Tipiṭaka / Tipiṭaka (English) / Majjhima Nikāya, English translation |
มชฺฌิม นิกาย ๑๔๓
The Middle-Length Suttas Collection 143
อนาถปิณฺฑิโกวาทสุตฺต
Advice to Anāthapiṇḍika
เอวํ เม สุตํ—เอกํ สมยํ ภควา สาวตฺถิยํ วิหรติ เชตวเน อนาถปิณฺฑิกสฺส อาราเมฯ
So I have heard. At one time the Buddha was staying near Sāvatthī in Jeta’s Grove, Anāthapiṇḍika’s monastery.
เตน โข ปน สมเยน อนาถปิณฺฑิโก คหปติ อาพาธิโก โหติ ทุกฺขิโต พาฬฺหคิลาโนฯ อถ โข อนาถปิณฺฑิโก คหปติ อญฺญตรํ ปุริสํ อามนฺเตสิ: “เอหิ ตฺวํ, อมฺโภ ปุริส, เยน ภควา เตนุปสงฺกม; อุปสงฺกมิตฺวา มม วจเนน ภควโต ปาเท สิรสา วนฺทาหิ: ‘อนาถปิณฺฑิโก, ภนฺเต, คหปติ อาพาธิโก ทุกฺขิโต พาฬฺหคิลาโนฯ โส ภควโต ปาเท สิรสา วนฺทตี'ติฯ เยน จายสฺมา สาริปุตฺโต เตนุปสงฺกม; อุปสงฺกมิตฺวา มม วจเนน อายสฺมโต สาริปุตฺตสฺส ปาเท สิรสา วนฺทาหิ: ‘อนาถปิณฺฑิโก, ภนฺเต, คหปติ อาพาธิโก ทุกฺขิโต พาฬฺหคิลาโนฯ โส อายสฺมโต สาริปุตฺตสฺส ปาเท สิรสา วนฺทตี'ติฯ เอวญฺจ วเทหิ: ‘สาธุ กิร, ภนฺเต, อายสฺมา สาริปุตฺโต เยน อนาถปิณฺฑิกสฺส คหปติสฺส นิเวสนํ เตนุปสงฺกมตุ อนุกมฺปํ อุปาทายา'”ติฯ
Now at that time the householder Anāthapiṇḍika was sick, suffering, gravely ill. Then he addressed a man, “Please, mister, go to the Buddha, and in my name bow with your head to his feet. Say to him: ‘Sir, the householder Anāthapiṇḍika is sick, suffering, gravely ill. He bows with his head to your feet.’ Then go to Venerable Sāriputta, and in my name bow with your head to his feet. Say to him: ‘Sir, the householder Anāthapiṇḍika is sick, suffering, gravely ill. He bows with his head to your feet.’ And then say: ‘Sir, please visit him at his home out of compassion.’”
“เอวํ, ภนฺเต”ติ โข โส ปุริโส อนาถปิณฺฑิกสฺส คหปติสฺส ปฏิสฺสุตฺวา เยน ภควา เตนุปสงฺกมิ; อุปสงฺกมิตฺวา ภควนฺตํ อภิวาเทตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิฯ เอกมนฺตํ นิสินฺโน โข โส ปุริโส ภควนฺตํ เอตทโวจ: “อนาถปิณฺฑิโก, ภนฺเต, คหปติ อาพาธิโก ทุกฺขิโต พาฬฺหคิลาโนฯ โส ภควโต ปาเท สิรสา วนฺทตี”ติฯ เยน จายสฺมา สาริปุตฺโต เตนุปสงฺกมิ; อุปสงฺกมิตฺวา อายสฺมนฺตํ สาริปุตฺตํ อภิวาเทตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิฯ เอกมนฺตํ นิสินฺโน โข โส ปุริโส อายสฺมนฺตํ สาริปุตฺตํ เอตทโวจ: “อนาถปิณฺฑิโก, ภนฺเต, คหปติ อาพาธิโก ทุกฺขิโต พาฬฺหคิลาโนฯ โส อายสฺมโต สาริปุตฺตสฺส ปาเท สิรสา วนฺทติ; เอวญฺจ วเทติ: ‘สาธุ กิร, ภนฺเต, อายสฺมา สาริปุตฺโต เยน อนาถปิณฺฑิกสฺส คหปติสฺส นิเวสนํ เตนุปสงฺกมตุ อนุกมฺปํ อุปาทายา'”ติฯ อธิวาเสสิ โข อายสฺมา สาริปุตฺโต ตุณฺหีภาเวนฯ
“Yes, sir,” that man replied. He did as Anāthapiṇḍika asked. Sāriputta consented with silence.
อถ โข อายสฺมา สาริปุตฺโต นิวาเสตฺวา ปตฺตจีวรมาทาย อายสฺมตา อานนฺเทน ปจฺฉาสมเณน เยน อนาถปิณฺฑิกสฺส คหปติสฺส นิเวสนํ เตนุปสงฺกมิ; อุปสงฺกมิตฺวา ปญฺญตฺเต อาสเน นิสีทิฯ นิสชฺช โข อายสฺมา สาริปุตฺโต อนาถปิณฺฑิกํ คหปตึ เอตทโวจ: “กจฺจิ เต, คหปติ, ขมนียํ, กจฺจิ ยาปนียํ? กจฺจิ เต ทุกฺขา เวทนา ปฏิกฺกมนฺติ, โน อภิกฺกมนฺติ; ปฏิกฺกโมสานํ ปญฺญายติ, โน อภิกฺกโม”ติ?
Then Venerable Sāriputta robed up in the morning and, taking his bowl and robe, went with Venerable Ānanda as his second monk to Anāthapiṇḍika’s home. He sat down on the seat spread out, and said to Anāthapiṇḍika, “I hope you’re keeping well, householder; I hope you’re alright. And I hope the pain is fading, not growing, that its fading is evident, not its growing.”
“น เม, ภนฺเต สาริปุตฺต, ขมนียํ น ยาปนียํฯ พาฬฺหา เม ทุกฺขา เวทนา อภิกฺกมนฺติ, โน ปฏิกฺกมนฺติ; อภิกฺกโมสานํ ปญฺญายติ, โน ปฏิกฺกโมฯ เสยฺยถาปิ, ภนฺเต สาริปุตฺต, พลวา ปุริโส ติเณฺหน สิขเรน มุทฺธนิ อภิมตฺเถยฺย; เอวเมว โข เม, ภนฺเต สาริปุตฺต, อธิมตฺตา วาตา มุทฺธนิ อูหนนฺติฯ น เม, ภนฺเต สาริปุตฺต, ขมนียํ น ยาปนียํฯ พาฬฺหา เม ทุกฺขา เวทนา อภิกฺกมนฺติ, โน ปฏิกฺกมนฺติ; อภิกฺกโมสานํ ปญฺญายติ, โน ปฏิกฺกโมฯ เสยฺยถาปิ, ภนฺเต สาริปุตฺต, พลวา ปุริโส ทเฬฺหน วรตฺตขณฺเฑน สีเส สีสเวฐํ ทเทยฺย; เอวเมว โข เม, ภนฺเต สาริปุตฺต, อธิมตฺตา สีเส สีสเวทนาฯ น เม, ภนฺเต สาริปุตฺต, ขมนียํ น ยาปนียํฯ พาฬฺหา เม ทุกฺขา เวทนา อภิกฺกมนฺติ, โน ปฏิกฺกมนฺติ; อภิกฺกโมสานํ ปญฺญายติ, โน ปฏิกฺกโมฯ เสยฺยถาปิ, ภนฺเต สาริปุตฺต, ทกฺโข โคฆาตโก วา โคฆาตกนฺเตวาสี วา ติเณฺหน โควิกนฺตเนน กุจฺฉึ ปริกนฺเตยฺย; เอวเมว โข เม, ภนฺเต สาริปุตฺต, อธิมตฺตา วาตา กุจฺฉึ ปริกนฺตนฺติฯ น เม, ภนฺเต สาริปุตฺต, ขมนียํ น ยาปนียํฯ พาฬฺหา เม ทุกฺขา เวทนา อภิกฺกมนฺติ, โน ปฏิกฺกมนฺติ; อภิกฺกโมสานํ ปญฺญายติ, โน ปฏิกฺกโมฯ เสยฺยถาปิ, ภนฺเต สาริปุตฺต, เทฺว พลวนฺโต ปุริสา ทุพฺพลตรํ ปุริสํ นานาพาหาสุ คเหตฺวา องฺคารกาสุยา สนฺตาเปยฺยุํ, สมฺปริตาเปยฺยุํ; เอวเมว โข เม, ภนฺเต สาริปุตฺต, อธิมตฺโต กายสฺมึ ฑาโหฯ น เม, ภนฺเต สาริปุตฺต, ขมนียํ น ยาปนียํฯ พาฬฺหา เม ทุกฺขา เวทนา อภิกฺกมนฺติ, โน ปฏิกฺกมนฺติ; อภิกฺกโมสานํ ปญฺญายติ, โน ปฏิกฺกโม”ติฯ
“I’m not keeping well, Honorable Sāriputta, I’m not alright. The pain is terrible and growing, not fading, its growing, not its fading, is evident. The winds piercing my head are so severe, it feels like a strong man drilling into my head with a sharp point. The pain in my head is so severe, it feels like a strong man tightening a tough leather strap around my head. The winds slicing my belly are so severe, like a deft butcher or their apprentice were slicing open a cows’s belly with a meat cleaver. The burning in my body is so severe, it feels like two strong men grabbing a weaker man by the arms to burn and scorch him on a pit of glowing coals. That’s how severe the burning is in my body. I’m not keeping well, Honorable Sāriputta, I’m not alright. The pain is terrible and growing, not fading, its growing, not its fading, is evident.”
“ตสฺมาติห เต, คหปติ, เอวํ สิกฺขิตพฺพํ: ‘น จกฺขุํ อุปาทิยิสฺสามิ, น จ เม จกฺขุนิสฺสิตํ วิญฺญาณํ ภวิสฺสตี'ติฯ เอวญฺหิ เต, คหปติ, สิกฺขิตพฺพํฯ
“That’s why, householder, you should train like this: ‘I shall not grasp the eye, and there shall be no consciousness of mine dependent on the eye.’ That’s how you should train.
ตสฺมาติห เต, คหปติ, เอวํ สิกฺขิตพฺพํ: ‘น โสตํ อุปาทิยิสฺสามิ, น จ เม โสตนิสฺสิตํ วิญฺญาณํ ภวิสฺสตี'ติฯ เอวญฺหิ เต, คหปติ, สิกฺขิตพฺพํฯ
You should train like this: ‘I shall not grasp the ear, and there shall be no consciousness of mine dependent on the ear.’ …
ตสฺมาติห เต, คหปติ, เอวํ สิกฺขิตพฺพํ: ‘น ฆานํ อุปาทิยิสฺสามิ, น จ เม ฆานนิสฺสิตํ วิญฺญาณํ ภวิสฺสตี'ติฯ เอวญฺหิ เต, คหปติ, สิกฺขิตพฺพํฯ
‘I shall not grasp the nose, and there shall be no consciousness of mine dependent on the nose.’ …
ตสฺมาติห เต, คหปติ, เอวํ สิกฺขิตพฺพํ: ‘น ชิวฺหํ อุปาทิยิสฺสามิ, น จ เม ชิวฺหานิสฺสิตํ วิญฺญาณํ ภวิสฺสตี'ติฯ เอวญฺหิ เต, คหปติ, สิกฺขิตพฺพํฯ
‘I shall not grasp the tongue, and there shall be no consciousness of mine dependent on the tongue.’ …
ตสฺมาติห เต, คหปติ, เอวํ สิกฺขิตพฺพํ: ‘น กายํ อุปาทิยิสฺสามิ, น จ เม กายนิสฺสิตํ วิญฺญาณํ ภวิสฺสตี'ติฯ เอวญฺหิ เต, คหปติ, สิกฺขิตพฺพํฯ
‘I shall not grasp the body, and there shall be no consciousness of mine dependent on the body.’ …
ตสฺมาติห เต, คหปติ, เอวํ สิกฺขิตพฺพํ: ‘น มนํ อุปาทิยิสฺสามิ, น จ เม มโนนิสฺสิตํ วิญฺญาณํ ภวิสฺสตี'ติฯ เอวญฺหิ เต, คหปติ, สิกฺขิตพฺพํฯ
‘I shall not grasp the mind, and there shall be no consciousness of mine dependent on the mind.’ That’s how you should train.
ตสฺมาติห เต, คหปติ, เอวํ สิกฺขิตพฺพํ: ‘น รูปํ อุปาทิยิสฺสามิ, น จ เม รูปนิสฺสิตํ วิญฺญาณํ ภวิสฺสตี'ติฯ เอวญฺหิ เต, คหปติ, สิกฺขิตพฺพํฯ ตสฺมาติห เต, คหปติ, เอวํ สิกฺขิตพฺพํ: ‘น สทฺทํ อุปาทิยิสฺสามิ …เป… น คนฺธํ อุปาทิยิสฺสามิ … น รสํ อุปาทิยิสฺสามิ … น โผฏฺฐพฺพํ อุปาทิยิสฺสามิ … น ธมฺมํ อุปาทิยิสฺสามิ, น จ เม ธมฺมนิสฺสิตํ วิญฺญาณํ ภวิสฺสตี'ติฯ เอวญฺหิ เต, คหปติ, สิกฺขิตพฺพํฯ
You should train like this: ‘I shall not grasp sight, and there shall be no consciousness of mine dependent on sight.’ … ‘I shall not grasp sound … smell … taste … touch … thought, and there shall be no consciousness of mine dependent on thought.’ That’s how you should train.
ตสฺมาติห เต, คหปติ, เอวํ สิกฺขิตพฺพํ: ‘น จกฺขุวิญฺญาณํ อุปาทิยิสฺสามิ, น จ เม จกฺขุวิญฺญาณนิสฺสิตํ วิญฺญาณํ ภวิสฺสตี'ติฯ เอวญฺหิ เต, คหปติ, สิกฺขิตพฺพํฯ ตสฺมาติห เต, คหปติ, เอวํ สิกฺขิตพฺพํ: ‘น โสตวิญฺญาณํ อุปาทิยิสฺสามิ … น ฆานวิญฺญาณํ อุปาทิยิสฺสามิ … น ชิวฺหาวิญฺญาณํ อุปาทิยิสฺสามิ … น กายวิญฺญาณํ อุปาทิยิสฺสามิ … น มโนวิญฺญาณํ อุปาทิยิสฺสามิ, น จ เม มโนวิญฺญาณนิสฺสิตํ วิญฺญาณํ ภวิสฺสตี'ติฯ เอวญฺหิ เต, คหปติ, สิกฺขิตพฺพํฯ
You should train like this: ‘I shall not grasp eye consciousness, and there shall be no consciousness of mine dependent on eye consciousness.’ … ‘I shall not grasp ear consciousness … nose consciousness … tongue consciousness … body consciousness … mind consciousness, and there shall be no consciousness of mine dependent on mind consciousness.’ That’s how you should train.
ตสฺมาติห เต, คหปติ, เอวํ สิกฺขิตพฺพํ: ‘น จกฺขุสมฺผสฺสํ อุปาทิยิสฺสามิ, น จ เม จกฺขุสมฺผสฺสนิสฺสิตํ วิญฺญาณํ ภวิสฺสตี'ติฯ เอวญฺหิ เต, คหปติ, สิกฺขิตพฺพํฯ ตสฺมาติห เต, คหปติ, เอวํ สิกฺขิตพฺพํ: ‘น โสตสมฺผสฺสํ อุปาทิยิสฺสามิ … น ฆานสมฺผสฺสํ อุปาทิยิสฺสามิ … น ชิวฺหาสมฺผสฺสํ อุปาทิยิสฺสามิ … น กายสมฺผสฺสํ อุปาทิยิสฺสามิ … น มโนสมฺผสฺสํ อุปาทิยิสฺสามิ, น จ เม มโนสมฺผสฺสนิสฺสิตํ วิญฺญาณํ ภวิสฺสตี'ติฯ เอวญฺหิ เต, คหปติ, สิกฺขิตพฺพํฯ
You should train like this: ‘I shall not grasp eye contact … ear contact … nose contact … tongue contact … body contact … mind contact, and there shall be no consciousness of mine dependent on mind contact.’ That’s how you should train.
ตสฺมาติห เต, คหปติ, เอวํ สิกฺขิตพฺพํ: ‘น จกฺขุสมฺผสฺสชํ เวทนํ อุปาทิยิสฺสามิ, น จ เม จกฺขุสมฺผสฺสชาเวทนานิสฺสิตํ วิญฺญาณํ ภวิสฺสตี'ติฯ เอวญฺหิ เต, คหปติ, สิกฺขิตพฺพํฯ ตสฺมาติห เต, คหปติ, เอวํ สิกฺขิตพฺพํ: ‘น โสตสมฺผสฺสชํ เวทนํ อุปาทิยิสฺสามิ … น ฆานสมฺผสฺสชํ เวทนํ อุปาทิยิสฺสามิ … น ชิวฺหาสมฺผสฺสชํ เวทนํ อุปาทิยิสฺสามิ … น กายสมฺผสฺสชํ เวทนํ อุปาทิยิสฺสามิ … น มโนสมฺผสฺสชํ เวทนํ อุปาทิยิสฺสามิ, น จ เม มโนสมฺผสฺสชาเวทนานิสฺสิตํ วิญฺญาณํ ภวิสฺสตี'ติฯ เอวญฺหิ เต, คหปติ, สิกฺขิตพฺพํฯ
You should train like this: ‘I shall not grasp feeling born of eye contact … feeling born of ear contact … feeling born of nose contact … feeling born of tongue contact … feeling born of body contact … feeling born of mind contact, and there shall be no consciousness of mine dependent on the feeling born of mind contact.’ That’s how you should train.
ตสฺมาติห เต, คหปติ, เอวํ สิกฺขิตพฺพํ: ‘น ปถวีธาตุํ อุปาทิยิสฺสามิ, น จ เม ปถวีธาตุนิสฺสิตํ วิญฺญาณํ ภวิสฺสตี'ติฯ เอวญฺหิ เต, คหปติ, สิกฺขิตพฺพํฯ ตสฺมาติห เต, คหปติ, เอวํ สิกฺขิตพฺพํ: ‘น อาโปธาตุํ อุปาทิยิสฺสามิ … น เตโชธาตุํ อุปาทิยิสฺสามิ … น วาโยธาตุํ อุปาทิยิสฺสามิ … น อากาสธาตุํ อุปาทิยิสฺสามิ … น วิญฺญาณธาตุํ อุปาทิยิสฺสามิ, น จ เม วิญฺญาณธาตุนิสฺสิตํ วิญฺญาณํ ภวิสฺสตี'ติฯ เอวญฺหิ เต, คหปติ, สิกฺขิตพฺพํฯ
You should train like this: ‘I shall not grasp the earth element … water element … fire element … air element … space element … consciousness element, and there shall be no consciousness of mine dependent on the consciousness element.’ That’s how you should train.
ตสฺมาติห เต, คหปติ, เอวํ สิกฺขิตพฺพํ: ‘น รูปํ อุปาทิยิสฺสามิ, น จ เม รูปนิสฺสิตํ วิญฺญาณํ ภวิสฺสตี'ติฯ เอวญฺหิ เต, คหปติ, สิกฺขิตพฺพํฯ ตสฺมาติห เต, คหปติ, เอวํ สิกฺขิตพฺพํ: ‘น เวทนํ อุปาทิยิสฺสามิ … น สญฺญํ อุปาทิยิสฺสามิ … น สงฺขาเร อุปาทิยิสฺสามิ … น วิญฺญาณํ อุปาทิยิสฺสามิ, น จ เม วิญฺญาณนิสฺสิตํ วิญฺญาณํ ภวิสฺสตี'ติฯ เอวญฺหิ เต, คหปติ, สิกฺขิตพฺพํฯ
You should train like this: ‘I shall not grasp form … feeling … perception … choices … consciousness, and there shall be no consciousness of mine dependent on consciousness.’ That’s how you should train.
ตสฺมาติห เต, คหปติ, เอวํ สิกฺขิตพฺพํ: ‘น อากาสานญฺจายตนํ อุปาทิยิสฺสามิ, น จ เม อากาสานญฺจายตนนิสฺสิตํ วิญฺญาณํ ภวิสฺสตี'ติฯ เอวญฺหิ เต, คหปติ, สิกฺขิตพฺพํฯ ตสฺมาติห เต, คหปติ, เอวํ สิกฺขิตพฺพํ: ‘น วิญฺญาณญฺจายตนํ อุปาทิยิสฺสามิ … น อากิญฺจญฺญายตนํ อุปาทิยิสฺสามิ … น เนวสญฺญานาสญฺญายตนํ อุปาทิยิสฺสามิ, น จ เม เนวสญฺญานาสญฺญายตนนิสฺสิตํ วิญฺญาณํ ภวิสฺสตี'ติฯ เอวญฺหิ เต, คหปติ, สิกฺขิตพฺพํฯ
You should train like this: ‘I shall not grasp the dimension of infinite space … the dimension of infinite consciousness … the dimension of nothingness … the dimension of neither perception nor non-perception, and there shall be no consciousness of mine dependent on the dimension of neither perception nor non-perception.’ That’s how you should train.
ตสฺมาติห เต, คหปติ, เอวํ สิกฺขิตพฺพํ: ‘น อิธโลกํ อุปาทิยิสฺสามิ, น จ เม อิธโลกนิสฺสิตํ วิญฺญาณํ ภวิสฺสตี'ติฯ เอวญฺหิ เต, คหปติ, สิกฺขิตพฺพํฯ
You should train like this: ‘I shall not grasp this world, and there shall be no consciousness of mine dependent on this world.’ That’s how you should train.
ตสฺมาติห เต, คหปติ, เอวํ สิกฺขิตพฺพํ: ‘น ปรโลกํ อุปาทิยิสฺสามิ, น จ เม ปรโลกนิสฺสิตํ วิญฺญาณํ ภวิสฺสตี'ติฯ เอวญฺหิ เต, คหปติ, สิกฺขิตพฺพํฯ ตสฺมาติห เต, คหปติ, เอวํ สิกฺขิตพฺพํ: ‘ยมฺปิ เม ทิฏฺฐํ สุตํ มุตํ วิญฺญาตํ ปตฺตํ ปริเยสิตํ อนุปริเยสิตํ อนุจริตํ มนสา ตมฺปิ น อุปาทิยิสฺสามิ, น จ เม ตนฺนิสฺสิตํ วิญฺญาณํ ภวิสฺสตี'ติฯ เอวญฺหิ เต, คหปติ, สิกฺขิตพฺพนฺ”ติฯ
You should train like this: ‘I shall not grasp the other world, and there shall be no consciousness of mine dependent on the other world.’ That’s how you should train. You should train like this: ‘I shall not grasp whatever is seen, heard, thought, known, attained, sought, and explored by my mind, and there shall be no consciousness of mine dependent on that.’ That’s how you should train.”
เอวํ วุตฺเต, อนาถปิณฺฑิโก คหปติ ปโรทิ, อสฺสูนิ ปวตฺเตสิฯ อถ โข อายสฺมา อานนฺโท อนาถปิณฺฑิกํ คหปตึ เอตทโวจ: “โอลียสิ โข ตฺวํ, คหปติ, สํสีทสิ โข ตฺวํ, คหปตี”ติ?
When he said this, Anāthapiṇḍika cried and burst out in tears. Venerable Ānanda said to him, “Are you failing, householder? Are you fading, householder?”
“นาหํ, ภนฺเต อานนฺท, โอลียามิ, นปิ สํสีทามิ; อปิ จ เม ทีฆรตฺตํ สตฺถา ปยิรุปาสิโต มโนภาวนียา จ ภิกฺขู; น จ เม เอวรูปี ธมฺมี กถา สุตปุพฺพา”ติฯ
“No, Honorable Ānanda. But for a long time I have paid homage to the Buddha and the esteemed bhikkhus. Yet I have never before heard such a Dhamma talk.”
“น โข, คหปติ, คิหีนํ โอทาตวสนานํ เอวรูปี ธมฺมี กถา ปฏิภาติ; ปพฺพชิตานํ โข, คหปติ, เอวรูปี ธมฺมี กถา ปฏิภาตี”ติฯ
“Householder, it does not occur to us to teach such a Dhamma talk to white-clothed laypeople. Rather, we teach like this to those gone forth.”
“เตน หิ, ภนฺเต สาริปุตฺต, คิหีนมฺปิ โอทาตวสนานํ เอวรูปี ธมฺมี กถา ปฏิภาตุฯ สนฺติ หิ, ภนฺเต, กุลปุตฺตา อปฺปรชกฺขชาติกา, อสฺสวนตา ธมฺมสฺส ปริหายนฺติ; ภวิสฺสนฺติ ธมฺมสฺส อญฺญาตาโร”ติฯ
“Well then, Honorable Sāriputta, let it occur to you to teach such a Dhamma talk to white-clothed laypeople as well! There are gentlemen with little dust in their eyes. They’re in decline because they haven’t heard the teaching. There will be those who understand the teaching!”
อถ โข อายสฺมา จ สาริปุตฺโต อายสฺมา จ อานนฺโท อนาถปิณฺฑิกํ คหปตึ อิมินา โอวาเทน โอวทิตฺวา อุฏฺฐายาสนา ปกฺกมึสุฯ อถ โข อนาถปิณฺฑิโก คหปติ, อจิรปกฺกนฺเต อายสฺมนฺเต จ สาริปุตฺเต อายสฺมนฺเต จ อานนฺเท, กาลมกาสิ ตุสิตํ กายํ อุปปชฺชิฯ
And when the venerables Sāriputta and Ānanda had given the householder Anāthapiṇḍika this advice they got up from their seat and left. Not long after they had left, Anāthapiṇḍika passed away and was reborn in the host of Joyful Gods.
อถ โข อนาถปิณฺฑิโก เทวปุตฺโต อภิกฺกนฺตาย รตฺติยา อภิกฺกนฺตวณฺโณ เกวลกปฺปํ เชตวนํ โอภาเสตฺวา เยน ภควา เตนุปสงฺกมิ; อุปสงฺกมิตฺวา ภควนฺตํ อภิวาเทตฺวา เอกมนฺตํ อฏฺฐาสิฯ เอกมนฺตํ ฐิโต โข อนาถปิณฺฑิโก เทวปุตฺโต ภควนฺตํ คาถาหิ อชฺฌภาสิ:
Then, late at night, the glorious god Anāthapiṇḍika, lighting up the entire Jeta’s Grove, went up to the Buddha, bowed, stood to one side, and addressed the Buddha in verse:
“อิทญฺหิ ตํ เชตวนํ, อิสิสงฺฆนิเสวิตํ; อาวุตฺถํ ธมฺมราเชน, ปีติสญฺชนนํ มมฯ
“This is indeed that Jeta’s Grove, frequented by the Saṅgha of seers, where the King of Dhamma stayed: it brings me joy!
กมฺมํ วิชฺชา จ ธมฺโม จ, สีลํ ชีวิตมุตฺตมํ; เอเตน มจฺจา สุชฺฌนฺติ, น โคตฺเตน ธเนน วาฯ
Deeds, knowledge, and principle; ethical conduct, an excellent livelihood; by these are mortals purified, not by clan or wealth.
ตสฺมา หิ ปณฺฑิโต โปโส, สมฺปสฺสํ อตฺถมตฺตโน; โยนิโส วิจิเน ธมฺมํ, เอวํ ตตฺถ วิสุชฺฌติฯ
That’s why an astute person, seeing what’s good for themselves, would examine the teaching rationally, and thus be purified in it.
สาริปุตฺโตว ปญฺญาย, สีเลน อุปสเมน จ; โยปิ ปารงฺคโต ภิกฺขุ, เอตาวปรโม สิยา”ติฯ
Sāriputta is full of wisdom, ethics, and peace. Even a bhikkhu who has crossed over might at best equal him.”
อิทมโวจ อนาถปิณฺฑิโก เทวปุตฺโตฯ สมนุญฺโญ สตฺถา อโหสิฯ อถ โข อนาถปิณฺฑิโก เทวปุตฺโต: “สมนุญฺโญ เม สตฺถา”ติ ภควนฺตํ อภิวาเทตฺวา ปทกฺขิณํ กตฺวา ตตฺเถวนฺตรธายิฯ
This is what the god Anāthapiṇḍika said, and the teacher approved. Then the god Anāthapiṇḍika, knowing that the teacher approved, bowed and respectfully circled the Buddha, keeping him on his right, before vanishing right there.
อถ โข ภควา ตสฺสา รตฺติยา อจฺจเยน ภิกฺขู อามนฺเตสิ: “อิมํ, ภิกฺขเว, รตฺตึ อญฺญตโร เทวปุตฺโต อภิกฺกนฺตาย รตฺติยา อภิกฺกนฺตวณฺโณ เกวลกปฺปํ เชตวนํ โอภาเสตฺวา เยนาหํ เตนุปสงฺกมิ; อุปสงฺกมิตฺวา มํ อภิวาเทตฺวา เอกมนฺตํ อฏฺฐาสิฯ เอกมนฺตํ ฐิโต โข โส เทวปุตฺโต มํ คาถาหิ อชฺฌภาสิ:
Then, when the night had passed, the Buddha told the bhikkhus all that had happened.
‘อิทญฺหิ ตํ เชตวนํ, อิสิสงฺฆนิเสวิตํ; อาวุตฺถํ ธมฺมราเชน, ปีติสญฺชนนํ มมฯ
กมฺมํ วิชฺชา จ ธมฺโม จ, สีลํ ชีวิตมุตฺตมํ; เอเตน มจฺจา สุชฺฌนฺติ, น โคตฺเตน ธเนน วาฯ
ตสฺมา หิ ปณฺฑิโต โปโส, สมฺปสฺสํ อตฺถมตฺตโน; โยนิโส วิจิเน ธมฺมํ, เอวํ ตตฺถ วิสุชฺฌติฯ
สาริปุตฺโตว ปญฺญาย, สีเลน อุปสเมน จ; โยปิ ปารงฺคโต ภิกฺขุ, เอตาวปรโม สิยา'ติฯ
อิทมโวจ, ภิกฺขเว, โส เทวปุตฺโตฯ ‘สมนุญฺโญ เม สตฺถา'ติ มํ อภิวาเทตฺวา ปทกฺขิณํ กตฺวา ตตฺเถวนฺตรธายี”ติฯ
เอวํ วุตฺเต, อายสฺมา อานนฺโท ภควนฺตํ เอตทโวจ:
When he had spoken, Venerable Ānanda said to the Buddha:
“โส หิ นูน โส, ภนฺเต, อนาถปิณฺฑิโก เทวปุตฺโต ภวิสฺสติฯ อนาถปิณฺฑิโก, ภนฺเต, คหปติ อายสฺมนฺเต สาริปุตฺเต อภิปฺปสนฺโน อโหสี”ติฯ
“Sir, that god must surely have been Anāthapiṇḍika. For the householder Anāthapiṇḍika was devoted to Venerable Sāriputta.”
“สาธุ สาธุ, อานนฺทฯ ยาวตกํ โข, อานนฺท, ตกฺกาย ปตฺตพฺพํ, อนุปฺปตฺตํ ตํ ตยาฯ อนาถปิณฺฑิโก โส, อานนฺท, เทวปุตฺโต”ติฯ
“Good, good, Ānanda. You’ve reached the logical conclusion, as far as logic goes. For that was indeed the god Anāthapiṇḍika.”
อิทมโวจ ภควาฯ อตฺตมโน อายสฺมา อานนฺโท ภควโต ภาสิตํ อภินนฺทีติฯ
That is what the Buddha said. Satisfied, Venerable Ānanda was happy with what the Buddha said.
อนาถปิณฺฑิโกวาทสุตฺตํ นิฏฺฐิตํ ปฐมํฯ
The authoritative text of the Majjhima Nikāya is the Pāli text. The English translation is provided as an aid to the study of the original Pāli text. [CREDITS »]