Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / วิมานวตฺถุ-อฎฺฐกถา • Vimānavatthu-aṭṭhakathā |
๘. อเนกวณฺณวิมานวณฺณนา
8. Anekavaṇṇavimānavaṇṇanā
อเนกวณฺณํ ทรโสกนาสนนฺติ อเนกวณฺณวิมานํฯ ตสฺส กา อุปฺปตฺติ? ภควา สาวตฺถิยํ วิหรติ เชตวเนฯ เตน สมเยน อายสฺมา มหาโมคฺคลฺลาโน เหฎฺฐา วุตฺตนเยน เทวจาริกํ จรโนฺต ตาวติํสภวนํ อคมาสิฯ อถ นํ อเนกวโณฺณ เทวปุโตฺต ทิสฺวา สญฺชาตคารวพหุมาโน อุปสงฺกมิตฺวา อญฺชลิํ ปคฺคยฺห อฎฺฐาสิฯ เถโร –
Anekavaṇṇaṃ darasokanāsananti anekavaṇṇavimānaṃ. Tassa kā uppatti? Bhagavā sāvatthiyaṃ viharati jetavane. Tena samayena āyasmā mahāmoggallāno heṭṭhā vuttanayena devacārikaṃ caranto tāvatiṃsabhavanaṃ agamāsi. Atha naṃ anekavaṇṇo devaputto disvā sañjātagāravabahumāno upasaṅkamitvā añjaliṃ paggayha aṭṭhāsi. Thero –
๑๑๙๙.
1199.
‘‘อเนกวณฺณํ ทรโสกนาสนํ, วิมานมารุยฺห อเนกจิตฺตํ;
‘‘Anekavaṇṇaṃ darasokanāsanaṃ, vimānamāruyha anekacittaṃ;
ปริวาริโต อจฺฉราสงฺคเณน, สุนิมฺมิโต ภูตปตีว โมทสิฯ
Parivārito accharāsaṅgaṇena, sunimmito bhūtapatīva modasi.
๑๒๐๐.
1200.
‘‘สมสฺสโม นตฺถิ กุโต ปนุตฺตโร, ยเสน ปุเญฺญน จ อิทฺธิยา จ;
‘‘Samassamo natthi kuto panuttaro, yasena puññena ca iddhiyā ca;
สเพฺพ จ เทวา ติทสคณา สเมจฺจ, ตํ ตํ นมสฺสนฺติ สสิํว เทวา;
Sabbe ca devā tidasagaṇā samecca, taṃ taṃ namassanti sasiṃva devā;
อิมา จ เต อจฺฉราโย สมนฺตโต, นจฺจนฺติ คายนฺติ ปโมทยนฺติฯ
Imā ca te accharāyo samantato, naccanti gāyanti pamodayanti.
๑๒๐๑.
1201.
‘‘เทวิทฺธิปโตฺตสิ มหานุภาโว,
‘‘Deviddhipattosi mahānubhāvo,
มนุสฺสภูโต กิมกาสิ ปุญฺญํ;
Manussabhūto kimakāsi puññaṃ;
เกนาสิ เอวํ ชลิตานุภาโว,
Kenāsi evaṃ jalitānubhāvo,
วโณฺณ จ เต สพฺพทิสา ปภาสตี’’ติฯ –
Vaṇṇo ca te sabbadisā pabhāsatī’’ti. –
อธิคตสมฺปตฺติกิตฺตนมุเขน กตกมฺมํ ปุจฺฉิฯ ตํ ทเสฺสตุํ –
Adhigatasampattikittanamukhena katakammaṃ pucchi. Taṃ dassetuṃ –
๑๒๐๒. ‘‘โส เทวปุโตฺต อตฺตมโน…เป.…ยสฺส กมฺมสฺสิทํ ผล’’นฺติฯ –
1202. ‘‘So devaputto attamano…pe…yassa kammassidaṃ phala’’nti. –
วุตฺตํ ฯ โสปิ –
Vuttaṃ . Sopi –
๑๒๐๓.
1203.
‘‘อหํ ภทเนฺต อหุวาสิ ปุเพฺพ, สุเมธนามสฺส ชินสฺส สาวโก;
‘‘Ahaṃ bhadante ahuvāsi pubbe, sumedhanāmassa jinassa sāvako;
ปุถุชฺชโน อนนุโพโธหมสฺมิ, โส สตฺต วสฺสานิ ปริพฺพชิสฺสหํฯ
Puthujjano ananubodhohamasmi, so satta vassāni paribbajissahaṃ.
๑๒๐๔.
1204.
‘‘โสหํ สุเมธสฺส ชินสฺส สตฺถุโน, ปรินิพฺพุตโสฺสฆติณฺณสฺส ตาทิโน;
‘‘Sohaṃ sumedhassa jinassa satthuno, parinibbutassoghatiṇṇassa tādino;
รตนุจฺจยํ เหมชาเลน ฉนฺนํ, วนฺทิตฺวา ถูปสฺมิํ มนํ ปสาทยิํฯ
Ratanuccayaṃ hemajālena channaṃ, vanditvā thūpasmiṃ manaṃ pasādayiṃ.
๑๒๐๕.
1205.
‘‘น มาสิ ทานํ น จ มตฺถิ ทาตุํ, ปเร จ โข ตตฺถ สมาทเปสิํ;
‘‘Na māsi dānaṃ na ca matthi dātuṃ, pare ca kho tattha samādapesiṃ;
ปูเชถ นํ ปูชนียสฺส ธาตุํ, เอวํ กิร สคฺคมิโต คมิสฺสถฯ
Pūjetha naṃ pūjanīyassa dhātuṃ, evaṃ kira saggamito gamissatha.
๑๒๐๖.
1206.
‘‘ตเทว กมฺมํ กุสลํ กตํ มยา,
‘‘Tadeva kammaṃ kusalaṃ kataṃ mayā,
สุขญฺจ ทิพฺพํ อนุโภมิ อตฺตนา;
Sukhañca dibbaṃ anubhomi attanā;
โมทามหํ ติทสคณสฺส มเชฺฌ,
Modāmahaṃ tidasagaṇassa majjhe,
น ตสฺส ปุญฺญสฺส ขยมฺปิ อชฺฌค’’นฺติฯ – กเถสิ;
Na tassa puññassa khayampi ajjhaga’’nti. – kathesi;
อิโต กิร ติํสกปฺปสหเสฺส สุเมโธ นาม สมฺมาสมฺพุโทฺธ โลเก อุปฺปชฺชิตฺวา สเทวกํ โลกํ เอโกภาสํ กตฺวา กตพุทฺธกิโจฺจ ปรินิพฺพุโต, มนุเสฺสหิ จ ภควโต ธาตุํ คเหตฺวา รตนเจติเย กเต อญฺญตโร ปุริโส สตฺถุ สาสเน ปพฺพชิตฺวา สตฺต วสฺสานิ พฺรหฺมจริยํ จริตฺวา อนวฎฺฐิตจิตฺตตาย กุกฺกุจฺจโก หุตฺวา อุปฺปพฺพชิฯ อุปฺปพฺพชิโต จ สํเวคพหุลตาย ธมฺมจฺฉนฺทวนฺตตาย จ เจติยงฺคเณ สมฺมชฺชนปริภณฺฑาทีนิ กโรโนฺต นิจฺจสีลอุโปสถสีลานิ รกฺขโนฺต ธมฺมํ สุณโนฺต อเญฺญ จ ปุญฺญกิริยาย สมาทเปโนฺต วิจริฯ โส อายุปริโยสาเน กาลกโต ตาวติํเสสุ นิพฺพตฺติฯ โส ปุญฺญกมฺมสฺส อุฬารภาเวน มเหสโกฺข มหานุภาโว สกฺกาทีหิ เทวตาหิ สกฺกตปูชิโต หุตฺวา ตตฺถ ยาวตายุกํ ฐตฺวา ตโต จุโต อปราปรํ เทวมนุเสฺสสุ สํสรโนฺต อิมสฺมิํ พุทฺธุปฺปาเท ตเสฺสว กมฺมสฺส วิปากาวเสเสน ตาวติํสภวเน นิพฺพตฺติ, ‘‘อเนกวโณฺณ’’ติ นํ เทวตา สญฺชานิํสุฯ ตํ สนฺธาย วุตฺตํ ‘‘อถ นํ อเนกวโณฺณ เทวปุโตฺต…เป.… น ตสฺส ปุญฺญสฺส ขยมฺปิ อชฺฌคนฺติ กเถสี’’ติฯ
Ito kira tiṃsakappasahasse sumedho nāma sammāsambuddho loke uppajjitvā sadevakaṃ lokaṃ ekobhāsaṃ katvā katabuddhakicco parinibbuto, manussehi ca bhagavato dhātuṃ gahetvā ratanacetiye kate aññataro puriso satthu sāsane pabbajitvā satta vassāni brahmacariyaṃ caritvā anavaṭṭhitacittatāya kukkuccako hutvā uppabbaji. Uppabbajito ca saṃvegabahulatāya dhammacchandavantatāya ca cetiyaṅgaṇe sammajjanaparibhaṇḍādīni karonto niccasīlauposathasīlāni rakkhanto dhammaṃ suṇanto aññe ca puññakiriyāya samādapento vicari. So āyupariyosāne kālakato tāvatiṃsesu nibbatti. So puññakammassa uḷārabhāvena mahesakkho mahānubhāvo sakkādīhi devatāhi sakkatapūjito hutvā tattha yāvatāyukaṃ ṭhatvā tato cuto aparāparaṃ devamanussesu saṃsaranto imasmiṃ buddhuppāde tasseva kammassa vipākāvasesena tāvatiṃsabhavane nibbatti, ‘‘anekavaṇṇo’’ti naṃ devatā sañjāniṃsu. Taṃ sandhāya vuttaṃ ‘‘atha naṃ anekavaṇṇo devaputto…pe… na tassa puññassa khayampi ajjhaganti kathesī’’ti.
๑๑๙๙. ตตฺถ อเนกวณฺณนฺติ นีลปีตาทิวเสน วิวิธวณฺณตาย อนนฺตรวิมานาทีนํ วิวิธสณฺฐานตาย จ นานาวิธวณฺณํฯ ทรโสกนาสนนฺติ สีตลภาเวน ทรถปริฬาหานํ วิโนทนโต มนุญฺญตาย ทสฺสนียตาย จ โสกสฺส อโนกาสโต ทรโสกนาสนํฯ อเนกจิตฺตนฺติ นานาวิธจิตฺตรูปํฯ สุนิมฺมิโต ภูตปตีวาติ ตาวติํสกายิโกปิ อุฬารทิพฺพโภคตาย สุนิมฺมิตเทวราชา วิย โมทสิ ตุสฺสสิ อภิรมสิฯ
1199. Tattha anekavaṇṇanti nīlapītādivasena vividhavaṇṇatāya anantaravimānādīnaṃ vividhasaṇṭhānatāya ca nānāvidhavaṇṇaṃ. Darasokanāsananti sītalabhāvena darathapariḷāhānaṃ vinodanato manuññatāya dassanīyatāya ca sokassa anokāsato darasokanāsanaṃ. Anekacittanti nānāvidhacittarūpaṃ. Sunimmito bhūtapatīvāti tāvatiṃsakāyikopi uḷāradibbabhogatāya sunimmitadevarājā viya modasi tussasi abhiramasi.
๑๒๐๐. สมสฺสโมติ สโม เอว หุตฺวา สโม, นิพฺพริยาเยน สทิโส เต ตุยฺหํ นตฺถิ, กุโต ปน เกน การเณน อุตฺตริ อธิโก โก นาม สิยาฯ เกน ปน สมตา อุตฺตริตรตา จาติ อาห ‘‘ยเสน ปุเญฺญน จ อิทฺธิยา จา’’ติฯ ตตฺถ ยเสนาติ ปริวาเรนฯ อิทฺธิยาติ อานุภาเวนฯ ยเสนาติ วา อิสฺสริเยน, อิทฺธิยาติ เทวิทฺธิยาฯ ยเสนาติ วา วิภวสมฺปตฺติยา, อิทฺธิยาติ ยถิจฺฉิ ตสฺส กามคุณสฺส อิชฺฌเนนฯ ยเสนาติ วา กิตฺติโฆเสน, อิทฺธิยาติ สมิทฺธิยาฯ ปุเญฺญนาติ ตตฺถ ตตฺถ วุตฺตาวสิฎฺฐปุญฺญผเลน, ปุญฺญกเมฺมเนว วาฯ
1200.Samassamoti samo eva hutvā samo, nibbariyāyena sadiso te tuyhaṃ natthi, kuto pana kena kāraṇena uttari adhiko ko nāma siyā. Kena pana samatā uttaritaratā cāti āha ‘‘yasena puññena ca iddhiyā cā’’ti. Tattha yasenāti parivārena. Iddhiyāti ānubhāvena. Yasenāti vā issariyena, iddhiyāti deviddhiyā. Yasenāti vā vibhavasampattiyā, iddhiyāti yathicchi tassa kāmaguṇassa ijjhanena. Yasenāti vā kittighosena, iddhiyāti samiddhiyā. Puññenāti tattha tattha vuttāvasiṭṭhapuññaphalena, puññakammeneva vā.
‘‘สเพฺพ จ เทวา’’ติ สามญฺญโต คหิตมตฺถํ ‘‘ติทสคณา’’ติ อิมินา วิเสเสตฺวา วุตฺตํฯ เอกจฺจสฺส ปเจฺจกํ นิปจฺจการํ กโรนฺตาปิ ปมุทิตา น กโรนฺติ , น เอวเมตสฺส ฯ เอตสฺส ปน ปมุทิตาปิ กโรนฺติเยวาติ ทเสฺสตุํ ‘‘สเมจฺจา’’ติ วุตฺตํฯ ตํ ตนฺติ ตํ ตฺวํฯ สสิํว เทวาติ ยถา นาม สุกฺกปกฺขปาฎิปทิยํ ทิสฺสมานํ สสิํ จนฺทํ มนุสฺสา เทวา จ อาทรชาตา นมสฺสนฺติ, เอวํ ตํ สเพฺพปิ ติทสคณา นมสฺสนฺตีติ อโตฺถฯ
‘‘Sabbe ca devā’’ti sāmaññato gahitamatthaṃ ‘‘tidasagaṇā’’ti iminā visesetvā vuttaṃ. Ekaccassa paccekaṃ nipaccakāraṃ karontāpi pamuditā na karonti , na evametassa . Etassa pana pamuditāpi karontiyevāti dassetuṃ ‘‘sameccā’’ti vuttaṃ. Taṃ tanti taṃ tvaṃ. Sasiṃva devāti yathā nāma sukkapakkhapāṭipadiyaṃ dissamānaṃ sasiṃ candaṃ manussā devā ca ādarajātā namassanti, evaṃ taṃ sabbepi tidasagaṇā namassantīti attho.
๑๒๐๓. ภทเนฺตติ เถรํ คารวพหุมาเนน สมุทาจรติฯ อหุวาสินฺติ อโหสิํฯ ปุเพฺพติ ปุริมชาติยํฯ สุเมธนามสฺส ชินสฺส สาวโกติ สุเมโธติ เอวํ ปากฎนามสฺส สมฺมาสมฺพุทฺทสฺส สาสเน ปพฺพชิตภาเวน สาวโกฯ ปุถูชฺชโนติ อนริโยฯ ตตฺถาปิ สจฺจานํ อนุโพธมตฺตสฺสาปิ อภาเวน อนนุโพโธฯ โส สตฺต วสฺสานิ ปริพฺพชิสฺสหนฺติ โส อหํ สตฺต สํวจฺฉรานิ ปพฺพชฺชาคุณมเตฺตน วิจริํ, อุตฺตริมนุสฺสธมฺมํ นาธิคจฺฉินฺติ อธิปฺปาโยฯ
1203.Bhadanteti theraṃ gāravabahumānena samudācarati. Ahuvāsinti ahosiṃ. Pubbeti purimajātiyaṃ. Sumedhanāmassa jinassa sāvakoti sumedhoti evaṃ pākaṭanāmassa sammāsambuddassa sāsane pabbajitabhāvena sāvako. Puthūjjanoti anariyo. Tatthāpi saccānaṃ anubodhamattassāpi abhāvena ananubodho. So satta vassāni paribbajissahanti so ahaṃ satta saṃvaccharāni pabbajjāguṇamattena vicariṃ, uttarimanussadhammaṃ nādhigacchinti adhippāyo.
๑๒๐๔. รตนุจฺจยนฺติ มณิกนกาทิรตเนหิ อุจฺจิตํ อุสฺสิตรตนเจติยํฯ เหมชาเลน ฉนฺนนฺติ สมนฺตโต อุปริ จ กญฺจนชาเลน ปฎิจฺฉาทิตํฯ วนฺทิตฺวาติ ปญฺจปติฎฺฐิเตน ตตฺถ ตตฺถ ปณามํ กตฺวาฯ ถูปสฺมิํ มนํ ปสาทยินฺติ ‘‘สพฺพญฺญุคุณาธิฎฺฐานาย วต ธาตุยา อยํ ถูโป’’ติ ถูปสฺมิํ จิตฺตํ ปสาเทสิํฯ
1204.Ratanuccayanti maṇikanakādiratanehi uccitaṃ ussitaratanacetiyaṃ. Hemajālena channanti samantato upari ca kañcanajālena paṭicchāditaṃ. Vanditvāti pañcapatiṭṭhitena tattha tattha paṇāmaṃ katvā. Thūpasmiṃ manaṃ pasādayinti ‘‘sabbaññuguṇādhiṭṭhānāya vata dhātuyā ayaṃ thūpo’’ti thūpasmiṃ cittaṃ pasādesiṃ.
๑๒๐๕. น มาสิ ทานนฺติ เม มยา กตํ ทานํ นาสิ นาโหสิฯ กสฺมา ปน? น จ เมตฺถิ ทาตุนฺติ เม มม ปริคฺคหภูตํ ทานํ ทาตุํ น อตฺถิ, น กิญฺจิ เทยฺยวตฺถุ วิชฺชติ, ปเร จ โข สเตฺต ตตฺถ ทาเน สมาทเปสิํฯ ‘‘ปเรสญฺจ ตตฺถ สมาทเปสิ’’นฺติ จ ปฐนฺติ, ตตฺถ ปเรสนฺติ อุปโยคเตฺถ สามิวจนํ ทฎฺฐพฺพํ ฯ ปูเชถ นนฺติอาทิ สมาทปนาการทสฺสนํ, ตํ ธาตุนฺติ โยชนาฯ เอวํ กิราติ กิร-สโทฺท อนุสฺสวโตฺถฯ
1205.Na māsi dānanti me mayā kataṃ dānaṃ nāsi nāhosi. Kasmā pana? Na ca metthi dātunti me mama pariggahabhūtaṃ dānaṃ dātuṃ na atthi, na kiñci deyyavatthu vijjati, pare ca kho satte tattha dāne samādapesiṃ. ‘‘Paresañca tattha samādapesi’’nti ca paṭhanti, tattha paresanti upayogatthe sāmivacanaṃ daṭṭhabbaṃ . Pūjetha nantiādi samādapanākāradassanaṃ, taṃ dhātunti yojanā. Evaṃ kirāti kira-saddo anussavattho.
๑๒๐๖. น ตสฺส ปุญฺญสฺส ขยมฺปิ อชฺฌคนฺติ ตสฺส ตทา สุเมธํ ภควนฺตํ อุทฺทิสฺส กตสฺส ปุญฺญกมฺมสฺส ปริกฺขยํ นาธิคจฺฉิํ, ตเสฺสว กมฺมสฺส วิปากาวเสสํ ปจฺจนุโภมีติ ทเสฺสติฯ ยํ ปเนตฺถ น วุตฺตํ, ตํ เหฎฺฐา วุตฺตนยตฺตา สุวิเญฺญยฺยเมวาติ ทฎฺฐพฺพํฯ
1206.Na tassa puññassa khayampi ajjhaganti tassa tadā sumedhaṃ bhagavantaṃ uddissa katassa puññakammassa parikkhayaṃ nādhigacchiṃ, tasseva kammassa vipākāvasesaṃ paccanubhomīti dasseti. Yaṃ panettha na vuttaṃ, taṃ heṭṭhā vuttanayattā suviññeyyamevāti daṭṭhabbaṃ.
อเนกวณฺณวิมานวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Anekavaṇṇavimānavaṇṇanā niṭṭhitā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / วิมานวตฺถุปาฬิ • Vimānavatthupāḷi / ๘. อเนกวณฺณวิมานวตฺถุ • 8. Anekavaṇṇavimānavatthu