Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / มิลินฺทปญฺหปาฬิ • Milindapañhapāḷi |
๘. อนวเสสสิกฺขาปทปโญฺห
8. Anavasesasikkhāpadapañho
๘. ‘‘ภเนฺต นาคเสน, เย เต อเหสุํ ติกิจฺฉกานํ ปุพฺพกา อาจริยา เสยฺยถิทํ, นารโท ธมฺมนฺตรี 1 องฺคิรโส กปิโล กณฺฑรคฺคิ สาโม อตุโล ปุพฺพกจฺจายโน, สเพฺพเปเต อาจริยา สกิํ เยว โรคุปฺปตฺติญฺจ นิทานญฺจ สภาวญฺจ สมุฎฺฐานญฺจ ติกิจฺฉญฺจ กิริยญฺจ สิทฺธาสิทฺธญฺจ สพฺพํ ตํ 2 นิรวเสสํ ชานิตฺวา ‘อิมสฺมิํ กาเย เอตฺตกา โรคา อุปฺปชฺชิสฺสนฺตี’ติ เอกปฺปหาเรน กลาปคฺคาหํ กริตฺวา สุตฺตํ พนฺธิํสุ, อสพฺพญฺญุโน เอเต สเพฺพ, กิสฺส ปน ตถาคโต สพฺพญฺญู สมาโน อนาคตํ กิริยํ พุทฺธญาเณน ชานิตฺวา ‘เอตฺตเก นาม วตฺถุสฺมิํ เอตฺตกํ นาม สิกฺขาปทํ ปญฺญเปตพฺพํ ภวิสฺสตี’ติ ปริจฺฉินฺทิตฺวา อนวเสสโต สิกฺขาปทํ น ปญฺญเปสิ, อุปฺปนฺนุปฺปเนฺน วตฺถุสฺมิํ อยเส ปากเฎ โทเส วิตฺถาริเก ปุถุคเต อุชฺฌายเนฺตสุ มนุเสฺสสุ ตสฺมิํ ตสฺมิํ กาเล สาวกานํ สิกฺขาปทํ ปญฺญเปสี’’ติ?
8. ‘‘Bhante nāgasena, ye te ahesuṃ tikicchakānaṃ pubbakā ācariyā seyyathidaṃ, nārado dhammantarī 3 aṅgiraso kapilo kaṇḍaraggi sāmo atulo pubbakaccāyano, sabbepete ācariyā sakiṃ yeva roguppattiñca nidānañca sabhāvañca samuṭṭhānañca tikicchañca kiriyañca siddhāsiddhañca sabbaṃ taṃ 4 niravasesaṃ jānitvā ‘imasmiṃ kāye ettakā rogā uppajjissantī’ti ekappahārena kalāpaggāhaṃ karitvā suttaṃ bandhiṃsu, asabbaññuno ete sabbe, kissa pana tathāgato sabbaññū samāno anāgataṃ kiriyaṃ buddhañāṇena jānitvā ‘ettake nāma vatthusmiṃ ettakaṃ nāma sikkhāpadaṃ paññapetabbaṃ bhavissatī’ti paricchinditvā anavasesato sikkhāpadaṃ na paññapesi, uppannuppanne vatthusmiṃ ayase pākaṭe dose vitthārike puthugate ujjhāyantesu manussesu tasmiṃ tasmiṃ kāle sāvakānaṃ sikkhāpadaṃ paññapesī’’ti?
‘‘ญาตเมตํ, มหาราช, ตถาคตสฺส ‘อิมสฺมิํ สมเย อิเมสุ มนุเสฺสสุ สาธิกํ ทิยฑฺฒสิกฺขาปทสตํ ปญฺญเปตพฺพํ ภวิสฺสตี’ติ, อปิ จ ตถาคตสฺส เอวํ อโหสิ ‘สเจ โข อหํ สาธิกํ ทิยฑฺฒสิกฺขาปทสตํ เอกปฺปหารํ ปญฺญเปสฺสามิ, มหาชโน สนฺตาสมาปชฺชิสฺสติ ‘พหุกํ อิธ รกฺขิตพฺพํ, ทุกฺกรํ วต โภ สมณสฺส โคตมสฺส สาสเน ปพฺพชิตุ’นฺติ, ปพฺพชิตุกามาปิ น ปพฺพชิสฺสนฺติ, วจนญฺจ เม น สทฺทหิสฺสนฺติ, อสทฺทหนฺตา เต มนุสฺสา อปายคามิโน ภวิสฺสนฺน-ติ อุปฺปนฺนุปฺปเนฺน วตฺถุสฺมิํ ธมฺมเทสนาย วิญฺญาเปตฺวา ปากเฎ โทเส สิกฺขาปทํ ปญฺญเปสฺสามี’’’ติฯ ‘‘อจฺฉริยํ, ภเนฺต นาคเสน, พุทฺธานํ, อพฺภุตํ, ภเนฺต นาคเสน, พุทฺธานํ, ยาว มหนฺตํ ตถาคตสฺส สพฺพญฺญุตญาณํ, เอวเมตํ, ภเนฺต นาคเสน, สุนิทฺทิโฎฺฐ เอโส อโตฺถ ตถาคเตน, ‘พหุกํ อิธ สิกฺขิตพฺพ’นฺติ สุตฺวา สตฺตานํ สนฺตาโส อุปฺปเชฺชยฺย, เอโกปิ ชินสาสเน น ปพฺพเชยฺย, เอวเมตํ ตถา สมฺปฎิจฺฉามี’’ติฯ
‘‘Ñātametaṃ, mahārāja, tathāgatassa ‘imasmiṃ samaye imesu manussesu sādhikaṃ diyaḍḍhasikkhāpadasataṃ paññapetabbaṃ bhavissatī’ti, api ca tathāgatassa evaṃ ahosi ‘sace kho ahaṃ sādhikaṃ diyaḍḍhasikkhāpadasataṃ ekappahāraṃ paññapessāmi, mahājano santāsamāpajjissati ‘bahukaṃ idha rakkhitabbaṃ, dukkaraṃ vata bho samaṇassa gotamassa sāsane pabbajitu’nti, pabbajitukāmāpi na pabbajissanti, vacanañca me na saddahissanti, asaddahantā te manussā apāyagāmino bhavissanna-ti uppannuppanne vatthusmiṃ dhammadesanāya viññāpetvā pākaṭe dose sikkhāpadaṃ paññapessāmī’’’ti. ‘‘Acchariyaṃ, bhante nāgasena, buddhānaṃ, abbhutaṃ, bhante nāgasena, buddhānaṃ, yāva mahantaṃ tathāgatassa sabbaññutañāṇaṃ, evametaṃ, bhante nāgasena, suniddiṭṭho eso attho tathāgatena, ‘bahukaṃ idha sikkhitabba’nti sutvā sattānaṃ santāso uppajjeyya, ekopi jinasāsane na pabbajeyya, evametaṃ tathā sampaṭicchāmī’’ti.
อนวเสสสิกฺขาปทปโญฺห อฎฺฐโมฯ
Anavasesasikkhāpadapañho aṭṭhamo.
Footnotes: