Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / สารตฺถทีปนี-ฎีกา • Sāratthadīpanī-ṭīkā |
อนตฺตลกฺขณสุตฺตวณฺณนา
Anattalakkhaṇasuttavaṇṇanā
๒๐. อามเนฺตสีติ อาสาฬฺหีปุณฺณมทิวเส ธมฺมจกฺกปฺปวตฺตนโต ปฎฺฐาย อนุกฺกเมน โสตาปตฺติผเล ปติฎฺฐิเต อญฺญาสิโกณฺฑญฺญปฺปมุเข ปญฺจวคฺคิเย ‘‘อิทานิ เตสํ อาสวกฺขยาย ธมฺมํ เทเสสฺสามี’’ติ ปญฺจมิยา ปกฺขสฺส อามเนฺตสิฯ อนตฺตาติ อวสวตฺตนเฎฺฐน อสามิกเฎฺฐน สุญฺญตเฎฺฐน อตฺตปฎิเกฺขปเฎฺฐนาติ เอวํ จตูหิ การเณหิ อนตฺตาฯ ตตฺถ ‘‘อุปฺปนฺนํ รูปํ ฐิติํ มา ปาปุณาตุ, ฐานปฺปตฺตํ มา ชีรตุ, ชรปฺปตฺตํ มา ภิชฺชตุ, อุทยพฺพเยหิ มา กิลมยตู’’ติ น เอตฺถ กสฺสจิ วสีภาโว อตฺถิ, สฺวายมสฺส อวสวตฺตนโฎฺฐฯ สามิภูตสฺส กสฺสจิ อภาโว อสามิกโฎฺฐฯ นิวาสีการกเวทกอธิฎฺฐายกวิรเหน ตโต สุญฺญตา สุญฺญตโฎฺฐฯ ปรปริกปฺปิตอตฺตสภาวาภาโว เอว อตฺตปฎิเกฺขปโฎฺฐฯ อิทานิ อนตฺตตํเยว วิภาเวตุํ ‘‘รูปญฺจ หิทํ ภิกฺขเว’’ติอาทิมาหฯ ตตฺถ อตฺตา อภวิสฺสาติ การโก เวทโก สยํวสีติ เอวํภูโต อตฺตา อภวิสฺสาติ อธิปฺปาโยฯ เอวญฺหิ สติ รูปสฺส อาพาธาย สํวตฺตนํ อยุชฺชมานกํ สิยาฯ กามเญฺจตฺถ ‘‘ยสฺมา จ โข, ภิกฺขเว, รูปํ อนตฺตา, ตสฺมา รูปํ อาพาธาย สํวตฺตตี’’ติ รูปสฺส อนตฺตตาย ทุกฺขตา วิภาวิตา วิย ทิสฺสติ, ตถาปิ ‘‘ยสฺมา รูปํ อาพาธาย สํวตฺตติ, ตสฺมา อนตฺตา’’ติ ปากฎาย สาพาธตาย รูปสฺส อตฺตสาราภาโว วิภาวิโต, ตโต เอว จ ‘‘น จ ลพฺภติ รูเป ‘เอวํ เม รูปํ โหตุ, เอวํ เม รูปํ มา อโหสี’ติ’’ รูเป กสฺสจิ อนิสฺสรตา ตสฺส จ อวสวตฺตนากาโร ทสฺสิโตฯ เวทนาทีสุปิ เอเสว นโยฯ
20.Āmantesīti āsāḷhīpuṇṇamadivase dhammacakkappavattanato paṭṭhāya anukkamena sotāpattiphale patiṭṭhite aññāsikoṇḍaññappamukhe pañcavaggiye ‘‘idāni tesaṃ āsavakkhayāya dhammaṃ desessāmī’’ti pañcamiyā pakkhassa āmantesi. Anattāti avasavattanaṭṭhena asāmikaṭṭhena suññataṭṭhena attapaṭikkhepaṭṭhenāti evaṃ catūhi kāraṇehi anattā. Tattha ‘‘uppannaṃ rūpaṃ ṭhitiṃ mā pāpuṇātu, ṭhānappattaṃ mā jīratu, jarappattaṃ mā bhijjatu, udayabbayehi mā kilamayatū’’ti na ettha kassaci vasībhāvo atthi, svāyamassa avasavattanaṭṭho. Sāmibhūtassa kassaci abhāvo asāmikaṭṭho. Nivāsīkārakavedakaadhiṭṭhāyakavirahena tato suññatā suññataṭṭho. Paraparikappitaattasabhāvābhāvo eva attapaṭikkhepaṭṭho. Idāni anattataṃyeva vibhāvetuṃ ‘‘rūpañca hidaṃ bhikkhave’’tiādimāha. Tattha attā abhavissāti kārako vedako sayaṃvasīti evaṃbhūto attā abhavissāti adhippāyo. Evañhi sati rūpassa ābādhāya saṃvattanaṃ ayujjamānakaṃ siyā. Kāmañcettha ‘‘yasmā ca kho, bhikkhave, rūpaṃ anattā, tasmā rūpaṃ ābādhāya saṃvattatī’’ti rūpassa anattatāya dukkhatā vibhāvitā viya dissati, tathāpi ‘‘yasmā rūpaṃ ābādhāya saṃvattati, tasmā anattā’’ti pākaṭāya sābādhatāya rūpassa attasārābhāvo vibhāvito, tato eva ca ‘‘na ca labbhati rūpe ‘evaṃ me rūpaṃ hotu, evaṃ me rūpaṃ mā ahosī’ti’’ rūpe kassaci anissaratā tassa ca avasavattanākāro dassito. Vedanādīsupi eseva nayo.
๒๑. ตํ กิํมญฺญถ ภิกฺขเวติ อิทํ กสฺมา อารทฺธํ? เอตฺตเกน ฐาเนน อนตฺตลกฺขณเมว กถิตํ, น อนิจฺจทุกฺขลกฺขณานิ, อิทานิ ตานิ ทเสฺสตฺวา สโมธาเนตฺวา ตีณิปิ ลกฺขณานิ ทเสฺสตุํ อิทมารทฺธนฺติ เวทิตพฺพํฯ อนิจฺจํ ภเนฺตติ ภเนฺต ยสฺมา หุตฺวา น โหติ, ตสฺมา อนิจฺจํฯ ยสฺมา ปุเพฺพ อสนฺตํ ปจฺจยสมวาเยน หุตฺวา อุปฺปชฺชิตฺวา ปุน ภงฺคุปคมเนน น โหติ, ตสฺมา น นิจฺจนฺติ อนิจฺจํ, อทฺธุวนฺติ อธิปฺปาโยฯ อถ วา อุปฺปาทวยวนฺตตาย ตาวกาลิกตาย วิปริณามโกฎิยา นิจฺจปฺปฎิเกฺขปโตติ อิเมหิปิ การเณหิ อนิจฺจํฯ เอตฺถ ขเณ ขเณ อุปฺปชฺชนวเสน นิรุชฺฌนวเสน จ ปวตฺตนโต อุปฺปาทวยวนฺตตาฯ ตงฺขณิกตาย ตาวกาลิกตาฯ วิปริณามวนฺตตาย วิปริณามโกฎิฯ รูปญฺหิ อุปฺปาทาทิวิการาปชฺชเนน วิปริณามนฺตํ วินาสํ ปาปุณาติฯ นิจฺจสภาวาภาโว เอว นิจฺจปฎิเกฺขโปฯ อนิจฺจา หิ ธมฺมา, เตเนว อตฺตโน อนิจฺจภาเวน อตฺถโต นิจฺจตํ ปฎิกฺขิปนฺติ นามฯ
21.Taṃ kiṃmaññatha bhikkhaveti idaṃ kasmā āraddhaṃ? Ettakena ṭhānena anattalakkhaṇameva kathitaṃ, na aniccadukkhalakkhaṇāni, idāni tāni dassetvā samodhānetvā tīṇipi lakkhaṇāni dassetuṃ idamāraddhanti veditabbaṃ. Aniccaṃ bhanteti bhante yasmā hutvā na hoti, tasmā aniccaṃ. Yasmā pubbe asantaṃ paccayasamavāyena hutvā uppajjitvā puna bhaṅgupagamanena na hoti, tasmā na niccanti aniccaṃ, addhuvanti adhippāyo. Atha vā uppādavayavantatāya tāvakālikatāya vipariṇāmakoṭiyā niccappaṭikkhepatoti imehipi kāraṇehi aniccaṃ. Ettha khaṇe khaṇe uppajjanavasena nirujjhanavasena ca pavattanato uppādavayavantatā. Taṅkhaṇikatāya tāvakālikatā. Vipariṇāmavantatāya vipariṇāmakoṭi. Rūpañhi uppādādivikārāpajjanena vipariṇāmantaṃ vināsaṃ pāpuṇāti. Niccasabhāvābhāvo eva niccapaṭikkhepo. Aniccā hi dhammā, teneva attano aniccabhāvena atthato niccataṃ paṭikkhipanti nāma.
ทุกฺขํ ภเนฺตติ ภเนฺต ปฎิปีฬนากาเรน ทุกฺขํฯ อุปฺปาทชราภงฺควเสน หิ รูปสฺส นิรนฺตรํ พาธติ, ปฎิปีฬนากาเรนสฺส ทุกฺขตาฯ อถ วา สนฺตาปเฎฺฐน ทุกฺขมเฎฺฐน ทุกฺขวตฺถุกเฎฺฐน สุขปฎิเกฺขปเฎฺฐน จาติ จตูหิ การเณหิ ทุกฺขํฯ เอตฺถ จ สนฺตาโป นาม ทุกฺขทุกฺขตาทิวเสน สนฺตาปนํ ปริทหนํฯ ตโต เอวสฺส ทุสฺสหตาย ทุกฺขมตาฯ ติสฺสนฺนํ ทุกฺขตานํ สํสารทุกฺขสฺส จ อธิฎฺฐานตาย ทุกฺขวตฺถุกตาฯ สุขสภาวาภาโว เอว สุขปฎิเกฺขโปฯ วิปริณามธมฺมนฺติ ชราย มรเณน จ วิปริณามสภาวํฯ กลฺลํ นูติ ยุตฺตํ นุฯ ตนฺติ เอวํ อนิจฺจํ ทุกฺขํ วิปริณามธมฺมํ รูปํฯ เอตํ มมาติ ตณฺหาคาโห มมงฺการภาวโตฯ เอโสหมสฺมีติ มานคาโห อหงฺการภาวโตฯ เอโส เม อตฺตาติ ทิฎฺฐิคาโห อตฺตภาววิปลฺลาสคฺคาหโตฯ ตณฺหาคาโห เจตฺถ อฎฺฐสตตณฺหาวิจริตวเสน, มานคาโห นววิธมานวเสน, ทิฎฺฐิคาโห ทฺวาสฎฺฐิทิฎฺฐิวเสน เวทิตโพฺพฯ อิเมสํ ติณฺณํ ตณฺหามานทิฎฺฐิคาหานํ วเสน ยุตฺตํ นุ ตํ สมนุปสฺสิตุนฺติ วุตฺตํ โหติฯ
Dukkhaṃ bhanteti bhante paṭipīḷanākārena dukkhaṃ. Uppādajarābhaṅgavasena hi rūpassa nirantaraṃ bādhati, paṭipīḷanākārenassa dukkhatā. Atha vā santāpaṭṭhena dukkhamaṭṭhena dukkhavatthukaṭṭhena sukhapaṭikkhepaṭṭhena cāti catūhi kāraṇehi dukkhaṃ. Ettha ca santāpo nāma dukkhadukkhatādivasena santāpanaṃ paridahanaṃ. Tato evassa dussahatāya dukkhamatā. Tissannaṃ dukkhatānaṃ saṃsāradukkhassa ca adhiṭṭhānatāya dukkhavatthukatā. Sukhasabhāvābhāvo eva sukhapaṭikkhepo. Vipariṇāmadhammanti jarāya maraṇena ca vipariṇāmasabhāvaṃ. Kallaṃ nūti yuttaṃ nu. Tanti evaṃ aniccaṃ dukkhaṃ vipariṇāmadhammaṃ rūpaṃ. Etaṃ mamāti taṇhāgāho mamaṅkārabhāvato. Esohamasmīti mānagāho ahaṅkārabhāvato. Eso me attāti diṭṭhigāho attabhāvavipallāsaggāhato. Taṇhāgāho cettha aṭṭhasatataṇhāvicaritavasena, mānagāho navavidhamānavasena, diṭṭhigāho dvāsaṭṭhidiṭṭhivasena veditabbo. Imesaṃ tiṇṇaṃ taṇhāmānadiṭṭhigāhānaṃ vasena yuttaṃ nu taṃ samanupassitunti vuttaṃ hoti.
อิติ ภควา อนิจฺจทุกฺขวเสน อนตฺตลกฺขณํเยว ทเสฺสสิฯ ภควา หิ กตฺถจิ อนิจฺจวเสน อนตฺตตํ ทเสฺสติ, กตฺถจิ ทุกฺขวเสน, กตฺถจิ อุภยวเสนฯ ตถา หิ ‘‘จกฺขุ อตฺตาติ โย วเทยฺย, ตํ น อุปปชฺชติ, จกฺขุสฺส อุปฺปาโทปิ วโยปิ ปญฺญายติฯ ยสฺส โข ปน อุปฺปาโทปิ วโยปิ ปญฺญายติ, ‘อตฺตา เม อุปฺปชฺชติ เจว เวติ จา’ติ อิจฺจสฺส เอวมาคตํ โหติ, ตสฺมา ตํ น อุปปชฺชติฯ ‘จกฺขุ อตฺตา’ติ โย วเทยฺย, อิติ จกฺขุ อนตฺตา’’ติ อิมสฺมิญฺจ ฉฉกฺกสุเตฺต (ม. นิ. ๓.๔๒๒) อนิจฺจวเสน อนตฺตตํ ทเสฺสสิฯ ‘‘รูปญฺจ หิทํ, ภิกฺขเว, อตฺตา อภวิสฺส…เป.… เอวํ เม รูปํ มา อโหสี’’ติ อิมสฺมิํเยว อนตฺตลกฺขณสุเตฺต ทุกฺขวเสน อนตฺตตํ ทเสฺสสิฯ ‘‘รูปํ, ภิกฺขเว, อนิจฺจํ, ยทนิจฺจํ ตํ ทุกฺขํ, ยํ ทุกฺขํ ตทนตฺตา, ยทนตฺตา, ตํ ‘เนตํ มม, เนโสหมสฺมิ, น เม โส อตฺตา’ติ เอวเมตํ ยถาภูตํ สมฺมปฺปญฺญาย ทฎฺฐพฺพ’’นฺติ อิมสฺมิํ อรหนฺตสุเตฺต (สํ. นิ. ๓.๗๖-๗๗) อุภยวเสน อนตฺตตํ ทเสฺสสิฯ กสฺมา? อนิจฺจํ ทุกฺขญฺจ ปากฎํ, อนตฺตา อปากฎํฯ ปริโภคภาชนาทีสุ หิ ภิเนฺนสุ ‘‘อโห อนิจฺจ’’นฺติ วทนฺติ, ‘‘อโห อนตฺตา’’ติ ปน วตฺตา นาม นตฺถิฯ สรีเร คณฺฑปิฬกาสุ วา อุฎฺฐิตาสุ กณฺฎเกน วา วิทฺธา ‘‘อโห ทุกฺข’’นฺติ วทนฺติ, ‘‘อโห อนตฺตา’’ติ ปน วตฺตา นาม นตฺถิฯ กสฺมา? อิทญฺหิ อนตฺตลกฺขณํ นาม อวิภูตํ ทุทฺทสํ ทุปฺปญฺญาปนํฯ ตถา หิ สรภงฺคาทโยปิ สตฺถาโร นาทฺทสํสุ, กุโต ปญฺญาปนา, เตน นํ ภควา อนิจฺจวเสน วา ทุกฺขวเสน วา อุภยวเสน วา ทเสฺสสิฯ ตยิทํ อิมสฺมิมฺปิ เตปริวเฎฺฎ อนิจฺจทุกฺขวเสเนว ทสฺสิตํฯ เวทนาทีสุปิ เอเสว นโยฯ
Iti bhagavā aniccadukkhavasena anattalakkhaṇaṃyeva dassesi. Bhagavā hi katthaci aniccavasena anattataṃ dasseti, katthaci dukkhavasena, katthaci ubhayavasena. Tathā hi ‘‘cakkhu attāti yo vadeyya, taṃ na upapajjati, cakkhussa uppādopi vayopi paññāyati. Yassa kho pana uppādopi vayopi paññāyati, ‘attā me uppajjati ceva veti cā’ti iccassa evamāgataṃ hoti, tasmā taṃ na upapajjati. ‘Cakkhu attā’ti yo vadeyya, iti cakkhu anattā’’ti imasmiñca chachakkasutte (ma. ni. 3.422) aniccavasena anattataṃ dassesi. ‘‘Rūpañca hidaṃ, bhikkhave, attā abhavissa…pe… evaṃ me rūpaṃ mā ahosī’’ti imasmiṃyeva anattalakkhaṇasutte dukkhavasena anattataṃ dassesi. ‘‘Rūpaṃ, bhikkhave, aniccaṃ, yadaniccaṃ taṃ dukkhaṃ, yaṃ dukkhaṃ tadanattā, yadanattā, taṃ ‘netaṃ mama, nesohamasmi, na me so attā’ti evametaṃ yathābhūtaṃ sammappaññāya daṭṭhabba’’nti imasmiṃ arahantasutte (saṃ. ni. 3.76-77) ubhayavasena anattataṃ dassesi. Kasmā? Aniccaṃ dukkhañca pākaṭaṃ, anattā apākaṭaṃ. Paribhogabhājanādīsu hi bhinnesu ‘‘aho anicca’’nti vadanti, ‘‘aho anattā’’ti pana vattā nāma natthi. Sarīre gaṇḍapiḷakāsu vā uṭṭhitāsu kaṇṭakena vā viddhā ‘‘aho dukkha’’nti vadanti, ‘‘aho anattā’’ti pana vattā nāma natthi. Kasmā? Idañhi anattalakkhaṇaṃ nāma avibhūtaṃ duddasaṃ duppaññāpanaṃ. Tathā hi sarabhaṅgādayopi satthāro nāddasaṃsu, kuto paññāpanā, tena naṃ bhagavā aniccavasena vā dukkhavasena vā ubhayavasena vā dassesi. Tayidaṃ imasmimpi teparivaṭṭe aniccadukkhavaseneva dassitaṃ. Vedanādīsupi eseva nayo.
๒๒. ตสฺมาติหาติ ตสฺมา อิเจฺจว วุตฺตํฯ ติ-การ ห-การา นิปาตา, ยสฺมา อิเม ปญฺจกฺขนฺธา อนิจฺจา ทุกฺขา อนตฺตา, ตสฺมาติ อโตฺถฯ ยํ กิญฺจีติ อนวเสสปริยาทานเมตํฯ ยนฺติ หิ สามเญฺญน อนิยมทสฺสนํ, กิญฺจีติ ปการโต เภทํ อามสิตฺวา อนิยมทสฺสนํฯ อุภเยนปิ อตีตํ วา…เป.… สนฺติเก วา อปฺปํ วา พหุํ วา ยาทิสํ วา ตาทิสํ วา นปุํสกนิเทฺทสารหํ สพฺพํ พฺยาเปตฺวา สงฺคณฺหาติ, ตสฺมา อนวเสสปริยาทานเมตํ ‘‘ยํ กิญฺจี’’ติฯ เอวญฺจ สติ อเญฺญสุปิ นปุํสกนิเทฺทสารเหสุ ปสงฺคํ ทิสฺวา ตตฺถ อธิเปฺปตตฺถํ อธิจฺจ ปวตฺตนโต อติปฺปสงฺคสฺส นิยมนตฺถํ ‘‘รูป’’นฺติ วุตฺตํฯ เอวํ ปททฺวเยนปิ รูปสฺส อเสสปริคฺคโห กโต โหติฯ อถสฺส อตีตาทิวิภาคํ อารภติ ‘‘อตีตานาคตปจฺจุปฺปนฺน’’นฺติอาทินาฯ ตญฺหิ กิญฺจิ อตีตํ กิญฺจิ อนาคตาทิเภทนฺติฯ เอส นโย เวทนาทีสุปิฯ
22.Tasmātihāti tasmā icceva vuttaṃ. Ti-kāra ha-kārā nipātā, yasmā ime pañcakkhandhā aniccā dukkhā anattā, tasmāti attho. Yaṃ kiñcīti anavasesapariyādānametaṃ. Yanti hi sāmaññena aniyamadassanaṃ, kiñcīti pakārato bhedaṃ āmasitvā aniyamadassanaṃ. Ubhayenapi atītaṃ vā…pe… santike vā appaṃ vā bahuṃ vā yādisaṃ vā tādisaṃ vā napuṃsakaniddesārahaṃ sabbaṃ byāpetvā saṅgaṇhāti, tasmā anavasesapariyādānametaṃ ‘‘yaṃ kiñcī’’ti. Evañca sati aññesupi napuṃsakaniddesārahesu pasaṅgaṃ disvā tattha adhippetatthaṃ adhicca pavattanato atippasaṅgassa niyamanatthaṃ ‘‘rūpa’’nti vuttaṃ. Evaṃ padadvayenapi rūpassa asesapariggaho kato hoti. Athassa atītādivibhāgaṃ ārabhati ‘‘atītānāgatapaccuppanna’’ntiādinā. Tañhi kiñci atītaṃ kiñci anāgatādibhedanti. Esa nayo vedanādīsupi.
ตตฺถ รูปํ ตาว อทฺธาสนฺตติสมยขณวเสน จตุธา อตีตํ นาม โหติ, ตถา อนาคตปจฺจุปฺปนฺนํฯ ตตฺถ อทฺธาวเสน ตาว เอกสฺส เอกสฺมิํ ภเว ปฎิสนฺธิโต ปุเพฺพ อตีตํ, จุติโต อุทฺธมนาคตํ, อุภินฺนมนฺตเร ปจฺจุปฺปนฺนํฯ สนฺตติวเสน สภาเคกอุตุสมุฎฺฐานเอกาหารสมอุฎฺฐานญฺจ ปุพฺพาปริยวเสน วตฺตมานมฺปิ ปจฺจุปฺปนฺนํ, ตโต ปุเพฺพ วิสภาคอุตุอาหารสมุฎฺฐานํ อตีตํ, ปจฺฉา อนาคตํฯ จิตฺตชํ เอกวีถิเอกชวนเอกสมาปตฺติสมุฎฺฐานํ ปจฺจุปฺปนฺนํ, ตโต ปุเพฺพ อตีตํ, ปจฺฉา อนาคตํฯ กมฺมสมุฎฺฐานสฺส ปาฎิเยกฺกํ สนฺตติวเสน อตีตาทิเภโท นตฺถิฯ เตสํเยว ปน อุตุอาหารจิตฺตสมุฎฺฐานานํ อุปตฺถมฺภกวเสน ตสฺส อตีตาทิภาโว เวทิตโพฺพฯ สมยวเสน เอกมุหุตฺตปุพฺพณฺหสายนฺหรตฺติทิวาทีสุ สมเยสุ สนฺตานวเสน ปวตฺตมานํ ตํตํสมยวนฺตํ รูปํ ปจฺจุปฺปนฺนํ นาม, ตโต ปุเพฺพ อตีตํ, ปจฺฉา อนาคตํฯ ขณวเสน อุปฺปาทาทิกฺขณตฺตยปริยาปนฺนํ ปจฺจุปฺปนฺนํ, ตโต ปุเพฺพ อตีตํ, ปจฺฉา อนาคตํ, อิทเมเวตฺถ นิปฺปริยายํ, เสสา ปริยายกถาฯ
Tattha rūpaṃ tāva addhāsantatisamayakhaṇavasena catudhā atītaṃ nāma hoti, tathā anāgatapaccuppannaṃ. Tattha addhāvasena tāva ekassa ekasmiṃ bhave paṭisandhito pubbe atītaṃ, cutito uddhamanāgataṃ, ubhinnamantare paccuppannaṃ. Santativasena sabhāgekautusamuṭṭhānaekāhārasamauṭṭhānañca pubbāpariyavasena vattamānampi paccuppannaṃ, tato pubbe visabhāgautuāhārasamuṭṭhānaṃ atītaṃ, pacchā anāgataṃ. Cittajaṃ ekavīthiekajavanaekasamāpattisamuṭṭhānaṃ paccuppannaṃ, tato pubbe atītaṃ, pacchā anāgataṃ. Kammasamuṭṭhānassa pāṭiyekkaṃ santativasena atītādibhedo natthi. Tesaṃyeva pana utuāhāracittasamuṭṭhānānaṃ upatthambhakavasena tassa atītādibhāvo veditabbo. Samayavasena ekamuhuttapubbaṇhasāyanharattidivādīsu samayesu santānavasena pavattamānaṃ taṃtaṃsamayavantaṃ rūpaṃ paccuppannaṃ nāma, tato pubbe atītaṃ, pacchā anāgataṃ. Khaṇavasena uppādādikkhaṇattayapariyāpannaṃ paccuppannaṃ, tato pubbe atītaṃ, pacchā anāgataṃ, idamevettha nippariyāyaṃ, sesā pariyāyakathā.
อชฺฌตฺตํ วา พหิทฺธา วาติ จกฺขาทิปญฺจวิธํ รูปํ อตฺตภาวํ อธิกิจฺจ ปวตฺตตฺตา อชฺฌตฺตํ, เสสํ ตโต พาหิรตฺตา พหิทฺธาฯ อปิจ นิยกชฺฌตฺตมฺปิ อิธ อชฺฌตฺตํ, ปรปุคฺคลิกมฺปิ จ พหิทฺธาติ เวทิตพฺพํฯ โอฬาริกํ วา สุขุมํ วาติ จกฺขาทีนิ นว, อาโปธาตุวชฺชา ติโสฺส ธาตุโย จาติ ทฺวาทสวิธํ รูปํ ฆฎฺฎนวเสน คเหตพฺพโต โอฬาริกํ, เสสํ ตโต วิปรีตตฺตา สุขุมํฯ หีนํ วา ปณีตํ วาติ เอตฺถ หีนปณีตภาโว ปริยายโต นิปฺปริยายโต จฯ ตตฺถ อกนิฎฺฐานํ รูปโต สุทสฺสีนํ รูปํ หีนํ, ตเทว สุทสฺสานํ รูปโต ปณีตํฯ เอวํ ยาว นรกสตฺตานํ รูปํ, ตาว ปริยายโต หีนปณีตตา เวทิตพฺพาฯ นิปฺปริยายโต ปน ยํ อารมฺมณํ กตฺวา อกุสลวิปากวิญฺญาณํ อุปฺปชฺชติ, ตํ หีนํ อนิฎฺฐภาวโตฯ ยํ ปน อารมฺมณํ กตฺวา กุสลวิปากวิญฺญาณํ อุปฺปชฺชติ, ตํ ปณีตํ อิฎฺฐภาวโตฯ ยถา หิ อกุสลวิปาโก สยํ อนิโฎฺฐ อนิเฎฺฐ เอว อุปฺปชฺชติ, น อิเฎฺฐ, เอวํ กุสลวิปาโกปิ สยํ อิโฎฺฐ อิเฎฺฐเยว อุปฺปชฺชติ, น อนิเฎฺฐฯ ยํ ทูเร สนฺติเก วาติ ยํ สุขุมํ, ตเทว ทุปฺปฎิวิชฺฌสภาวตฺตา ทูเร, อิตรํ สุปฺปฎิวิชฺฌสภาวตฺตา สนฺติเกฯ อปิเจตฺถ โอกาสโตปิ อุปาทายุปาทาย ทูรสนฺติกตา เวทิตพฺพาฯ ตํ สพฺพนฺติ ตํ อตีตาทีหิ ปเทหิ วิสุํ นิทฺทิฎฺฐํ สพฺพํ รูปํฯ สมฺมปฺปญฺญาย ทฎฺฐพฺพนฺติ สหวิปสฺสนาย มคฺคปญฺญาย ทฎฺฐพฺพํฯ
Ajjhattaṃvā bahiddhā vāti cakkhādipañcavidhaṃ rūpaṃ attabhāvaṃ adhikicca pavattattā ajjhattaṃ, sesaṃ tato bāhirattā bahiddhā. Apica niyakajjhattampi idha ajjhattaṃ, parapuggalikampi ca bahiddhāti veditabbaṃ. Oḷārikaṃ vā sukhumaṃ vāti cakkhādīni nava, āpodhātuvajjā tisso dhātuyo cāti dvādasavidhaṃ rūpaṃ ghaṭṭanavasena gahetabbato oḷārikaṃ, sesaṃ tato viparītattā sukhumaṃ. Hīnaṃ vā paṇītaṃ vāti ettha hīnapaṇītabhāvo pariyāyato nippariyāyato ca. Tattha akaniṭṭhānaṃ rūpato sudassīnaṃ rūpaṃ hīnaṃ, tadeva sudassānaṃ rūpato paṇītaṃ. Evaṃ yāva narakasattānaṃ rūpaṃ, tāva pariyāyato hīnapaṇītatā veditabbā. Nippariyāyato pana yaṃ ārammaṇaṃ katvā akusalavipākaviññāṇaṃ uppajjati, taṃ hīnaṃ aniṭṭhabhāvato. Yaṃ pana ārammaṇaṃ katvā kusalavipākaviññāṇaṃ uppajjati, taṃ paṇītaṃ iṭṭhabhāvato. Yathā hi akusalavipāko sayaṃ aniṭṭho aniṭṭhe eva uppajjati, na iṭṭhe, evaṃ kusalavipākopi sayaṃ iṭṭho iṭṭheyeva uppajjati, na aniṭṭhe. Yaṃ dūre santike vāti yaṃ sukhumaṃ, tadeva duppaṭivijjhasabhāvattā dūre, itaraṃ suppaṭivijjhasabhāvattā santike. Apicettha okāsatopi upādāyupādāya dūrasantikatā veditabbā. Taṃ sabbanti taṃ atītādīhi padehi visuṃ niddiṭṭhaṃ sabbaṃ rūpaṃ. Sammappaññāya daṭṭhabbanti sahavipassanāya maggapaññāya daṭṭhabbaṃ.
ยา กาจิ เวทนาติอาทีสุ ปน สนฺตติวเสน จ ขณวเสน จ เวทนาย อตีตานาคตปจฺจุปฺปนฺนภาโว เวทิตโพฺพฯ ตตฺถ (วิสุทฺธิ. ๒.๔๙๗ อาทโย) สนฺตติวเสน เอกวีถิเอกชวนเอกสมาปตฺติปริยาปนฺนา เอกวิธวิสยสมาโยคปฺปวตฺตา จ ทิวสมฺปิ พุทฺธรูปํ ปสฺสนฺตสฺส ธมฺมํ สุณนฺตสฺส ปวตฺตสทฺธาทิสหิตเวทนา ปจฺจุปฺปนฺนา, ตโต ปุเพฺพ อตีตา, ปจฺฉา อนาคตาฯ ขณวเสน ขณตฺตยปริยาปนฺนา ปจฺจุปฺปนฺนา, ตโต ปุเพฺพ อตีตา, ปจฺฉา อนาคตาฯ อชฺฌตฺตพหิทฺธาเภโท นิยกชฺฌตฺตวเสน เวทิตโพฺพฯ โอฬาริกสุขุมเภโท ‘‘อกุสลา เวทนา โอฬาริกา, กุสลาพฺยากตา เวทนา สุขุมา’’ติอาทินา นเยน วิภเงฺค (วิภ. ๑๑) วุเตฺตน ชาติสภาวปุคฺคลโลกิยโลกุตฺตรวเสน เวทิตโพฺพฯ ชาติวเสน ตาว อกุสลเวทนา สาวชฺชกิริยเหตุโต กิเลสสนฺตาปสภาวโต จ อวูปสนฺตวุตฺตีติ กุสลเวทนาย โอฬาริกา, สพฺยาปารโต สอุสฺสาหโต สวิปากโต กิเลสสนฺตาปสภาวโต สาวชฺชโต จ วิปากาพฺยากตาย โอฬาริกา, สวิปากโต กิเลสสนฺตาปสภาวโต สพฺยาปชฺชโต สาวชฺชโต จ กิริยาพฺยากตาย โอฬาริกา, กุสลาพฺยากตา ปน วุตฺตวิปริยายโต อกุสลาย สุขุมาฯ เทฺวปิ กุสลากุสลเวทนา สพฺยาปารโต สอุสฺสาหโต สวิปากโต จ ยถาโยคํ ทุวิธายปิ อพฺยากตาย โอฬาริกา, วุตฺตวิปริยาเยน ทุวิธาปิ อพฺยากตา ตาหิ สุขุมาฯ เอวํ ตาว ชาติวเสน โอฬาริกสุขุมตา เวทิตพฺพาฯ
Yākāci vedanātiādīsu pana santativasena ca khaṇavasena ca vedanāya atītānāgatapaccuppannabhāvo veditabbo. Tattha (visuddhi. 2.497 ādayo) santativasena ekavīthiekajavanaekasamāpattipariyāpannā ekavidhavisayasamāyogappavattā ca divasampi buddharūpaṃ passantassa dhammaṃ suṇantassa pavattasaddhādisahitavedanā paccuppannā, tato pubbe atītā, pacchā anāgatā. Khaṇavasena khaṇattayapariyāpannā paccuppannā, tato pubbe atītā, pacchā anāgatā. Ajjhattabahiddhābhedo niyakajjhattavasena veditabbo. Oḷārikasukhumabhedo ‘‘akusalā vedanā oḷārikā, kusalābyākatā vedanā sukhumā’’tiādinā nayena vibhaṅge (vibha. 11) vuttena jātisabhāvapuggalalokiyalokuttaravasena veditabbo. Jātivasena tāva akusalavedanā sāvajjakiriyahetuto kilesasantāpasabhāvato ca avūpasantavuttīti kusalavedanāya oḷārikā, sabyāpārato saussāhato savipākato kilesasantāpasabhāvato sāvajjato ca vipākābyākatāya oḷārikā, savipākato kilesasantāpasabhāvato sabyāpajjato sāvajjato ca kiriyābyākatāya oḷārikā, kusalābyākatā pana vuttavipariyāyato akusalāya sukhumā. Dvepi kusalākusalavedanā sabyāpārato saussāhato savipākato ca yathāyogaṃ duvidhāyapi abyākatāya oḷārikā, vuttavipariyāyena duvidhāpi abyākatā tāhi sukhumā. Evaṃ tāva jātivasena oḷārikasukhumatā veditabbā.
สภาววเสน ปน ทุกฺขเวทนา นิรสฺสาทโต สวิปฺผารโต อุเพฺพชนียโต อภิภวนโต จ อิตราหิ ทฺวีหิ โอฬาริกา, อิตรา ปน เทฺว สาตโต สนฺตโต ปณีตโต มนาปโต มชฺฌตฺตโต จ ยถาโยคํ ทุกฺขาย สุขุมาฯ อุโภ ปน สุขทุกฺขา สวิปฺผารโต โขภกรณโต ปากฎโต จ อทุกฺขมสุขาย โอฬาริกา, สา วุตฺตวิปริยาเยน ตทุภยโต สุขุมาฯ เอวํ สภาววเสน โอฬาริกสุขุมตา เวทิตพฺพาฯ ปุคฺคลวเสน ปน อสมาปนฺนสฺส เวทนา นานารมฺมณวิกฺขิตฺตภาวโต สมาปนฺนสฺส เวทนาย โอฬาริกา, วิปริยาเยน อิตรา สุขุมาฯ เอวํ ปุคฺคลวเสน โอฬาริกสุขุมตา เวทิตพฺพาฯ โลกิยโลกุตฺตรวเสน ปน สาสวา เวทนา โลกิยาฯ สา อาสวุปฺปตฺติเหตุโต โอฆนิยโต โยคนิยโต คนฺถนิยโต นีวรณิยโต อุปาทานิยโต สํกิเลสิกโต ปุถุชฺชนสาธารณโต จ อนาสวาย โอฬาริกา, สา วิปริยาเยน สาสวาย สุขุมาฯ เอวํ โลกิยโลกุตฺตรวเสน โอฬาริกสุขุมตา เวทิตพฺพาฯ
Sabhāvavasena pana dukkhavedanā nirassādato savipphārato ubbejanīyato abhibhavanato ca itarāhi dvīhi oḷārikā, itarā pana dve sātato santato paṇītato manāpato majjhattato ca yathāyogaṃ dukkhāya sukhumā. Ubho pana sukhadukkhā savipphārato khobhakaraṇato pākaṭato ca adukkhamasukhāya oḷārikā, sā vuttavipariyāyena tadubhayato sukhumā. Evaṃ sabhāvavasena oḷārikasukhumatā veditabbā. Puggalavasena pana asamāpannassa vedanā nānārammaṇavikkhittabhāvato samāpannassa vedanāya oḷārikā, vipariyāyena itarā sukhumā. Evaṃ puggalavasena oḷārikasukhumatā veditabbā. Lokiyalokuttaravasena pana sāsavā vedanā lokiyā. Sā āsavuppattihetuto oghaniyato yoganiyato ganthaniyato nīvaraṇiyato upādāniyato saṃkilesikato puthujjanasādhāraṇato ca anāsavāya oḷārikā, sā vipariyāyena sāsavāya sukhumā. Evaṃ lokiyalokuttaravasena oḷārikasukhumatā veditabbā.
ตตฺถ ชาติอาทิวเสน สเมฺภโท ปริหริตโพฺพฯ อกุสลวิปากกายวิญฺญาณสมฺปยุตฺตา หิ เวทนา ชาติวเสน อพฺยากตตฺตา สุขุมาปิ สมานา สภาวาทิวเสน โอฬาริกา โหติฯ วุตฺตเญฺหตํ ‘‘อพฺยากตา เวทนา สุขุมา, ทุกฺขา เวทนา โอฬาริกาฯ อสมาปนฺนสฺส เวทนา โอฬาริกา, สาสวา เวทนา โอฬาริกา’’ติ (วิภ. ๑๑)ฯ ยถา จ ทุกฺขเวทนา, เอวํ สุขาทโยปิ ชาติวเสน โอฬาริกา, สภาวาทิวเสน สุขุมา โหนฺติฯ ตสฺมา ยถา ชาติอาทิวเสน สเมฺภโท น โหติ, ตถา เวทนานํ โอฬาริกสุขุมตา เวทิตพฺพาฯ เสยฺยถิทํ – อพฺยากตา ชาติวเสน กุสลากุสลาหิ สุขุมาฯ น ตตฺถ ‘‘กตมา อพฺยากตา, กิํ ทุกฺขา, กิํ สุขา, กิํ สมาปนฺนสฺส, กิํ อสมาปนฺนสฺส, กิํ สาสวา, กิํ อนาสวา’’ติ เอวํ สภาวาทิเภโท ปรามสิตโพฺพฯ เอส นโย สพฺพตฺถฯ
Tattha jātiādivasena sambhedo pariharitabbo. Akusalavipākakāyaviññāṇasampayuttā hi vedanā jātivasena abyākatattā sukhumāpi samānā sabhāvādivasena oḷārikā hoti. Vuttañhetaṃ ‘‘abyākatā vedanā sukhumā, dukkhā vedanā oḷārikā. Asamāpannassa vedanā oḷārikā, sāsavā vedanā oḷārikā’’ti (vibha. 11). Yathā ca dukkhavedanā, evaṃ sukhādayopi jātivasena oḷārikā, sabhāvādivasena sukhumā honti. Tasmā yathā jātiādivasena sambhedo na hoti, tathā vedanānaṃ oḷārikasukhumatā veditabbā. Seyyathidaṃ – abyākatā jātivasena kusalākusalāhi sukhumā. Na tattha ‘‘katamā abyākatā, kiṃ dukkhā, kiṃ sukhā, kiṃ samāpannassa, kiṃ asamāpannassa, kiṃ sāsavā, kiṃ anāsavā’’ti evaṃ sabhāvādibhedo parāmasitabbo. Esa nayo sabbattha.
อปิจ ‘‘ตํ ตํ วา ปน เวทนํ อุปาทายุปาทาย เวทนา โอฬาริกา สุขุมา ทฎฺฐพฺพา’’ติ วจนโต อกุสลาทีสุปิ โลภสหคตาย โทสสหคตเวทนา อคฺคิ วิย อตฺตโน นิสฺสยทหนโต โอฬาริกา, โลภสหคตา สุขุมาฯ โทสสหคตาปิ นิยตา โอฬาริกา, อนิยตา สุขุมาฯ นิยตาปิ กปฺปฎฺฐิติกา โอฬาริกา, อิตรา สุขุมาฯ กปฺปฎฺฐิติกาสุปิ อสงฺขาริกา โอฬาริกา, อิตรา สุขุมาฯ โลภสหคตา ปน ทิฎฺฐิสมฺปยุตฺตา โอฬาริกา, อิตรา สุขุมาฯ สาปิ นิยตา กปฺปฎฺฐิติกา อสงฺขาริกา โอฬาริกา, อิตรา สุขุมา, อวิเสเสน อกุสลา พหุวิปากา โอฬาริกา, อปฺปวิปากา สุขุมาฯ กุสลา ปน อปฺปวิปากา โอฬาริกา, พหุวิปากา สุขุมาฯ
Apica ‘‘taṃ taṃ vā pana vedanaṃ upādāyupādāya vedanā oḷārikā sukhumā daṭṭhabbā’’ti vacanato akusalādīsupi lobhasahagatāya dosasahagatavedanā aggi viya attano nissayadahanato oḷārikā, lobhasahagatā sukhumā. Dosasahagatāpi niyatā oḷārikā, aniyatā sukhumā. Niyatāpi kappaṭṭhitikā oḷārikā, itarā sukhumā. Kappaṭṭhitikāsupi asaṅkhārikā oḷārikā, itarā sukhumā. Lobhasahagatā pana diṭṭhisampayuttā oḷārikā, itarā sukhumā. Sāpi niyatā kappaṭṭhitikā asaṅkhārikā oḷārikā, itarā sukhumā, avisesena akusalā bahuvipākā oḷārikā, appavipākā sukhumā. Kusalā pana appavipākā oḷārikā, bahuvipākā sukhumā.
อปิจ กามาวจรกุสลา โอฬาริกา, รูปาวจรา สุขุมา, ตโต อรูปาวจรา, ตโต โลกุตฺตราฯ กามาวจรา จ ทานมยา โอฬาริกา, สีลมยา สุขุมา, ตโต ภาวนามยาฯ ภาวนามยาปิ ทุเหตุกา โอฬาริกา , ติเหตุกา สุขุมาฯ ติเหตุกาปิ สสงฺขาริกา โอฬาริกา, อสงฺขาริกา สุขุมาฯ รูปาวจรา ปฐมชฺฌานิกา โอฬาริกา…เป.… ปญฺจมชฺฌานิกา สุขุมาวฯ อรูปาวจรา อากาสานญฺจายตนสมฺปยุตฺตา โอฬาริกา…เป.… เนวสญฺญานาสญฺญายตนสมฺปยุตฺตา สุขุมาวฯ โลกุตฺตรา จ โสตาปตฺติมคฺคสมฺปยุตฺตา โอฬาริกา…เป.… อรหตฺตมคฺคสมฺปยุตฺตา สุขุมาวฯ เอส นโย ตํตํภูมิวิปากกิริยเวทนาสุ ทุกฺขาทิอสมาปนฺนาทิสาสวาทิวเสน วุตฺตเวทนาสุ จฯ
Apica kāmāvacarakusalā oḷārikā, rūpāvacarā sukhumā, tato arūpāvacarā, tato lokuttarā. Kāmāvacarā ca dānamayā oḷārikā, sīlamayā sukhumā, tato bhāvanāmayā. Bhāvanāmayāpi duhetukā oḷārikā , tihetukā sukhumā. Tihetukāpi sasaṅkhārikā oḷārikā, asaṅkhārikā sukhumā. Rūpāvacarā paṭhamajjhānikā oḷārikā…pe… pañcamajjhānikā sukhumāva. Arūpāvacarā ākāsānañcāyatanasampayuttā oḷārikā…pe… nevasaññānāsaññāyatanasampayuttā sukhumāva. Lokuttarā ca sotāpattimaggasampayuttā oḷārikā…pe… arahattamaggasampayuttā sukhumāva. Esa nayo taṃtaṃbhūmivipākakiriyavedanāsu dukkhādiasamāpannādisāsavādivasena vuttavedanāsu ca.
โอกาสวเสน จาปิ นิรเย ทุกฺขา โอฬาริกา, ติรจฺฉานโยนิยํ สุขุมา…เป.… ปรนิมฺมิตวสวตฺตี สุขุมาวฯ ยถา จ ทุกฺขา, เอวํ สุขาปิ สพฺพตฺถ ยถานุรูปํ โยเชตพฺพาฯ วตฺถุวเสน จาปิ หีนวตฺถุกา ยา กาจิ เวทนา โอฬาริกา, ปณีตวตฺถุกา สุขุมาฯ หีนปฺปณีตเภเท ยา โอฬาริกา, สา หีนาฯ ยา จ สุขุมา, สา ปณีตาติ เวทิตพฺพาฯ ทูรปทํ ปน อกุสลา เวทนา กุสลาพฺยากตาหิ เวทนาหิ ทูเร, สนฺติกปทํ อกุสลา เวทนา อกุสลาย เวทนาย สนฺติเกติอาทินา นเยน วิภตฺตํฯ ตสฺมา อกุสลา เวทนา วิสภาคโต อสํสฎฺฐโต อสริกฺขโต จ กุสลาพฺยากตาหิ ทูเร, ตถา กุสลาพฺยากตา อกุสลายฯ เอส นโย สพฺพวาเรสุฯ อกุสลา ปน เวทนา สภาคโต จ สํสฎฺฐโต จ สริกฺขโต จ อกุสลาย สนฺติเกติฯ ตํตํเวทนาสมฺปยุตฺตานํ ปน สญฺญาทีนมฺปิ เอวเมว เวทิตพฺพํฯ
Okāsavasena cāpi niraye dukkhā oḷārikā, tiracchānayoniyaṃ sukhumā…pe… paranimmitavasavattī sukhumāva. Yathā ca dukkhā, evaṃ sukhāpi sabbattha yathānurūpaṃ yojetabbā. Vatthuvasena cāpi hīnavatthukā yā kāci vedanā oḷārikā, paṇītavatthukā sukhumā. Hīnappaṇītabhede yā oḷārikā, sā hīnā. Yā ca sukhumā, sā paṇītāti veditabbā. Dūrapadaṃ pana akusalā vedanā kusalābyākatāhi vedanāhi dūre, santikapadaṃ akusalā vedanā akusalāya vedanāya santiketiādinā nayena vibhattaṃ. Tasmā akusalā vedanā visabhāgato asaṃsaṭṭhato asarikkhato ca kusalābyākatāhi dūre, tathā kusalābyākatā akusalāya. Esa nayo sabbavāresu. Akusalā pana vedanā sabhāgato ca saṃsaṭṭhato ca sarikkhato ca akusalāya santiketi. Taṃtaṃvedanāsampayuttānaṃ pana saññādīnampi evameva veditabbaṃ.
๒๓. สุตวาติ อาคมาธิคมสงฺขาเตน พาหุสเจฺจน สมนฺนาคตตฺตา สุตวาฯ นิพฺพินฺทตีติ อุกฺกณฺฐติฯ เอตฺถ จ นิพฺพิทาติ วุฎฺฐานคามินีวิปสฺสนา อธิเปฺปตาฯ นิพฺพินฺทํ วิรชฺชตีติ เอตฺถ วิราควเสน จตฺตาโร มคฺคา กถิตาฯ วิราคา วิมุจฺจตีติ วิราเคน มเคฺคเนว เหตุภูเตน ปฎิปฺปสฺสทฺธิวิมุตฺติวเสน วิมุจฺจติฯ อิมินา จตฺตาริ สามญฺญผลานิ กถิตานิฯ วิมุตฺตสฺมิํ วิมุตฺตมิติ ญาณํ โหตีติ อิมินา ปน ปจฺจเวกฺขณญาณํ กถิตํฯ ขีณา ชาตีติอาทีหิ ตสฺส ภูมิฯ เตน หิ ญาเณน อริยสาวโก ปจฺจเวกฺขโนฺต ‘‘ขีณา ชาตี’’ติอาทีนิ ปชานาติฯ กตมา ปนสฺส ชาติ ขีณา, กถญฺจ นํ ปชานาตีติ? น ตาวสฺส อตีตา ชาติ ขีณา ปุเพฺพว ขีณตฺตา, น อนาคตา อนาคเต วายามาภาวโต, น ปจฺจุปฺปนฺนาฯ ยา ปน มคฺคสฺส อภาวิตตฺตา อุปฺปเชฺชยฺย เอกจตุปญฺจโวการภเวสุ เอกจตุปญฺจกฺขนฺธปฺปเภทา ชาติ, สา มคฺคสฺส ภาวิตตฺตา อนุปฺปาทธมฺมตํ อาปชฺชเนน ขีณา, ตํ โส มคฺคภาวนาย ปหีนกิเลเส ปจฺจเวกฺขิตฺวา กิเลสาภาเว วิชฺชมานมฺปิ กมฺมํ อายติํ อปฺปฎิสนฺธิกํ โหตีติ ชานโนฺต ปชานาติฯ
23.Sutavāti āgamādhigamasaṅkhātena bāhusaccena samannāgatattā sutavā. Nibbindatīti ukkaṇṭhati. Ettha ca nibbidāti vuṭṭhānagāminīvipassanā adhippetā. Nibbindaṃ virajjatīti ettha virāgavasena cattāro maggā kathitā. Virāgā vimuccatīti virāgena maggeneva hetubhūtena paṭippassaddhivimuttivasena vimuccati. Iminā cattāri sāmaññaphalāni kathitāni. Vimuttasmiṃ vimuttamiti ñāṇaṃ hotīti iminā pana paccavekkhaṇañāṇaṃ kathitaṃ. Khīṇā jātītiādīhi tassa bhūmi. Tena hi ñāṇena ariyasāvako paccavekkhanto ‘‘khīṇā jātī’’tiādīni pajānāti. Katamā panassa jāti khīṇā, kathañca naṃ pajānātīti? Na tāvassa atītā jāti khīṇā pubbeva khīṇattā, na anāgatā anāgate vāyāmābhāvato, na paccuppannā. Yā pana maggassa abhāvitattā uppajjeyya ekacatupañcavokārabhavesu ekacatupañcakkhandhappabhedā jāti, sā maggassa bhāvitattā anuppādadhammataṃ āpajjanena khīṇā, taṃ so maggabhāvanāya pahīnakilese paccavekkhitvā kilesābhāve vijjamānampi kammaṃ āyatiṃ appaṭisandhikaṃ hotīti jānanto pajānāti.
วุสิตนฺติ วุตฺถํ ปริวุตฺถํ, กตํ จริตํ นิฎฺฐิตนฺติ อโตฺถฯ พฺรหฺมจริยนฺติ มคฺคพฺรหฺมจริยํฯ ปุถุชฺชนกลฺยาณเกน หิ สทฺธิํ สตฺต เสกฺขา มคฺคพฺรหฺมจริยํ วสนฺติ นาม, ขีณาสโว วุตฺถวาโส, ตสฺมา อริยสาวโก อตฺตโน พฺรหฺมจริยวาสํ ปจฺจเวกฺขโนฺต ‘‘วุสิตํ พฺรหฺมจริย’’นฺติ ปชานาติฯ กตํ กรณียนฺติ จตูสุ สเจฺจสุ จตูหิ มเคฺคหิ ปริญฺญาปหานสจฺฉิกิริยาภาวนาวเสน โสฬสวิธมฺปิ กิจฺจํ นิฎฺฐาปิตนฺติ อโตฺถฯ ปุถุชฺชนกลฺยาณกาทโย หิ ตํ กิจฺจํ กโรนฺติ, ขีณาสโว กตกรณีโยฯ ตสฺมา อริยสาวโก อตฺตโน กรณียํ ปจฺจเวกฺขโนฺต ‘‘กตํ กรณีย’’นฺติ ปชานาติฯ นาปรํ อิตฺถตฺตายาติ อิทานิ ปุน อิตฺถภาวาย เอวํโสฬสกิจฺจภาวาย, กิเลสกฺขยาย วา มคฺคภาวนากิจฺจํ เม นตฺถีติ ปชานาติฯ อถ วา อิตฺถตฺตายาติ อิตฺถภาวา อิมสฺมา เอวํปการา อิทานิ วตฺตมานกฺขนฺธสนฺตานา อปรํ ขนฺธสนฺตานํ มยฺหํ นตฺถิ, อิเม ปน ปญฺจกฺขนฺธา ปริญฺญาตา ติฎฺฐนฺติ ฉินฺนมูลกา รุกฺขา วิยฯ เต จริมกวิญฺญาณนิโรเธน อนุปาทาโน วิย ชาตเวโท นิพฺพายิสฺสนฺตีติ ปชานาติฯ
Vusitanti vutthaṃ parivutthaṃ, kataṃ caritaṃ niṭṭhitanti attho. Brahmacariyanti maggabrahmacariyaṃ. Puthujjanakalyāṇakena hi saddhiṃ satta sekkhā maggabrahmacariyaṃ vasanti nāma, khīṇāsavo vutthavāso, tasmā ariyasāvako attano brahmacariyavāsaṃ paccavekkhanto ‘‘vusitaṃ brahmacariya’’nti pajānāti. Kataṃ karaṇīyanti catūsu saccesu catūhi maggehi pariññāpahānasacchikiriyābhāvanāvasena soḷasavidhampi kiccaṃ niṭṭhāpitanti attho. Puthujjanakalyāṇakādayo hi taṃ kiccaṃ karonti, khīṇāsavo katakaraṇīyo. Tasmā ariyasāvako attano karaṇīyaṃ paccavekkhanto ‘‘kataṃ karaṇīya’’nti pajānāti. Nāparaṃ itthattāyāti idāni puna itthabhāvāya evaṃsoḷasakiccabhāvāya, kilesakkhayāya vā maggabhāvanākiccaṃ me natthīti pajānāti. Atha vā itthattāyāti itthabhāvā imasmā evaṃpakārā idāni vattamānakkhandhasantānā aparaṃ khandhasantānaṃ mayhaṃ natthi, ime pana pañcakkhandhā pariññātā tiṭṭhanti chinnamūlakā rukkhā viya. Te carimakaviññāṇanirodhena anupādāno viya jātavedo nibbāyissantīti pajānāti.
๒๔. อตฺตมนา เต ภิกฺขู ภควโต ภาสิตํ อภินนฺทุนฺติ เต ภิกฺขู สกมนา ตุฎฺฐมนา, ปีติโสมนเสฺสหิ วา สมตฺตมนา หุตฺวา กรวีกรุตมญฺชุนา กณฺณสุเขน ปณฺฑิตชนหทยานํ อมตาภิเสกสทิเสน พฺรหฺมสฺสเรน ภาสโต ภควโต วจนํ สุกถิตํ สุลปิตํ ‘‘เอวเมตํ ภควา, เอวเมตํ สุคตา’’ติ มตฺถเกน สมฺปฎิจฺฉนฺตา อนุโมทิํสุ เจว สมฺปฎิจฺฉิํสุ จาติ อโตฺถฯ อยญฺหิ อภินนฺท-สโทฺท ‘‘อภินนฺทติ อภิวทตี’’ติอาทีสุ (สํ. นิ. ๓.๕; ๔.๑๑๔, ๑๑๘) ตณฺหายปิ อาคโตฯ ‘‘อนฺนเมวาภินนฺทนฺติ, อุภเย เทวมานุสา’’ติอาทีสุ (สํ. นิ. ๑.๔๓) อุปคมเนปิฯ
24.Attamanā te bhikkhū bhagavato bhāsitaṃ abhinandunti te bhikkhū sakamanā tuṭṭhamanā, pītisomanassehi vā samattamanā hutvā karavīkarutamañjunā kaṇṇasukhena paṇḍitajanahadayānaṃ amatābhisekasadisena brahmassarena bhāsato bhagavato vacanaṃ sukathitaṃ sulapitaṃ ‘‘evametaṃ bhagavā, evametaṃ sugatā’’ti matthakena sampaṭicchantā anumodiṃsu ceva sampaṭicchiṃsu cāti attho. Ayañhi abhinanda-saddo ‘‘abhinandati abhivadatī’’tiādīsu (saṃ. ni. 3.5; 4.114, 118) taṇhāyapi āgato. ‘‘Annamevābhinandanti, ubhaye devamānusā’’tiādīsu (saṃ. ni. 1.43) upagamanepi.
‘‘จิรปฺปวาสิํ ปุริสํ, ทูรโต โสตฺถิมาคตํ;
‘‘Cirappavāsiṃ purisaṃ, dūrato sotthimāgataṃ;
ญาติมิตฺตา สุหชฺชา จ, อภินนฺทนฺติ อาคต’’นฺติฯ (ธ. ป. ๒๑๙; วิ. ว. ๘๖๑) –
Ñātimittā suhajjā ca, abhinandanti āgata’’nti. (dha. pa. 219; vi. va. 861) –
อาทีสุ สมฺปฎิจฺฉเนปิฯ ‘‘อภินนฺทิตฺวา อนุโมทิตฺวา’’ติอาทีสุ (ม. นิ. ๑.๒๐๕) อนุโมทเนปิฯ สฺวายมิธ อนุโมทนสมฺปฎิจฺฉเนสุ ยุชฺชติฯ เตน วุตฺตํ ‘‘อนุโมทิํสุ เจว สมฺปฎิจฺฉิํสุ จา’’ติฯ อนุปาทาย อาสเวหิ จิตฺตานิ วิมุจฺจิํสูติ อนุปฺปาทนิโรเธน นิรุชฺฌมาเนหิ อาสเวหิ อนุปาทาย อคฺคเหตฺวา กญฺจิ ธมฺมํ ‘‘อหํ มมา’’ติ อนาทิยิตฺวาว จิตฺตานิ วิมุจฺจิํสุฯ ฉ อรหโนฺตติ ภควตา สทฺธิํ ฉ ชนา อรหโนฺตฯ อเญฺญสํ ปน เทวพฺรหฺมานมฺปิ อรหตฺตปฺปตฺติสมฺภวโต อิทํ มนุสฺสอรหเนฺตเยว สนฺธาย วุตฺตนฺติ อาห ‘‘ฉ มนุสฺสา อรหโนฺต โหนฺตี’’ติฯ
Ādīsu sampaṭicchanepi. ‘‘Abhinanditvā anumoditvā’’tiādīsu (ma. ni. 1.205) anumodanepi. Svāyamidha anumodanasampaṭicchanesu yujjati. Tena vuttaṃ ‘‘anumodiṃsu ceva sampaṭicchiṃsu cā’’ti. Anupādāya āsavehi cittāni vimucciṃsūti anuppādanirodhena nirujjhamānehi āsavehi anupādāya aggahetvā kañci dhammaṃ ‘‘ahaṃ mamā’’ti anādiyitvāva cittāni vimucciṃsu. Cha arahantoti bhagavatā saddhiṃ cha janā arahanto. Aññesaṃ pana devabrahmānampi arahattappattisambhavato idaṃ manussaarahanteyeva sandhāya vuttanti āha ‘‘cha manussā arahanto hontī’’ti.
อนตฺตลกฺขณสุตฺตวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Anattalakkhaṇasuttavaṇṇanā niṭṭhitā.
ปญฺจวคฺคิยกถา นิฎฺฐิตาฯ
Pañcavaggiyakathā niṭṭhitā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / วินยปิฎก • Vinayapiṭaka / มหาวคฺคปาฬิ • Mahāvaggapāḷi / ๖. ปญฺจวคฺคิยกถา • 6. Pañcavaggiyakathā
อฎฺฐกถา • Aṭṭhakathā / วินยปิฎก (อฎฺฐกถา) • Vinayapiṭaka (aṭṭhakathā) / มหาวคฺค-อฎฺฐกถา • Mahāvagga-aṭṭhakathā / ปญฺจวคฺคิยกถา • Pañcavaggiyakathā
ฎีกา • Tīkā / วินยปิฎก (ฎีกา) • Vinayapiṭaka (ṭīkā) / วชิรพุทฺธิ-ฎีกา • Vajirabuddhi-ṭīkā / ปญฺจวคฺคิยกถาวณฺณนา • Pañcavaggiyakathāvaṇṇanā
ฎีกา • Tīkā / วินยปิฎก (ฎีกา) • Vinayapiṭaka (ṭīkā) / วิมติวิโนทนี-ฎีกา • Vimativinodanī-ṭīkā / ปญฺจวคฺคิยกถาวณฺณนา • Pañcavaggiyakathāvaṇṇanā