฺพาน’’นฺติฯ ตทุภยทสฺสนวเสน ปวตฺตาติ ขยวิราคานุปสฺสนาวเสน วิปสฺสนาย, อจฺจนฺตวิราคานุปสฺสนาวเสน มคฺคสฺส ปวตฺติ โยเชตพฺพาฯ อารมฺมณโต วา วิปสฺสนาย ขยวิราคานุปสฺสนาวเสน ปวตฺติ, ตนฺนินฺนภาวโต อจฺจนฺตวิราคานุปสฺสนาวเสน, มคฺคสฺส ปน อสโมฺมหโต ขยวิราคานุปสฺสนาวเสน, อารมฺมณโต อจฺจนฺตวิราคานุปสฺสนาวเสน ปวตฺติ เวทิตพฺพาฯ เอเสว นโยติ อิมินา ยสฺมา วิราคานุปสฺสีปเท วุตฺตนยานุสาเรน ‘‘เทฺว นิโรธา ขยนิโรโธ จ อจฺจนฺตนิโรโธ จา’’ติ เอวมาทิอตฺถวณฺณนํ อติทิสฺสติ, ตสฺมา วิราคฎฺฐาเน นิโรธปทํ ปกฺขิปิตฺวา ‘‘ขโย สงฺขารานํ วินาโส’’ติอาทินา อิธ วุตฺตนเยน ตสฺส อตฺถวณฺณนา เวทิตพฺพาฯ

    Khayoti saṅkhārānaṃ vināso. Virajjanaṃ tesaṃyeva vilujjanaṃ virāgo, khayo eva virāgo khayavirāgo, khaṇikanirodho. Accantamettha etasmiṃ adhigate saṅkhārā virajjanti nirujjhantīti accantavirāgo, nibbānaṃ. Tenāha ‘‘khayavirāgoti saṅkhārānaṃ khaṇabhaṅgo. Accantavirāgoti nibbāna’’nti. Tadubhayadassanavasena pavattāti khayavirāgānupassanāvasena vipassanāya, accantavirāgānupassanāvasena maggassa pavatti yojetabbā. Ārammaṇato vā vipassanāya khayavirāgānupassanāvasena pavatti, tanninnabhāvato accantavirāgānupassanāvasena, maggassa pana asammohato khayavirāgānupassanāvasena, ārammaṇato accantavirāgānupassanāvasena pavatti veditabbā. Eseva nayoti iminā yasmā virāgānupassīpade vuttanayānusārena ‘‘dve nirodhā khayanirodho ca accantanirodho cā’’ti evamādiatthavaṇṇanaṃ atidissati, tasmā virāgaṭṭhāne nirodhapadaṃ pakkhipitvā ‘‘khayo saṅkhārānaṃ vināso’’tiādinā idha vuttanayena tassa atthavaṇṇanā veditabbā.

    ปฎินิสฺสชฺชนํ ปหาตพฺพสฺส ตทงฺควเสน วา สมุเจฺฉทวเสน วา ปริจฺจชนํ ปริจฺจาคปฎินิสฺสโคฺคฯ ตถา สพฺพุปธีนํ ปฎินิสฺสคฺคภูเต วิสงฺขาเร อตฺตโน นิสฺสชฺชนํ ตนฺนินฺนตาย วา ตทารมฺมณตาย วา ตตฺถ ปกฺขนฺทนํ ปกฺขนฺทนปฎินิสฺสโคฺคตทงฺควเสนาติ เอตฺถ อนิจฺจานุปสฺสนา ตาว ตทงฺคปฺปหานวเสน นิจฺจสญฺญํ ปริจฺจชติ, ปริจฺจชนฺตี จ ตสฺสา ตถา อปฺปวตฺติยํ เย ‘‘นิจฺจ’’นฺติ คหณวเสน กิเลสา ตมฺมูลกา จ อภิสงฺขารา ตทุภยมูลกา จ วิปากกฺขนฺธา อนาคเต อุปฺปเชฺชยฺยุํ, เต สเพฺพปิ อปฺปวตฺติกรณวเสน ปริจฺจชติ, ตถา ทุกฺขสญฺญาทโยฯ เตนาห – ‘‘วิปสฺสนา หิ ตทงฺควเสน สทฺธิํ ขนฺธาภิสงฺขาเรหิ กิเลเส ปริจฺจชตี’’ติฯ สงฺขตโทสทสฺสเนนาติ สงฺขเต เตภูมกสงฺขารคเต อนิจฺจตาทิโทสทสฺสเนนฯ นิจฺจาทิภาเวน ตพฺพิปรีเตตนฺนินฺนตายาติ ตทธิมุตฺตตายฯ ปกฺขนฺทตีติ อนุปวิสติ อนุปวิสนฺตํ วิย โหติฯ สทฺธิํ ขนฺธาภิสงฺขาเรหิ กิเลเส ปริจฺจชตีติ มเคฺคน กิเลเสสุ ปริจฺจเตฺตสุ อวิปากธมฺมตาปาทเนน อภิสงฺขารา ตมฺมูลกา จ ขนฺธา อนุปฺปตฺติรหภาเวน ปริจฺจตฺตา นาม โหนฺตีติ สเพฺพปิ เต มโคฺค ปริจฺจชตีติ วุตฺตํฯ อุภยนฺติ วิปสฺสนาญาณํ มคฺคญาณญฺจฯ มคฺคญาณมฺปิ หิ โคตฺรภุญาณสฺส อนุ ปจฺฉา นิพฺพานทสฺสนโต อนุปสฺสนาติ วุจฺจติฯ

    Paṭinissajjanaṃ pahātabbassa tadaṅgavasena vā samucchedavasena vā pariccajanaṃ pariccāgapaṭinissaggo. Tathā sabbupadhīnaṃ paṭinissaggabhūte visaṅkhāre attano nissajjanaṃ tanninnatāya vā tadārammaṇatāya vā tattha pakkhandanaṃ pakkhandanapaṭinissaggo. Tadaṅgavasenāti ettha aniccānupassanā tāva tadaṅgappahānavasena niccasaññaṃ pariccajati, pariccajantī ca tassā tathā appavattiyaṃ ye ‘‘nicca’’nti gahaṇavasena kilesā tammūlakā ca abhisaṅkhārā tadubhayamūlakā ca vipākakkhandhā anāgate uppajjeyyuṃ, te sabbepi appavattikaraṇavasena pariccajati, tathā dukkhasaññādayo. Tenāha – ‘‘vipassanā hi tadaṅgavasena saddhiṃ khandhābhisaṅkhārehi kilese pariccajatī’’ti. Saṅkhatadosadassanenāti saṅkhate tebhūmakasaṅkhāragate aniccatādidosadassanena. Niccādibhāvena tabbiparīte. Tanninnatāyāti tadadhimuttatāya. Pakkhandatīti anupavisati anupavisantaṃ viya hoti. Saddhiṃ khandhābhisaṅkhārehi kilese pariccajatīti maggena kilesesu pariccattesu avipākadhammatāpādanena abhisaṅkhārā tammūlakā ca khandhā anuppattirahabhāvena pariccattā nāma hontīti sabbepi te maggo pariccajatīti vuttaṃ. Ubhayanti vipassanāñāṇaṃ maggañāṇañca. Maggañāṇampi hi gotrabhuñāṇassa anu pacchā nibbānadassanato anupassanāti vuccati.

    อิทญฺจ จตุตฺถจตุกฺกํ สุทฺธวิปสฺสนาวเสเนว วุตฺตํ, ปุริมานิ ปน ตีณิ สมถวิปสฺสนาวเสนฯ เอวํ จตุนฺนํ จตุกฺกานํ วเสน โสฬสวตฺถุกาย อานาปานสฺสติยา ภาวนา เวทิตพฺพาฯ เอวํ โสฬสวตฺถุวเสน จ อยํ อานาปานสฺสติ ภาวิตา มหปฺผลา โหติ มหานิสํสาติ เวทิตพฺพาฯ ‘‘เอวํ ภาวิโต โข, ภิกฺขเว, อานาปานสฺสติสมาธี’’ติอาทินา ปน สนฺตภาวาทิวเสน มหานิสํสตา ทสฺสิตาฯ วิตกฺกุปเจฺฉทสมตฺถตายปิ จสฺส มหานิสํสตา ทฎฺฐพฺพาฯ อยญฺหิ สนฺตปณีตอเสจนกสุขวิหารตฺตา สมาธิอนฺตรายกรานํ วิตกฺกานํ วเสน อิโต จิโต จ จิตฺตสฺส วิธาวนํ อุปจฺฉินฺทิตฺวา อานาปานารมฺมณาภิมุขเมว จิตฺตํ กโรติฯ เตเนว วุตฺตํ – ‘‘อานาปานสฺสติ ภาเวตพฺพา วิตกฺกุปเจฺฉทายา’’ติ (อ. นิ. ๙.๑; อุทา. ๓๑)ฯ วิชฺชาวิมุตฺติปาริปูริยา มูลภาเวนปิ จสฺสา มหานิสํสตา เวทิตพฺพาฯ วุตฺตเญฺหตํ ภควตา –

    Idañca catutthacatukkaṃ suddhavipassanāvaseneva vuttaṃ, purimāni pana tīṇi samathavipassanāvasena. Evaṃ catunnaṃ catukkānaṃ vasena soḷasavatthukāya ānāpānassatiyā bhāvanā veditabbā. Evaṃ soḷasavatthuvasena ca ayaṃ ānāpānassati bhāvitā mahapphalā hoti mahānisaṃsāti veditabbā. ‘‘Evaṃ bhāvito kho, bhikkhave, ānāpānassatisamādhī’’tiādinā pana santabhāvādivasena mahānisaṃsatā dassitā. Vitakkupacchedasamatthatāyapi cassa mahānisaṃsatā daṭṭhabbā. Ayañhi santapaṇītaasecanakasukhavihārattā samādhiantarāyakarānaṃ vitakkānaṃ vasena ito cito ca cittassa vidhāvanaṃ upacchinditvā ānāpānārammaṇābhimukhameva cittaṃ karoti. Teneva vuttaṃ – ‘‘ānāpānassati bhāvetabbā vitakkupacchedāyā’’ti (a. ni. 9.1; udā. 31). Vijjāvimuttipāripūriyā mūlabhāvenapi cassā mahānisaṃsatā veditabbā. Vuttañhetaṃ bhagavatā –

    ‘‘อานาปานสฺสติ, ภิกฺขเว, ภาวิตา พหุลีกตา จตฺตาโร สติปฎฺฐาเน ปริปูเรติ, จตฺตาโร สติปฎฺฐานา ภาวิตา พหุลีกตา สตฺต โพชฺฌเงฺค ปริปูเรนฺติ, สตฺต โพชฺฌงฺคา ภาวิตา พหุลีกตา วิชฺชาวิมุตฺติํ ปริปูเรนฺตี’’ติ (ม. นิ. ๓.๑๔๗)ฯ

    ‘‘Ānāpānassati, bhikkhave, bhāvitā bahulīkatā cattāro satipaṭṭhāne paripūreti, cattāro satipaṭṭhānā bhāvitā bahulīkatā satta bojjhaṅge paripūrenti, satta bojjhaṅgā bhāvitā bahulīkatā vijjāvimuttiṃ paripūrentī’’ti (ma. ni. 3.147).

    อปิจ จริมกานํ อสฺสาสปสฺสาสานํ วิทิตภาวกรณโตปิสฺสา มหานิสํสตา เวทิตพฺพาฯ วุตฺตเญฺหตํ ภควตา –

    Apica carimakānaṃ assāsapassāsānaṃ viditabhāvakaraṇatopissā mahānisaṃsatā veditabbā. Vuttañhetaṃ bhagavatā –

    ‘‘เอวํ ภาวิตาย, ราหุล, อานาปานสฺสติยา เอวํ พหุลีกตาย เยปิ เต จริมกา อสฺสาสปสฺสาสา, เตปิ วิทิตาว นิรุชฺฌนฺติ, โน อวิทิตา’’ติ (ม. นิ. ๒.๑๒๑)ฯ

    ‘‘Evaṃ bhāvitāya, rāhula, ānāpānassatiyā evaṃ bahulīkatāya yepi te carimakā assāsapassāsā, tepi viditāva nirujjhanti, no aviditā’’ti (ma. ni. 2.121).

    ตตฺถ นิโรธวเสน ตโย จริมกา ภวจริมกา ฌานจริมกา จุติจริมกาติฯ ภเวสุ หิ กามภเว อสฺสาสปสฺสาสา ปวตฺตนฺติ, รูปารูปภเวสุ น ปวตฺตนฺติ, ตสฺมา เต ภวจริมกาฯ ฌาเนสุ ปุริเม ฌานตฺตเย ปวตฺตนฺติ, จตุเตฺถ นปฺปวตฺตนฺติ, ตสฺมา เต ฌานจริมกาฯ เย ปน จุติจิตฺตสฺส ปุรโต โสฬสเมน จิเตฺตน สทฺธิํ อุปฺปชฺชิตฺวา จุติจิเตฺตน สห นิรุชฺฌนฺติ, อิเม จุติจริมกา นามฯ อิเม อิธ จริมกาติ อธิเปฺปตาฯ

    Tattha nirodhavasena tayo carimakā bhavacarimakā jhānacarimakā cuticarimakāti. Bhavesu hi kāmabhave assāsapassāsā pavattanti, rūpārūpabhavesu na pavattanti, tasmā te bhavacarimakā. Jhānesu purime jhānattaye pavattanti, catutthe nappavattanti, tasmā te jhānacarimakā. Ye pana cuticittassa purato soḷasamena cittena saddhiṃ uppajjitvā cuticittena saha nirujjhanti, ime cuticarimakā nāma. Ime idha carimakāti adhippetā.

    อิเม กิร อิมํ กมฺมฎฺฐานมนุยุตฺตสฺส ภิกฺขุโน ปากฎา โหนฺติ อานาปานารมฺมณสฺส สุฎฺฐุ ปริคฺคหิตตฺตาฯ จุติจิตฺตสฺส หิ ปุรโต โสฬสมจิตฺตสฺส อุปฺปาทกฺขเณ อุปฺปาทํ อาวชฺชยโต อุปฺปาโทปิ เนสํ ปากโฎ โหติ, ฐิติํ อาวชฺชยโต ฐิติปิ เนสํ ปากฎา โหติ, ภงฺคํ อาวชฺชยโต ภโงฺคปิ เนสํ ปากโฎ โหติฯ อิโต อญฺญํ กมฺมฎฺฐานํ ภาเวตฺวา อรหตฺตปฺปตฺตสฺส ภิกฺขุโน หิ อายุอนฺตรํ ปริจฺฉินฺนํ วา โหติ อปริจฺฉินฺนํ วา, อิมํ ปน โสฬสวตฺถุกํ อานาปานสฺสติํ ภาเวตฺวา อรหตฺตปฺปตฺตสฺส อายุอนฺตรํ ปริจฺฉินฺนเมว โหติฯ โส ‘‘เอตฺตกํ ทานิ เม อายุสงฺขารา ปวตฺติสฺสนฺติ, น อิโต ปร’’นฺติ ญตฺวา อตฺตโน ธมฺมตาย เอว สรีรปฎิชคฺคนนิวาสนปารุปนาทีนิ สพฺพกิจฺจานิ กตฺวา อกฺขีนิ นิมีเลติ โกฎปพฺพตวิหารวาสิติสฺสเตฺถโร วิย, มหากรญฺชิยวิหารวาสิมหาติสฺสเตฺถโร วิย, เทวปุตฺตรเฎฺฐ ปิณฺฑปาติกเตฺถโร วิย, จิตฺตลปพฺพตวิหารวาสิโน เทฺวภาติกเตฺถรา วิย จฯ

    Ime kira imaṃ kammaṭṭhānamanuyuttassa bhikkhuno pākaṭā honti ānāpānārammaṇassa suṭṭhu pariggahitattā. Cuticittassa hi purato soḷasamacittassa uppādakkhaṇe uppādaṃ āvajjayato uppādopi nesaṃ pākaṭo hoti, ṭhitiṃ āvajjayato ṭhitipi nesaṃ pākaṭā hoti, bhaṅgaṃ āvajjayato bhaṅgopi nesaṃ pākaṭo hoti. Ito aññaṃ kammaṭṭhānaṃ bhāvetvā arahattappattassa bhikkhuno hi āyuantaraṃ paricchinnaṃ vā hoti aparicchinnaṃ vā, imaṃ pana soḷasavatthukaṃ ānāpānassatiṃ bhāvetvā arahattappattassa āyuantaraṃ paricchinnameva hoti. So ‘‘ettakaṃ dāni me āyusaṅkhārā pavattissanti, na ito para’’nti ñatvā attano dhammatāya eva sarīrapaṭijaggananivāsanapārupanādīni sabbakiccāni katvā akkhīni nimīleti koṭapabbatavihāravāsitissatthero viya, mahākarañjiyavihāravāsimahātissatthero viya, devaputtaraṭṭhe piṇḍapātikatthero viya, cittalapabbatavihāravāsino dvebhātikattherā viya ca.

    ตตฺริทํ เอกวตฺถุปริทีปนํ – เทฺวภาติกเตฺถรานํ กิเรโก ปุณฺณมุโปสถทิวเส ปาติโมกฺขํ โอสาเรตฺวา ภิกฺขุสงฺฆปริวุโต อตฺตโน วสนฎฺฐานํ คนฺตฺวา จงฺกเม ฐิโต ชุณฺหปเกฺข ปโทสเวลายํ จนฺทาโลเกน สมนฺตโต อาสิญฺจมานขีรธารํ วิย คคนตลํ รชตปฎฺฎสทิสํ วาลิกาสนฺถตญฺจ ภูมิภาคํ ทิสฺวา ‘‘รมณีโย วตายํ กาโล, เทโส จ มม อชฺฌาสยสทิโส, กีว จิรํ นุ โข อยํ ทุกฺขภาโร วหิตโพฺพ’’ติ อตฺตโน อายุสงฺขาเร อุปธาเรตฺวา ภิกฺขุสงฺฆํ อาห – ‘‘ตุเมฺหหิ กถํ ปรินิพฺพายนฺตา ภิกฺขู ทิฎฺฐปุพฺพา’’ติฯ ตตฺร เกจิ อาหํสุ – ‘‘อเมฺหหิ อาสเน นิสินฺนกาว ปรินิพฺพายนฺตา ทิฎฺฐปุพฺพา’’ติฯ เกจิ ‘‘อเมฺหหิ อากาเส ปลฺลงฺกํ อาภุชิตฺวา นิสินฺนกา’’ติฯ เถโร อาห – ‘‘อหํ ทานิ โว จงฺกมนฺตเมว ปรินิพฺพายมานํ ทสฺสยิสฺสามี’’ติฯ ตโต จงฺกเม ติริยํ เลขํ กตฺวา ‘‘อหํ อิโต จงฺกมโกฎิโต ปรโกฎิํ คนฺตฺวา นิวตฺตมาโน อิมํ เลขํ ปตฺวา ปรินิพฺพายิสฺสามี’’ติ วตฺวา จงฺกมํ โอรุยฺห ปรภาคํ คนฺตฺวา นิวตฺตมาโน เอเกน ปาเทน เลขํ อกฺกนฺตกฺขเณเยว ปรินิพฺพายีติฯ

    Tatridaṃ ekavatthuparidīpanaṃ – dvebhātikattherānaṃ kireko puṇṇamuposathadivase pātimokkhaṃ osāretvā bhikkhusaṅghaparivuto attano vasanaṭṭhānaṃ gantvā caṅkame ṭhito juṇhapakkhe padosavelāyaṃ candālokena samantato āsiñcamānakhīradhāraṃ viya gaganatalaṃ rajatapaṭṭasadisaṃ vālikāsanthatañca bhūmibhāgaṃ disvā ‘‘ramaṇīyo vatāyaṃ kālo, deso ca mama ajjhāsayasadiso, kīva ciraṃ nu kho ayaṃ dukkhabhāro vahitabbo’’ti attano āyusaṅkhāre upadhāretvā bhikkhusaṅghaṃ āha – ‘‘tumhehi kathaṃ parinibbāyantā bhikkhū diṭṭhapubbā’’ti. Tatra keci āhaṃsu – ‘‘amhehi āsane nisinnakāva parinibbāyantā diṭṭhapubbā’’ti. Keci ‘‘amhehi ākāse pallaṅkaṃ ābhujitvā nisinnakā’’ti. Thero āha – ‘‘ahaṃ dāni vo caṅkamantameva parinibbāyamānaṃ dassayissāmī’’ti. Tato caṅkame tiriyaṃ lekhaṃ katvā ‘‘ahaṃ ito caṅkamakoṭito parakoṭiṃ gantvā nivattamāno imaṃ lekhaṃ patvā parinibbāyissāmī’’ti vatvā caṅkamaṃ oruyha parabhāgaṃ gantvā nivattamāno ekena pādena lekhaṃ akkantakkhaṇeyeva parinibbāyīti.

    อานาปานสฺสติสมาธิกถาวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Ānāpānassatisamādhikathāvaṇṇanā niṭṭhitā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / วินยปิฎก • Vinayapiṭaka / มหาวิภงฺค • Mahāvibhaṅga / ๓. ตติยปาราชิกํ • 3. Tatiyapārājikaṃ

    อฎฺฐกถา • Aṭṭhakathā / วินยปิฎก (อฎฺฐกถา) • Vinayapiṭaka (aṭṭhakathā) / มหาวิภงฺค-อฎฺฐกถา • Mahāvibhaṅga-aṭṭhakathā / ๓. ตติยปาราชิกํ • 3. Tatiyapārājikaṃ

    ฎีกา • Tīkā / วินยปิฎก (ฎีกา) • Vinayapiṭaka (ṭīkā) / วชิรพุทฺธิ-ฎีกา • Vajirabuddhi-ṭīkā / อานาปานสฺสติสมาธิกถาวณฺณนา • Ānāpānassatisamādhikathāvaṇṇanā

    ฎีกา • Tīkā / วินยปิฎก (ฎีกา) • Vinayapiṭaka (ṭīkā) / วิมติวิโนทนี-ฎีกา • Vimativinodanī-ṭīkā / อานาปานสฺสติสมาธิกถาวณฺณนา • Ānāpānassatisamādhikathāvaṇṇanā


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact