Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / มชฺฌิมนิกาย (อฎฺฐกถา) • Majjhimanikāya (aṭṭhakathā)

    ๘. อานาปานสฺสติสุตฺตวณฺณนา

    8. Ānāpānassatisuttavaṇṇanā

    ๑๔๔. เอวํ เม สุตนฺติ อานาปานสฺสติสุตฺตํฯ ตตฺถ อเญฺญหิ จาติ ฐเปตฺวา ปาฬิยํ อาคเต ทส เถเร อเญฺญหิปิ อภิญฺญาเตหิ พหูหิ สาวเกหิ สทฺธิํฯ ตทา กิร มหา ภิกฺขุสโงฺฆ อโหสิ อปริจฺฉินฺนคณโนฯ

    144.Evaṃme sutanti ānāpānassatisuttaṃ. Tattha aññehi cāti ṭhapetvā pāḷiyaṃ āgate dasa there aññehipi abhiññātehi bahūhi sāvakehi saddhiṃ. Tadā kira mahā bhikkhusaṅgho ahosi aparicchinnagaṇano.

    โอวทนฺติ อนุสาสนฺตีติ อามิสสงฺคเหน ธมฺมสงฺคเหน จาติ ทฺวีหิ สงฺคเหหิ สงฺคณฺหิตฺวา กมฺมฎฺฐาโนวาทานุสาสนีหิ โอวทนฺติ จ อนุสาสนฺติ จฯ เต จาติ จกาโร อาคมสนฺธิมตฺตํฯ อุฬารํ ปุเพฺพนาปรํ วิเสสํ ชานนฺตีติ สีลปริปูรณาทิโต ปุพฺพวิเสสโต อุฬารตรํ อปรํ กสิณปริกมฺมาทิวิเสสํ ชานนฺตีติ อโตฺถฯ

    Ovadanti anusāsantīti āmisasaṅgahena dhammasaṅgahena cāti dvīhi saṅgahehi saṅgaṇhitvā kammaṭṭhānovādānusāsanīhi ovadanti ca anusāsanti ca. Te cāti cakāro āgamasandhimattaṃ. Uḷāraṃ pubbenāparaṃ visesaṃ jānantīti sīlaparipūraṇādito pubbavisesato uḷārataraṃ aparaṃ kasiṇaparikammādivisesaṃ jānantīti attho.

    ๑๔๕. อารโทฺธติ ตุโฎฺฐฯ อปฺปตฺตสฺส ปตฺติยาติ อปฺปตฺตสฺส อรหตฺตสฺส ปาปุณนตฺถํฯ เสสปททฺวเยปิ อยเมว อโตฺถฯ โกมุทิํ จาตุมาสินินฺติ ปจฺฉิมกตฺติกจาตุมาสปุณฺณมํฯ สา หิ กุมุทานํ อตฺถิตาย โกมุที, จตุนฺนํ วสฺสิกานํ มาสานํ ปริโยสานตฺตา จาตุมาสินีติ วุจฺจติฯ อาคเมสฺสามีติ อุทิกฺขิสฺสามิ, อชฺช อปวาเรตฺวา ยาว สา อาคจฺฉติ, ตาว กตฺถจิ อคนฺตฺวา อิเธว วสิสฺสามีติ อโตฺถฯ อิติ ภิกฺขูนํ ปวารณสงฺคหํ อนุชานโนฺต เอวมาหฯ

    145.Āraddhoti tuṭṭho. Appattassa pattiyāti appattassa arahattassa pāpuṇanatthaṃ. Sesapadadvayepi ayameva attho. Komudiṃ cātumāsininti pacchimakattikacātumāsapuṇṇamaṃ. Sā hi kumudānaṃ atthitāya komudī, catunnaṃ vassikānaṃ māsānaṃ pariyosānattā cātumāsinīti vuccati. Āgamessāmīti udikkhissāmi, ajja apavāretvā yāva sā āgacchati, tāva katthaci agantvā idheva vasissāmīti attho. Iti bhikkhūnaṃ pavāraṇasaṅgahaṃ anujānanto evamāha.

    ปวารณสงฺคโห นาม ญตฺติทุติเยน กเมฺมน ทิยฺยติ กสฺส ปเนส ทิยฺยติ, กสฺส น ทิยฺยตีติฯ อการกสฺส ตาว พาลปุถุชฺชนสฺส น ทิยฺยติ, ตถา อารทฺธวิปสฺสกสฺส เจว อริยสาวกสฺส จฯ ยสฺส ปน สมโถ วา ตรุโณ โหติ วิปสฺสนา วา, ตสฺส ทิยฺยติฯ ภควาปิ ตทา ภิกฺขูนํ จิตฺตาจารํ ปริวีมํสโนฺต สมถวิปสฺสนานํ ตรุณภาวํ ญตฺวา – ‘‘มยิ อชฺช ปวาเรเนฺต ทิสาสุ วสฺสํวุฎฺฐา ภิกฺขู อิธ โอสริสฺสนฺติฯ ตโต อิเม ภิกฺขู วุฑฺฒตเรหิ ภิกฺขูหิ เสนาสเน คหิเต วิเสสํ นิพฺพเตฺตตุํ น สกฺขิสฺสนฺติฯ สเจปิ จาริกํ ปกฺกมิสฺสามิ, อิเมสํ วสนฎฺฐานํ ทุลฺลภเมว ภวิสฺสติฯ มยิ ปน อปวาเรเนฺต ภิกฺขูปิ อิมํ สาวตฺถิํ น โอสริสฺสนฺติ, อหมฺปิ จาริกํ น ปกฺกมิสฺสามิ, เอวํ อิเมสํ ภิกฺขูนํ วสนฎฺฐานํ อปลิพุทฺธํ ภวิสฺสติฯ เต อตฺตโน อตฺตโน วสนฎฺฐาเน ผาสุ วิหรนฺตา สมถวิปสฺสนา ถามชาตา กตฺวา วิเสสํ นิพฺพเตฺตตุํ สกฺขิสฺสนฺตี’’ติ โส ตํทิวสํ อปวาเรตฺวา กตฺติกปุณฺณมายํ ปวาเรสฺสามีติ ภิกฺขูนํ ปวารณสงฺคหํ อนุชานิฯ ปวารณสงฺคหสฺมิญฺหิ ลเทฺธ ยสฺส นิสฺสยปฎิปนฺนสฺส อาจริยุปชฺฌายา ปกฺกมนฺติ, โสปิ ‘‘สเจ ปติรูโป นิสฺสยทายโก อาคมิสฺสติ, ตสฺส สนฺติเก นิสฺสยํ คณฺหิสฺสามี’’ติ ยาว คิมฺหานํ ปจฺฉิมมาสา วสิตุํ ลภติฯ สเจปิ สฎฺฐิวสฺสา ภิกฺขู อาคจฺฉนฺติ, ตสฺส เสนาสนํ คเหตุํ น ลภนฺติฯ อยญฺจ ปน ปวารณสงฺคโห เอกสฺส ทิโนฺนปิ สเพฺพสํ ทิโนฺนเยว โหติฯ

    Pavāraṇasaṅgaho nāma ñattidutiyena kammena diyyati kassa panesa diyyati, kassa na diyyatīti. Akārakassa tāva bālaputhujjanassa na diyyati, tathā āraddhavipassakassa ceva ariyasāvakassa ca. Yassa pana samatho vā taruṇo hoti vipassanā vā, tassa diyyati. Bhagavāpi tadā bhikkhūnaṃ cittācāraṃ parivīmaṃsanto samathavipassanānaṃ taruṇabhāvaṃ ñatvā – ‘‘mayi ajja pavārente disāsu vassaṃvuṭṭhā bhikkhū idha osarissanti. Tato ime bhikkhū vuḍḍhatarehi bhikkhūhi senāsane gahite visesaṃ nibbattetuṃ na sakkhissanti. Sacepi cārikaṃ pakkamissāmi, imesaṃ vasanaṭṭhānaṃ dullabhameva bhavissati. Mayi pana apavārente bhikkhūpi imaṃ sāvatthiṃ na osarissanti, ahampi cārikaṃ na pakkamissāmi, evaṃ imesaṃ bhikkhūnaṃ vasanaṭṭhānaṃ apalibuddhaṃ bhavissati. Te attano attano vasanaṭṭhāne phāsu viharantā samathavipassanā thāmajātā katvā visesaṃ nibbattetuṃ sakkhissantī’’ti so taṃdivasaṃ apavāretvā kattikapuṇṇamāyaṃ pavāressāmīti bhikkhūnaṃ pavāraṇasaṅgahaṃ anujāni. Pavāraṇasaṅgahasmiñhi laddhe yassa nissayapaṭipannassa ācariyupajjhāyā pakkamanti, sopi ‘‘sace patirūpo nissayadāyako āgamissati, tassa santike nissayaṃ gaṇhissāmī’’ti yāva gimhānaṃ pacchimamāsā vasituṃ labhati. Sacepi saṭṭhivassā bhikkhū āgacchanti, tassa senāsanaṃ gahetuṃ na labhanti. Ayañca pana pavāraṇasaṅgaho ekassa dinnopi sabbesaṃ dinnoyeva hoti.

    สาวตฺถิํ โอสรนฺตีติ ภควตา ปวารณสงฺคโห ทิโนฺนติ สุตสุตฎฺฐาเนเยว ยถาสภาเวน เอกํ มาสํ วสิตฺวา กตฺติกปุณฺณมาย อุโปสถํ กตฺวา โอสรเนฺต สนฺธาย อิทํ วุตฺตํฯ ปุเพฺพนาปรนฺติ อิธ ตรุณสมถวิปสฺสนาสุ กมฺมํ กตฺวา สมถวิปสฺสนา ถามชาตา อกํสุ, อยํ ปุเพฺพ วิเสโส นามฯ ตโต สมาหิเตน จิเตฺตน สงฺขาเร สมฺมสิตฺวา เกจิ โสตาปตฺติผลํ…เป.… เกจิ อรหตฺตํ สจฺฉิกริํสุฯ อยํ อปโร อุฬาโร วิเสโส นามฯ

    Sāvatthiṃ osarantīti bhagavatā pavāraṇasaṅgaho dinnoti sutasutaṭṭhāneyeva yathāsabhāvena ekaṃ māsaṃ vasitvā kattikapuṇṇamāya uposathaṃ katvā osarante sandhāya idaṃ vuttaṃ. Pubbenāparanti idha taruṇasamathavipassanāsu kammaṃ katvā samathavipassanā thāmajātā akaṃsu, ayaṃ pubbe viseso nāma. Tato samāhitena cittena saṅkhāre sammasitvā keci sotāpattiphalaṃ…pe… keci arahattaṃ sacchikariṃsu. Ayaṃ aparo uḷāro viseso nāma.

    ๑๔๖. อลนฺติ ยุตฺตํฯ โยชนคณนานีติ เอกํ โยชนํ โยชนเมว, ทสปิ โยชนานิ โยชนาเนว, ตโต อุทฺธํ โยชนคณนานีติ วุจฺจนฺติฯ อิธ ปน โยชนสตมฺปิ โยชนสหสฺสมฺปิ อธิเปฺปตํฯ ปุโฎเสนาปีติ ปุโฎสํ วุจฺจติ ปาเถยฺยํ. ตํ ปาเถยฺยํ คเหตฺวาปิ อุปสงฺกมิตุํ ยุตฺตเมวาติ อโตฺถฯ ‘‘ปุฎํเสนา’’ติปิ ปาโฐ, ตสฺสโตฺถ – ปุโฎ อํเส อสฺสาติ ปุฎํโส, เตน ปุฎํเสน, อํเส ปาเถยฺยปุฎํ วหเนฺตนาปีติ วุตฺตํ โหติฯ

    146.Alanti yuttaṃ. Yojanagaṇanānīti ekaṃ yojanaṃ yojanameva, dasapi yojanāni yojanāneva, tato uddhaṃ yojanagaṇanānīti vuccanti. Idha pana yojanasatampi yojanasahassampi adhippetaṃ. Puṭosenāpīti puṭosaṃ vuccati pātheyyaṃ. taṃ pātheyyaṃ gahetvāpi upasaṅkamituṃ yuttamevāti attho. ‘‘Puṭaṃsenā’’tipi pāṭho, tassattho – puṭo aṃse assāti puṭaṃso, tena puṭaṃsena, aṃse pātheyyapuṭaṃ vahantenāpīti vuttaṃ hoti.

    ๑๔๗. อิทานิ เอวรูเปหิ จรเณหิ สมนฺนาคตา เอตฺถ ภิกฺขู อตฺถีติ ทเสฺสตุํ สนฺติ, ภิกฺขเวติอาทิมาหฯ ตตฺถ จตุนฺนํ สติปฎฺฐานานนฺติอาทีนิ เตสํ ภิกฺขูนํ อภินิวิฎฺฐกมฺมฎฺฐานทสฺสนตฺถํ วุตฺตานิฯ ตตฺถ สตฺตติํส โพธิปกฺขิยธมฺมา โลกิยโลกุตฺตรา กถิตาฯ ตตฺร หิ เย ภิกฺขู ตสฺมิํ ขเณ มคฺคํ ภาเวนฺติ, เตสํ โลกุตฺตรา โหนฺติฯ อารทฺธวิปสฺสกานํ โลกิยาฯ อนิจฺจสญฺญาภาวนานุโยคนฺติ เอตฺถ สญฺญาสีเสน วิปสฺสนา กถิตา ฯ ยสฺมา ปเนตฺถ อานาปานกมฺมฎฺฐานวเสน อภินิวิฎฺฐาว พหู ภิกฺขู, ตสฺมา เสสกมฺมฎฺฐานานิ สเงฺขเปน กเถตฺวา อานาปานกมฺมฎฺฐานํ วิตฺถาเรน กเถโนฺต อานาปานสฺสติ, ภิกฺขเวติอาทิมาหฯ อิทํ ปน อานาปานกมฺมฎฺฐานํ สพฺพากาเรน วิสุทฺธิมเคฺค วิตฺถาริตํ, ตสฺมา ตตฺถ วุตฺตนเยเนวสฺส ปาฬิโตฺถ จ ภาวนานโย จ เวทิตโพฺพฯ

    147. Idāni evarūpehi caraṇehi samannāgatā ettha bhikkhū atthīti dassetuṃ santi, bhikkhavetiādimāha. Tattha catunnaṃ satipaṭṭhānānantiādīni tesaṃ bhikkhūnaṃ abhiniviṭṭhakammaṭṭhānadassanatthaṃ vuttāni. Tattha sattatiṃsa bodhipakkhiyadhammā lokiyalokuttarā kathitā. Tatra hi ye bhikkhū tasmiṃ khaṇe maggaṃ bhāventi, tesaṃ lokuttarā honti. Āraddhavipassakānaṃ lokiyā. Aniccasaññābhāvanānuyoganti ettha saññāsīsena vipassanā kathitā . Yasmā panettha ānāpānakammaṭṭhānavasena abhiniviṭṭhāva bahū bhikkhū, tasmā sesakammaṭṭhānāni saṅkhepena kathetvā ānāpānakammaṭṭhānaṃ vitthārena kathento ānāpānassati, bhikkhavetiādimāha. Idaṃ pana ānāpānakammaṭṭhānaṃ sabbākārena visuddhimagge vitthāritaṃ, tasmā tattha vuttanayenevassa pāḷittho ca bhāvanānayo ca veditabbo.

    ๑๔๙. กายญฺญตรนฺติ ปถวีกายาทีสุ จตูสุ กาเยสุ อญฺญตรํ วทามิ, วาโย กายํ วทามีติ อโตฺถฯ อถ วา รูปายตนํ…เป.… กพฬีกาโร อาหาโรติ ปญฺจวีสติ รูปโกฎฺฐาสา รูปกาโย นามฯ เตสุ อานาปานํ โผฎฺฐพฺพายตเน สงฺคหิตตฺตา กายญฺญตรํ โหติ, ตสฺมาปิ เอวมาหฯ ตสฺมาติหาติ ยสฺมา จตูสุ กาเยสุ อญฺญตรํ วาโยกายํ, ปญฺจวีสติรูปโกฎฺฐาเส วา รูปกาเย อญฺญตรํ อานาปานํ อนุปสฺสติ, ตสฺมา กาเย กายานุปสฺสีติ อโตฺถฯ เอวํ สพฺพตฺถ อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ เวทนาญฺญตรนฺติ ตีสุ เวทนาสุ อญฺญตรํ, สุขเวทนํ สนฺธาเยตํ วุตฺตํฯ สาธุกํ มนสิการนฺติ ปีติปฎิสํเวทิตาทิวเสน อุปฺปนฺนํ สุนฺทรมนสิการํฯ กิํ ปน มนสิกาโร สุขเวทนา โหตีติฯ น โหติ, เทสนาสีสํ ปเนตํฯ ยเถว หิ ‘‘อนิจฺจสญฺญาภาวนานุโยคมนุยุตฺตา’’ติ เอตฺถ สญฺญานาเมน ปญฺญา วุตฺตา, เอวมิธาปิ มนสิการนาเมน เวทนา วุตฺตาติ เวทิตพฺพาฯ เอตสฺมิํ จตุเกฺก ปฐมปเท ปีติสีเสน เวทนา วุตฺตา, ทุติยปเท สุขนฺติ สรูเปเนว วุตฺตาฯ จิตฺตสงฺขารปททฺวเย ‘‘สญฺญา จ เวทนา จ เจตสิกา, เอเต ธมฺมา จิตฺตปฎิพทฺธา จิตฺตสงฺขารา’’ติ (ปฎิ. ม. ๑.๑๗๔) วจนโต ‘‘วิตกฺกวิจาเร ฐเปตฺวา สเพฺพปิ จิตฺตสมฺปยุตฺตกา ธมฺมา จิตฺตสงฺขาเร สงฺคหิตา’’ติ วจนโต จิตฺตสงฺขารนาเมน เวทนา วุตฺตาฯ ตํ สพฺพํ มนสิการนาเมน สงฺคเหตฺวา อิธ ‘‘สาธุกํ มนสิการ’’นฺติ อาหฯ

    149.Kāyaññataranti pathavīkāyādīsu catūsu kāyesu aññataraṃ vadāmi, vāyo kāyaṃ vadāmīti attho. Atha vā rūpāyatanaṃ…pe… kabaḷīkāro āhāroti pañcavīsati rūpakoṭṭhāsā rūpakāyo nāma. Tesu ānāpānaṃ phoṭṭhabbāyatane saṅgahitattā kāyaññataraṃ hoti, tasmāpi evamāha. Tasmātihāti yasmā catūsu kāyesu aññataraṃ vāyokāyaṃ, pañcavīsatirūpakoṭṭhāse vā rūpakāye aññataraṃ ānāpānaṃ anupassati, tasmā kāye kāyānupassīti attho. Evaṃ sabbattha attho veditabbo. Vedanāññataranti tīsu vedanāsu aññataraṃ, sukhavedanaṃ sandhāyetaṃ vuttaṃ. Sādhukaṃ manasikāranti pītipaṭisaṃveditādivasena uppannaṃ sundaramanasikāraṃ. Kiṃ pana manasikāro sukhavedanā hotīti. Na hoti, desanāsīsaṃ panetaṃ. Yatheva hi ‘‘aniccasaññābhāvanānuyogamanuyuttā’’ti ettha saññānāmena paññā vuttā, evamidhāpi manasikāranāmena vedanā vuttāti veditabbā. Etasmiṃ catukke paṭhamapade pītisīsena vedanā vuttā, dutiyapade sukhanti sarūpeneva vuttā. Cittasaṅkhārapadadvaye ‘‘saññā ca vedanā ca cetasikā, ete dhammā cittapaṭibaddhā cittasaṅkhārā’’ti (paṭi. ma. 1.174) vacanato ‘‘vitakkavicāre ṭhapetvā sabbepi cittasampayuttakā dhammā cittasaṅkhāre saṅgahitā’’ti vacanato cittasaṅkhāranāmena vedanā vuttā. Taṃ sabbaṃ manasikāranāmena saṅgahetvā idha ‘‘sādhukaṃ manasikāra’’nti āha.

    เอวํ สเนฺตปิ ยสฺมา เอสา เวทนา อารมฺมณํ น โหติ, ตสฺมา เวทนานุปสฺสนา น ยุชฺชตีติฯ โน น ยุชฺชติ, สติปฎฺฐานวณฺณนายมฺปิ หิ ‘‘ตํตํสุขาทีนํ วตฺถุํ อารมฺมณํ กตฺวา เวทนาว เวทยติ, ตํ ปน เวทนาปวตฺติํ อุปาทาย ‘อหํ เวทยามี’ติ โวหารมตฺตํ โหตี’’ติ วุตฺตํ ฯ อปิจ ปีติปฎิสํเวทีติอาทีนํ อตฺถวณฺณนายเมตสฺส ปริหาโร วุโตฺตเยวฯ วุตฺตเญฺหตํ วิสุทฺธิมเคฺค –

    Evaṃ santepi yasmā esā vedanā ārammaṇaṃ na hoti, tasmā vedanānupassanā na yujjatīti. No na yujjati, satipaṭṭhānavaṇṇanāyampi hi ‘‘taṃtaṃsukhādīnaṃ vatthuṃ ārammaṇaṃ katvā vedanāva vedayati, taṃ pana vedanāpavattiṃ upādāya ‘ahaṃ vedayāmī’ti vohāramattaṃ hotī’’ti vuttaṃ . Apica pītipaṭisaṃvedītiādīnaṃ atthavaṇṇanāyametassa parihāro vuttoyeva. Vuttañhetaṃ visuddhimagge –

    ‘‘ทฺวีหากาเรหิ ปีติ ปฎิสํวิทิตา โหติ อารมฺมณโต จ อสโมฺมหโต จฯ กถํ อารมฺมณโต ปีติ ปฎิสํวิทิตา โหติ? สปฺปีติเก เทฺว ฌาเน สมาปชฺชติ, ตสฺส สมาปตฺติกฺขเณ ฌานปฎิลาเภน อารมฺมณโต ปีติ ปฎิสํวิทิตา โหติ อารมฺมณสฺส ปฎิสํวิทิตตฺตาฯ กถํ อสโมฺมหโต (ปีติ ปฎิสํวิทิตา โหติ)? สปฺปีติเก เทฺว ฌาเน สมาปชฺชิตฺวา วุฎฺฐาย ฌานสมฺปยุตฺตํ ปีติํ ขยโต วยโต สมฺมสติ, ตสฺส วิปสฺสนากฺขเณ ลกฺขณปฎิเวธา อสโมฺมหโต ปีติ ปฎิสํวิทิตา โหติฯ วุตฺตมฺปิ เจตํ ปฎิสมฺภิทายํ ‘ทีฆํ อสฺสาสวเสน จิตฺตสฺส เอกคฺคตํ อวิเกฺขปํ ปชานโต สติ อุปฎฺฐิตา โหติ, ตาย สติยา, เตน ญาเณน สา ปีติ ปฎิสํวิทิตา โหตี’ติฯ เอเตเนว นเยน อวเสสปทานิปิ อตฺถโต เวทิตพฺพานี’’ติฯ

    ‘‘Dvīhākārehi pīti paṭisaṃviditā hoti ārammaṇato ca asammohato ca. Kathaṃ ārammaṇato pīti paṭisaṃviditā hoti? Sappītike dve jhāne samāpajjati, tassa samāpattikkhaṇe jhānapaṭilābhena ārammaṇato pīti paṭisaṃviditā hoti ārammaṇassa paṭisaṃviditattā. Kathaṃ asammohato (pīti paṭisaṃviditā hoti)? Sappītike dve jhāne samāpajjitvā vuṭṭhāya jhānasampayuttaṃ pītiṃ khayato vayato sammasati, tassa vipassanākkhaṇe lakkhaṇapaṭivedhā asammohato pīti paṭisaṃviditā hoti. Vuttampi cetaṃ paṭisambhidāyaṃ ‘dīghaṃ assāsavasena cittassa ekaggataṃ avikkhepaṃ pajānato sati upaṭṭhitā hoti, tāya satiyā, tena ñāṇena sā pīti paṭisaṃviditā hotī’ti. Eteneva nayena avasesapadānipi atthato veditabbānī’’ti.

    อิติ ยเถว ฌานปฎิลาเภน อารมฺมณโต ปีติสุขจิตฺตสงฺขารา ปฎิสํวิทิตา โหนฺติ, เอวํ อิมินาปิ ฌานสมฺปยุเตฺตน เวทนาสงฺขาตมนสิการปฎิลาเภน อารมฺมณโต เวทนา ปฎิสํวิทิตา โหติฯ ตสฺมา สุวุตฺตเมตํ โหติ ‘‘เวทนาสุ เวทนานุปสฺสี ตสฺมิํ สมเย ภิกฺขุ วิหรตี’’ติฯ

    Iti yatheva jhānapaṭilābhena ārammaṇato pītisukhacittasaṅkhārā paṭisaṃviditā honti, evaṃ imināpi jhānasampayuttena vedanāsaṅkhātamanasikārapaṭilābhena ārammaṇato vedanā paṭisaṃviditā hoti. Tasmā suvuttametaṃ hoti ‘‘vedanāsu vedanānupassī tasmiṃ samaye bhikkhu viharatī’’ti.

    นาหํ, ภิกฺขเว, มุฎฺฐสฺสติสฺส อสมฺปชานสฺสาติ เอตฺถ อยมธิปฺปาโย – ยสฺมา จิตฺตปฎิสํเวที อสฺสสิสฺสามีติอาทินา นเยน ปวโตฺต ภิกฺขุ กิญฺจาปิ อสฺสาสปสฺสาสนิมิตฺตํ อารมฺมณํ กโรติ, ตสฺส ปน จิตฺตสฺส อารมฺมเณ สติญฺจ สมฺปชญฺญญฺจ อุปฎฺฐเปตฺวา ปวตฺตนโต จิเตฺต จิตฺตานุปสฺสีเยว นาเมส โหติฯ น หิ มุฎฺฐสฺสติสฺส อสมฺปชานสฺส อานาปานสฺสติภาวนา อตฺถิฯ ตสฺมา อารมฺมณโต จิตฺตปฎิสํวิทิตาทิวเสน จิเตฺต จิตฺตานุปสฺสี ตสฺมิํ สมเย ภิกฺขุ วิหรตีติฯ โส ยํ ตํ อภิชฺฌาโทมนสฺสานํ ปหานํ, ตํ ปญฺญาย ทิสฺวา สาธุกํ อชฺฌุเปกฺขิตา โหตีติ เอตฺถ อภิชฺฌาย กามจฺฉนฺทนีวรณํ, โทมนสฺสวเสน พฺยาปาทนีวรณํ ทสฺสิตํฯ อิทญฺหิ จตุกฺกํ วิปสฺสนาวเสเนว วุตฺตํ, ธมฺมานุปสฺสนา จ นีวรณปพฺพาทิวเสน ฉพฺพิธา โหติ, ตสฺสา นีวรณปพฺพํ อาทิ, ตสฺสปิ อิทํ นีวรณทฺวยํ อาทิ, อิติ ธมฺมานุปสฺสนาย อาทิํ ทเสฺสตุํ ‘‘อภิชฺฌาโทมนสฺสาน’’นฺติ อาหฯ ปหานนฺติ อนิจฺจานุปสฺสนาย นิจฺจสญฺญํ ปชหตีติ เอวํ ปหานกรญาณํ อธิเปฺปตํฯ ตํ ปญฺญาย ทิสฺวาติ ตํ อนิจฺจวิราคนิโรธปฎินิสฺสคฺคาญาณสงฺขาตํ ปหานญาณํ อปราย วิปสฺสนาปญฺญาย, ตมฺปิ อปรายาติ เอวํ วิปสฺสนาปรมฺปรํ ทเสฺสติฯ อชฺฌุเปกฺขิตา โหตีติ ยญฺจ สมถปฎิปนฺนํ อชฺฌุเปกฺขติ, ยญฺจ เอกโต อุปฎฺฐานํ อชฺฌุเปกฺขตีติ ทฺวิธา อชฺฌุเปกฺขติ นามฯ ตตฺถ สหชาตานมฺปิ อชฺฌุเปกฺขนา โหติ อารมฺมณสฺสปิ อชฺฌุเปกฺขนา, อิธ อารมฺมณอชฺฌุเปกฺขนา อธิเปฺปตาฯ ตสฺมาติห, ภิกฺขเวติ ยสฺมา อนิจฺจานุปสฺสี อสฺสสิสฺสามีติอาทินา นเยน ปวโตฺต น เกวลํ นีวรณาทิธเมฺม, อภิชฺฌาโทมนสฺสสีเสน ปน วุตฺตานํ ธมฺมานํ ปหานญาณมฺปิ ปญฺญาย ทิสฺวา อชฺฌุเปกฺขิตา โหติ, ตสฺมา ‘‘ธเมฺมสุ ธมฺมานุปสฺสี ตสฺมิํ สมเย ภิกฺขุ วิหรตี’’ติ เวทิตโพฺพฯ

    Nāhaṃ, bhikkhave, muṭṭhassatissa asampajānassāti ettha ayamadhippāyo – yasmā cittapaṭisaṃvedī assasissāmītiādinā nayena pavatto bhikkhu kiñcāpi assāsapassāsanimittaṃ ārammaṇaṃ karoti, tassa pana cittassa ārammaṇe satiñca sampajaññañca upaṭṭhapetvā pavattanato citte cittānupassīyeva nāmesa hoti. Na hi muṭṭhassatissa asampajānassa ānāpānassatibhāvanā atthi. Tasmā ārammaṇato cittapaṭisaṃviditādivasena citte cittānupassī tasmiṃ samaye bhikkhu viharatīti. So yaṃ taṃ abhijjhādomanassānaṃ pahānaṃ, taṃ paññāya disvā sādhukaṃ ajjhupekkhitā hotīti ettha abhijjhāya kāmacchandanīvaraṇaṃ, domanassavasena byāpādanīvaraṇaṃ dassitaṃ. Idañhi catukkaṃ vipassanāvaseneva vuttaṃ, dhammānupassanā ca nīvaraṇapabbādivasena chabbidhā hoti, tassā nīvaraṇapabbaṃ ādi, tassapi idaṃ nīvaraṇadvayaṃ ādi, iti dhammānupassanāya ādiṃ dassetuṃ ‘‘abhijjhādomanassāna’’nti āha. Pahānanti aniccānupassanāya niccasaññaṃ pajahatīti evaṃ pahānakarañāṇaṃ adhippetaṃ. Taṃ paññāya disvāti taṃ aniccavirāganirodhapaṭinissaggāñāṇasaṅkhātaṃ pahānañāṇaṃ aparāya vipassanāpaññāya, tampi aparāyāti evaṃ vipassanāparamparaṃ dasseti. Ajjhupekkhitā hotīti yañca samathapaṭipannaṃ ajjhupekkhati, yañca ekato upaṭṭhānaṃ ajjhupekkhatīti dvidhā ajjhupekkhati nāma. Tattha sahajātānampi ajjhupekkhanā hoti ārammaṇassapi ajjhupekkhanā, idha ārammaṇaajjhupekkhanā adhippetā. Tasmātiha, bhikkhaveti yasmā aniccānupassī assasissāmītiādinā nayena pavatto na kevalaṃ nīvaraṇādidhamme, abhijjhādomanassasīsena pana vuttānaṃ dhammānaṃ pahānañāṇampi paññāya disvā ajjhupekkhitā hoti, tasmā ‘‘dhammesu dhammānupassī tasmiṃ samaye bhikkhu viharatī’’ti veditabbo.

    ๑๕๐. ปวิจินตีติ อนิจฺจาทิวเสน ปวิจินติฯ อิตรํ ปททฺวยํ เอตเสฺสว เววจนํฯ นิรามิสาติ นิกฺกิเลสาฯ ปสฺสมฺภตีติ กายิกเจตสิกทรถปฎิปฺปสฺสทฺธิยา กาโยปิ จิตฺตมฺปิ ปสฺสมฺภติฯ สมาธิยตีติ สมฺมา ฐปิยติ, อปฺปนาปตฺตํ วิย โหติฯ อชฺฌุเปกฺขิตา โหตีติ สหชาตอชฺฌุเปกฺขนาย อชฺฌุเปกฺขิตา โหติฯ

    150.Pavicinatīti aniccādivasena pavicinati. Itaraṃ padadvayaṃ etasseva vevacanaṃ. Nirāmisāti nikkilesā. Passambhatīti kāyikacetasikadarathapaṭippassaddhiyā kāyopi cittampi passambhati. Samādhiyatīti sammā ṭhapiyati, appanāpattaṃ viya hoti. Ajjhupekkhitā hotīti sahajātaajjhupekkhanāya ajjhupekkhitā hoti.

    เอวํ จุทฺทสวิเธน กายปริคฺคาหกสฺส ภิกฺขุโน ตสฺมิํ กาเย สติ สติสโมฺพชฺฌโงฺค, สติยา สมฺปยุตฺตํ ญาณํ ธมฺมวิจยสโมฺพชฺฌโงฺค, ตํสมฺปยุตฺตเมว กายิกเจตสิกวีริยํ วีริยสโมฺพชฺฌโงฺค, ปีติ, ปสฺสทฺธิ, จิเตฺตกคฺคตา สมาธิสโมฺพชฺฌโงฺค, อิเมสํ ฉนฺนํ สโมฺพชฺฌงฺคานํ อโนสกฺกนอนติวตฺตนสงฺขาโต มชฺฌตฺตากาโร อุเปกฺขาสโมฺพชฺฌโงฺคฯ ยเถว หิ สมปฺปวเตฺตสุ อเสฺสสุ สารถิโน ‘‘อยํ โอลียตี’’ติ ตุทนํ วา, ‘‘อยํ อติธาวตี’’ติ อากฑฺฒนํ วา นตฺถิ, เกวลํ เอวํ ปสฺสมานสฺส ฐิตากาโรว โหติ, เอวเมว อิเมสํ ฉนฺนํ สโมฺพชฺฌงฺคานํ อโนสกฺกนอนติวตฺตนสงฺขาโต มชฺฌตฺตากาโร อุเปกฺขาสโมฺพชฺฌโงฺค นาม โหติฯ เอตฺตาวตา กิํ กถิตํ? เอกจิตฺตกฺขณิกา นานารสลกฺขณา วิปสฺสนาสโมฺพชฺฌงฺคา นาม กถิตาฯ

    Evaṃ cuddasavidhena kāyapariggāhakassa bhikkhuno tasmiṃ kāye sati satisambojjhaṅgo, satiyā sampayuttaṃ ñāṇaṃ dhammavicayasambojjhaṅgo, taṃsampayuttameva kāyikacetasikavīriyaṃ vīriyasambojjhaṅgo, pīti, passaddhi, cittekaggatā samādhisambojjhaṅgo, imesaṃ channaṃ sambojjhaṅgānaṃ anosakkanaanativattanasaṅkhāto majjhattākāro upekkhāsambojjhaṅgo. Yatheva hi samappavattesu assesu sārathino ‘‘ayaṃ olīyatī’’ti tudanaṃ vā, ‘‘ayaṃ atidhāvatī’’ti ākaḍḍhanaṃ vā natthi, kevalaṃ evaṃ passamānassa ṭhitākārova hoti, evameva imesaṃ channaṃ sambojjhaṅgānaṃ anosakkanaanativattanasaṅkhāto majjhattākāro upekkhāsambojjhaṅgo nāma hoti. Ettāvatā kiṃ kathitaṃ? Ekacittakkhaṇikā nānārasalakkhaṇā vipassanāsambojjhaṅgā nāma kathitā.

    ๑๕๒. วิเวกนิสฺสิตนฺติอาทีนิ วุตฺตตฺถาเนวฯ เอตฺถ ปน อานาปานปริคฺคาหิกา สติ โลกิยา โหติ, โลกิยา อานาปานา โลกิยสติปฎฺฐานํ ปริปูเรนฺติ, โลกิยา สติปฎฺฐานา โลกุตฺตรโพชฺฌเงฺค ปริปูเรนฺติ, โลกุตฺตรา โพชฺฌงฺคา วิชฺชาวิมุตฺติผลนิพฺพานํ ปริปูเรนฺติฯ อิติ โลกิยสฺส อาคตฎฺฐาเน โลกิยํ กถิตํ, โลกุตฺตรสฺส อาคตฎฺฐาเน โลกุตฺตรํ กถิตนฺติฯ เถโร ปนาห ‘‘อญฺญตฺถ เอวํ โหติ, อิมสฺมิํ ปน สุเตฺต โลกุตฺตรํ อุปริ อาคตํ, โลกิยา อานาปานา โลกิยสติปฎฺฐาเน ปริปูเรนฺติ, โลกิยา สติปฎฺฐานา โลกิเย โพชฺฌเงฺค ปริปูเรนฺติ, โลกิยา โพชฺฌงฺคา โลกุตฺตรํ วิชฺชาวิมุตฺติผลนิพฺพานํ ปริปูเรนฺติ, วิชฺชาวิมุตฺติปเทน หิ อิธ วิชฺชาวิมุตฺติผลนิพฺพานํ อธิเปฺปต’’นฺติฯ

    152.Vivekanissitantiādīni vuttatthāneva. Ettha pana ānāpānapariggāhikā sati lokiyā hoti, lokiyā ānāpānā lokiyasatipaṭṭhānaṃ paripūrenti, lokiyā satipaṭṭhānā lokuttarabojjhaṅge paripūrenti, lokuttarā bojjhaṅgā vijjāvimuttiphalanibbānaṃ paripūrenti. Iti lokiyassa āgataṭṭhāne lokiyaṃ kathitaṃ, lokuttarassa āgataṭṭhāne lokuttaraṃ kathitanti. Thero panāha ‘‘aññattha evaṃ hoti, imasmiṃ pana sutte lokuttaraṃ upari āgataṃ, lokiyā ānāpānā lokiyasatipaṭṭhāne paripūrenti, lokiyā satipaṭṭhānā lokiye bojjhaṅge paripūrenti, lokiyā bojjhaṅgā lokuttaraṃ vijjāvimuttiphalanibbānaṃ paripūrenti, vijjāvimuttipadena hi idha vijjāvimuttiphalanibbānaṃ adhippeta’’nti.

    ปปญฺจสูทนิยา มชฺฌิมนิกายฎฺฐกถาย

    Papañcasūdaniyā majjhimanikāyaṭṭhakathāya

    อานาปานสฺสติสุตฺตวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Ānāpānassatisuttavaṇṇanā niṭṭhitā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / มชฺฌิมนิกาย • Majjhimanikāya / ๘. อานาปานสฺสติสุตฺตํ • 8. Ānāpānassatisuttaṃ

    ฎีกา • Tīkā / สุตฺตปิฎก (ฎีกา) • Suttapiṭaka (ṭīkā) / มชฺฌิมนิกาย (ฎีกา) • Majjhimanikāya (ṭīkā) / ๘. อานาปานสฺสติสุตฺตวณฺณนา • 8. Ānāpānassatisuttavaṇṇanā


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact